20 พฤศจิกายน 2550 17:49 น.

เมื่อเพื่อนของฉันแแอบไปเป็นนางงาม

อัลมิตรา

วันก่อน เพื่อนบอกว่าจะไปธุระแถบชายฝั่งภาคตะวันออก
เพื่อนชอบการเดินทางอยู่แล้ว ฉันก็เลยไม่แปลกใจอะไร
คิดว่า เดี๋ยวสักพัก เพื่อนคงมีเรื่องเล่า มีภาพมาฝาก ตามเคย
เพราะเพื่อนของฉันชอบถ่ายรูป เรียกได้ว่าหน้าที่ประจำคือ ตากล้อง

ต้นเดือนหน้า ที่จะไปบริจาคของให้กับชุมชนชาวไทยภูเขา อ.อมก๋อย
เพื่อนคนนี้ก็จะไปด้วย เพื่อนไม่มีเต้นท์ แต่เพื่อนมีถุงนอน 
ฉันบอกว่า มานอนกับฉันก็ได้ ฉันมีถุงนอน มีเต้นท์ แต่กางไม่เป็น
และฉันก็โยนหน้าที่ ที่ถนัดให้กับเพื่อน คือ .. อย่าลืมเป็นตากล้องนะ
เหตุที่ฉันต้องบอกเพื่อนไปอย่างนั้น เพราะฉันรู้ว่า นั่นคืองานถนัดของเพื่อน
ส่วนฉันเอง ถนัดใช้แรงงานมากกว่า ยิ่งช่วงนี้ต้องแบกต้องยกจนกล้ามขึ้น

เพื่อนฉัน .. กลายเป็นนางงาม .... อุแม่เจ้า !!! .. ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ 
ความจริงแล้ว ฉันจะมัวตกใจอยู่ทำไมเล่า ในเมื่อเพื่อนของฉันสวย
ผมยาวดำขลับ ดวงตาสดใส ผิวพรรณผุดผ่อง ที่สำคัญ ใจดี				
20 พฤศจิกายน 2550 10:06 น.

เธอ .. ผู้เผชิญกับอารมณ์

อัลมิตรา

แทบทุกครั้งที่ฉันเดินกลับบ้าน ฉันต้องเจอเธอคนนั้นระหว่างทาง
เธอจะนอนขดตัวบนลังไม้แคบ ๆ เนื้อตัวสกปรก ผมเผ้าเป็นกระเซิง
บางทีก็มีเศษอาหารเกลื่อน มีกระเป๋าผ้าดำปี๋เหมือนผ้าขี้ริ้วหนุนหัว
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอไร้ที่พักพิง อาศัยเก็บของตามขยะกิน

ไม่ไกลจากจุดนั้น ก็จะมีแผงทำกรอบพระ ฉันเคยถามช่างทำกรอบพระว่า
รู้ไหมว่าเธอเป็นใคร มาจากไหน มาอยู่นานหรือยัง 
คำตอบคือ อยู่นานแล้ว ไม่รู้ใคร
ถ้าดูจากสภาพภายนอก อายุของเธอคงมากกว่าฉัน  ดูกระเซิงเหลือเกิน
แต่ถ้าขัดคลาบไคลออก ก็อาจไม่ใช่ก็ได้

เส้นทางที่ฉันต้องผ่านก่อนที่จะถึงจุดที่เธอพำนักนั้น ต้องผ่านตลาด
และฉันก็อาศัยการเดินกลับบ้านซึ่งเป็นการออกกำลังกายไปด้วย แวะซื้อเสบียง
บางที ฉันก็วางส้ม วางแอ๊ปเปิ้ล ข้าง ๆ ตัวเธอ ก็แล้วแต่ว่า วันนั้นฉันซื้ออะไรมา
ฉันไม่เคยเห็นเธออยู่ในสภาพตื่น ทั้งที่มันเป็นช่วงเวลาหัวค่ำเท่านั้น
เป็นแบบนี้มาปีกว่าแล้ว ..

เมื่อวาน วันที่ฝนตกตอนเช้า ตอนเที่ยง ...และตอนเย็น
ก่อนฝนลงเม็ดตอนเย็น ฉันก็เดินกลับบ้านเส้นทางเดิม 
วันนี้ฉันซื้อซาลาเปามา 2  ใบ  ว่าจะวางซาลาเปาสักใบให้เธอ
เธอไม่ได้หลับ เธอไม่ได้นอนขดตัวบนลังไม้แคบ ๆ 

ไม่ทันที่ฉันจะสงสัยว่าเธอไปไหน ฉันก็ได้ยินเสียงเกรี้ยวกราดมาจากเบื้องหน้า
เธอนั่นเอง อยู่ในตู้โทรศัพท์และเอะอะอาละวาดในนั้น 
ฉันยืนมองอยู่นาน และสงสัยในพฤติกรรมของเธอ
เธอยกหูโทรศัพท์และกรอกภาษาหยาบคายใส่ลงไปด้วยเสียงที่เรียกได้ว่า ตะเบ็ง
จากนั้นเธอก็วางกระแทกหูโทรศัพท์ และอีกไม่นาน ก็ทำแบบนั้นอีก 
เธอ..ไม่ได้หยอดเหรียญ

เธอดูน่ากลัวมากในขณะนั้น ด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับจะฟาดฟันกับใครสักคน
ฉันจับสำเนียงไม่ได้เลยว่า เธอพูดอะไร 
ได้ยินแต่เสียงด่าทอที่เรียงเป็นประโยคไม่ได้
และนอกจากนั้น เธอยังทุบกระจบ ทุบเครือง ทึ้งตัวเอง เอาหัวโขกกระจก

ฉันอยากจะเข้าไปห้ามเธอ แต่ฉันก็กลัวว่าเธอจะเข้ามาทำร้าย
หลายคนเดินผ่านไปและเหลียวกลับมาดู แต่ไม่มีใครหยุดอยู่กับที่เหมือนฉัน
ฉันเดินไปที่ลังไม้ ที่ ๆ ฉันเคยเห็นเธอผู้น่าสงสารนอนขดตัว 
ฉันวางซาลาเปาไว้บนลังไม้ โดยที่ฉันก็ต้องระวังไม่ให้เธอเห็นว่าฉันทำอะไร
เธออาจไม่ชอบก็ได้ หากเห็นฉันเข้าไปวุ่นวายในอาณาเขตส่วนตัวของเธอ

ภาระกิจของฉันเสร็จสิ้น 
ฉันเดินจากมา พร้อมกับมองท้องฟ้าที่เห็นชัดว่า อีกไม่นานฝนจะตก

เมื่อฉันถึงบ้านพัก ฉันหยิบซาลาเปาที่เหลืออีกใบมากิน 
ใจก็คิดว่า ป่านนี้ เธอจะหยุดอาละวาดหรือยัง จะได้กินซาลาเปาหรือยัง
เพราะว่าบริเวณนั้น นอกจากเธอแล้ว ก็ยังมีเจ้าสี่ขาวนเวียนอยู่หลายตัว
ดีไม่ดี ซาลาเปาอาจเสร็จไอ้ตูบไปแล้วก็ได้

ลมแรง .. จนฉันได้ยินเสียงใบไม้ลู่ลมเกรียว 
ฉันลุกไปที่ระเบียง เก็บเสื้อผ้าที่ตากไว้บนราวเข้าบ้าน 
เสื้อเหลืองของข้างบ้านปลิวลอย ผ้าเช็ดตัวของอีกบ้านก็ลอยลมเหมือนกัน
ฝนตกแล้ว .. เธอยังอยู่ในตู้โทรศัพท์หรือเปล่า กินซาลาเปาหรือยัง
เหนื่อยมั๊ย ที่ทำอย่างนั้น แล้วเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า 

ฝนตก ลมแรง จนไฟดับ .. ฉันหลับตา 
แต่ความคิดของฉันยังคงวนเวียน
ถึงเธอ ..				
7 พฤศจิกายน 2550 21:15 น.

ห้องที่ไม่ได้เปิดไฟ

อัลมิตรา

 

ฉันเดินเข้าบ้านอย่างเงียบเชียบ 
ซึ่งที่จริง ฉันไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้น ก็ได้
เพราะอย่างไรก็ดูเหมือนว่าฉันอยู่ลำพังอยู่แล้ว

ฉันปล่อยให้ห้องนอนอยู่ท่ามกลางแสงสลัว สักครู่ .. ก่อนเปิดไฟ
หน้าต่างบานกว้างถูกเปิดออก หน้าต่างอีกบานที่อยู่ฝั่งตรงข้ามยังไม่ได้เปิด
ฉันนั่งก้ม ๆ เงย ๆ กับกองหนังสือ บนโต๊ะที่อยู่ริมหน้าต่าง
อ่านบ้าง .. เขียนบ้าง .. และก็ปล่อยใจให้ลื่นไหลไปกับตัวอักษร

หน้าต่างฝั่งตรงข้ามเปิด หลังจากที่มีแสงไฟ พร้อมกับเสียงทักทายของเขา
" สวัสดีครับ ทานข้าวหรือยังครับ คุณคงสบายดีนะครับ"

มักจะเป็นเวลาประจำ ช่วงสี่ทุ่ม ที่ฉันจะได้พบเขา เพื่อนบ้านที่ฉันไม่รู้จักชื่อ
" ทานแล้วค่ะ คุณล่ะ ทานข้าวหรือยัง "

คำทักทายที่กลายเป็นประโยคคุ้นเคยจนแทบจะท่องจำได้ในทุกถ้อยคำ
ฉันกับเขา คุยกันผ่านหน้าต่างมาหลายปีแล้ว 
เป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าแปลกประหลาดแท้ ๆ 
เขาบอกว่า บ้านที่เขาอยู่ตรงนั้น คือ ชนบท
ส่วนฉันก็ยืนยันว่า ฉันอยู่กรุงเทพ 
เราแทบจะยื่นมือเอื้อมถึงกัน แต่ไหง๋ เขาถึงบอกว่าเขาอยู่ชนบทนะ 

มองจากหน้าต่าง ฉันเห็นบ้านของเขาเป็นเรือนไม้สองชั้น 
มีพื้นที่ปลูกต้นไม้ ทั้งไม้ผล และไม้ดอก บ้านของเขาน่าอยู่จัง
เขาเลี้ยงสุนัขด้วย ครั้งหนึ่งเขาบอกว่า เขาเพิ่งได้ลูกสุนัขมาใหม่
ฉันรีบขอเขาทันที และก็โมเมว่า มันเป็นของฉันแล้ว มันชื่อ ฮอร์ค

คงอยากรู้สินะ ว่า วัน ๆ ฉันกับเขาคุยอะไรกันบ้าง
- เขามักจะเล่าเรื่องราวในคราวที่เขาออกไปท่องเที่ยวให้ฟัง
- เขามักจะเล่าเรื่องดนตรี เล่าลึกไปจนถึงนักดนตรี และตำนานเพลง
- เขามักจะเล่าเรื่องกีฬา ฟุตบอลเป็นกีฬาโปรดของเขา
- เขามักจะเอารูปวาดมาอวด และบอกว่า นั่นเป็นฝีมือของเขา
- เขามักจะเล่าเรื่องการเมือง เรื่องที่เขาอยากให้ใครสักคนรับฟังสิ่งที่เขาอัดอั้น

ฉันเป็นคู่สนทนาของเขา ซึ่งบางเรื่องฉันก็พอจะกล้อมแกล้มโต้ตอบได้
แต่บางเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องสุดท้าย ฉันเหมือนลาโง่ ที่ไม่รู้จะคุยกับเขายังไง
ไม่ยุติธรรมสำหรับเขาสักเท่าไหร่ หากทุก ๆ เรื่องที่ฉันเล่าให้เขาฟัง เขาตั้งใจฟัง
บางหน ฉันหาปมมาให้เขาแก้ หาปัญหามาให้เขาขบคิดและหาหนทางช่วยเหลือ

ฉันไม่เอาไหนเลย ทำไมนะ ฉันถึงได้เป็นคนห่วยแตกอย่างนี้
ฉันแทบไม่รู้สึกตัวเลยว่า ฉันเป็นเช่นนั้น แต่ฉันก็พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า .. เป็น

...........................................................

วันนี้ ฉันอยู่ในห้องนอน นั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือ
ฉันเปิดหน้าต่าง  แต่ฉันไม่ได้เปิดไฟ 
ฉันไม่กล้าเปิดไฟ  เพราะฉันรู้สึกว่า ฉันไม่มีประโยชน์ใด ๆ สำหรับเขา
ฉันไม่อาจช่วยผ่อนคลายในความทุกข์ร้อนกังวลใจของเขาได้
ที่มากว่านั้นคือ ฉันรู้สึกละอาย 

เขาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน ..
ฉันแอบมองเขาผ่านหน้าต่างห้องที่ไม่เปิดไฟ ..
ฉันนั่งร้องไห้เงียบ ๆ  อยู่ในห้องที่ไม่ได้เปิดไฟ  . .



				
27 ตุลาคม 2550 21:38 น.

สุดแดนอาทิตย์อัสดง ..สังขละบุรี

อัลมิตรา

ลาโง่ ..หรือไม่ลา..โง่ แต่แล้วก็คิดว่าการลาพักร้อนในวันที่ ๒๒ ตค. คุ้มจริง ๆ				
18 ตุลาคม 2550 08:21 น.

น้ำใจ - น้ำท่วม

อัลมิตรา

เรื่องของน้ำท่วมที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่ในช่วงนี้ 
จริงอยู่อาจดูเหมือนไกลตัวนักสำหรับชาวกรุง

แต่เมื่อคิดไปแล้ว ..
การที่ชาวบ้านส่วนหนึ่งต้องผจญกับความยากลำบาก แบกรับภาระอุ้มน้ำแทน
เพื่อป้องกันและมิให้เมืองหลวงประสบภัยพิบัติน้ำท่วมนั้น 
ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย 

เปรียบเทียบง่าย ๆ 
ชาวบ้านโดยส่วนใหญ่ ถัวเฉลี่ยมีรายได้/เดือน ไม่กี่พันบาท ไม่กี่ร้อยบาท 
เมื่อเทียบกับชาวเมือง.. ผู้ซึ่งมีรายได้โดยเฉลี่ยสูงกว่าพวกเขา มันคนละเรื่องโดยสิ้นเชิง

เอาง่าย ๆ  แค่ระดับน้ำที่สูงกลางใจเมืองหลวงประมาณ 200 กว่ามิลลิเมตร 
ก็ทำเอาร้อนฉ่าไปถึงสภา เล่นเอาทั้งผู้ว่ากทม.และบรรดาข้าราชการชั้นสูงวิ่งวุ่น
ถือว่าเป็นสถานการณ์เร่งด่วนที่ต้องรีบจัดการและแก้ไขเลยทีเดียว

ส่วนชาวบ้านที่ลุยน้ำกันจนถึงอก บ้างก็ปริ่ม ๆ ปลายจมูกด้วยซ้ำ 
บางที่นะ ที่เกินสองเมตรไปนานแล้ว ก็ยังคงต้องรอความช่วยเหลือต่อไป
ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน วัดวาอาราม กระทั่งโรงพยาบาล เกิดความโกลาหล

  เฮ้อ !! แล้วชาวกรุง...
จะทำเป็นไม่รู้สึกรู้สากับความเดือดร้อนของชาวบ้านได้เชียวหรือ ?

เอาน่า คนละเล็ก คนละน้อย ช่วย ๆ กันประคับประคองกันไป
ให้มันรู้ไปสิว่า .. น้ำใจจะไม่สามารถบรรเทาความทุกข์ร้อนจากน้ำท่วมได้				
Calendar
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟอัลมิตรา
Lovings  อัลมิตรา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงอัลมิตรา