25 ธันวาคม 2555 19:10 น.

* แดนพิศวง ๒๒ *

แก้วประเสริฐ


                  * แดนพิศวง ๒๒ *
                  (สดายุปักษาสวรรค์)

   อากาศในเช้ารายล้อมไปด้วยหมอกแผ่กระจายครอบคลุมบริเวณ
หน้าถ้ำ พลิ้วไปมาตามสายลมที่ค่อนข้างจะรุนแรง แสงอาทิตย์ได้
ทอแสงเหนือยอดเขาแต่แสงที่เจิดจ้านั้นมิอาจจะฝ่าคลื่นหมอกเหล่า
นี้ได้ทำให้  บริเวณจึงดูสลืมสลัวประกอบด้วยอากาศที่เยือกเย็นด้วย
   ในท่ามกลางขุนเขาน้อยใหญ่ที่เรียงรายล้อมรอบบริเวณที่เหล่า
ชาวบ้านได้อาศัยในถ้ำอยู่ แต่อากาศนั้นหาได้ทำให้บรรดาหนุ่มๆของ
ชาวบ้านได้ท้อแท้ประการใดไม่  ต่างพากันแยกไปตัดต้นไม่ที่นำมา
ใช้เป็นลูกธนู หอก ต่างช่วยกันอย่างขมักเม่น ไม่ช้านักที่หน้าลาน
กว้างต่างแบ่งงานกันทำอย่างรีบเร่ง บ้างทำลูกธนูขนาดยักษ์ด้วย
ต้นไม้ทั้งต้นมารอนกิ่งก้านหาต้นที่ลำต้นตรง ช่วยกันเหลาบรรดา
เปลือกไม้ออกทำให้ปลายแหลมคม 
   พร้อมใส่ท่อนเหล็กที่อีกพวกที่ทำ เสียงตีเหล็กและเสียงฟู่ๆของ
ไฟที่ใช้ในการเผาเหล็กหล่อต่างช่วยกันทำได้ไม่ยากนักเพราะคน
เหล่านี้เป็นพวกพรานป่ามาแล้วย่อมรู้เรื่องการทำอาวุธได้เป็น
อย่างดี  ไม่ช้าเวลาก็เริ่มร้อนแสงแดดส่องแผ่กระจายไปยังบริเวณ
นั้น  ก็เสร็จเรียบร้อยพร้อมคันธนูที่เชือกนั้นใช้เถาวัลย์ที่ผ่านการ
   ทดลองและความเหนียวแน่นมาทำคันธนู   ต่างนำท่อนไม้มาฝัง
ยังพื้นดินแม้จะเต็มไปด้วยก้อนหินเพื่อใช้เป็นหลักในการยืดคัน
ธนูยักษ์   พร้อมกับชายหนุ่มบอกให้ทำการทดลองยิงเสียงลูกธนู
ดังหวิวๆพุ่งออกไปยังต้นไม้ใหญ่ ทำให้ต้นไม้นั้นถึงกับหักโค่น
ลงจนเป็นที่พอใจ  ชายหนุ่มให้นำคันธนูที่สร้างได้สามคันไว้
ติดตั้งไว้ที่บริเวณหน้าปากถ้ำ และมุมต่างๆที่เห็นว่าเหมาะสม
   ทางด้านกุลาก็คุมพลทำหอกได้เป็นจำนวนมาก  อาศัยที่กุลา
มีรูปร่างใหญ่โตปานยักษ์ปักหลั่นดังนั้นงานด้านนี้จึงไม่ยาก
เย็นเท่าใดนัก จวบจนเวลาเลยเที่ยงงานทุกอย่างก็เรียบร้อยและ
ต่างคนก็ทานอาหารซึ่งมีหญิงสาว ชราและเด็กมาค่อยให้บริการ
อาหารและน้ำ เสียงคุยกันดังไปทั่วบริเวณด้วยความร่าเริงสนุก
สนานครื้นเครงนัก  บ้างบางคนก็ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ
นาๆว่าหากอาวุธเหล่านี้ไม่สามารถทำอันตรายแก่เจ้าสัตว์ร้ายได้
จะทำอย่างไรดี
   ชายหนุ่มได้เรียกบรรดาชายที่ได้แบ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มๆมาปรึกษา
และได้วางแผนต่างๆให้ฟังอย่างละเอียด  ต้องให้ได้ระยะหวังผล
จริงๆจึงจะใช้อาวุธเหล่านี้ พร้อมทั้งเรียกคนทั้งหมดออกไปเดิน
สำรวจพื้นที่ในการจัดวางกำลังพล  พร้อมสั่งไว้ว่าหากอาวุธนี้ไม่
ได้ผลให้ นำคนทั้งหมดรีบหนีเข้าไปยังถ้ำพร้อมทั้งก่อกองไฟไว้
หน้าถ้ำ พร้อมสั่งให้ไปน้ำเชื้อเพลิงและบรรดากิ่งไม้แห้งมาเตรียม
ไว้ก่อนเพื่อป้องกันเหตุการณ์ร้าย  ทุกๆคนก็พยักหน้ารับทราบ
   ชายหนุ่มยังสั่งไปอีกว่าให้ท่านผู้เฒ่าคอยควบคุมบรรดาหญิงและ
เด็กไปยังน้ำตกในถ้ำเพราะในที่นั้นมีหลีบหินมากมาย  สัตว์ประเภท
นี้จะกลัวน้ำและไฟ แต่ทางเราจะหยุดมันได้หรือเปล่าเท่านั้น
  พลางหันไปถามท่านผู้เฒ่าที่เหลือเพียงคนเดียวและเห็นเหตุการณ์
ทั้งหมดว่า
   “ท่านผู้เฒ่าท่านว่าขนาดมันเท่าภูเขาย่อมๆหรือและมันมีกันสัก
เท่าไรล่ะ???”
   “ตามที่ข้าเห็นนะนาย  มันมาแค่ตัวเดียวแต่จะมีอีกหรือไม่ก็ไม่รู้
ขนาดตัวเดียวมันยังทำลายพวกเรา และมันรู้สึกว่าจะมาอย่างคล่อง
แคล่วรวดเร็วอีกด้วย  อ้อๆๆข้าเห็นข้างลำตัวมันมีคล้ายปีกบางๆ
เหมือนปีกของแมลงปอแนบทั้งสองข้าง คิดว่ามันอาจจะบินได้อีก
ด้วยจ๊ะนาย  เฉพาะขามันก็ใหญ่เท่ากับต้นไม้ขนาดย่อมๆนาย”
   “หาๆผู้เฒ่ามันมีปีกเหมือนแมลงหรือ????....อย่างนั้นมันก็บินได้ซิ
แล้วอาวุธเราที่วางไว้จะได้ผลได้อย่างไร หากมันบินเข้ามานะผู้เฒ่า”
   “แต่ตัวมันใหญ่ตามที่ผู้เฒ่าบอกนะนาย”   กุลาเสริมขึ้น
   “จริงๆซินาย สัณชาติญานสัตว์ประเภทนี้ชอบเลื้อยคลานมาก
กว่าจะบินนะ”   ภาคีและคียะออกความเป็นบ้าง
   “หากมันบินได้อาวุธที่เราทำอยู่ก็จะไร้ผลซินาย แล้วจะวิธีการ
แก้ไขได้อย่างไรกันดีล่ะนาย???”   สินธุเอ่ยขึ้นบ้าง
   “หรือว่าจะต้องให้เจ้าสดายุออกมาช่วยเหลืออีกทางหนึ่ง ก็จะดีนะ
นาย  มิฉนั้นเราก็คงหมดปัญญากำจัดมัน ถึงแม้ว่านายจะสามารถ
เหาะเหินเดินอากาศได้ไหนเลยจะไปต่อสู้มันได้แม้นายจะมีอาวุธ
และพลังงานในตัวของนายก็เถอะ ข้าสังหรณ์ว่ามันเป็นสัตว์ไม่
ธรรมดาเหมือนรูปร่างมันที่ท่านผู้เฒ่ากล่าวเสียแล้วละนาย”
สินธุแสดงความคิดเห็นให้ชายหนุ่มทราบ
   “นั่นซิสินธุ เราก็คิดเหมือนท่านนั่นแหละตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าเห็น
ทีจะต้องให้เจ้าสดายุมาช่วย หากมันเกิดพิสดารอะไรมากกว่าที่เรา
คาดไว้สดายุตัวเดียวจะช่วยอะไรเราได้หรือ หากมันมีหลายๆตัว
ส่วนข้าเองก็จะพยายามเข้าไปตัดขามัน ให้พวกเจ้าคอยเสริมยิงธนู
และหอกสะกัดมันไว้ แต่คิดว่าคงทำอะไรมันไม่ได้แน่ๆข้าคิดแต่
อย่าพึ่งท้อแท้ใจ  พยายามรักษาชีวิตพวกเราไว้  หากเสร็จศึกงานนี้
ข้าจะสอนและมอบพลังงานแก่พวกเจ้าทุกๆคนให้สามารถเหาะเหิน
ไปบนอากาศได้  ฉะนั้นผู้ใดรอดก็ย่อมได้รับพลังงานจากข้า แต่ก็
อย่าได้ประมาท ให้ช่วยกันให้เต็มที
    เมื่อชายทั้งหมดที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีแล้วทราบว่านายมัน
จะมอบพลังงานแห่งจักรวาลให้แก่มันก็บังเกิดความยินดีห้าวหาญ
ขึ้น ต่างตระโกนโห่ร้องด้วยความยินดี  เสียงดังกังวานไปทั่วหุบเขา

   “ข้าเองก็นึกสงสัยในดินแดนแห่งนี้ตั้งแต่เริ่มแรกแล้วล่ะแต่ไม่ได้
พูดจะถามสินธุก็ไม่รู้จะถามอย่างไรดี  อีกอย่างเรามาด้วยเจ้าสดายุ
นำพาพวกเรามา  และนึกไม่ถึงว่าดินแดนแห่งนี้จะมีพวกเจ้าอยู่ด้วย”
   “อันที่จริงบรรพบุรุษเราก็ไม่ได้บอกว่าเป็นใครมาจากไหนนะนาย
เพียงแต่ข้าเองเกิดมาก็สงสัยเหมือนกันเพราะ ดินแดนแห่งนี้มันดู
อะไรก็แปลกเหลือเกิน  แต่มันไม่เหมือนปัจจุบันนี้ด้วยข้าออกไป
เสาะหาคนๆหนึ่งตามบรรพชนสั่งเอาไว้พร้อมมอบสิ่งของให้มา
คอยคนผู้หนึ่ง  หากคนๆนั้นสามารถเปิดหีบได้และเจ้าสดายุยอม
รับเป็นนาย  ก็จะเป็นคนๆนั้น  ข้าคอยนายมานานนับเป็นสิบปีคิด
ว่าจะสิ้นหวังเสียแล้ว นายคิดดูซิตั้งแต่ข้าอายุได้สิบห้าปีมาจนบัดนี้
หากสิ้นหวังก็ต้องย้อนกลับไปมอบให้คนอื่นมารับหน้าที่ต่อไปจ๊ะ
นาย ด้วยคนที่จะเหมาะสมและสามารถฝึกอาวุธวิชาต่างๆได้สำเร็จด้วย ตลอดจนเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์เป็นหลักใหญ่นะนาย”
   สินธุเล่าความหลังให้ชายหนุ่มนิรุทธิ์ทราบ  เขาเองก็คิดว่าแปลก
จริงๆทำไมให้เขาต้องเดินทางมาทางประเทศนี้  ตอนแรกเขาคิดว่า
จะไปทางเทือกเขาทางพม่าตอนเหนืออันเป็นดินแดนชาวกระเหรี่ยง
แต่เขาก็กลับเปลี่ยนใจไป หรือว่าลิขิตฟ้าจะดลบันดาลให้เป็นเช่นนี้
พลันจึงกล่าวขึ้นว่า  
   “เอาล่ะเราคอยเวลามืดๆก็แล้วกันให้เตรียมตัวให้พร้อมเพราะสัตว์
ประเภทนี้มักจะหากินตอนกลางคืน กลางวันมันจะซ่อนตัวแต่ข้า
เองก็สงสัยว่าตัวมันใหญ่ปานขุนเขาจะไปพักกันที่ไหนน๊ะ????แต่ข้า
ก็คิดไม่ออกเอาเสียเลย  ฉะนั้นให้ทุกๆคนกลับถ้ำได้แล้วไปพักผ่อน
เก็บแรงไว้คอยเวลาค่ำๆก็แล้วกัน ข้าคิดว่ามันคงจะบินไปแน่นอน”
    ชายหนุ่มยังคิดกล่าวต่อไปอีก ทันใดนั้นทุกๆคนก็ต้องตกตะลึงเมื่อ
ท้องฟ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก  พายุได้พัดกระหน่ำอย่าง
รุนแรง ท้องฟ้าปั่นป่วนเมฆหมุนวนพัดลอยหายไป ท้องฟ้ากลับมี
สีสรรค์แปลกปลาดหลายๆสี  หมุนเป็นวงกลมหลายๆชั้นแต่ละชั้น
มีสีสรรแตกต่างกันสลับกันไปๆมาๆ  เสียงคำรามของท้องฟ้าดัง
คำรามกระหึ่ม เกิดสีแสงต่างๆตัดกันเป็นวงกลมหลายๆวงเกิด
ประกายวิชชุฟาดไปๆมาๆ เดี๋ยวท้องฟ้าสีทองบ้าง
 สีแดงบ้าง น้ำเงินบ้างเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา   เสียงวิชชุฟาดลง
มายังต้นไม้ขาดสะบั้นยังกับถูกของมีคมลุกไหม้อย่างรุนแรง
   ชายหนุ่มมองดูแล้วก็รีบเร่งให้คนทั้งหมดเข้าไปยังถ้ำให้หมด
ทุกๆคน 
   “สินธุ กุลา ภาคี คียะ ให้รีบนำพวกเราเข้าไปถ้ำเดี๋ยวนี้บัดนี้
ท้องฟ้าเกิดพลังงานกระแสไฟฟ้าสลับตัดกันกับพลังแห่งจักรวาล
เราจะคอยอยู่คนเดียว  ไม่ต้องเป็นห่วงเรานะไปๆๆๆรีบๆไปเสีย
ก่อนจะช้าไม่ทันการณ์ไปกว่านี้”
    ทุกๆคนหันมามองชายหนุ่มคียะพลางถามว่า
   “แล้วนายล่ะ???ไม่ตามพวกเราเข้าไปหรือ????”
   “ไม่หรอกคียะ เราจะทดลองรับพลังงานโลกและจักรวาลไว้
ยังไม่รู้ว่าจะรับได้มากน้อยเพียงใด พวกเจ้ารีบไปเจ้าดูซิหัวไหล่
ทั้งสองข้างข้ามีแสงแห่งดวงแก้วพุ่งออกมาแล้ว  เดี๋ยวจะไม่ทัน
การณ์นะ”
   ทุกๆคนต่างมองไปที่หัวไหล่ของชายหนุ่มผู้หล่อเหลาก็แล
เห็นแสงสองแสงสีแดง และสีเหลืองพุ่งออกจากร่างชายหนุ่ม
ขึ้นไปบนฟ้ารวมกับกระแสร์พลังงานต่างๆทันที
   “พวกเจ้ารีบๆหน่อยอันตรายมากนะไม่ต้องเป็นห่วงข้า  ข้ายัง
ไม่รู้ว่าจะรับได้มากน้อยเท่าใด  ชายหนุ่มกล่าวพลางก็รีบล้วงไป
ยังย่ามดึงร่างของนกสดายุออกมาทันที”
   พวกทุกๆคนต่างมองดูด้วยความประหลาดใจ ถึงแม้พวกเขาจะอยู่
กับชายหนุ่มผู้หล่อเหล่านี้ก็ยังไม่เคยเห็นสดายุเลย เพียงแต่สงสัยได้
ยินชายหนุ่มกล่าวครั้งหนึ่งเท่านั้น
   “พวกเจ้ารีบไปไม่ต้องห่วงข้าหรอก เดี๋ยวไม่ทันการณ์จะได้รับ
อันตรายจากกระแสร์ไฟฟ้าและแสงแห่งพลังงานที่มีอานุภาพสูง
จะทำลายพวกเจ้าหมดสิ้น”
    ดังนั้นพวกชายฉกรรจ์ต่างรีบวิ่งกันเข้าไปยังถ้ำ แต่สินธุ กุลา ภาคี
และคียะก็ยังยืนแอบดูอยู่หน้าถ้ำด้วยความห่วงใยชายผู้เป็นนาย
ก็แลเห็นชายหนุ่มพลางเอื้อมมือลูบไปยังนกตัวเล็กๆที่ชื่อว่าสดายุ
พลางเอ่ยกล่าวแต่พวกเขาไม่รู้ว่า  ชายหนุ่มกล่างอะไรบ้าง
   ทันใดนั้นเองร่างของเจ้าสดายุก็ขยายใหญ่ขึ้นๆใหญ่ขึ้นสูงกว่าร่าง
ของชายหนุ่มเสียอีก  มันหันหน้าจ้องมองไปบนฟ้าหลากสีพลางอ้า
ปากขึ้น   ฉับพลันเสียงฟ้าคำรามลั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ แสงแห่ง
หลากสีต่างรวมตัวเป็นลำแสงหลากสีพุ่งเข้าสู่ร่างชายหนุ่มและปาก
ของเจ้าสดายุทันที     
   ร่างชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัวพลางรีบอ้าแขนทั้งสองขึ้นไปเหนือหัว
พลางหลับตาพริ้มรวบรวมพลังงานต่างๆเข้าไว้ แสงหลากสีต่างแยก
กันพุ่งไปยังฝ่ามือทั้งสองหน้าอกชายหนุ่ม และสดายุแสงประหลาด
พุ่งเข้าสู่ร่างทั้งสอง   เสียงดังคำรามกึกก้องประกายสายฟ้าหลากสี
สองสายสายหนึ่งพุ่งใส่ร่างชายหนุ่มแยกเป็นสามทางหล่อหลอมกับ
ดวงแก้วทั้งสอง ไปตามฝ่ามือทรวงอก หัวไหล่ที่ดวงแก้วบรรจุอยู่
อีกสายหนึ่งพุ่งใส่ร่างเจ้าสดายุแล้วแสงเหล่านั้นก็หายไปในร่างของ
คนและสัตว์ทั้งสอง  ร่างของชายหนุ่มและสดายุก็ทรุดลงไปยังพื้น
แผ่นดินที่เป็นด้วยหินและดินจมหายไปครึ่งหน่องทันที
กระแสร์ไฟฟ้าหลากสีก็ยังหาได้หยุดยั้งไม่   ทั้งเสียงคำรามเสียง
แซดๆตัดกับอากาศดังอยู่ไปๆมาอยู่ตลอดเวลาไม่หยุดยั้งตลอดเวลา
  ชายหนุ่มและเจ้าสดายุก็พยายามรับคลื่นพลังงานอย่างที่สุด
   ทันใดนั้นร่างของชายหนุ่มและสดายุก็ทรุดลงไปเรื่อยๆจนถึงหน้า
อกของทั้งสอง   มวลเหล่าพลังงานหลากสีที่ประกอบด้วยนิวตรอน
นิวเครียส อะตอมโมเลกุล อิลฟาเลสต่างๆพุ่งจากฟากฟ้าลงมายังร่าง
ทั้งสองเสียระเบิดดังกึกก้อง บริเวณที่ชายหนุ่มและเจ้าสดายุจมอยู่ก็
ระเบิดแหวกออกเป็นหลุมกลมๆขนาดใหญ่ มองเห็นร่างทั้งสองยืน
เด่นแต่พลังงานทั้งหลายยังคงทำหน้าที่ต่อไปเรื่อยๆ 
   จนกระทั้งท้องฟ้าเริ่มหมุนเวียนเป็นวงกลมหดหายไปในท้องฟ้าจน
หมดสิ้นเกิดฝุ่นละอองคลุ้งครอบคลุมร่างทั้งสอง  จนบรรดาฝุ่น
ละออง  ถูกสายลมที่ยังพัดกระหน่ำอยู่อย่างรุนแรงพัดหายไปแต่
กระแสรลมก็ยังคงพัดอยู่สักครู่ใหญ่จึงสงบลง  เมื่อทุกอย่างสงบ
เรียบร้อยแล้ว  ทุกๆคนที่แอบจ้องมองไม่อาจจะมองเห็นได้เพราะ
สายตาไม่อาจต้านทานต่อแสงต่างๆที่แผดจ้า  ต้องรีบหลบเกิดแสงพุ่ง
เข้าใส่ไปยังในถ้ำทำให้ถ้ำเกิดความสว่างไสวไปทั่ว แสงคบไฟที่ถูก
จุดไว้ต่างโดนแสงเหล่านี้ดับไปหมดสิ้น คงเหลือไว้แต่แสงสว่างจาก
บรรดาสายฟ้าหลากสีที่แผ่กระจายไปทั่วภายในถ้ำนั้น  ทำให้ทุกๆคน
ที่อยู่ภายในถ้ำต้องก้มหน้าลงสู่พื้นถ้ำจนหมดทุกๆคน บรรดาหินย้อย
ต่างๆก็ส่งประกายรับแสงหลากสี เกิดทัศนียภาพอันสวยสดงดงาม

        เมื่อเหตุการณ์สงบลงแล้วทุกคนๆ  ต่างก็พากันเดินออกจากถ้ำ
มาด้วยความเป็นห่วงชายหนุ่ม ไม่ทราบว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
  ต่างพากันร้องตะโกนเรียกชื่อเขาระงมไปทั่วบริเวณนั้น
   “นายนิรุทธิ์ๆๆๆเป็นอย่างไรบ้าง???...เป็นอะไรไปหรือเปล่า???”
แต่แล้วเมื่อทุกๆคนจ้องไปยังร่างที่อยู่ในหลุมต่างตกตะลึงไปทั่ว
เพราะร่างของชายหนุ่มเปลี่ยนไป ร่างกายปรากฏแสงสลัวหลากสี
ประกายทอดออกจากร่างคลุมไปทั่วทุกๆอิริยบถแม้แต่เจ้านกสดายุ
ก็เหมือนกัน  ต่างคนวิ่งไปที่ปากหลุมใหญ่พลางร้องเรียกกันระงม
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองหันมายิ้มกับทุกๆคน พลันลอยตัวขึ้นจาก
ปากหลุมใหญ่ดินหินที่กองเหนือปากหลุมชายหนุ่มก็ยกมือกวาดไป
ทั่วๆ  บรรดาหินและดินก็เข้ากลบหลุมใหญ่ทันทีเจ้าสดายุก็คืนร่าง
เล็กลงบินมาเกาะที่หัวไหล่ชายหนุ่ม  แต่หลุมใหญ่ก็ยังเป็นแอ่งลึก
อยู่พอประมาณ  
   ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาผู้คนที่ยืนรายล้อม พลางเอื้อมมือไปตบไหล่
สินธุ  ทันใดเสียงร้องลั่นร่างสินธุกระตุกอย่างแรง แล้วร่างก็กระเด็น
แล้วทรุดลงไปกับพื้นทันที
   “โอ้ยๆๆๆ!!!นายๆๆๆอย่าๆ ร่างนายมีกระแสร์ไฟฟ้ามาก
เหลือเกินทำให้ข้าจะรับไม่ได้แล้วนาย”
   “ขอโทษนะสินธุ  เดี๋ยวข้าเก็บพลังงานแห่งจักรวาลเสียก่อน”
ว่าแล้วชายหนุ่มก็หลับตาพริ้มพร้อมทั้งแสงประหลาดที่หุ้มห่อกาย
ค่อยจางหายเข้าไปในร่างกายไปรวมอยู่ที่ยังดวงแก้วทั้งสองและ
เซลล์ต่างๆทันที   แล้วค่อยลืมตาขึ้นพลางบอกว่า
   “ไม่ต้องห่วงแล้วล่ะสินธุ  ข้าลืมไปยังไม่ได้เก็บพลังงานไว้จึงทำ
ให้เจ้าต้องเกือบตายไปนะ”
   “โอ้โฮๆๆมันแรงจริงๆนายเหมือนถูกกระแสร์ไฟฟ้าแรงสูงชอร์ต
เอาแน๊ะนาย ดีนะที่ข้ามีดาบนิลสีดำไม้คอยช่วยซึมซับไปด้วย”
   “ดีแล้วล่ะสินธุพลังงานดาบดำของท่านก็จะได้รับพลังงานจะมี
กระแสร์ไฟฟ้าบรรจุรวมไว้ด้วยทำให้เกิดพลังงานและอานุภาพมาก
ขึ้นกว่าเดิมนับเป็นวาสนาของเจ้าแหละ”
   “โอ้ยๆแต่ข้าคงไม่อยากได้หากไม่มีดาบไม้นิลแล้วชีวิตข้าเห็นจะ
ต้องมอดไหม้ไปแน่เชียวนาย”
   “เอาล่ะสินธุบอกพวกเราเข้าไปในถ้ำได้แล้ว  ส่วนเจ้าสดายุตอนนี้
ได้พลังงานจากห้วงจักรวาลเต็มเปี่ยมเห็นทีงานปราบสัตว์ร้ายนี้คงจะ
ไม่ร้ายกว่าที่เราคิดเสียแล้ว”
   “จริงหรือนาย???  อ้อๆๆๆสดายุที่กล่าวนี้คือนกตัวนี้เองหรือ???”
   “ใช่แล้วภาคี คียะ กุลา ที่ข้าไม่บอกแต่แรกเพราะไม่อยากให้รู้
เพราะสิ่งนี้มีอานุภาพมากมายยิ่งนัก ท่านเคยได้ยินเรื่องนกมีปีกและ
มีมือไหมล่ะ บัดนี้เจ้าสดายุจะมีมือที่งอกออกมาจากการได้รับ
พลังงานเหล่านี้ไว้ครบถ้วนแล้วล่ะ”
   “ไหนๆล่ะข้าไม่เห็นมือของนกสดายุเลยนี่นาย???” ทั้งหมดอุทาน
   “ก็เพราะเขาเก็บไว้ใต้ขนล่ะซิ  ไว้พวกเจ้าคอยดูตอนเจ้าสดายุต่อ
สู้กับตะขาบบินก็แล้วกัน เขาคงจะเอาออกมาใช้กระมัง    ตอนนี้ข้า
ไม่ห่วงอะไรอีกแล้ว เรื่องอาวุธที่ให้ทำนั้น  คิดว่าทำให้มันตายไม่ได้
เพียงแค่จะไปสะกิดมันเท่านั้น  รู้ไหม???เจ้าสดายุจะแปลงร่างให้
ใหญ่กว่าเจ้าตะขาบบินได้อีกด้วย  ที่จริงมันเป็นเจ้าแห่งปักษาทั้งหมด
ข้าคุยกับมัน  มันบอกว่าสามารถเรียกพวกมันและเหล่าบริวารของ
นกทั้งหลายให้มาช่วยพวกเราได้อีกทางหนึ่งด้วยล่ะ ฉะนั้นเจ้าจง
ไว้ใจได้  เจ้าตะขาบบินถึงจะมีอานุภาพอย่างไรก็คงจะสู้เจ้าสดายุ
ไม่ได้แน่  ข้าเชื่อใจเช่นนั้นนะ”

   ทุกๆคนหันไปมองเจ้าสดายุที่มีสีสรรสวยงามมากหลากหลายสี
ที่เกาะอยู่บนหัวไหล่  เจ้าภาคีเห็นว่ามันเชื่องต่อนายนิรุทธิ์ ก็จะเอื้อม
มือไปลูบหัวมัน  แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเจ้าสดายุมันร้องพร้อมหันมา
จิกหวังทำร้ายภาคีทันที  แต่นิรุทธิ์หนุ่มต้องรีบส่งภาษาห้ามปรามไว้
พลางกล่าวว่า
   “ภาคีเจ้าสดายุมันเป็นเจ้าแห่งนกทั้งหลายถือว่ามันเป็นสัตว์ที่สูงส่ง
ยิ่งใครจะไปจับตัวมันหรือจะลูบหัวมันไม่ได้หรอกยกเว้นแต่ข้า
เท่านั้นที่เจ้าสดายุมันยินยอมพร้อมใจ ไม่ว่าใครๆก็ตามไม่สามารถจะ
แตะต้องตัวมันได้แม้แต่สินธุก็ตาม หากไม่เชื่อถามสินธุดูก็แล้วกัน”
   “จริงหรือนายสินธุ????”  ภาคีถามด้วยความสงสัย
   “จริงภาคีเพราะว่าก่อนนั้นข้าเองยังคิดว่ามันเป็นนกไม้ที่บรรพบุรุษ
เรามอบให้แก่เราเพื่อไปค้นหานายของมัน  ข้าเห็นมันสวยจึงเอื้อมมือ
ไปลูบตัว แต่มันจิกข้าจนข้ามองไม่ทันมือไม้เป็นแผลเหวอะหวะไปเลยนะ ไม่ได้หรอกตั้งแต่นั้นมาข้าก็ไม่กล้าไปยุ่งเกี่ยวอีกเลย”
   “ถ้าอย่างนี้คนที่จะควบคุมเจ้าสดายุได้ก็คือนายนิรุทธิ์คนเดียว
เท่านั้นนะซิ  คนอื่นไม่มีทางจะเข้าใกล้ได้เลยนะ”
   “ถูกแล้วภาคีไม่มีใครจะแตะต้องเจ้าสดายุได้นอกจากเราเท่านั้นเอง
เพราะเราเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว”
   “อ้าวๆนายแล้วใครจะให้อาหารมันกินได้เล่า หากเข้าใกล้มันไม่ได้
นะ มันไม่อดตายหรือ หรือว่าต้องให้นายให้คนเดียวเท่านั้น”
   “อ้อๆเรื่องอาหารนั้น เจ้าสดายุมันไม่กินอาหารแบบเราๆหรอกมัน
กินพลังงานเท่านั้น  เหมือนกับพวกเทวดาที่กินอาหารทิพย์นั่นแหละ
จึงไม่เป็นปัญหาในเรื่องอาหารการกินหรอกภาคี”
   “แล้วอย่างนี้หากพวกเราจะล้อเล่นมันไม่ได้เลยหรือ มันออกสวย
อย่างนี้นะนายนิรุทธิ์”  คียะกล่าวขึ้นบ้าง
   “เอาล่ะแต่แล้วแต่มันนะ เดี๋ยวข้าจะพูดกับสดายุก่อนว่าจะยินยอม
เล่นด้วยหรือไม่”
   ว่าแล้วชายหนุ่มก็หันไปส่งภาษากับสดายุ ตอนแรกมันไม่ยอมแต่
ชายหนุ่มบอกว่าตามใจ หากต้องการจะเล่นกับใครเพราะเขารักเจ้า
อยากจะเล่นด้วย
   “สดายุเอ๋ยอย่างไรเขาก็เป็นพวกเดียวกับเราให้เขาจับต้องเจ้าได้
ก็แล้วกันนะ แล้วแต่เจ้าจะเลือกเอาเองก็แล้วกันข้าไม่บังคับใจเจ้า
หรอก  หากเห็นว่าเขาจริงใจต่อเจ้าจริงๆ”
   “ได้นาย ฉันจะเลือกคนที่จะเล่นด้วยนะ แต่ขออย่างเดียวอย่ามา
แตะต้องหัวของฉันก็แล้วกันนะนาย”
   “ได้สดายุเราจะบอกพวกเขาให้แล้วเจ้าคิดว่าจะเลือกใครดีล่ะ”
   “ข้าคิดว่าตอนนี้จะเล่นกับภาคี และคียะเท่านั้นดูนางโอบอ้อมอารี
ดีนะนาย ส่วนคนอื่นๆข้าขอดูใจพวกเขาก่อน”
   “ได้สดายุเราจะบอกแก่พวกเขาให้นะ ขอบใจเจ้ามากนะที่อนุญาตให้เขา เพราะเขาคงรักเจ้าเช่นเดียวกับเรารักเจ้าเหมือนกัน”
   ว่าแล้วชายหนุ่มก็หันไปบอกพวกที่ยืนล้อมรอบชายหนุ่มด้วยความ
สงสัยที่ชายหนุ่มสามารถพูดภาษานกได้เป็นอย่างดี ถึงกับปากอ้าตาค้างไปตามๆกัน ไม้เว้นแม้แต่  กุลา ภาคี  คียะ และคนอื่น 
ยกเว้นสินธุ ที่เคยเห็นชายหนุ่มคุยกับเจ้าสดายุมาก่อน  ดังนั้น
ชายหนุ่มจึงกล่าวว่า
   “เราได้ตกลงกับสดายุแล้ว เขาตกลงแต่จะให้คนที่ถูกตัวเขาได้
ตอนนี้มีสองคน คือ ภาคีและคียะเท่านั้น แต่ต่อไปเมื่อเขาไว้ใจก็
จะยอมเล่นด้วยเท่านั้น แต่เขาบอกว่าห้ามอย่างเดียวคือไปแตะต้อง
หัวของเขาเป็นอันขาด  อีกอย่างหนึ่งเราขอบอกว่าเจ้าสดายุนั้นเขา
สามารถจะแปลงกายเป็นอะไรๆก็ได้อีกด้วยฉะนั้นบางครั้งเขาอาจจะแปลงร่างเป็นคนแบบพวกเจ้าก็ได้นะขอบอกให้รู้ไว้และเขามีรูปร่าง
หน้าตาหล่อเหลาอีกด้วย  เจ้าภาคีและคียะอย่าไปหลงใหลเขาอีกล่ะ”
ว่าแล้ว ชายหนุ่มก็ยิ้มและหัวร่อเบาๆ  ทำเอาเจ้าภาคีและคียะถึงกับ
หน้าแดงอายม้วนต้วนไปเลย
   “โธ่นายนะนาย ข้าสองคนรักเดียวใจเดียวนะนาย ข้ามองคนที่ชอบ
ไว้อีกแล้วด้วย  แต่พวกข้าจะไม่บอกหรอกว่าเป็นใคร”
   “ข้าหรือเปล่าที่เป็นคนในดวงใจพวกเจ้า???”
เจ้ากุลายืนฟังตั้งนานเอ่ยถามขึ้นทันที พร้อมส่งเสียงหัวร่อลั่น............

                   * แก้วประเสริฐ. *

665411.gifkjklglk.gif665411.gif				
4 ธันวาคม 2555 20:01 น.

* แดนพิศวง ๒๑ *

แก้วประเสริฐ


                 * แดนพิศวง  ๒๑ *
                  (วิบัติภัยซ้ำสอง)

   ภายหลังจากปราบเจ้าสัตว์ประหลาดคางคกหมดสิ้นแล้ว  ชายหนุ่มก็
หันไปมองรอบๆ  บรรดาต้นไม้ต่างถูกไฟไหม้จนแทบจะราบเรียบหมด
ก็ให้สะท้อนถอนใจ  พลางเอื้อนเอ่ยว่า
   “สินธุ...นี่ก็บ่ายมากแล้วเห็นที่พวกเราจะกลับกันได้แล้ว  อ้อๆๆๆแล้ว
สำรวจหรือเปล่าว่ามีใครบาดเจ็บมากน้อยเท่าไหร่กันนะ???...”
   “นายท่าน  พวกชาวบ้านก็ได้รับบาดเจ็บกันไม่มากนักหรอก เกิดจาก
ควันพิษที่เจ้าคางคกพ่นใส่ เพียงแต่เป็นรอยไหม้ มากบ้างน้อยบ้าง ข้าก็
นำเอารากว่านฝนกับน้ำทาให้แล้วค่อยทุเลามากแล้ว  แล้วต่อไปนายจะ
ให้ทำอย่างไรดีล่ะ???”
   “ข้าว่าเห็นทีเราต้องกลับกันได้แล้วล่ะ บอกให้พวกเราออกเดินทางกลับกันได้ในเมื่อไม่เป็นอะไรมากนัก”
   “ได้นาย  ข้าจะสั่งให้ออกเดินทางกลับกันเดี๋ยวนี้แหละ ขอโทษนาย
ด้วยที่ข้าได้เอ่ยถึงเจ้าสดายุเพราะความแปลกใจ ด้วยทุกๆครั้งมักจะออก
มาช่วยพวกเราเสมอ”
   “อ้อๆๆๆเพราะว่าข้าได้กำชับไว้ก็เท่านั้นแหละ  ที่ไม่อยากให้ใครรู้
เพราะไม่อยากให้พวกเราตกใจเท่านั้นเอง”
   “อ้อๆเช่นนั้นเองหรืองั้นข้าจะไม่กล่าวอะไรอีกแล้ว”

       แล้วสินธุก็หันไปบอกให้ทุกๆคนออกเดินทางกลับถ้ำกันได้แล้ว
ดังนั้นทุกๆคนจึงออกเดินทางผ่านป่าไม้ที่ไหม้แต่ยังมีควันครุกรุ่นอยู่
เดินลดเลี้ยวหลีกเลี่ยง หันเดินทางไปอีกด้านหนึ่งที่อยู่เหนือลมที่ยังมี
ต้นไม้เขียวชะอุ่ม แม้บางต้นจะออกใบสีเหลืองก็ตามที   ทั้งหมดเดิน
ทางด้วยความสบายใจ เพราะเสร็จสิ้นภาระกิจที่สร้างความเดือดร้อน
แก่พวกเรา  จึงได้ปล่อยตัวตามสบายใจ  พอผ่านป่าไม้ชะอุ่มผ่านเนิน
เขาลดเลี้ยวไปตามซอกเขา เพราะหาทางเข้าไปยังถ้ำที่อาศัยอยู่  พอ
เข้าไปยังป่าอีกด้านหนึ่งก็ต้องสะดุ้งกันทั้งหมด  เพราะได้ยินเสียง
กิ่งไม้หักดังลั่นมาตามทางที่จะผ่าน  บังเกิดเสียงอู้ๆกร๊อบแกร๊บๆๆดัง
พุ่งมาทางเขา   ทั้งหมดด้วยสัญชาติฌานของพวกนักล่าสัตว์ป่าก็ต่างแยก
ย้ายกันออกจากกลุ่ม ต่างเพ่งตามองไปยังที่ปรากฏสุ่มเสียง เสียงดัง
เพี๊ยะพ๊ะดังมาก อะไรหรือมันใกล้เข้ามาแล้ว  ดังนั้นบรรดาชาวบ้านก็
ต่างพุ่งตัวเข้าหาโคนต้นไม้ใหญ่ทันทีพร้อมชักอาวุธประจำตัวออกมา
     ชายหนุ่มยืนตะลึงไปพักใหญ่ ปรากฏว่าภาคีคียะต่างรีบเข้ามา
ประกบด้านซ้ายขวา ส่วนกุลาก็ออกบังหน้าชายหนุ่ม ด้านหลังเป็นสินธุ
   “เสียงอะไรหรือกุลา???...”
   “มันเป็นสัตว์ใหญ่ชนิดหนึ่งนายยังไม่รู้ว่าอะไร นายคอยเดี๋ยวนะ”
        ว่าแล้วเจ้ากุลาก็ทิ้งตัวนาบลงดินเอาหูติดดิน สลับทั้งซ้ายและขวา
สักครู่หนึ่ง  พลางรีบลุกขึ้นกล่าวว่า
   “นายตามฝีเท้าของมัน เข้าใจว่าเป็นสัตว์ใหญ่สงสัยจะเป็นหมูป่านะ
นาย  เพราะเสียงมันหนักแน่นมากๆ”
   “แล้วเราจะหาทางหลีกเลี่ยงมันได้หรือไม่ล่ะ???
   “ช้าไปเสียแล้วนาย มันใกล้จะถึงตัวพ้นป่าไม้แล้วล่ะ??”
   “งั้นให้ทุกๆคนเตรียมตัวรับมือกันได้นะ  แล้วกุลามันมีสักกี่ตัวล่ะ?”
   “จากฟังเสียงแล้วข้าว่าคงไม่เกิน สามตัวแหละนาย”
เสียงเจ้ากุลารายงาน
   “แล้วเราจะหาทางหลบมันได้หรือไม่  เพราะไม่ยากจะฆ่ามันเพราะว่า
คงจะเป็นครอบครัวมัน  สงสัยจะหนึไฟมาทางนี้กระมัง”
   “คงจะเป็นอย่างที่นายบอกแหละ เพราะไฟไหม้ป่าด้านโน้นมันถึงได้
หลบมาทางด้านนี้  แต่คงจะหนียากหรอกนายเพราะกลิ่นของพวกเราอยู่
ทางเหนือลมเสียด้วย  มันคงได้กลิ่นแล้วพุ่งเข้ามาหาแล้ว หลบๆๆนาย”

     ยังไม่ทันขาดคำ  ร่างทะมืนของหมูป่า สามตัวก็พ้นแนวป่า มันเป็น
ฝูง พ่อ แม่และลูก  แต่ให้ตายเถอะทำไมร่างกายมันถึงใหญ่โตนัก
ตัวพ่อใหญ่กว่าตัวแม่และลูก  ขนาดมันประมาณเท่าตุ่มน้ำได้ แต่เขี้ยว
ขาวคมที่งอกออกจากปากทั้งสองริมฝีปากมันโง้วเลยจมูกมัน ทั้งสาม
ตัว  ตัวลูกค่อนข้างจะเป็นหนุ่มแล้ว ต่างส่ายหัวก้มจรดพื้นพุ่งมาหาพวก
เขาอย่างรวดเร็วปานพายุ
     เสียงต้นไม้ดังแคว๊กๆยามที่มันปะทะกับต้นไม้ มันขวัดเปลือกต้นไม้
ใหญ่กระจุยกระจายไปทันที  ส่วนชาวบ้านที่แอบอยู่โคนต้นต่างรีบ
ตาลีตาเหลือกปีนขึ้นไปบนยอดไม้สูงใหญ่ไปอยู่ที่คาคบที่แยกของต้นไม้นั้น  พร้อมทั้งง้างธนูที่สายบรรจุลูกธนูหาจังหวะจะยิงมัน เมื่อ
เห็นร่างกายของเจ้าหมูป่าทั้งสามตัวก็ต่างตกตะลึงกันไปตามๆกัน
   “เฮ้ยๆๆๆทำไมมันใหญ่โตเช่นนี้นะ”
   เสียงตะโกนร้องบอกต่อกัน  ส่วนชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็รีบลอยตัวขึ้น
พร้อมคว้าแขน ภาคี คียะ ขึ้นไปบนคบไม้แล้วตะโกนบอกให้กุลาและ
สินธุรีบหลบขึ้นมาก่อนที่สัตว์ร้ายจะพุ่งมาทำลายเสียก่อน เมื่อยามแล
เห็นทั้งสองชักอาวุธออกมาเตรียมป้องกันตัว
   “ไม่หรอกนาย  ข้ากับกุลาและพวกจะล่าพวกมันเอาไปทำอาหารมื้อ
นี้ให้ได้นะนาย ไม่ต้องห่วงหรอกเพราะข้าผ่านการล่าสัตว์มามากแล้ว”
   “โอ้ยๆๆๆช่วยด้วยโอ้ยๆๆๆ”
เสียงร้องของเหล่านักรบลูกบ้านที่หลบหนีขึ้นต้นไม้ใหญ่ไม่ทันถูกเขี้ยว
เจ้าหมูป่าขวิดเข้าชายโครง เลือดสาดกระจายแผลเหวะหวะล่วงตกมา
จากต้นไม้ แต่เจ้าหมูป่าเมื่อขวิดแล้วก็เลยไปพุ่งเข้าหาชาวบ้านอีกคน
หนึ่งและไล่ขวิดจนเลือดออกได้แผลไปตามๆกัน ทำให้ชาวบ้านบ้าง
ขึ้นต้นไม้ไม่ทันต่างวิ่งหนีกันกระเจิง  บรรดาหมูป่าทั้งสามต่างแยก
ย้ายกันเที่ยวไล่ขวิดเหล่าชาวบ้านได้รับบาดเจ็บไปตามๆกัน ส่วน
พวกที่หนีขึ้นต้นไม้ทันก็พยายามลงมาช่วยเพื่อนที่บาดเจ็บลากให้ขึ้น
ไปยังต้นไม้ได้ และช่วยกันทำบาดแผลโดยใช้ว่านเป็นหลัก
        ชายหนุ่มเป็นเช่นนั้นก็เอ่ยเตือนภาคี คียะทันที

   “แต่อย่างไรเจ้าก็ระวังตัวไว้ด้วยนะ  อ้าวภาคีและคียะไม่ไปช่วยพวก
เขาหรือ”
   “ไม่หรอกเจ้าค่ะนาย  ข้าต้องคอยระวังนายทั้งสองคนนี้แหละ เรื่อง
แค่นี้คงจะไม่พอมือกุลาและพวกหรอกนาย”
   “เจ้าเชื่อมันขนาดนี้เชียวหรือ คียะ”
   “ใช่นาย เพราะทั้งสองเคยล่ากระทิงโทนมาแล้วใหญ่กว่าเจ้าสามตัวนี้
เสียอีกนาย  นายคอยดูก็แล้วกันไม่ต้องไปช่วยพวกเขาหรอก”
   เจ้าคียะตอบพร้อมดึงแขนเสื้อหนุ่มนิรุทธิ์ไว้เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มจะลง
ไปช่วย   เสียงเจ้ากุลาและสินธุตะโกนโหวกเหวกสั่งพวกลูกบ้านทันที
ลูกบ้านทั้งหมดต่างก็ลงมาจากต้นไม้พร้อมอาวุธส่วนตัว  พลางตีเสียง
จากอาวุธให้ดัง  แยกย้ายกันเป็นวงกลม  เจ้าหมูป่าต่างหยุดชะงักเมื่อ
แลเห็นคนจำนวนมากรายล้อมมันไว้ ต่างก็แยกย้ายกันออกหันหน้าเข้าสู้
ตั้งหลักหันหน้าเขาใส่ยังเหล่าชาวบ้านทันที  อาการดุร้ายเมื่อตะกี้นี้
หายไป   ด้วยสัณชาติฌานมันทำให้รู้ว่ายากจะต่อกรได้ จึงตะกุยเท้าหน้า
ทั้งสองลงบนพื้นดินกระจุย แรงของเศษดินพุ่งเข้าหาชาวบ้านที่ล้อมมัน
ไว้  ตัวใหญ่ที่เป็นพ่อไม่รอช้าวิ่งเข้าชาร์ต ชาวบ้านคนหนึ่งที่แยกตัวออก
มาล่อพวกมัน  ความปราดเปรียวของมันรวดเร็วปานพายุ แต่แล้วบรรดา
หอกและลูกธนูต่างยิงใส่มันทั้งสาม  ลูกธนูติดไปตามลำตัวมัน
   เสียงร้องอย่างโหยหวนดังก้องเลือดสดๆไหลเป็นทางตามคมธนูที่ฝัง
ลึกไปครึ่งหนึ่งหยดลงสู้พื้นทั้งสามตัว  แต่ความอดทนเพื่อรักษาชีวิตมัน
ซึ่งตอนแรกเป็นฝ่ายคิดจะล่า  แต่บัดนี้มันทั้งสามรู้ตัวว่ากลับตกไปเป็น
ฝ่ายถูกล่าเสียแล้ว ดังนั้นจึงแยกตัวกันออกพุ่งเข้าหาชาวบ้านที่อยู่ใกล้
มันที่สุด เสียงคว๊ากๆขวับๆดังขึ้น เปลือกไม้ใหญ่ถูกขวัดกระจายเป็น
ฝอยๆไปทันที    เสียงตะโกนของชาวบ้านดังโหวกเหวกสลับกับเสียง
ร้องด้วยความเจ็บปวดของหมูป่าและชาวบ้านที่โดนขวัดเข้าอย่างจัง
 เพียงไม่ช้านานหมูป่าทั้งสามตัวก็แปรสภาพประดุจเม่นด้วยผิวหนังมัน
เต็มไปด้วยลูกธนูนับไม่ถ้วน
    ความอ่อนแรงเกิดขึ้นแล้วกับหมูทั้งสาม ความเร็วค่อยๆช้าลงเกิด
อาการส่ายไปส่ายมา  เจ้ากุลาก็พุ่งร่างไปยังเบื้องหน้าเจ้าหมูป่าตัวพ่อ
พลางซัดหอกใบพายเข้าปักยังแสกหน้า เสียงร้องคำรามอย่างโหย
หวนดังลั่น ร่างหมูป่าตัวพ่อก็ทรุดคุกเขาลง แต่มันยังคงความดุร้ายหัว
มันส่ายเขี้ยวไปๆมาๆตลอดเวลา  เจ้ากุลาก็ชักดาบออกทะยานเข้าใส่
ร่างหมูป่านแล้วตวัดดาบฟาดจากลงขึ้นบน เสียงร้องโอ๊กๆๆๆดังสาย
เลือดพุ่งเป็นน้ำพุสาดกระจายไปตัว  ร่างหมูป่าตัวพ่อก็ล้มครืนร่างมัน
กระตุกไปๆมาสักครูเดียวก็สงบเงียบ   ทางด้านข้างร่างแม่หมูป่าและลูก
ต่างก็ทะยอยกันล้มลง ดิ้นพราดๆเนื่องจากสินธุควงมีดสีดำมะเมื่อมเข้า
ใส่ร่างแม่หมูทั้งร่างกายและคอ  ส่วนลูกมันถูกชาวบ้านช่วยกันระดม
แทงด้วยหอกเข้าไปยังร่างกายมัน จนทั้งสามตัวเงียบสงบนิ่ง
     บรรดาชาวบ้านที่ได้รับการฝึกปรือมาอย่างโชกโชนก็ต่างส่งเสียง
เฮฮากันระงมไปตัว  บ้างบางคนต่างก็หาเถาวัลย์มาผูกยังขาทั้งสี่มันทั้ง
สามตัว  ส่วนตัวลูกชาวบ้านก็หาไม้มาสอดเข้าหามร่างเพราะรูปร่างหมู
ตัวลูกเล็กกว่าตัวพ่อแม่มันมาก  แต่เจ้าหมูตัวพ่อแม่มันเข้าคานหาม
ไม่ได้เพราะรูปร่างมันใหญ่  ดังนั้นจึงใช้เถาวัลย์ผูกลากไป 
    เมื่อทั้งหมดรวมตัวกันอีกครั้งหนึ่งก็เริ่มออกเดินทางลัดเลาะไปตามไหล่เขาผ่านป่าอีกสักพักก็เห็นทางไปสู่ถ้ำที่ชายหนุ่มนิรุทธิ์เคยเข้ามา
ครั้งแรก   สักครู่มีชาวบ้านประมาณสองสามคนก็ออกวิ่งนำหน้าไปยัง
ถ้ำที่อาศัยเพื่อจะแจ้งข่าวดี  พวกมันหายไปสักพักหนึ่ง ก็เห็นชาวบ้าน
คนหนึ่งรีบกลับมาทันที  วิ่งอย่างรวดเร็วใบหน้าแตกตื่นตกใจพลางไป
รายงานต่อสินธุด้วยใบหน้าซีด พูดจาติดๆขัดๆ

   “เกิดเรื่องอะไรแก่พวกเราหรือ  เจ้ามัวอ้ำอ่ำอึ้งๆๆจะรู้เรื่องหรือ”
   “นายสินธุ อ้าๆๆ...พวกเรา...ตกตายกันไปแยะจ้านาย ปากถ้ำก็ปิดแต่
มีไฟสว่างเล็ดรอดออกมา  เกิดเหตุร้ายแก่พวกเราเสียแล้ว????”
   “ฮ้าอะไรนะหาๆๆๆ...พวกเราตกตายกันแยะหรือ???
   “ใช่แล้วนาย ศพกระจุยกระจายทั้งชายหญิงมากมายไม่รู้ใครมาทำ
หลังจากเราได้ออกมานะนาย”
   “จริงๆหรือว่าไอ้สักกะ???....พวกเราตกตายกันได้อย่างไรกัน”
   “เรื่องนี้ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรก็พวกเราติดตามนายใหญ่ออกมา ไม่ได้
ทิ้งพวกที่ฝึกปรือวิชาไว้ด้วย  ต้องไปถามท่านผู้เฒ่าศิลากับผู้เท่าวารี ข้า
คิดว่าคงจะอยู่รอดได้กระมังเพราะท่านมีฝีมือพอตัวนะนาย”
   “นั้นเจ้ารีบไปแจ้งแก่พวกเราที่ไปกับเจ้าหาทางติดต่อพวกเราที่รอด
คงจะมีบ้างนะ”
   “ได้นายข้าจะรีบไปด้วยนี้แหละนาย”
     ว่าแล้วร่างมันก็คว้าอาวุธวิ่งกลับไปยังถ้ำอีกครั้งหนึ่ง   ส่วนสินธุก็ได้
แจ้งให้พวกชาวบ้านที่ติดตามมาทราบ ทุกๆคนต่างตกตลึง แล้วไปแจ้ง
ให้นายนิรุทธิ์ทราบ   ชายหนุ่มได้รับฟังก็งง เขาคิดไม่ถึงว่าจะเกิด
เหตุร้ายซ้ำซ้อนขึ้นมาอีก นึกว่าจะหมดเพียงแค่นี้  จึงสั่งให้ทุกๆคนรีบ
ออกเดินทางโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เสียเวลาชายหนุ่มจึงให้กุลาและสินธุคอย
คุมพวกตามไปอีกทีหลัง  ส่วนเขาก็คว้าร่างภาคี คียะเหินลอยไปอย่าง
รวดเร็วไม่ช้าไม่นานก็ถึงบริเวณลานถ้ำที่เต็มไปด้วยเลือดคาวและร่าง
คนที่เสียชีวิตตกตายกระจุยกระจายไปเป็นที่อเน็จอนาถนัก เขาจึงสั่งให้
พวกชาวบ้านรวมทั้งภาคีและคียะ รีบจัดการเก็บซากศพชาวบ้านไปกอง
ไว้อีกมุมหนึ่ง  แล้วก็ตรงไปยังปากถ้ำพลางเรียกท่านผู้เฒ่าทั้งสองทันที
   “พ่อเฒ่าๆๆๆยังอยู่หรือเปล่านี่ข้านิรุทธิ์นะ”
   เสียงตะโกนเสียงก็เงียบหายไป  เจ้าภาคี และคียะตลอดชาวบ้านอีก
สามคนก็ช่วยกันตะโกนเรียก   อากาศก็เริ่มสลัวมากขึ้นจนเวลาผ่านไป
สักครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาร้องตอบออกมา ประตูปากถ้ำก็ค่อยๆ
แง้มเปิดออกพร้อมทั้งคบไฟส่องมา  เป็นร่างของหญิงสาวกับผู้เฒ่า เมื่อ
ทั้งสองเห็นร่างของภาคี คียะ  ก็อุทานพากันร้องไห้แล้วก็เล่าเรื่องให้ฟัง
   “คียะเอ๋ยหมดแล้ว พวกเราตายเกือบหมดแล้วเหลือหญิงชายและคน
ชราประมาณ ยี่สิบคนเท่านั้นเอง นอกนั้นตายหมดเพราะไปต่อสู้กับ
สัตว์ร้าย  ฮือๆๆๆๆ”
   “เอาไว้ก่อนท่านผู้เฒ่าไว้ให้นายใหญ่พร้อมแล้วค่อยเล่าก็ได้ให้พวก
เราไปช่วยกันลำเลียงศพพวกเราไปเผากันเถอะ  และทำความสะอาด
ลานหน้าถ้ำเสียก่อนเถอะพ่อเฒ่า”
   “ได้ๆๆๆเจ้าคียะ”
   พลางหันไปตะโกนเรียกพวกในถ้ำ  พลันก็เห็นใบหน้าต่างๆค่อยๆ
โผล่ออกมาจากหลีบหินน้อยใหญ่ เมื่อได้รับคำสั่งก็รีบออกไปช่วย
กันทำความสะอาดที่หน้าลาน  พอดีพวกกุลาและสินธุกลับมาเมื่อทราบ
ก็รีบช่วยกันทำความสะอาดและจัดการศพเผากัน 
    จวบท้องฟ้ามืดสนิทแต่ปราศจากดวงจันทร์คงมีแต่ดวงดาว
ระยิบระยับพร่างพราวเห็นเป็นแค่สลัวๆประกอบกับคบไฟได้ถูกจุดขึ้น
สว่างพอจะทำงานกันได้ เพียงไม่นานนักงานก็เรียบร้อย   แล้วต่าง
ทะยอยกันเข้ามายังถ้ำแต่ไม่วายที่จะชำแหละร่างเจ้าหมูป่าทั้งสามตัว
ทะยอยกันเข้าไปในถ้ำให้พวกผู้หญิงได้ไปจัดการเพื่อเป็นอาหารใน
คราวต่อไป    ครั้นเมื่อทุกอย่างลงตัวแล้วบรรดาชาวบ้านที่ไปทำหน้าที่
ในการปราบสัตว์ร้ายคางคกก็ต่างทะยอยกันไปอาบน้ำชำระเนื้อตัวแล้ว
ก็ออกมานั่งล้อมวงในบริเวณห้องโถงใหญ่ในถ้ำเพื่อฟังคำรายงานของ
ท่านผุ้เฒ่าเรื่องที่เกิดเหตุร้ายในครั้งนี้
    เมื่อเหล่าชนชั้นหัวหน้านั่งเรียบร้อยแล้ว  เฒ่าศิลาก็ก็รายงานเรื่อง
ต่างๆให้นายใหญ่และนายเล็กตลอดจนคนอื่นๆได้รับฟัง
   หลังจากที่นายทั้งสองจากไปแล้ว  ทางเราก็เตรียมตัวทำตามคำสั่งนาย
ใหญ่ทุกอย่าง นึกว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกแล้ว  แต่ที่ไหนได้ก็ได้รับ
แจ้งจากชาวบ้านคนหนึ่งที่ออกไปหาอาหารในป่า เหลือรอดกลับมา
คนเดียวด้วยอาการสาหัสนักมันแจ้งแล้วก็ตายไป ยังไม่ทันรู้เรื่องอะไร
ดีว่ามันไปพบนั้นคืออะไร   ก็ได้ยินเสียงฟู่ๆๆฟ๊อดๆๆดังแรงหายใจมัน
ทำให้ต้นไม้ไหวเป็นลู่เอนไป มันขนาดภูเขาลูกย่อมๆทีเดียวนาย มันเลื้อย
เข้ามาแล้วก็ฉกกัดบรรดาชาวบ้านที่หนีเอาตัวไม่รอดต่างรีบหนีเข้าถ้ำ 
มันมาเร็วเหลือกิน ลำตัวมันก็ปิดบังปากถ้ำหมดแล้ว  มันเลื่อยมามีขา
เป็นอันมากเขี้ยวมันทั้งสี่ดำมะเหมื่อมปนน้ำตาล  มันเข้าตรงกัดกินพวก
เราทั้งหญิงชายและเด็ก  ส่วนผู้ชายก็รีบออกมาป้องกันพวกเราแต่ไม่
สามารถทำอันตรายมันได้  ได้แต่พยายามป้องกันพวกที่เหลือให้เข้าถ้ำ
แล้วก็สุมไฟปิดปากถ้ำไว้ นั่นแหละถึงได้รอดมา ส่วนเฒ่าวารีเข้าต่อสู้
จนตัวตายไปกับการกระทำของสัตว์ร้ายนี้
   “แล้วตัวอะไรหรือพ่อเฒ่า???...”   ชายหนุ่มถาม
   “หากมันตัวเล็กๆก็คงเรียกว่าตะขาบนะนาย  แต่นี่มันตัวใหญ่เกือบ
เท่าภูเขาแน๊ะ หรือน้องๆเนินเขาเล็กๆแหละ   สีมันดำปนน้ำตาล เขี้ยว
มันน่ากลัวมาก  จมูกมันพ่นควันขาวออกมาแรงของลมทำให้ต้นไม้
เล็กๆหักสะบั้นไปเลยนาย”
   “แล้วมันมีอะไรผิดกับตะขาบไหมล่ะ???ท่านผู้เฒ่า”
   “ไม่มีอะไรผิดหรอกนาย  จะเรียกว่า ตะขาบยักษ์ก็ได้นาย”

   “อืมๆๆหากเป็นตะขาบมันเป็นสัตว์มีพิษมากเสียด้วย  หรือว่าลมที่
มันพวยพุ่งออกมาจะมีพิษด้วยก็ไม่รู้”      ชายหนุ่มพรึมพรำเบาๆ
   พลางนึกหาวิธีการต่อสู้กับสัตว์ตะขาบยักษ์ แต่ก็ยังคิดไม่ออก จึง
หันไปปรึกษา ภาคี คียะ กุลาและสินธุว่าจะหาวิธีใดบ้างจะได้กำจัด
เจ้าสัตว์ร้ายนี้ได้อย่างไร
   “นายข้าเห็นว่านอกจากธนูเท่านั้นที่จะกำจัดมันได้นะนาย เพราะ
หากจะล่อมันให้ตกหลุมสัตว์ก็ไม่ได้อีกเพราะมันใหญ่โตมากๆ”
เจ้าคียะ  เอ่ยขึ้น
   “ข้าว่าให้นายเอาดวงแก้ววิเศษของนายปราบไม่ได้หรือ???”
เจ้าภาคี เสนอขึ้นบ้าง
   “แล้วหอกล่ะจะกำจัดมันได้ไหมนาย”
   “ข้าว่าหาวิธีอื่นดีกว่านาย เพราะรูปร่างมันใหญ่กว่าเจ้าคางคก
มากมายนักน้องๆภูเขาเชียวนา”   เจ้าสินธุเอ่ยขึ้นบ้าง
   “แต่ว่าพวกสัตว์ตะขาบมันแพ้พวกไก่นะนาย แต่เราจะไปหาไก่
ที่มีรูปร่างใหญ่โตมโหฬารนี้ได้ที่ใดหรือ???”  เฒ่าศิลาเอ่ยขึ้น
   “จริงซินายข้าเองก็เคยได้ยินอาจารย์เอ่ยเช่นผู้เฒ่าเหมือนกัน แต่ว่า
เราจะไปหาสัตว์ประเภทนี้ได้ที่ใด  หากหามาได้มันจะไม่ทำร้ายพวก
เราหรือ  น่าคิดนะนาย”
   ชายหนุ่มนิรุทธิ์เอามือท้าวคางพลางครุ่นคิดก็คิดไม่ออก ตามที่คนทั้ง
หลายเสนอมานั้นก็ดีหรอก  หรือว่าจะทำหน้าไม้ให้ใหญ่โตหรือก็ย่อม
เป็นไปไม่ได้ หรือจะทำหน้าไม้ยักษ์แล้วใช้หอกแทนอาวุธในการใช้ยิง
ก็ย่อมเป็นไปได้ยาก  เพราะอุปกรณ์ต่างๆก็ไม่อำนวยให้เสียด้วย ยิ่งไป
หาไก่ที่เป็นคู่อาฆาตกับพวกสัตว์ตะขาบเล่าจะไปหาได้ที่ใดและต้อง
ให้มันเชื่องไม่สามารถทำอันตรายแก่คนของเขาก็ย่อมไม่มีทาง
   อีกประการหนึ่งต้องใช้เวลารวดเร็ว ด้วยนิสัยสัตว์ร้ายเมื่อมันได้รับ
กลิ่นคาวเลือดคนและลิ้มรสเนื้อคนแล้วย่อมจะต้องหาทางหวนกลับมา
อีกแน่นอน  ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดศีรษะมาก   แว๊ปหนึ่งในสมองก็พลันให้นึก
ถึงนกสดายุขึ้นมาได้ว่าคงจะกำหราบมันได้ เพราะเจ้าสดายุนั้นปากมัน
เป็นจงอยคล้ายกับปากไก่ ที่สำคัญมันสามารถแปลงกายได้ให้ใหญ่เล็ก
ได้ตามใจมันอีกด้วย  
   เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็เป่าลมออกจากปากทอดถอนหายใจเหมือนจะ
โล่งอก  ใช่แล้วนอกจากเจ้าสดายุก็ไม่เห็นมีทางอื่นใดที่จะกำหราบ
สัตว์นี้ได้  พลอยให้เขาคิดไปถึงการติดตามดวงแก้วมรกตสีทองก็
ยิ่งทอดถอนใจใหญ่  สิ่งที่สินธุกล่าวนั้นจะใช่แก้วมรกตสีทองหรือ
ไม่ก็ไม่อาจทราบได้ แต่อย่างไรก็ต้องทดลองดู  หากไปค้นหาตาม
ที่สินธุบอกที่ภูเขาใกล้ๆกับภูเขาไฟติดกับด้านที่เป็นภูเขาน้ำแข็งแล้ว
หากเขาจะนำคนเหล่านี้ไปหรือก็จะสร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้าน
เพราะตอนนี้เหล่าชาวบ้านก็เหลือคนไม่มากนัก หากจะนำเอาสินธุ
กุลา ภาคี คียะไปด้วยก็ทำให้ทางนี้ขาดผู้นำไปหากวันใดเจอสัตว์ร้าย
อีกก็จะทำให้เหล่าชาวบ้านต้องตกตายสิ้น  เห็นทีเราจะต้องหนีไปคน
เดียวเสียกระมังพร้อมกับเจ้าสดายุก็คงเพียงพอจะได้ไม่เป็นภาระใดๆ
แก่เราได้   เมื่อคิดได้ดังนี้แล้วก็หันไปกล่าวกับเหล่าชาวบ้านว่า 

   “เรื่องนี้เราพอจะหาทางกำจัดมันได้อยู่หรอก  แต่เราจะบอกให้พวก
เจ้ารู้ตอนนี้ก็หาได้ไม่  เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พรุ่งนี้ให้พวกเราไปหาไม้
ไผ่ที่แข็งแรงทนทานพร้อมกับเถาวัลย์ที่เหนียวมาทำคันธนูยักษ์ล่วน
ลูกธนูก็ให้ใช้หอกนี่แหละเพียงแต่ที่ใช้ยิงให้หาขนนกมาทำแพนไว้
เพื่อให้ลูกธนูวิ่งตรงเป้า   พร้อมด้วยทำหน้าไม้ขึ้นอีกอันหาจุดที่คิดว่า
พอเหมาะจะยิงเจ้าสัตว์ร้ายนี้ได้  พวกท่านเป็นเป็นประการใดเล่า”
   “หากนายจะทำอาวุธที่กล่าวมานี้ก็ไม่ยากเท่าไหร่นักหากกำลังพล
เราเหมือนเดิม  แต่นี่มีกำลังพลไม่เท่าไหร่แต่ก็จะพยายามทำให้ทันนะ
นายเรื่องนี้เฉพาะหน้าไม้  ข้ากุลาขอรับอาสาเองนายเพราะข้าชำนาญ
เรื่องหน้าไม้นี้อยู่แล้ว”
   “ส่วนคันธนูข้ากับคียะจะรับเอาสาเองให้ได้เร็วที่สุดนาย “
เจ้าภาคีเอ่ยขึ้นบ้าง
   “ส่วนเรื่องดาบและอาวุธอื่นๆข้ารับอาสานายตามจะสั่งเถิด”  
สินธุเอ่ย
   “ส่วนข้าศิลาแม้จะแก่ก็ตามแต่ข้ามีวิชาเรื่องค่ายกลประตูหอรบ
ก็จะนำกำลังพลน้อยนิดไปนำหินต่างๆมาวางเรียงตามหลักค่ายคู
ประตูกล อาจจะทำให้สัตว์นี้มันงวยงง แม้ว่าจะเพียงแค่มายาภาพ
ก็ตามนาย”
   “เอาล่ะเมื่อทุกๆคนพร้อมใจกันเช่นนี้  เห็นทีคงจะทำการสำเร็จ
เป็นแน่นอน  งั้นทุกๆคนไปพักผ่อนได้ พรุ่งนี้ค่อยจัดการตามที่
กล่าวไว้แล้วกันเถิด”
      ดังนั้นทุกๆคนต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อนคงเหลือชายหนุ่มและ
ภาคี คียะ กุลา สินธุ คอยนั่งเป็นเพื่อนชายหนุ่มที่นั่งใช้ความคิดอยู่
แต่ทั้งสี่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากสอบถามแต่อย่างไร...............

                    *แก้วประเสริฐ.*

665411.gif117684ygkpzfr3jr.gif665411.gif				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแก้วประเสริฐ