17 มีนาคม 2552 17:15 น.

- เยือนบ้านสวน - ฟังเสียงคลื่นครวญริมเล - เตร็ดเตร่บนเขาคิชฌกูฏ -

อัลมิตรา


- เยือนบ้านสวน - 
- ฟังเสียงคลื่นครวญริมเล - 
- เตร็ดเตร่บนเขาคิชฌกูฏ -




เช้าตรู่ของวันเสาร์ .. 
ข้าพเจ้ามีนัดกับเพื่อนที่อยู่ถนนร่มเกล้า  เรามีแผนการเดินทางไปเมืองจันท์

ในเป้สีขาว มีชุดลำลองเตรียมพร้อมผจญภัย 2 ชุด พร้อมแปรงสีฟัน+ยาสีฟัน
ให้ตายเหอะ .. ข้าพเจ้าลืมใส่ใจตัวเองจนกระทั่ง หวี .. ก็ไม่ได้พกไป

ข้าพเจ้าไปยืนอยู่หน้าบ้านเพื่อนตอนหกโมงครึ่ง 
เพื่อนใจร้าย ไม่เลี้ยงข้าว .. ปล่อยให้ข้าพเจ้าไส้กิ่วท้องร้องกร๊วก ๆ อยู่เป็นนาน
กระทั่งข้าพเจ้าลากจักรยานของเพื่อนปั่นไปหาบางอย่างมาประทังชีวิต 
ก็ยังดี ที่ละแวกนั้นยังพอมีร้านก๋วยเตี๋ยว  ไม่งั้นคงได้แทะเบาะอานจักรยานกิน

...........................................

ยังจะต้องรอเพื่อนอีกคน ผู้ซึ่งรับหน้าที่เป็นสารถีขับเคลื่อน
กระทั่งฤกษ์เหมาะประมาณสิบโมง จึงได้จรลีไปทางเส้นทางมอเตอร์เวย์

การเดินทางก็ไม่มีอะไรมาก .. 
อ้อ !! ข้าพเจ้า อ๊วกแตก หนนึง .. พิสูจน์หลักฐานแล้ว เป็นเฟรนฟรายท์ร้าน KFC
แถมตอนที่อ๊วกแตก เพื่อนก็ยังไม่มีกะใจจะมาเหลียวแลอีกต่างหาก .. เฮ้อ !  

แต่วันเสาร์ ก็ช่างเป็นวันที่ไม่มีแดด มันจะดีอะไรเช่นนั้นกันหนอ
ไม่มีแดด แล้วจะมีฝนหรือเปล่านะ ข้าพเจ้านั่งเหงื่อตกคิดไปตลอดทาง

จนถึงจุดนัดที่โลตัสเมืองจันท์จนได้ 
เพื่อนของข้าพเจ้านัดพี่ชายไว้ที่นั่น เพื่อที่จะพาไปบ้านสวน
ส่วนข้าพเจ้า ไหน ๆ ก็ ไหน ๆ มาทั้งที ก็ต้องคารวะเจ้าที่เจ้าทางเสียก่อน 
แน่นอน .. ลุงราม ลิขิต นั่นไง

ลุงราม มาถึงโลตัสก่อนข้าพเจ้า มาพร้อมกับความโปร่งใสโล่งเลี่ยน
ลุงรามเล่าว่า เป็นอะไรก็ไม่รู้ ผมร่วง ก็เลยโกนหัวเหม่งไปซะเลย
ข้าพเจ้าชักไม่แน่ใจว่า ลุงรามแอบซ่อนจีวรซุกไว้ที่ไหนหรือเปล่า ฮา ..

...........................................  

ที่บ้านสวน ..
ข้าพเจ้าเดินตามพี่ชายของเพื่อนต้อย ๆ (ไม่ได้แปลว่าชื่อต้อย นะ)
เดินไปก็ลากตะกร้าพล๊าสติกใบใหญ่ตามไปด้วย แหงนคอสอยมะม่วงจนเมื่อย
พี่ชายของเพื่อนก็ใจดีชะมัด สอยโน่น สอยนี่มาให้กิน จนย่อยแทบไม่ทัน
มะพร้าวก็มีอยู่หลายต้น เล่นสอยเลือกทลายละหนึ่งลูกมาให้ชิม 
โห .. นักชิมมีอยู่สามคน มะพร้าวตั้ง 5 ลูก มะม่วงอีกต่างหาก

เพื่อนสนใจต้นสาเก ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจว่า จะหลงใหลอะไรกันนัก
ส่วนไอ้พุ่ม ๆ ที่มองดูคล้ายหญ้าใบใหญ่ ๆ ข้าพเจ้าก็เพิ่งจะรู้ว่า มันคือต้นตะไคร้
โธ่ .. มันเป็นพุ่ม ๆ น่ะ ยังคิดในใจเลยว่า ไหง๋.. มีแต่ต้นหญ้าวะเนี่ย

อื่น ๆ ข้าพเจ้าไม่ค่อยจะสนใจสักเท่าไหร่ ด้วยความที่ซื่อบื้อเรื่องพฤกษาศาสตร์
ทว่า .. มะละกอ ข้าพเจ้ารู้จัก นะ .. 

........................................... 

บ้านสวนหลังนี้ มีเนื้อที่ 7 ไร่  ข้าพเจ้าเดินชมมาจนทั่ว
สภาพบ้านก็เข้าขั้นดีทีเดียว สองชั้น ห้องน้ำหรู ห้องนอนเจ๋ง ห้องพระก็มี
ในครัวยังคงมีตู้กับข้าว และที่ไม่ควรจะอยู่ในครัวก็มี คือ .. โกศ

โกศ ของเจ้าของบ้านเดิม ซึ่งรีบร้อนขายและเมื่อทำการซื้อขายเสร็จแล้วก็รีบไป
ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ จึงดูเหมือนว่า ยังคงอยู่ครบถ้วน 

ข้าพเจ้ารู้สึกไม่ดี ที่เห็นโกศ 
กระทั่งรูปภาพของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นเจ้าของกระดูกในโกศ
ข้าพเจ้าก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีไปกันใหญ่  
เท่าที่สอบถาม ดูเหมือนว่าเจ้าของบ้าน(เดิม) ไม่สนใจไยดีที่จะนำติดไปด้วย

พี่ชายของเพื่อนเล่าว่า พยายามหลายครั้งหลายหนแล้วในการแจ้งให้มาขนย้ายไป
เหมือนพูดกับกำแพง ไม่อะไรตอบสนองเลย

น่าเศร้าเสียจริง 

...........................................   

ทำเลบ้านสวนอยู่ไม่ไกลจากทะเล พอจะเดินได้
พี่ชายของเพื่อนพาทัวร์ ซีกขวาก่อนคือฟากอ่าวหลาว และก็ซีกซ้ายคือแหลมสิงห์
บรรยากาศดีทีเดียว  ผู้คนไม่พลุกพล่านนัก เพื่อนคนหนึ่งบอกว่าติดใจที่นี่ซะแล้ว

...........................................  

ที่แหลมสิงห์ ..
เด็กผู้หญิงสามสี่คนกำลังเล่นชิงช้า ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันสนุกสนาน
หนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินจูงมือเอาเท้าแตะฟองคลื่นเล่น
ฝรั่งพุงพลุ้ยเดินลุยลงทะเลไปแล้ว พร้อมกับส่งเสียงเรียกเพื่อน ๆ ให้ลงเล่นน้ำ
วัยรุ่นกลุ่มหนึ่งกำลังดีดกีตาร์ร้องเพลงอย่างครึกครื้น

ข้าพเจ้าเดินเล่นอยู่พักหนึ่ง ก็กลับเข้าบ้านสวน
มีงานใหญ่รอให้ข้าพเจ้าทำอยู่ ซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกสนุกสนานกับงานนั้นมาก

แหม ! น่าจะรู้นะ ข้าพเจ้าชอบมะม่วง งานนี้พลาดได้ไง สอยมะม่วงน่ะสิ

...........................................  

สี่ทุ่ม .. หลังจากเติมพลังเต็มที่ก่อนขึ้นเขาคิชฌกูฏ
ข้าพเจ้าก็นั่งไปหลับไป จนถึงปลายทาง น่าจะห้าทุ่มกระมัง
แต่ .. ต้องรอเพื่อนอีกกลุ่ม ซึ่งกำลังเดินทางมาจากกรุงเทพ
ก็ดี .. นอนต่อ  จนกระทั่งเพื่อนที่มาสมทบเดินทางมาถึง อ.แกลง

ข้าพเจ้าเดินตามเพื่อนอีกสองคนอย่างเงื่องหงอยง่วง ..
เข้าแถวซื้อบัตรเพื่อที่จะขึ้นรถขึ้นเขา แถวย๊าววววววววววววยาววววววววววว
ยืนรอจนกระทั่งรับฟังผลบอลว่า ลิเวอร์พูลเขย่าจนโลงผีแตก 4 :1
แต่ตอนนั้น ข้าพเจ้าฟังไม่ค่อยได้ศัพท์เท่าไหร่ 
ดันเข้าใจว่า ลิเวอร์พูลแพ้ ได้แค่ 1 ประตู
คิดเอาเองละกันว่า สติสตังค์ของข้าพเจ้าเหลือซะแค่ไหน

...........................................  

น่าจะใช้เวลาในการยืนแถวเพื่อรอซื้อบัตรขึ้นรถนานกว่า 1 ชั่วโมง
การจัดระเบียบในการจำหน่ายบัตรยังไม่ค่อยดีนัก 
ผู้คนแออัดเบียดเสียดเหมือนอยู่ระหว่างปากขวด
คนแซงก็แซงกันไป คนที่เข้าแถวก็เข้าแถวไป

ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นคนเข้าแถว แต่ก็เตร่อยู่แถวนั้น ประมาณว่ากลัวเพื่อนหาย
บ่นนะ .. ไม่ใช่ว่า ไม่บ่น 

มาวัดกันทั้งที กระทั่งการให้ความยุติธรรมสำหรับคนอื่นยังไม่มี
แล้วจะมาเอาบุญอะไรกันได้อย่างไร

...........................................

ตีสี่ ..
เพิ่งจะกระเด้งตัวจากที่นั่งรอเรียกเบอร์บัตรขึ้นรถอยู่นานสองนาน
ทิวทัศน์เป็นยังไง ไม่รู้หรอก มืดซะขนาดนั้น
รู้แต่ว่า เหมือนกันนั่งรถแรลลี่ กระแทก กระเด้ง กระโดดดึ๋ง

ยังดีนะที่เมื่อสองปีก่อน เคยผ่านด่านอมก๋อยมาแล้ว
ถึงแม้ว่าที่เขาคิชฌกูฏที่เขาเล่าลือกันว่าโหดแสนโหด
ข้าพเจ้ายังมองว่า .. เด๊ะ เด๊ะ 

แต่ในระหว่างทางข้าพเจ้าก็ยังเห็นคนเดินเท้าขึ้นเขา
โอ .. เยี่ยมมาก นอกจากมีความอดทนสูงแล้ว ยังกล้าเสี่ยงอีกต่างหาก
ก็จะอะไรเสียอีกเล่า บรรดารถที่แล่นขึ้น-ลง ต่างก็เหยียบคันเร่งกันสุด ๆ 
...........................................

ลงรถช่วงแรก ก็เล่นเอาเดินเซเหมือนกัน
เพื่อนของข้าพเจ้าเซถลาลงพื้น พร้อมกับเลือดซิป ๆ ที่หัวเข่า
ข้าพเจ้าใช้เวลาไม่นานนัก ก็ถือโอกาสเข้าแถวไปซื้อตั๋วรถขั้นที่ 2 ก่อน

ให้ตายเหอะโรบิ้น ให้ดับดิ้นเหอะแบทแมน
ช่วงที่ 2 นี้ ชันมาก ข้าพเจ้ามองเส้นทางจากไฟหน้ารถแล้วให้ใจหายวูบ
บทจะโค้ง ก็แทบไม่เหลือมุมให้วาดโค้งเอาเสียเลย

มิน่าเล่า รถที่ขึ้นลง ถึงได้สลับสับหว่างเข้าเลนซ้ายบ้าง เลนขวาบ้าง
นี่ถ้าไม่ชินทางจริง ๆ มีหวัง .. ได้เข้าเฝ้าท่านเทพก่อนวัยอันควร

...........................................

การเดินทางเกือบถึงจุดหมายแล้ว ผู้คนมากมายเสียจริง
ข้าพเจ้าไม่มีอารมณ์จะดึงกล้องถ่ายรูปออกมาเก็บบรรยากาศ

เส้นทางที่ต้องเดินขึ้นเขาด้วยเท้า บันไดแต่ละขึ้น อัดแน่นด้วยมนุษย์
อันที่จริง ข้าพเจ้าไม่ใช่คนที่อึด เดินขึ้นเขา ขึ้นบันไดเก่ง
แต่ในคราวนี้ ข้าพเจ้าไม่ได้เมื่อยซะเลย เป็นเพราะเดินได้แบบกระดึ๊บ ๆ 
กว่าจะขยับเขยื้อนที ไอ้ที่จะเมื่อย มันก็หายเมื่อยแล้ว พร้อมที่จะเดินได้ต่อ

ยิ่งตอนที่ผ่านช่วงแคบ ๆ คนที่อยู่ด้านในออกไม่ได้
คนที่อยากเข้าไปให้ถึงรอยพระพุทธบาทก็เข้าไม่ได้
เห็นแล้ว ปวดกะบานวุ๊ย
ยืนไปยืนมา ฟ้าเริ่มสาง พอมองเห็นทิวทัศน์รำไร

ข้าพเจ้าง่วง พอยืนอยู่นาน ณ ตำแหน่งเดิม ก็เลยยิ่งง่วง
ถึงแม้ว่าอากาศจะค่อนข้างเย็น จนขนแขนตั้งเด่มาหลายชั่วโมงแล้ว
หนังเนื้อบนแขนของข้าพเจ้า ดูไปดูมา ชักเหมือนหนังไก่เข้าไปทุกที

ข้าพเจ้าก็ยัง ง่วง ... อยู่ดี นั่นแหล่ะ

...........................................

ในที่สุด ข้าพเจ้าก็ถูกฝูงชน ชนกระเด็นจนพลัดหลงจากเพื่อนจนได้
เหลือหน่อเดียวกระเทียมลีบ เดินเตร็ดเตร่ 
มองไปทางไหน ก็เจอแต่คนที่ไม่รู้จัก

ข้าพเจ้าใช้ช่วงเวลาที่รอ เข้าไปกินอาหารเช้าที่ทางวัดจัดจำหน่าย
ก็อร่อยดีนะ .. อย่างน้อย ถือเคล็ด อิ่มไว้ก่อน

...........................................

บางช่วงที่สัญญาณมือถือใช้งานได้ ข้าพเจ้าก็นัดแนะกับเพื่อน
อืม เออ .. จะไปรอตรงนั้นนะ ตรงนี้นะ ..
แล้วข้าพเจ้าก็สบายอกสบายใจ ดูนั่นดูนี่ ไปตามเรื่อง

ขนาดที่ว่า ไปนั่งตรงข้ามกับขอทาน
แล้วจับเวลาว่า ครึ่งชั่วโมงมานี้ ประมาณการรายรับของขอทานสักเท่าไหร่
โอวววว แม่เจ้าโว๊ย  แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น

ข้าพเจ้าเห็นขอทานคนนั้น เก็บแบงค์ร้อยใส่ย่ามไปประมาณ 3 ครั้ง
ส่วนแบงค์ยี่สิบ ก็เห็นล้วงเก็บ ล้วงเก็บ น่าจะ 30  ใบ

ข้าพเจ้าคิดว่า ตัวข้าพเจ้าเองนี้ ช่างน่าไม่อายเล้ย
อุตส่าห์ไปนั่งจ้องเอาจ้องเอา นับเงินของเขาอีกแน่ะ

...........................................   

ไม่บอกไม่รู้ .. ไม่มีใครโทรมา ก็ไมรู้อีกนั่นแหล่ะ
ปรากฏว่า เพื่อนทุกคนลงด้านล่างพื้นดินกันหมดแล้ว 
คงเหลือแต่ข้าพเจ้า ที่ยืนกินมะขาม พร้อมกับดูเจ้าหมีบุญรอดเล่น

ฮา .. ไม่รู้นี่หว่า 
นี่ก็คิดว่า ไม่ช้าแล้วเชียว คิดว่า ยังไงซะ ต้องเห็นเพื่อนตอนลงเขามาขึ้นรถ
ที่ไหนได้ เขาลงทางลัดกัน มันก็เลยทำให้ข้าพเจ้าพลัดหลงลำพัง

........................................... 

ง่วง .. เหมือนเดิม 
ทันที ที่ขึ้นรถ ข้าพเจ้าไม่ปล่อยให้โอกาสลอยนวล
หลับสิ .. ไม่ได้มีหน้าที่ขับรถนี่นา

นอนโลดดดดดดดดดดดดดดดด				
26 กุมภาพันธ์ 2552 13:35 น.

มุสามดเท็จหรือไม่ จงใคร่ครวญก่อนตอบ

อัลมิตรา

เหล่าภิกษุผู้แก่พรรษาและเคร่งในศีล  เดินอยู่ ณ แหล่งชนบทแห่งหนึ่ง

ทันทีนั้น ..
ท่านก็สวนทางกับคนร้ายที่วิ่งหนีการไล่กวดติดตามของพนักงานรักษาฏหมาย
โจรเห็นภิกษุ ก็ทรุดตัวก้มลงกราบด้วยสัญชาติญาณของผู้นับถือผ้าเหลือง
แล้วก็ลุกขึ้นออกแล่นหนีต่อไป 
ภิกษุรูปรูปหนึ่ง(รูปที่เดินท้ายสุด) ก็มองเห็นอยู่ว่าโจรแล่นหนีหายไปทางใด
ท่านได้ยืนปลงและพินิจดูในกรรมเก่า ความเป็นมาแห่งเหตุ ณ ที่นั่น

ต่อมาพนักงานรักษากฏหมาย ก็ไล่กวดตามหลังโจรมาพบกับเหล่าภิกษุ
จึงก้มกราบเช่นกัน  แล้วก็เอ่ยถามภิกษุรูปสุดท้ายว่า
  
"พระคุณเจ้า ยืนอยู่ ณ ที่นี้ ได้เห็น คน ๆ หนึ่งวิ่งผ่านมาบ้างหรือไม่ ?"

หากท่านเป็นพระคุณเจ้ารูปนั้น
ท่านจะตอบเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฏหมายว่าอย่างไร ?

ถ้าตอบว่า "เห็น" มันวิ่งไปทางนั้นทางนี้  ก็เป็นบาป
เพราะจากคำบอกเล่านั้น โจรคงจะถูกตามคร่าตัวได้ จำไปจำขังหรือประหารชีวิต
ผลมาจากการบอกชี้ทาง หากบอกว่า "ไม่เห็น" ก็เป็นบาปอีก เพราะมุสา มดเท็จ
ดูเหมือนมีเจตนาจะช่วยเหลือโจรอำพรางเจ้าหน้าที่ไว้ 

เอาล่ะ ท่านมีคำตอบหรือยัง ?

				
7 มกราคม 2552 21:56 น.

City Life My Condo....

อัลมิตรา

ฉันเคยอยู่บ้านหลังใหญ่ สนามกว้าง ๆ กระทั่งในเขตรั้วก็ยังมีบ่อน้ำด้วย
ฉันเคยอยู่ตึกแถว ขนาด 4 * 6 เมตร 3 ชั้น 
ตอนนี้ ฉันอาศัยบนพื้นที่กลางอากาศ ขนาด 135 ตารางเมตร
ในกล่องทรงสูงที่ใครต่อใครเรียกว่า "คอนโดมิเนียม"

ความเป็นอยู่ของฉันเหมือน 360 องศา
ด้านบน ด้านล่าง ด้านซ้าย ด้านขวา .. แวดล้อมไปด้วยเพื่อนบ้านที่ฉันไม่รู้จัก
ไม่ค่อยบ่อยนัก ที่ฉันจะเจอเพื่อนร่วมชั้นอาศัยในลิฟท์ .. ก็แค่ยิ้มเก้อ ๆ วูบเดียว
กับแม่บ้านทำความสะอาดส่วนกลางเสียอีก ที่ฉันมีโอกาสพูดคุยได้บ่อยกว่า 

ไม่ว่าจะเป็นของฝากที่ฉันคิดอยากจะแบ่ง ฉันก็จัดลำดับไว้แค่สอง
1. แม่บ้านทำความสะอาดส่วนกลาง  2. รปภ.

ที่จริงแล้วฉันก็อยากทำตัวสนิทสนมกับเพื่อนบ้านเหมือนกัน .. เหงาน่ะ
แต่คิดไปคิดมา ฉันเลือกที่จะมีชีวิตส่วนตัวในกล่องทรงสูงนี้มากกว่า
วัน ๆ ต้องลอบชิมน้ำลายของตัวเองว่า .. บูดหรือยัง (เพราะไม่ได้อ้าปากพูดกับใคร)

กล่องทรงสูงตึกนี้ มีคนอยู่เยอะ และเกือบครึ่งที่เป็นชาวต่างชาติ
อย่านึกว่าฉันจะได้ฝึกภาษากับพวกเขานะ .. yes   no   okay
ไม่มีโอกาสเลยสักแอะ เพราะพวกเขาตั้งอกตั้งใจเหลือเกินที่จะพูดภาษาไทย

บรรดาหล่อ ๆ สวย ๆ ก็มี .. ยังไงดีล่ะ .. ฉันไม่ได้โม้
พระเอกหนัง  นักร้องสาว  กระทั่งแอร์ฮอสเตส สจ๊วต ก็มี .. 
เจอที่ลิฟท์ทีไร หัวใจแทบละลายทุกที ..
เฮ้อ !.. เสียดายตรงที่อยู่ร่วมอากาศหายใจแคบ ๆ กันได้แป๊บเดียวเท่านั้น
 
ในวันหยุด ถ้าฉันไม่มัวคลุกอยู่แต่ในห้อง ก็มักจะไปที่ชั้นสันทนาการ
ไปว่ายน้ำบ้าง  ไปเล่นกับเด็ก ๆ บ้าง บางทีก็เอางานไปนั่งทำที่นั่น 
แบบว่า .. ที่บ้านมันเงียบเกินไป จนต้องออกมาให้ลมพัดผ่านหูสักหน่อย

ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ฉันจะไม่ค่อยออกจากกล่องทรงสูง 
โลกภายนอกมันช่างวุ่นวายเสียจริง จนฉันเลือกที่จะหลบภัยอยู่ในกล่อง

บางครั้งฉันก็ไปห้างสรรพสินค้าใกล้ ๆ ซื้อเสบียงมาตุนไว้
แต่ .. อย่าว่างั้นงี้เลย ฉันยังไม่เคยเฉียดพารากอน มันอยู่ตรงไหนของกรุงเทพฯ กันนะ
เชยว่ะ .. ( อันนี้ฉันบอกตัวเอง โดยที่ไม่ต้องให้ใครมายิ้มเยาะ)

และถ้าฉันตัดสินใจออกไปผจญภัยล่ะก็ บอกได้เลยว่า .. ไม่ใช่ในเมืองแน่ ๆ 
เบื่อตายชัก .. เซ็งเป็ด .. (คิดในใจ น่ะ)
ฉันชอบที่จะออกไปหาต้นไม้ ภูเขา ทั้งที่ฉันไม่ค่อยรู้จักพรรณพืชสักเท่าไหร่
กระหาย .. เหี้ยนกระหือ .. วุ๊ย คำมันแรงเกินไป .. เอาเป็นว่า ฉันชอบธรรมชาติ

แต่อย่ามาถามฉันเชียวว่า ชอบธรรมชาติแล้วทำไมไม่อยู่บ้านติดดิน ไม่อยู่ชนบท
โธ่ ! เลือกได้ทุกอย่างตามใจก็ดีน่ะสิ  
เท่าที่เป็นไป ก็เหมาะสมกับชีวิตของฉันแล้ว สิ่งที่อยากเป็นไป ก็ใช้เพ้อฝันบรรเทา

มีเรื่องเล่า ..  หลายวันก่อนฉันเดินผ่านชั้นล่าง ที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์หยอดเหรียญ
ให้บังเอิญเสียจริงที่ตอนนั้น ฉันเดินไปหยิบจดหมายจากตู้ประจำบ้าน 
และได้ยินเสียงคนอ่านกลอนเบา ๆ  แต่เนื้อกลอนมันช่างคุ้นเสียจริง .. กลอนของฉัน
ไม่ใช่เสียงหนุ่มหล่อที่ไหนหรอก ทว่าเป็นเสียงของผู้ชายอายุราวเกษียณหมาด ๆ 
กำลังอ่านกลอนให้ผู้หญิงที่วัยประมาณกัน .. แฟนคลับ แฟนคลับ .. ฮา

ให้ตายเหอะโรบิ้น ให้ดับดิ้นสิแบทแมน ..
360 องศาของฉัน มันก็มีอะไรที่พิลึกพิลั่น จนไม่เงียบเหงาเกินไปนักเหมือนกัน

วันเด็กเสาร์นี้ .. ที่กล่องทรงสูงจะจัดงานวันปีใหม่
ฉันทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แอบซื้อบัตรโต๊ะจีน โต๊ะเดียวกับคนที่อ่านกลอนของฉันด้วย

ไงดีนะ .. 
ฉันจะแกล้งเอาสมุดที่จดงานเขียนมานั่งอ่านพลาง ๆ ตอนรอเสริฟอาหารดีมั๊ย
หรือเวลาที่แนะนำตัว ฉันบอกนามแฝงไป เฮ้ย .. ไงดี  ติงต๊องชะมัดเลยฉัน				
10 ธันวาคม 2551 17:16 น.

ประมวลภาพปันน้ำใจให้น้อง และกิจกรรมตามหาพระอาทิตย์ตั้งแต่เชียงรายจรดน่าน ..

อัลมิตรา

เอาบุญและบรรยากาศมาฝาก ...

จากการเข้าร่วมกิจกรรมที่คุณเอื้องอังกูรเชื้อเชิญมาในหมวดเรื่องสั้น
ทริปเชียงราย ปันน้ำใจเพื่อเพื่อนไทยในชนบท 4 - 7 ธันวาคม 2551
ณ รร.บ้านสองพี่น้อง ต.ริมโขง อ.เชียงของ จ.เชียงราย

** เล่าโดยคร่าว 

ข้าพเจ้ากับเพื่อนกลุ่มหนึ่ง ตัดสินใจเดินทางไปเข้าร่วมสมทบที่ปลายทาง 
การเดินทางครั้งนี้ ไม่มีแผนการเดินทางแน่ชัด เรียกง่าย ๆ ว่า 
ไม่มีแผนการเดินทางก็ได้
ข้าพเจ้ากับคณะคุยกันคร่าว ๆ ว่า เมื่อไปถึงที่หมาย  เมื่อส่งมอบของบริจาคแล้ว
ก็จะแยกเดินทางทันที ตามเส้นทางของคนพเนจรนอนหนาวตามภู

และจากที่ไม่มีแผนการเดินทาง  
จึงเริ่มต้นด้วยการแวะที่วัดร่องขุ่น ได้พบ อ.เฉลิมชัย เอาไม้ปักจิ้มเศษใบไม้ 
ไม่ได้แวะทักทายคุยกับท่าน เพราะมีเวลาน้อยมาก จะต้องรีบไปเชียงของ
และเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจที่โรงเรียนแล้ว ก็เดินทางไปยังท่าเรือบัค 
เพื่อรับประทานมื้อกลางวันกว่าจะได้ทานก็บ่ายสาม 
เลยไม่รู้ว่าเรียกว่ามื้อหลังเที่ยงหรือมื้อใกล้เย็นดี 

เมื่ออิ่มสบายท้องกันแล้ว  ก็เดินทางไปพักแรมที่ภูชี้ฟ้า  
ซึ่งครั้งแรกก็ยังไม่อยากตัดใจจากผาตั้ง นอนหนาวที่นั่นหนึ่งคืน 
ก่อนที่จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูชี้ฟ้า มีแต่คน และ ก็คน พรึ่บ ๆ 
ถ่ายรูปวิวได้ยากมาก ติดแต่หัวคน 
จากนั้นระเหเร่ร่อนไปตามเส้นทางคดเคี้ยวของเทือกเขา 

จากเชียงรายผ่านไปยังอุทยานแห่งชาติภูซาง จังหวัดพะเยา
เดินสำรวจที่เส้นทางเดินป่าที่เขียวชอุ่ม  
ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยโอโซนบริสุทธิ์ 
สายน้ำตกอุ่น ๆ ทำให้ที่นั่นไม่หนาวจนเกินไปนัก 

จากนั้นก็เดินทางข้ามจังหวัดไปยังจังหวัดน่าน 
แวะไปไหว้สาญาติผู้ใหญ่ของคนในคณะ
ค่ำคืนนี้ พักค้างที่ ดอยเสมอดาว เ
ช้าสูดอากาศบริสุทธิ์ กับตื่นตากับทะเลหมอกที่ผู้คนไม่พลุกพล่านมาก
ตกสายแวะท่องเที่ยวภายในจังหวัดน่าน 
เริ่มต้นที่อารามหลวงวัดเขาน้อย นมัสการพระธาตุแช่แห้ง

ช่วงบ่ายเดินทางไปจังหวัดแพร่ นมัสการพระธาตุช่อแฮ .. 
จากนั้นก็แวะรายทางมาเรื่อย ๆ จนถึง กทม.
ของฝากทางเมืองเหนือไม่ค่อยมี เพราะมัวแต่ไปอยู่ตามป่าตามเขา  
ลำพังจะกินในมื้อยังลำบากเลย ฮา..
แต่ไล่เรียงตั้งแต่ แพร่ลงมาค่อยสะดวกซื้อหน่อย แวะซื้อตลอด 

การเดินทางราบรื่นปลอดภัย..  
รถปิคอัพ 5 คัน มีหลงทางบ้างเล็กน้อย .. ขอบคุณเพื่อนร่วมทางทุกคน
อาหารการกิน .. 
ขอบคุณร้านอาหารที่ค่าเรือบัค (เชียงของ) ที่ดูแลมื้อบ่ายสามเป็นอย่างดี
เป้าหมายสำเร็จลุล่วงตามความประสงค์..  
คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์กีฬา อาหารแห้ง ยาสามัญ นม ขนม ฯลฯ

สืบเนื่องจากข้าพเจ้าไม่ได้เปิดกระทู้
เพื่อประกาศข่าวการทำกิจกรรมครั้งนี้อย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้เนื่องจากคุณเอื้องอังกูร หัวหน้าโครงการได้ประกาศเชิญชวนไปแล้ว
แต่เมื่อเพื่อน ๆ หลายคนทราบว่าข้าพเจ้าจะร่วมการเดินทางด้วย 
จึงฝากเงินฝากสิ่งของเพื่อนำไปบริจาค ข้าพเจ้าก็จัดการทำธุระให้ 
ซึ่งก็มีเพื่อนตามรายนามดังต่อไปนี้ ( 1-8 ฝากผ่านมาทางคุณชัยวัฒน์อีกที)

1. นายพลณัช  ธนภัทร์พิศาล                  1,000   บาท
2. พ.ท.ผจญ และนางสุขจิตต์ จ้อยปลื้ม         700  บาท
3. น.ส.ฏาฏะณี  วุฒิภดาดร                500  บาท
4.น.ส.ปัทมา  เทพภูษาวัฒนา                  500  บาท
5.นายสิทธิชัย  ปัญญา                             100  บาท
6.นางสุรีวรรณ  ศรีสุข                            100  บาท
7.นายโชคชัย และครอบครัว วรเดชจำเริญ              2,000  บาท
8.นายพงศ์อนันต์  ศรีมงคลถาวร                    100  บาท
9. ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม    10,000 บาท ( มีส่วนของสมาชิกบ้านกลอนไทยด้วย)

บริจาคสิ่งของ,อาหาร  ...
นางสาว ชลรส มีจิตรไพศาล
นางสาว วันเพ็ญ ศิริมาตรพรชัย
นาย ไชยวัฒน์ พิพัฒน์สิริวรกุล

บริจาคคอมพิวเตอร์ ... หวานเย็น/ตานี 

เอาเป็นว่า .. เล่าโดยคร่าว .. คร่าว จริง ๆ งานเยอะมาก
ในช่วงนี้ คงไม่มีเวลาปลีกตัวเดินทางไกลไปจนถึงตรุษจีนปีหน้า
ถ้างั้น ..  ดูรูปเพื่อความเพลิดเพลินกันไปเน้อออออออออ				
21 พฤศจิกายน 2551 10:19 น.

ชวนทำบุญ โรงเรียนปริยัติธรรม (แค่ส่งต่อก็ยังดี)

อัลมิตรา

Subject: FW: โรงเรียนปริยัติธรรม (แค่ส่งต่อก็ยังดี)
Date: Wed, 19 Nov 2008 16:35:15 +07				
Calendar
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟอัลมิตรา
Lovings  อัลมิตรา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงอัลมิตรา