29 พฤษภาคม 2549 16:13 น.

ทำอย่างไรให้ฝันเป็นจริงครับ

ตราชู

ผมประจักษ์เสมอเมื่อเสพงานกวีนิพนธ์ ตลอดจนงานศิลปะแขนงอื่นๆ ว่า ธรรมชาติเป็นผู้หยิบยื่นความงามสู่มนุษย์ ฉะนั้น ความผ่องผุดเพริศพรายซึ่งเจียระไนในอารมณ์ ก็แล้วล้วนบ่มจากธรรมชาติทั้งสิ้น ผมสังเกต (ด้วยตัวเองนะครับ) ว่า กวีหรือนักกลอนที่ท่านมีความผูกพันกับบรรยากาศประจำถิ่น หรือสิ่งแวดล้อมอันบริสุทธิ์ ท่านจะรจนาร้อยกรองได้งามงดชดช้อยย้อยหยาดพิลาสล้ำ ด้วยความดื่มด่ำจากหัวใจแท้จริงท่าน	
ผมนี่ถือว่ากรรมบันดาลจริงๆ ตาบอดเสียอย่างเดียว เป็นอันปิดทวารการเห็นเสียหมด ถึงได้รับรสธรรมชาติผ่านบทกวี ทว่ามิได้เห็นของจริง จึงไม่อาจวาดภาพในมโนสำนึกได้แจ่มแจ้ง กระทั่งเมื่อเขียนร้อยกรอง ท่านผู้อ่านจะพบว่า งานของผมเป็นภาพนิ่ง ขาดความผันพลิ้วลิ่วเลื่อนเคลื่อนไหวไร้นาฏลีลา นี่แหละครับคือทางตันและจุดอันตรายของผมหละ
	อีกประการหนึ่ง สังคมเมืองกั้นกักเราให้อยู่กับสำนักงาน อยู่กับตึกทึบๆ อยู่กับมลพิษ ยิ่งนานก็ยิ่งล้า ผมจึงมีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นนกผกผิน ตระเวนไปตามท้องถิ่นต่างๆ อยากไปนอนในไร่ ไปเที่ยวทุ่งนา ไปชมป่าเขาลำเนาธาร หลับไปท่ามกลางเสียงจักจั่นเรไร กลิ่นหอมของดอกไม้ ดวงดาวแม้จะอยู่ไกล หาก ก็ส่องแสงมาราวอยู่ใกล้เอื้อม รุ่งเช้า เสียงไก่ขันกระชั้นปลุก ชาวบ้านจับกลุ่มเดินเป็นหมู่ๆ ระฆังวัดขานหง่างเหง่งมากับสายลมชื่น โอ้ นี่คือยอดแห่งปรารถนาเลยครับ
	นอกจากนั้นแล้ว ผมยังปรารถนาจะไปอยู่กับชาวบ้าน เพื่อสัมผัสชีวิตชนบทจากชนบทจริงๆ ผมเชื่อว่า สามารถพบน้ำใจไมตรี ความซื่อใส ความบริสุทธิ์ ได้จากที่นั่น ที่ซึ่งสังคมเมืองยังไม่เข้าไปทำลายจนกลายสภาพ ผมมั่นใจครับ ว่า ณ ที่เหล่านั้น ผมจะรู้รสความขมขื่นของประชาชนผู้ถูกกระทำจากภาครัฐ ผู้ถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม อันจะนำมาซึ่งการสร้างงานที่มีหลักฐานมั่นคงกว่านี้
	นี่คือฝันครับ ฝันซึ่งไร้ทางเป็นไปได้ ในเมื่อผมยังอยู่เมือง ยังถูกขังคุก (คุกที่ศิวิไลซ์) น่าสงสารตัวเองเหลือเกิน ใครมีความฝันอย่างผมบ้างครับ หรือหากมีทางใดทำให้ฝันผมมีทางเป็นจริงได้ โปรดแลกเปลี่ยนความเห็นกับผมด้วยครับ จะเป็นพระคุณยิ่งครับ				
25 พฤษภาคม 2549 11:39 น.

ฉันใดที่ใจท่านชอบ?

ตราชู

ผมตั้งคำถามนี้เล่นๆครับ เนื่องจากฉันท์นั้นมีหลายลีลา เหมือนดนตรีหลากทำนอง ผมจึงอยากถามเพื่อนๆว่า ชอบอ่าน ฟัง หรือเขียนฉันท์ชนิดไหนบ้าง สำหรับผมมี
	วิชชุมมาลาฉันท์ ๘ จังหวะลีลาใช้ในบทครวญอ้อยส้อยก็ได้ พรรณนาความงามก็ได้ บรรยายความดำเนินเรื่องก็ได้ ฯลฯ
	มาณวกฉันท์ ๘ นี่พลิ้วผกเหมือนวิหคเหินว่อนเลยครับ (เห็นด้วยกับท่านคมทวน คันธนูจริงๆ)
	อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ งดงาม จังหวะดี 
	ภุชงคประยาตฉันท์ ๑๒ ระลอกเล่นขึ้นลงสนุกนัก
	กมลฉันท์ ๑๒ ฟังดูระรื่นหู แม้จะไม่ระเร่งเร้าอย่างภุชงค์ก็ตาม
	เวสสเทวีฉันท์ ๑๒ ฟังดูอ้อยอิ่งดีครับ 
	อินทรวงศ์ฉันท์ ๑๒ ชอบสี่พยางค์สุดท้ายของบาทที่ ๒ ครับ สะบัดสะบิ้งดีนักแล
วสันตดิลกฉันท์ ๑๔ สุดยอดของความงาม แต่งยากเสียด้วย ถ้าจะเล่นกับจังหวะตกกระทบหละก็ หืดขึ้นคอจริงครับ
	สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ๑๙ อลังการ สง่างาม
	อีทิสังฉันท์ กระแทกกระทั้ง เต้นขึ้นลงสะใจมากกกกกกกกกก
	สัทธราฉันท์ ๒๑ ฟังดูเคร่งขรึมยิ่งใหญ่ก็ได้ ใช้ในบทโศกก็ได้
	ฉันท์ใหม่ที่กวีไทยท่านคิดขึ้น
	สยามมณีฉันท์ ๘ ซึ่งพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ (น.ม.ส.) ทรงคิดขึ้น นี่ก็เต้นจังหวะได้สนุกเช่นกัน
	เปษณนาถฉันท์ ของ ท่านสุพร ผลชีวิน เรียบง่าย แต่ลีลาก็กระชับเร้าใจ
	อินทรธนูฉันท์ ๑๒ ของ ท่านคมทวน คันธนู ฟังกระชับกระฉับกระเฉงดีครับ
	หลักๆก็มีเท่านี้ครับ อยากทราบความคิดเห็นของเพื่อนๆบ้าง คุยกันสนุกๆนะครับ				
22 พฤษภาคม 2549 08:56 น.

กวีนิพนธ์ซีไรท์เล่มไหนที่เพื่อนๆชื่นชมบูชา

ตราชู

กระทู้นี้ตั้งขึ้นมาด้วยความอยากทราบจริงๆครับ หนังสือกวีนิพนธ์ซีไรท์นั้นมีหลายเล่ม แต่หากถามใจผมให้เลือกเล่มโปรดมา ๕ เล่มแล้วหละก็ เล่มที่ผมเลือกมีดังนี้
	นาฏกรรมบนลานกว้าง ของ ท่านคมทวน คันธนู ผมเลือกเป็นอันดับหนึ่ง ด้วยเหตุสำคัญที่ว่า กวีท่านใช้ฉันทลักษณ์หลากหลาย มีการประสมประสานร้อยกรองของหลวง กับร้อยกรองของราษฎร์อย่างกลมกลืน (ท่านผู้อ่านสามารถพบกลอนเพลงพื้นบ้านต่างๆในบทกวีหลายบท) อีกข้อซึ่งผมชื่นชมก็คือ ความอหังการ์กล้าแกร่ง จนบางบทดูจะเป็นกล้ากลั่นเสียด้วย (ดูบทกวีชุด รุ้งเจ็ดสีเป็นตัวอย่าง)คำแต่ละคำทรงพลังหนักหน่วง แสดงถึงอุดมการณ์อันมั่นคงยิ่งของกวี
	เพียงความเคลื่อนไหว ถือเป็นอีกเล่มซึ่งวิเศษยิ่ง เล่มนี้ต่างจากนาฏกรรมฯ ตรงที่ แม้กวีมีจุดประสงค์จะใช้ผลงานเป็นอาวุธต่อสู้เผด็จการเหมือนกัน แต่ลีลา น้ำเสียง ของท่านเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ละเมียดกว่า แข็งแกร่ง ทว่าไม่ถึงแข็งกร้าว ยิ่งกว่านั้น ในด้านพัฒนาการกลอน ผู้อ่านจะพบลักษณะกลอนเสภาซึ่งเน้นสัมผัสอักษรตรงจังหวะตกกระทบ ต่างจากกลอนในหนังสือคำหยาด ซึ่งเดินท่วงทำนองกลอนท่านสุนทรภู่โดยใกล้ชิด กลอนเยี่ยงนี้เหมาะจะใช้เป็น กลองรบ อย่างยิ่ง เพราะฟังน้ำเสียงหนักแน่นจริงจังขึงขังดีนัก
	ใบไม้ที่หายไป ต้องขอคารวะและทึ่งกับความสามารถของท่านจิรนันท์ พิตปรีชาไม่รู้วาย ท่านเขียนกลอนได้พลิ้ว ในขณะเดียวกันก็ทรงพลัง การจัดคำในวรรคประณีตบรรจง กระทบใจทุกคำ เป็นคำง่ายๆ อ่านเข้าใจทันที แม้กลอนที่เดินสัมผัสในเยี่ยงคติท่านสุนทรภู่ ท่านก็หยิบมาร่ายเพลงศึกได้อย่างคล่องแคล่ว
	ม้าก้านกล้วย นับว่าเป็นบทกวีสะท้อนวิถีชีวิตของชาวชนบทที่ชัดเจนที่สุด คำของท่านไพวรินทร์ ขาวงาม ง่าย ทว่ากินใจ บางช่วงประชดประชันถึงใจเหลือเกิน เป็นการประชดแบบเสียดสีระคนขมขื่นซึ่งผู้อ่านจับอารมณ์ได้ และกวีสามารถทำให้ผู้อ่านคล้อยตามได้ด้วย ผมไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองเป็นคนเมือง หาก รู้สึกว่า ผมเป็นคนชนบทซึ่งประสบชะตากรรมในเมืองใหญ่โดยแท้
	ปณิธานกวี ผมยอมรับตรงๆครับ ว่าตีความอภิปรัชญาในเล่มนี้อย่างยากลำบาก (ก็อย่างว่า ผมมันปัญญาน้อยอยู่แล้ว) แต่ยิ่งตีความยาก ก็ยิ่งบูชาท่านผู้นิพนธ์ เสน่ห์อีกประการหนึ่งของท่านอังคาร กัลป์ยาณพงศ์ คือลีลาโคลง โคลงของท่านมิใช่เดินตามขนบนิราศนรินทร์ หากแต่ยึดถือขนบกวีสมัยอยุธยา น่าสังเกตตรงที่ ท่านอังคารมักจะใช้คำเอกจริงโทจริงเสียเป็นส่วนมาก (ข้อยกเว้นต่างๆ เช่น ใช้คำตายแทนคำเอกได้ฯลฯ ท่านจะใช้น้อย) ทำให้ระลอกคลื่นเสียงสูงต่ำดีหนักหนา ที่กล่าวมาคือหนังสือกวีนิพนธ์ซีไรท์ห้าเล่มที่ผมบูชาครับ เพื่อนๆเล่าครับ มีความคิดเห็นอย่างไร ผมอยากรู้จังเลย				
19 พฤษภาคม 2549 08:52 น.

ตราชูนำกลอนมาลงที่นี่ด้วยวิธีใด?

ตราชู

คราวนี้ก็ขออนุญาตเล่าว่า ผมเขียนกลอน และนำกลอนมาลงที่เวปไซต์ได้อย่างไรครับ ทั้งนี้ เพื่อพิสูจน์ว่า คนตาบอดกับคนสายตาปกตินั้น แท้จริงเราไม่ได้อยู่ไกลกันเลย
	เริ่มต้นจากการรับรู้อรรถรสบทกลอนก่อนนะครับ ดังได้กล่าวมาแล้วในกระทู้ก่อนหน้านี้ ผมอ่านหนังสือ (จะพูดให้ถูกก็คือ ฟัง) จากห้องสมุดคนตาบอด ๒ แห่งครับ คือ ห้องสมุดคอลฟิลด์ ซึ่งตั้งอยู่ ณ อ. ปากเกร็ด นนทบุรี อยากยืมเรื่องไหน โทรศัพท์ไปขอแล้วเขาก็จะส่งมาทางไปรษณีย์ครับ แห่งที่สองคือ ห้องสมุดคนตาบอดแห่งชาติ ตั้งอยู่ ณ อาคารชั้น ๒ ของสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทยครับ ที่นี่มีบริการทำสำเนาแถบเสียง สำเนาแผ่นซีดีให้ด้วยครับ
	ผมเนี่ยทำสำเนาเป็นว่าเล่นเลย หนังสือกวีนิพนธ์ซึ่งห้องสมุดคนตาบอดแห่งชาติมีให้บริการ ผมจะต้องเก็บเป็นสมบัติส่วนตัวให้ได้ เสียค่าสำเนา ๕๐ บาท ต่อ ๑ แผ่นครับ คุ้มจริงๆ ได้มานั่งฟัง นอนฟัง ฟังแล้วฟังอีก นี่คือข้อเฉลยว่า คนตาบอดรับรู้รสจากวรรณกรรมได้อย่างไร พวกเราทำเช่นนี้ทุกคนครับ
	ส่วนที่ว่า คุณน้าท่านอ่านให้ฟังนั้น ท่านจะใช้วิธีอ่านวันละบทสองบทครับ พอผมถูกใจบทไหนก็จะอ้อนท่าน น้า บอกผมจดด้วยครับ แล้วท่านก็จะบอกจด แถมสะกดคำที่ผมสงสัยให้ด้วย พอจดเป็นอักษรเบรลล์แล้ว ก็สนุกซีครับ ผมมีสมุดจดบทกวีซึ่งจะวางไว้ใกล้ที่นอนเป็นประจำ ผมเรียกว่า สมุดข้างหมอน ครับ อ่านเช้าอ่านเย็น อ่านก่อนนอนทุกคืน เรียกได้ว่า คืนไหนไม่ได้อ่านบทกวี ก็หงุดหงิดเป็นบ้าเลยครับ
	จากการทั้งอ่านทั้งฟัง ก็ทำให้ผมจับจังหวะของการวางคำในฉันทลักษณ์แต่ละประเภทได้ ทำนองเดียวกับเพื่อนๆผมที่เป็นนักดนตรี สามารถจำวิธีเล่นเพลงต่างๆ และนำไปเล่นได้ชนิดเหมือนต้นฉบับ นั่นแหละครับ ขอยืนยันว่า กวีนิพนธ์เป็นศาสตร์แห่งการฟัง และทุกคน สามารถเขียนบทร้อยกรองได้ครับ
	อีกประการหนึ่ง ภาษาไทยเราเป็นภาษาดนตรีอยู่ด้วย ฉะนั้น การหัดผันเสียง เล่นกับระดับเสียงสูง ต่ำ หรือเล่นกับเสียง หนัก เบา จะว่าไปก็เหมือนเรานั่งแกะลีลาของดนตรีนั่นเอง ถ้าท่านสังเกตร้อยกรองของผม ท่านจะพบว่า ผมให้ความสำคัญกับแบบแผนมาก เพราะฟังด้วยหูแล้ว เห็นว่า โบราณาจารย์ท่านวางระดับเสียงขึ้น ลง ของแต่ละวรรคได้เหมาะสมยิ่ง  พอไต่ระดับเสียงในหูจนชิน เราเขียนผิดหรือไม่ ใช้วิธีฮำทำนองในใจดูก็รู้ได้แล้วครับ หรือจะอ่านทำนองเสนาะหลังเขียนเสร็จก็ได้เช่นกัน

	ทีนี้มาถึงวิธีพิมพ์ลงเวปบ้างนะครับ เวลาผมเขียนร้อยกรองทุกครั้ง จะเขียนด้วยเสลด (slade) อันเป็นเครื่องมือเขียนอักษรเบรลล์ เสียก่อน จากนั้นก็ลงมือพิมพ์ การพิมพ์ดีดของคนตาบอดเรา ใช้วิธีท่องจำแป้นทุกแถวให้ได้ครับ แล้วก้าวนิ้วขึ้นลงจนไม่ติดขัด (ข้อนี้มิใช่เรืองแปลกเลย พวกเราได้เรียนวิชาพิมพ์ดีดสัมผัสมาตั้งแต่มัธยมต้นแล้วครับ) สำหรับคอมพิวเตอร์ เรามีโปรแกรมสังเคราะเสียงช่วย ถ้ากดตัวอักษรตัวไหน มันก็จะเปล่งเสียงออกมาให้เราทราบ เช่นกดตัว ก ลงไป มันก็จะขาน กอ ไก่ ดังนี้เป็นต้น ทำให้เรารู้ได้ว่า พิมพ์ผิดหรือเปล่า ผิดตัวไหนก็กดปุ่ม back space กลับมาลบครับ
โปรดดูรายละเอียดเรื่อง การใช้คอมพิวเตอร์ของคนตาบอดได้ที่
http://psatansat.exteen.com/20060423/entry
 และจาก
http://psatansat.exteen.com/20060430/entry
	เพื่อพิสูจน์อีกครั้งว่า ทุกสิ่งที่ผมเล่าเป็นความจริง ผมขออนุญาตนำ บทความของ คุณปาจารีย์ พวงศรี จากเวปไซต์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ มาลงไว้เป็นภาคผนวกด้วยครับ
 

เส้นทางพัฒนาสังคมไอที แด่ผู้พิการ ทางสายตา

ไม่มองจึงมองไม่เห็น              แม้เป็นเปลวแดดแผดเปรี้ยง

เอียงลำจึงตั้งลำเอียง  ไม่เที่ยงไม่คงตรงทาง

ข้อความข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของบทประพันธ์ชื่อ สิทธิ์เราเท่าเทียม ที่ลงใน
http://chu21.exteen.com
บล็อก (blog) ส่วนตัวของ ชูพงศ์ ตรีวัฒน์สุวรรณ กวีผู้พิการทางสายตาที่ใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเป็น ของเล่น ชิ้นหนึ่งในการผ่อนคลายความเครียด

ชูพงศ์ เล่าให้ฟังว่า เขาเริ่มมีบล็อกของตัวเองตั้งแต่ 13 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยส่วนตัวชอบบทร้อยกรองและเขียนเล่นมาหลายปีแล้ว และได้เอามาลงไว้ในบล็อกราว 50-60
บท คาดว่าคงมีคนเข้ามาอ่านมาก เพราะเปิดบล็อกได้เดือนกว่าก็มีจำนวนผู้เยี่ยมชมราว 1,000 คน แต่ไม่ค่อยมีคนติชมผลงานหรือแสดงความคิดเห็นเท่าไรนัก ถ้ามีคนเข้ามาอ่านแล้วคอมเมนท์ผมน้อย
ผมก็จะน้อยใจ เพราะผมอยากให้รู้ว่าคนตาบอดคิดอย่างไร เข้ามาดูแล้วคิดเหมือนหรือต่างอย่างไร แลกเปลี่ยนความคิดกัน ผมจะได้นำไปพัฒนาต่อ

บล็อกของกวีผู้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกมืดผู้นี้ เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งซึ่งอาจทำให้หลายคนแปลกใจกับการที่คนตาบอดมีเว็บเพจเป็นของตัวเอง แม้ในความจริงแล้วนับเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้พิการทางสายตาสามารถใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เพื่อความเพลิดเพลิน
หาความรู้ หรือส่งข่าวสาร มาตั้งแต่ยุค DOS แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาเหล่านี้จะสามารถเข้าถึงโลกอินเทอร์เน็ตได้ง่ายดายนัก เพราะท่ามกลางสังคมที่มีกฎหมายระบุถึงความเท่าเทียม
และอ้างคำว่า น้ำใจ กันอย่างทั่วหน้านั้น ยังมีประตูที่ปิดล็อกอีกหลายบานขวางกั้นอยู่

ไปรเวท สทานสัตย์ เจ้าหน้าที่โครงการวิทยุบนอินเทอร์เน็ต สถาบันคนตาบอดแห่งชาติเพื่อการวิจัยและพัฒนา ซึ่งตาบอดแต่กำเนิดเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนผู้พิการทางสายตาอาจเข้าถึงคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตได้ไม่มากนัก
แต่เมื่อมีโปรแกรม Text to Speech ภาษาไทยมาใช้คู่กับโปรแกรม Screen Reader หรือโปรแกรมอ่านหน้าจอของต่างประเทศก็ทำให้คนตาบอดสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น

แต่สำหรับปัญหาที่ทำให้ผู้พิการทางสายตาไม่สามารถท่องโลกอินเทอร์เน็ตได้อย่างเต็มที่ในทุกวันนี้นั้น นอกเหนือจากค่าลิขสิทธิ์ของโปรแกรมอ่านหน้าจอที่มีราคาแพงแล้ว
เจ้าหน้าที่โครงการวิทยุบนอินเทอร์เน็ต ยังอธิบายว่า  มีสาเหตุมาจากการที่เว็บไซต์ส่วนใหญ่มักมีไม่มีคำอธิบายรูปว่ารูปนั้นคืออะไร หรือบางเว็บใช้แฟลชในการพัฒนา
ซึ่งโปรแกรมอ่านหน้าจอ ไม่สามารถอ่านข้อความจากเว็บประเภทนี้ได้อย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ คนตาบอดยังไม่สามารถอ่านข้อมูลในเว็บที่มีการแชตออนไลน์ได้ เนื่องจากมีการรีเฟรชเร็วเกินไป
รวมถึงเว็บที่ไม่มีลักษณะของการช่วยเหลือในการเข้าถึง เช่น ไม่มี link "skip navigation" หรือไม่มี stylesheet สำหรับการเปลี่ยนรูปแบบของหน้า เช่นการปรับสีหรือขยายอักษรให้ใหญ่
สำหรับคนสายตารางเลือน เป็นต้น

ทุกวันนี้ มีเว็บไซต์ประเภทที่ว่าเยอะมาก เหมือนกับคนไทยไม่สนใจว่าจะพัฒนาเว็บอย่างไรให้คนพิการใช้ได้สะดวก เน้นเรื่องความสวยงามกันอย่างเดียว แม้จะมีคู่มือในการทำเว็บให้ได้มาตรฐานก็เป็นภาษาอังกฤษ
แต่ก็มีคนบอกว่าขี้เกียจศึกษา มันยาก ไปรเวท กล่าว

ในส่วนนี้ อาจารย์วันทนีย์ พันธชาติ ผู้อำนวยการโครงการศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
หรือเนคเทค กล่าวว่า เนคเทคมีความพยายามเผยแพร่และส่งเสริมให้ทุกหน่วยงานโดยเฉพาะภาครัฐให้มีการสร้าง Web Accessibility คือ เป็นเว็บไซต์ที่สามารถให้บริการข้อมูลข่าวสารที่อำนวยความสะดวกให้กับคนพิการสามารถใช้บริการได้มาเป็นระยะเวลานานแล้ว
แต่ที่ผ่านมายังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ในขณะที่สิงคโปร์ทำเพียง 2 ปี ก็ก้าวหน้าไปกว่า 70% แล้ว

ทั้งนี้ เนคเทคได้พยายามอำนวยความสะดวกโดยแปลหลักและวิธีการสร้าง Web Accessibility จากเอกสารของ World Wide Web Consortium หรือ W3C (
www.w3.org)
มาแสดงไว้ใน
http://astec.nectec.or.th/atc
เพื่อให้ผู้พัฒนาเว็บไซต์ได้ศึกษาและทำความเข้าใจ โดยหลักทั่วไปของการสร้างเว็บให้ผู้พิการทางสายตาสามารถเข้าถึงได้ก็คือ การทำให้เว็บไซต์ตอบสนองต่อการทำงานของโปรแกรม
Screen Reader ที่อ่านจากซ้ายไปขวานั่นเอง ส่วนกรณีรูปภาพ ที่โปรแกรมอ่านได้เพียงว่าเป็น image w3c ก็มีคำแนะนำให้ผู้พัฒนาเว็บไซต์เพิ่มคำอธิบายว่าเป็นรูปอะไร
รวมถึงไอคอน และลิงค์ต่างๆ ด้วย ไม่ใช่การใส่ข้อความสั้นๆ เพียง คลิกที่นี่ แต่ควรบอกปลายทางให้ชัดเจนว่าจะลิงค์ไปที่ไหน เป็นต้น และถ้าหากสงสัยว่าเว็บไซต์ของตนเป็นเว็บไซต์ที่ทุกคนเข้าถึงได้หรือไม่ก็สามารถตรวจสอบโดยใช้เครื่องมือที่ให้บริการฟรีบนอินเทอร์เน็ตได้
เช่น CynthiaSays โดยบริษัท Hisofware, Accessibility Valet โดยบริษัท Web Thing หรือ Bobby โดยบริษัท Watchfire  ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม จนถึงวันนี้เว็บไซต์ไทยก็ยังคงให้ความสำคัญกับความสวยงามมากกว่าการเข้าถึงอยู่เช่นเดิม มณเฑียร บุญตัน นายกสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลแก่
IT Digest ว่า ทุกวันนี้มีเว็บไซต์ถึงกว่า 90% ที่ไม่เป็นมิตรต่อคนพิการและไม่ได้มาตรฐานสากลของ W3C และโดยส่วนตัวคิดว่า ถ้าทุกเว็บไซต์ทำตามคำแนะนำเกี่ยวกับการเป็น
Web Accessibility ก็จะสามารถเพิ่มกลุ่มเป้าหมายได้อีกมาก และไม่ได้เป็นอันตรายกับใครเลย ตรงข้ามกับการเขียนเว็บไซต์ที่ใช้เป็น frame ซึ่งง่ายตอนเขียน แต่สร้างความเจ็บปวดให้กับผู้ใช้หลายคน
ดังนั้น การทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้หรือ Accessible จึงเป็นสิ่งที่งดงามและยังช่วยให้ช่องว่างในการเรียนรู้ลดลงอีกด้วย

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 30 วรรค 3 บัญญัติไว้ว่า "การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล เพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่อง ถิ่นกำเนิด
เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ สภาพทางกาย หรือสุขภาพ สถานะบุคคล ... จะกระทำมิได้" และมาตรา 55 ที่ว่า "บุคคลซึ่งพิการหรือ ทุพพลภาพ มีสิทธิได้รับสิ่งอำนวยความสะดวก
อันเป็นสาธารณะและความช่วยเหลือจากรัฐ ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ"

ณ วันนี้ ไม่ว่ารัฐธรรมนูญจะบัญญัติไว้อย่างไร จะเห็นผลในทางปฏิบัติหรือไม่ อาจไม่สำคัญไปกว่า น้ำใจ ที่คนไทยอวดอ้างกันมาช้านาน และคำถามก็คือ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะแบ่งปันน้ำใจเล็กๆ
น้อยๆ สละเศษเสี้ยวเวลามาศึกษาการสร้างเว็บไซต์เพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย เพื่อให้เพื่อนร่วมแผ่นดินของเราสามารถเข้าถึงสังคมไอทีได้อย่างเท่าเทียม...

 ปาจารีย์ พวงศรี
http://www.thairath.co.th/news.php?section=technology03a&content=5661
	นี่คือสิ่งที่ผมสามารถตอบได้ในขณะนี้ครับ ส่วนคำถามอื่นๆซึ่งผมอาจยังกล่าวไม่กระจ่างชัด เพื่อนๆถามตราชูได้เลยครับ ขอยืนยันอีกครั้งครับว่า อาชีพใด หรือกิจกรรมใดที่ไม่ต้องใช้สายตาเป็นองค์ประกอบสำคัญ คนตาบอดเราทำได้ทั้งนั้นครับ
ด้วยความเคารพรักเพื่อนๆทุกท่านครับ
ชูพงค์ ตรีวัฒน์สุวรรณ
_________________________________				
18 พฤษภาคม 2549 16:36 น.

ขออนุญาตฝากตัวในฐานะสมาชิกใหม่ของบ้านหลังนี้ครับ

ตราชู

เพื่อนๆครับ ผมขออนุญาตรายงานตัวอย่างเป็นทางการเสียทีนะครับ หวังว่าจะได้เพื่อนเพิ่มครับ ความจริงล้วนๆเลยครับ ท่านตรวจสอบได้คำต่อคำที่
http://chu21.exteen.com


                ชูพงค์ ตรีวัฒน์สุวรรณ เป็นชื่อจริงนามสกุลจริงครับ เกิด ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ วันอาทิตย์ เนื่องจากคลอดก่อนกำหนด จึงโดนยัดตู้อบเป็นเวลาประมาณสองถึงสามเดือน
ผลคือ ตาบอดครับ ตอนแรกๆ ขึ้นไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ท่านที่จังหวัดอุดรธานีได้สักพัก ก็มาอยู่กรุงเทพกับคุณยาย

                เริ่มเข้าเรียนที่โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ (ก็ที่ถนนราชวิถีนั่นไงครับ) เมื่อปี ๒๕๒๖ จบมัธยมสามแล้วเรียนต่อโรงเรียนสันติราษฎร์วิทยาลัยอีกสามปี
แล้วก็เอ็นทรานส์ไม่ติด จึงก้าวเข้าสู่ รั้วน้ำเงินทอง ร่มฝ้ายคำ รามคำแหง อย่างภาคภูมิ

                จบปริญญาตรี (ศิลปศาสตร์บัณฑิต เอกภาษาไทย)เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ครับ เข้ารับพระราชทานปริญญาจากพระหัตถ์องค์สมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดา สยามบรมราชกุมารี
เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษจิกา ในปีนั้น

                หนังสือเล่มโปรด (ได้ฟังจากห้องสมุดคอลฟิลด์เพื่อคนตาบอด, ห้องสมุดคนตาบอดแห่งชาติ, และคุณน้าอ่านให้ฟัง)

                ประเภทวรรณคดี กวีนิพนธ์ (นี่แหละ ชีวิตผมหละ)

                โคลง ได้แก่ โคลงนิราศนรินทร์ ของท่านนรินทร์ธิเบศร์ (อินทร์) ชักม้าชมเมือง ของท่านอาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ อาทิตย์ถึงจันทร์ ของท่านเนาวรัตน์ฯ
เช่นกัน

ฉันท์ ได้แก่ สามัคคีเภทคำฉันท์ ของ ท่านชิต บุรทัต อิลราชคำฉันท์ ของท่านพญาศรีสุนทรโวหาร (ผัน สาลักษณ์) มหารัตนพิมพวงศ์คำฉันท์ ของ ท่านอาจารย์ชูชาติ ชุ่มสนิท

                กาพย์ ได้แก่ กาพย์พระชัยสุริยา ของท่านสุนทรภู่

                กลอน ได้แก่  บทละครในเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน กลอนบทละครเรื่อง เงาะป่า พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุฬจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ร่าย ได้แก่ ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก ๑๓ กัณฑ์

                ลิลิต ได้แก่ ลิลิตพระลอ (ยังมิอาจระบุผู้นิพนธ์ได้แน่ชัด) ลิลิตเตลงพ่าย พระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณะเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ลิลิตภควตี
ของ ท่านวันเพ็ญ เซ็นตระกูล

                กวีนิพนธ์ร่วมสมัยอื่นๆ

                คำหยาด, เพียงความเคลื่อนไหว, เขียนแผ่นดิน ของท่านเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

จงเป็นอาทิตย์เมื่ออุทัย ของ ท่านทวีปวร

ขอบฟ้าขลิบทอง ของ ท่านอุชเชนี

นาฏกรรมบนลานกว้าง, จตุรงคมาลา ของ ท่านคมทวน คันธนู

ใบไม้ที่หายไป ของ ท่านจิรนันท์ พิตปรีชา

ม้าก้านกล้วย, ฤดีกาล  ของ ท่านไพวรินทร์ ขาวงาม

หนึ่งทรายมณี, สร้อยสันติภาพ ของ ท่านศิวกานท์ ปทุมสูติ

ดาวประดับราตรี ของ ท่านประยอม ซองทอง

ทะเล ป่าภู และเพิงพัก ของ ท่านพนม นันทพฤกษ์

                ที่เอ่ยนามมานี้ คือหนังสือซึ่งได้ฟังแล้วจนจบ หรือเกือบจบ ส่วนที่มีไว้ในครอบครอง แต่ยังมิมีโอกาสอ่าน ก็อีกจำนวนหนึ่ง

                นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ ได้แก่ ผู้ชนะสิบทิศ ของท่านยาขอบ

บางระจัน, สำเภาล่ม ของ ท่านไม้ เมืองเดิม

สี่แผ่นดิน ของ ท่านคึกฤทธิ์ ปราโมช

ศิวาราตรี ของ ท่านพนมเทียน

นายขนมต้ม ของ ท่านคมทวน คันธนู

สายโลหิต ของ ท่านโสภาคย์ สุวรรณ

                นวนิยายผจญภัย ได้แก่

เพชรพระอุมา (ภาค ๑) ของ ท่านพนมเทียน

ล่องไพร (ทั้งชุด) ของ ท่านน้อย อินทนน

                นวนิยายชีวิต ได้แก่

แผ่นดินของเรา, ทุ่งมหาราช ของ ท่านมาลัย ชูพินิจ (เรื่องแรก ในนามปากกา แม่อนงค์ เรื่องสอง ในนามปากกา เรียมเอง
	ขอจบภาคนี้เพียงนี้ก่อนครับ เดี๋ยวเพื่อนๆรำคาญ ผมจะแย่เอา
ชูพงค์ ตรีวัฒน์สุวรรณ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟตราชู
Lovings  ตราชู เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟตราชู
Lovings  ตราชู เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟตราชู
Lovings  ตราชู เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงตราชู