23 ธันวาคม 2550 23:06 น.
คีตากะ
ข้าวหนึ่งมื้อหนึ่งจานท่านโปรดคิด
ผลาญชีวิตของใครให้ประหาร
เอาเนื้อเขาเป็นเนื้อเราเฝ้าประจาน
สร้างสุสานในกายหลายชีพปลง
เลือดและเนื้อเพื่อบำรุงมุ่งเข่นฆ่า
หลากชีวาพร่าชีวิตคิดใหลหลง
รสเลิศหรูของผู้ใดไซร้ปลดปลง
หวังสูงส่งเทียมฟ้าน่าขำคน
สุสานสัตว์แออัดซากจากภูตผี
รวมสรรพชีวีทุกที่หน
ยังกลัวตายกลัวผีทั้งที่ตน
หมั่นแบกขนซากศพกลบกายา
เว้นหนึ่งมื้อยื้อชีวิตนับหมื่นแสน
เมตตาแทนค้ำจุนคุณหนักหนา
ปลอดจากบาปอาบเลือดสัตว์ตัดปาณา
สูงส่งกว่าทำทานใดในปฐพี
ทานพืชผักผลไม้ให้แร่ธาตุ
โรคภัยปราศจากกายหมายสุขศรี
ยังอิ่มบุญหนุนนำล้ำชีวี
ไม่ต้องมีเวรบาปตราบสิ้นลม...
พรหมจรรย์สูตร
" ผู้คนที่รับประทานเนื้อสัตว์ย่อมทำลายเมล็ดพันธุ์แห่งจิตเมตตาอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติพุทธะของพวกเขาเอง และสรรพสัตว์ใดๆ ที่พบเห็น พวกเขาก็จะละทิ้งพวกเขาไป ดังนั้น โพธิสัตว์ทั้งหลายต้องหลีกเลี่ยงจากการทานเนื้อของสรรพสัตว์ใดๆ เพราะนั่นจะสร้างบาปอันไม่สิ้นสุด"
ศุรางคมสูตร
" ผู้คนที่รับประทานเนื้อสัตว์จะตกเข้าไปในวัฏจักรของการเวียนว่ายตายเกิด และทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดอันไม่สิ้นสุด"
" ผู้คนที่รับประทานเนื้อสัตว์จะไม่อาจพบความสำเร็จในการรับพระพร หรือบุญกุศลใดๆ ที่พวกเขาสวดภาวนาขอ"
" ผู้รับประทานเนื้อสัตว์ย่อมทำให้สิ่งมีชีวิตบนสรวงสวรรค์หลีกห่างไปจากพวกเขา และสรรพสัตว์อื่นๆ หวั่นกลัวพวกเขา"
ลังกาวัฏรสูตร
" เหล่านักบุญทั้งหมดล้วนรังเกียจการกินเลือดหรือเนื้อ สิ่งมีชีวิตบนสวรรค์ย่อมไม่เข้าใกล้ผู้คนที่ทานเนื้อสัตว์ เพราะปากของพวกเขามีกลิ่นเหม็นเน่าอยู่เสมอ เนื้อไม่เป็นสิ่งที่ดี เนื้อเป็นของไม่สะอาด ผู้ที่ทานเนื้อก่อให้เกิดมารและทำลายบุญกุศลและพระพรให้หมดสิ้นไป นักบุญทั้งหลายล้วนตำหนิการทานเนื้อสัตว์! "
" ในบางสถานที่ ฉันห้ามผู้คนไม่ให้ทานเนื้อ 10 ชนิดและอนุญาตให้พวกเขาทานเนื้อบริสุทธิ์ 3 ประเภท เพื่อช่วยให้พวกเขาเลิกทานเนื้อสัตว์แบบค่อยเป็นค่อยไป และต่อมาภายหลังจึงเข้าร่วมการปฏิบัติธรรม เวลานี้ฉันบอกว่า ฉันห้ามการทานเนื้อทุกชนิด ไม่ว่าสัตว์นั้นตายอย่างธรรมชาติหรือถูกฆ่าตาย ฉันไม่เคยอนุญาตลูกศิษย์ของฉันทานเนื้อสัตว์ และฉันจะไม่อนุญาตเลยทั้งในปัจจุบันและอนาคต"
" สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนมาจากต้นกำเนิดเดียวกัน ผ่านการเวียนว่ายตายเกิดมามากมายเหลือคณานับ สรรพสัตว์ล้วนเป็นญาติพี่น้องกันและกัน เราสามารถทานเนื้อของญาติพี่น้องเราได้อย่างไร?"
นิพพานสูตร
" พระกัสปะถามพระพุทธเจ้าว่า " ทำไมในอดีตพระองค์จึงทรงอนุญาตให้ภิกษุฉัน " เนื้อบริสุทธิ์ 3 ประเภท หรือกระทั่ง " เนื้อบริสุทธิ์ 9 ประเภทได้?" พระพุทธเจ้าตรัสว่า " มันเป็นการอนุโลมตามความต้องการของสภาวะการณ์ และค่อยๆ ไปทีละก้าวในการละจากการทานเนื้อสัตว์"
ไข่มุกแห่งปัญญา-อนุตราจารย์ชิงไห่
เราต้องเห็นความทุกข์ของสัตว์อื่นๆเป็นเสมือนความทุกข์ของเราเอง ดังนั้น เราจึงไม่ควรยินดีในการฆ่าสัตว์และรับประทานมัน นั่นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมเราจึงควรเป็นมังสวิรัติ นั่นคือสิ่งที่ฉันหมายถึงในการโน้มไปสู่ความเมตตามากขึ้นๆ และแผ่ขยายความรักของเราไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย ศาสนาทุกศาสนาไม่ใช่ศาสนาเดียวล้วนพูดถึงว่า เราควรแผ่ขยายความรักของเราไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่เพียงแต่มนุษย์เท่านั้น เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเราจะศรัทธาในศาสนาใดหรือไม่ เราทั้งหลายต่างก็สามารถเชื่อในความดีได้ ในความเมตตาของหัวใจเรา ดังนั้นเราจึงพยายามช่วยชีวิตให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นั่นไม่ได้หมายความว่า ถ้าเธอรับประทานเนื้อสัตว์น้อยลง 1 ชิ้น สิ่งต่างๆมากมายจะเปลี่ยนแปลง แต่มันเป็นหลักการในการฝึกฝนใจของเราสู่ความเมตตา ขอให้ความเมตตาของเราเติบโตขึ้น อย่าฆ่าความเมตตาของเรา เจตนานั้นเป็นสิ่งสำคัญ...
23 ธันวาคม 2550 00:13 น.
คีตากะ
เพียงสักคนคือเธอละเมอหา
เป็นแก้วตาดวงใจไม่ห่างเหิน
กล่าวคำรักทักทายให้ใจเพลิน
คอยร่วมเดินเคียงข้างเส้นทางไกล
เพียงสักคนโชว์เบอร์ของเธอบอก
ช่องโทรออกโทรรับไม่หลับใหล
มีแต่เบอร์เธอนั้นทุกวันไป
เต็มห้องใจล้นปรี่ทุกวี่วัน
เพียงสักคนเจรจาภาษารัก
คอยไซ้ซักถามหาพาสุขสันต์
เป็นแรงใจให้ต่อสู้อยู่ทุกวัน
ร่วมฝ่าฟันอุปสรรคสักหนึ่งคน
เพียงสักคนส่งใจเฝ้าไถ่ถาม
อยู่ทุกยามคราท้อแท้แพ้สับสน
มีความรักหนักแน่นแสนคงทน
รักตราบจนชั่วฟ้ามิลาไกล....
11 ธันวาคม 2550 17:50 น.
คีตากะ
จิบน้ำชาริมแม่ปิงอิงสายน้ำ
จดจำคำหวานเธอละเมอฝัน
สาวเมืองหมอกอย่าหลอกเล่นซ่อนเร้นกัน
เพ้อรำพันคิดถึงอยู่ไม่รู้คลาย
สายลมพลิ้วใบไม้ไหวริมชายฝั่ง
คู่รักนั่งหยอกเย้าเราใจหาย
หมอกจางจางบางตามาพร่างพราย
เธอแม่อายส่งเสียงเพียงยลยิน
ฤ ภูตผีนางไพรแห่งใดหนา
แกล้งอุราปั่นป่วนชวนถวิล
เสียงไพเราะเกาะกินใจยามได้ยิน
ใจไม่สิ้นความหลงตรงน้ำคำ
หากฟ้าสร้างทางรักให้หนักอก
ต้องระหกระเหินเดินถลำ
หนทางไกลไม่ท้อขอก้าวย่ำ
ดอยสูงล้ำเสียดฟ้าจะฝ่าฟัน
ขอเพียงซับน้ำตาเวลาเศร้า
เป็นดั่งเงาเคียงข้างเส้นทางฝัน
รักษาแผลดูแลใจให้ทุกวัน
จนเธอนั้นหายดีสุขีพอ
เห็นเรือล่องท่องแม่ปิงยิ่งเปล่าเปลี่ยว
เหม่อและเหลียวรอบกายอายจริงหนอ
คงเดียวดายไร้ใครให้พะนอ
เพียงแต่รอเธอเห็นใจมอบไมตรี.....
9 ธันวาคม 2550 03:39 น.
คีตากะ
กลับมาแล้วล้านนาเคยลาจาก
คิดถึงมากยามไกลใจโหยหา
ซบไอดินกลิ่นหอมน้อมกายา
หลั่งน้ำตารินรดปลดปล่อยใจ
เคยอาศัยเล่าเรียนเพียรศึกษา
ช่วงเวลาหนึ่งมีที่อาศัย
เพียงหยุดพักซักถามความในใจ
แจ้งเกริกไกรความรู้จากครูบา
ถิ่นนักบุญอุ่นรักประจักษ์แจ้ง
หล่อหลอมแรงพลังหวังใจคว้า
สัจจะจริงทิ้งเปลือกเลือกปัญญา
เพื่อบ่ายหน้าสู่สวรรค์ทุกวันวาร
กราบอาจารย์สร้างสมบ่มความรู้
เผชิญสู้มายากล้าอาจหาญ
มิยอมเป็นเช่นทาสแห่งหมู่มาร
แม้นวายปราณยืนสู้ดูสักครา
มีเธอหนึ่งซึ้งใจให้พิงพัก
สุดแสนรักผ่านกลอนวอนภาษา
ถึงแปลกหน้าไม่แปลกใจในกานดา
ด้วยแววตาเธอมีรักหมั่นทักทาย
รักตอบรักวันนี้มีเธออยู่
แม้ไม่รู้วันข้างหน้ากานดาหน่าย
คงยินดีปรีดาถ้ากลับกลาย
อย่างน้อยได้เคยรักดูสักคน
พอใจแล้วเท่านี้มีไม่มาก
แสนหายากเธอที่มีรักล้น
ให้แก่กันทุกวันเนิ่นนานจน
ฉันสับสนเธอคนรักดั่งชีวา.....