29 มกราคม 2556 14:47 น.

* แดนพิศวง ๒๓ *

แก้วประเสริฐ


                * แดนพิศวง ๒๓ *
                     (จ้าวปักษา)

      “กุลาบ้าๆ!!!!....พวกข้ามองเจ้าเหมือนพี่ชายนะ หาได้เป็นคนที่
พวกข้าต้องใจอย่างใดไม่???...แหมๆมาตู่เขาเสียจริงๆนะ”
   สองสาวร้องลั่น พลางวิ่งไล่ไปหมายหยิกและทุบ เล่นเอาเจ้ากุลา
ต้องเผ่นหนีไปบังสินธุ ร้องลั่น
    “นายสินธุๆช่วยข้าด้วยเจ้าภาคี คียะ มันจะบ้าแล้ว แน๊ะๆมันยกธนู
เล็งมายังข้า นายช่วยข้าด้วยนะ อิอิ”
   “แล้วเอ็งไปแหย่เขาทำไม่ เรื่องเขาจะรักใครชอบใครก็เป็นเรื่อง
ของเขา  ข้ารู้ว่าพวกเอ็งทั้งสามรักกันเหมือนพี่น้อง”
   “ก็ข้าหมั่นไส้มันนี่นานาย  เลยแหย่มันเล่นไม่นึกว่ามันจะโกรธ
เป็นฟืนเป็นไฟไปได้”
   “เจ้าทั้งสามหยุดกันได้แล้วเกรงใจนายใหญ่บ้างซิ แล้วเอ็งสนใจ
ชอบใจใครล่ะ บอกข้าได้ไหมบางทีข้าจะเป็นสื่อให้นะเจ้ากุลา???”
   “นายสินธุนี่นายก็จะบ้าไปอีกคนแล้ว ใครล่ะจะบอกความในใจ
ให้ทราบได้อายเขาจะตายไป จริงไหมคียะ ภาคี”
   “แต่คงไม่ใช่ข้า และภาคีนะ  พี่กุลารูปร่างยังกับยักษ์ปักควายแน๊ะ”
   “ใช่ไหมภาคี เรื่องแบบนี้เราเป็นหญิงถึงชอบเขาแต่เขาไม่สนใจเรล่ะมิยิ่งอายไปมากกว่านี้หรือ??”
   “นั่นซิข้าก็คิดเหมือนเอ็งแหละ  เอาล่ะนายสินธุอย่ารู้เรื่องไปเลย
เมื่อกี้นี้ข้าเผลอไปเท่านั้นเองแหละจ้านาย”
   “ไหนๆๆเอ็งว่าข้าว่าอะไรนะ ยักษ์ปักควาย ปัดโธ่ข้านะหล่อจะตาย
ไปสาวๆยังชอบข้าเลยนี่นา ชะม้ายตาแก่ข้าเสมอๆ”
   “แต่คงไม่ใช่ข้าทั้งสองแน่นอนนะพี่กุลารูปหล่อ ฮ่าๆๆๆ อิอิๆๆๆ”
   ทั้งสองหันไปบอกแก่สินธุแต่หางตาชำเลืองไปชายหนุ่มนิรุทธิ์   ซึ่ง
เขาก็อมยิ้มแล้วรีบหันหน้าไปทางอื่น พลางเอ่ยขึ้นว่า
   “เอาล่ะเลิกกันก็ดีเรามาช่วยกันคิดว่าการปราบเจ้าตะขาบยักษ์นี้
จะทำอย่างไรดีเพราะที่เราทำไปนั้น  มาคิดๆดูอีกทีไม่น่าที่จะทำ
อะไรแก่มันได้”
   “นั่นซินายเพราะมันตัวใหญ่โตมากๆเสียด้วย ลำพังอาวุธที่เรา
ทำขึ้นมานี้คงจะไม่ระคายหนังมันได้หรอก  แล้วจะแก้ไขอย่างไร
ดีล่ะ  ข้าเองก็คิดไม่ออกเหมือนกัน”
    สินธุเอ่ยรำพึงขึ้นมา แล้วก็หันมากล่าวกับหนุ่มนิรุทธิ์ว่า
   “ข้าเองคิดว่าสงสัยจะต้องอาศัยเจ้าสดายุหากเป็นดังที่นายใหญ่
ว่ามันเป็นจ้าวปักษาสามารถเรียกพวกนกต่างๆมาช่วยก็อาจจะมี
ทางชนะมันได้นานาย”
   “ข้าเองก็คิดเหมือนเจ้าแหละ เดี๋ยวต้องถามเจ้าสดายุก่อนว่ามี
ความคิดเห็นเป็นประการใด”
    พลางหันไปทางเจ้าสดายุแล้วส่งภาษากันสักพักหนึ่ง ทั้งหมด
เห็นเจ้าสดายุผงกหัว  แล้วร่างมันก็ถลาลงจากไหล่ของชายหนุ่ม
พลางไปยืนยังเบื้องหน้า   
   ทันใดนั้นร่างเจ้าสดายุก็พลันเกิดหมอกควันคลุมร่างแล้วร่างกาย
ก็พลันเปลี่ยนไปเมื่อหมอกจางลง  เป็นชายหนุ่มรูปงามใบหน้า
คมสัน  มันก้มยองๆแล้วพนมมือไหว้ชายหนุ่ม  เล่นเอาพวกทั้งหมด
ต่างตกตลึงไปตามๆกัน  เจ้าภาคีและคียะ ถึงกับอ้าปากค้างไปเพราะ
นึกไม่ถึงว่าเจ้านกตัวนี้จะกลายร่างเป็นคนไปได้  และรูปงามเสียด้วย
   ร่างกายบึกบืนกล้ามเนื้อเป็นมัดๆได้สัดส่วนของชายนักรบยิ่งนัก
พลันยืนขึ้นพนมมือมาทางชายหนุ่ม  ที่ด้านหลังของเจ้าสดายุมีอาวุธ
แปลกประหลาด กำไลแขนเป็นลวดลายสีทอง ส่วนกำไลข้อมือนั้น
กลับเป็นวงกลมคล้ายกงจักรสีขาว  แต่ที่แปลกคือเท้าจะมองเป็นเท้า
ของมนุษย์ก็ใช่จะเป็นเท้าคล้ายนกอินทรีย์ก็ไม่เชิงสลับสับเปลี่ยนไป
เรื่อยๆ  สร้างความงุนงงแก่พวกทั้งหมด  มันพลางเอ่ยปากขึ้นว่า
   “นายท่านอันตะขาบยักษ์นี้มันเกิดจากแร่ธาตุต่างๆที่รวมกันขึ้นจึง
มีอานุภาพผิดกับพวกตะขาบทั่วๆไป   ประกอบด้วยเลือดเนื้อเชื้อสาย
ของตะขาบทั่วๆไป ร่างจึงใหญ่โตมโหฬารนัก
 หากจะคิดทำลายมันด้วยอาวุธธรรมดาเห็นจะยาก เพราะหากทำลาย
ส่วนหนึ่งส่วนใด ส่วนที่ขาดไปจะกลับกลายงอกขึ้นมาได้ใหม่แล้วกลายเป็น
อีกตัวหนึ่งนะนาย นอกเสียจากอาวุธที่มีอิทธิฤทธิ์เปี่ยมไป
ด้วยอานุภาพมากนั่นแหละถึงจะทำลายมันได้  
      หากข้าจะเรียกเหล่าบริวารมาช่วยนั้นก็หาได้เกิดประโยชน์แต่ใด
ไม่  คนทั้งหมดเหล่านี้มิอาจจะต่อมันกับมันได้เห็นว่ามีแต่ข้ากับนายเท่านั้นที่
จะปราบมันได้ เพราะนายและข้ามีพลังงานแห่งจักวาลที่พึ่งได้รับมาเมื่อกี้นี้เท่านั้น  อาวุธของนายก็ต้องบรรจุและเสริมด้วย
พลังงานไว้แล้วส่งออกไปทำลายมัน บรรจุไฟฟ้าพลังงานนี้จะ
สามารถกำจัดมันได้  แม้ว่ามันจะถูกทำลายขาดกันก็ไม่อาจจะงอก
สร้างขึ้นมาใหม่ได้  มีทางเดียวคือให้นายพยายามตัดขามันให้หมด
แล้วมันก็จะบินหนีไป แต่มันคงมีสองตัวมากกว่า เพราะมันต้องมี
คู่ของมันมาช่วยหากมันร้อง  เมื่อมันบินขึ้นให้นายตัดปิกมันข้าง
ใดข้างหนึ่งเสีย มันก็จะหนีไปไม่รอดตกลงมาแล้วค่อยกำจัดมันที
หลัง  ส่วนพวกชาวบ้านทั้งหมดให้แอบอยู่ในถ้ำไม่ให้ออกมาข้า
จะใช้จักรคอยระวังทางปากถ้ำให้แก่พวกเขาเอง ส่วนอีกตัวหนึ่งนั้น
ข้าจะจัดการมันเองนะนาย หากไม่ไหวจริงๆข้าจะเรียกภรรยาข้า
มาช่วยอีกแรงหนึ่ง เพราะภรรยาข้าเก่งกาจกว่าข้าเสียอีกนาย”
   “มันร้ายกาจถึงขนาดนั้นเชียวหรือสดายุ  สิ่งที่ข้าคิดและวางแผน
ไว้ก็คงจะใช้ไม่ได้และอาจจะเสียกำลังคนไปอีกด้วย เห็นทีจะต้อง
ใช้แผนของเจ้าเสียแล้วล่ะ”
    กล่าวแล้วก็หันไปบอกพวกสินธุ กุลา ภาคี คียะและเหล่าชาวบ้าน
ที่รายล้อมฟังการสนทนาของทั้งสองอยู่ ดังนั้นชายหนุ่มจึงหันไปพูด
กลับบรรดาบริวารและชาวบ้านต่างๆ
   “พวกเจ้าก็ได้ยินสดายุกล่าวแล้วมิใช่หรือ  ฉะนั้นคืนนี้ให้เจ้าและพวกหลบในถ้ำอย่าได้ออกมาโดยเด็ดขาด ส่วนแสงไฟก็ให้ดับเสีย
ให้สนิทนะ จะเหลือไว้ก็ได้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น   อ้อคืนนี้เป็นคืนข้างแรมบริเวณนี้คงจะมือสนิทแต่เรื่องนี้ไม่เป็นไร
ข้าจะจัดการให้เองนะ”
   “อ้าวเมื่อไม่มีแสงไฟแล้วนายจะจัดการให้มีแสงสว่างได้อย่างไร
ล่ะนาย  บอกแก่พวกข้าได้ไหมนาย????....”
   “เห็นทีข้าต้องอาศัยดวงแก้วจันทราอีกครั้งหนึ่งแล้ว หากเป็นดวง
แก้วสุริยันต์มันจะเกิดความร้อนมากเกินไปนะสินธุ พวกชาวบ้าน
จะทนแสงสุริยันต์ไม่ได้”
   “จ้านายแล้วข้าจะทำตาม  มิให้มีแสงไฟเกิดขึ้นในถ้ำเป็นอันขาด”
   พลางกุลาหันหน้าไปมอง เจ้าภาคี คียะ ก็หัวร่อลั่น แล้วเอ่ยขึ้นว่า
   “เห็นเจ้าสดายุหล่อรูปงามเสียล่ะ ถึงได้จ้องเอาจ้องเอานะ
  ฮ่าๆๆๆ  หรือว่าเป็นคนในดวงใจเจ้าอีกแล้วกระมัง???”
   “โอ้วๆๆๆ!!!!!....นายสินธุดูซิพี่กุลามาแหย่ข้าอีกแล้วล่ะ อย่ามาล้อพวกข้านะ  เพราะข้าสงสัยเท่านั้นเองว่า หากสดายุมาเล่นกับข้าหากเป็นนกที่สวยสดงดงามล่ะก็จะไม่กังวลใดๆเลย
ข้าก็ไม่คิดอะไรมากนักหรอก  แต่นี่เขาแปลงกายเป็นหนุ่มรูปงาม
ได้แล้วพวกข้าจะกล้าไปเล่นกับเขาหรือ”
   “นั่นซิๆข้าคงจะไม่กล้าเล่นกับสดายุอีกแล้วล่ะ”
   คนทั้งสองเอ่ยขึ้นพร้อมๆกัน  พลางหันหน้าไปทางชายหนุ่มนิรุทธิ์
ทันทีพลางแย้มยิ้มชะม้อยตาหวานใส่   แล้วเอ่ยว่า
   “นายก็ไม่บอกก่อนว่าสดายุเขานั้นแปลงร่างเป็นคนได้ น่าตีจริงๆ”
   “ก็เข้าบอกเจ้าแล้วนี่นา แต่ช่างเถอะนะ เดี๋ยวข้าพูดคุยกับสดายุ
ก่อนก็แล้วกัน”

   พลางหันไปทางสดายุแล้วเอ่ยขึ้น
   “เมื่อเจ้าคืนร่างเป็นมนุษย์แล้วก็อย่ากลับไปเป็นปักษินอย่างเดิมเลยนะ ข้ารู้ว่าเจ้าสามารถพูดภาษามนุษย์และภาษาอื่นๆได้อีกมากมาย
ก็ควรจะพูดภาษามนุษย์กับพวกเขาก็แล้วกัน”
   “ได้นายแม้ว่าข้าจะพูดได้หลายภาษาต่างๆก็จริง  มีแต่นายเท่านั้นที่
รู้เพราะนายอ่านใจข้าออก ขอบใจนายที่ช่วยข้าปิดบังเรื่องนี้มานาน”
   “ไม่เป็นไรหรอกสดายุ เรารู้ถึงความจำเป็นแต่เจ้าจะอยู่ในสภาพคน
ต่อไปก็แล้วกันนะ จนกว่าจะมีศัตรูหรือข้าต้องออกเดินทางเพื่อค้นหา
สิ่งของบางอย่างเจ้าถึงจะคืนร่างเป็นจ้าวปักษาต่อไปก็แล้วกัน”
   “ตามใจนายเถอะ เมื่อนายกล่าวเช่นนี้ข้าเป็นบ่าวจะกล้าขัดใจนาย
ได้อย่างไรกัน  อีกประการหนึ่งที่ข้าจะบอกคือว่า ในกล่องที่บรรจุ
กริชนั้นใต้กล่องมีตำราเล่มหนึ่งซุกอยู่ใต้หีบให้นายเอามาศึกษาด้วย
เพราะว่าเห็นมีแต่นายเท่านั้นที่มีวาสนาต่อสิ่งของเหล่านี้เพื่อเพิ่ม
เติมวิทยายุทธ์และอาคมให้แกร่งกล้าเหนือสิ่งอื่นใดอีกด้วย  เพราะ
ก่อนที่ข้าจะมาอยู่ข้าก็รู้อานุภาพของคัมภีร์เล่มนี้และอาวุธอยู่ก่อน
แล้ว และได้รับคำสั่งนายเหนือหัวให้มาคอยช่วยเหลือนายอีกทาง
หนึ่ง   เพื่อคุ้มครองปกป้องนาย”
   “ยังมีคำภีร์ซุกซ่อนอยู่อีกหรือเมื่อเปิดกล่องข้าก็ไม่ได้สังเกตุหาก
เจ้าไม่บอกข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน  อ้อๆแล้วนายเหนือหัวเจ้าคือใครกัน
ล่ะคงจะมีฤทธานุภาพมากมายนะถึงได้สามารถใช้เจ้าได้นะ”
   “มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อจะกล่าวจริงๆนาย เป็นอันว่านายรู้ว่ามีผู้
เดียวเท่านั้นที่สามารถจะใช้ข้าได้และเป็นจ้าวแห่งมหาสมุทรแต่ได้
แบ่งร่างมาเกิดใหม่  นายรู้ไว้เพียงเท่านี้พอ”
   หนุ่มนิรุทธิ์เพ่งหน้าเจ้าสดายุแล้วอาศัยพลังจิตค้นหาความจริงใน
จิตใจมัน จึงค่อยๆรู้ความจริงว่าเขาคนนั้นคือใครและมาบังเกิดขึ้น
อีกวาระหนึ่ง  ก็หัวร่อแล้วกล่าวว่า
   “ข้ารู้แล้วล่ะเจ้าสดายุว่าเขาคนนั้นคือใคร เรารู้กันแค่สองคนเท่านั้น
ก็พอนะ  ไม่ต้องให้ใครรู้เพราะเรื่องมันจะยาวมากๆ”
   เจ้าสดายุยกมือขึ้นพนมมือไหว้พลางเอ่ยขึ้นว่า
   “นายคงอ่านจิตใจข้าออกแล้วว่าคือใคร แม้แต่วิมานและบริวารข้า
เองก็ยังไม่รู้  แม่นางเจ้ามณฑิกามเหสีข้าเองก็ยังไม่รู้ ป่านฉะนี้คงวุ่น
วายเป็นแน่แท้เพราะข้าจากมานานแล้วล่ะนาย”
   “อ้อภรรยาเจ้าชื่อ “มณฑิกา” หรือ????”
   “ใช่แล้วนาย นางมีอิทธิฤทธิ์มากมาย ฮ่าๆเหนือกว่าข้าเสียอีกนะแต่
ว่านางเป็นคนเงียบขรึมขี้หึงมากๆเสียด้วยซิ”
   “ก็ใช่ซิเจ้ารูปงามแม้จะเป็นมนุษย์หรือเป็นปักษินเจ้าก็งดงามมาก
จะไม่ให้เขาหึงหวงได้อย่างไรกันเล่า ฮ่าๆๆๆๆ”
   “ถึงแม้ว่าข้าจะรูปงามสักเพียงใด แต่ก็หาได้ครึ่งหนึ่งของนายไม่
หากนายไม่มาเสียก่อนนะนาย”
    การสนทนาของทั้งสองทำเอาเจ้าสินธุ กุลา ภาคี  คียะและเหล่า
ชาวบ้านทั้งหลายงุนงงไปตามๆกันเพราะจับใจความไม่ได้เลยว่า
การกล่าวของทั้งสองมันจับต้นชนปลายไม่ถูก   
    ดังนั้นเมื่อแสงอาทิตย์คล้ายต่ำลงหลบไปยังยอดเขาแสงที่สว่าง
ก็เริ่มสลัวๆ  สินธุจึงเอ่ยขึ้นว่า
   “นายเราอย่าพึงสนทนาอะไรนี่ก็จวนจะค่ำแล้ว เราทั้งหมดไป
ปรึกษากันในถ้ำจะไม่ดีกว่าหรือนาย”
   “อือๆจริงเสียด้วยซินะ อากาศเริ่มเปลี่ยนแปลงไปแล้วไปเถอะ
เจ้าบอกพวกเราให้ไปในถ้ำกันทั้งหมดได้แล้ว  และอีกอย่างหนึ่ง
นี่ก็จวนจะได้เวลาเจ้าตะขาบยักษ์จะออกหากิน และยิ่งได้กลิ่นพวก
เราด้วยมันคงจะเริ่มออกเดินทางมาแล้วล่ะ เพื่อความปลอดภัยพวก
เจ้าไปก่อน เดี๋ยวข้ากับสดายุจะตามไปภายหลังนะ”
   ว่าแล้วทั้งหมดก็ค่อยทะยอยกันเข้าไปในถ้ำ  พวกผู้หญิงในถ้ำก็รีบ
จัดหาอาหารและน้ำมาคอยต้อนรับทุกๆคน ส่วนชายหนุ่มและสดายุ
ก็ค่อยๆเดินคุยกันตามหลังพวกนั้นเข้าถ้ำไป   เมื่อไปถึงบริเวณลาน
กว้างใหญ่ในถ้ำที่งามระยับด้วยหินย้อยทอแสงระยิบระยับเมื่อยาม
กระทบแสงแห่งโคมฟ้าไฟที่จุดสว่างไสว  ชายหนุ่มดึงแขนเจ้าสดายุ
ให้มานั่งใกล้ๆยังโต๊ะอาหารซึ่งรายเรียงไปด้วยบรรดาหัวหน้าที่
เขาได้คัดเลือกและแต่งตั้ง  ต่างคนต่างรอคอยให้ชายหนุ่มเริ่มต้น
ก่อน  ดังนั้นเพื่อมิให้พวกเขาต้องรอนานเพราะรู้ว่าพวกนี้ทำงาน
มาเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามาก แล้วจึงรีบรับประทานอาหารทันทีเว้น
แต่เจ้าสดายุเท่านั้นที่นั่งมองดูการกินอาหารของบรรดาคนทั้งหลาย
แต่ตัวเองไม่ได้แตะต้องแต่ประการใด  อันที่จริงนอกจากการกินพลัง
งานแล้วก็ยังสามารถกินอาหารอื่นๆได้แต่ไม่ใช่ของเหล่านี้ ต้องเป็น
ของที่ถิ่นที่เขาอยู่เท่านั้นจึงสามารถกินได้   จึงได้แต่นั่งมองดู
    ครั้นทุกๆคนกินอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็บอกให้ทุกๆ
คนต่างไปพักผ่อนกันได้  แล้วหันไปทางภาคี สั่งให้ไปนำย่ามของเขา
ที่แขวนไว้ในห้องส่วนตัว  แล้วหันไปทางคียะให้จัดหาห้องให้สดายุ
ได้พักผ่อนอีกทางหนึ่งด้วย
   “นายเรื่องพักผ่อนนี้ไม่ต้องห่วงข้าหรอกข้าจะกลับคืนร่างไป
พักผ่อนในย่ามนายก็ได้นะ”
   “ไม่ได้หรอกเจ้าสดายุ ไหนเราตกลงกันแล้วว่าเจ้าจะไม่คืนร่าง
จนกว่าจะจำเป็นเท่านั้นเอง เจ้าลืมแล้วหรือ”
   “ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจนายเถอะ  ข้าขอปฏิบัติตามคำสั่งทุกประการ”
พลางลุกขึ้นเดินตามคียะหายลับไปภายในหลีบถ้ำที่มีห้องมากมาย
ภายในหลีบถ้ำต่างๆ เพราะนี่เป็นภูเขาใหญ่ที่สุดในบรรดาเขาทั้ง
หลายที่มีในบริเวณแถบนี้  ชายหนุ่มนั่งอยู่บนโต๊ะ แต่ยังมีสินธุและ
เจ้ากุลาคอยนั่งเป็นเพื่อนอยู่ ด้านหลังชายหนุ่มมีชายรูปร่างกำยำล่ำ
สันคอยถือหอกระวังไว้  แต่ชายหนุ่มได้เอ่ยว่า
    “สินธุ  กุลา และเจ้าทั้งสองไปพักผ่อนได้แล้วข้าจะอยู่คิดคนเดียว
แล้วค่อยจะไปพักผ่อน แต่สงสัยจะไม่ได้พักผ่อนเสียแล้วจนกว่าจะ
กำจัดเจ้าสัตว์ร้ายเสียก่อนถึงจะพักผ่อน และจะอยู่ศึกษาคำภีร์อีกทาง
หนึ่งด้วย  ตามที่เจ้าสดายุบอกไว้และหาวิธีนำเอาคำภีร์ออกมาศึกษา
ให้ได้ไม่รู้ว่าจะเปิดหาได้อย่างไรกัน”
    ครั้นทั้งหมดได้ยินเช่นนั้นก็ลุกขึ้นค้อมคำนับชายหนุ่มแล้วเดินออก
ไปทันที  ส่วนชายหนุ่มก็รอภาคีเพื่อจะเอากล่องที่บรรจุไว้ในย่ามที่
เขาแขวนไว้    สักพักภาคีก็นำย่ามมายื่นส่งให้ ชายหนุ่มก็กล่าวว่า
   “ขอบใจมากนะภาคี  เธอไปพักผ่อนได้แล้วล่ะขอเวลาค้นหาและ
ศึกษาคำภีร์ก่อนนะ”
  “จ๊ะนาย ไม่ให้ข้าคอยเป็นเพื่อนนายหรือ เผื่อว่าจะได้มีอะไรรับใช้
นายนะ   ในเรื่องอาหารการกินน้ำอีกด้วย”
   “ไม่ต้องหรอกภาคีขอบใจมากนะ ไปเถอะเพราะว่าเราจะต้องคิด
หาทางกำจัดสัตว์ร้าย  และหากค้นพบก็จะศึกษาคำภีร์ไปด้วย  อยู่คน
เดียวจะได้มีสมาธิจ้า”
   “จ้านายหากนายต้องการอะไรเรียกข้าได้ทุกเวลานะ ข้าพร้อมเสมอ
ที่จะรับใช้นายไม่ว่าทุกกรณีย์จ้านาย”
   ชายหนุ่มหันเงยหน้าขึ้นมองเห็นใบหน้าที่สวยสดงดงามของหญิง
สาวแล้วก็ให้รำพึงว่า  นางทั้งสองนี้พลางรำพึงในใจว่าหญิงทั้งสอง
นี้ใช่ว่าจะมีใบหน้ารูปร่างงดงามแล้วยังเก่งกาจมีฝีมืออีกด้วย สงสัย
นางทั้งสองจะมีใจแก่เราเสียแล้วกระมัง  แล้วก็แย้มยิ้ม การยิ้มของ
ชายหนุ่มยิ่งทำให้หญิงสวยเกิดความเขินยิ่งขึ้น ใบหน้าแดงระเรื่อๆ
สีชมพูอ่อนๆ  หญิงสาวมองหน้าชายหนุ่มที่รูปหล่อคมคายแก้มมี
รอยบุ่มน้อยๆ ยิ่งสร้างสิ่งประทับใจแก่หล่อนยิ่งนักจะไปก็ใช่ที่พลาง
เอ่ยขึ้นแก่ชายหนุ่มว่า
    “ให้ข้าอยู่คอยปรนนิบัตินายมิได้หรือนาย ข้าไม่อยากไปเลยนะ”
   “ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเจ้าล่ะ  แต่อย่าส่งเสียงดังนะ”
   “จ้าขอบใจนายมากเดี๋ยวข้ามานะไปหาอาหารขบเคี้ยวน้ำมาให้
นายก่อน เพื่อจะได้ค้นหาและศึกษาไปพร้อมๆกันนะ”
   “อืมๆๆตามสบายเถอะนะ ไม่ต้องรีบร้อนก็ได้จ้า”
    หญิงสาวก่อนไปหันมายิ้มอย่างชื่นบานแล้วรีบเดินจากไปทันที
   ครั้นหญิงสาวไปแล้ว เขาก็ล้วงในย่ามหยิบกล่องลวดลายสวยงาม
ออกมาเปิดทันที  หากไม่ใช่เขาแล้วคนอื่นยากจะเปิดได้เพราะมัน
สร้างเป็นกลไกพิเศษไว้เฉพาะบุคคลเท่านั้น  ชายหนุ่มจ้องมองภาย
ในแต่ก็ไม่เห็นผิดปกติใดๆ จึงเอื้อมมือไปกดยังพื้นก็เป็นธรรมดา
ทันใดสายตาก็แลเห็นปุ่มเล็กๆซ่อนอยู่ใต้พรมนูนผิดปกติ  ก็เลย
ทดลองกดดูทันใดนั้น เสียงดังคลิ๊กเบาๆพื้นกล่องก็พลิกไปยังด้าน
ข้างทันที  เขามองเห็นตำราเล่มเล็กๆวางอยู่จึงหยิบขึ้นมา เมื่อตำรา
ถูกนำออกเสียงดังคลิ๊กก็ดังขึ้นผนังก็พลิกกลับสู่สภาพเดิมทันที
    ชายหนุ่มนำมาเปิดภายในเห็นเป็นตัวหนังสือตัวเล็กๆเขียนไว้
จึงรวบรวมสมาธิพร้อมพลังงานผ่านนัยน์ตาก็สามารถอ่านได้เป็น
ตำราบันทึกวิชาอาคมต่างๆพร้อมมีภาพประกอบ 
   เมื่อเห็นเช่นนั้นชายหนุ่มก็เปิดอ่านทุกๆหน้า ด้วยเขามีบุคคลิกที่มี
ความจำแม่นยำพิเศษ  เพียงอ่านครั้งเดียวก็สามารถจำข้อความนั้นๆ
ได้อย่างมิรู้ลืม  จึงเริ่มศึกษาอย่างช้าๆ คร่ำเคร่งตัดอารมณ์ภายนอก
ออกจนหมดมุ่งกระแสจิตไปที่หนังสือนั้น 
   เพียงไม่ช้าเขาก็สามารถทำได้ในเวลาอันรวดเร็วแม้แต่เกร็ดเล็กๆ
น้อยๆ ที่บันทึกเพิ่มเติมและเริ่มลงมือทดลองปฏิบัติตาม
  จนกระทั่งภาคีนำอาหารมาให้เมื่อไหร่เขาก็มิรู้สึกตัวแต่ประการใด
     หลังจากศึกษาจนหมดสิ้นแล้ว เขาก็เริ่มเดินพลังงานแห่งจักรวาล
ผ่านท่าทางภาพวาดต่างๆ บัดดลเกิดเสียงดังครืนครั่นสายฟ้าแลบ
แปลบปลาบภายในถ้ำสั่นสะเทือนไปทั่วสร้างความตกใจแก่คนที่
กำลังพักผ่อน ต่างวิ่งกันกรูออกมาดู แต่พลังงานชนิดหนึ่งได้กั้นร่าง
คนเหล่านั้นไว้มิอาจจะเขามาใกล้ๆได้  หญิงสาวภาคีเสื้อผ้าปลิวว่อน
ผมเผ้าฟูกระจายเป็นฝอยๆไป  ร่างกายสั่นเทิ้มไปทั้งร่างจนชายหนุ่ม
หลังจากฝึกแล้วต้องรีบเข้าไปประคองร่างพร้อมเดินพลังเข้าไปใน
ร่างของภาคี จึงทำให้หล่อนฟื้นคืนสติกลับมาอีกครั้งหนึ่ง พร้อมร้อง
ลั่นก้องกังวาน การร้องของภาคีครั้งนี้ทำให้เศษหินต่างๆล่วงพรูลงมา
อย่างมากมาย ร่างของภาคีกลับลอยขึ้นไปในอากาศแล้วก็ค่อยๆล่วง
ลงมาสู่ยังเก้าอี้หินอีกครั้งหนึ่ง เมื่อรู้ตัวว่าอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่ม
หญิงสาวรีบเอนร่างหลับตาพริ้มไปบนทรวงอกชายหนุ่มทันที

   กลิ่นกายชายหนุ่มทำให้จิตใจของภาคีว้าวุ่นหนักยิ่งขึ้นเธอจึง
สวมกอดร่างชายหนุ่มไว้แน่น จนได้ยินเสียงร้องของพรรคพวกนั่น
แหละเธอจึงรีบคลายอ้อมกอดออกแล้ว ถอยออกมาด้วยใบหน้า
แดงกร่ำ คียะเห็นดังนั้นก็ทราบความนัยเพื่อนสาวพลางหัวร่อแล้ว
เอ่ยว่า
   “เป็นไงภาคีอบอุ่นไหม  เจ้ากอดนายไว้เสียแน่นเชียวนะ ฮ่าๆๆๆ”
   “ข้าตกใจนี่นาคียะไม่เจอเจ้าไม่รู้หรอกว่าน่ากลัวขนาดไหนเสียง
ฟ้าและลมฟุ้งไปหมดร่างข้าเหมือนมีกระแสไฟฟ้าจำนวนมากวิ่งเข้า
มายังร่างทำให้ข้าสติเลอะเลือนไป หากเป็นเจ้าก็คงจะเหมือนกันแหละอย่าได้มาหัวร่อเยาะข้าเลย”
   “ข้าก็อยากจะเหมือนเจ้านั่นแหละแต่ไม่มีวาสนานะภาคี ฮ่าๆๆๆ”
    “พอเถอะๆ พวกเราฟังนั่นเสียงอะไรนอกถ้ำนะ  พวกเจ้าได้ยิน
หรือเปล่า”
    ทุกๆคนหันไปมองหน้าถ้ำ แล้วก็ต้องสะดุ้งเพราะมีหนวดขนาด
เส้นเชือกใหญ่สองเส้นสีน้ำตาลคล้ำ  ส่ายไปส่ายมาในถ้ำ ทำให้ทุกๆ
คนตกตลึงลืมเรื่องเมื่อกี้นี้เสียสนิท ต่างร้องกันลั่นเซ็งแซ่ไปหมด
   “ตะขาบยักษ์ๆๆๆๆ!!!!!?????.........”

               * แก้วประเสริฐ. *

Cartoon_Animation_08.gif117684ygkpzfr3jr.gif				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแก้วประเสริฐ