30 กันยายน 2555 21:15 น.

* แดนพิศวง ๑๘ *

แก้วประเสริฐ


                  แดนพิศวง ๑๘
              (แผนสู้ศึกสัตว์ประหลาด)

     เวลาสายของวันรุ่งขึ้น  หลังจากที่นิรุทธ์ชายหนุ่มได้รับฟังเรื่อง
สัตว์ประหลาดที่ มีรูปร่างเหมือนคางคกจากเหล่าชาวบ้านที่เจอะ
เจอและหนีรอดออกมาได้  เขาได้ซักถามรายละเอียดบางอย่างจน
แน่แก่ใจว่าสัตว์เหล่านี้ มักจะออกมาตอนพลบค่ำอาศัยอยู่ภูเขาที่
ถัดออกไป ซึ่งมีแหล่งน้ำเป็นสระกว้างอยู่ท่ามกลางเขาล้อมรอบ
ออกมาหากินแถวๆริมสร้างเป็นส่วนมาก นอกจากฝนที่ตกปรอยๆ
จึงจะออกมาเกินกว่าบริเวณนั้น
       เพื่อความไม่ประมาทดังนั้นชายหนุ่มคิด ตั้งใจจะไปดูทำเลชัยภูมิ
ก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นจะได้หาทางตั้งรับ  หลังจากที่ประชุมแล้ว
จึงเอ่ยขึ้นว่า
     “สินธุ  ข้าได้รับฟังแล้วเห็นว่า ข้ากับเจ้ากุลาจะออกไปดูลาดเลา
เสียก่อน  เพราะวันนี้รู้สึกอากาศช่างร้อนอบอ้าวมาก ท่าทีว่าจะมีฝน
อีกประการหนึ่ง สัตว์พวกนี้เมื่อได้กลิ่นมนุษย์และลิ้มรสแล้วย่อมจะ
ติดใจและจะคงออกหาพวกเรา  เห็นทีว่าจะไปหาทำเลเสียก่อนนะ”
    “ให้ข้าไปด้วยนะนาย”  คียะเอ่ยขึ้น
     “ข้าด้วยนาย”   ภาคีก็เอ่ยเช่นเดียวกัน
     “แต่ข้าคิดว่าจะเอาแค่กุลาไป เพราะเพียงไปดูทำเลเท่านั้นส่วน
ทางนี้จะให้พวกเจ้า สินธุและผู้เฒ่าคอยควบคุมพวกเราซึ่งมีไม่มาก
หากไปจะไม่สะดวกนะ ขอบใจที่อุตส่าห์ไปป้องกันภัยแก่ข้า”
     ชายหนุ่มตอบพร้อมหันไปยิ้มแก่คนทั้งสอง ซึ่งมองมาทางเขาด้วย
สายตาละห้อย
      “สินธุได้ยินแล้วไม่ใช่หรือ  อย่าลืมเกณฑ์คนไปหาครั่งและยาง
หรือไม้ที่ใช้ในการติดไฟยิ่งได้มามากเท่าไหร่ยิ่งดี  ส่วนคนที่อยู่ให้
เร่งจัดทำคบเพลิงเพื่อจะนำมาชุบยางและลูกธนูเอาไว้ปลายผูกกับ
สิ่งที่ใช้เป็นเชื้อไฟด้วยนะ”
      “ข้าจะเกณฑ์คนไปทำตามที่นายสั่งนะ”   สินธุตอบ
      “ดีแล้วล่ะ  เมื่อไปหากำชับด้วยว่า หากมีฝนมาให้รีบกลับถ่ำ
ทันที  และสุมไฟไว้ปิดปากถ่ำด้วยล่ะ   อย่าให้ฝนตกก่อนล่ะ หากไม่
มีฝนให้รีบกลับก่อนพลบค่ำอีกด้วย”
     “ข้าทราบแล้วนาย  พลางหันไปทางเจ้ากุลา  เอ็งติดตามนายไป
แล้วคอยป้องกันนายด้วยนะเจ้ากุลา”
     “นายสินธุไม่ต้องห่วงหรอกด้วยชีวิตข้านี่แหละ”  หนุ่มร่างยักษ์
ตอบ และยกแขนที่เป็นกล้ามมัด พร้อมหันหน้าไปทางชายหนุ่มทันที
     “แล้วนายใหญ่จะออกเดินทางเมื่อใดล่ะข้าพร้อมแล้ว”
     “เห็นทีว่าเราควรจะออกเดินทางไปได้แล้วล่ะกุลา  เพราะนี้ก็สาย
มากแล้วเราต้องเดินทางไปถิ่นที่อยู่ของพวกมันก่อน เจ้ารู้ทางดีใช่ไหม???
     “ข้าไปมาหลายครั้งแล้วล่ะนายเรื่องนี้ไม่ต้องห่วงหรอก”
     “ดีล่ะ???....งั้นเจ้าออกเดินทางได้แล้ว
     “สินธุอยู่ทางนี้อย่าลืมล่ะ  คียะและภาคีด้วย  รีบช่วยๆกันจะได้
มีทางป้องกันมันไว้”
     “จ๊ะนายคียะพร้อมแล้วล่ะ”
     “ขอให้นายเดินทางระวังตัวด้วยนะทางมันลำบากมาก”
     “ขอบใจทั้งสองมากไม่ต้องห่วงหรอก อย่างไรก็จะรีบกลับมา”

         ชายหนุ่มพลางลุกขึ้นและตบไหล่เจ้ากุลาหันไปทางทุกๆคน
เห็นทุกๆคนต่างมีท่าทีกระเหี้ยนกระหือมาก  เขาคิดว่าศึกครั้งนี้เห็น
ทีจะไม่เป็นไปตามความคิดเสียแล้ว  ด้วยแต่ละคนแม้จะมีจิตใจ
กล้าหาญก็จริง แต่สายตาบ่งบอกออกมาชัดว่าเกรงกลัวต่อสิ่งเหล่านี้
มากๆเสียด้วย   
          ดังนั้นชายหนุ่มจึงเดินนำหน้าไปยังที่ปากถ่ำพร้อมกับกุลาทาง
ด้านหลังมีคนมาคอยส่งจำนวนไม่มากนักที่เป็นชาย นอกนั้นเป็น
หญิงและเด็กผู้เฒ่า  เขาคำนวนจำนวนพอๆกันแหละ  การวางแผนไว้
ให้เขากลับมาก่อนจะต้องวางกำลังคนใหม่เสียแล้ว  
         เมื่อเลยปากถ่ำมาเขาแหงนหน้ามองท้องฟ้า  อากาศที่นี้มีหมอก
เมฆปกคลุมทำให้อากาศชุ่มชื้นตลอดเวลา  อันเป็นแหล่งที่เจ้าคางคก
ประหลาดชอบมาก   เขาคิดในระหว่างเดินทางกับกุลาผู้เฒ่าบอกว่า
เจ้าสัตว์ประหลาดนี้เกรงกลัวความร้อนมาก  หากมันมาเป็นพันๆตัว
ทางนี้จะป้องกันอย่างไร  ชายหนุ่มรู้สึกมึนหัวตืบทันที  พลาสะบัด
หัว คิดไปทำไม  ไว้ให้เกิดเหตุการณ์ก่อนค่อยคิด  พลางสลัดความ
คิดแล้วรีบเดินตามเจ้ากุลาร่างยักษ์ไปทันที 
           ทางเดินเป็นทางแคบๆเต็มไปด้วยต้นไม้อันสูงใหญ่ปกคลุมไป
ทำให้พื้นดินแฉะและเต็มไปด้วย  ทากและปลิง แต่ละตัวขนาดใหญ่
เท่ากับท่อนไม้เท่าข้อมือเห็นจะได้   เจ้ากุลาพลางหันมาเอ่ยขึ้นว่า
     “นายๆที่นี่มัสัตว์พวกทากและปลิงที่ชอบดูดเลือดมาก  
ให้นายเอาไอ้นี่เสียบไว้ที่ใบหู 
 กลิ่นมันจะป้องกันสัตว์พวกนี้ได้ รีบทำเข้านาย”
     “อะไรหรือกุลา”  เมื่อเขายื่นมือไปรับแล้วมาพิจารณาดูเห็นเป็น
ท่อนไม้สีดำๆแต่มีกลิ่นฉุนมากๆ
     “ว่านยานะนายพวกนี้มันกลัว  หากมีว่านนี้เกิดที่ใดพวกสัตว์ดูด
เลือดนี้จะไม่มีแม้แต่ตัวเดียว  พวกข้าใช้เวลาเข้าป่าไปหาอาหารนะ
จึงพบและแปลกใจ ได้ทดลองโยนใส่มัน ปรากฏว่ามันทิ้งตัวห่อ
ทันที  หากมันกระทบจะดิ้นแล้วตายตายและที่ไม่โดนจะรีบหนีไป”
      “เอาเถอะ กุลารีบๆหน่อยต้องลัดเลาะเขาไปอีกไกล ไหมเดี๋ยวจไม่มีเวลากลับมาไม่ทันก่อนพลบค่ำนะ”
     ทั้งสองต่างแหวกต้นไม้ด้วยมีดที่นำติดตัวมา และออกเดินทาง
ลัดเลาะไปฝ่าพงไม้แปลกประหลาดเพราะไม่ได้เดินไปตามทางเดิน
ที่ใช้สัญจรไปมา  สักครู่ก็ถึงเนิน  ชายหนุ่มมองดูบนเนินเป็น
ทัศนียภาพอันสวยงามมาก ไหนเลยจะเป็นดินแดนแห่งอันตรายไป
ได้หากเขาไม่รู้คงจะเพลิดเพลินไปกับทัวทัศน์เหล่านี้  เป็นภาพที่มอง
ลงไปยังหุบผามีพืชที่ออกดอกตามคาคบ และบริเวณตามต้น ดอกแต่
ละดอกช่างใหญ่โต และหลากสีสรร  ไกลๆโน้นเป็นสายธารน้ำตก
ไหลลงมายังแอ่งน้ำอันกว้างใหญ่มาก  ริมๆสระน้ำเป็นหินหลากสี
ตระการตาไปหมด  เขามองไปยังเท้าก็มีหินสวยๆเหล่านี้จึงก้มหยิบ
เอามาดู  ใช่แล้วมันเป็นหินพลอยต่างๆที่ยังไม่ได้เจียรนัยเป็นก้อนๆ
       เขามองไปยังเบื้องหลังเขาที่จะไปเป็นภูเขาสูงใหญ่ไกลลิบๆ
 เขาสะดุ้งในใจ  อะไรนี่นั่นเป็นปลายปล่องของภูเขาไฟนี่นา 
เอ๊ะแต่ทำไมบริเวณนี้จะมีภูเขาไฟหรือ  
นี่เป็นดินแดนอะไรกันคงจะไม่ใช่เนปาลแน่ๆ
เขาสะดุ้งเมื่อแขนถูกกระตุกเบาๆ  จึงหันไปมองเป็นเจ้ากุลากำลัง
ชี้มือไปยังภูเขาอีกลูก พร้อมเอ่ยขึ้นว่า
     “นายๆที่นั่นแหละคือที่ไอ้พวกคางคกประหลาดมันซ่อนตาม
โพรงหินอาศัยอยู่”
     “ที่นั่นข้ามองดูแล้วมันผนังสลับกันไปๆมาคงจะเป็นถ่ำใหญ่น้อย
กระมัง”
     “ใช่แล้วนายข้าเคยหลงไป กว่าจะหนีออกมาได้แทบตายเชียวนาย
และกว่าจะรักษาตัวได้ใช้เวลานานๆเป็นเดือนเชียวล่ะนาย
เพราะกว่าจะรู้ตัวมันมาเป็นร้อยๆ มันกระโดดทีไกลมากเสียด้วย ดี
นะที่ข้าคงยังไม่ถึงที่ตาย   นึกถึงคำผู้เฒ่าได้นี่แหละถึงรอดมาได้มัน
กลัวมากๆเสียด้วย   หากมันมากันแยะเราจะทำอย่างไรล่ะนาย ลำพัง
แต่ละตัวมันใหญ่ๆกว่าคนเราเสียอีก”
     คำพูดของเจ้ากุลาทำให้เขานิ่งอึ้งไป จริงซินะหากมันมาเป็นร้อยๆ
พันๆล่ะ  พวกเขาก็มีกันไม่ถึงร้อยคนเลย  แต่แล้วแว๊ปหนึ่งผุดขึ้นมา
ในสมองเขาชั่วประเดี๋ยวเดียว  เขายิ้มกับตัวเองใช่ล่ะเห็นทีต้องอาศัย
สิ่งนี้แหละถึงจะกำจัดมันได้หมด  หากการต่อสู้กันตัวต่อตัวยากยิ่ง
นักที่จะเข่นฆ่ามันหมดได้

     “นายยิ้มอะไรหรือ????....”
     “ไม่มีอะไรหรอกกุลา  ข้าดูเห็นทิวทัศน์สวยงามมาก มันช่างสวย
จริงๆนะ”   เขาต้องรีบปัดคำพูดที่จะเอ่ยบอก
     “นั่นซิข้านึกว่านายหาหนทางได้แล้วเสียอีก”
     “รีบไปเถอะกุลา  ข้าจะมองดูบริเวณรอบๆสักหน่อย”
    แล้วทั้งสองก็รีบลงจากเนินสูงลัดเลาะไปตามไหล่เขา  สักครู่ใหญ่
ก็มาถึงบริเวณสระน้ำ  น้ำช่างนิ่งสนิทใสมองเห็นก้อนสล้างที่ลึกได้
แต่ประหลาดใจที่หากมีน้ำต้องมีปลา แต่นี่จะหาปลาสักตัวไม่ได้เลย
ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม  หรือว่าเจ้าสัตว์นี้จะมากินเสียหมด 
 อืมๆๆอาจจะเป็นไปได้นะ เขาคิดพลางสาดสายตาไปทั่วๆบริเวณนั้น
         ดังนั้นทั้งสองจึงเดินลัดเลาะไปตามสระใหญ่กว้างขวางมากไป
จนถึงบริเวณภูเขาซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก  เห็นเจ้ากุลาหยุดชะงักพรืดพร้อม
ทั้งชี้ไปตามผนังภูเขาทันที
     “โน่นนายนี่แหละไอ้พวกนี้มันอยู่แต่กลางวันมันจะไม่ออกมา
หรอก  จะออกหาอาหารตอนพลบค่ำเท่านั้น”
     “อ้าวๆๆ???...เราก็เดินไปดูใกล้ๆมันซิ”   คราวนี้ไอ้กุลามันมี
อาการทันที
     “ข้าว่านายดูที่นี่ก็ได้ข้าแลเห็นตามผนังที่มืดๆคล้ายมีตาหลาย
ดวงกำลังจ้องมองมาทางเราอยู่นะนาย”  
      คราวนี้ชายหนุ่มตั้งสมาธิหันไปมองดูตามผนังอย่างละเอียดที่
เป็นมุมค่อนข้างมืด  จริงๆสินะมันมีลักษณะดวงตาสัตว์สีเขียวกำลัง
สายไปมา บางครั้งก็ดับวูบไปใหม่มาเรื่อยๆ   เห็นดังนี้แล้วเขาก็วาง
แผนการณ์ในใจ ทันทีรู้แล้วว่าจะต้องทำอย่างไรดี  หากเขาคิดไว้เป็น
ผลแน่ล่ะจะต้องไม่ต้องเสียจำนวนคนเข้าต่อสู้เป็นจำนวนมากเลย แต่
ทว่าจะหาทางล่อหลอกมันได้อย่างไรเล่าเท่านั้นเอง
     “นายรีบถอยด่วนบางตัวมันออกมาแล้วนาย  รีบกลับกันเถอะ????
เดี๋ยวจะไม่ทันนะมันกระโดดได้ไกลและเร็วด้วย”
    ใช่ซิบางตัวมันออกมาจากถ้ำประมาณเกือบสิบตัว  เพราะท้องฟ้า
มืดคลึ้มเนื่องจากเมฆบังแสงอาทิตย์อีกต้นไม้รอบๆใบใหญ่ปกคลุม
ทำให้บริเวณที่เขายืนอากาศสลัวๆทันที
    “ถอยกุลารีบกลับทางเก่า  ให้เจ้าอยู่ข้างหลังข้านะอย่าแยกเป็น
อันขาดจำไว้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
    “นายจะสู้กับมันหรือ ข้าว่าอย่าดีกว่าเราไม่ได้เอาไฟมาด้วยนาย”
   “เถอะนะข้าจะทดลองดูสักตั้งหนึ่ง เพื่อจะได้ช่องทางกำจัดมันได้
ไม่ต้องเสียคนมากมายนะ เร็วๆเข้ากุลามันกระโดดได้ไกลและเร็วด้วย  อย่าชักช้าจะไม่ทันการณ์นะ”

     ว่าแล้วเขาก็ดึงเจ้ากุลาให้ลอยจากฟื้นแล้วเหินเหนือพื้นดินหลอก
ล่อมัน   เจ้าสัตว์ร้ายเมื่อกระโดดไม่กี่ทีก็มาถึงเบื้องหน้าชายทั้งสอง
มีประมาณ ห้าหกตัว แต่ละตัวมันใหญ่มาก หนังมันเป็นตะปุ่มตะป่ำ
แต่หัวมันใหญ่โตอ้าปากมาคล้ายฟันของกิ่งก่าไม่ผิดเพี้ยนเลย  
   ชายหนุ่มรีบดึงร่างเจ้ากุลาเหินละลิ่วไปอย่างรวดเร็ว เจ้าสัตว์นี้ก็ติด
ตามมาอย่างไม่ลดละ  กลิ่นเหม็นเขียวกระจายฟุ้งคละเคล้าบริเวณนั้น
ไปทั่ว   เมื่อขึ้นมายังเนินได้แล้วชายหนุ่มก็วางเจ้ากุลาลง  เจ้ากุลาก็รีบ
ดึงหน้าไม้ออกมาพร้อมลูกขึ้นสายพาดทันที เมื่อได้ระยะมันก็ปล่อย
หน้าไม้ออกไปถูกยังเจ้าสัตว์นี้ตัวแรก แต่หน้าไม้ดอกแรกหาได้ทำ
อะไรมันได้ไม่ มันพรวดทีเดียวก็จะถึงตัวเจ้ากุลาและเขาแล้ว แม้เจ้า
กุลาขึ้นหน้าไม้ได้อย่างรวดเร็ว และยิงออกไปถี่ยิบก็ตาม  ตัวแรก
ถูกลูกดอกประมาณสี่ห้าดอกถึงจะทรุดตัวลง แล้วค่อยๆหงายท้อง 
เสียงร้อยก้องของมันก็ดังกังวานไปทั่วบริเวณหุบเขา
     “แอ๊บๆๆๆๆ.....ๆๆๆๆ....ๆๆๆๆๆ...”      ระงมไปทั่วตัวที่ได้ยิน
ก็พุ่งร่างเข้ามาทันที  ชายหนุ่มก็รวบรวมพลังงานตะหวัดมือเป็นรูป
วงกลม บัดดลก็บังเกิดเป็นลูกไฟสีฟ้าขนาดใหญ่หมุนวนไปมาในฝ่า
ของเขา  ชายหนุ่มผลักลูกไฟที่ประกอบด้วยกระแสไฟฟ้าเสียง
กึกก้องคำรามปานประหนึ่งสายฟ้าคำรามทันที  แสงของรูปทรงกลม
ก็พุ่งไปยังสัตว์ประหลาดตัวแล้วตัวเล่า วิ่งจากตัวนี้ไปยังตัวโน้น
ตัวใดที่โดนประจุไฟฟ้าก็ถึงกับร่างมันดำเป็นตอตะโกทันที พร้อม
ด้วยเสียงคำรามกึกก้องของสายฟ้าที่วิ่งไปๆมา   ชายหนุ่มรีบสร้างลูก
กลมไปอีกหลายๆลูกผลักไปยังเหล่าสัตว์ร้ายทันที     เสียงร้องของ
มันกระจายไปทั่วหุบเขา พร้อมกับมีเสียงร้องตอบรับดังใกล้เข้ามาอีก
     ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเองเขารู้แล้วว่าจะปราบเจ้าสัตว์ร้ายนี้ได้อย่างไร
หากเขาสามารถล่อมันให้มารวมตัวกันได้  ทันใดนั้นเขาต้องอ้าปาก
ค้างไปทันที  เพราะเหมือนเจ้าสัตว์ร้ายจะรู้ทันความคิดเขา  เพราะมัน
หาได้รวมตัวกันมาเป็นฝูงๆต่างแยกย้ายกระจายดาหน้าเข้ามาทันที
    ทันใดนั้นเหล่าสัตว์เหล่านี้ต่างพ่นควันสีขาวๆเทาๆออกมาจากปาก
ยางมันก็ไหลซึมออกมาจากตะปุ่มตะป่ำ ไหลชะโลมทั่วร่างมันเพื่อจะ
ป้องกันตัวมันไว้  แต่ทว่าอำนาจของกระแสไฟฟ้ามันมิอาจต้านทาน
ได้  เพราะไม่ใช่ไฟธรรมดาดังนั้นพวกมันต่างล้มตาย และก็เข้ามา
เสริมอีกเป็นจำนวนมาก ลำพังเขาเองนั้นเรื่องการหนีคงจะไม่เท่าไหร่
แต่เขาห่วงเจ้ากุลานั่นเอง ต้องคอยปัดปกป้องให้มัน  แม้ว่าเจ้ากุลาจะ
ยิงลูกดอกออกไปปะทะมัน แต่ก็เหมือนเอาไม้จิ้มฟันไปกระทบตัว
มันและหาได้เกรงกลัวลูกดอกของเจ้ากุลาก็หาไม่แม้ลูกดอกแต่ละ
ลูกจะฉาบไปด้วยยาพิษก็ตาม แต่กับสัตว์อื่นคงพอจะทำเนาแต่กับเจ้า
สัตว์เหล่านี้พิษหาได้ทำอันตรายแก่มันได้เลย นอกจาก ตัวใดที่ถูกเข้า
ในส่วนสำคัญจังๆและหลายๆดอกเท่านั้นเองถึงจะหยุดมันได้  หาก
ลำพังเข้ากุลาเห็นจะต้องเสียทีแก่มันแน่นอน   เจ้ากุลายิงลูกดอกไป
จนหมด  แล้วรีบชักดาบออกมาเขารู้ทันทีว่าเจ้ากุลาคงจะหมดลูกดอก
เสียแล้ว จึงชักดาบออกมาเช่นนี้
     “นายๆๆต้านไม่ไหวแล้วหาทางหนีดีกว่านาย”  เสียงเจ้ากุลาปาก
คอสั่น หน้าตาเหลิกหลักมองหาทางจะหนี
     “ไปๆๆๆกุลาเกาะข้าไว้ให้ดีๆนะอย่าปล่อยมือจากข้าเสียล่ะ”
     “นายจะฝ่ามันไปได้อย่างไร  มันมากันเต็มไปหมด”
     “เดี๋ยวเจ้าก็รู้เองแหละน่า เฉยๆไว้ไม่ต้องพูดอะไรเดี๋ยวควันของ
มันจะเข้าปากเสียก่อน”
      เขาคิดว่าเจ้ากุลาคงคิดไม่ถึงเพราะตอนแรกเขาลากมันเหนือพื้น
ดินเล็กน้อย ระหว่างหนีมันคงไม่สังเกตุว่าเขาทำกับมันอย่างไร  เขา
รีบจับร่างเจ้ากุลาแล้วดึงขึ้น  เสียงร้องแอ๊บๆๆๆดังก้องไปทั่วบริเวณ
นั้น  มันคงมามากมาย  หากเขาจะจัดการแบบเก่าคงจะไม่ได้ผลแล้ว
เพราะมันมีมากๆเสียด้วย ลำพังเขาคนเดียวก็เอาตัวรอดได้หรอก แต่
นี่มีเจ้ากุลามาด้วย  หนีอย่างเดียวเขาคิดแล้วค่อยตั้งหลักใหม่ เมื่อคิด
ได้เช่นนี้แล้ว เขาก็ดึงเจ้ากุลาเหินไปบนฟ้าทันที  มีร่างเจ้ากุลาห้อย
ต๊องแต่งๆๆ  เจ้ากุลาตาเหลือกถลนเมื่อรู้ตัวว่านายมันทำอะไรกับมัน
มันคิดไม่ถึงว่านายมันจะมีฤทธิ์ได้ถึงเพียงนี้  ตอนแรกก็คิดนึกสบ
ประมาทอยู่ในที  ด้วยเห็นร่างนายมันเล็กกว่ามันมากถึงจะมีร่างกาย
กำยำด้วยกล้ามเนื้อก็ตามที   บัดนี้มันรู้แล้วว่านายมันไม่ธรรมดา
ความจงรักภักดีก็ทวีขึ้นเป็นเงาตามตัว  

        ร่างของชายหนุ่มก็ลอยขึ้นเหนือควันพิษที่เจ้าสัตว์ร้ายพ่นออกมา
แต่มันดุร้ายไม่ยอมง่ายๆ  บางตัวกระโดดใส่ร่างของเขาดังนั้นเขาจึง
ใช้มือข้างเดียว รวบรวมพลังได้เป็นวงกลมเล็กๆผลักใส่พวกมันที่ต่าง
กระโดดใส่เขาทันที เสียงฟ้าคำรามพร้อมกับวงกลมสายฟ้าได้พุ่งเข้า
ใส่ร่างมันกระเด็นตกลงไปไหม้เกรียมเหมือนกับฟ้าผ่าไม่ผิดดำเป็น
ตอตะโกไป  แต่หาทำให้พวกมันเกรงกลัวก็หาไม่
กลับกระโดดใส่เขาอีก  ดังนั้นเขาจึงรีบเหินฟ้า
พร้อมด้วยร่างของกุลาขึ้นสูงลอยละล่องหนีไปทันที  
 มุ่งหน้าหนีเจ้าสัตว์ร้ายเหนือยอดไม้ไปตามทางเดิมที่มา
       สักครู่ใหญ่เสียงของสัตว์ร้ายก็หายลับไปกับสายตาพร้อมทั้งเสียง
ร้องของมัน  ชายหนุ่มก้มหน้าไปมองไม่เห็นร่องลอยของสัตว์เหล่านี้
ก็รีบเหินลงยังพื้นดินทันที  พอร่างทั้งสองสู่พื้นดินแล้วเจ้ากุลาก็หงาย
ร่างมันมันทิ้งตัวลงบนต้นหญ้าพร้อมทั้งพ่นเป่าลมออก มันลืมตา
โพลงพลางขยี้นัยน์ตามัน  แทบจะไม่เชื่อเลยว่านี่เป็นความจริงที่มัน
เห็นมา  หากมันไม่ได้นายนี้เห็นทีมันต้องตกตายไปให้กับสัตว์ร้าย
นี้อย่างแน่นอน
     “นายๆๆหนีพ้นมันแล้วหรือนาย???...”  เสียงมันสั่นพร่าทันที
     “อืมมๆๆๆพ้นแล้วกุลา”  แล้วชายหนุ่มก็รีบทรุดกายลงนั่งแล้ว
เริ่มสร้างพลังรวบรวมพลังขึ้นเสริมใหม่ทันที
       สักครู่หนึ่งชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้นเห็นเจ้ากุลา จ้องมองเขาเขม็งด้วย
อาการประหลาดใจ  เขาก็หัวร่อเบาๆแล้วเอื้อมมือตบไปบนไหล่อัน
เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ  กล่าวขึ้นว่า
      “รีบไปเถอะกุลา  เดี๋ยวพวกเราจะเป็นห่วงนี่ก็บ่ายมากแล้วล่ะ”
      “อ้อๆๆที่เจ้ารู้นะอย่าปริปากบอกใครเด็ดขาดล่ะ รู้ไหมกุลา”
      “ขอรับนาย  แม้แต่นายสินธุ์ด้วยหรือ????”
      “ถูกแล้วไม่ว่าใครๆทั้งสิ้นห้ามเจ้าพูดออกไปเด็ดขาด”
      “ทำไมหรือนาย?????”
      “ข้าไม่ต้องการให้ใครรู้ หากเจ้าพูดออกไปเขาก็ไม่เชื่อเจ้าด้วยอีก
อย่างจะทำให้พวกเราเสียขวัญไปหมด อย่าลืมล่ะ”
     “ขอรับนาย รับรองว่าไอ้กุลาจะไม่พูดเด็ดขาด แต่ทว่า????”
     “อะไรหรือกุลา  ทำหน้าขมวดเช่นนี้เล่า”
     “อ่าๆๆๆนาย.....เหลือเชื่อเหลือเกิน....หากข้าไม่สบด้วยตัวเอง
ข้าเป็นวันไม่เชื่อเด็ดขาด ว่านายเหาะเหินบนอากาศได้ ซ้ำยังมีฤทธิ์
สร้างอะไร???ก็ไม่รู้เวลานายปล่อยไปคล้ายๆสายฟ้าวิ่งๆไปๆมาๆได้
อีกด้วย เมื่อมันโดนไปไหม้ดำเป็นตอตะโกไป เขาเรียกอะไรหรือนาย??”
      ชายหนุ่มมองหน้าเจ้ากุลาเขม็ง จนเจ้ากุลาต้องหลบตาแล้วเอ่ยว่า
      “หากลำบากแก่นายไม่ต้องบอกก็ได้นาย”
      “ไม่ใช่อย่างนั้นกุลา  หากข้าบอกเจ้าไปเจ้าจะรู้หรือเปล่าเท่านั้น”
       “หากเป็นเช่นนั้นไม่ต้องก็ได้นาย เพียงข้าอยากรู้ไว้เท่านั้นเอง”
       “อืมม???...ก็ได้กุลาเขาเรียกว่ารังสีครอสมิคฟิสิกซ์ ซึ่งเป็นที่รวม
ของพวกอะตอมโมเลกุลนิวเครียสทั้งหลายมีอานุภาพด้วยประกอบ
กับใช้เวทย์มนต์เข้าหล่อหลอมเป็นพลังงานชนิดหนึ่งสามารถนำมา
ใช้ได้ ทุกๆคนหรือสัตว์ต่างๆย่อมมีประจุกระแสไฟฟ้าในตัวเอง  หาก
รู้จักนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ก็กลายเป็นพลังงานอันทรงอานุภาพ
มากมาย  แต่ต้องประกอบด้วยวิธีการหลายๆอย่างจึงสามารถทำได้
ข้าเพียงบอกให้เจ้ารู้คร่าวๆเท่านั้นเอง”
       “รังสีครอสๆๆๆๆ???....?????”   มันอุทานออกมา
        “ขนาดนายบอกมานี่ข้าก็งงเป็นไก่ตาแตกไปแล้วนาย ไม่ต้อง
บอกอีก ถึงบอกข้าก็ไม่รู้”
       ชายหนุ่มหัวร่อเบาๆๆ พลางตบไหลมันกระตุ้นขึ้นว่า
        “ไปเถอะกุลาเดี๋ยวพวกเราเป็นห่วง อย่าลืมที่ข้าสั่งไว้เสียล่ะ”
         “ไม่ลืมหรอกนาย  ข้าเป็นคนมีสัตย์รับปากใครแล้วต้องทำให้
ได้นาย  ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก  ออกเดินทางกันเถอะนาย”
          “อืมมๆๆไปเถอะกุลา”
    แล้วทั้งสองก็ลุกขึ้นแล้วย้อนเดินทางกลับไปยังถ่ำที่พวกเขาอาศัย
อยู่เพื่อหลบภัยจากสัตว์ร้ายนี้  ทั้งสองเดินไปอย่างรวดเร็วจนพ้นแนว
ทะลุพ้นป่าเข้าสู่ทางเดินปกติธรรมดา....................

                       *  แก้วประเสริฐ. *

117684ygkpzfr3jr.gif				
26 กันยายน 2555 19:00 น.

* น้ำตาไอ้หนุ่มลูกทุ่ง *

แก้วประเสริฐ


               น้ำตาไอ้หนุ่มลูกทุ่ง

          ตะวันรอนท้องฟ้าสีแดงสลัวของสายัณห์ที่ทอดเข้ามา
อากาศค่อนข้างเยือกเย็น  เป็นฤดูของเปลี่ยนแปรตามกาล
ท้องฟ้าเริ่มมืดคลึ้ม  สายลมพัดค่อนข้างรุนแรง
ขอบฟ้าเริ่มทมึนปกคลุมไปด้วยเมฆจำนวนมากที่ลอยละล่อง
หมุนสลับไปๆมา  ปลายแห่งขอบฟ้ามีสายวิชชุแปลบปลาบ
เป็นบางครั้ง  แล้วค่อยๆทะยอยปกคลุมไปทั่ว
         ท้องฟ้าเริ่มมีเสียงคำรามกึกก้องประปราย  ใบไม้เริ่มลู่ลม
มากยิ่งขึ้น พร้อมกับมีสายฝนโปรยเป็นระยะๆ   ใบข้าวที่กำลัง
ตกเขียวชะอุ่มเริ่มลู่ไปตามกระแสลม
          ร่างของชายคนหนึ่งนุ่งผ้าขาก๊วยที่เอวรัดไปกับผ้าขะม้าเป็น
ปมชายย้อย แต่ก็ปลิวไหวไปๆมาๆตามสายลมที่กระโชก ตอนนี้
เริ่มรุนแรงยิ่งขึ้น
          เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้า  ซึ่งเริ่มโปรยละอองฝนลงมาเปียก
ตามใบหน้าและร่างกายที่ไม่ได้ใส่เสื้อ อกเป็นกล้ามมัดๆสมบูรณ์ยิ่ง
ยืนกอดอก  รู้สึกว่าจะไม่ยี่หระต่อสายฝนที่เริ่มโปรยมาอย่างหนัก
           “ไอ้โชติโว้ยๆ ไอ้โชติมึงยังไม่กลับบ้านหรือนี่ฝนก็เริ่มจะตก
อย่างแรงแล้วนะว๊ะ”
             เสียงร้องตะโกนมาจากแปลงนาอีกผืนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆกัน 
ชายหนุ่มรูปร่างทะมัดทะแมง หันไปมองพร้อมตะโกนตอบ
            “ยังหรอกน้าแจ่ม  ข้าว่าจะรอให้ฝนตกมากกว่านี้ค่อยกลับ
อากาศมันร้อนมากๆเสียด้วยวันนี้ มีฝนตกก็ดีนาจะได้รับน้ำไปเลี้ยง
ต้นข้าว   ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนนานี่แหละน้า”
            “เออๆๆๆใช่ว๊ะ  ไม่รู้มันร้อนผิดปกติมาตั้งแต่เช้าแล้ว  ข้าว่า
ฝนตกก็ดี มันแล้งมาหลายวันแล้ว  แล้วมึงไม่ออกไปหาเขียด หากบ
ปลาเก็บไว้หรือ  เพราะน้ำใหม่ปลาและสัตว์มักจะออกมาเล่น
น้ำใหม่  จะได้เก็บไว้ขายและกินวันหลังว๊ะ”
             “นี่ข้าก็คอยดูแหละน้า  เพราะยังไม่รู้ว่าฝนจะตกนานหรือ
เปล่าเพราะว่าเป็นฝนทิ้งช่วงเสียด้วย”
               “แต่ข้าว่ามันเอาแน่นะโว้ย  มันอั้นมานานแล้ว”
เสียงร้องตะโกนข้ามนา แต่ไม่ห่างไกลมากนัก
               “แล้วน้าว่ามันจะนานไหมล่ะ???”
               “ข้าว่านะคงจะนาน  เพราะว่าเอ็งดูเมฆซิมันมาทุกๆด้านเลย
อีกอย่างหนึ่ง มันอั้นทิ้งช่วงแล้งมานานแล้ว”
                “ข้าก็คิดอย่างน้าแหละ แต่ขอดูและอาบน้ำใหม่ให้ชื่นใจ
สักหน่อย แล้วค่อยเข้าบ้าน ไปลองน้ำฝนเก็บไว้ก่อนจะออกหาปลา
ด้วยต้องปล่อยให้ฝนล้างหลังคาเสียก่อน  สิ่งสกปรกจะได้ออกมา”
                 “ตามใจเอ็งว๊ะ  ข้าไปก่อนนะโว้ยว่าเดี๋ยวให้ยายม่อมมัน
เตรียมเครื่องแกงสำหรับต้มปลา สักหน่อย แล้งปากมานานแล้ว”
                  “อ้าวแล้วมึงล่ะ ข่าวว่าอีเรียมมันหายหัวไปกรุงเทพฯนะ
มีวี่แววจะกลับมาหรือเปล่าล่ะ????”
         คราวนี้คำพูดของชายกลางคนทำให้หนุ่มถึงกับสะอึก  อึกอักไป
ก่อนจะตอบว่า
                  “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันน้า   เขาคงจะได้ดิบได้ดีแล้วล่ะ จึง
ลืมท้องทุ่งไป  แต่ช่างเถอะน้าจะให้ข้าไปตามหรือ ข้าก็ไปไม่ถูกเขา
ว่ากรุงเทพฯมันใหญ่โตกว้างขวางเสียด้วย  มีรถราเยอะแยะเดี๋ยวทำ
ให้ข้าเวียนหัวเปล่าๆ”
                   “นั่นซิข้าก็ได้ยินไอ้จ้อยมันเล่าให้ฟังเพราะมันพึงจะกลับ
มาเยี่ยมว๊ะ”
                    “แล้วมันไปทำงานอะไรที่กรุงเทพฯหรือน้า”
                   “เห็นมันบอกว่าเป็นลูกมือจ้างของอู่ซ่อมรถยนต์ว๊ะ แต่
บอกเหมือนกัน  แต่ข้าไม่รู้จัก  ว่าแต่ว่าเถอะว๊ะ อีเรียมมันก็ใจดำนัก
นะมันทิ้งผัวไปไม่ใยดีเอาเสียเลย   ปล่อยมันไปเถอะว่าไอ้โชติ
  ผู้หญิงส่วนมาก็แบบนี้แหละว่า   อีดาปลายโค้งโน้นก็หนีผัวไป
เหมือนกันเขาว่าไปเป็นหางเครื่องวงอะไรข้าก็ไม่รู้ว่า  มันชอบเพลง
ลูกทุ่ง     หากทำงานอื่นมันก็ทำไม่ได้หรอกไม่มีความรู้อะไร แต่มัน
เชื่อเพื่อนมัน  มันชอบเต้นๆรำๆ เฮ่อๆๆๆแม่มันบ่นเสมอเวลาข้าไป
เยี่ยมนะ  ว่าไอ้แดงอีดามันทิ้งไปไม่ยอมส่งเงินทองมาให้เลย นางแม่
มันกล่าวปรึกษาข้า  ไอ้ข้าหรือก็ไม่รู้จะช่วยมันอย่างไรนอกจากแบ่ง
ข้าวที่ทำได้ให้มันหุงกินและหาปลาได้ก็แบ่งให้เพราะสงสารว๊ะ”
                 “นั่นซิน้า  นางเรียมมันก็ไม่มีความรู้แต่มันไปเชื่อเพื่อน
ข้าเองก็ทัดทานมันแล้วมันไม่ฟัง มันเปลี่ยนไปมากตั้งแต่หลงวิทยุ
ที่มันโฆษณาและหนีข้าไปเมื่อไหร่ข้าก็ไม่รู้ไม่ได้บอกกล่าวอะไรเลย
ตื่นนอนมามันหายไป  เขียนจม.บอกว่าจะไปหาเงินที่กรุงเทพฯแล้ว
จะส่งเงินมาให้เหมือนกันนับแต่มันหายไป  ไม่ได้ข่าวคราวมันเลยไม่
รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร  ตอนแรกข้าเองก็ทำใจไม่ได้  บอกแก่น้าตรงๆ
ไม่อายหรอก ข้าร้องไห้ทุกๆคืนเลย ยามอยู่คนเดียวแบบนี้ มันเหงา
จริงๆ นึกว่าเวรกรรมของข้าจะหาใหม่หรือมันยังรักอยู่เลยทำใจไม่ได้
ทั้งๆทีอีสาวบ้านคุ้งโน้นมันก็ให้ท่าให้ทางแก่ข้าจ๊ะน้า”
               “นั่นซิไอ้โชติเอ๋ย   ความรักนี้นี่แหละทำให้คนตาบอดดัง
พระท่านเทศน์ไม่ผิดเลยว๊ะ  เอ็งทำใจได้แล้วมันอาจจะไปมีผัวใหม่
ก็ได้มันลืมเอ็งเสียแล้วว๊ะไอ้โชติ”
               “คงจะเป็นอย่างนั้นนะน้า นี่ก็หลายปีดีดักแล้วล่ะ”
     กล่าวเสร็จไอ้หนุ่มลูกทุ่งโชติ  ก็ยกมือเสยผมที่เปียกปอนไปด้วย
หยาดน้ำฝน  จริงซินะฝนมันซื่อสัตย์ต่อท้องนาจริงๆ แม้ว่าจะห่าง
หายไปบ้างแต่ก็ยังกลับมา   เมียกูล่ะหายเงียบไปตอนรักกันใหม่ๆ
ก็จู๋จี๋ดีให้สัญยกสัญญากันว่าจะสู้กับท้องทุ่งจวบจนวันตาย ฮึๆๆๆ
ชายหนุ่มระบายออกทางจมูก  พลางหันไปทางน้าแจ่มเพื่อจะถาม
อะไรบ้างอย่าง เห่อๆๆน้าหายไปแล้ว  แต่มันยังยืนแหงนมองฟ้าที่
ฝนเริ่มจะรุนแรงกว่าเดิมมาก  ท้องฟ้าก็คำรามสายฟ้าวิ่งไปวิ่งมาเป็น
แปลบๆ        ไอ้หนุ่มลูกทุ่งหาได้เกรงกลัวเพราะมันชินเพราะพบมา
ตั้งแต่เล็กๆแล้ว  บัดนี้มันเป็นหนุ่มมีเมียแล้วแต่ไม่มีลูก อยู่สองคน
ในกระท่อมกับอีเรียม   โถเรียมนะเรียมไม่น่าทำกับกูได้เลย  มัน
เปรยเบาๆท่ามกลางฝนฟ้าที่คะนอง  เสียงฟ้าผ่ามันมองเห็นต้นไม้
ที่ไกลออกไป เสียงดังสะท้านก้องไปทั่วทุ่ง มันรีบนั่งยองๆทันที
น่าจะผ่ามายังข้านะจะได้หมดเรื่องหมดราวเสียทีไอ้หนุ่มนึก  พลัน
นึกย้อนอดีตไปในท่ามกลางฝนที่ตกอย่างหนัก
          “พี่โชติจ๋า ปีนี้พี่คงจะเก็บเกี่ยวได้ดีนะ เห็นพี่ตั้งแต่พ่อแม่พี่
เสียไปก็ไม่มีใครนอกจากพี่ทำอยู่คนเดียวไม่หาใครมาช่วยหรือ”
          “เรียมเอ๋ยใครล่ะ???ที่จะมาช่วยเหลือพี่เงินทองหรือก็มี
ไม่มากนัก แค่พออยู่พอใช้กับท้องนานี่แหละ  เออๆๆปีนี้ได้มาก
หน่อยกำไรหลายเกวียนจ๊ะเรียม”
           “แล้วพี่มองหาใครหรือยังล่ะ???”
พลางทำตาชะม้อย  เหลือบมามองมาทางหนุ่มรุ่นกระทงอย่าง
มีเลสนัย
           “ก็มองเหมือนกันแหละเรียม แต่ว่าพี่มันบุญน้อยใครเขา
จะมาสน ได้ข่าวว่าคนที่ข้าหลงมองมันไปสนใจลูกกำนันอยู่”
            “เอ๊ะๆๆใครหรือพี่โชติ  ที่พี่มองนะแหม๋คงมีบุญมาก
หากได้พี่โชติเป็นคู่”
            “เรื่องนี้พี่ไม่กล้าบอกหรอกจ๊ะ  เขาว่าขุนเขาที่อยู่ห่างไกล
นั้นนะ บางทีอาจจะไกล้ก็ได้ หากเราพยายามแต่ความพยายามพี่
มันไร้ผลเสียแล้ว”
              “อะไรเรื่องคนมันเกี่ยวกับขุนเขาเชียวหรือ???”
              “ข้าเพียงยกตัวอย่างให้ฟังเท่านั้นแหละเรียม”
              “แล้วใครล่ะพี่ บอกเรียมไม่ได้หรือ  อิอิ หรือว่าเขิน”
พลางอีสาวก็เข้ามาเกาะแขน พร้อมทั้งเขย่าไปๆมาๆ
        ไอ้หนุ่มโชติมองตาเป็นประกาย จริงซินะหากไม่บอกตอนนี้
เห็นทีไม่มีโอกาสแน่ พลางเอ่ยขึ้นว่า
                “แล้วเรียมมีใครสนใจหรือเปล่าล่ะ???”
                “ใครจะมาสนใจเด็กบ้านนอกอย่างฉันล่ะพี่โชติ”
                “เออๆหากมีคนเกิดสนใจล่ะเอ็งจะว่าอย่างไร”
           เสียงอีสาวหัวร่อลั่น  
               “พี่นี่ช่างเย้าจริงๆนะ เรียม เองยังนึกไม่ออกเลย ทั้งๆที่มีไอ้
หนุ่มบ้านเราและหมู่บ้านอื่นมาติดพันแต่    ข้าไม่สนใจหรอกพี่
เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กๆนะ  ส่วนไอ้หนุ่มบ้านอื่นพ่อก็ไม่ตกลง
เคยมาขอเหมือนกัน  มันเป็นนักเลงหัวไม้พ่อไม่ชอบ”
               “ถ้าอย่างนั้น พี่ว่าเรียมเอ็งต้องแก่ขึ้นคานแน่เลย  ฮ่าๆๆๆ”
     ว่าแล้วไอ้หนุ่มก็ต้องสะดุ้งโหยง แล้วถอยออกมา เพราเจ้าหล่อน
เล่นหยอกด้วยการหยิกและข่วน  
              “เฮ้ยยๆๆเจ็บนะโว้ยเรียม เล็บเอ็งยิ่งคมแหลมไม่รู้จะไว้
ทำไม  ไว้เสียจนยาวแบบนี้” 
              “ไว้ข่วนพี่นี่แหละเวลาเจ้าชู้และขัดใจเรียม”
พูดแล้วก็ค้อนควักๆ ตามประสาหญิงสาว
               “หากพี่จะไปขอเอ็งกับพ่อเอ็ง  พ่อเอ็งจะว่าหรือเปล่าว๊ะ
เรียม” 
               “ฮั่นแน่ๆพี่โชติไม่ได้เชียวนะพอเปิดทางให้ ก็พรวดมา
แทบตั้งตัวไม่ทันเชียว”
               “เฮ้ยๆๆถามจริงๆว่า ถ้าข้าคิดแบบนี้เอ็งจะรังเกียจข้าหรือ
เปล่าว๊ะเรียม”
                “ให้มันจริงดังคำพูดเถอะพี่โชติ รับรองว่าข้าจะรับใช้พี่
จวบจนวันตายไม่มีวันเป็นอื่นไปเด็ดขาด”
                “จริงๆนะเรียม เอ็งพูดอย่าทำให้ข้าต้องผิดหวังนะโว้ย”
                “สาบานจ๊ะสาบาน  ข้าขอสาบานต่อหน้าเจ้าทุ่งนี่แหละพี่
หากเราสองอยู่ด้วยกัน  ข้าจะรับใช้พี่จวบจนวันตายไม่เป็นอื่น
เด็ดขาด  แล้วพี่ล่ะ”
                 “ข้าก็เหมือนเอ็งแหละว๊ะเรียม หากผิดสัญญาขอให้ฟ้าผ่า
ข้าตายในทุ่งนี้แหละ”
                 ทั้งสองหยอกเย้ากันไปตามประสาความรักขอหนุ่มลูกทุ่ง
ทั้งหลายแต่ไม่ได้ผิดผีประเพณีแต่อย่างไร
                 ชายหนุ่มหลับตาพริ้มนึกถึงอดีตทำให้เขาอดหลั่งน้ำตาเสีย
ไม่ได้ ใช่แล้วหลังจากนั้นเขาก็เริ่มขยันหมั่นเพียร ซ้ำยังไปช่วยเหลือ
พ่อของเรียมในการเกี่ยวข้าวและงานอื่นๆ จนเป็นที่รักใคร่ของพ่อ
เรียม  ดังนั้นเวลาผ่านไปไม่นานเขาก็ไปขอร้องผู้ใหญ่บ้านให้มาช่วย
เป็นพ่อสื่อสู่ขอเรียม พ่อเรียมหรือก็เมตตาสงสารและยอมยกลูกสาว
ให้อยู่กินกับเขามา เป็นเวลาหลายๆปีจวบจนบัดนี้
                  เรียมเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปตามกระแสสังคมที่เริ่มจะ
เจริญรุกเข้ามาในที่ คนบางคนขายแต่เขาไม่ยอมขายสู้กับกระแส
ความกดดันรอบข้าง  จนได้ชัยชนะจะมีก็ไม่เท่าไหร่นักที่ไม่ยินยอม
ขายที่ของปู่ย่าตาทวด  ความเปลียนแปรมีสิ่งทันสมัยเข้ามานี่แหละ
ทำให้เรียมเปลี่ยนแปลง และหายไปจากเขามารู้ก็สายไปเสียแล้ว
                ฝนแม้จะตกหนักขนาดไหนแต่ก็ไม่ทำให้ ไอ้หนุ่มโชติ
ต้องเดินกลับบ้าน  มันยืนแหงนหน้าพร้อมภาวนาให้ฟ้าผ่ามันจะ
ได้หมดทุกข์โศกจากความคิดถึงเสียที  แต่ฟ้าไม่ปราณีต่อมันเลย
หยาดน้ำไหลย้อยพร้อมน้ำตารินไหลเป็นทางสู่หน้าอกของมัน
              ใช่ซินะความรักย่อมไม่ปราณีใคร  แม้แต่มันเองที่มอบ
ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างด้วยความรัก แต่ความรักกลับกลั่นแกล้งมัน
ไอ้หนุ่มโชติรำพึง
                มันยืนกอดอกใต้สายฝนรำพึงความหลัง ครั้งในอดีต
มันและเรียมต่างช่วยกันทำมาหากิน บนผืนนาน้อยแห่งนี้แต่
เหมือนฟ้ากลั่นแกล้ง ปีนั้นนาล่มเสียหายหมด ข้าวก็ถูกเพลี้ยเข้า
ทำลาย น้ำหรือก็แล้ง ผืนนาแตกระแหง  มันแทบหมดเนื้อหมด
ตัว แต่มิใช่แค่สิ่งนี้เท่านั้น มันเสียสิ่งที่มันรักไปด้วย เรียมหายไป
พร้อมกับความแห้งแล้งและความหมดตัวของมัน
              ยิ่งคิดมันยิ่งเศร้าใจ ยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าพร้อมกับเสยผม
แม้ว่าพ่อตามันจะมาปลอบโยน แต่เขาพ่อลูกกันย่อมไม่เห็นใครดี
ไปกว่าลูกของตน  ดังนั้นพ่อตาแม่ยายจึงทำเป็นเหินห่าง เขาไปบ้าน
ต้อนรับแบบเสียไม่ได้
           ไอ้หนุ่มโชติคิดๆหรือว่าทุกๆอย่างมันจบสิ้นหมดแล้ว ความ
หลังสะท้อนใจอย่างรุนแรง  มันแทบจะฆ่าตัวตายแต่ด้วยความเป็น
นักต่อสู้ของมันทำให้มัน เริ่มต้นสร้างฐานะใหม่อาศัยพ่อผู้ใหญ่บ้าน
ที่เป็นพ่อสื่อให้มัน คอยปลอบใจมันจนบัดนี้มันเป็นคนที่มีหน้ามีตา
จัดว่าเป็นคนมีเงินทองคนหนึ่งด้วยความอุตสาหะพากเพียรของมัน
และเหมือนฟ้าเมื่อกลั่นแกล้งมันจนพอใจและกลับมาสร้างเชิดชูมัน
ข้าวมันขายได้เป็นล่ำเป็นสันราคาดีจนมันสามารถซื้อผืนนาขยายออก
ไปได้อีกหลายสิบไร่  
         ความเป็นคนที่เอางานเอาการ สาวทั้งหลายต่างพุ่งเป้ามาหามัน
แต่มันกลับกลัวสาวๆเหล่านี้ ยามใดที่มันคิดถึงเรียมสาวแรกรัก  มัน
ต้องแอบร้องไห้ เช่นวันนี้มันให้น้ำฝนช่วยชะล้างหยาดน้ำตาของมัน
ที่ไหลย้อยหลั่งรินลงบนผืนนาอันเป็นสุดที่รักของมัน  
         “เรียมเอ๋ยข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน ข้าพร้อมที่จะอ้าแขนข้ารับเจ้า
เข้าสู่อ้อมกอดข้าอีกไม่ว่า เอ็งจะผ่านสิ่งใดมา “
         เสียงมันตะโกนฝ่าสายฝนไปยังฟากฟ้าท่ามกลางเสียงคำราม
ของสายฟ้าที่วิ่งไปวิ่งมาอย่างน่ากลัว  แต่มันหาได้เกรงกลัวมันพร่ำ
รำพันถึงหญิงที่มันรักอย่างไม่อายหวาดหวั่นใดๆ
        “เรียมๆๆๆเมื่อไหร่เจ้าจะกลับมา  ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน เอ็ง
ไม่คิดถึงข้าบ้างเชียวหรือเรียม”
        เสียงพร่ำคร่ำครวญจวบจนฟ้าฝนหยุดโปรยปราย นั่นแหละมัน
ถึงลุกขึ้นด้วยท่าทางอันอ่อนล้าเหน็จเหนื่อยเหมือนทำงานหนักมา
นาน  เดินเอียงซ้ายเอียงขวาหายลับไปกับความมืด  นอกจากได้
ยินเสียงคร่ำครวญทอดเป็นระยะๆ ไปจนเสียงนั้นขาดหายไปพอจับ
ได้ความว่า
          “เรียมเอ๋ยพี่รักเอ็งมากๆนะ พี่คอยเจ้าหวังเจ้าจะมาช่วยเช็ด
หยาดน้ำตาข้าเป็นเวลานาน  เรียมอันเป็นสุดที่รักข้าเอย.”
     เสียงนี้ขาดหายไปพร้อมกลับความมืดเข้าปกคลุมอาณาเขตนั้น
ตราบนิรันดร์กาล.

                          * แก้วประเสริฐ. *

117684ygkpzfr3jr.gif				
11 กันยายน 2555 19:35 น.

* แดนพิศวง ตอน ๑๗ *

แก้วประเสริฐ


                   แดนพิศวง ๑๗
                 (สัตว์เหนือมนุษย์)

   ชายหนุ่มมองไปยังใบหน้าของสินธุ  ด้วยอาการแปลกประหลาด
ในการกระทำของเขา  แน่ล่ะใครจะคิดบ้างว่าเขาสามารถเดินเหินไป
ในอากาศได้  ด้วยเขามิได้แสดงอาการหรือบอกสิ่งใดๆแก่สินธุเลย
ย่อมเป็นธรรมดา   ชายหนุ่มหลังจากลอยลงมาตรงหน้าชายกลางคน
ที่ร่างกำยำลำสันด้วยกล้ามเนื้อ ข้อลำแขนเป็นมัดๆด้วยกล้ามเนื้ออันแข็งแกร่งพลางยื่นมือไปตบบนไหล่ เอ่ยขึ้นว่า
        “สินธุ ที่เราไม่บอกให้ทราบแต่แรกเพราะเราไม่ต้องการให้รู้
เกรงจะทำความตกใจให้แก่เจ้า แต่บัดนี้เหตุการณ์มันไม่ปกติธรรมดา
จึงได้ใช้อำนาจแห่งพลังงานที่เราสะสมไว้ในร่างกายแผ่ขยายไปสู่ยัง
ส่วนต่างๆของร่างกาย ประดุจที่เจ้าสามารถย่นย่อกระดูกได้ฉันท์ใด
ก็เหมือนกันแหละ อย่าแปลกใจไปเลย อำนาจพลังงานลี้ลับนี้เราได้
สะสมไว้เมื่อแผ่ขยายไปยังเท้าทั้งสองและร่างกาย จะแปรสภาพเป็น
อย่างใดก็ได้ เราเพียงใช้กระแสร์จิตบังคับพลังงานที่เรามีอยู่ให้
ร่างกายเราเบาประดุจดังนก จึงสามารถร่อนเหินไปในอากาศได้”
      “นั่นซินายท่าน ข้าเองก็คิดไม่ถึงตอนต้นระหว่างการสู้รบก็ไม่ได้
สังเกตุอะไรมากนัก เพราะพัวพันกับบรรดาสัตว์เหล่านี้  มันแปลก
นายก่อนที่ข้าจะออกจากหุบเขานี้ หาได้มีพวกสัตว์เหล่านี้ไม่ หลังไม่
กี่สิบปีเท่านั้น ตอนนั้นข้าออกมาก็ยังหนุ่มๆอยู่พอกลับมาก็มี
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ทำให้ข้าเป็นห่วงบรรดาพวกพ้อง ทั้งหลาย
ของข้ายิ่งนัก ว่าจะประสบเหตุเช่นเดียวกับพวกเราหรือไม่???”
     “ถ้าเป็นเหตุดังนี้ เราทั้งหมดรีบออกเดินทางไปยังที่พักท่านเถอะ
อย่ารอช้าเลย เราชักสังหรณ์ใจว่าในเมื่อท่านตอนมากับตอนนี้แตก
ต่างกัน ย่อมจะมีเหตุร้ายมากกว่าเหตุดีเป็นแน่แท้”
    “นั่นซินาย  เพียงเรารีบเดินทางก่อนตะวันจะตกดินอาจจะทราบ
เหตุการณ์ที่เราสงสัยได้ เรารีบไปกันเถอะนาย”
            และแล้วทั้งหมดก็เริ่มออกเดินทาง อากาศซึ่งหนาวเย็นเริ่มเย็น
ขึ้นตามลำดับในระยางที่ทั้งสองฝ่าออกไป ด้วยทางเดินนั้นขาดช่วง
ไปจึงจำเป็นต้องใช้อาวุธเบิกทางบรรดาต้นไม้ที่เล็กเสียก่อน   แต่
สินธุชำนาญในเรื่องนี้เพียง  เขาหยุดคิดเพ่งมองไปยังรอบๆเท่านั้น
ก็นำชายหนุ่มลัดป่าฝ่าดงไปยัง เขาเบื้องหน้า  ทั้งสองรีบออกเดิน
เพราะกลัวว่าจะมืดค่ำเสียก่อน  จะมีอุปสรรคอันตรายที่จะเกิดขึ้น
เมื่อไหร่ก็ได้ ชายหนุ่มคิดและรีบก้าวติดตามหลังสินธุไปติดๆ
         เมื่อทั้งสองหลุดพ้นแนวป่าก็เป็นทางขรุขระทอดเป็นทางไป
ทั้งสองข้างยังเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่และต้นเล็กซึ่งมีขนาดเลยหัว
เขาไปไม่เท่าไหร่นัก  ทันใดนั้นเสียงหวีดหวิวดังขึ้นคล้ายๆกับเสียง
เป่าของสิ่งของชนิดใดชนิดหนึ่งดังแผ่วก้องกังวานขึ้น  สินธุหยุด
ชะงัก  พลางล้วงไปในย่ามนำสิ่งของชนิดหนึ่งขนาดยาวเท่าฝ่ามือได้
ออกมาแล้วเป่า  เสียงหวิดหวิวก้องกังวานเป็นระยะๆหนักเบา
ต่างๆกัน   เสียงเป่าที่ได้ยินเงียบหายไปพร้อมกับความมืดได้ปกคลุม
เข้ามาแล้ว   ทางนี้ลาดไปยังเนินเขาลูกหนึ่งก็มืดพอดี แต่สินธุพลาง
ล้วงไปในย่ามหยิงประชุไฟออกมาแล้วจุดส่องเพื่อขจัดความมืด
ที่ปกคลุม  จึงเห็นเป็นทางเลือนลางทั้งหมดรีบก้าวเท้าเดินอย่างเร็ว
        บัดดลนั้นที่เนินเขาปรากฏแสงคบเพลิงที่ถูกจุดเป็นจำนวนมาก
แต่เว้นระยะห่างๆกัน  ชายหนุ่มมองเห็นหนุ่มสาวในอริยบถต่างๆกัน
และเขาแลไปยังสินธุ   เห็นชายที่เต็มใจมาเป็นบ่าวเขา  ก็ก้าวเดินไป
ยังคนเหล่านั้นต่างส่งภาษากันและกัน ชายหนุ่มฟังออกแต่เขาทำเป็น
ไม่รู้เรื่อง จนกระทั่งสินธุเดินมาถึงเขาแล้วกล่าวขึ้น
     “นายๆพวกข้ามาแล้วล่ะ จริงอย่างนายกล่าวไม่มีผิดเพราะเขา
เหล่านี้ว่า หลังจากไม่กี่ปีนี้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง เกิดกระแส
ลมหมุนเวียนมาจากยอดเขาฝั่งโน้น  พลางชี้มือทำท่าประกอบให้เขา
เห็น  เมื่อเกิดเหตุการณ์ ก็เกิดพายุและฝนกระหน่ำ  พืชไม้ต่างๆเมื่อ
ต้องรังษีที่พวยพุ่งออกมาจากฟ้า  ก็แปรสภาพดังที่พวกเราเห็นนี่
แหละ  แต่เขาบอกว่าเดี๋ยวนี้หมู่บ้านไม่มีแล้ว เพราะเกิดสัตว์
ประหลาดมากมายหลายชนิดที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเข้ามารบกวนและ
ทำร้ายกินชาวบ้านเป็นส่วนใหญ่ จนต้องพากันอพยบ   ไปอาศัยยัง
เทือกเขาเบื้องหน้า  ซึ่งเป็นถ้ำพออาศัยอยู่ได้  เมื่อไม่นานมานี้แหละ
นายท่าน อ้อๆๆเขาเหล่านี้ยังบอกว่ามีสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่ง ซึ่ง
มันร้ายกาจมาก ชอบเข้ามาทำร้ายอยู่เป็นเนื่องๆ  กำลังหาทางพิฆาต
มันอยู่   ก็พอดีได้ยินเสียงการต่อสู้จึงยกกำลังมาตรวจดูเหตุการณ์
คือการต่อสู้ของพวกเรานั่นเอง  แต่พวกเขาไปยังไม่ถึงที่เราต่อสู้กับ
สัตว์ประหลาด  ก็มีสัตว์สี่ขาจำนวนมากออกมาและอาวุธของพวก
เขาไม่สามารถทำอันตรายแก่สัตว์นี้ได้ จึงต้องรีบนำคนเข้าไปยังถ้ำ
แล้วปิดปากถ้ำเสียนาย”
         “ก็แสดงว่าพวกนี้เป็นคนในหมู่บ้านเจ้าหรือสินธุ”
         “ใช่แล้วนาย ไปเถอะเดี๋ยวข้าจะแนะนำให้รู้จักกับนายท่าน”
          “ถ้าอย่างนั้นท่านรีบนำหน้าไปเถอะนะ  ให้ไปคุยกันใน
สถานที่ของเขาก็แล้วกัน”
         สินธุหันไปป้องปากตะโกนบอกคนเหล่านั้นให้รอก่อนจะไป
หาด้วยภาษาของเขา   สักครูหนึ่งก่อนที่ทั้งหมดจะออกเดินทางก็มี
คบเพลิงสามคบ พุ่งมายังตำแหน่งที่คนทั้งสองยืนอยู่อย่างรวดเร็ว
           ชายหนุ่มเพ่งตาดูฝ่าแสงไฟ เห็นเป็นชายหนึ่งหญิงสอง แต่
ทั้งสองมือหนึ่งถือคบเพลิง อีกมือหนึ่งถืออาวุธแต่เป็นอาวุธโบราณ
ไหล่ทั้งสองข้างของหญิงสพายคันธนูและกระบอกลูกธนู
ส่วนชายหนุ่มกลับพกหน้าไม้อันใหญ่พอประมาณเหน็บที่เอวพร้อม
แท่งกระบอกยาวๆเสียบยังเบื้องหลังคู่กับหน้าไม้นี้  ในมือถือดาบ
โบราณเช่นเดียวกัน
         เมื่อทั้งสามมาถึงมาถึงก็น้อมกายคาราวะสินธุทันที และหันมา
มองทางชายหนุ่มด้วยความแปลกใจ  สินธุเห็นเช่นนั้นพลางหัวร่อ
หันไปบอกแก่คนทั้งสาม
     “เจ้าทั้งสามไว้ไปถึงถ้ำก่อนแล้วเราจะแนะนำนายของเราให้เจ้า
ได้รู้จักฝากเนื้อฝากตัวเป็นบ่าวรับใช้ท่านด้วย”
    “นายสำคัญมากกับนายถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
      หนุ่มร่างกำยำสูงใหญ่มากเอ่ยกลับสินธุ  
  สินธุหันไปมองพลางหัวร่อ  และเดินไปตบไหลที่คุกเข่าอยู่พลาง
กล่าวว่า
     “เจ้ากุลาเอ๋ย  หากเขาไม่มีความสำคัญจะมาเป็นนายข้าได้อย่างไร
กันเล่า  ด้วยคนอย่างข้าพวกเจ้าก็รู้อยู่ว่าเป็นคนอย่างไร”
     “นั่นนะซินาย ข้าถึงสงสัยยิ่งนัก???...”
     “ไว้ไปที่พักก่อนแล้วข้าจะบอกให้ นี่ก็มืดแล้วไม่สะดวกหรอก”
     “ถ้าอย่างนั้นขอเชิญนายทั้งสองตามพวกข้ามา”
    เมื่อหนุ่มร่างกำยำสูงใหญ่ลุกขึ้น  ชายหนุ่มก็ให้รู้สึกแปลกใจเพราะ
ร่างของสินธุซึ่งมีขนาดไล่เลี่ยกับเขา สูงยังไม่ถึงหัวไหล่ของเจ้ากุลา
แต่ชายหนุ่มไม่กล่าวอะไร เพราะสถานที่ไม่น่าปลอดภัยนัก เมื่อได้
ยินพวกของเจ้าสินธุบอกว่ามีสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งกำลังจะปอง
ร้ายพวกมัน  หากเป็นเวลาค่ำมืดเช่นนี้เห็นว่าจะไม่ถนัดนัก  ก็รีบตาม
เจ้าสินธุที่เดินก้าวนำหน้าไปพร้อมกับ  ชายร่างยักษ์และหญิงทั้งสอง
ทันที   พอเดินไปถึงเนินเขาซึ่งเป็นแนวผา   ชายร่างยักษ์ก็หันไปป้อง
ปากบอกแก่พรรคพวก   ก็ปรากฏบรรดาชายหนุ่มและหญิงสาวผู้เฒ่า
ที่เป็นชาย  เดินเข้ามาพร้อมคบเพลิง  และต่างน้อมคาราวะเจ้าสินธุ
    “พวกเจ้านำทางไปยังที่อยู่ใหม่ได้แล้วนี่ก็มืดมาก เกรงจะไม่
ปลอดภัยแก่พวกเราหากสัตว์ที่พวกเจ้ากล่าวมันออกมา”
    คนทั้งหมดพยักหน้า และรีบเดินเป็นแถวทอดยาวกะได้ประมาณ
เกือบสิบคน มุ่งหน้าไปยังภูเขาลูกข้างหน้าที่ใกล้เคียง  สักพักหนึ่ง
ทั้งหมดก็มาถึงปากถ้ำที่คนพอจะเล็ดลอดเข้าไปได้ ที่หน้าปากถ้ำมี
ชายหนุ่มสองนาย ยืนถืออาวุธเฝ้าอยู่  คบเพลิงต่างจุดปักไว้ริมหน้า
ถ้ำทั้งสองด้าน  ทั้งหมดที่เดินล่วงหน้านำทางก็สนทนากับผู้รักษา
หน้าถ้ำเล็กน้อย  แล้วหันมาทางสินธุพลางเอ่ยขึ้น
       “นายท่าน  เข้ามาในถ้ำกันเถอะ  ข้างในกว้างขวางมากและ
ยังมีหลีบถ้ำอีกมากมายใช้สำหรับพักผ่อนของพวกเรา”
     สินธุหันหลังมากล่าวกลับชายหนุ่มทันที
    “นายท่านเชิญเข้าไปในถ้ำก่อนแล้วค่อยปรึกษากันอีกที”
      ชายหนุ่มไม่กล่าวอะไรพลางผายมือให้สินธุนำทาง  ดังนั้นคน
ทั้งหมดก็ทะยอยเข้าไปในถ้ำ   ชายหนุ่มสังเกตุว่ามีบรรดาคนอีก
นับมากมายคเนไม่ต่ำกว่าร้อยคนเห็นจะได้ต่างพากันออกจากหลีบ
มายืนมอง  ครั้นเห็นเจ้าสินธุ ทั้งหมดต่างคุกเข่าลงพลางกล่าวภาษา
ซึ่งแสดงถึงความเคารพนอบน้อมอย่างยิ่ง   เห็นสินธุเดินไปยังลาน
ของถ้ำซึ่งมีโต๊ะหินที่พวกเขานำมาประกอบเป็นโต๊ะและเก้าอีกเพื่อ
ใช้เป็นที่หารือกัน  เป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมแต่ยาวประมาณ ห้าเมตรเห็น
จะได้  บนโต๊ะมีผลไม้ต่างๆวางเรียงราย  สินธุหันมาทางชายหนุ่ม
เชิญให้ไปนั่งที่เก้าอี้ก่อน แล้วหันไปประกาศยังหมู่เหล่านี้ว่า
    “นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป  พลางชี้มือไปทางชายหนุ่มเขาคือนาย
ของพวกเรา  คำสั่งทุกๆคำสั่งห้ามมีการฝ่าฝืนเป็นอันขาดมิฉะนั้น
จะต้องถูกดำเนินความผิดตามกฏของพวกเราทันที”
     เมื่อกล่าวจบพลางคุกเข่าลงเบื้องหน้าชายหนุ่ม  พวกในนี้ต่าง
พากันงุนงง แต่มิได้เอ่ยปากแต่ประการใด พลางเปล่งเสียงโห่ร้องพร้อมกับก้มศึรษะลงทั้งหมด แสดงถึงความนอบน้อมอย่างสูง
      ชายหนุ่มรีบยืนขึ้นพลางโบกมือและส่งเสียงภาษาของชนเหล่านี้
ให้หยุด  ยิ่งสร้างความงุนงงแก่ชาวเหล่านี้ยิ่งขึ้น ไม่เพียงแต่คนเหล่านี้
แม้แต่สินธุเองก็เหมือนกัน ด้วยคิดไม่ถึงว่านายของเขาสามารถพูด
ภาษาของพวกเขาได้อีกด้วย และได้ดี  เมื่อเห็นเช่นนั้นสินธุก็
เรียกบรรดาหัวหน้าให้เข้ามา  มีผู้เฒ่าโมละ  กุลา คิยะ และภาคี ต่างมา
ยืนยังเบื้องหน้าของสินธุ   เมื่อเห็นเช่นนั้นก็แนะนำให้ชายหนุ่ม
รู้จัก พลางชี้ไปเรียงตัว ตั้งแต่ผู้เฒ่าว่าชื่อ โมละ หนุ่มร่างยักษ์ชื่อกุลา
สาวสวยงามหยดย้อยทั้งใบหน้าและรูปร่าง กำยำแบบหญิง
ทะมัดทะแมง ซ้ายมือที่ไว้ผมตัดชื่อ คิยะ และสาวผมยาวสลวยชื่อ
ภาคี  เมื่อแนะนำเรียบร้อยแล้ว สินธุก็หันไปยังเหล่าชนเหล่านี้ให้
นำอาหารเครื่องดื่มอันมีน้ำเย็นมาตอนรับนายใหม่ด้วย
          พลางสินธุหันมาทางชายหนุ่มพลางเอ่ยว่า
   “นายท่าน  ท่านจะดูการฟ้อนรำของพวกเราหรือไม่”
   “ไม่ต้องหรอกสินธุ  เพราะเรายังมีงานที่จะต้องทำอีก ท่านลืม
ไปแล้วหรือที่เขาบอกว่ายังมีสัตว์ประหลาด ข้าเองยังไม่รู้ว่ามันมี
ลักษณะอย่างไร  ไหนๆให้คนรู้บอกแก่ข้าด้วยเถิด”
    “ได้นายท่าน เดี๋ยวข้าจะให้ท่านผู้เฒ่า โมละ  ซึ่งเป็นผู้รอบรู้บรรดา
สิ่งทั้งหลายเป็นคนแจ้งแก่นายท่านก็แล้วกัน”
    “ดีล่ะเราทานอาหารดื่มกินแล้วคุยกันไปพลางก็ได้”
  พลางหันมาทางท่านผู้เฒ่าพลางยกมือพนมระหว่างอกคาราวะแก่ผู้
เฒ่าพร้อมทั้งกล่าวว่า
    “ขอเชิญท่านผู้เฒ่ากรุณาบอกลักษณะของสัตว์ร้ายแก่ข้าด้วยเถิด
ให้แจ้งให้อย่างละเอียดนะท่าน”
    “ได้ซินายท่าน  มันเป็นสัตว์ประหลาดคล้ายคางคกแต่มีหางยาว 
พวกเราเข้าไปต่อสู้กับพวกมันและเสียชีวิตไปเป็นอาหารแก่มันมาก
มันมีหนังคล้ายคางคกและจะมีเมือกสีขาวๆออกเหลือง ยางที่ออกมา
ส่งกลิ่นเหม็นมากนัก ไม่เฉพาะกลิ่นเท่านั้น มันยังยืดออกยาวได้อีก
ด้วยหนังมันเป็นเกล็ดๆ ใช้แทนมือขามันเชียวล่ะ  เมื่อใครโดนกลิ่น
หรือยางมันจับได้จะถูกส่งไปให้มือมันเข้าปากเคี้ยวกัดกินจนตาย แต่
เรื่องกลิ่นนี้พวกเราไม่กลัว กลัวแต่ยางมันที่ยืดหดได้เหมือนมือไม่ผิด
ซ้ำมันจะสามารถพ่นควันสีขาวเป็นประกายเพลิงทั้งกลิ่นออกมาอีก
ด้วย หางมันคล้ายๆกับหางจรเข้แต่ร้ายกาจกว่ามันฟาดและทิ่มแทงได้
และที่สำคัญมันหาได้มีแค่ตัวเดียวไม่ มันมีเป็นฝูงจำนวนมาก ลำพัง
ตัวเดียวก็ยากแล้วที่จะเข่นฆ่ามัน เพราะทุกส่วนมันอาวุธฝ่ายเราไม่
สามารถทำอันตรายใดๆแก่มัน ได้นอกจากไฟเท่านั้นไหนเลยจะหา
ไฟได้จำนวนมากที่จะทำลายมันที่ข้าผจญและต่อสู้กับมันมาก็เห็นมี
เพียงแค่นี้แหละนาย  นายดูซิแขนข้าไหม้เกรียมก็เพราะยางมันนี่
แหละที่ไปโดนมันจับอาศัยที่ข้าเอาไฟคบไปจี้มันถึงได้หลุดรอด
ออกมาได้จึงรู้ว่ามันกลัวไฟนี่แหละนาย”
     พลางผู้เฒ่าก็ยื่นแขนที่ไหม้เกรียมตกสะเก็ดไม่ยอมหายให้
ชายหนุ่มดู   ครั้นชายหนุ่มได้ยินเรื่องและเห็นบาดแผลเช่นนี้ก็ตลึง
โดยไม่คิดว่ามันจะร้ายกาจขนาดนี้  แต่นึกขึ้นได้จึงเอ่ยขึ้น
   “สินธุหลังปรึกษากันแล้วข้าเชื่อว่าท่านสามารถรักษาแผลเหล่านี้
ให้แก่ท่านผู้เฒ่าได้อย่างแน่นอนด้วยสมุนไพรที่ท่านมีหลากหลาย”
       แล้วเขาก็หันหน้าไปทางผู้เฒ่าโมละแล้วเอ่ยขึ้น
    “แล้วพวกมันอยู่ที่ไหนหรือท่านผู้เฒ่า”
   “พวกมันอาศัยที่บึงเลยจากที่เขานี้ออกไปประมาณลูกหนึ่ง แต่มัน
ร่างกายใหญ่โตก็จริงแต่มันปราดเปรียวยิ่งนัก มันกระโดดครั้งเดียว
ไปได้ไกล  มันจึงมารุกรานพวกเราได้นายท่าน”
      “แล้วเจ้าทั้งสามล่ะมีความคิดเห็นอย่างไร หรือว่าต้องคอยหลบ
ซ่อนอยู่แบบนี้ตลอดไป”
     “ข้าเองก็ยังไม่รู้เลยนายท่าน เพราะต่อสู้กับพวกมัน ฝ่ายเรามีแต่
ตายลง ไม่เคยทำอันตรายมันได้เลยแค่เพียงบาดเจ็บเท่านั้น”
   หญิงสาวนามคิยะเอ่ยตอบ
   “จริงจ๊ะนาย ขนาดกุลาที่มีร่างกายใหญ่โตกำลังมหาศาลยังต่อกร
พวกมันไม่ได้เลย  นอกจากพวกเราจะช่วยกันแอบไปหาฟืนและยาง
น้ำมันมาทำคบเพลิงไว้จำนวนมากเท่านั้น  มันเคยมาครั้งหนึ่งแต่ทาง
เราช่วยกันก่อกองไฟวางไว้หน้าถ้ำ ดีแต่ว่าลมควันที่เขามาเรามีที่
ระบายอากาศธรรมชาติที่อยู่ภายในหลีบ ช่วยระบายดูควันออกไปให้
มิฉะนั้นพวกเราคงโดนควันลมตายเป็นแน่แท้จ๊ะนาย”
    หญิงผมสลวยยาวเอ่ยขึ้นบ้าง
   ชายหนุ่มได้รับฟังดังนั้นก็อึ้งไป  พลางยกน้ำขึ้นดื่มและใช้ความคิด
หาหนทางที่จะกำจัดมันให้ได้ แต่ยังคิดไม่ออกว่าเป็นวิธีการใดดี
   พลางนึกถึงตำราต่างๆก็ไม่เห็นมีสัตว์ประเภทนี้อยู่ในตำราเลยครั้น
แลเห็นสินธุจะกล่าว  เขารีบยกมือขึ้นห้าม พลางเอ่ยว่า
    “ขอข้าคิดหาหนทางดูก่อน แต่ตอนนี้สินธุบอกให้พวกเราเตรียม
ตัวและเตรียมไฟไว้ให้พร้อม   หากข้าคิดได้จะแจ้งให้ทราบอีกทีหนึ่ง
 อ้อๆๆๆ???.ท่านโมละผู้เฒ่า แล้วสัตว์ประเภทนี้แปลกจริงมันจะออก
หากินเวลาใดหรือท่าน”
     “มันจะออกมาหากินในเวลาจวนพลบค่ำๆและในเวลามีพายุฝน
เท่านั้นนายท่าน  ส่วนเวลาอื่นยังไม่เห็นมันออกมาเลย หรือว่ามันเมื่อ
ปราศจากความชื้นทำให้หนังมันทนทานต่อดินฟ้าอากาศที่ร้อนอบ
อ้าวไม่ได้นายท่าน”
    “อืมม!!!!มีส่วนเหมือนกันท่านผู้เฒ่ามิฉะนั้นใยเล่า ในเวลา
อากาศที่ร้อนอบอ้าวมันจะไม่ออกหากิน ต้องคอยเวลาอากาศชื้น
และต้องมีฝนด้วย ข้อนี้ข้าก็คิดเหมือนท่านเพียงแต่ถามเพื่อให้แน่
ใจเท่านั้น ดีที่ท่านบอกเสียก่อนเรื่องปลีกย่อยเช่นนี้  ข้าคิดว่ามัน
ต้องมีหนทางทำลายสัตว์นี้ได้อยู่ เพียงแต่ยังหาทางมิได้เท่านั้น
ข้าขอเวลาคิดสักคืนหนึ่งก่อน  แล้วจะแจ้งให้พวกท่านทราบอีกที
   อ้อๆๆๆ...สินธุช่วยเป็นภาระหาที่พักผ่อนให้แก่ข้าด้วยไม่จำเป็น
ต้องกว้างขวาง เป็นที่จำกัดไม่เล็กจนเกินไปเท่านั้น  ข้าจะได้นั่งสมาธิ
ค้นหาคำตอบให้ได้ในคืนนี้นะ”
   “เรื่องนี้นายท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอก  ก่อนที่นายท่านจะเอ่ยข้าได้
สั่งเด็กๆเตรียมที่พักไว้ให้นายท่านเรียบร้อยแล้ว  นายท่านจะพักผ่อน
เมื่อใดบอกแก่ข้าได้เลย  เอาอย่างนี้ดีกว่า เจ้าคิยะและภาคี เจ้าให้มี
หน้าที่คอยปรนนิบัตินายท่าน ด้วยเป็นหญิงย่อมทราบรายละเอียด
เรื่องนี้ดีกว่าพวกผู้ชาย”
    “เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงหรอกนายสินธุ  ข้าจะปรนนิบัติรับใช้นายใหญ่
จนสุดความสามารถแหละ”
      ทั้งสองเอ่ยขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน............................

                      “ แก้วประเสริฐ.”

76.gif				
7 กันยายน 2555 13:31 น.

* ปฏิจจสมุปบาท *

แก้วประเสริฐ


    ข้าพเจ้า นำของเก่ามาเป็นเครื่องเตือนสติแด่
ผู้ที่สนใจ ทางอันเป็นมวลหมู่ของ อวิชชา

              ปฏิจจสมุปบาท

   มีเวรก็ย่อมเกิดกรรม  มีเหตุย่อมมีผล
การเวียนว่ายตายเกิดด้วยสาเหตุดังนี้แล
          **************
สาเหตุของการเกิดปฏิจจสมุปบาทเพราะว่า 
อวิชชา เป็นปัจจัยจึงมี สังขาร 
สังขาร เป็นปัจจัยจึงมี วิญญาณ 
วิญญาณ เป็นปัจจัยจึงมี นามรูป 
นามรูป เป็นปัจจัยจึงมี สฬายตนะ 
สฬายตนะ เป็นปัจจัยจึงมี ผัสสะ 
ผัสสะ เป็นปัจจัยจึงมี เวทนา 
เวทนา เป็นปัจจัยจึงมี ตัณหา 
ตัณหา เป็นปัจจัยจึงมี อุปาทาน 
อุปาทาน เป็นปัจจัยจึงมี ภพ 
ภพ เป็นปัจจัยจึงมี ชาติ 
ชาติ เป็นปัจจัยจึงมี ชรา มรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัส อุปายาส 
ความเกิดของกองทุกข์ทั้งหมดนี้เรียกว่า " ปฏิจจสมุปบาท " 
ปฏิจจสมุปบาทจะดับได้เพราะ 
อวิชชา ดับ สังขาร จึงดับ 
สังขาร ดับ วิญญาณ จึงดับ 
วิญญาณ ดับ นามรูป จึงดับ 
นามรูป ดับ สฬายตนะ จึงดับ 
สฬายตนะ ดับ ผัสสะ จึงดับ 
ผัสสะ ดับ เวทนา จึงดับ 
เวทนา ดับ ตัณหา จึงดับ 
ตัณหา ดับ อุปาทาน จึงดับ 
อุปาทาน ดับ ภพ จึงดับ 
ภพ ดับ ชาติ จึงดับ 
ชาติ ดับ ชรา มรณะ โสกะปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส
 จึงดับ ความดับของกองทุกข์ทั้งมวลนี้ คือ การเดินออกจากบ่วง
ของปฏิจจสมุปบาท

สฬายตนะ คือ ความรับรู้ ความรู้สึก
ผัสสะ  คือ รับรู้ถึงประสาทต่างๆของร่างกาย ภายในและภายนอก
สองอย่างนี้จะเกิดขึ้นคู่กันอย่างใดอย่างหนึ่งพร้อมๆกัน
เช่น จิต และ เจตสิก เป็นต้น

    ใช่ว่าจะเอามะพร้าวมาขายสวน  เป็นเครื่องเตือนสติเท่านั้น
   "ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท รู้ธรรมยิ่ง  ผู้นั้นได้ชื่อว่าแลเห็นพระ
สัมมาสัมพุทธเจ้า"

                        * แก้วประเสริฐ. *

icon_dukdik_185.gif				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแก้วประเสริฐ