24 เมษายน 2549 15:29 น.

เรือน้อยคอยรัก

แก้วประเสริฐ



                    เรือน้อยคอยรัก

     ช่วงเวลาคาบเกี่ยวการเปลี่ยนฤดูย่างเข้ามา
ท้องฟ้าปกคลุมครึ้มด้วยเมฆ ลอยละล่องไปมา
สายลมที่พัดวกวนไปมาสลับเอื่อยช้าๆ
     เรือลำน้อยถูกนำออกจากท่าเรือ ล่องฝ่ากระแสน้ำ
ที่ไหลเชี่ยวกราก ทวนน้ำอย่างขมักเขม่น
     บุรุษหนุ่มร่างกำยำพายเรือไป ปาดเหงื่อที่ไหลริน
ตรงใบหน้าด้วยฝ่ามือและท่อนแขน บางครั้งหยิบ
ชายผ้าขาวม้าที่ใช้คาดเอว ซับเหงื่อเป็นบางครั้ง
     วันนี้อากาศร้อนอบอ้าว แสงแดดที่ส่องผืนน้ำ
มองดูระยิบระยับกระทบพร่างพรายนัยน์ตายิ่งนัก
เขาหยีตาพร้อมกับรีบจ้ำพายอย่างช้าๆ เบื้องหน้า
เป็นคุ้งน้ำที่ต้องปาดหัวเรือรองรับกระแสน้ำ
ตาสอดส่ายมองไปเบื้องหน้า ป้องกันเรือที่เลี้ยวโค้ง
มิให้เกิดอันตรายแก่ผู้โดยสารบนเรือที่เขาทำหน้าที่
ป้องกันภัยที่เกิดขึ้นไม่คาดคิดได้
     ภายในประทุนเรือมีผู้โดยสารหญิงและชายที่กำลัง
สนุกสนานร้องรำทำเพลง ทานอาหารที่เขาเตรียมกันมา
มีทั้งเหล้า  เบียร์บุหรี่อาหารวางไว้ตรงหน้าเรียงรายสับสน
บางคนโยกตัวไปมาตามจังหวะเสียงเพลงที่พวกเขาร้อง
ทำให้เรือบางครั้งโคลงเคลงเหวี่ยงตัวไปมา 
     พ้นคุ้งน้ำเบื้องหน้าจะเป็นศาลาพักร้อนผู้โดยสารที่ใช้พักผ่อน
ชั่วคราว   บริเวณวัดที่ทางวัดจัดไว้ให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมได้พักเรือ
เพื่อเข้ามาท่องเที่ยว ภายในวัดเป็นบริเวณกว้างที่ปลูกไปด้วย
พืชพันธุ์ไม้ดอกนานาชนิด กำลังออกดอกเบ่งบานสะพรั่ง
บ้างมีกลิ่นหอมที่พัดล่องลอยมาตามสายลม ริมชายบริเวณ
เป็นพระอุโบสถหลังย่อมๆ  หน้าพระอุโบสถ์เป็นรูปปั้นเทพารักษ์
บ้างเป็นรูปยักษ์ เทวดาทั้งหญิงและชาย เรียงรายรอบ
พระอุโบสถ์  ผนังรอบพระอุโบสถ์สลักไว้ด้วยลายไทยทั้ง
ช่อฟ้าใบระกา สวยงามยิ่งนัก  และถูกปกคลุมด้วยไม้ใหญ่
ร่มรื่นเย็นตาทรงไว้ซึ่งความเป็นไทยอันแท้จริง
     หลังจากงัดหัวเรือเข้าเทียบฝั่งหาที่จอดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ชายหนุ่มเจ้าของเรือก็ทำหน้าที่มัคคุเทศก์พรรณนาบริเวณวัด
บอกอายุอานามตลอดสถานที่เที่ยวให้ผู้โดยสารฟังพอสังเขป
และขอเวลาบอกกำหนดเวลาเข้าท่องเที่ยวเพื่อจะเดินทางต่อไป
     ทุกๆคนรีบกระวีกระวาดขึ้นจากเรือ เหลือไว้แต่คนบางคน
ที่ไม่ขึ้นไปเที่ยวคงอาศัยเรือในการหาความสำราญต่อไป
      ชายหนุ่มก้าวขึ้นจากเรือไปยังบริเวณศาลาริมน้ำพลางขยาย
ผ้าขาวม้าออกซับเหงื่อและใช้โบกไล่ความร้อนที่แผ่กระจาย
เขานั่งพักรอการกลับมาของผู้โดยสารที่พากันออกท่องเที่ยว
พึ่งสังเกตเห็นว่า เขาเป็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งแม้จะไม่
แต่งตัวเด่นดีนัก รูปร่างสูงโปร่งกำยำ ใบหน้ายาวเรียว 
ผมหยักโศกเล็กน้อย ปรอยผมที่ปล่อยแตะหน้าผากยิ่งทำ
ให้เขาสง่างามยิ่ง
     ลมพัดกระโชกแรงจนผมกระจายไสว เขาลูบเสยผมเบาๆ
คนในวงการเดียวกันเรียกเขาว่า  ไอ้มิ่ง เรือแจว 
จากการสนทนาจึงทราบว่า  ไอ้มิ่งหรือนายมิ่ง  เป็นหนุ่มโสด
เป็นลูกชายคนเดียวที่มีฐานะปานกลางของพ่อเฒ่าแม่เฒ่าที่
คนในละแวกนั้นเคารพนับถือเพราะเป็นผู้ใหญ่บ้านระแวกนั้น
แต่ได้เสียชีวิตไปหมดแล้วเพราะความไม่ยอมคนของผู้ใหญ่
ทำให้ผู้มีอิทธิพลในแรกนั้นเป็นเดือดเป็นแค้นสาเหตุจากการ
ปกป้องที่ดินของชาวบ้าน จะด้วยสาเหตุนี้หรือไม่ทราบที่เป็น
เหตุให้ผู้ใหญ่ซึ่งมีอายุได้เสียชีวิตลงทั้งคู่ แต่ระหว่างนั้น
 นายมิ่ง  ไม่อยู่เพราะไปเรียนหนังสือที่  กรุงเทพฯ  
พ่อกำนันได้ดูแลทรัพย์สินไว้ให้เขา จวบจนเขากลับมา
แต่ด้วยความขยันหมั่นเพียร เขาทำสวนที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้
และหารายได้พิเศษด้วยการรับจ้างพายเรือนำท่องเที่ยว
ด้วยอัธยาศัยที่อ่อนน้อม เด็ดขาดเหมือนพ่อแม่ จึงเป็น
ที่รักและเกรงขามของคนทั่วไป  
     พ่อกำนันต้องการให้เขาเป็นผู้ใหญ่บ้านสืบทอดต่อไป
 แต่เขาขอตัวเพราะจะทำให้เขามิอาจลืมความหลังได้  
แต่การคบหาสมาคมในหมู่คนก็ยังดำเนินต่อไปอย่างสม่ำเสมอ
      พี่มิ่ง นั่งคนเดียวหรือ  เสียงทักทายดังมาข้างหลัง
เขาหันหลังกลับมองดู เป็นเด็กหนุ่มอายุอานามอ่อนกว่า
เอ้อะว๊ะ...นำคนมาเที่ยวเดี๋ยวก็ไปแล้วล่ะ   ชายหนุ่มตอบ
พร้อมหันมายิ้มให้  การยิ้มของเขาสร้างบุคลิกพิเศษชวน
มองยิ่งนัก ทั้งๆที่คราบเหงื่อยังจับเปรอะเปื้อนบางแห่ง
 สบายดีหรือไอ้หรุ่น  หลวงพ่อเป็นอย่างไรบ้าง  เขาย้อนถาม
 กูไม่ได้มากราบนมัสการนานเหมือนกัน  ไม่ค่อยว่างว๊ะ 
ก็อย่างงั้นๆแหละพี่ เมื่อเช้านี้ทำท่าจะเป็นลม แต่ตอนนี้กำลังจำวัด
ฉันเลยมีโอกาสมาเดินเล่นจ๊ะ
แล้วพี่จะไปไหนต่อล่ะ
เขาจ้างกูให้พาไปที่ท่าฉนาก ไปดูปลาที่คุ้งหน้านี่แหละ นี่ใกล้เวลาแล้ว
เดี๋ยวกูก็ต้องไป วันนี้ร้อนจริงๆว๊ะ ชายหนุ่มรำพัน
เสร็จแล้วพี่แวะมาหาหลวงพ่อหน่อยน๊ะ ท่านบ่นหาพี่เรื่อยๆล่ะ
สงสัยจะยากว๊ะ เพราะต้องไปส่งเขาที่ท่าเรือ กว่าเสร็จคงค่ำๆนั่นแหละ
มึงบอกหลวงพ่อด้วยว่ากูคิดถึงท่าน หากว่างๆจะมากราบมนัสการท่านน๊ะ
อ้อ...พรุ่งนี้มึงแวะไปที่สวนกูด้วยนะ กูจะฝากผลไม้มาถวายหลวงพ่อด้วย
ชายหนุ่มพูด พร้อมหันไปมองบริเวณลาน คอยสังเกตดูพวกท่องเที่ยวที่กำลัง
เดินกลับมา เป็นกลุ่มเป็นพวก
มึงอย่าลืมล่ะไอ้หรุ่น สงสัยกูต้องไปต่อแล้วล่ะ พลางหันมายกมือลูบหัว
ชายหนุ่มนั่งมองดูคนที่กำลังเดินผ่านเขาไปขึ้นเรือ  ทันใดนั้น เขาสะดุ้ง
เมื่อได้ยินเสียงร้องถามจากหญิงสาวคนหนึ่ง มายืนข้างๆเมื่อไหร่ไม่ทราบ
พี่นัฐใช่ไหม? น่าจะใช่น๊ะ !   พูดพลางยืนจ้องหน้ามองเขา
ฉันนั่งมองในเรือตั้งนานแล้ว สงสัยก็สงสัยจะถามเมื่ออยู่ในเรือแล้ว
เห็นกำลังพายเรืออยู่ไม่แน่ใจ ได้โอกาสจึงถามให้แน่ใจ
ชายหนุ่มหันมาส่งยิ้มให้  คุณแน่ใจหรือครับ เขาตอบ
นั่นซิ นก ก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกัน ถามเพื่อให้แน่ใจ
เห็นพี่หายไป...นับจากแข่งขันฟุตบอล มหาลัยได้แชมป์ปีนั้น
ก็ไม่เจอพี่อีกเลย ติดตามข่าวพี่เสมอ หลังรับปริญญาแล้วก็หาย
หน้าไป  อาจารย์ถามข่าวคราวพี่น๊ะว่าเสียดายขาดศูนย์หน้าเก่งๆไป
 คุณแน่ใจหรือครับว่า ผมพี่นัฐของคุณ นัฐมีหลายคนนะครับ
อาจจะจำคนผิดก็ได้  ชายหนุ่มยิ้ม
     ส่วนไอ้หรุ่นทำหน้าเหรอหรา กรอกตาไปมาเฝ้ามองชายหนุ่มหญิงสาว
วิสาสะกัน มันแปลกใจทำไมหญิงกรุงเทพฯรู้จัก พี่มิ่งของมัน
ใครๆก็จำพี่นัฐได้ดี เพราะไม่เหมือนนักเตะคนอื่นจ๊ะ หญิงสาวตอบ
และยิ่งเป็นคนเก่งของมหาลัยด้วย หญิงสาวชม
ใช่หรือเปล่าจ๊ะ หล่อนขยั้นขยอขอคำตอบ
ชายหนุ่มมองหน้า เขายิ้มพร้อมพยักหน้าเป็นการตอบ
     หญิงสาวเบิ่งตาโตด้วยอาการตื่นเต้นยินดี พลางหันหน้า
ไปตะโกนโหวกเหวกกับพักพวกที่บ้างกำลังเดินมา บ้างอยู่ในเรือ
เฮ้!ๆๆๆ...พวกเรา พี่นัฐคนเก่งอยู่นี่แล้วเว๊ย
     นัฐพล กาญจนภาศน์...อดีตนักฟุตบอลศูนย์หน้าดาวยิง
ประตูที่นำชัยชนะมาสู่มหาลัยได้เป็นแชมป์มหาลัย หลังจาก
สิ้นสุดเขามา มหาลัยก็ไม่เคยได้แชมป์อีกเลยจนบัดนี้ จึงเป็นขวัญใจ
ของเหล่านิสิตนักศึกษาที่กล่าวขวัญนามของเขา ชื่อเขาและรูปถ่าย
ได้ถูกจารึกในแผงคนที่ทำประโยชน์ให้แก่มหาลัยจนกระทั่งบัดนี้
      สักพัก..เขาถูกรุมล้อมจากหญิงสาวชายหนุ่มทั้งหลาย บ้าง
เขย่าตัวเขา บ้างโอบกอดเขา บ้างขอถ่ายรูปเขาไว้เป็นที่ระลึก
จนทำให้ ไอ้หรุ่นต้องรีบถอยหลบมาข้างๆด้วยตื่นเต้นในกริยาที่เห็น
     แน่ล่ะ...เมื่อมาพบคนที่เป็นขวัญใจอย่างไม่คาดคิดย่อมนำมา
ซึ่งความตื่นเต้นยินดี เสียจ๊อกแจ๊ะเซ็งแซ่ไปหมด บ้างรู้จัก บ้างไม่รู้จัก
เพียงเห็นแต่รูปถ่าย แต่ก็ได้รับการกล่าวขานจากอาจารย์และศิษย์
รุ่นพี่ที่ตกทอดกันมา ทุกๆคนตื่นเต้น จนกระทั่ง...
     ชายหนุ่มเอ่ยขอร้องและพูดว่า
 ได้เวลาแล้วครับ ผมต้องนำพวกคุณไปยังอีกแห่งหนึ่งตามกำหนดการครับ
ไม่ต้องไปแล้วครับ  เฮ้! พวกเราว่าไง  พาพี่นัฐไปเลี้ยงที่ท่าเรือดีกว่าน๊ะ
ชายหนุ่มคนหนึ่งหาเสียงกับพักพวก
ไม่ได้หรอกครับ เดี๋ยวรู้ถึงนายท่าจะว่าผม 
ยังไงก็ให้ถึงปลายทางก่อนเถอะครับ
ตามใจพี่นัฐเถอะ อย่าสร้างความลำบากใจให้พี่เขา หญิงสาวคนหนึ่งตอบ
สักครู่เหล่าชายหญิงทั้งหมดห้อมล้อมเขา พากันไปลงเรือ
เฮ้ยหรุ่น...อย่าลืมบอกหลวงพ่อและอย่าลืมไปเอาของด้วยนะ 
ชายหนุ่มหันมาสั่ง พร้อมทั้งเดินนำหน้าพานักท่องเที่ยวไป
     เรือได้ถูกนำออกจากท่าวัด ค่อยๆทวนน้ำผ่านไปยังคุ้งข้างหน้า
พ้นคุ้งหน้า ก็จะถึงแล้วครับ เขาบอก
ผมช่วยพี่พายไหมครับ ผมพายเรือเป็น หนุ่มหลายคนอาสา
ขอบคุณครับ ไม่ต้องหรอกครับ กระแสน้ำที่นี่ต้องรู้ทางน้ำครับ
ชายหนุ่มกล่าวขอบคุณหนุ่มเหล่านั้น พลางวาดพายอย่างรวดเร็ว
     ณ ที่บริเวณท่าน้ำฉนาก ฝูงปลานานาชนิดต่างว่ายขนานคู่กับเรือ
พอเรือจอดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บางคนก็มานั่งมองปลา ให้อาหารปลา
บ้างก็เดินไปชมทัศนียภาพในบริเวณนั้นที่ถูกตบแต่งอย่างสวยงาม
เขาขอตัวจากหนุ่มสาวเหล่านั้นแล้วเดินหายไปยังหลังพุ่มไม้ที่ปกคลุม
ครึ้มร่มเย็น ลมชายน้ำพัดมาลบบรรยากาศอันร้อนอบอ้าวเสียสิ้นเชิง
     ทุกๆคนต่างสนุกสนานเพลิดเพลินจนลืมเรื่องที่ผ่านมา แต่ก็ยังมี
บางคนกำลังจับกลุ่มวิจารณ์ความเป็นมาของเขาอยู่
     เห็นทีขากลับจะต้องรีบไปบอกกับยายรัชเสียแล้วล่ะ ว่าเขาอยู่ที่นี่
หญิงสาวคนหนึ่งกล่าวกับเพื่อนๆที่จับกลุ่มวิพากย์วิจารณ์
เออจริงว๊ะนก...รัชมันหมองเศร้านักไม่ยอมไปไหนมาไหนเหมือนก่อน
อีกคนกล่าว พร้อมหันหน้ามาพยักหน้ากับเพื่อนๆ
นั่นซิ..อกมันหักดังเปาะ ซึมไปเลยตั้งแต่เขาหายหน้าไป
ข่าวคราวก็ไม่ส่งมาถึงเลย แย่จังเลยอะไรก็ไม่รุ๊
สาวหน้าหม๋วยกล่าวขึ้นบ้าง
ช่างเถอะๆ นี่ก็นานแล้วน๊ะ เธอไปบอกพวกหนุ่มๆให้รีบกลับดีกว่า
แต่เอ๊ะ...เขาหายไปไหนหนอ
ทุกๆคนหันมองหันหลังกลับไปยังบริเวณลานไม้เหล่านั้น
โอ้...มาแล้วตรงต่อเวลาดีจังเลยนะ สาวอีกคนหนึ่งกล่าว
     สักพักใหญ่เรือก็ถูกพายออกจากบริเวณนั้น ล่องตามน้ำมาดูว่า
เรือจะแล่นเร็วกว่าขามา 
พี่นัฐ...เห็นเด็กที่วัดเรียกพี่ว่า มิ่ง ใช่ไหม! คำถามถูกสร้างขึ้น
ชายหนุ่มหันมายิ้ม
ครับ...นั่นเป็นชื่อเล่นที่ทางนี้เรียกผมครับ ชายหนุ่มตอบ
อ้าว..แล้วหากจะมาหาพี่ ถามคนที่ท่าเรือคงรู้จักพี่และพาไปพบได้น๊ะ
สาวสวยคนหนึ่งหันมาถาม
ครับ...ถามถึง ไอ้มิ่ง ใครๆก็รู้จักครับ 
พวกคุณจะกลับมาเที่ยวอีกหรือ แต่ว่าบางทีอาจจะไม่ได้มากับผมก็ได้
เพราะพวกเราแบ่งๆกัน หากจังหวะดีก็จะพบผมครับ
สนุกไหมครับ หวังว่าพวกคุณคงจะสนุกนะครับ เขาย้อนถาม
นั่นซิ...บางทีอาจจะไปเที่ยวบ้านพี่ก็ได้น๊ะ อีกคนรีบกล่าว
แล้วบ้านพี่อยู่ที่ไหนล่ะ  ถามคนแถวนี้คงทราบนะ
อาจจะไปล้มทับพี่ที่บ้านก็ได้นะอีกคนพูดพร้อมอมยิ้ม
ไม่เป็นไรครับ ผมยินดีต้อนรับพวกคุณเสมอๆ บอกก่อนนะครับ
ว่าบ้านผมเป็นบ้านเล็กๆบ้านนอก หาความสะดวกสบายไม่ได้
อีกอย่างหนึ่งบางทีคุณอาจจะชอบและได้ไปเก็บผลไม้ติดไม้ติดมือ
กลับบ้านก็ได้ ผมยินดีเสมอๆนานๆจะได้ต้อนรับสักที
ชายหนุ่มกล่าวตอบตามอัธยาศัยไมตรี
     ภายหลังจากสิ้นธุรกิจที่รับใช้ชาวกรุงเทพฯแล้ว มิ่งก็นำเรือกลับ
บ้าน ซึ่งติดอยู่กลับแม่น้ำ มีศาลาหลังเล็กสร้างไว้ใช้พักผ่อนยามเย็น
ข้างๆเป็นคลองเล็กๆที่ถูกขุดไว้เพื่อนำเรือไปจอดไว้มีหับมุงหลังคาจาก
เป็นอู่จอดเรือ ซึ่งห่างจากบ้านเขาไม่มากนัก ปลูกเป็นสองชั้น ด้านหลัง
และข้างเป็นสวนผลไม้ที่กำลังออกผลสะพรั่ง เขาใช้วิชาที่ร่ำเรียนมา
ทำประโยชน์ในผืนที่ที่พ่อแม่มอบให้แก่เขา ทำรายได้ให้เขาปีละไม่น้อย
     หลายๆต่อหลายบ้านแถบนั้นพยายามที่จะมาเป็นญาติเกี่ยวดองกับเขา
เนื่องจากเขาเป็นหนุ่มโสดขยันขันแข็งต่อการงาน อัธยาศัยอ่อนน้อมเสมอ
ตัวคนเดียวมีทรัพย์สมบัติเนื้อที่มากพอประมาณไม่ติดเหล้าการพนัน
 มีคนงานสองสามคนที่เขาจ้างไว้ดูแลสวนของเขา จึงเป็นที่ปรารถนาคนทั่วไป
 เขาเพียงแต่ยิ้มแต่ก็ไม่ปฏิเสธและบอกว่ายังไม่ถึงเวลา
      อันที่จริงย่อมไม่มีใครรู้ความในใจเขาหรอก  มักซึมเศร้าในบางครั้ง
เขาชอบมานั่งหลังสิ้นสุดการงานใช้เวลาว่างกับศาลาท่าน้ำหลังนี้
ปล่อยอารมณ์ย้อนกลับสู่อดีตที่ผ่านมา เหมือนจะคอยใครสักคนหนึ่ง
   ใช่แล้ว รัชนีกร แม่ดวงจันทร์วันเพ็ญ เพื่อนหญิงที่รักยิ่งของเขา
         ย้อนทวนอดีตเมื่อครั้งยังเรียนหนังสือด้วยกัน 
และจากกันเพราะความไม่เข้าใจ   เขาและหล่อนทะเลาะ 
สาเหตุจากความเข้าใจผิด ความหึงหวงหรือความน้อยใจเป็นเหตุ
ใช่ซิ อาจจะใช่...หลังจากที่เขาเห็นหล่อนเพน้าพะนอกับหนุ่มร่ำรวย
มีรถรับส่งประจำ ส่วนเขาหรือนั่งรถเมล์ด้อยทั้งฐานะทั้งปวง เพียงแต่
เขาเด่นกว่าก็ตรงที่เป็นดาราของมหาลัยเท่านั้น นอกนั้นเขาแพ้ขาด
     แต่หล่อนกลับบอกเขาว่า เป็นทั้งญาติและเพื่อนห่างๆกัน
แต่เขาไม่แน่ใจ จากความรู้สึก การสนิทสนมเกินขอบเขต
     เมื่อเรียนจบเขาจึงประชดด้วยการหนีกลับบ้าน พอดีพ่อกำนันแจ้ง
มาถึงการจากไปของพ่อแม่เขาจึงต้องรีบกลับมาดูแลงานศพ
ตลอดสมบัติของพ่อแม่ด้วยการทำทุกสิ่งทุกอย่าง
โดยไม่คำนึงถึงเรื่องนี้อีกต่อไป  ปล่อยให้เป็นอดีตที่เลือนราง
     บัดนี้ทำไมเขาต้องย้อนหวนกลับสู่อดีตอีกหลังจากได้รับทราบ
จากกลุ่มที่เขาพานำเที่ยวถึงข่าว รัชนีกร สาวผู้สร้างความบอบช้ำไว้
ในขณะที่เขากำลังนั่งทอดอารมณ์บนศาลาท่าน้ำแอบได้ยินสนทนากัน
แต่เดี๋ยวนี้เขาปล่อยจิตหวนคำนึงสิ่งที่ผ่านมาให้ล่องลอยตามกระแสน้ำ
ที่ไหลรินอย่างเชื่องช้า  ผ่อนคลายอารมณ์คลุกกรุ่นลงได้บ้าง

                     กระแสน้ำไหลรินจินต์เทวษ
              อาณาเขตห่วงรักจักไพศาล
              สร้างรอยช้ำน้ำใจข้าช้าเนิ่นนาน
              ทุกคืนวันกาลเวลามาระทม
                      อกเอ๋ยอกใครเขาจะรู้บ้าง
              รักที่ร้างบ่งบอกพอกสะสม
              นั่งศาลาริมน้ำทนทุกข์ระทม
               ช่างขื่นขมปมร้าวเศร้าหทัย
                       รักหนอรักแนบสนิทติดสู่ห้วง
                 รัชนีกรบ่วงคล้องศอล้อใจหาย
                 นั่งโดดเดี่ยวเปลี่ยวอุราล้าใจกาย
                  โลมรักคลายสลายแล้วแก้วตาเอย.

   เวลาที่มีอารมณ์เขามักแต่งกลอน และเขียนติดไว้ฝาผนังศาลาริมน้ำ 
เพื่ออ่านทบทวนและทิ้งอารมณ์ลงสู่สายน้ำที่ไหลผ่านไป 
          เย็นมากแล้วอากาศสลัวๆค่อนข้างมืดครึ้มท้องน้ำว่างเว้น
พระอาทิตย์ครึ่งดวงจับอยู่เหนือทิวไม้ปลายขอบฟ้า เงาสลัวๆ
กำลังเคลื่อนเข้ามาๆจากลิบๆ ใกล้เข้ามาพอสังเกตุได้ว่าเป็นเรือ
ที่กำลังวาดหัวเรือตรงเข้ามา
     ใครหรือกำลังมาหาเขา หรือว่าพ่อกำนันส่งคนมาตาม
แต่คงไม่ใช่หากเป็นคนของพ่อกำนันคงเป็นเรือแจว
แต่นี่เป็นเรือที่มีประทุนด้วย ลักษณะเพียบน้ำคงมีคนนั่งมาด้วย
เขานั่งจับตามองดูให้สงสัยยิ่งนัก  เรือมาถึงแล้วที่ท่าน้ำ
คนแจวท้ายเป็น ไอ้เวก คนหากินด้วยกัน แต่แปลกนี่ก็เกือบมืดแล้ว
ทำไมยังรับจ้างอยู่อีกหรือ หรือว่ามาธุระส่วนตัว
 ไอ้มิ่งโว้ย  มีคนมาหามึงแน๊ะ  เสียงเรียกจากไอ้เวก
พร้อมทั้งมันก้าวนำหน้าแขกแปลกหน้าสองคน
เวกหรือ มึงนำใครมาว๊ะ เขาร้องถามออกไป
คนกรุงเทพฯว๊ะ  เขาจ้างกูมาพิเศษมาพบมึง
มึงดูเอาเองโว้ย  พลางหันไปบอกคนตามหลังมา
นี่คุณ...นั่นแหละไอ้มิ่งที่คุณถามหา ใช่หรือเปล่าล่ะ
ขอบใจมากจ๊ะนายเวก ผู้ตอบกลับเป็นหญิงสาวสองคน
นี่ฉันบอกตรงๆฉันก็กลัวเหมือนกัน ดีน๊ะที่คนแถวนั้นบอกก่อน
ว่าหากมาหานายมิ่งไม่มีใครกล้าทำร้ายหรอก จึงได้กล้ามาน๊ะ
นายเวกหันมาแสยะยิ้ม 
โอ้ยใครจะไปกล้ากับไอ้มิ่ง คนรักและกลัวมันมากจ๊ะ
มันเป็นคนดี คนโปรดของพ่อกำนันเสียด้วย ใครกล้ายุ่ง
มีหวังถูกพวกพ่อกำนันกระทืบตาย มันหันมากล่าวตอบ
ไปล่ะนะ พร้อมลงวาดหัวเรือออก และตะโกนสำทับอีกที
ไม่ผิดหรอกนั่นแหละ ไอ้มิ่งคนหล่อ พร้อมส่งเสียงหัวร่อ
มันยังไม่มีเมีย ยังไงๆก็ระวังมันด้วยเน้อฮ่าๆๆ มันหัวร่ออีก
พร้อมรีบแจวเรือออกสู่กลางน้ำอย่างรวดเร็ว ไม่คำนึงถึง
เสียงที่ลอยตามหลังมันมา  ไอ้ห่า...
     อ้าว คุณนก หรือ  ทำให้นึกถึงภาพครั้งก่อนที่เคยนำพวกเขา
เที่ยวชมสถานต่างๆ และคนนี่แหละที่เรียกชื่อจริงของเขา
แต่ก็ไม่วายหันหน้าไปมองหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่ก้มหน้าอยู่ แสงสลัว
ให้รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเสียจริงๆ
     แล้วเขาก็ต้องสะดุ้งสะท้านกายเย็นเฉียบ ตลึงงันต่อน้ำเสียง
หญิงสาวที่คุ้นหูเรียกเขาด้วยน้ำเสียงแตกพร่า.....
พี่นัฐ....พี่ๆ...จำไม่ได้ หรือว่าลืมรัชแล้วหรือ เสียงสั่นเครือถามเขา
     เสมือนฟ้าผ่าตอนเย็นไร้ฝนโปรย  กระทบความมืดที่ปกคลุม
จึงเห็นเพียงแสงสลัวๆของชายน้ำริมฝั่งกระทบต่อร่างคนถาม
      บอกไม่ถูกว่าตอนนั้นร่างของเขาเป็นอย่างไร นอกจากอาการชา
ตื่นเต้น งงงัน  เหมือนฝันที่ปรากฏเป็นความจริงตามแรงปรารถนา
มิกล่าวเปล่า เขาจำได้พอดี  ร่างนั้นถลาเข้ากอดเขาพร้อมร่ำไห้
  นัฐใจร้ายจริงๆ   ไม่ส่งข่าวให้รู้บ้างเลย หาก นกเขาไม่บอก
ว่าเจอ นัฐที่นี่  ขยั้นขยอยืนยันว่า ใช่ นัฐ แน่นอน แต่ทว่า
นัฐ คงเข้าใจผิดนะสันต์กับรัช ไม่มีอะไรกันจริงๆเราเป็นญาติและ
และเพื่อนเล่นกันตั้งแต่เด็กๆ ภาพที่นัฐเห็นมันเป็นเรื่องธรรมดา
ของการหยอกล้อนับเป็นพี่น้องคลานตามกันมาก็ว่าได้ จึงทำให้
เข้าใจผิดกัน เขาพึ่งแต่งงานไปเมื่อเดือนที่แล้วนี่เองน๊ะ หญิงสาวตอบ
นัฐไม่น่าใจร้อน  พอสอบถามเพื่อนก็ทราบว่านัฐหายไปจากหอแล้ว
และพวกเขาไม่รู้ว่านัฐไปที่ใด รัชเองได้แต่รอและติดตามข่าวนัฐเรื่อยๆ
หญิงสาวพ้อต่อว่าชายคนรัก ที่ไม่เข้าใจถึงความรู้สึกของหล่อน
ผมขอโทษ รัช ผมเองวู่วามไปทำให้ผมเองต้องระเห็จมาไม่เหยียบ
ไปกรุงเทพฯอีกเลยและก็พอดีพ่อแม่ผมเสียจึงต้องเป็นภาระดูแลที่นี่
เขาตอบ พร้อมผลักหญิงสาวถอยเล็กน้อย หันมากล่าวกับหญิงสาว
อีกคนหนึ่ง ซึ่งยืนมองโน่นมองนี่ทำเป็นไม่เห็นการกระทำของพวกเรา
คุณนก เชิญขึ้นบ้านก่อนเถอะครับ ที่นี่ยุงชุมมืดด้วย
พร้อมทั้งประคองหญิงสาวและเพื่อนสาวออกนำหน้าขึ้นเรือนไป
     บนเรือนชายหนุ่มรีบไปตามหญิงกลางคนภรรยาของคนงานที่
เขาจ้างดูแลสวนมาอยู่เป็นเพื่อนปรนนิบัติข้าวปลาอาหารอื่นๆ
และเพื่อป้องกันครหานินทาจากชาวบ้าน  ที่อาจจะมีขึ้นในภายหลัง
ต่างคนต่างเล่าเหตุการณ์ต่างๆหลังจากแยกทางกันมา ปรับความเข้าใจกัน
ได้พร้อมทั้งสัญญาว่าจะไม่ให้มีเหตุการณ์เช่นนี้อีกต่อหน้านกเพื่อนสาว
อีกยังทั้งสัญญาว่าจะให้พ่อกำนันไปสู่ขอต่อพ่อแม่ของรัช
หากหล่อนไม่ขัดข้องและรังเกียจฐานะของเขา 
     หลังจากอาหารเช้ามื้อนี้ผ่านพ้นไป เขาไปส่งหญิงสาวยังท่าเรือ
พร้อมส่งยังรถประจำทางเดินทางกลับกรุงเทพฯ  
     ภายใต้หัวใจที่ร่ำร้องก้องกังวานต่อกันถึงวันข้างหน้าที่จะมาเยือน
อดีตที่ผันผ่านกาลเวลาที่หวนคืน ใครบอกล่ะว่าเวลาย่อมไม่หวนกลับ
หากจะนับตามนาฬิกาแล้วเลขหนึ่งย่อมย้อนคืน เข็มมักจะมาที่เลขนี้
นี่แหละคือหนึ่งเดียวในห้วงภายในที่ได้หวนคืนสู่เขาอีกวาระหนึ่ง
หัวใจรักที่ย้อนไหลวกกลับคืน ชื่นบานยิ่งนักสำหรับเขาที่พ่อกำนัน
บอกว่า  ดีเหมือนกัน ไอ้มิ่ง
 กูจะได้มีหลานอีกคน เออๆๆๆ ที่ดินกูข้างแปลงมึงว่างเปล่ามานานแล้ว
กูจะได้ยกให้เป็นค่าสินสอดทองหมั้นว๊ะ ฮ่าๆๆๆๆ แกหัวร่อร่วนด้วย
อารมณ์ดีจนเห็นเหงือกแดงแจ๋ ส่วนแม่เฒ่าเล่าก็เอาแต่ลูบหน้าลูบหลัง
ลูกเอ๋ย..เป็นฝั่งเป็นฝาเถอะนะ  แม่จะได้ตายตาหลับเสียที  
แกพูดพลาง เช็ดน้ำหมากที่ไหลย้อยจากปากพลาง
     จริงซินะ...พ่อกำนันแม่เฒ่านั้น ตามที่จริงก็เกี่ยวดองเป็นญาติกัน
ทางทวดของแม่เขา และรักเขาห่วงใยเหมือนลูกคนหนึ่งหลังจากที่
เขาสิ้นพ่อแม่ไปก็เป็นห่วงดูแลตลอดมา
      วันเวลาที่เขารับจ้างพายเรือเมื่อเวลาว่างหาพิเศษเพื่อลืมสิ่งในอดีต
ที่รุมเร้าให้ผ่านพ้นไปวันๆหนึ่งอุปมาเรือน้อยที่คอยรักหวนคืนกลับมา
     มาบัดนี้เขาได้ในสิ่งที่ปรารถนาแล้ว หลังวันแต่งงานไม่เท่าไร สิ่งที่
รับจ้างจากผู้โดยสารเปลี่ยนไป แต่กลับรับจ้างห้วงรักจากใจให้แก่สาว
สุดที่รัก ลอยละล่องท่องทิวน้ำที่ไหลตามกระแสคลื่นเพื่อฝากหัวใจมั่นคงใน
รักตลอดชั่วกาลนาน
     รัชจ๋า...ดูจันทร์เพ็ญซิช่างเหมือนรัชจังเลย
จะบ้าหรือพี่...นั่นดวงจันทร์นี่รัชนะ หญิงสาวหยิกหยอก
อ้าวๆๆๆ...ก็รัชนีกร แปลว่า ดวงจันทร์นี่นา จะไม่เหมือนรัชได้ไงล่ะ หนุ่มยิ้มตอบ
      หนุ่มสาวเย้าหยอกล้อบนเรือน้อยที่ปล่อยให้ลอยละล่องตามสายน้ำ
ยามค่ำคืนเดือนเพ็ญ พร้อมรวมจิตอธิษฐานกระทง
ที่นำมาใบเดียว เพื่อความเป็นหนึ่งเดียวในหัวใจรักเขาทั้งสองมั่นคง
        กระทงน้อยไหลล่องลอยไปตามน้ำพร้อมสร้างนำหัวใจทั้งคู่สมัครสมาน
ดุจร่างที่พรอดกอดกันกลมบนเรือน้อยมิได้สนใจอะไรให้ลอยพร้อมเรือไปสู่
สถานอันเป็นที่รักยิ่งประสานความงามตามกระแสน้ำชั่วนิจนิรันดร์.

                             ***   แก้วประเสริฐ.   ***
				
18 เมษายน 2549 15:27 น.

เสี้ยวหนึ่งของชีวิต

แก้วประเสริฐ


                             เสี้ยวหนึ่งของชีวิต

            ภายใต้ร่มเงาต้นไทรย้อยใหญ่ ที่แผ่ปกคลุมกว้างทั้งใบ
สายห้อยย้อยระโยงยาง   สั้นและยาวทอดตัวลงสู่พื้นดิน
ถูกปัดกวาดเป็นลานสะอาดพอใช้อาศัยพักผ่อน  คลายลมร้อนได้
       อากาศช่างร้อนอบอ้าวเสียจริง  หมู่เมฆหมอกที่แผ่กระจาย
ดูทะมืนมืดคลุ้ม   ผสมเสียงร้องก้องกังวานน่ากลัวในระยะไกล...
ผ่านแว่วเข้ามาเป็นระยะๆ    คล้ายกำลังจะมีฝนแผ่เข้ามาท่ามกลาง
ลมช่างเงียบสงัดเสียจริงๆ    จะมีบ้างในบางครั้งโชยเป็นระยะๆ
            บนต้นไม้นั้นเล่า..... เหล่านกหลายชนิดต่างๆพันธุ์พักอยู่
เท่าที่เห็นรู้สึกจะมี   นกกางเขน กระจิบ ปลอด แซงแซว เป็นต้น
ซึ่งต่างร้องประสานเสียงต่อกันระงมเซ็งแซ่  ไพเราะอีกแบบหนึ่ง
ทำให้ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดอากาศร้อนที่เกิดขึ้นได้บ้าง
           นกบางตัวกำลังสาละวนกับการหาตัวหนอนแมลงเล็กๆ 
บ้างบินไปมา บางตัวกระโดดโลดเต้น ตามกิ่งไม้  บ้างโกงคอขัน
          พัดเล็กๆที่ทำด้วยใบลานถักสานคล้ายใบบัวถูกพัดโบก
เพื่อไล่แมลงวันและแมลงหวี่  ที่ทำความรำคาญ ไต่ตอมใบหน้า
ตามร่างกาย จะมีบ้างที่พยายามจะบินเข้าทางปาก จมูก
หรือทางนัยน์ตา หากเป็นเช่นนั้นจะนำมาซึ่งโรคตาแดงและไซนัสได้
แมลงวัน...ที่เฝ้าจ้องมองในขณะนั้น มีอยู่หลากชนิดหลายตัว.
มันจัดอยู่ในจำพวกแมลง...มีหลายร้อยหมื่นพันชนิดหลากหลายพันธุ์
         ชนิดหนึ่งตัวเขียวนัยน์ตาแดง ปกติชาวบ้านเรียกมันว่า
 แมลงวันหัวเขียว  และอีกหลายๆตัว เช่นแมลงวันลาย  แมลงวันทอง
และแมลงอื่นๆอีกจำนวนมาก ที่บินไปมา ฯลฯ 
         ที่มองเห็น..กลับเป็นแมลงวันหัวเขียว ลาย และทอง
ซึ่งเกาะอยู่ใต้ร่มไทร ใบหญ้าและต้นไม้อื่น หรือกำลังบินอยู่
       แมลงวันหัวเขียว    แปลกอย่างหนึ่งก็คือ....
ดูหัวของมันไม่เขียวกลับเป็นสีแดงเพราะดวงตาใหญ่โต
สีออกแดงค่อนข้างจะคล้ำ หรือว่า...
ความใหญ่โตของดวงตาจะกลบบริเวณหัวสีเขียวของมัน
จึงมองดูเห็นเป็นหัวสีแดงไปหมด จึงทำให้เป็นที่น่าสงสัย
ต่อคำโบราณที่เรียกขานยิ่งนัก  น่าจะเป็นแมลงวันหัวแดงมากกว่า
       นอกจากสร้างความรำคาญ   ด้วยการบินไต่ตอมไปมา
ทั้งยังเป็นพาหะนำโรคทางเดินอาหารหรือโรคท้องร่วงเป็นอย่างดี
เหตุที่มันชอบคลุกเคล้าหาอาหารกับสิ่งของสกปรก  โสโครก
 ในที่เน่าเหม็นชื้นแฉะด้วยขาของมัน  ที่เป็นขนเล็กๆมากมาย
แล้วนำมาปนในอาหารที่เรารับทานทำให้เกิดโรคต่างๆขึ้นมา
ทั้งยังแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว.... เช่นเดียวกับยุงทั่วๆไป
จนได้รับการขนานนามว่า...เป็นสัตว์ประจำชาติไปเสียนี่...
พวกมันมักชอบวางไข่ในพื้นดินที่ชื้นแฉะสกปรก สร้างวงจรของมัน 
จนเป็นตัวหนอนแล้ววิวัฒนาการเป็นแมลงวนเวียนเช่นนี้ตลอดกาล
       แมลงวันทองนั้นตัวเล็กไม่ใหญ่สีออกสีทอง บางใส
แม้มันจะไม่คลุกเคล้ากับสิ่งของสกปรกนักก็ตามที แต่กลับชอบผลไม้
ดอกไม้    สามารถทำลายผลไม้และไม้ดอกที่ปลูกไว้ในไร่ สวน
 ด้วยการวางไข่เจาะเข้าไปยังผลไม้นั้น   แล้วกลายเป็นหนอนเจาะ
ทำลายพืชพันธุ์ของชาวสวนเสียหายมากนักต่อนักแล้ว
       แมลงวันลายนั้น ตัวของมันเป็นลายพร้อย สีออกเทา
ไม่ฉูดฉาดอย่างแมลงวันหัวเขียวซึ่งมีความสดสวยกว่ามากนัก
แต่ลักษณะรูปร่างเช่นเดียวกับแมลงวันหัวเขียว มีทั้งพันธุ์เล็กและใหญ่
ส่วนพันธุ์ใหญ่นั้น บ้างเรียกกันว่า แมลงวันยักษ์บ้าง ไม่ค่อยชอบปะปนคน
เพราะนอกจากจะกินอาหารประเภทของสกปรกแล้ว
 ก็ยังสามารถสูบกินเลือดของคนและสัตว์ได้อีกด้วย 
 พันธุ์เล็กจะเล็กกว่าแมลงวันหัวเขียว  ส่วนพันธุ์ใหญ่จะใหญ่กว่า
พันธุ์เล็กนั้นจะเที่ยวปะปนอยู่ร่วมกับผู้คนมากกว่าแมลงวันหัวเขียว
       ส่วนแมลงหวี่...นั้นเป็นแมลงตัวสีค่อนข้างดำ
ตัวเล็กนิดเดียวเล็กมาก...ลักษณะเช่นเดียวกับแมลงที่กล่าวมา
ชอบในสิ่งสกปรกผลไม้เน่าๆและชอบบินเข้าปาก จมูกและนัยน์ตา
สร้างความรำคาญอย่างมาก  หากไล่มันจะไม่ยอมไปไหน
วกวนเวียนไปมาจนถูกฆ่าตายที่สุด...ซึ่งแปลกแต่จริง......
ซ้ำเป็นพาหะนำโรคตาแดงและไซนัสอย่างดีเยี่ยม
       นั่งมองสิ่งต่างๆเพื่อคลายร้อนท่ามกลางความคิดอย่างต่อเนื่อง
....คละเคล้าด้วยสายลมที่โชยแผ่ว เสียงฟ้าร้องได้จางห่างหายไป....
ความร้อนอบอ้าว.....ยังแผ่ซ่านระอุอยู่ จนต้องนำผ้าขาวม้า
มาซับเหงื่อที่ไหลย้อยจากใบหน้า ทอดลงมาถึงทรวงอก
         ถัดจากแนวหมู่ไม้แล้วก็เป็นท้องนาที่กำลังออกรวงสีทอง
ที่ย้อยตกรวงเป็นพุ่มแลดูสวยตระการไปในรูปอีกแบบหนึ่ง
จะแลเห็นชาวบ้านกำลังสาละวนในการเก็บเกี่ยวข้าวบางส่วน
ถูกมัดเป็นฟอนๆ วางเรียงรายข้างคันนา เพื่อนำไปนวดที่ลาน
นวดข้าว ซึ่งเป็นลานกว้างทำด้วยดินและขี้ควายตากให้แห้ง
ตรงกลางจะเป็นเสาปักไว้ผูกควายให้เหยียบรวงข้าว ให้เมล็ด
ตกแล้วจะกวาดรวบรวม เอาไปตากแดดจนแห้งเพื่อเก็บเข้ายุ้ง
ข้าว ซึ่งปลูกไว้ต่างหากใกล้ๆกับเรือนที่ใช้พักอาศัย
         ประเพณีการนวดข้าวนี้เป็นที่สนุกสนานยิ่งนัก เพราะชาวบ้าน
ทั้งหนุ่มสาวจะมาช่วยกัน เรียกกันว่าลงแรง และสนทนากัน หยอกล้อ
จีบกันส่วนใหญ่ มักจะเป็นหนุ่มสาวที่ยังไม่แต่งงาน  ส่วนคนที่มีอายุ
ที่ผ่านการแต่งงานแล้ว มักจะมานั่งสนทนาจิบเหล้าขาวหรือเหล้า
ที่ส่วนใหญ่จะเป็นการต้มขึ้นเอง เหล้านี้จะอันตรายมากเพราะกำหนด
ดีกรีไม่ได้ เรียกว่าจุดไฟติดกันเลยทีเดียว ถึงจะนิยมกัน
ส่วนเจ้าของบ้านก็จะจัดหาอาหาร ข้าวปลามาเลี้ยงดูกันเป็นที่สนุกสนาน
    ความนึกคิดและ สิ่งต่างๆที่เก็บซ่อนเร้นได้ผุดพรูพรั่งออกมาจากใต้จิตสำนึก
     อะไรเล่าที่เป็นเหตุเช่นนี้   นอกเสียจากความร้อนเงียบเหงา บรรยากาศ
ที่รุมเร้ายามนั่งอยู่อย่างเดียวดาย....ฝันกลางวันหรือ...เปล่า
     สิ่งด่ำลึกลงไปในท่ามกลางจิตวิญญาณที่สะสมไว้ผุดขึ้นมา...แน่ล่ะ..ดุจ
เสมือนภาพที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ย้อนรอยอดีตผุดขึ้นสู่ดุจนำตำนานมาเผยแผ่.....
         ภาพเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเคยอยู่ด้วยกัน ค่อนข้างวัยหนุ่ม 
รูปร่างสันทัด ผอมบาง จะจัดว่าร่างเล็กก็ไม่เชิง
 เพราะกล้ามเนื้อที่แผงอกยังเป็นมัด แม้ว่าจะไม่ใหญ่โตก็ตาม
 สูงพอประมาณ ใบหน้าขาวเรียวแต่ได้รูปทรงของใบหน้า
 แฝงรอยยิ้มประดับไว้เสมอ   อากัปกิริยาไม่ว่าจะหันไปทางด้านใด 
ทำให้แลดูร่าเริงอยู่เสมอ  นับว่าพอดูได้คนหนึ่ง  ถึงแม้ไม่หล่อเหลานัก
       ไหล่ข้างหนึ่งเขาสะพายไปด้วยย่ามสีค่อนข้างเหลือง
ดู เก่าคร่ำคร่า ภายในใส่สัมภาระอาหารพอประมาณ  
มือทั้งสอง....ข้างหนึ่งถือปิ่นโต..เดินตามหลังพระภิกษุชรารูปหนึ่ง
        พอผ่านคุ้มไม้ไผ่ที่ขึ้นทั้งสองข้างของทางเดินถนน
ที่จัดขึ้นไว้เป็นทางเดินเล็กๆ   ทอดคดเคี้ยวไปมาอันเป็นหนทาง
ของหมู่บ้านถูกใช้ในระหว่างสัญจร.......
     เขารีบจ้ำเดินล้ำหน้าพระภิกษุชรา  ที่ก้มหน้าเดินกิริยาอย่างสำรวม
รีบไปตามสะพานที่ทอดข้ามลำธารเล็กๆสู่บริเวณลานกว้างที่ปกคลุม
ด้วยต้นไม้นานาชนิด  ถูกจัดกวาดดูสะอาดตา  จะมีบ้างก็เพียงเล็กน้อย 
      เบื้องหน้าเป็นกระท่อมยกพื้นเตี้ยๆเล็กๆหลังคามุงด้วยหญ้าคาแฝก 
 พื้นและฝากลับเป็นไม้ไผ่ที่ผ่าออกขัดแตะล้อมรอบ  อย่างเรียบง่าย
พอใช้เป็นที่กำบังฝนและลม  ถูกจัดแบ่งภายในเป็นสองห้องและที่ว่าง
 มีตุ่มน้ำใบเล็กๆตั้งใส่น้ำไว้เต็ม  ใช้สำหรับล้างเท้าจัดวางไว้
       หน้ากระท่อมมีเพิงและแค่ยาวพอประมาณจัดทำด้วยไม้ไผ่ล้วน
เพื่อสำหรับนั่งเล่นหรืออย่างใดอย่างหนึ่งยามพักผ่อน 
      เด็กหนุ่มวางสัมภาระไว้บนแค่ แล้วหันกลับไปคอยรับบาตร
จากพระภิกษุชรารูปนั้น ที่กำลังก้าวล่วงผ่านสะพานน้อยๆข้าม
ลำธารเล็กๆที่ไหลไปสู่เนินแนวต่ำเบื้องล่าง เข้าสู่กระท่อมหรือกุฎี
ที่ชาวบ้านช่วยกันปลูกให้พักพิงอาศัยชั่วคราว....
โดยไม่ห่างจากสำนักสงฆ์เท่าใดนัก    แยกออกมาเพื่อพักผ่อน

       ภายหลังเสร็จภารกิจทุกอย่างโดยจัดแยกอาหารมื้อเย็นของตัว
เก็บล้างสิ่งของต่างๆเพื่อใช้ต่อในวันรุ่งขึ้น     ก็ตกบ่ายกว่าๆเข้าไปแล้ว 
หลวงตาได้เข้าพักผ่อนด้วยการนั่งทำสมาธิปฏิบัติธรรมของท่านต่อไป
        เขาคว้าหนังสือเล่มเล็กๆ  ผ้าขาวม้า พัด  ไม้กวาดที่จัดพิงวางไว้
แล้วเดิน ดุมๆไปยังลานกว้างพอประมาณที่หลวงตาใช้สำหรับเดินจงกลม   
ลงมือหยิบไม้กวาดที่ทำด้วยกิ่งไม้แห้งๆ ที่จัดมัดรวมกันแล้วผูกกับด้ามไม้
ลงมือกวาดใบไม้แห้งที่ตกลงมาไปรวมกองไว้ริมทางเดิน เพื่อสะสางต่อไป
         เขามักจะหยิบบันทึกเล่มเล็กๆที่ใช้เวลาว่างบันทึกสิ่งต่างๆของเขา
นำมาเปิดอ่านและบันทึกต่อเสมอๆ....
        เคยถามว่าทำไมต้องบันทึกไว้  เขาหันมายิ้มพร้อมกับตอบว่า
กันลืมครับ พี่ 
ผมเองก็ไม่รู้ว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร สิ่งนี้เป็นเสมือนสมบัติของผมครับ เขากล่าว
ใช่แล้ว วันนั้นหลวงตานำเขามาพร้อมด้วยคราบเลือดที่เปื้อนตัวเขา กับห่อยาห่อหนึ่ง
  เราเคยถามว่าลูกใครหรือ  หลวงตาตอบว่า 
กูก็ไม่รู้ว๊ะ เห็นนอนสลบข้างทาง ถามดูก็ไม่รู้เรื่อง ถามชาวบ้านก็ไม่มีใครรู้จัก
หลวงตาตอบ พร้อมเรียกให้มาช่วยล้างเนื้อล้างตัวเด็กหนุ่มคนนี้
จะมอบให้พ่อกำนัน หรือชาวบ้านเลี้ยงก็ไม่มีใครเอา ลำพังยังเลี้ยงเอาตัวไม่รอด
หลวงตาเอ่ยต่อไป   กูเลยต้องนำมาเลี้ยงสงสารมันว๊ะ
       ตั้งแต่นั้นมาภาระต่างๆก็ค่อยบรรเทาเพราะเด็กหนุ่มคนนั้นรับไปเสียสิ้น
เขาเป็นคนขยัน มืออยู่ไม่ว่าง จะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่รกหูรกตา น้ำท่าตักเต็มตุ่ม
ปรนนิบัติรับใช้หลวงตาบินบาตรตั้งแต่เช้ามืดจนหลวงตาเข้าปฏิบัติสมาธิและจำวัด
         อ้อ....ลืมบอกไปหลวงตาเรียกเขาว่า  หลง รู้สึกเขาก็ชอบคำๆนี้เหมือนกัน
ทำให้เราสบายขึ้นเยอะ จนกระทั่ง หลง เป็นวัยรุ่นหนุ่มเต็มตัว จนบัดนี้ยังไม่รู้ว่า
เขาเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ชื่อเสียงจริงเรียงนามว่าอะไร ถามดูเขาก็จะมักยิ้มตามนิสัย
ของเขาแล้วบอกว่า 
อ้าวพี่ ผมก็ หลงไงล่ะครับไม่เชื่อถามหลวงตาซิ เขาหัวเราะ แล้วก็วิ่งหนีไป
เพราะกลัวเราเตะเขา  เรามักจะล้อเล่นเขาเช่นนั้นเสมอๆ 
นี่แหละคือชีวิตประจำวัน ตั้งแต่เขาเข้ามาอยู่ด้วย จนกระทั่งวันหนึ่งผ่านเข้ามา....
     จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันที่ทางสำนักสงฆ์มีงานทอดผ้าป่าจากชาวกรุงเทพฯ
หลวงตา และทั้งสองคนถูกเรียกไปช่วยงานต้อนรับ
   เราตื่นแต่เช้าพร้อมหลวงตา รีบไปช่วยงาน จัดแจงสิ่งต่างๆไว้ให้เรียบร้อย
จนกระทั่งขบวนรถชาวกรุงเทพฯได้เคลื่อนเข้ามา หลวงตาได้ขึ้นไปรวมกับสงฆ์
ในสำนัก ยังที่อาสนะที่จัดวางไว้ ส่วน หลง และลูกวัดคนอื่นๆได้ไปช่วยจัดหา
น้ำเพื่อต้อนรับคนที่มาทำบุญ  รู้สึกจะชุลมุนวุ่นวายไปเสียหมด หลังจากทอด
ผ้าป่าเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาทานอาหารเลี้ยงชาวกรุงเทพฯ
พวกเขานั่งกับเสื่อบนพื้นเป็นวงกลม บ้างก็ถือจานข้าวแก้วน้ำเลี่ยงไปนั่ง
ตามใต้ต้นไม้ บ้างก็เที่ยวถ่ายรูปเก็บไว้ รู้สึกว่าชักมีความสนุกครึกครื้นจริงๆ
      เรากับหลงถูกหลวงตาเรียกไปพบภายใน   เบื้องหน้ามีชายและหญิงlสูงอายุ
รูปร่างอ้วนท้วน เพียงเห็นก็บอกได้ว่าเป็นคนมีฐานะร่ำรวย เพราะประดับด้วย
เครื่องของใช้อันมีค่า  เราสองหันไปยกมือไหว้และนั่งข้างๆ แต่ทำให้เราสงสัย
เอ๊ะใจอย่างหนึ่งคือ หลง มันมักจะก้มหน้าไม่ยอมสบตาชายหญิงคู่นั้น
    สักครู่....ได้ยินหลวงตาบอกชายหญิงคู่นั้นว่า
 นี่ไงโยม... พลางชี้มือไปที่หลง ที่ อาตมาเล่าให้ฟังเมื่อครู่นี้ล่ะ
คนทั้งสองหันมาจ้องมองหลงสักพัก ทั้งๆที่หลงก้มหน้าอยู่
     รู้สึกว่าทั้งสองคนน้ำตาไหลคลอเบ้าทั้งสองคน  ตัวสั่น มือไม้สั่นไปหมด
ผู้เป็นชายสูงอายุรูปร่างท้วมเล็กน้อย คลานเข้ามาจับไหล่ หลง 
เอามือช้อนหน้าเขาให้เงยหน้าขึ้น ทั้งสองสบตากัน ยิ่งแปลกไปใหญ่
นัยน์ตาเจ้าหลงกับมีน้ำตาไหลเช่นเดียวกัน....
   พัธน  ใช่ๆๆใช่ พัธน จริงๆเสียด้วย  ชายคนนั้นเสียงสั่นพร่ำมิขาดเสียง
แม่ๆๆๆๆ.... ลูกพัธนเรานะ กล่าวพลางหันไปมองหน้าหญิงคนนั้น	
หญิงสูงอายุคนนั้นก็ไม่รอช้า...รีบเข้ามาดูและสวมกอดเจ้าหลง  ใช่พ่อใช่
พลางสวมกอดและร้องไห้คร่ำครวญ    หนีพ่อแม่มาทำไมลูก
ใครทำอะไรให้ลูก เสียใจหรือ ทำไมไม่สงข่าวให้แม่รู้บ้างเลยนะ 
เสียงสั่นเครือถามต่อเจ้าหลง  
เจ้า  หลง  ก้มหน้าเงียบไม่ตอบแต่ใบหน้าเปรอะคราบน้ำตาเห็นได้ชัด
พ่อผิดเองแม่ ชายคนนั้นรีบตอบ
   พัธน คงเข้าใจพ่อผิด ขณะพ่อเมาถูกเพื่อนพ่อเข้ามาจูบพ่อ เขาเมาเลย
สวมกอดพ่อ แต่ไม่มีอะไรกัน  พัธน คงเข้าใจผิดว่าพ่อมีเมียใหม่
พ่อพยายามอธิบาย พัธน ไม่ฟัง พ่อ  ตกดึกหนีหายไปจากบ้านจนบัดนี้
พ่อก็เล่าให้แม่ฟังแล้วนี่น๊ะ เรื่องนั้น เราต่างก็เข้าใจกันดีแล้วนี่แม่

              เรามารู้ภายหลังว่า เจ้า หลง หรือพัธน คือ
 นาย พัธนชัย บดินทร์เดชา  ลูกชายคนเดียวของเศรษฐีเจ้าของกิจการ
ธุรกิจการค้าหลายล้าน  ที่หนีหายออกจากบ้านมาตั้งแต่วัยเด็ก เพราะ
เอาแต่ใจตัวเองขาดการเอาใจใส่ของพ่อแม่เข้าใจผิดนั่งรถเดินทางขึ้นเหนือ
หนีกระเซาะกระเซิงเข้าป่าจนมาพบกับหลวงตา จากเด็กหนุ่มอยู่กับหลวงตา
จนเป็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งแล้วมาพบบิดามารดาจากงานทอดผ้าป่า
       ซึ่งแท้จริงแล้วทั้งสองเพียงแต่มาเป็นเพื่อนเจ้าของผ้าป่าที่มาทอดนี้
จนมาพบลูกรักที่หนีหายไปจากบ้าน     ทั้งสองขอนำเจ้าหลงกลับซึ่ง
หลวงตาก็อนุญาตและอวยพรกำชับเจ้าหลงเสียกัณฑ์ใหญ่ทีเดียว
เจ้าหลงก็รับปากกับหลวงตาและกราบลาหลวงตาพร้อมหันหน้า
มาทางเราและยกมือไหว้ บอกว่า พี่วันหนึ่ง หลงจะกลับมาหาพี่
        ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา  สำนักสงฆ์ก็ถูกบูรณะเป็นการใหญ่
ทั้งศาลาการเปรียญ ทุกอย่างพร้อมมูลไปหมดด้วยการได้รับบริจาค
จากพ่อแม่ของหลง  เว้นไว้แต่กระท่อมของหลวงตาที่ถูกขอร้องไว้
ให้เหมือนเดิม ซึ่งเจ้าหลงก็ไม่ขัดศรัทธาและบอกเราว่าเขากลับยินดี
เสียอีกจะได้นึกภาพเก่าๆ   เจ้าหลงให้เงินเราก้อนใหญ่ 
แต่เราบอกว่าไม่เอาไม่รู้ว่าจะไปใช้อะไร หากขัดข้องเราจะหนังสือไปบอก 
      เจ้าหลงถ่ายรูปหลวงตาและเราไว้ด้วยกล้องอะไรไม่รู้นิดเดียว 
 บอกว่าจะส่งมาให้ดู   และเราก็ได้รับแต่กลับเป็นล๊อกเก็ตมีรูปถ่าย
มีเรา เจ้าหลง และหลวงตา แปลกจริง เราสองคนรวมหลวงตาสามคน
อยู่ในรูปถ่ายรูปคู่กันได้อย่างไร ทั้งๆที่ต่างถ่ายกันคนละที รวม
พร้อมสร้อยคอทองคำเส้นใหญ่พอประมาณ ส่วนทางหลวงตา
ได้เป็นกรอบรูปถ่ายเราสามคนไว้ประดับทองสวยหรู วางตั้งไว้
      การไปมาหาสู่มีขึ้นเป็นประจำทุกปี  นี่ก็พึ่งจะผ่านไป เจ้าหลงกลับแล้ว
เขาดูใหญ่ขึ้นอ้วนขึ้นสมกับเป็นคนมีเงิน เคยเรียกหาเขาว่า คุณ พัธน
กลับถูกเขายกมือไหว้บอกว่า พี่ อย่าเรียกเช่นนั้น เรียกผม ไอ้หลง เหมือนเดิม
ดีกว่า เราไม่ใช่พี่น้องกัน แต่ก็เหมือนพี่น้องกันเติบใหญ่ขึ้นมาด้วยกัน
ผมขอร้องนะครับพี่    อย่าเรียกผมเช่นนี้อีกนะครับ
           นี่แหละคือรอยจำฝังลึกจากห้วงใต้สำนึกที่ผุดออกมาจากใจ
ยามบรรยากาศที่เงียบเหงา  บริเวณต้นไม้ลานหรือพุ่มไม้เหมือนเดิม เพียงแต่
ว่ามันใหญ่โตขึ้น  จะผิดแผกก็เรารู้สึกแก่ลง อ่อนล้า หลวงตาเล่าก็แย่เสียจริงๆ
เดินเหินไม่ไหวต้องคอยพยุง เรื่องข้าวปลาอาหารไม่ต้องห่วง เจ้าหลงมอบให้
พ่อกำนันช่วยดูแล ทิ้งเงินไว้มากมายหากเจ็บไข้ได้ป่วย พ่อกำนันจะส่งคนมา
พาไปหาหมอไม่ต้องเดิน นั่งเกวียนไป สบายไปอย่างหนึ่ง
             เราหยิบบันทึกเล่มเล็กๆของเจ้าหลงที่เราขอร้องเก็บไว้เป็นที่ระลึก
ไม่เคยเปิดอ่าน  จนบัดนี้ด้วยอะไรไม่ทราบจึงนึกอยากจะอ่าน
    เขาบันทึกอะไรไว้บ้าง   ค่อยๆเปิดอ่านนึกว่าคงจะบันทึกเรื่องของครอบครัว
แต่เปล่า....หาเป็นเช่นนั้นไม่กลับเพียงบันทึกถึงการออกบินบาตรของหลวงตา
ต่อการพบสิ่งใหม่ๆที่เขาเขียนว่าไม่เคยเจอ ตลอดถึงคำสั่งสอนของหลวงตา
ซึ่งเราก็เคยได้รับสั่งสอนเป็นประจำเช่นเดียวกัน มีเพียงตอนหนึ่งว่า
พ่อแม่ครับ....ลูกสำนึกแล้วลูกผิดมากจะไปหาหรือก็เป็นห่วงหลวงตา
หลังจากได้รับการสั่งสอนหลวงตาทำให้ลูกได้สำนึก อีกอย่างเงินทองกลับ
ก็ไม่มี หากสิ้นหลวงตาเป็นหนุ่มจะกลับไปกราบสำนึกผิดกับพ่อแม่เอง
     แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรไว้มากไปกว่านี้   เราปิดบันทึกแล้ว......
เอนตัวลงนอนพิงกับต้นไทรใหญ่ปล่อยอารมณ์ให้ล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมาย
เหมือนชีวิตเราที่ไร้จุดหมายเช่นเดียวกัน  หมดสภาวะที่ห่วงใย
 จวบจนกระทั่งเคลิ้มๆรู้สึกเพียงว่าไม่รับรู้สิ่งๆใดๆภายนอก ปล่อยไปตาม
อัตถารมย์จมสู่ห้วงสำนึกแห่งความฝันไร้จุดหมายใดๆทั้งสิ้นไปชั่วกาลเวลา.

                                    ***   แก้วประเสริฐ.   ***

				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแก้วประเสริฐ