28 กุมภาพันธ์ 2550 10:48 น.

** รักชั่วนิรันดร์ **

แก้วประเสริฐ


                              **  รักชั่วนิรันดร์ **

     เป็นเรื่องจริงที่ผมได้รับทางเมล์จากเพื่อนอ่านแล้วสุดซึ้งจริงๆครับ จึงขอ
นำมาลงไว้ทั้งในกลอนและที่นี่เพื่อช่วยเผยแพร่ออกไป  หวังความช่วยเหลือ
จากผู้อ่านทั้งหลายเท่าที่สามารถทำได้ครับ ขอขอบคุณล่วงหน้าไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

                        ***   แก้วประเสริฐ. ***

         นับถอยหลังไปอีกเพียงไม่กี่วัน ก็จะถึงวันวาเลนไทน์ 
วันซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการแสดงออกถึงความรัก 
ที่ใครหลายคนให้ความสำคัญกับวันนี้ ไม่ว่าใครจะนิยามความรักว่าเป็นของคู่กัน 
ความเหมือน ความพอดี ความลงตัว หากแต่นิยามความรักของตาลอบ ที่มีต่อยายทองนั้น 
กลับมองว่าวันวาเลนไทน์ที่จะมาถึงนั้น ไม่เคยมีความหมายต่อตาและยายเลย 
เพราะชีวิตรักที่ตาและยายได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมากว่า 50 ปี 
นั้นไม่เคยมีวันไหนที่ความรักของตาที่มีต่อยาย 
และยายมีต่อตานั้นลดน้อยลงไปตามกาลเวลาเลย 
หากแต่ความรักของทั้งคู่กลับเพิ่มพูนขึ้น สวนทางกับสังขารที่เริ่มจะโรยรา 

สำหรับตาวันนี้มันก็เป็นแค่วันธรรมดาๆ วันหนึ่ง ไม่มีความหมายอะไรเลย 
ดอกกุหลาบมันจะสู้สิ่งที่เราทำดีให้กันทุกวันได้ยังไง มันเทียบกันไม่ได้หรอก 
ตาไม่เห็นว่ามันจะสำคัญกับชีวิตตรงไหน เพราะถึงไม่มีวันนี้ 
ยังไงตาก็ยังรักยายเท่ากันทุกวัน 

อมร สีสุภเนตร หรือที่ชาวบ้านในอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย รู้จักกันในนามของ  
ตาลอบ ส่วนภรรยาคู่ทุกคู่ยากชาวบ้านเรียกขานกันว่า ยายทอง 
พื้นเพเดิมยายทองเป็นคนอำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก ส่วนตาลอบเป็นคนเชียงคาน 
จังหวัดเลย ปัจจุบันสองตายายอาศัยอยู่ที่บ้านหลังเล็กๆ สภาพเก่าๆ 
หลังหนึ่งตามลำพังสองคนโดยมีลูกๆ คอยดูแลอยู่ห่างๆ เมื่อมองเข้าไปในบ้าน 
จะสังเกตุเห็นว่าบ้านของตา เสมือนเป็นโรงพยาบาลขนาดย่อมๆ เพราะอุปกรณ์ 
ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ในการดูแลยายนั้น ตาได้ดัดแปลงให้เหมือนกับทางโรงพยาบาล 
ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้ดูแลยายได้อย่างเต็มที่ 


ย้อนไปเมื่อ 50 ปีที่แล้วตาลอบ ซึ่งเป็นช่างตัดผมหนุ่มฐานะยากจน 
ได้พบรักกับยายทอง แม่ค้าขายอาหารที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสาวงามประจำหมู่บ้าน 
ในงานรำวงสร้างโบสถ์ที่วัดป่ากลาง อำเภอเชียงคาน 
หลังจากที่ทั้งคู่คบหาดูใจกันมา 5-6 ปีจนมั่นใจในความรักที่มีให้ต่อกัน 
ชายหนุ่มจึงเอ่ยปากขอหญิงสาวที่เขารักแต่งงาน เป็นงานแต่งงานที่เรียบง่าย 
ไม่มีพิธีกรรมใหญ่โตอะไร ไม่มีเงินสินสอดทองหมั้นมากมาย 
หากแต่มีเพียงคำมั่นสัญญา ที่ชายหนุ่มมอบไว้ให้กับหญิงสาวที่เขารักว่า 
จะครองรักและดูแลกันตลอดไป 
ทั้งในยามทุกข์และยามสุขจนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตจะเดินทางมาถึง 

เวลาผ่านมา 50 ปี ทั้งคู่ครองรักกันจนกระทั่งแก่เฒ่า และตลอดเวลาที่ผ่านมา 
ความรักของคนทั้งคู่ที่มีให้กันก็มากพอ 
และสม่ำเสมอพอที่จะทำให้ชีวิตรักของคนคู่นี้กลายเป็นตำนานรักแท้ที่น่าจดจำ 
แต่จะเป็นเพราะสวรรค์บัญชา หรือฟ้ากำหนด จู่ๆ ปี 2538 
ยายทองก็ล้มป่วยลงด้วยการเป็นอัมพฤกษ์ทางด้านซ้าย 
ซึ่งก็พอจะช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง แต่เมื่อ 6 ปีที่ผ่านมา 
อาการของยายทองก็กำเริบทรุดหนักลงไปอีก จากอัมพฤกษ์กลายเป็นอัมพาต 
ไม่สามารถพูดคุยกับตาลอบได้อีก นอกจากส่งเสียงร้องไห้ 
ซึ่งบางครั้งก็มีแต่เสียงร้อง บางครั้งก็มีแต่น้ำตา 
ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการสื่อสารเพียงอย่างเดียว 
ที่ตาลอบรับรู้และเข้าใจเสมอว่ายายต้องการอะไร 

ยายเขาร้องไห้ เพราะว่าเขาอยากจะพูดกับเรา แต่เขาพูดไม่ได้ 
เขาจึงบอกเราด้วยการร้องไห้ออกมา พอตาได้ยินเสียงไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ 
ตาก็จะเดินไปพูดกับเขา หรือไม่ก็ต้องส่งสียงตอบกลับไป ส่วนใหญ่ตาจะบอกเขาว่า 
 อย่าร้องเลย เราอยู่ตรงนี้แล้ว  บางทีก็บอกยายว่า  เราจะอยู่กับเธอ 
จะดูแลเธอไปจนกว่าจะตายจากกัน 
ที่บอกอย่างนี้เพื่อให้ยายรู้ว่าตาอยู่ใกล้เขาไม่ได้หนีไปไหน ปฏิเสธไม่ได้ว่า 
น้อยครั้งนักที่เราจะได้เห็นภาพฝ่ายชายดูแล ปรนนิบัติฝ่ายหญิง 
หากแต่สิ่งที่ตาทำนั้น 
ได้พิสูจน์ให้โลกรู้ว่าความรักของตาที่มีต่อยายนั้นเป็นตำนานความรักอันยิ่งใหญ่ 
ที่ใครๆ ต่างก็แสวงหา 

ตาอยากใช้ชีวิตอยู่กับยายจนวินาทีสุดท้าย เราจะต้องไม่ทอดทิ้งกัน 
เราต้องมั่นคงต่อกัน ตาสัญญากับยายว่า จะดูแลยายให้ดีที่สุดจนวินาทีสุดท้าย 
ตาตั้งใจรักษายายให้ดีที่สุด ตาทุ่มเทชีวิตให้ยายทั้งหมดเลย 
เพราะว่ายายมีความหมายกับตาสุดชีวิตเลย ทุกวันนี้ตายังมีความหวังอยู่ว่า 
ยายจะอาการดีขึ้นและกลับมาพูดกับตาได้เหมือนเคย เราต้องอยู่แบบมีความหวัง 
เพราะความหวังนี่แหละ ที่จะทำให้เรามีกำลังใจดูแลยายต่อไป 
จนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่ง หากก่อนที่จะจากกันไปในชาตินี้ใจลึกๆ 
ตาลอบก็อยากให้ปาฏิหาริย์นั้นมีจริง เพราะอยากให้ยายฟื้นขึ้นมาอีกซักครั้ง 
เพื่อที่จะถามข้อข้องใจ ที่ชายคนหนึ่งเก็บไว้มาหลายปี 
ว่าที่ผ่านมาเขาทำดีพอที่สามีคนหนึ่ง จะทำให้ภรรยาที่เขารักที่สุดได้หรือไม่ 

ถึงแม้ว่าบั้นปลายชีวิตอันแสนสุข จะถูกพรากไป และแทนที่ด้วยความทุกข์ทรมาน 
จากอาการเจ็บป่วยของอีกฝ่ายหนึ่ง คำมั่นสัญญาทุกคำ 
ที่ตาลอบเคยมอบไว้ให้กับยายทองก็ยังไม่มีคำใด 
หรือตัวอักษรตัวใดเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย ตลอดระยะเวลา 12 ปีที่ยายทองล้มป่วย 
แทบจะทุกนาทีของชีวิต ตาลอบได้มอบให้กับการเฝ้าดูแล 
ประคบประหงมยายทองอย่างใกล้ชิด ไม่เว้นแต่ยามหลับหรือยามตื่น 

ตาดูแลยายไม่เคยห่าง ตาต้องดูแลทุกอย่างไม่ว่าจะเรื่อง อาบน้ำ เช็ดตัว 
ไปจนถึงเรื่องการเช็ดอึ เช็ดฉี่ อาหารการกิน อาการเจ็บป่วยต่างๆ 
เราต้องคอยสังเกตุตลอดเวลา เวลาทำอะไรตาก็จะนึกถึงยายก่อนเสมอ 
ถ้ายายยังไม่นอนตาก็ยังไม่นอน หรือถ้ายายยังไม่ได้กินข้าวตาก็จะยังไม่กิน 
เพราะต้องป้อนยายก่อน การดูแลปรนนิบัติยาย ตาลอบจะทำเพียงคนดียวทุกครั้ง 
และตาจะใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อยป็นอย่างดี 
แม้แต่แพมเพอร์สตาก็จะไม่ใส่ให้ยายเพราะเกรงว่าจะอับชื้น 
และทำให้เป็นแผลกดทับได้ ตาจึงไม่เคยเบื่อกับการที่ต้องคอยเช็ดอึ 
เช็ดฉี่อยู่ตลอดทั้งวัน เสื้อผ้าของยาย ตาก็จะไม่ซักผงซักฟอก 
เพราะกลัวยายจะแพ้และเป็นผื่น ฯลฯ ทุกวันนี้ตากลัวว่ายายจะทิ้งตาไป 
ไม่อยากให้ยายตายเลย อยากให้อยู่เป็นเพื่อนกัน อยู่เป็นคู่รักกันตลอดไป 
ตาไม่เคยคิดอย่างคนอื่นเลยว่า ตายไปภาระจะได้หมดลงไม่คิดเลย  

ภาพที่ชาวเชียงคานเห็นจนชินตา คือภาพชายชราวัย 73 ปี 
ปั่นรถจักรยานที่มีเตียงพยาบาลพ่วงติดอยู่ด้านหน้า 
โดยมียายนอนลืมตาแน่นิ่งอยู่บนเตียงเคลื่อนที่ไปตามถนนหนทางต่างๆ 
รถคันนี้เป็นรถที่ตาลอบประดิษฐ์ขึ้นมาเองกับมือ 
เพราะถ้าจะซื้อเตียงแบบโรงพยาบาลนั้น ก็เกินกำลังที่ตาจะมีได้ 
ด้วยความที่ตาเคยมีความรู้ทางช่าง 
จึงต่อเตียงพยาบาลขึ้นมาและดัดแปลงต่อเติมให้เตียงนั้นเคลื่อนที่ได้ 
และมีหลังคาคอยคุ้มแดดคุ้มฝน และมีมุ้งคอยกันยุงและแมลงต่างๆ 
ที่ตาทำเช่นนี้หวังเพื่อให้ยายอยู่ใกล้กับตาตลอดเวลา 
เพราะเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นมา ตาจะได้ช่วยเหลือยายได้ทัน 
ดังนั้นเวลาตาจะไปไหนก็จะพายายไปด้วยเสมอ 
ใครที่เห็นรถของตาต่างก็อดไม่ได้ที่จะไม่เหลียวหลัง 
และต่างก็ตั้งข้อสงสัยไปต่างๆนานา บ้างก็นึกว่าเป็นรถซาเล้ง รถขายของ 
รถเก็บของเก่า บ้างก็ว่ารถขนศพ แต่ถึงอย่างไรตาลอบก็ไม่สนใจคำครหาเหล่านั้น 
เพราะสิ่งสำคัญที่ตาพายายออกมาอย่างนี้ ก็เพื่อให้ยายออกมารับอากาศข้างนอก 
ให้ยายได้รับการทักทาย พูดคุยจากผู้คนต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้ยายรู้สึกตัวมากขึ้น 
นอกจากนี้ ตายังรู้ใจยายดีว่ายายชอบให้ตาพาเที่ยวไปตามที่ต่างๆ 
ตาจึงมักปั่นเตียงเคลื่อนที่คู่ใจคันนี้ พายายไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ 
ที่มีความสำคัญๆ ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นสถานที่พบรักกัน สถานที่ๆ ทำมาหากินด้วยกัน 
ทั้งนี้ตาทำเพื่อพายายไประลึกถึงความหลังอันงดงาม เพื่อกระตุ้นความจำ 
ความรู้สึกของยาย และอย่างน้อยความหลังเหล่านี้ 
เสมือนเป็นน้ำหล่อเลี้ยงความเศร้าหมองของชะตากรรม 
ที่ทั้งคู่ต้องเผชิญอยู่ได้ไม่มากก็น้อย 

บ่อยครั้งเวลายายมีอาการป่วยมาก ตาต้องพายายไปรักษาที่โรงพยาบาลเชียงคาน 
โดยมากตาจะปั่นเตียงพยาบาลเคลื่อนที่ พายายไปที่โรงพาบาล 
ทันทีที่ไปถึงจะเป็นอันรู้กันกับเจ้าหน้าที่ว่าเตียงประดิษฐ์ของตาคันนี้ 
สามารถใช้แทนเตียงของโรงพยาบาลได้เป็นอย่างดี 
และเมื่อพยาบาลเห็นคนไข้รายนี้ทีไรก็อุ่นใจได้ว่า 
ไม่ต้องมาดูแลยายทองอะไรมากนัก เพราะตาลอบจะเป็นคนดูแลยายเองทุกอย่าง 
โดยที่ไม่ต้องให้พยาบาลเข้ามายุ่งเลย 
เพราะตาลอบคิดว่าเจ้าหน้าที่คงจะดูแลไม่ดีเท่ากับตัวเอง 
ซึ่งนั่นเป็นเพราะตาลอบทำด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก 

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 
ตาลอบได้พิสูจน์ให้เราเห็นว่าสัญญาที่ชายหนุ่มมอบไว้กับหญิงสาวอันเป็นที่รัก 
เมื่อ 50 กว่าปีที่แล้วนั้น ไม่ใช่แค่ลมปาก หรือถ้อยคำหวานหู ตามแรงปราถนา 
หากแต่เป็นถ้อยคำที่ออกมาจากความรู้สึกข้างในหัวใจ 
ที่มีที่ว่างให้เพียงแค่หญิงสาวที่เขารักเพียงคนเดียว 
คำมั่นสัญญาที่ตาลอบมอบให้ จึงเป็นพันธะสัญญาที่ถูกจารึกลงบนหินผา 
ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร ก็ไม่มีวันลบเลือน 
และยังทำอย่างซื่อตรงสม่ำเสมอ ไม่ต่างอะไรกับการขึ้นลงของดวงตะวัน 
ที่จะเป็นอยู่เช่นนั้นชั่วนิรันดร์ 
หากท่านใดประสงค์จะช่วยเหลือครอบครัวของคุณตา คุณยาย 
สามารถร่วมช่วยเหลือได้อาจโดยการโอนเงินผ่าน 
บัญชี ธนาคาร ออมสิน 
บัญชี ออมทรัพย์ 
สาขาเชียงคาน 
เลขที่บัญชี 115 - 602 - 200 - 232 - 881 
ชื่อบัญชี นายอมร สีสุภเนตร 
ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ 
(ฝากส่งต่อด้วยนะคะ) 

 				
24 กุมภาพันธ์ 2550 17:59 น.

** ฟ้าเพียงดิน ( ๕ )

แก้วประเสริฐ


                  ฟ้าเพียงดิน  
                     บทที่  ๕

  “ แหม๋!!!...คงจะมีการต้อนรับและฉลองกันใหญ่นะซิ” ชายหนุ่มกล่าว พร้อมหันไปมองหน้าหญิงสาว
ภาพที่เขาแลเห็นหาได้เป็นดั่งคำพูดก็หาไม่ กลับเห็นหญิงสาวสะท้านเล็กน้อยก้มหน้าหยาดน้ำตาเล็กๆ
คลอยังเบ้าตาพร้อมเสียงที่สั่นเครือเล็ดรอดออกมาช่างแผ่วเบาเสียเหลือเกิน
   “มิได้หรอกเจ้าค่ะ” หล่อนหยุดชะงัก......
   “มีเพียงดิฉันคนเดียวเจ้าค่ะ”
   “อ้าวๆๆไม่มีใครไปอวยพรกันบ้างเชียวหรือ”  ชายหนุ่มสงสัยเพราะอย่างน้อยก็ย่อมมีพ่อแม่ญาติพี่น้อง
เพื่อนที่รักไปแสดงความยินดีบ้าง
   “ดิฉันเหลือเพียงแม่คนเดียวค่ะ ก็อยู่ต่างจังหวัดไม่มีเงินทองพอที่จะมาร่วมงาน ส่วนคุณตาคุณยายเอง
ก็ชรามากแล้ว เพื่อนหรือความจนทำให้ไม่ค่อยมีเพื่อนกับเขาหรอกเจ้าค่ะ”  หญิงสาวตอบด้วยเสียงสั่นๆ....
ได้เรียนจบก็ถือว่าเป็นบุญมากโขแล้วเจ้าค่ะ  เสร็จก็กลับไปบ้านเลยเจ้าค่ะ” ร่างหล่อนสะท้านจนเห็นได้ชัด
     ทำให้ชายหนุ่มเกิดความรักเอ็นดูขึ้นมาทันที  เขาทราบดีเรื่องแบบนี้ย่อมเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นเป็น
ธรรมดาโดยเฉพาะงานสำคัญเช่นนี้อย่างน้อยก็ย่อมต้องมีเพื่อนฝูงสนุกสนานแต่กลับเป็นงานที่เศร้าใจนัก
   “ขอโทษนะที่ทำให้เธอสะเทือนใจเช่นนี้  อ้า!!!????...ทำงานเสร็จแล้วไปพบผมหน่อยนะจะขอคุยอะไร
สักหน่อย”   ชายหนุ่มกล่าวพลางเดินไปยังบ้านพักของตน
   “เจ้าค่ะ”
   เสียงแผ่วเบาลอดออกมาพอได้ยิน
   “เหลาเอ๋ย???.....เสร็จงานหรือยังอย่าลืมที่ยายสั่งนะ”  เสียงตะโกนของยายผันแว่วกำชับมาอีก
   “จ๊ะยาย...เกือบเสร็จแล้วจ้า”   หล่อนร้องตอบ
               ภายในบ้านพักของชายหนุ่ม  หล่อนเห็นเขากำลังนั่งอ่านหนังสือบนโต๊ะหนังสือที่มีตู้หนังสือตั้งอยู่
ด้านหลังภายในมีหนังสือเล่มใหญ่ๆมากมาย พร้อมทั้งเห็นเขากำลังจดอะไรบางอย่างลงในสมุดตรงหน้า
หล่อนยืนนิ่งที่หน้าประตูห้อง กำลังใช้ความคิดว่าควรหรือไม่ควรอยู่  พลันได้ยินเสียงเรียกหล่อน
   “อ๋อ???...เธอหรือเข้ามาซินั่งคอยก่อนนะ เดี๋ยวเดียวแหละ” ชายหนุ่มหันหน้ามาส่งยิ้มให้พลางก้มหน้าจด
บันทึกต่อ
   “เจ้าค่ะ”  หล่อนก้มตัวลงนั่งพับเพียบกับพื้นห้องทันที  ชายหนุ่มเหลือบตามามองพลางกล่าวขึ้นอีกว่า
   “ไม่ต้องนั่งกับพื้นหรอก นั่งบนโซฟานั่นแหละ” ชายหนุ่มกล่าว
           นั่นแหละหล่อนจึงค่อยๆยืนขึ้นพลางก้มตัวเดินไปยังโซฟาที่ตั้งอยู่ด้านข้าง รอคอย......
   สักครู่แลเห็นชายหนุ่มปิดหนังสือพร้อมละมือจากการเขียนบันทึก ลุกเดินมาเบื้องหน้าหล่อนพร้อมทรุดตัว
นั่งยังโซฟาตรงกันข้าม
   “ผมได้ฟังคุณพูดถึงผลการเรียนชักสนใจ และมาหางานทำด้วย”  ชายหนุ่มกล่าวพร้อมมองหน้าหล่อน
   “เจ้าค่ะ  หวังให้ยายช่วยมองหาลู่ทางอยู่ เคยไปสมัครงานทำแล้วแต่ยังไม่ได้เรียกตัวมาเจ้าค่ะ”  หล่อนก้มหน้า
กล่าวขึ้น
   “แต่ทางเขาบอกว่าต้องหาคนมาฝากและใบผ่านงานด้วย  ซึ่งดิฉันไม่มีเพราะพึ่งสำเร็จมาใหม่ๆเจ้าค่ะ จึงกลับ
มาคอยงานที่บ้านคุณยายเจ้าค่ะ”
   “อืมมๆๆๆ...สมัยนี้ก็แบบนี้แหละเล่นเส้นเล่นสายกัน เหมือนเพื่อนผมคนหนึ่งมัวแต่รับเส้นสาย งานถึงไม่ค่อยไป
ไหนกัน ยิ่งเป็นเด็กผู้ใหญ่ในวงราชการด้วยแล้ว มันบอกผมว่าลำบากใจจริงๆจะทำอะไรก็ไม่ได้ รับไว้เพียงแค่ใบผ่าน
ทางเท่านั้นจะไล่ออกหรือก็ไม่กล้าเลยคาร้าคาซังกันจนทุกวันนี้แหละ น่าอนาถใจจริงๆนะ” ชายหนุ่มรำพึงให้ฟัง
       แต่หล่อนไม่ตอบเพียงแต่นั่งเฉยๆเท่านั้น ฟังชายหนุ่มกล่าว
   “เห็นว่าสำเร็จทางบัญชีก็เลยคิดจะจ้างเธอไว้คอยช่วยเหลือผมตรวจสอบบัญชีของบริษัทเป็นการส่วนตัว เธอจะ
ขัดข้องไหมล่ะ”  ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาวกล่าวขึ้น
   หญิงสาวตะลึง  รีบก้มลงกราบชายหนุ่มทันที
   “เป็นพระคุณยิ่งแล้วเจ้าค่ะ”
   “ผมชื่อ “พีระกานต์”  เรียกผมว่า. “กานต์”เฉยๆก็พอ ส่วนคำว่าเจ้าคงเจ้าค่ะนั้นไม่ต้องเรียกอีกนะรู้ไหม
 เพียงแค่”ค่ะ”เฉยๆก็เพียงพอแล้วล่ะ คนอื่นได้รับฟังแล้วไม่งามทำให้ผมตะขิดตะขวงใจ”  ชายหนุ่มบอก
   “ขอบคุณค่ะคุณกานต์” หล่อนกล่าว 
   “น๊านต้องเป็นนี้ซิค่อยสบายใจหน่อย” ชายหนุ่มกล่าวพลางหัวร่อเบาๆ
   “อ้อ...อีกอย่างหนึ่งนะ คือว่า...?????  ชายหนุ่มหยุดอ่ำๆอึ้งๆ
   “อะไรหรือค่ะ???”  หญิงสาวมองหน้าด้วยสงสัย
   “เพียงแต่ว่าอยากจะขอร้องมากกว่านี้อีกนั่นแหละ”ชายหนุ่มเอ่ย
   “พูดไปเถอะค่ะ หากสามารถช่วยได้ไม่เกินความสามารถก็ไม่เป็นไรค่ะ”  หญิงสาวเอ่ย
   “ขอบใจมากนะ คือว่า ผมอยากให้ช่วยดูแลบ้านหลังนี้แทนยายผันเพราะแก่มากแล้ว อีกอย่างหนึ่งต้องทำ
หน้าที่เป็นเลขาฯส่วนตัวผมนอกจากจะช่วยตรวจสอบบัญชีเท่านั้น ส่วนเรื่องเงินเดือนผมจะตั้งให้เองตาม
ความสามารถครับ”  ชายหนุ่มจ้องหน้าหญิงสาวซึ่งก้มหน้าเหมือนจะใช้ความคิด
   “หรือค่ะ...อ้า...หน้าที่เลขาฯด้วยหรือ?...แล้วจะดีหรือค่ะเพราะดิฉันแต่งตัวไม่เป็น เสื้อผ้าก็ไม่ทันสมัย
เดี๋ยวจะทำให้คุณขายหน้าได้นะค่ะ”  หญิงสาวกล่าว
   “เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก เพราะผมเองก็ไม่ชอบคนแต่งตัวทันสมัย คุณดูผมซิแต่งตัวธรรมดาแบบคน
ทั่วๆไปแต่งตัวอยู่แล้ว อ้อ?...เรื่องเสื้อผ้าไม่สำคัญหากยอมรับงานก็ไปหาซื้อตามห้างฯตามใจชอบเรื่อง
เงินทองเดี๋ยวผมจะจัดการให้  หากเธอยอมรับทำงานนะ”  เขากล่าว
       เขามองเห็นหญิงสาวแสดงอาการอ้ำๆอึ้งๆ  ก็เลยกล่าวสรุปเสียเลย
   “ตกลงนะ หากมีปัญหาอะไรบอกผมได้ นึกว่าช่วยเหลือผมอีกทางก็แล้วกัน”  ชายหนุ่มยิ้ม
   “หากว่าไม่ทำให้คุณต้องเสียหน้า  ก็เป็นพระคุณอย่างยิ่งค่ะ”  หญิงสาวก้มหน้าตอบ
   “เอาเป็นว่าตกลงกัน เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป  ตอนแรกก็ดูแลความเรียบร้อยภายในบ้านก่อนเรื่องงาน
ผมจะบอกให้ทราบล่วงหน้าอีกครั้งหนึ่ง”  ชายหนุ่มกล่าว 
 พลางลุกขึ้นยืน พลางนึกถึงคำกล่าวของมารดาที่ว่าเพื่อนของมารดาจะนำลูกๆให้มารู้จักเขา ซึ่งได้จังหวะ
พอดีที่เขาต้องการหาทางออก เพราะยังไม่อยากจะให้มีพันธะมาผูกพันแก่เขามากเกินไป  ต้องการจะใช้ชีวิต
อย่างอิสระตามแบบสไตล์ตะวันตกที่เขาได้ศึกษาอยู่  ที่นั่นเขาเองแม้จะมีสาวๆมาติดพันมากมายแต่ก็เป็น
แค่เพียงเพื่อนไม่เคยคิดจะล่วงเกินให้มากไปกว่านี้จนเกิดปัญหาตามหลังได้   จนเพื่อนๆทั้งไทยเทศต่างสงสัย
จนกระทั่งเขาสำเร็จมา ใช้ชีวิตท่องเที่ยวไปทั่วอย่างอิสระตามหัวใจที่ปรารถนาจะมีบ้างก็เพียงหญิงสาวหากิน
เท่านั้น แต่ก็นานๆสักครั้งจนกระทั่งเกิดเบื่อหน่ายชีวิตแบบตะวันตก จึงได้เดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอน
เมื่อกลับมา  ความเป็นหนุ่มโสดทำให้เกิดการเปลี่ยนความคิดของเขาไปด้วยสิ่งต่างๆนาๆจนกระทั่งเขาต้อง
แกล้งทำตัวแบบเชยๆขึ้น
   “ค่ะๆๆ...งานบ้านวันนี้ดิฉันทำเรียบร้อยแล้วค่ะ จะเริ่มใหม่พรุ่งนี้ก็แล้วกัน ขอบคุณมากค่ะที่มอบงานให้ดิฉัน
ได้ทำไม่ต้องตกงานอีก  ขอตัวก่อนนะค่ะ” หญิงสาวเอ่ยปาก
   “ครับ  แต่ว่าคุณต้องมาอยู่บ้านนี้ในตอนกลางวันด้วยนะครับถือว่าเป็นการทำงาน เพราะระยะนี้ผมจะต้องออก
ไปข้างนอกบ่อยหน่อย เปรียบเสมือนเป็นแม่บ้านก็แล้วกันนะครับ อย่าคิดอะไรมาก ผมจะบอกให้คุณพ่อคุณแม่
ผมทราบไว้ด้วย อ้อ พรุ่งนี้ผมเองก็ต้องไปรับมอบงานที่บริษัทฯจากคุณพ่อผม ต่อไปเห็นว่าคุณต้องติดตามผมไป
ที่บริษัทฯพร้อมกับผมด้วยนะครับ”  ชายหนุ่มหันมากล่าว
   “ค่ะแล้วแต่คุณเถอะค่ะ...” หญิงสาวหันมายิ้มรับตอบ
   “ผมเองอาจจะกลับค่ำหน่อย  หากคุณเสร็จธุระก็มาช่วยๆดูแลบ้านให้ด้วยนะครับ”
   “ค่ะคุณ”
   “ขอบใจมากครับ”  ชายหนุ่มกล่าวพลางก้าวเดินออกไปจากบ้านทันที  จนร่างชายหนุ่มลับสายตาไป
        เมื่อร่างชายหนุ่มลับสายตาพ้นจากตัวตึกใหญ่ไปแล้ว  หญิงสาวผุดลุกขึ้นรีบวิ่งไปบ้านพักตายายทันทีซึ่งอยู่ไม่ไกล
นักข้างๆกับบ้านพักของชายหนุ่ม  ด้วยอาการแสนจะดีใจแทบจะสะดุดกระไดบ้านถลาเข้าไปกอดยายผันทันทีพลางเขย่าตัว
กล่าวอย่างระล่ำระลัก  
   “ยายๆๆๆ  ฟ้าโปรดหนูแล้วจ๊ะยาย”  หญิงสาวกล่าวด้วยอาการตื่นเต้น
   “ฟ้าอะไรโปรดเอ็งอีกล่ะอีหนู  เฮ้ยๆๆ!!!เบาๆหน่อยเดี๋ยวกระดูกกระเดี๊ยวหักหมดโว้ย” หญิงสาวถึงได้หยุดเขย่าพลางกล่าวว่า
   “ก็คุณชายกานต์ซิจ๊ะยาย”
   “อ้าวๆ...คุณชายกานต์ไปทำอะไรมึงหรือ????
   “ไม่ได้ทำอะไรหลักหรอกจ๊ะ  เพียงแต่ว่าเขาให้งานทำแก่หลักแล้ว โดยให้ไปทำตั้งแต่วันพรุ่งนี้” 
 หญิงสาวกล่าวด้วยความดีใจ
   “เฮ้ยๆไปทำที่บริษัทฯคุณเลยหรือแล้วเสื้อผ้าจะใส่ล่ะ  จะเอาที่ไหนหวา????”หญิงชรากล่าว
   “ไม่หรอกยาย เขาให้หลักดูแลบ้านของเขาไปก่อน แล้วช่วยเขาตรวจสอบบัญชีบริษัทกับเป็นเลขานุการไปในตัวจ๊ะ”
   “กูงงว๊ะ...ไม่เข้าใจมึงพูด  ไหนๆค่อยๆพูดช้าๆให้เข้าใจหน่อยโว้ย”
   “คืออย่างนี้จ๊ะ เขาให้เป็นแม่บ้านดูแลบ้านระหว่างไม่อยู่คอยติดตามเขาไปช่วยตรวจสอบบัญชีที่บริษัทฯจ๊ะยาย”
   “เออบุญมึงแล้วล่ะที่จะได้งานทำมั่นคงเพราะต่อไปคุณชายก็จะเป็นผู้ดูแลงานทั้งหมด” หญิงชราเอ่ยขึ้น
   “แล้วเขาให้เงินเดือนเอ็งเดือนล่ะเท่าไหร่ล่ะ อย่าไปเรียกร้องเขาน๊ะ”
   “ยังไม่รู้เลย เขาบอกว่าต้องดูความสามารถก่อนถึงตั้งเงินเดือนให้จ๊ะ”
   “เออดีแล้วล่ะถึงไม่ให้ก็ไม่เป็นไร เพราะเขามีคุณแก่ตายายมากนะอีหนู”
   “จ๊ะยาย ขอให้มีงานทำเป็นหลักก็พอแล้วล่ะ เรื่องเงินหลักไม่เกี่ยงอยู่แล้วอีกอย่างได้อยู่ใกล้ๆกับตายายด้วยว่า
จะเขียนจม.ไปบอกแม่สักหน่อย”
   “ตามใจเอ็งเถอะ ไปไป๊!!!...ไปอาบน้ำกินข้าวได้แล้วล่ะ”
   “จ๊ะยาย “
       หญิงสาวพลางลุกขึ้นเดินเข้าไปยังห้องพัก เปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่ออาบน้ำและมาทานข้าวร่วมกับตายาย......
               ที่บริษัทอัศวราชินริมถนนสีลมภายในเนื้อที่เกือบสามไร่บนตึกสูงตระหง่านหลายสิบชั้น
รายล้อมด้วยพฤกษานานาพันธุ์ที่สูงใหญ่รายล้อมอาณาเขตบริษัทไว้ด้านหน้าจัดไว้ในการวางแบบแปลน
ที่สวยสดงดงามด้วยดอกไม้ต่างๆที่ออกดอกบานสะพรั่งทั้งหน้าบริษัทและริมทางเข้าออก ส่วนสถานจอดรถ
ถูกจัดไว้ด้านข้างทั้งสองด้านเต็มไปด้วยรถยนต์มากมาย
        ชายหนุ่มก้าวลงจากรถยนต์เดินทอดน่องขึ้นไปยังบริษัท  สู่บริเวณชั้นล่างถูกจัดแสดงไว้ด้วยบอร์ดแสดงรายการ
สินค้าและสินค้าบางชนิดโชว์ไว้แสดงแก่ผู้มาชม มุมหนึ่งเป็นเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์และที่นั่งพักผ่อนจัดไว้ให้
ผู้มาชมได้นั่งพัก  เขาเดินไปชมรายการต่างๆจนกระทั่งมีเจ้าหน้าที่เข้ามาทักทายพร้อมอธิบายสินค้างต่างๆให้เขา
ฟัง ชายหนุ่มหันมายิ้มยืนรับฟังการอธิบายต่างๆพอสมควร  จึงได้สอบถามว่าห้องประชุมใหญ่อยู่ชั้นใด  เมื่อ
พอได้รับฟัง เจ้าหน้าที่คนนั้นรีบน้อมตัวชี้แจงพร้อมรีบนำทางไปยังลิฟท์   ครั้นถึงชั้นที่ต้องการชายหนุ่มก็เดินชม
ไปเรื่อยๆผ่านห้องต่างๆหน้าห้องจะเขียนกำกับแผนกไว้มองไปภายในเห็นเจ้าหน้าที่กำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้น
เมื่อถึงห้องที่เขียนไว้เป็นห้องประชุมซึ่งมีเจ้าหน้าที่สาวนั่งประจำโต๊ะ  ชายหนุ่มแสดงเจตนาว่าขอเข้าร่วมประชุม
เจ้าหน้าที่สาวคนนั้นมองเขาด้วยใบหน้าแปลกใจ พร้อมถามชื่อนามสกุล เมื่อชายหนุ่มแจ้งไปให้ทราบ หญิงสาวคนนั้น
ก็แสดงสีหน้าตกใจรีบยกมือไหว้  ชายหนุ่มรับไหว้ตอบพร้อมรีบเข้าไปรายงานทันที  สักครู่หนึ่งเจ้าหล่อนออกมารีบก้มตัว
น้อมเชิญชายหนุ่มพร้อมทั้งเปิดประตูห้องเพื่อให้เขาเข้าไปข้างใน
          ภายในห้องประชุมจัดไว้เป็นโต๊ะยาวเรียวกลม บนโต๊ะจัดเรียงด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้สำหรับผู้เข้าร่วมประชุม
  แต่ละคนเป็นผู้มีอายุมากเกือบทั้งสิ้น  เขาเหลือบแลเห็นคุณพ่อนั่งอยู่บนหัวโต๊ะหันหน้ามองมาทางเขาพร้อมกวัก
มือเรียก  ทุกๆคนหันมามองทางเขาเป็นจุดเดียวกัน  ชายหนุ่มหันไปยกมือไหว้รีบเดินเข้าไปหาคุณพ่อ ซึ่งท่านแนะนำ
ให้ทุกๆคนทราบถึงเจตนารมณ์ของท่าน 
 “นี่คือ พีระกานต์ ลูกชายผม ซึ่งจะมาทำหน้าที่แทนผมต่อไปในวันข้างหน้า จึงขอฝากไว้ให้พวกท่านช่วยดูแลให้ด้วย”
 คุณพ่อกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พร้อมแจ้งให้เขานั่งลงยังโต๊ะเคียงข้างท่าน พร้อมหันหน้ากลับไปดำเนินการประชุมต่อ
         

				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแก้วประเสริฐ