9 กุมภาพันธ์ 2550 16:16 น.

ดอกไม้ข้างถนนของคนรัก

ตราชู

ดอกไม้ข้างถนนของคนรัก

	ใครๆที่มีคู่รักต่างก็รู้สึกตรงกันว่า ๑๔ กุมภาพันธ์ วันวาเลนไทม์นั้น คือช่วงเวลาอันแสนสุข แต่ สำหรับฉัน วันนั้นคือวันอันแสนโศกที่สุดครั้งหนึ่งเชียว ทว่า มันช่วยไม่ได้เอาจริงๆ ในเมื่อฉันเป็นคนตัดเยื่อใยรักให้ขาดสะบั้นด้วยมือของฉันเอง คุณจะรู้สึกอย่างไร หากคุณโดนดูถูกดูแคลนว่า ไร้ค่า ปราศจากราคา เหมือนดอกไม้ข้างถนน?
	ใช่.... ดอกไม้ข้างถนน ฉันได้ยินคำนี้ออกจากปากของคนรัก ในวันที่ฉันปรารถนาความหวานชื่นเป็นอย่างยิ่ง ๑๔ กุมภาพันธ์ ฉันมารอเขาตั้งแต่เวลาเลิกงาน คอยให้เขามาถึงด้วยลักษณะอาการใจจดใจจ่อ ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูอยู่แทบทุกนาทีก็ว่าได้ ทำไมหนอ เวลาจึงเดินช้าเสียจริงนะ เข็มนาฬิกากระดิกหมุน ฉันยิ่งเพิ่มความกระวนกระวาย แหละแล้ว เขาก็มา
	พัสตร์ พัสตร์ นั่นไง เขาร้องเรียกด้วยท่าทีอันกระตือรือร้นเช่นเดียวกับฉัน
	รักษ์คะ สุขสันต์วันแห่งความรักค่ะ ฉันเป็นฝ่ายอวยพรก่อน
	เช่นกันครับ ผมเตรียมดอกไม้ให้คุณด้วย กิริยาของเขาเรียบๆ เฉยๆในขณะตอบ อันเป็นลักษณะประจำตัว พร้อมกับยื่นสิ่งหนึ่งมาให้ ฉันยื่นมือออกไปรับ แล้วพลัน คิ้วทั้งคู่ก็ขมวดเข้าหากัน อุทานออกมาอย่างงงๆ
	พวงมาลัย ก็จะไม่ให้ฉันงงได้อย่างไร เพราะสิ่งที่ฉันถือในมือ มิใช่ดอกกุหลาบราคาแพง หากเป็นเพียงพวงดอกไม้ราคาถูกๆที่ฉันเห็นเด็กขายพวงมาลัยเดินขายอยู่ทั่วๆไป
	เนี่ยหรือคะ ดอกไม้สำหรับวันพิเศษของเรา ฉันร้องออกมา ตั้งใจต่อว่าเขาโดยตรง ก็เห็นรอยยิ้มเยือกเย็นปรากฏขึ้นจากดวงหน้านั้น รอยยิ้มซึ่งตอนนั้นมันจุดความโกรธได้ดีพิลึก
	ครับ ดูเถอะ ยังมีหน้ารับคำอย่างไม่สะทกสะท้าน หรือรู้สึกผิดสักน้อย ฉันเพิ่มอุณหภูมิในใจขึ้นจนร้อนผ่าว ดอกไม้นี้แหละ ผมตั้งใจซื้อให้คุณ เพราะมันเป็นดอกไม้จากข้างถนน
	ดอกไม้ข้างถนน ฉันแหวออกไปทันที ในเมื่อมันเหลืออด ทำไมจะต้องอดต้องทนเล่า นี่ คุณดูถูกฉันใช่ไหม ฉันมันต้อยต่ำ ฉันมันเป็นผู้หญิงข้างถนนในสายตาคุณ แปลก เขาไม่ยักเปลี่ยนท่าทีสักนิด รอยยิ้มคงระบายอยู่เช่นเดิม
	ถ้าคุณอ่านความหมายของมันออก คุณจะเข้าใจ
	อ๋อ คุณว่าฉันโง่ ตีความไม่ออกหรือ ริมฝีปากฉันสั่นระริก น้ำตาเริ่มซึมออกมาเรื่อยๆ แล้วก็ร่วงเผาะๆอย่างสุดกลั้น คุณดูถูกฉัน แล้วยังจะมีข้อแก้ตัวอีก พอ พอกันที ฉันไม่อยากจะพูดอะไรกับคุณอีกแล้ว คุณออกไปซะ เอาดอกไม้ของคุณกลับไปด้วย
	เขารับพวงมาลัยไปจากมือฉันอย่างสุภาพนุ่มนวล ถ้าคุณยังไม่ต้องการมันในวันนี้ ผมก็ยินดีจะลาไปก่อน เพื่อความสบายใจของคุณ แต่....เมื่อไหร่คุณอยากได้มันคืน ผมก็พร้อมจะซื้อใหม่ให้
	ถ้ายังเห็นแก่ฉันอยู่ ก็ไปให้พ้นๆเสียที ฉันยังร้องไห้ไม่หยุดปากตะเพิดไล่ ทว่า.... หัวใจปั่นป่วนวาบหวิวจวนเจียนจะปลิดวับออกจากร่าง เขาค่อยๆหันหลังกลับ ช้าๆ แล้วเดินจากไป ฉันมอง มองจนเขาลับตา แล้วทรุดฮวบลง ยกมือขึ้นปิดหน้า สะอื้นฮักๆอยู่คนเดียว
	ความหลังหลั่งไหลเข้ามาเป็นฉากๆ นับตั้งแต่วันแรกที่เราพบกัน คงเนื่องมาจากรูปลักษณ์ภายนอกของฉัน ผนวกกับทีท่าอันมีเสน่ห์บางประการของเขากระมัง เสมือนแม่เหล็กดึงดูดซึ่งกันและกัน เขา นายนรารักษ์ นามสกุลพิทักษ์ชน และฉัน นางสาวพัสตราพร วิภูษิตา เริ่มต้นสร้างความรู้จักจากบทสนทนาง่ายๆ หลายต่อหลายครั้ง ตามด้วยการแลกเบอร์โทรศัพท์กัน แล้วก็เริ่มนัดพบปะกัน ความขุ่นมัวเกิดขึ้นก็ตรงนี้เอง เพราะเขามิได้นัดกินข้าวที่ภัตตาคารเลิศหรู หากแต่เป็นร้านข้าวแกงแผงลอยซึ่งอยู่ใกล้ที่ทำงานของฉัน
 	ทำไมคุณนัดฉันมาที่นี่ล่ะคะ เราน่าจะย้ายไปห้องอาหารดีไหม กินบรรยากาศไปด้วย ฉันถามเชิงพ้อ พร้อมทั้งเสนอความเห็นขึ้น
	ก็เพราะผมเข้าใจแก่นแท้ของการกินข้าวน่ะซีครับ คำตอบมีมาพร้อมอาการยิ้มละไม หาก มันไม่ถูกใจฉันเลย เรานัดใครกินข้าว เพราะอยากพบ อยากเจอใครคนนั้นมากๆ และคำว่ากินข้าว กินที่ไหนก็ได้ ถ้ามันมีข้าวให้เรากิน บรรยากาศน่ะ สำหรับผมไม่สำคัญเลย อีกอย่าง ผมไม่ชอบภัตตาคาร หรือสถานที่โอ่โถง อาหารแพงๆ เพราะผมรู้สึกว่า เรากำลังเอาเปรียบใครๆอีกหลายคนที่ไม่มีกิน คุณลองคิดดูซิ่ ขณะที่เรานั่งเก้าอี้มีเบาะนุ่มๆรองรับ มีกุ้ง หอย ปู ปลา มีอาหารฝรั่ง จีน ญี่ปุ่น กินกัน คนอีกกี่สิบล้านคนยังเดินถนน กินข้าวแกง เราอร่อย แล้วเคยหันมามองพวกเขาไหม ผมจึงชวนคุณมากินข้าวแกง เพื่อแสดงว่า เราไม่ได้อยู่เหนือใคร เราเท่าเทียมกับคนส่วนใหญ่ของสังคม 
	เคร่งเครียดจังนะคุณเนี่ย ฉันออกปากสัพยอกเชิงบ่น พูดยังกับนักการเมืองแน่ะ
	นักการเมืองเขาพูดเพราะต้องการแสดงละครเรียกคะแนน ผิดกับผม ผมพูดจากใจจริง
	อีกครั้งหนึ่งที่ฉันคาดไม่ถึง ก็ตอนวันเกิดฉัน เขานำกล่องของขวัญมามอบให้ แล้วก็บอกว่า
	ผมฝากของขวัญไปกราบคุณแม่คุณด้วยครับ เพราะวันนี้ ท่านลำบากยิ่งยวดในการเบ่งคุณออกมา ส่วนตอนเย็น หากจะไปกินเลี้ยงกัน คุณควรจะชวนคุณแม่คุณไปด้วย เพราะท่านเลี้ยงคุณมาตลอดตั้งแต่เล็ก และจะเลี้ยงเรื่อยไป
	เขาทำสิ่งแปลกๆ พูดจาเกี่ยวข้องกับสังคม, กับส่วนรวม, กับมวลชน อยู่ประจำ พูดถึงวัฒนธรรม, ประเพณีอันดีงามในอดีต เปรียบเทียบกับค่านิยมยุคปัจจุบัน รวมถึงอะไรๆอีกหลายอย่าง ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเบื่อหู กวนอารมณ์ของฉันทั้งนั้น แม้กระทั่งวันวาเล็นไทม์ปีก่อน อันใกล้กับวันมาฆบูชา เขาก็ยังเอาดอกบัวมาส่งให้ถึงมือ
	ดอกไม้แห่งพุฒิปัญญาครับ ผมไม่ให้ดอกกุหลาบ เพราะเห็นว่า นั่นมันธรรมเนียมฝรั่งเขา สำหรับผม วันมาฆบูชามีความสำคัญมากกว่า เนื่องจากเป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ วันประชุมกันของพระภิกษุสงค์ เราควรจะถือโอกาสประพฤติดี  ละทิ้งความชั่ว ทำให้จิตใจเราบริสุทธิ์ดีกว่านะครับ
	ครั้งหนึ่ง เราเคยโต้เถียงกัน โดยฉันจุดชนวนขึ้นก่อน เมื่อสายไยสัมพันธ์มันเริ่มเขม็งเกลียวตึง
	รักษ์คะ คุณเคยคิดถึงใจฉันบ้างไหม เวลาทำอะไรลงไป
	คิดครับ คิดเสมอ
	คิดเสมอ ฉันทวนคำเสียงสูง ทั้งหมดที่คุณทำ คุณกล้ายืนยันหรือคะว่าคิดถึงใจฉัน
	ครับ อีกฝ่ายรับคำ ผมคิดอยากให้ใจของคุณเป็นหัวใจที่อุทิศเพื่อผู้อื่น หัวใจอันกว้างขวางราวแม่น้ำ เป็นแม่น้ำซึ่งพร้อมจะหลั่งไหลไปสู่ไร่ นา สวน ของชาวไร่ ชาวนา เป็นแม่น้ำหล่อเลี้ยงใจคนยากให้ชุ่มชื่น ผมไม่อยากให้คนที่ผมรัก ลื่นไหลไปตามกระแส หากชีวิตคุณเป็นเรือ คุณควรเป็นเรือมีเข็มทิศ
	ครอบงำกันชัดๆ ฉันประท้วงทันควัน คุณไม่คิดจะให้ฉันเป็นตัวของตัวเองหรือ
	สังคมเราทุกวันนี้ รักความเป็นตัวเองกันมากมายเหลือเกิน จนกลายเป็นตัวใครตัวมันไปเสียแล้ว ผมไม่อยากให้คุณตกอยู่ในข่ายล้อมของความเห็นแก่ตัวด้วยอีกคน
	คุณนั่นแหละเห็นแก่ตัว ฉันบริภาษสวนกลับไม่รอช้า แล้วเที่ยวโฆษณาว่าตัวเองเห็นแก่ผู้อื่น คนอย่างคุณมันใจคับแคบ
	คุณอาจกำลังเข้าใจผมผิด แต่ สักวัน ผมหวังว่า คุณจะรับรู้ได้ถึงความหวังดีของผม
	สักวันหรือ??? ฉันทอดถอนใจยาว มันไม่มีแม้แต่สักวันจะเหลือให้ตกลงกันได้อีก ในเมื่อคนตัดไมตรีก่อนคือฉัน ต่อไปก็คงต่างคนต่างเดิน ต่างเหินต่างห่าง ต่างร้างต่างลา เวลาแห่งความรัก (แบบขรุๆขระๆ) มันจบลงเพราะเขา เพราะเขา เพราะเขา แล้วฉันจะมามัวร้องไห้ทำไมเล่า กล้าตัดก็ต้องกล้าเจ็บ ถ้าบังเอิญเขากลับมาเจอฉันฟุบหน้าอยู่นี่ เขาคงกระหยิ่มยิ้มเยาะ และทะนงว่าตนสำคัญเสียเหลือหลาย เชอะ ไม่มีทาง ฉันจะเลิกร้องไห้ เพื่อให้คุณเห็นว่า คุณไม่สำคัญ หรือจำเป็นต่อชีวิตฉันอีกต่อไป
	ฉันกัดฟัน ลุกขึ้นยืน ซวนเซเล็กน้อย ต้องปลุกขวัญตัวเองอีกสักพักจึงก้าวเดินตรงไปขึ้นรถยนต์ส่วนตัว ขับออกจากที่นั่น สมองหนักอึ้ง หมุนติ้วคล้ายลูกข่าง เพียรเตือนตนหลายครั้งว่า กำลังขับรถนะ กำลังขับรถนะ พยายามพยุงเจ้าพาหนะคู่ชีพมาตามถนน ท่ามกลางการจราจรหนาแน่น มันบ้าระยำอะไรก็ไม่รู้ รถมาชะงักกึกตรงสี่แยกไฟแดงแห่งหนึ่ง สิบนาทีก็ยังไม่เขยื้อนตัว เอาอีกแล้วไง พอรถติด เจ้าความคิดเกี่ยวกับเขา ก็หวนกลับมาสู่สมอง ทำท่าจะไม่หายง่ายๆเสียด้วยสิ
	น้าจ๋า น้าจ๋า สะดุ้งสุดตัว เพราะเสียงเคาะกระจกรถ ไขกระจกลง ก็เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ยืนอยู่ เธอคนนั้นหอบพวงมาลัยเต็มอ้อมแขน ช่วยซื้อพวงมาลัยซักพวงเถอะค่ะ สิบบาท สิบห้าบาท ยี่สิบบาทเท่านั้นเอง ช่วยหนูเถอะนะคะ
	ประหนึ่งถูกเข็มแทงจนเจ็บแปลบกลางทรวงอก นี่อย่างไรล่ะ ดอกไม้ต้นเหตุแห่งการเลิกราระหว่างฉันกับเขา
	ไม่ ฉันไม่ซื้อ ปฏิเสธอย่างห้วนกระด้าง
	น้าจ๋า เด็กหญิงก้มศีรษะลงต่ำ มองสบตาฉันอย่างวิงวอน ฉันเห็นแววตาเธอสลดโศกเต็มที โปรดเมตตาหนูเถอะนะคะ หนูไม่มีสตางค์กินข้าว แม่หนูก็ไม่มี เราสองคนแม่ลูกอดมื้อกินมื้อ ลำพังตัวหนูหิว หนูทนได้ แต่แม่หิว หนูทนไม่ได้ หนูจึงมาขายพวงมาลัยหาเลี้ยงแม่ถ้าน้าไม่สงสารหนู ก็โปรดสงสารคนแก่เถอะค่ะ	
เอ๊ะ ฟังภาษาคนรู้เรื่องไหม บอกว่าไม่ซื้อ ความหงุดหงิด ประสมประเสกับเรื่องอลวนในจิตทำให้ฉันพลุ่งพล่านผิดธรรมมดา การตวาดเด็กจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็น
	น้า เธอขยับปากหวังวอนซ้ำ ฉันรีบสกัดขัดขวางทันใดด้วยโทสะ
	เธอมันพวกสิบแปดมงกุฎใช่ไหมล่ะ เข้าใจปั้นเรื่องดีนี่ แท้ที่จริงก็ทำงานกันเป็นแก๊ง แอบเอาผู้ใหญ่มาอ้าง นึกว่าหลอกฉันง่ายๆเหมือนหลอกคนอื่นหรือ ไม่มีทาง ฉันไม่เชื่อ ออกไปซะ ก่อนที่ฉันจะเรียกตำรวจ
	เจ้าตัวน้อยยิ่งหน้าม่อย ช้อนดวงตาขึ้นสบตาฉันด้วยแววหม่นหมอง ก่อนจะค่อยๆก้าวถอยหลัง พร้อมกับพึมพำแผ่วๆ
	ไม่เป็นไรค่ะคุณน้า หนูขอบพระคุณมากค่ะ ก็จะเป็นไรล่ะ ในเมื่อสิทธิในการตัดสินใจอยู่ที่ฉัน เธอบังคับฉันไม่ได้หรอก
	สักครู่หนึ่ง อาการอัมพาตของรถราทั้งปวงจึงค่อยคลาย ยวดยานเริ่มเคลื่อนที่อีกครั้ง แบบกึกๆกักๆ ไปๆหยุดๆ ฉันจุ๊ปากหลายต่อหลายคราว ทำไมนะ การจราจรของกรุงเทพมันถึงจลาจลไม่รู้จบ ถนนขยายเหยียดยาวต่อเติมเรื่อยๆ หาก ก็ดูไม่ทันกับปริมาณรถซึ่งแข่งกันเพิ่ม เพิ่ม เพิ่ม แล้วก็เพิ่มอยู่นั่นแหละ เอ๊ะ นี่ฉันกลายเป็นคนพาลพาโลเอากับสภาพรอบตัวหรือเปล่าเนี่ย?
	กำลังคิดอะไรอยู่นั่นเอง ฉับพลัน เหตุผันผวนปุบปับก็เกิดขึ้น เกิด โดยไม่มีใครตั้งตัว หรือมีเค้าลางเตือนบอกล่วงหน้าทั้งสิ้น เสียง โครม เป็นสิ่งแรกที่โสตประสาทของฉันสัมผัส ต่อด้วยเสียงกรีดร้อง และสำเนียงเอะอะของผู้คนมากมายบนท้องถนน ความโกลาหลตามมาในทันใด รถราหยุดชะงัก ฉันมองเห็นผู้คนวิ่งกันวุ่นวาย แล้วก็มีคนตะโกนขึ้น ฟังถนัดชัดเจน
	เฮ้ย เด็กถูกรถชน เด็กถูกรถชน
	ความขุ่นข้องหมองหม่นใดๆที่เคยมี แปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง กลายเป็นความตื่นตระหนกจู่โจมเข้ามาแทน ฉันไม่เคยอยู่ท่ามกลางอุบัติเหตุมาก่อน นี่คือครั้งแรกในชีวิต แล้วจะให้จิตใจปกติได้อย่างไร ถ้าหาก มีคนตายล่ะ เขาว่าเป็นเด็กเสียด้วย เด็กคนไหนหนอ? ดูเอาเถอะ เส้นทางสัญจรแท้ๆ ต้องเดิน ต้องขับรถ ขึ้นลงรถทุกๆวันก็ยังไม่ปลอดภัย มัจจุราชพรวดพราดเข้าถึงตัวได้ทุกเมื่อ นี่มิแปลว่า ทุกย่างก้าวของเรา อยู่ท่ามกลางการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเช่นนั้นหรือ? ฉันหลับตาลง ไม่อยากมอง เพราะกลัวเห็นสิ่งสยดสยอง แม้กระนั้น ก็อดวาดมโนภาพหลอนตัวเองมิได้จริงๆ รถชนคน อย่างน้อยก็ต้องมีเลือด เลือดมากหรือน้อยนะ ถ้ารถทับซ้ำ โอ๊ยยยยยยยยยยย........ ไม่เอา ไม่คิดแล้ว
	เวลาผ่านไป ผ่านไปแต่ละนาที มันสะท้านสะเทือนขวัญฉันเหลือกำลัง ภายในทรวงอกจึงระทึกเหมือนกระหน่ำรัวกลอง ความสับสนดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เสียงรถตำรวจเปิดไซเลนโหยหวน ฟังคล้ายๆคนตะโกนครวญครางน่าปริเวทนา อีกไม่นานนัก รถพยาบาลคงมาถึง
	ครั้นแล้ว อีกเสียงหนึ่งก็กรีดแหลมอย่างคนผู้ปวดร้าวสาหัสเกินคำพรรณนา อำนาจแห่งแก้วเสียง บาดลึกปานจะเฉือนหัวใจคนฟังทุกคนให้ขาดวิ่นไปทันทีที่ได้ยิน 
	ลูก ลูกแม่ ฉันใจหายวาบคล้ายร่วงลงมาจากตึกสูง คำว่า ลูกแม่ เพียงแค่นี้ก็พอจะเดาได้รางๆว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้อยคำรำพันต่อไปของเธอ ระคนกับเสียงร่ำไห้โฮ โฮ ตะเบ็งลั่นอย่างคนสิ้นสติสัมปชัญญะไปชั่วขณะยิ่งขยายความให้กระจ่าง และมันก็บีบรัดหัวใจฉันให้เจ็บปวดร่วมไปทุกขณะเช่นกัน 
	ชบา.....ลูก หนูต้องไม่เป็นอะไร ใช่ไหม หนูเป็นคนดี พระต้องคุ้มครอง แม่มาหาหนูแล้ว เราต้องกลับบ้านด้วยกันนะลูก คุณพระคุณเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ช่วยคุ้มครองลูกฉันด้วยเถิด เจ้าประคุณ ลูกฉันยังเล็กนัก เรามีกันสองคนแม่ลูกเท่านั้น ชบาเพิ่งอายุแปดขวบ ยังอุตส่าห์เดินขายพวงมาลัยหาเงินมาเลี้ยงฉัน ตอนกลางคืนกลับไปบ้านก็ต้องนั่งร้อยดอกไม้เตรียมไว้ขายพรุ่งนี้เช้า ไหนจะต้องเรียนหนังสือ ไหนจะต้องทำงานอีก นี่ถ้าฉันแข็งแรง ลูกก็ไม่ต้องลำบากหรอก เทวดาเจ้าขา เราสองคนยากจนจริงๆ อดมื้อกินมื้อ วันนี้ก็ต้องกินข้าวคลุกน้ำปลาที่เหลือ ข้าวก็ใกล้จะหมด ชบาจึงต้องมาหาเงินซื้อข้าว ชบาเอ๋ย ถ้าแม่รู้ว่า หนูจะต้องมาถูกรถชน แม่จะบอกหนูว่า ไม่ต้องมาขายพวงมาลัยหรอก แม่อดข้าวได้ ไม่ต้องห่วง ลูก.......ลูกจ๋า แม่อยู่นี่ หนูลืมตาขึ้นมองแม่สิจ๊ะ เจ็บมากไหมลูก ไม่เป็นไร เดี๋ยวหมอก็มา ถึงมือหมอเดี๋ยวก็หาย อดทนอีกนิดนะลูก
	ฉันขบริมฝีปากตัวเองจนเจ็บแปลบ ช่างปะไร ความเจ็บเพียงนิดหน่อย เทียบกับแม่ของชบาก็ห่างไกลกันนัก ชบา......ใช่เด็กผู้หญิงคนนั้นไหมหนอ? คนที่เคาะกระจกรถ ขอร้องให้ฉันช่วยเหลือ ฉันกลับเอ็ดตะโรเอาเสียงเขียว หาว่าหลอกลวง ชบา ถ้าเป็นเธอ ชบา น้า........ น้า.... ลำคอของฉันตีบตัน ก้อนสะอื้นวิ่งไล่กันเป็นระลอก ยิ่งแม่ของเด็กหญิงคร่ำครวญไม่หยุด ฉันยิ่งร้าวราน น้ำตาหลั่งรินออกมาโดยไม่รู้ตัว น้ำตาแห่งความสำนึกผิด และแสนสงสารครอบครัวของเด็ก เด็กขายพวงมาลัยตัวนิดเดียว ร่างแบบบางกระจิริด ทว่าทรหด อดทน อยู่กลางถนนฝ่าแดดแผดเปรี้ยงๆทั้งวัน แล้วฉันเล่า...... ฉันนั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นฉ่ำ หากจะเหนื่อยก็เพียงสมอง กลับถึงบ้าน ล้มตัวลงนอนก็หาย แต่....... เด็กตัวน้อยๆยังมีภาระต้องทำอีก กว่าจะได้นอนคงดึกโขทีเดียว ความพากเพียรของเขา มากมายกว่าฉันไม่รู้ว่ากี่ร้อยกี่พันเท่า
	ชบา ฉันครางแหบระโหย น้ำตาไม่หยุดไหล น้า.......ขอโทษ
	
	นี่เป็นอีกวันหนึ่งซึ่งฉันมารอพบเขาด้วยใจจดใจจ่อ ณ ตรงมุมเก่า ฉันคอย คอย คอย ความรู้สึกเฉกเช่นวันแห่งความรัก นั่นคือ ทำไมโลกหมุนช้าเหลือเกิน เขาจะมาไหม ในเมื่อฉันบอกเลิกก่อน เขาจะมาไหม ในเมื่อฉันทำเหมือนไม่ไยดี แต่แล้วกลับเป็นฝ่ายเรียกร้องให้เขามาหาเขา เขา......
	พัสตร์ พัสตร์ครับ นั่นไง เขามาจริงๆ มาพร้อมกับรอยแย้มยิ้มคลี่ขยายราวดอกไม้แย้มกลีบงาม ฉันยิ้มรับอย่างสวยที่สุดในชีวิต ก่อนจะยื่นมือออกไปหา พร้อมกับวางสิ่งหนึ่งลงบนฝ่ามือเขา
	ดอกไม้ข้างถนนค่ะ ฉันมอบให้คุณก่อน โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องซื้อมาให้ใหม่ เพราะฉันอ่านความหมายของมันออกแล้ว เขายังเป็นนายนรารักษ์ พิทักษ์ชนคนเดิม ไม่แสดงอาการใดๆอันบ่งบอกอารมณ์ภายในอย่างแจ่มชัด นอกจากจะยิ้มกว้างกว่าเก่า
	อ่านออกว่าอย่างไรครับ ที่รัก ฉันหูไม่ฝาดไปแน่ๆ เขาเรียกฉันว่า ที่รัก สวรรค์เป็นพยานให้ฉันด้วยนะ
	ดอกไม้ข้างถนน ของเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่ไงคะ ฉันอธิบาย เพราะมันเกิดขึ้นจากแรงงาน จากความรับผิดชอบของเด็กผู้มีความกตัญญู รู้จักแก่นสารของชีวิต ไม่คิดอยู่นิ่งเฉย รู้จักต่อสู้ รู้จักทำงาน เข้มแข็ง อดทน น่ายกย่องสรรเสริญกว่าผู้ใหญ่อย่างพวกเราเสียอีก จริงอยู่ เด็กบางคนขายพวงมาลัย เพราะถูกหลอกลวง ถูกบังคับทุบตี แต่เด็กที่ขายด้วยความสมัครใจ ขายเนื่องจากความขัดสนข้นแค้นเหมือนอย่างชะบาก็มีอยู่มากมาย
	ทีนี้ คุณพอจะเข้าใจผมหรือยัง ว่าทำไม ผมมอบดอกไม้ข้างถนนแก่คุณในวันนั้น
	เอ ฉันว่าฉันเข้าใจนะคะ แต่จะผิดหรือเปล่าไม่รู้ซี
	ถ้าผิดผมจะแก้ให้ แต่ ไม่ใช่แก้ตัวนะ
	คุณกำลังจะบอกฉันว่า ความรักที่ยืนยงคงทน ต้องเริ่มต้นพื้นฐานจากการรู้จักรักผู้อื่นก่อน โดยเฉพาะ ผู้ทุกข์ยากกว่าเรา เป็นความรักที่ปราศจากความเห็นแก่ตัว เมื่อเรารักผู้อื่นเป็น เราก็จะมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทีนี้ หากคนมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่สองคนอย่างฉันกับคุณมารักกัน สร้างครอบครัวร่วมกัน เราก็จะได้ครอบครัวที่พร้อมจะช่วยเหลือสังคมทุกเมื่อ แหละถ้ามีครอบครัวอย่างนี้เกิดขึ้นมากๆ สังคมก็จะน่าอยู่ขึ้น ถูกไหมคะ
	ถูกต้องครับ เขารับรอง มีความลับอีกข้อที่คุณยังไม่รู้ ทายซิ คนเก่ง
	อือ......... นึกไม่ออกแฮะ ฉันร้อง หลังจากนั่งตรองพักหนึ่ง ยอมแพ้ค่ะ จะปรับผิดให้ฉันเลี้ยงข้าวแกงมื้อเย็นก็ยังไหว เดี๋ยวนี้ ฉันกินข้าวแกง ก๋วยเตี๋ยวข้างถนนเป็นประจำแล้วนะ
 รู้ตัวหรือเปล่า คุณน่ารัก และคู่ควรแก่ความรักที่สุด ประกายพรายพริบระยิบระยับวับวาวสุกสกาวขึ้นในดวงตาเขา คุณก้าวลงมายืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้คนส่วนใหญ่ได้แล้ว
	อย่าออกนอกเรื่องซิ่คะ ฉันติงแก้เก้อเขิน บอกความลับของคุณให้รู้เสียที อย่ามัวอุบนิ่งอยู่ ฉันอึดอัดนะ รู้ไหม
	ที่จริงก็ไม่เป็นความลับหรอก คือว่า พวงมาลัยที่ซื้อให้คุณวันนั้นน่ะ ผมซื้อมาจากเด็กหญิงชบา ซึ่งถึงตอนนี้ คุณก็รู้จักแกแล้ว

	ค่ะรู้จัก จดจำไม่มีวันลืมตลอดกาล เด็กดีๆอย่างนั้น ไม่น่าเสียชีวิตเลย หนังสือพิมพ์ลงรูปเห็นชัดทีเดียว เด็กคนที่มาเคาะกระจกรถฉันไม่ผิดจริงๆค่ะ แต่ ข่าวออกแค่ไม่กี่วันก็เงียบหาย นี่จะต้องมีเด็กรับเคราะห์อีกกี่คนก็ไม่รู้
	สำนวน คลื่นกระทบฝั่ง กับ วัวหายล้อมคอก ดูจะกลายเป็นสำนวนประจำของสังคมบ้านเราไปแล้วนะครับ คนรักของฉันวิภากษ์วิจารณ์ เกิดเรื่องขึ้นทีก็ประโคมกันที บรรดาคนสำคัญๆทั้งหลายออกมาแถลงว่า จะต้องป้องกันอย่างนั้น จะต้องแก้ไขอย่างนี้ แล้วเป็นไงล่ะ สุดท้ายก็เงียบฉี่
	สงสารแม่ของชบาจัง ฉันรำพึงบ้าง ป่านนี้จะเป็นอย่างไรไม่รู้
	เขาหัวเราะเสียดสีอย่างขื่นๆ ก็คงได้รับเงินรับทองช่วยเหลือนิดๆหน่อยๆ ซึ่งแน่หละ ไม่คุ้มกับการสูญเสียลูกสาวเลย ต่อจากนั้น ก็อยู่ไปตามยถากรรม ทำไงได้ ในเมื่อเขาไม่ได้เป็นญาติกับดารา หรือพี่น้องรัฐมนตรี
	ไม่ยุติธรรม ฉันบ่นเปรยๆ คนเหมือนกัน ทำไมต้องปฏิบัติต่างกันด้วย
	ยุติธรรม มันเป็นจริงได้เฉพาะในตัวหนังสือ กับสุนทรพจน์ และความฝันเชิงอุดมคติเท่านั้น เขาตอบ
	แล้วคุณคิดว่าคนเล็กๆอย่างพวกเราจะทำอะไรได้คะ ในเมื่อเราหวังความยุติธรรมแท้จริงยากเต็มที
	ก็ต้องช่วยให้เรื่องเลวร้ายมันยุติลงอย่างเป็นธรรมมากที่สุดน่ะซี นรารักษ์ให้ความเห็น ในกรณีที่เราช่วยเหลือได้ จะด้วยกำลังทรัพย์ หรือวิธีใดๆก็ตาม เราก็ช่วยเหลือไป หากเราร้องทุกข์แทนผู้ถูกเอาเปรียบได้ เราก็ควรจะกระทำ สรุปว่า ประสมประสานกันทั้งสองทาง คือ เราลงแรงด้วยตัวเอง กับป่าวร้องให้ผู้อื่นมาร่วมลงแรงกับเรา
	ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ รักษ์ คุณกับฉันสามารถคุยกันรู้เรื่อง ฉันปรารภขันๆ ถ้าเมื่อก่อน คุณพูดเรื่องผู้เสียเปรียบ ผู้ได้เปรียบ ฉันคงลุกหนีไปแล้ว
	ก็บอกแล้วไง เดี๋ยวนี้ คุณควรค่าแก่ความรักมากที่สุด เพราะคุณรู้จักหยิบยื่นความรักให้แก่ทุกคน
	ต้องขอบคุณหนูชบากับแม่ของเธอต่างหากล่ะคะ สองแม่ลูกช่วยสอนฉัน ช่วยให้ฉันเป็นคนใหม่ บอกให้ฉันรู้ว่า ดอกไม้ข้างถนนมีความหมายอย่างไร เท่าๆกับบอกฉันทางอ้อมด้วยว่า คนรักของฉันรักฉันมากเพียงใด
	งั้น เย็นนี้ เราไปกินขนมจีนน้ำยาฉลองมาลัยข้างถนน และฉลองวันแห่งความรักทุกๆวันของเรานะ
	ค่ะ สำหรับเรา ทุกๆวัน คือวันแห่งความรัก เพราะเรามีรักให้แก่ผู้ทุกข์ยาก มีรักให้แก่ทุกคน 
(เขียนจบลงเมื่อ วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๐)
----------------------------------------				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟตราชู
Lovings  ตราชู เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟตราชู
Lovings  ตราชู เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟตราชู
Lovings  ตราชู เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงตราชู