6 พฤศจิกายน 2549 09:56 น.

** ทัศยุราชันย์(กาฬคีรีนคร) **

แก้วประเสริฐ


                                                                        บทที่  ¬๙
                                                                      กาฬคีรีนคร

     ขอกล่าวถึงมหานครกาฬคีรีของจอมอสูรนิลกาฬ อยู่ทางทิศตะวันตกเยื้องไปทางทิศใต้
จรดติดอาณาเขตของท่านท้าววิรุฬหกมหาราชและท่านท้าววิรุนปักษ์ มหาราชใกล้ติดกับป่าหิมะพานและ
มหาสมุทรสีทันดรมีอาณาเขตไพศาลนัก     ท่านจอมอสูรตั้งแต่ทำความดีเรื่องกวนน้ำอมฤตและปราบ
ท้าวไตรจักรจอมยักษ์แห่งไตรคีรีมาศที่หาญกล้ายกพหลพยุหะเสนามารุกรานเทพยาดาเชิงเขาไกรลาสนั้น
จึงได้พรจากท่านมหาเทพจอมไกรลาสมีฤทธานุภาพมาก   บุรุษใดไม่สามารถจะทำอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
 จะมีก็เพียงอิสสตรีเท่านั้น เมื่อได้ฤทธิ์มาทำให้เกิดความฮึกเหิมทะเยอทะยาน  พาเที่ยวเกเรรุกราน
แผ่ขยายอาณาเขตไปทั่วไม่เกรงกลัวผู้ใด     จนกระทั่งท่านท้าววิรุฬหกมหาราชทรงระคายเคือง
พระราชหฤทัยเห็นว่าหากปล่อยไปเช่นนี้  ก็จะทำให้ยิ่งกำเริบสืบสานเที่ยวระรานอาณาเขตใกล้เคียง
ไปทั่ว    จึงทรงมอบหมายให้พระมเหสีของพระองค์เสด็จกรีฑาทัพทั้งกุมภัณฑ์ ยักษ์ อสูรและเหล่าบริวาร
เข้าปราบปรามจนพ่ายแพ้แก่พระมเหสีของพระองค์  จนต้องหลบลี้หนีหายไปซ่อนตัว
       ด้วย เพราะพระองค์และเหล่ามหาราชทั้งหลายทราบดีว่าหากเป็นบุรุษย่อมจะแพ้พ่ายต่ออสูรร้ายนี้ 
ตามพรของจอมมหาเทพแห่งเขาไกรลาส ที่ทรงประทานแก่อสูรร้ายตนนี้
 ครั้นกาลเวลาผ่านไปนานจึงได้หวนกลับมาสู่นครอีกครั้ง   แต่จิตเดิมก็ยังมีความคิดกำเริบสืบสาน
ตามนิสัยเสียมิได้ เห็นว่าหากได้น้ำอมฤตธาตุบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์จากนครนาครินทนาครมาแล้ว
ซึ่งมหาเทพทั้งหลายมอบหมายให้ดูแลรักษาก็จะเพิ่มฤทธิ์ตนรวมเข้ากับพรของมหาเทพ
แห่งจอมเขาไกรลาสก็จะเป็นอมตะเพิ่มฤทธานุภาพยากที่จะหาใครมาต่อต้านได้ 
       ครั้นเมื่อนั้นตั้งหฤทัยแล้วจึงจัดส่องสุมผู้คนไว้มากมายตลอดจนสร้างมิตรไมตรีกับนครต่างๆ
เมื่อสมอารมณ์ปรารถนาก็จะกรีฑาทัพย้อนกลับไปรุกรานยังแคว้นของท่านท้าววิรุฬหก
อีกครั้งหนึ่ง   ลบล้างความหลังเก่าที่สร้างความขัดเคืองแค้น  ที่เนืองแน่นสุมหัวอกตน
  จึงได้สะสมผู้คนมุ่งจะไปรุกรานนาครินทนาครเพื่อนำน้ำอมฤตศักดิ์สิทธิ์มา
 ประกอบกับพระมเหสีของพระองค์สิ้นพระชนม์ชีพและได้ข่าวลือถึงความงดงามของเจ้าหญิงดาริกา
ซึ่งเป็นหม้ายเพราะองค์ทัศยุราชันย์สิ้นพระชนม์แล้ว จึงมีความยินดียิ่งนักหากสำเร็จก็จะได้
ผลถึงสองประการด้วยกัน ฉะนี้จึงได้ยุแหย่นครต่างให้ว่าถ้าได้จะแบ่งน้ำอมฤตศักดิ์สิทธิ์ให้แก่นครเหล่านั้น
         เจ้านครทั้งหลายที่ได้รับการยุแหย่ซึ่งก็มีความปรารถนาในน้ำอมฤตศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้วก็พากัน
ร่วมสันถวไมตรีตอบตกลงด้วยเห็นว่า นครนาครินทนาคานั้นเจ้าผู้ครองนครสิ้นพระชนม์ไปคงเหลืออยู่
แต่มหาราชครูพระสหายปกปักรักษาดูแล อำนาจในการใช้มหาศาสตราอาวุธมิได้เป็นไปตาม
     อันท่านท้าวนิลกาฬอสูรยักษ์ร้ายตนนี้ มีอาวุธวิเศษ สามประการเป็นอาวุธประจำพระวรกาย
ซึ่งได้แก่กระบองแปดเหลี่ยมสีดำทำด้วยเหล็กไหลประกายสีนิลดำสนิทสามารถกวาดศัตรูหมู่มิตรกระเด็น
ไกลได้ถึงแปดโยชน์ เมื่อขว้างไปในอากาศจะเกิดเสียงสนั่นคำรามท้องฟ้ามืดครึ้มปิดบังแสงแห่งสุริยะเทพ
และ แยกตัวเองออกได้เป็นอาวุธยุทโธปกรณ์หลายสิบอย่างเข้าทำลายล้าง
แพรไหมสีดำสนิทหากโบกพัดทางใดก็จะกลายเป็นไฟประลัยกัลป์เข้าล้างผลาญปัจจามิตรตกตายไปใน
เพลิงกรดนั้นๆ  กำไลหยกดำยามใช้ก็จะเกิดประกายวิชชุเข้าฟาดทำลายปัจจามิตรและยังใช้ในการผูกมัดได้อีก
สุดท้ายได้รับพรจากท่านมหาเทพแห่งขุนเขาไกรลาส   บุรุษอื่นใดมิสามารถต่อกรได้แม้แต่ศาสตราอาวุธที่
ไว้ซึ่งฤทธานุภาพก็มิอาจล้างผลาญชีวิตอสูรร้ายได้ นอกเสียจากอิสสตรีเท่านั้น เพราะอสูรตนนี้คิดเข้าใจและ
ตระหนักดีว่าการศึกสงครามนั้นย่อมไม่มีอิสตรีใดเข้ารบพุ่งต่อกรกับบุรุษเป็นอันขาด   
เนื่องจากองค์มหาเทพทรงตะหนักดีว่า อสูรร้ายตนนี้ต่อไปในภายภาคหน้าก็จะเห่อเหิมทะเยอทะยานมิได้สงบ
เสงี่ยมเจียมตัวเหมือนปัจจุบัน แต่เมื่อพระองค์ทรงรับปากแล้วย่อมไม่คืนคำจึง ทรงประทานพรและหาทาง
ออกไว้ หากวันใดอสุรตนนี้กำเริบเมื่อใดจะได้มีทางพิฆาตเข่นฆ่าได้ 
กาลนั้นก็เป็นจริงดั่งที่พระองค์ทรงทราบล่วงหน้าไว้ทุกประการ
       ตัวนครรายล้อมด้วยขุนเขาสีดำเรียงรายไปทั่วจะเข้านครนี้ได้ต้องเป็นผู้มีฤทธิ์เดชเหาะเหิรเดินอากาศ
ผ่านขุนเขาจึงจะเข้ามาสู่นคร หรือ มิฉะนั้นจะหาทางเข้านครนี้ได้ต้อง  ดำดินมาโผล่ ขึ้นหรือใช้อำนาจเบิก
ทางผ่านภูเขาที่แข็งแกร่งประดุจเหล็กไหลให้เปิดทางจึงสามารถเข้าออก บริเวณก็ใหญ่โตมโหฬารจัดเรียงราย
ด้วยปราสาทราชวังและตำหนักตลอดจนที่อยู่อาศัยของชาวพารานี้
              ภายในท้องพระโรงของท้าวนิลกาฬผู้ครองนครกาฬคีรี  กำลังออกว่าราชการอยู่ภายใน
ซึ่งท้องพระโรงจะเห็นประดับประดาไว้สวยงามเป็นยิ่งนัก   ประกอบไปด้วยแท่นที่ประทับพระองค์
ที่ทำด้วยลายไข่มุกเพียงแต่ไม่มีเศวตฉัตร เบื้องหน้านั้นจัดเรียงไปด้วยโต๊ะทั้งซ้ายขวาตามตำแหน่งหน้าที่
นั่งเต็มไปด้วยเหล่าเสนาบดีเหล่าขุนทหารซึ่งเข้าประจำที่  โต๊ะที่ใช้เป็นที่ประทับสองข้างมีนางสนมกำนัล
กำลังถวายงานโบกพัดสีขาวใบใหญ่ซึ่งทำด้วยขนนกอย่างดีอยู่  ส่วนพระพักตร์ที่ค่อนข้างจะบึ้งตึงเคร่งเครียด
ซึ่งซักไซ้ไล่เรียงถึงความเป็นไปของนครนาครินทนาครและพระสหายพันธมิตรต่างแคว้นต่างๆอยู่
 โดยกล่าวกลับเสนาอำมาตย์ข้าบริพารด้วยน้ำพระเสียงดังสนั่นหวั่นไหวว่า
       “ท่านสะหัสขันธ์ ความที่เราให้ท่านเป็นผู้ประสานกับแคว้นต่างๆนั้นได้ผลประการใดรึ” 
       “ขอเดชะ ทั้งแปดพระนครนั้นมีผู้ตอบรับเพียงสี่นครพระเจ้าค่ะ” 
 สะหัสขันธ์ขุนทหารแห่งกาฬคีรีนครกล่าวถวายรายงานแด่เจ้าเหนือหัวของตน
        “อ้อ..แล้วท่านนิลพาหุเล่า ตามที่เรามอบหมายให้ท่านดำเนินการสอดส่องดูแลนครนาครินทนาครไปถึงไหน
แล้วล่ะ”  ท่านท้าวนิลกาฬเอ่ยถาม
       “ขอเดชะ ทราบข่าวจากทหารสอดแนมว่า รัศมีที่ครอบคลุมนครนั้นอ่อนแสงลงมากคิดว่าฤทธิ์
ของศาสตราอาวุธคงจะหมดสิ้นไปในไม่ช้านี่แหละ  พระเจ้าค่ะ” ขุนทหารถวายรายงาน
        “ฮาๆๆๆ..เหวยๆเหล่าทหารของข้า ความคิดในใจของข้าคงจะสมฤทธิ์ผลในเร็วนี้กระมัง” 
พระองค์ทรงพระสรวลลั่น ใบหน้าที่เคร่งเครียดก็ดูจะผ่องใสขึ้น
         “อ้อ..แล้วเหล่าท่านเสนาบดีฝ่ายพลเรือนล่ะ  ศาสตราอาวุธสำหรับมอบให้ทหาร
เพื่อใช้ในการศึกครั้งนี้ตามที่เราสั่งไว้ล่ะมีผลเป็นประการใด”  พลางหันไปถามเสนาบดีฝ่ายพลเรือน
           “สำเร็จตามความประสงค์ของพระองค์ทุกประการพร้อมทั้งอุปโภคบริโภคด้วยแล้วพระเจ้าค่ะ”
 ขุนนางฝ่ายพลเรือนน้อมกายถวายรายงาน
           “ท่านสะหัสขันธ์ จงเร่งจัดการเกี่ยวกับพันธมิตรของเราถึงความแน่นอนพร้อมหรือไม่ที่จะส่งกองทัพ
เข้าร่วมกับเราทั้งสี่นคร ส่วนที่เหลือไม่ต้องไปฟังแล้วมีนครอะไรบ้างล่ะ”  ทรงถามไถ่
           “ขอเดชะ ทั้งสี่เมืองมี เมืองสิงหะนคร  แห่งเทือกเขาสิงหะคีรี   ปักษินนคร ที่อยู่ริมฝั่งมหาสมุทรสีทันดร
อหิงสากะนคร ที่อยู่ทิศตะวันตกของป่าหิมะพาน และทันทะกะนคร ที่อยู่ทางทิศใต้ของเขาไกรลาส 
ทั้งสี่นครนี้พร้อมที่จะจัดส่งกองทัพมาร่วมตามพระราชสาสน์จากพระองค์ตลอดจนถึงบริวารหัวเมืองนอกใน
ได้จัดเตรียมฝึกหัดเหล่าทหารหาญไว้รอแล้ว เพียงแต่พระองค์มีบัญชาเท่านั้น พระเจ้าค่ะ”
  สะหัสขันธ์ทูลกล่าวรายงาน
      “นั่นซิให้มันได้อย่างนี้ หากเรารบพุ่งได้นางและน้ำอมฤตนี้เมื่อใด มันผู้ใดที่ไม่เข้าร่วมกับเราครั้งนี้ก็
จะได้เห็นดีกัน  ฮาๆๆๆ  เหวยๆๆทหารข้าทั้งหลายข้อราชการเห็นจะพอเพียงเท่านี้
ท่านจงเตรียมตัวให้พร้อมและจงไปยังสถานที่สำราญหาความสำราญกับหญิงต่างๆ
ที่พวกเรานำมาจากต่างนครกันได้ และทหารหาญที่พบจะทำศึกให้ดูและขวัญกำลังใจด้วยนะ”   
จอมอสูรนิลกาฬสั่ง
          “ขอทรงจงพระเจริญยิ่งๆขึ้นพระเจ้าค่ะ”  เหล่าขุนนางทหารต่างเปล่งเสียงเดียวกัน
แล้วลุกเดินออกจากท้องพระโรงไป     ครั้นสั่งแล้วก็ทรงเสด็จเข้าข้างใน
 เหล่าขุนทหารทั้งหลายก็พากันแยกย้ายไปเคหะสถานของตน บ้างก็ตระเตรียมสิ่งของ
พื่อใช้ในการศึกครั้งนี้และพากันไปหาความสนุกสนานตามกระแสรับสั่ง
จนเป็นที่สนุกสนานเฮฮาฮึกเหิมบันเทิงใจ  ล้วนพูดคุยกันถึงเรื่องการศึกจะมีขึ้นในข้างหน้า
     ท้าวเธอก็เสด็จเข้าไปพระตำหนักหาความสำราญกับเหล่าสนมกำนัลดูการฟ้อนเริงระบำ
ซึ่งจัดไว้สำหรับพระองค์ เป็นที่สำราญบันเทิงพระหฤทัย ทรงเริงร่าพระวรกายทรงพระสรวลลั่น
 หยอกล้อกับนางสนมคนโปรดตลอดจนนางสนมทั่วๆไป  เมื่อทรงน้ำจันทร์มากๆขึ้นก็ลืมพระองค์
ทรงเข้ากอดรัดฟัดเหวี่ยงจนผ้าผ่อนหลุดลุ่ยกันไปตามๆกัน จนพระเกศา  พระทาฐิกะ พระมัสสุ
ของจอมอสูรกระจุยกระจายด้วยเที่ยววิ่งไล่จูบกอดนางกำนัลเป็นพัลวันฉลองพระองค์ก็หลุดกระจุย
กระจายไปทั่วแล้วทรงเปลื้องฉลองพระองค์โยนไปยังพระราชอาสน์ เที่ยววิ่งไล่ไปทั่วตำหนัก
  หนักๆเข้าก็สั่งให้นางสนมกำนัลทั้งหลายเปลื้องเสื้อผ้าให้หมดจนเปลือยเปล่าล่อนจ้อน  นางบางคน
ที่โปรดปรานก็คอยป้อนน้ำจันทร์ถวายมิได้ขาด ทุกๆคนส่งสำเนียงระรี้ระริกกระเซ้าเย้ายั่วยวน
จนทำให้อารมณ์ของท้าวเธอคลุ้มคลั่งไปด้วยตัณหากามารมณ์ยิ่งขึ้น   
ท้าวเธอก็เข้าร่วมเสพเมถุนกับนางเหล่านั้นโดยไม่อายฟ้าดินและเหล่านางมโหรีที่ถวายงานอยู่
มิได้คำนึงถึงกาลเวลาจวบจนหลับใหลท่ามกลางเหล่าสตรีสนมกำนัลเหล่านั้น.......
           กาลเวลาล่วงเลยมาหลายเพลาราตรี  จอมอสูรก็ได้รับพระราชสาสน์จากนครต่างๆตอบรับการทำศึก
ขอทราบเวลากำหนดการที่เริ่มบุกนครนาครินทนาครจากพระองค์  จึงได้เรียกประชุมเหล่าขุนทหาร
อำมาตย์เสนาบดีแม่ทัพนายกองต่างๆถึงการศึกครั้งนี้ ถามย้ำถึงไพร่พลความพร้อมเพรียงอีกครั้งหนึ่ง
ตลอดจนข่าวคราวที่ทหารสอดแนมส่งมาจากนาครินทนาคร  เมื่อทรงรับฟังก็ทรงปลื้มพระหฤทัยยิ่งนัก
       จึงมอบหมายให้อสูรสะหัสขันธ์เป็นแม่ทัพหน้า คุมไพร่พลพหลโยธาหนึ่งแสนนาย 
 อสูรนิลพาหุเป็นแม่ทัพหลัง  คุมพหลโยธา ห้าหมื่นนาย ส่วนพระองค์เองทรงเป็นทัพหลวง
จะคุมพหลโยธาสองแสนนาย
อสูรวิรุเดชะเป็นแม่กองนายเสบียง  ควบคุมดูแลเหล่าสนมนางในที่จะนำไปในทัพครั้งนี้และเสบียง
ตลอดจนยุทโธปกรณ์สำรองต่างๆ
อสูรสะหัสเนตรโหรให้ท่านรีบตรวจสอบดวงดาวต่างๆผูกฤกษ์ดวงเพื่อใช้ในการเคลื่อนทัพ
อันเป็นมหาฤกษ์ตามตำรับพิชัยสงครามเมื่อทราบวันเวลาแท้จริงแล้วให้แจ้งให้พระองค์ทราบ
เพื่อจะได้จัดทำพระราชสาสน์ส่งไปยังนครพันธมิตรต่างๆ  เมื่อได้ฤกษ์งามยามดีแล้ว
ก็จะเคลื่อนพหลพลไกรโดยพร้อมเพรียงกัน   เมื่อทรงสั่งเสร็จแล้วก็พลางหัน
ไปทางขุนนางฝ่ายอาลักษณ์ให้ทำพระราชสาสน์แจ้งไปยังนครที่จะเข้าร่วมการศึกครั้งนี้ขอเชิญเสด็จ
มายังนครเราเพื่อร่วมฉลองในมิตรไมตรีหาความสุขสนานเกษมสำราญก่อนที่จะยกทัพไป
และทรงหันไปทางเสนาบดีฝ่ายพลเรือนให้ตระเตรียมพิธีการต้อนรับหัวเมืองต่างแดนด้วย
เมื่อสั่งการเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ทรงเสด็จกลับเข้ายังพระตำหนักด้านใน
         ฝ่ายขุนนางฝ่ายอาลักษณ์ก็รีบจัดทำหนังสือพระราชสาสน์ให้ทหารเหาะไปยังเมืองพันธมิตร
ที่จะเข้าร่วมในการศึกครั้งนี้ทราบโดยพร้อมเพรียงกัน ตลอดจนขุนนางฝ่ายพลเรือนก็รีบจัดการทำ
โรงพิธีใช้ในการต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองพร้อมทั้งเกณฑ์เหล่าหญิงทั้งหลายมาฝึกฝนต่อการครั้งนี้
เพื่อที่จะมิให้ได้ขาดตกบกพร่องแต่ประการใด  ข่าวการนี้ก็ให้ร่ำลือไปทั่วเมืองนครกาฬคีรีทำให้ชาวเมือง
ต่างพากันซุบซิบและขยายข่าวแพร่สะพัดออกไปยังแคว้นต่างเมืองต่างๆ
          ทำให้บรรดานครต่างๆที่มิได้ขึ้นต่อกาฬคีรีนครต่างก็พากันตระเตรียมไพร่พลเพื่อปกป้องนครตน
เพราะต่างก็ทราบดีว่า  อันท้าวนิลกาฬจอมอสูรนั้นมีนิสัยเกเรชอบรุกรานนครต่างๆเป็นที่ประจักษ์แจ้งนั้น
เมื่อใดที่มีอำนาจเติบใหญ่ขึ้นก็ย่อมไม่ทิ้งนิสัยเดิมของตน  จึงพากันหวาดระแวงไปตามๆกันบ้างบางนคร
ก็รีบส่งพระราชสาสน์ติดต่อกันเพื่อที่จะร่วมการศึกร่วมกันเพื่อปกป้องแคว้นของตนไว้ให้พ้นภัยนี้
บ้างก็ตระเตรียมเหล่าไพร่พลฝึกปรือขุนทหารและเหล่าทหารอาวุธยุทโธปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆในการศึก
ไว้อย่างลับๆ   ตลอดจน การเข้มงวดกวดขันผู้ที่จะผ่านเข้านครของตนอย่างเคร่งครัด  บ้างก็ทำหนังสือ
ทูลถวายรายงานกับมหาราชทั้งสี่ตามแต่ใครที่อยู่ในอาณัติของมหาราชเหล่านั้น  นครใดที่มีความเข้มแข็ง
ทางด้านทหารพร้อมจะปกป้องนครตนก็ยังทำหนังสือลับๆรายงานเหตุการณ์ให้กับนครนาครินทนาครอีกด้วย...
				
3 พฤศจิกายน 2549 15:58 น.

** ทัศยุราชันย์ (เทพมนุษย์) **

แก้วประเสริฐ


                                                                          บทที่ ๘
                                                                        เทพมนุษย์

       ร่างนั้นก็ก้าวเข้ามาหาชายชราแล้วก้มน้อมรับ พร้อมทั้งเดินตามหญิงดาริกาไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่
เมื่อเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วก็เข้ามาสู่ยังเบื้องหน้าท่านพ่อปู่อีกครั้งหนึ่งพร้อมทั้งหญิงดาริกา
  บัดดลเสียงมโหรีปีพาทย์ กลองมโหระทึก  เสียงสังข์  ปี่กลองชนะก็ล่องลอยเข้ามาสู่สถานที่นั้น
 จนบังเกิดสนั่นหวั่นไหวแต่หาต้นเสียงมิได้    อีกทั้งมหาศาสตราอาวุธ ๕ ประการที่วางไว้บนพานแก้ว
เหนือแท่นกลางสายธารก็พลันเปล่งประกายสว่างไสวไปทั่วบริเวณถ้ำศักดิ์สิทธิ์  ทั้งสั่นไหวส่งเสียงสนั่น
กึกก้องแสดงอาการลอยขึ้นเหนือพานแก้วสายวิชชุส่องประกายวูบวาบ สภาพภายในถ้ำก็มีอาการสั่นไหว
พานแก้วที่ใช้รองรับมหาศาสตราอาวุธนั้นก็พลันหมุนวนรอบตัวเองสักครู่ใหญ่จึงสงบกับเข้าสู่สภาพดังเดิม 
     แต่เสียงมโหรีก็ยังส่งสำเนียงต่อไป พลันบังเกิดมาลาล่องลอยลงมาเข้าสวมคล้องยังศีรษะ
ของชายหนุ่มและพลันกลีบดอกไม้นานาพันธุ์ก็ถูกโปรยจากอากาศตกยังบนร่างกายของชายหนุ่มร่างใหม่
ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบริเวณภายในถ้ำศักดิ์สิทธิ์ สิ่งเหล่านี้ไม่ทราบได้ว่าลอยมาจากที่หนใด 
  เห็นพ่อท่านปู่หัวร่อเริงร่าอย่างเบิกบานด้วยสำเนียงกึกก้องเบิกบานสำราญใจยิ่งนัก สองมือพนมยกขึ้นบูชา
เหนือศีรษะ กล่าวขึ้นว่า
       “โอม โอม โอม...ท่านมหาเทพแห่งจอมฟ้าทั้งปวง กาลครั้งนี้สำเร็จด้วยอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า
ที่ทรงโปรดอนุเคราะห์ช่วยเหลือและทรงประทานสิ่งเหล่านี้แด่องค์ทัศยุราชันย์ซึ่งพระองค์ได้ทรงคัดเลือก
ให้เป็นผู้มาดูแลปกปักรักษาน้ำอมฤตศักดิ์สิทธิ์นี้ให้พ้นจากหมู่มารทั้งปวง  บัดนี้ได้ทำตามพระบัญชาที่ทรง
มอบหมายให้ข้าพเจ้ากระทำไว้บรรลุล่วงจนองค์ทัศยุราชันย์กลับคืนสู่อีกวาระหนึ่งแล้ว ข้าพเจ้าขอน้อมถวาย
พระพรพระเจ้าข้า”   ท่านพ่อปู่กล่าวพร้อมก้มลงอภิวาทลงบนพื้นถ้ำพร้อมด้วยองค์ทัศยุราชันย์ร่างใหม่และ
องค์หญิงดาริกาโดยพร้อมเพรียงกัน
       “สำเร็จสมความปรารถนาเราแล้ว แม้แต่ทวยเทพยาดา ก็ยังส่งทิพย์มาลา
มายินดีและอวยพรในครั้งนี้ด้วย  ขอมหาราชจงเป็นมิ่งขวัญแก่ชาวนคร อย่าหนีหายไปไหนอีก ท่านกล่าวขึ้น”
 ทัศยุราชันย์ร่างใหม่หันมาตรงหน้าท่านพ่อปู่พลางก้มน้อมกายลงทำความคาราวะทันทีพร้อมเอ่ยขึ้นว่า
        “ข้าพเจ้าทัศยุขอน้อมสักการะท่านมหาราชครูเป็นยิ่งนัก ที่เปลี่ยนสภาพกลับคืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง 
นึกว่าจะไม่มีบุญวาสนากลับมาร่วมชะตากรรมกับท่านได้อีกแล้ว โปรดน้อมรับการคาราวะของข้าพเจ้า” 
 พร้อมทั้งยืนขึ้นถอดทิพย์มาลาออกจากศีรษะเข้าสวมศีรษะท่านพ่อปู่มหาราชครูแห่งนครนาครินทนาคร
ซึ่งก้มศีรษะน้อมรับพวงมาลาทิพย์นั้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส 
    พลันทัศยุราชันย์พลันกล่าวเสริมขึ้นอีกว่า
            “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปข้าพเจ้าขอประกาศว่า ท่านพ่อปู่ราชครูจะเปลี่ยนสภาพจากเดิม เป็นพระชนกนาถ
ของข้าพเจ้ามาดแม้นข้าพเจ้าผิดประการใดโปรดลงโทษต่อข้าพเจ้าได้ เมื่อกลับไปข้าพเจ้าจะประกาศ
ให้เหล่าชาวนครทราบโดยทั่วหน้ากัน อีกประการหนึ่งคำเรียกหาให้เรียกข้าพเจ้าเหมือนเดิมเปรียบดั่ง
ที่ข้าพเจ้ายังเป็นเป็นมนุษย์มิได้เปลี่ยนสภาพด้วยเถิด” องค์ราชันย์กล่าวพร้อมก้มลงกราบท่านพ่อปู่ทันที
        สร้างความปิติยินดีแก่ท่านมหาราชครูยิ่งนั่งถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาเข้าประคององค์ราชันย์ให้ยืนขึ้น
แล้วกล่าวขึ้นว่า
        “หาลับหลังเหล่าประชาแล้วเราทำได้ แต่หากต่อหน้าเหล่าประชาแล้วขอให้คำเรียกหาเหมือนเดิมเถิด”
         “ในเมื่อเป็นความคิดเห็นของพ่อปู่ข้าพเจ้ายินดีน้อมรับไว้ เพื่อความสบายใจของพ่อปู่ท่าน”
องค์ทัศยุราชันย์ตอบคำท่านมหาราชครูผู้ที่ให้กำเนิดใหม่แก่พระองค์อย่างนอบน้อม
   แล้วหันมากล่าวกับหญิงดาริการซึ่งเบิ่งตามองดูอยู่ให้เข้ามาต่อหน้าเบื้องพระพักตร์
องค์ราชันย์        ครั้นหญิงดาริกามาถึงหน้าก็ย่อน้อมลงคาราวะทันที พลางเอ่ยขึ้นว่า
       “ทรงพระเจริญเถิดมหาราช” ด้วยถ้อยสำเนียงแสนจะเกิดปิดติยินดียิ่งนัก
องค์ทัศยุราชันย์ในร่างใหม่ก็ก้มลงเข้าประคองร่างของเจ้าหญิงดาริกาพร้อมทั้งถอดทิพย์มาลา
บรรจงสวมลงยังพระศอของหญิงอันซึ่งเป็นพระมเหสีของพระองค์ในอดีตกาล
พลันกล่าวตรัสแก่หญิงดาริกาขึ้นว่า.....
       “เราเองสร้างความลำบากยิ่งแก่ท่านพ่อปู่และเจ้าหญิงมามากแล้ว เราเคยกล่าวแล้วใช่ไหมว่า
เราจะต้องคืนกลับคืนสู่มหานาครินทนาครอีกครั้งหนึ่ง บัดนี้เราก็กลับมาแล้ว
ภายใต้ความอนุเคราะห์ของท่านพ่อปู่พระชนกของเราตลอดจนตัวเจ้าด้วย”  ราชันย์ผู้ยิ่งใหญ่กล่าว 
พร้อมทั้งดึงร่างเจ้าหญิงดาริกาเข้ามา เงยพระพักตร์องค์หญิงแหงนขึ้นจ้องมองนิ่งเนิ่นนาน
ฉับพลันก็ดึงพระวรกายเจ้าหญิงมาสวมกอดและพรมประทับบนใบหน้าอย่างทะนุถนอม
 สร้างความปลื้มปิดติแก่แม่หญิงเป็นล้นพ้นถึงกลับหลั่งน้ำพระเนตรออกมาทั้งสองข้าง
ทั้งสะอึกสะอื้นเบาตามมา  มิได้ทรงขัดขืนแต่ประการใด ทรงมิเอียงอายในครั้งนี้เนื่องจากผู้นี้ได้เป็น
องค์ทัศยุราชันย์เต็มตัวแล้ว   พลางก้มพระเศียรลงยังทรวงพระอุระขององค์จอมราชันย์
ที่มีพระวรกาย พระมังสาสีทองแพรวพราวระยิบระยับไปทั่ว
       “หมดสิ้นเคราะห์โศกแล้วมหาราช  ขอพระองค์จงแสดงซึ่งอานุภาพแห่งมหาศาสตราอาวุธ
ให้ประจักษ์แก่สายตาด้วยเถิดพะย่ะค่ะ” มหาราชครูกล่าว
        “จริงซินะเราจากไปเสียนานมิได้สัมผัสเลย”  กล่าวแล้วทัศยุราชันย์ก็หันไปทางมหาศาสตราอาวุธ 
พลางเอ่ยถ้อยคำเบาๆ  ฉับพลันมหาศาสตราอาวุธทั้งห้า ก็ลอยขึ้นเหนือพานแก้วลอยละลิ่วมายังเบื้องหน้า
ขององค์ราชันย์ทัศยุทันที สร้างความปลื้มปติยินดีแก่มหาราชครูและเจ้าหญิงดาริกาเป็นล้นพ้น
 เพราะย่อมหมายถึงว่าร่างของชายหนุ่มซึ่งสิ้นสลายละลายไปกับน้ำธารอันศักดิ์สิทธิ์หล่อหลอม
แปรสภาพขึ้นมาใหม่เข้าประสานก่อกำเนิดรวมกันอย่างสมดุลพอดีทั้งจิตและวิญญาณทัศยุราชันย์ 
         มิฉะนั้นก็จะไม่สามารถเรียกใช้ต่อมหาศาสตราอาวุธทั้งห้าประการนี้ได้แต่ประการใด 
 ครั้นพระองค์แลเห็นก็ทรงเอื้อมพระหัตถ์จับคันศรพร้อมลูกธนูที่อยู่ในที่เก็บขึ้นสะพายยังพระอังสา
เบื้องซ้าย   ทรงหยิบพระแสงดาบที่อยู่ในฝักสะพายยังพระอังสาเบื้องขวา 
จับตรีเพชรเหน็บตรงที่รัดพระองค์  ส่วนบ่วงนาคราชทรงเหน็บเบื้องขวา 
ส่วนจักรเพชรทรงตรัสต่อศาสตราอาวุธตรีเพชร ให้สำแดงขยายใหญ่ขึ้น   พลันจักรเพชรก็เปล่ง
ฤทธานุภาพขยายใหญ่  แล้วทรงเข้ายืนอยู่ช่วงกลางซึ่งเกิดพระราชอาสน์ภายในวงกลมจักรเพชรนั้น
พลันจักรเพชรก็สำแดงฤทธาล่องลอยนำพาพระองค์วนเวียนไปมาภายในถ้ำแก้วเปล่งรัศมีโชติช่วง
ชัชวาลปานประหนึ่งดุจดั่งเทพยาดาล่องลอยเวียนไปมาฉะนี้
         ครั้นทรงแสดงฤทธานุภาพพอสมควรก็ทรงกลับมายังเบื้องหน้าของมหาราชครูและเจ้าหญิงดาริกา
 จักรเพชรก็กลับคืนสู่สภาพเดิมทรงนำมาสวมลงยังข้อพระหัตถ์ แล้วกล่าวแก่ท่านมหาราชครูว่า
        “เป็นอย่างไรบ้างล่ะท่านพ่อปู่”
         “ทรงฤทธานุภาพเหมือนเดิมแต่รู้สึกว่าจะมากกว่าเก่าด้วยพระเจ้าค่ะ “
         “เนื่องด้วยแสงแห่งมหาศาสตราอาวุธแผ่รังสีจนพระองค์เปล่งรังสีไพศาลยิ่งนัก”
  ท่านมหาราชครูกล่าว
          “ถ้าอย่างนั้นเราเห็นจะเก็บมหาศาสตราอาวุธไว้ที่เดิมแล้วแล้วนะ”  องค์ราชันย์กล่าว
          “ถูกต้องแล้วพระเจ้าค่ะ ด้วยเป็นสถานที่เก็บศาสตรานี้ไว้
 หากพระองค์มีความต้องการใช้ก็สามารถเรียกได้ไม่ว่าพระองค์จะอยู่ยังสถานที่ใดก็ตาม
อันมหาศาสตราอาวุธก็จะมาสู่พระหัตถ์ของพระองค์ทันที”
         ชายชราในคราบของมหาราชครูกล่าว แก่องค์ราชันย์ทัศยุ
     จากนั้นทรงหันไปกล่าวแก่มหาศาตราอาวุธเหล่านั้น  พลางมหาศาตราอาวุธก็ลอยกลับ
ไปสู่ยังพานแก้วที่รองรับ   แต่ก็ยังเปล่งรังสีชัชวาลบันเจิดจ้าอยู่
    “เมื่อเรียบร้อยแล้วเราทั้งหมดกลับวังกันเถิด ท่านนำหน้าซิท่านพ่อปู่” พระองค์กล่าว
    “พะย่ะค่า” มหาราชครูรับคำ พร้อมดำเนินนำทางออกจากถ้ำแก้วต่อไป....
        จนลุล่วงเข้าสู่เขตพระราชฐาน ส่วนท่านมหาราชครูก็แยกกลับไปยังปราสาทส่วนตัว
ครั้นถึงเจ้าหญิงดาริกาก็ทูลลา  เพื่อกลับไปยังปราสาทส่วนตัวเพื่อผลัดเปลี่ยนฉลองพระองค์
องค์ราชันย์ก็กล่าวสำทับว่าให้รีบเสด็จมายังพระที่โดยเร็ว  ทำให้เจ้าหญิงดาริกาทรงพระมีอาการ
ขัดเขินอายยิ่งนัก  ทรงถึงกับค้อนองค์ราชันย์แล้วรีบเสด็จไป
        ครั้นเพลาพลบค่ำจึงเสด็จมายังพระราชตำหนัก เพื่อทรงเตรียมดูแลเหล่าสนมกำนัลนางใน
เกี่ยวกับเครื่องอุปโภคบริโภคขององค์ราชันย์พร้อมดูแลพระราชอาสน์เพื่อใช้สำหรับพระบรรทม
แล้วเข้าร่วมทรงเสวยพระกระยาหารร่วมกับองค์กษัตริย์ ท่ามกลางเหล่านางรำที่ฟ้อนรำถวาย
ท่ามกลางมโหรีบรรเลงเพลงแสนเสนาะไพเราะจับใจยิ่งนัก
    ท้าวเธอทั้งสองพระองค์ก็ทรงหยอกล้อกันปานหนึ่งสาวหนุ่มแรกรุ่น กระเซ้าเย้าแหย่หยอกหัวร่อ
ต่อกระซิกจนเป็นที่เกษมสำราญพระราชหฤทัยต่อ  ทั้งสองพระองค์
แล้วทรงกล่าวเล่าความรำลึกย้อนถึงอดีตเบื้องหลังและเท้าความถึงการกลับมาใหม่เล่าสู่กันฟัง 
 องค์ราชันย์ก็เล่าเรื่องที่สามารถจำความครั้งเก่าได้ เมื่อได้เข้าอาบน้ำอมฤตศักดิ์
ก็ทรงรำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตชาติไม่ผิดเพี้ยนตลอดจนความปัจจุบันด้วย
และทรงกล่าวขึ้นอีกว่าในพระสุบินนิมิตนั้นเมื่อครั้งยังเป็นชายหนุ่มชื่อ “ทัด”แห่งบ้านป่าอยู่
ว่าทรงพระราชอักษรและท่องจำไว้ถึงนิมิตความครั้งยังเป็นมนุษย์เต็ม   แล้วก็ทรงรายกลอนที่แต่ง
ให้เจ้าหญิงดาริกาฟัง พร้อมทั้งปรารภว่าหากได้ฟังแล้วก็อย่าได้หัวร่อล่ะ จนเจ้าหญิงทรงพระสรวล
คอยสดับรับฟังพระกระแสรับสั่งอย่างตั้งใจ
         องค์ราชันย์ทัศยุทรงหยุดนิ่งสักพักคล้ายจะทบทวนความหลัง แล้วจึงเอื้อนเอ่ยทำนองขึ้น

                                       “  เธอรู้ไหมใครคนนี้ที่รักจ๋า
                                     เธอรู้ไหมกาลเวลาสุดหาไหน
                                     เธอรู้ไหมว่าฉันรักประจักษ์ใจ
                                     เธอรู้ไหมใครคนนี้เฝ้ามีเธอ

                                           ตะวันลับขอบฟ้าเสมือนพาล่วง
                                     สุดแสนห่วงดวงใจที่ใฝ่เสมอ
                                     โอ้ชีวิตคิดฝันยังพลันละเมอ
                                     จนหลงเพ้อครวญคร่ำหลงย้ำมลาย

                                          เธอรู้ไหมใจฉันมันสั่นระรี้
                                     มวลชีวีเรือนร่างอ้างว้างสลาย
                                     เพียงรอยยิ้มพร่ำเพ้อจนเผลอใจ
                                     เหตุไฉนใยขยี้เปรียบนี้ลวง

                                         ดวงจันทร์ฉายผ่องอำไพในฟ้า
                                  มวลดาราทอแสงเพื่อแฝงสรวง
                                 ห่วงรักนี้ใยต้องจึงหมองทรวง
                                 แสนเป็นห่วงดวงฤทัยสุดให้ตรม

                                       เธอรู้ไหมที่รักภักดีเสมอ
                                 หลงพร่ำเพ้อปานเทพที่เสพสม
                                  เพียงแค่ฝันฉันเศร้าจนเคล้าระทม
                                 รักลอยลมบ่มเพ้อละเมอครวญ

                                       ที่รักจ๋ารักเธอยิ่งแอบอิงเสมอ
                                  ฉันแนบเธอด้วยใจที่ไม่กำสรวล
                                  โอ้ชาตินี้ขอสมัครแม้นรักรวน
                                  แอบอิงล้วนบ่วงวิญญาณฝันถึงเธอ.

       เจ้าหญิงต้องทรงปิดพระโอษฐ์ทรงพระสรวลด้วยกลั้นหัวร่อแทบไม่อยู่
แต่ยังทรงอดคิดจะเย้าจอมกษัตริย์เสียมิได้ ยิ่งเห็นพระอาการที่ทรงร่ายกลอนนั้นๆ
แลเห็น ดวงพระเนตรทรงหยาดเยิ้มปานประหนึ่งดั่งอิสตรีที่แรกรุ่นเมื่อยามพบบุรุษหนุ่มต้องใจ
          “เสด็จพี่ทรงนึกถึงหญิงชาวป่าคนใดรึเพคะ”  เจ้าหญิงดาริกากล่าว
          “ถึงได้ทรงพระอักษรรำพันถึงเพียงนี้  หญิงนั้นคงงามหยาดเยิ้มเป็นที่ต้องพระเนตรพระกรรณ
จนถึงกลับทรงพระอักษรกลอนนั้นๆด้วยเพคะ”   เจ้าหญิงทรงกระเซ้า
           “หามิได้น้องหญิงเราเพ้อถึงนางในฝันของเราที่นิมิตทุกราตรีแทบจะมิได้ขาด” พระองค์ทรงกล่าว
           “นางนั้นงามยิ่งหรือเพคะ”  องค์หญิงฉงนถึงเอ่ยปาก  ภายในใจคิดว่าหากไม่หยาดเยิ้มถึงเพียงนี้
องค์กษัตริย์ในคราบมนุษย์คงมิหลงใหลจนถึงกับเขียนกลอนท่องไว้มิได้ลืมเลือน
         “งามยิ่งนักน้องหญิงงามจนเราไหลหลง หากมาคิดพิจารณาแล้วใบหน้าดังกับพระพักตร์
ของน้องหญิงเราก็มิปาน” ทรงตรัสแล้วพระสรวลเบาๆ
             “นี่แน่ะ...เสด็จพี่พูดอะไรเช่นนั้น  หวานเสียไม่มี”  องค์หญิงขวยเขิน พลางโน้มพระวรกาย
พระหัตถ์หยิกตรงพระชานุเบาๆ   องค์เจ้าเหนือหัวทรงพระสรวลเกษมสำราญยิ่ง
เมื่อเห็นเจ้าหญิงทรงพระเกษมสำราญดีแล้ว จึงเอ่ยตรัสขึ้นว่า
              “อ้อ..นี่แน่ะน้องหญิง...ในตอนนี้เราจำความได้แล้วว่า เมื่อก่อนนั้นท่านท้าวทศราชแห่งแคว้น
รัตนานคร ซึ่งเป็นกึ่งมนุษย์กึ่งคนธรรพ์ทางทิศตะวันออกของเขาไกรลาส  ได้ถวายพระธิดาสองพระองค์
แก่เราและเป็นพระสหายรักของน้องหญิงด้วย ไม่ทราบว่าเดี๋ยวนี้เป็นฉันท์ใดรึ” ทรงกล่าวขึ้นลอยๆ
               “ ซึ่งน้องหญิงยังให้เราทรงแต่งตั้งเป็นพระอัครมเหสีฝ่ายซ้ายของเราด้วย เพียงแต่เรายังกริ่งเกรง
น้องหญิงว่าเราจะเป็นผู้มักมากในตัณหาราคะ  และมิอยากให้มีปัญหาอื่นตามมาจึงได้นิ่งเฉยเสีย  จนบัดนี้
เพียงเห็นแต่น้องหญิงเพียงผู้เดียว ส่วนหญิงต่างนครก็พากันหายไปหมดสิ้น”
         “อ้อๆๆ...เจ้าหญิงมณีกานต์และเจ้าหญิงปทุมวดีหรือเพคะ”  เจ้าหญิงทรงยิ้ม
ราชันย์ทรงยิ้มพระโอษฐ์ กล่าวว่า
            “เรานึกไม่ออกจริงๆว่าทรงพระนามใดรึ”   ทัศยุราชันย์ตรัส
            “เจ้าหญิงมณีกานต์และเจ้าหญิงปทุมวดี ทรงพระสิริโฉมยิ่งนะเพคะ  แต่กลับไปยังพระนครแล้ว
ด้วยเสด็จพ่อของพระนางทรงพระประชวรและสิ้นพระชนม์ในภายหลัง  เนื่องจากไม่มีพระราชบุตรสืบ
ทอดสันติวงศ์ เหล่ามุขอำมาตย์จึงอัญเชิญเจ้าหญิงมณีกานต์ขึ้นเสวยราชสมบัติสืบต่อไป ส่วนพระขนิษฐา
นั้นอยู่ช่วยราชการเพคะเสด็จพี่”  เจ้าหญิงเอ่ย 
          “อืมมๆ..น้องหญิงก็สมควรอยู่หรอก เพราะเจ้าหญิงมณีกานต์ทรงเชี่ยวชาญศาสตราอาวุธ ตลอด
จนมหาเวทย์อาคมและการบริหารงานปกครองยิ่งนัก ส่วนเจ้าหญิงปทุมวดีก็เชี่ยวชาญเวทย์มนต์ต่างๆ
จนกระทั่งเหล่าเทวาคนธรรพ์ต่างยกย่องเรียกว่า “แม่มดเจ้าเสน่ห์เทวีอัปสร” เป็นที่หมายปองแก่เทวา
คนธรรพ์วิทยาธรทั้งหลาย เพียงติดแต่ท่านท้าวทศราชทรงเห็นแก่ไมตรีของนครเรา ยกพระธิดาทั้งสอง
ให้แก่เรา เรื่องจึงได้เงียบหายไป”  พระองค์ตรัสขมวดพระขนงตรึกนึกเหตุการณ์เก่าต่างๆ
         “ส่วนเจ้าหญิงเมืองต่างๆได้กลับไปยังเมืองของตนเองและบางองค์ได้อภิเษกกับต่างเมืองไปเกือบ
หมดสิ้นแล้วเพคะ”  เจ้าหญิงดาริกาทรงทูล
          “ช่างเถอะเราขอรู้เพียงเท่านี้แหละ  อ้อ..ค่ำเพลานี้หวังว่าน้องหญิงคงเสด็จบรรทมร่วมกับเราภายใน
พระตำหนักนี้นะ อย่าได้หนีหายไปไหนอีกล่ะ เราคิดถึงองค์หญิงใจจะขาดแล้วล่ะ” พระองค์ทรงกล่าวยิ้มๆ
            “เพค่ะเสด็จพี่ “กล่าวจบก็ทรงขวยเขินยิ่งนัก  ทั้งสองก็หาความเกษมสำราญต่อไป จวบจนดึกดื่น
แล้วทั้งสองก็ทรงดำเนินพระบาทเข้าสู่แท่นพระราชอาสน์เพื่อทรงบรรทมประหนึ่งราวข้าวใหม่ปลามันฉะนี้

   ภาพประกอบบนเป็นของเจ้าหญิงมณีกานต์ ส่วนภาพล่างเป็นของเจ้าหญิงปทุมวดี
(หรือแม่มดเจ้าเสน่ห์)  ภาพประกอบทั้งหมดนี้เป็นของ คุณ เฌอมาลย์ นะขอรับท่าน)
				
3 พฤศจิกายน 2549 15:44 น.

** ทัศยุราชันย์ (พิธีกรรม) **

แก้วประเสริฐ


                                                                 บทที่ ๗
                                                                พิธีกรรม

     “สงสัยตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปพี่เองเห็นจะไม่ได้พบหน้าน้องหญิงเสียแล้วกระมัง
     ”  ชายหนุ่มพ้อทำหน้าเศร้า
      “ คงไม่อย่างนั้นหรอกท่านพี่ เพราะน้องต้องคอยดูแลปรนนิบัติตามคำสั่งท่านพ่อปู่อยู่แล้วนี่นา”
  หญิงสาวตอบ
      “แต่ว่าโอกาสที่เราจะได้ใกล้ชิดคงจะห่างไกลกันนะ” ชายหนุ่มกล่าว
      “ก็คงเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น เพราะท่านพี่จะต้องฝึกฝนวิชาอาคมตลอดจนการทำสมาธิจิต
ซึ่งใครจะเข้าไปรบกวนท่านพี่มิได้ อดทนหน่อยนะท่านพี่เพื่อความเป็นองค์ทัศยุราชันย์ที่สมบูรณ์แบบล่ะ”
  หญิงสาวเอ่ยตอบ  พร้อมก้มหน้า เนื่องจากชายหนุ่มเพ่งตามองหล่อนจนรู้สึกขวยเขินสะเทิ้นอาย
        “นั่นนะซิ...ยังไม่รู้เลยว่าจะต้องใช้เวลานานสักเท่าไหร่หนอ”  ชายหนุ่มรำพึง
      “ความคิดอ่านที่เราพึงมี  เห็นจะต้องชะงักชั่วคราวเสียแล้วหนอ”  ชายหนุ่มคิดในใจ
        “เห็นท่านพ่อปู่บอกว่าท่านพี่เองก็เคยฝึกสำเร็จถึงขั้นเกือบจะบรรลุพ้นจากโลกียวิสัยแล้ว 
บุญบารมีเก่าคงจะเสริมหนุนจะไม่ช้าไปหรอกนะ”  หญิงสาวให้กำลังใจ
         “เมื่อก่อนนั้นอาจจะใช่ แต่บัดนี้พี่เองมิได้เป็นองค์ทัศยุเพียงแค่มนุษย์เดินดินธรรมดาเท่านั้น”
         “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ อำนาจนี้เป็นอำนาจเฉพาะตัวบุคคลสิ่งทั้งหลายย่อมจะก่อกำเนิดขึ้นเองตามบุญกรรม”
          “แต่พี่ยังรู้สึกอดเป็นห่วงน้องหญิงไม่ได้ แต่ก็จะพยายามจ๊ะน้องหญิง ” ชายหนุ่มเหมือนจะตัดใจได้
          “ขอให้ท่านพี่สมความมุ่งมาดปรารถนาเร็วๆเถอะ  เหตุการณ์ร้ายที่ผ่านไปคงจะได้กลับคืนมาเสียที” 
หล่อนยิ้มพร้อมทั้งเอื้อมมือมากุมมือชายหนุ่มไว้เสมือนดั่งหนึ่งจะให้กำลังใจเขาเพิ่มยิ่งขึ้น
            “เอาล่ะนี่ก็สมควรแก่เวลาแล้วเพราะเริ่มจะเข้าสู่รัตติกาลหญิงเรากลับเข้าไปในวังเสียดีกว่านะ”
     ทั้งสองชวนกันเดินดูรอบอุทยานต่างชี้ไม้ชี้มือประกอบการชมสวน
 บางครั้งก็แสดงอาการหยอกล้อต่อกระซิกกันอย่างร่าเริงเหมือนกับจะลืมเหตุการณ์ผ่านมา
   แล้วก็ชวนกันเดินหลีกเข้าไปยังปราสาทต่อไป
       วันรุ่งขึ้นฟ้าสางอากาศยังสลัวๆ หญิงดาริกาเข้ามานำชายหนุ่มกลับออกไปพบท่านพ่อปู่ราชครูตามคำสั่ง
เมื่อได้จัดการส่งตัวให้เรียบร้อยแล้ว นางก็หันมายิ้มอย่างอ่อนหวานแล้วหันหลังกลับ หลังจากหญิงดาริกา
กลับไปแล้ว  ท่านพ่อปู่ก็เรียกชายหนุ่มเข้ามานั่งตรงหน้าเริ่มอรรถอธิบายถึงคัมภีร์เวทย์มนต์
ตลอดจนไสยเวทย์ต่างๆอีกทั้งหลักเบื้องต้นของการเจริญธรรมสมาธิตลอดจนผลได้เสีย
หากเกิดผิดพลาดขึ้นมาในการเจริญธรรมจะได้รู้แนวทางข้อปฏิบัติ และไสยเวทย์ในการกำกับอาวุธที่ใช้
      ชายหนุ่มในชุดขาวห่มขาวนั่งฟังคำบรรยายรายละเอียดอย่างสนอกสนใจยิ่ง บางครั้งก็สอบถาม
ความสงสัย     ซึ่งท่านพ่อปู่ก็อธิบายมิได้ปิดบังแต่ประการใด   จึงนำชายหนุ่มเข้าสู่ห้องเจริญธรรม
ซึ่งเป็นห้องมีบริเวณเล็กๆปราศจากสิ่งของใดๆ มีเพียงแต่ผ้าปูนั่งผืนขาวธรรมดาเท่านั้น พอเขาเริ่มทำสมาธิ
พ่อปู่ก็นั่งควบคุมการนั่งทำสมาธิ  เวลาผ่านไปเกือบเพลาค่ำก็ปรากฏแสงเรืองรองอ่อนๆรายรอบร่างกาย
ตลอดจนรูปร่างท่าทีกิริยาของชายหนุ่มก็เริ่มปรากฏรังสีค่อยๆแผ่ซ่านออกมา ที่ละน้อย

เริ่มต้นจากศีรษะจางๆจนแผ่ไปทั่วบริเวณร่างกายค่อยๆเปล่งประกายรังสีออกมาจนเห็นเด่นชัด 
        ทำให้ชายชรารู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น   ครั้นเมื่อเพ่งพิจารณาแล้ว
ก็รีบเข้าสมาธิเพื่อหนุนธาตุของชายหนุ่มทันที  ชายชราพลันยกมือทั้งสองขึ้นเสมือนดังหนึ่งแผ่พลัง
หนุนเนื่องเข้ารวมกับพลังที่ก่อตัวของชายหนุ่มจนเพิ่มมากยิ่งขึ้นๆเป็นประกายเจิดจ้า ฉับพลันรังสี
ก็เกิดพวยพุ่งรอบล้อมร่างชายหนุ่มจากศีรษะลงจนปกคลุมแผ่นกระจายไปทั่วบริเวณห้องนั้นทันที  
ชายชราลดมือลงพร้อมรอยยิ้มปรากฏอย่างดีใจ   ที่การครั้งนี้มิได้ใช้เวลานานตามที่คิดคาดคำนวณไว้ 
แต่ก็ยังไม่ลุกหนีไปไหน เพียงแต่จับจ้องมองดู  กาลเวลาค่อยๆผ่านไปทีละน้อยๆจวบจนเลยย่ำค่ำ 
ร่างชายหนุ่มก็ยังหาได้เคลื่อนไหวประการใดไม่  ยังคงด่ำดิ่งกับอารมณ์ของสมาธิแม้กระทั่งผ่านพ้น
เกือบเที่ยงคืนก็ตามยังไม่มีวี่แววว่าจะออกจากฌานสมาธิเลย   ชายชราจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไป 
ความห่วงใยที่เคยมีก็ค่อยๆจางไปเกิดความยินดีเข้ามาแทนที่   ความกังวลก็เริ่มจางหายไป
อารมณ์แจ้งใสเพราะเข้าใจดีกว่าหากเจริญสมาธิถึงขั้นนี้แล้วอาการต่างๆทั้งความหิวโหยก็จะมิมีด้วย
ด้วยอำนาจฌานสมาบัติที่ก่อเกิดหล่อเลี้ยงสังขารทั้งภายในภายนอกไว้มิขาดสายอย่างต่อเนื่อง
       จวบจนเช้าตรู่ของวันใหม่  ร่างของชายหนุ่มก็ยังไม่เคลื่อนไหวยังคงสงบนั่งนิ่งอยู่อย่างเดิม
แต่สิ่งที่ปรากฏรายล้อมรอบตัวเขากลับเปล่งรัศมีเพิ่มมากยิ่งขึ้นจนแสงสีทองนั้นกระจายไปทั่วบริเวณ
จวบจนผ่านล่วงเลยไปสามทิวาราตรีกาล  ยังหามีวี่แววแต่อย่างใดไม่ที่ชายหนุ่มจะละฌานสมาบัติ
  ชายชราเมื่อกลับไปมาจึงเห็นว่าสมควรก็นั่งลงขัดสมาธิเข้าสู่ฌานสมาบัติตรวจสอบ  ซึ่งในกาลนี้
เพื่อเข้าไปอบรมแนะนำทางให้แก่ชายหนุ่มทราบทางฌาน และตักเตือนให้สมควรแก่กาลเวลาเท่านี้
เพื่อธาตุขันธ์ต่างๆจะได้รับสารอาหารที่หยาบบ้าง     กาลผ่านไปสักครู่ชายหนุ่มก็สามารถปรับสภาพ
ร่างกายจนเป็นกายทิพย์ได้   เพื่อไม่ให้ผิดพลาดท่านพ่อปู่จึงได้เข้าไปแนะนำหนทางดำเนินต่อไป   
   เนื่องจากชายหนุ่มยังคงติดในฌานจนเวลาผ่านไปจนจวบล่วงเลยเข้าอีกวันใหม่ในวันที่สี่นั่นแหละ
ชายหนุ่มจึงได้ลืมตาขึ้นแต่คราวนี้  ความผิดปกติก็เกิดขึ้นแก่เขาอย่างเห็นได้ชัดประกายสายตาเจิดจ้า
ประดุจสายฟ้าที่พวยพุ่งออกมา อากัปกิริยาก็เปลี่ยนไปแต่ก็ยิงติดอยู่เสมือนครึ่งหลับครึ่งตื่นพอควบคุม
อาการเข้าสู่สภาพปกติได้แล้ว    จึงได้กล่าวแก่ชายชราว่า.....
      “โอ้ว..ท่านมหาราชครูสิริปัญญา เราเป็นอะไรไปหรือท่าน เอ๊ะ...ท่านพ่อปู”
 ชายหนุ่มชะงักสงสัยในคำพูดบางประโยคของตัวเอง   ความรู้สึกบอกเขาว่าช่างสับสนเสียเหลือเกิน
        ชายชราก็รู้สึกดีใจจนอาการแสดงออกนอกหน้าจนเห็นเด่นได้ชัด  พลางกล่าวว่า......
     “ท่านทัศยุราชันย์ มิได้หรอกเพียงท่านยังติดในสัญญาความเป็นมนุษย์อยู่เท่านั้น
 บัดนี้ท่านจึงมีอาการสับสนปนเปนักเปรียบเสมือนนอนหลับที่ยังไม่สนิทจึงมีอาการเป็นดังฉะนี้ท่าน
ครึ่งหนึ่งก็นึกได้และอีกครึ่งหนึ่งนึกไม่ได้ เพียงแต่ผ่านพ้นความสำเร็จเกินครึ่งหนึ่งกาลเก่าแล้วล่ะ”
  ชายชรากล่าวขึ้น
      “นั่นซิท่านพ่อปู่เราให้รู้สึกสับสนแกว่งไกวอย่างไรชอบกล บ้างก็นึกออกบ้างก็นึกไม่ออก
คล้ายมีอะไรมาติดขัดขวางกั้นอยู่ฉะนี้ แต่ภายในร่างกายเราทำไมช่างเบาหวิวเสียยิ่งนักเล่า
ประดุจดั่งปุยนุ่นล่องลอยเคว้งคว้างไปมายากจะควบคุมอาการได้”  ชายหนุ่มแจ้งให้ฟัง
       “ก็เพราะท่านเข้าแนวทางที่ถูกต้องเป็นการรวบรวมธาตุในอดีตกับธาตุปัจจุบันเข้าด้วยกัน
ประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน   เพียงแต่ยังติดขัดในความมีเนื้อหนังกระดูกที่ยังมิได้ชำระล้างต้องรอ
การแปรเปลี่ยนสภาพเป็นกึ่งเทพกึ่งมนุษย์เท่านั้น แต่ส่วนสัญญาในความทรงจำได้กลับสู่ในอดีต
หวนคืนเท่าที่ร่างกายจะพึงรับได้”  ชายชรากล่าว
      “นั่นซิข้าพเจ้าจึงรู้สึกว่ากึ่งรู้กึ่งไม่รู้นึกว่าตนเองจะเกิดความวิปลาสไปเสียอีก” ชายหนุ่มอ้างถึง
        “เอาล่ะพักแค่นี้ก่อนต้องค่อยเป็นค่อยไปประเดี๋ยวธาตุจะผันแปรไปเสียก่อน
จนเกิดอันตรายแก่ท่านได้ ช่วงกลางวันให้ท่านอ่านศึกษาวิทยาคมและตำราพิชัยสงครามต่างๆ
ที่เรานำมาให้ท่านแล้วนะ”
  ชายชรากล่าวพร้อมเข้าจูงมือชายหนุ่มลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องทำสมาธิสู่ยังอีกห้องหนึ่งซึ่งเต็มไป
ด้วยตำรามากมาย  แบ่งหมวดหมู่จัดตั้งอยู่ริมฝาผนัง มีโต๊ะอยู่ตรงกลางพร้อมอุปกรณ์การใช้ครบครัน
         “แต่ข้าพเจ้ายังคิดจะนั่งสมาธิต่อเพราะเกิดความสุขยิ่งท่านพ่อปู่” 
         “ก็เนื่องด้วยอำนาจธรรมสมาธิที่รุมเร้า ควรที่จะพักผ่อนคลายอารมณ์เสียบ้าง ไปเถอะท่านทัศยุ “
   แล้วรีบจูงมือชายหนุ่มไป    เพราะการที่ติดในทางธรรมนั้นสุขยิ่งหาที่ใดเปรียบมิได้ 
หากมิได้พักผ่อนมัวแต่หมกมุ่นอยู่แต่ฌานสมาบัติ  มิฉะนั้นการดีจะกลับแปรเปลี่ยนเป็นการร้ายต่อไป
         ทั่งสองเดินออกไปนอกห้องแต่คราวนี้ร่างกายของชายหนุ่มเสมือนคล้ายล่องลอยไปเสียมากกว่า
ทำให้รู้สึกว่าคล้ายๆจะลอยไปในอากาศร่วมกับท่านพ่อปู่ไปด้วย  
เมื่อก้าวพ้นห้องตำราไปสู่อีกห้องหนึ่ง  ก็เจอหญิงดาริกาพร้อมถาดอาหารที่ประกอบไปด้วยผลไม้
 มีผลไม้ผลหนึ่งสุกสีทองเปล่งปลั่งส่งประกายแวววับรวมอยู่ในถาดนั้นด้วย 
 ชายชราจึงเดินเข้าไปหาหญิงสาวแล้วหยิบผลไม้ทองมาส่งมอบให้แก่ชายหนุ่ม  พลางกล่าวว่า
       “ ท่านทัศยุรีบทานเสริมธาตุเสียก่อนโดยเร็วอย่าให้โอกาสทองเสียไปเลย”
   ชายหนุ่มตอนนี้รู้สึกซึ้งในน้ำใจของชายชรายิ่งนัก จึงเอื้อมมือไปหยิบผลไม้ทองนั้นขึ้นมาใส่ปากพอ
รับประทานปรากฏว่าอาการเหมือนกับผลไม้ที่เคยทานเพียงแต่รสชาตินั้นจะดูแปลกประหลาดกว่า
และเข้มข้นกว่ากันมากทีเดียว   ฉับพลันรู้สึกถึงพลังความร้อนพวยพุ่งเข้าประสานกับความร้อน
ที่มีทั้งเย็นและร้อนสลับไปมาจะรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวให้รู้สึกสดชื่นอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน 
พลางหันไปมองเห็นพ่อปู่ราชครูกำลังสนทนากับหญิงดาริกาอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส
ทั้งสองสนทนาไปพลางหัวร่อพลางไป   เขาคิดว่าคงจะวิจารณ์เกี่ยวกับเราเป็นแน่แท้ 
จึงเดินหลีกเลี่ยงไปที่โต๊ะหินหลากสีปล่อยให้ทั้งสองคุยสนทนากันต่อไปทุกคนแย้มยิ้มแจ่มใส
        การเริ่มต้นเจริญสมาธิตั้งต้นใหม่ในเพลาค่ำนั้นอีกครั้งหนึ่งแต่คราวนี้ทำให้รู้สึกว่าไม่เหมือนเก่า
เพราะรู้สึกว่าช่างง่ายดายกว่าเก่าอะไรเช่นนั้นเพียงแค่จรดสมาธิลงความเป็นหนึ่งก็รวมตัวได้อย่างรวดเร็ว
 จึงผ่านทางเดินของฌานได้อย่างไม่มีอะไรติดกั้น  ตั้งแต่ฌานแปดผ่านกสิณสิบหมุนสลับไปมา
แล้วพุ่งรวมตัวล่วงเข้าสู่โลกียฌานเพียงหยุดแค่นั้น  ก็จะย้อนหวนเริ่มต้นใหม่สลับไปมาหมุนเวียน
แบบนี้ไปเรื่อยๆพลังภายในร่างกายรู้สึกเพิ่มพูนยิ่งๆขึ้น  
        จวบจนกาลเวลาล่วงผ่านเลยเจ็ดวันเจ็ดราตรีการฝึกทางธรรมสมาธิก็สิ้นสุดลง  
ให้รู้สึกว่าปัญญาแตกฉานจนสามารถจำเหตุการณ์ในอดีตได้คล่องแคล่วว่องไวขึ้น
ทั้งอีกตำราพิชัยสงครามวิทยาอาคมเวทย์ไสยต่างๆก็ผุดขึ้นมาเอง เพียงแค่นึกถึงเท่านั้น 
 ชายชราก็ให้หยุดการเจริญสมาธิแล้วสั่งว่า อย่าทอดทิ้งให้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องทุกๆวันไป
จะขาดเสียมิได้ไม่ว่าเวลาใดเวลาหนึ่งเสีย  แล้วหันไปสั่งกับหญิงดาริกาว่า
         “หลานเรานำท่านทัศยุไปพักผ่อนได้แล้ว เราเองก็จะขอพักผ่อนบ้าง
 อีกสามราตรีให้นำตัวท่านทัศยุมาพบเราเพื่อที่จะทำพิธีกรรมในวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำที่จะถึงนี้
เพราะเป็นวันมหาอุดมฤกษ์ปวงเทพยาดาจะมาบวงสรวงองค์ท่านมหาเทพพร้อมพระแม่เจ้าด้วย
 หากพิธีในวันนั้นเกิดขึ้นก็จะทราบไปถึงเหล่าทวยเทพเทวาทั้งหลายก็จะประสิทธิ์ประสาทอวยพร
แก่ท่านทัศยุตามที่เราคาดคะเนไว้คงไม่ผิดเพี้ยนหรอก ด้านพิธีกรรมนี้เราจะจัดการเองนะ”
  ชายชราหันมากล่าวแก่ทั้งสอง   ทั้งสองรับปากคำแก่ชายชราพร้อมหญิงดาริกานำชายหนุ่มเดินออกไป
           รัตติกาลเพ็ญ ๑๕ ค่ำมาถึง  ท่านมหาราชครูได้นำทั้งสองเดินผ่านประตูถ้ำแก้วเข้าสู่ส่วนกลางถ้ำ
ครั้นมองเข้าไปก็เห็นภายในแอ่งน้ำมีชั้นหินแก้วสูงถูกวางด้วยพานแก้วอยู่กึ่งกลางล้อมรอบน้ำ
ที่มีสายธารสีเงินยวงปนสีเขียวดั่งมรกตคล้ายธาตุปรอทเจ็ดสีประกายแวบวับสะท้อนแสงแวววาวไว้
ส่งประกายกระจายไปทั่วบริเวณของแอ่งน้ำ รายรอบของแอ่งน้ำถูกจัดวางด้วยแท่งแก้วส่งประกายสดใส
  ถ้าหากเป็นเมืองมนุษย์ก็คือเทียนที่ส่องสว่างนั่นเอง พื้นรายรอบประกอบด้วยเครื่องพลีกรรมสังเวย
ที่พื้นเขียนวงไว้ด้วยรูปดาวแฉกนับได้เจ็ดดวง ล้อมรอบแอ่งน้ำระยะห่างเท่าๆกันหมด
 ท่านพ่อปู่ได้หันไปสั่งให้หญิงดาริกาให้ไปยืนยังด้านข้าง
 แล้วนำชายหนุ่มเข้ามายังบริเวณพิธีกรรมบอกให้นั่งในรูปดาวดวงหนึ่งซึ่งรู้สึกว่าจะใหญ่กว่าดาวดวงอื่น
ด้านหน้าท่านมหาราชครู ซึ่งกำลังนั่งทำพิธีสาธยายมนต์แล้วนอกพื้นรูปดาวแฉก  พลันก็ บอกให้ชายหนุ่ม
รีบเข้าไปนั่งทำสมาธิสู่ฌานสมาบัติ   โดยกล่าวกับชายหนุ่มว่า......
     “หากเราสั่งเมื่อไหร่ก็ให้ก้าวลงยังแอ่งน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ทันที”    ชายหนุ่มรับคำเบาๆ
รีบเดินไปทรุดกายลงนั่งยังตำแหน่งที่ท่านพ่อปู่ชี้แนะให้ดู พลางเจริญสมาธิเข้าสู่ฌานสมาบัติทันที
 เห็นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว    ท่านพ่อปู่เองก็เริ่มนั่งสาธยายมนต์อยู่เบื้องหลังของชายหนุ่มที่นั่งอยู่อาการ
ซึ่งกำลังเข้าสู่ฌานสมาบัติ     จนท่านพ่อปู่แน่ใจพลางพนมมือเจริญยกมือพร้อมสาธยายร่ายมนต์
เสียงดังพึมพรำเสียงสูงบ้างต่ำบ้างเป็นทำนองแตกต่างกัน ระยะเวลาผ่านไปไม่นานนักประมาณ
ช้างกระดิกหู   พลันได้ยินเสียงพ่อปู่เอ่ยเร่งชายหนุ่มก้าวเข้าสู่ห้วงแอ่งน้ำทันที   ซึ่งเป็นจังหวะที่
ชายหนุ่มถอนถอยฌานลงมาสู่ขั้นอุปจารสมาธิ  ควบคุมตนเองแล้วลุกขึ้นก้าวล่วงเข้าลงสู่แอ่ง
น้ำศักดิ์สิทธิ์ตามคำสั่งของท่านพ่อปู่มิได้ช้า   เมื่อก้าวย่างลงสู่แอ่งน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้น
พลันปรากฏว่ามีประกายเย็นเฉียบแทรกผ่านเข้าสู่ร่างกายชายหนุ่มทันทีแผ่ซ่านจากล่างขึ้นสู่เบื้องบน
แทบจะทนไม่ได้คิดจะก้าวขึ้นจากแอ่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ด้วยมานะ  พอทนได้จึงได้ก้าวลึกลงไปอีกเกือบ
ตรงกลางความเยือกเย็นยิ่งแผ่ซ่านร่างกายผ่านๆไป  แต่ก็มีไออุ่นแทรกซ้อนเข้ามาด้วย
จึงก้าวลุล่วงลงไปจนน้ำท่วมถึงระหว่างทรวงอกในท่าพนมมืออยู่  ฉับพลันน้ำอมฤตก็แปรเปลี่ยน
เป็นอาการที่คลุ้มคลั่งทันทีกระแสน้ำพลันปั่นป่วนวนเวียนแล้วก็พุ่งเข้าครอบคลุมร่างของชายหนุ่ม
จนท่วมมิดศีรษะ  บัดดลความรู้สึกทั้งมวลของเขาก็ดับวูบทันที  ปรากฏเป็นดอกบัวตูมสีทองส่งประกาย
ลอยผุดขึ้นเหนือกระแสน้ำศักดิ์สิทธิ์เปล่งรัศมีเจ็ดประการสว่างโชติช่วง   ส่วนสายธารในน้ำก็เข้า
กัดกร่อนบ่อนทำลายสังขารส่วนต่างๆแม้กระทั่งกระดูกทุกชิ้นส่วนภายในร่างกายตลอดจนเสื้อผ้า
หายไปในสายธาร  ภายในแอ่งน้ำก็ยังปั่นป่วนมิได้หยุดนิ่งรอจนกระแสน้ำธารนั้นลดตัวลงเรียบสงบ
แต่ก็ยังปั่นป่วนยังภายใต้ผิวน้ำอย่างมองเห็นได้ชัดแล้วก็เงียบสงบหายไป
        ท่านพ่อปู่ราชครูก็ยังคงเร่งเร้าสาธยายมนต์เร็วขึ้นกว่าเก่า มิได้หยุดพักแทบจะไม่หายใจเลย
        หญิงดาริกาทอดตามองก็ให้รู้สึกเสียววูบไปยังภายในทรวง อาการตุบๆตับๆกระวนกระวายใจ
บังเกิดเข้าแทนที่ด้วยความห่วงใย เพราะไม่ทราบว่าจะช่วยเหลือได้อย่างไรดี ยกมือปิดปากแน่นตาจ้อง
มองแทบไม่กระพริบเฝ้ามองดูแต่ภาพภายในแอ่งน้ำนั้น  ทำได้เพียงแค่รอเหตุการณ์เท่านั้น
 หากทว่าร่างนั้นมิใช่องค์ราชันย์ในร่างของชายหนุ่มดังที่คาดคิดไว้การครั้งนี้ก็คงจะล้มเหลว
แน่ละจะทำให้ดวงวิญญาณของชายหนุ่มยากที่จะไปสู่สถานที่ใดได้   คงนอกเสียจากเป็นวิญญาณเร่ร่อน
ที่ต้องคอยเฝ้ารักษาแอ่งน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้ต่อไปเท่านั้น   จึงต้องยกมือขึ้นทาบทรวงอกพลางหันมา
มองไปยังท่านพ่อปู่เพื่อจะถาม  ยิ่งเห็นพ่อปู่ยังนั่งสาธารยายมนต์มิได้ขาดกลับเพิ่มสำเนียงหนักขึ้น
เร่งเร็วขึ้นๆตามลำดับสลับไปมามิได้ขาด   หล่อนตะลึงพะว้าพะวงมิรู้ที่จะทำประการใด
ได้แต่เพียงยืนเบิ่งตามองภาพรูปดอกบัวประกายเจ็ดสีที่ยังคงลอยอยู่กับที่เหนือน้ำนิ่งไว้เท่านั้น 
        บัดดลกระแสน้ำได้พวยพุ่งขึ้นอีกวาระหนึ่งคราวนี้ประกอบเข้าเป็นรูปร่างมนุษย์และปรับเปลี่ยน
ค่อยๆแปรสภาพทีละน้อยๆสายน้ำไหลรินหยดออกจากร่างที่ขาวโพลงวับวาวแสงสีเงินยวงปนเขียวเข้ม 
เมื่อเพ่งก็ยิ่งค่อยมองเห็นชัดขึ้นจน ปรากฏร่างหนึ่งขึ้นแทนที่ร่างเดิมที่จมหายไป  ฉับพลันประกายแสงแห่ง
รูปดอกบัวค่อยๆลอยเข้าสู่ร่างที่ผุดขึ้นจากสายธารช้าๆจนหายไปหมดสิ้นพร้อมประกายเจ็ดสีแปรเปลี่ยน
กลับเป็นร่างที่มีเนื้อหนังเยี่ยงมนุษย์แต่ผิดตรงประกายสดใสกว่ากันนัก เนื้อที่ประกอบหุ้มห่อนั้นเป็นสีทองระเรื่อๆพร้อมประกายส่องแสงระยิบระยับพลิ้วไปมา
  พอถึงช่วงนี้ท่านพ่อปู่ก็หยุดสาธยายมนต์ลุกขึ้นยืน พลัน
 กล่าวกับร่างนั้นให้ก้าวขึ้นจากแอ่งน้ำได้แล้ว  พร้อมทั้งหันมากล่าวกับหญิงดาริกาทันที  
    “หญิงดาริกาจงไปหยิบชุดขององค์ราชันย์ที่ปู่สั่งให้จัดไว้นั้นมาได้แล้ว”  ชายชรากล่าวขึ้น 
พร้อมทั้งหันมากล่าวกับร่างที่ยืนอยู่เปลือยเปล่านั้น....

        (ภาพประกอบเป็นของคุณเฌอมาลย์ที่ลงไว้ในกลอนตอบรับ ผมเห็นสวยเหมาะ
แก่เรื่องนี้  จึงนำมาลงไว้ หวังอย่างยิ่งว่าคุณเฌอมาลย์คงให้อภัยผมด้วยนะครับ
ขอขอบคุณไว้ใน ณ ที่นี้ที่ละลาบละล้วง ขอบคุณครับ..แก้วประเสริฐ.)
				
1 พฤศจิกายน 2549 13:33 น.

** ทัศยุราชันย์ (มหันต์ภัย) **

แก้วประเสริฐ


                                                                 บทที่ ๖
                                                               มหันต์ภัย

           หญิงดาริกาเดินไปแหวกม่านพร้อมหันหน้ามาเรียกชายหนุ่มเพื่อให้เข้าไปดูแท่นที่พระบรรทมของ
องค์กษัตริย์   เขาจึงเอ่ยปากถามว่า
       “เดี๋ยวก่อนแม่หญิง สงสัยเหลือเกินว่าตั่งที่ตั้งยังด้านทิศใต้นั้นใช้ประโยชน์อะไรหรือน้องหญิง”
    หญิงสาวหันกลับไปมอง พร้อมกล่าวว่า
       “นั่นเป็นที่ตั้งของเครื่องมโหรีใช้สำหรับกล่อมองค์กษัตริย์ยามหนึ่งทุ่มเป็นต้นไป ประกอบเพลงให้นางรำ
ฟ้อนถวายทอดพระเนตรพระกรรณระหว่างเข้าที่พระบรรทมบนพระแท่นบรรทมค่ะ โดยจะมีนางในเปิด
พระวิสูตรจนกระทั่งองค์กษัตริย์จะเข้าสู่พระนิทรา แล้วก็รูดปิดพระสูตรเหล่านางสนมนางในนางรำทั้งหลาย
ก็จะกลับ  ต่อมาก็เป็นหน้าที่ของทหารหญิงชายอารักขาตามพระทวารและพระบัญชรค่ะ”  การที่หญิงสาว
กล่าวคำราชาศัพท์ประกอบนั้นเพื่อต้องการให้ชายหนุ่มรับทราบถึงคำที่ใช้เรียกหาองค์กษัตริย์ซึ่งชายหนุ่ม
จะต้องรับทราบไว้ก่อนในทางปฏิบัติต่อไป
       เมื่อชายหนุ่มก้าวตามเข้าในพระที่ก็พบตั่งยาวสร้างด้วยหินอ่อนหลากสีแกะสลักด้วยลายต่างๆขาตั้งรับนั้น
เป็นรูปพญานาคแผ่พังพานลำตัวและหางพันเป็นรูปวงกลมตรงกลางตั่งของอีกตัวหนึ่งซึ่งยาวทอดไปแผ่พังพาน
ของขาอีกมุมหนึ่งเป็นฉะนี้ทั้งสี่ขา บนหัวตั่งตั้งไว้ด้วยหมอนสามเหลี่ยมริมผนังกำแพงปราสาทจัดวางด้วยหมอน
ข้างและผ้าห่มซึ่งทอประกายแสงแวววับ  ด้วยความสงสัยชายหนุ่มจึงเดินตรงไปเอานิ้วมือจิ้มไปยังที่พื้นเตียงนั้น
เพื่อทดสอบว่าจะนุ่มนิ่มเหมือนกับที่เขาใช้นอนเมื่อครั้งอยู่ในถ้ำหรือเปล่า ผลปรากฏว่ากลับนุ่มนิ่มกว่าประดุจ
ปุยนุ่นบางเบาคล้ายละเอียดอ่อนล่องลอยไปมากว่าที่ผ่านมา จึงหันไปมองหญิงสาวเห็นสาวเจ้ายืนยิ้มอยู่ในการ
กระทำของเขา  
         “นี่ใช้เป็นพระแท่นที่บรรทมขององค์ราชันย์ค่ะ  ท่านพี่เดินดูไปรอบๆก็ได้นะเพราะต่อไปท่านพี่ก็ต้องมาพัก
ที่นี่แหละ ทางพระบัญชรก็สามารถแลเห็นวังเล็กทั้งสองพระบัญชรตรวจดูการเป็นอยู่ของพระมเหสีพระองค์ใด
พระองค์หนึ่งได้  อีกทั้งด้านหลังแท่นที่พระบรรทมจะเป็นประตูทอดสู่ยังปราสาทของท่านมหาราชครูพ่อปู่ค่ะ”
      หญิงสาวกล่าวพร้อมเดินนำหน้าชายหนุ่มซึ่งคอยเฝ้าติดตามอยู่ พอแหวกม่านผืนใหญ่ก็พบประทางทางออก
ยืนเฝ้าด้วยทหารหญิงชายอย่างละหนึ่งนาย  เมื่อทหารหญิงชายพบหญิงสาวก็รีบทำความเคารพก้มหน้าลงมอง
ด้านหลังเป็นทางยาวทอดไปไกลเห็นปราสาทสีขาวล้วนทำด้วยแก้วหลากสีสะท้อนแสงสดใส
       “ท่านพี่จะไปดูหรือไม่ค่ะ”  หญิงสาวถาม
       “อย่าดีกว่าน้องหญิง ยิ่งเป็นสถานที่ของท่านพ่อปู่ด้วยแล้วมิบังควรอย่างยิ่ง” ชายหนุ่มตอบ
หญิงสาวยิ้ม ใบหน้าช่างงดงามอะไรเช่นนี้ความขาวผ่องนวลใยประกายสีชมพูไล้ใบหน้าด้วยประกายสีส่งให้
ยิ่งพิศยิ่งงามงดงามตา  ชายหนุ่มอดวูบเข้าไปในทรวงเสียมิได้ หากเราได้เป็นองค์ราชันย์จริง หญิงเอยในโลกนี้เห็น
ทีพี่คงจะต้องไม่เหลียวแลใครอีกแล้วจะคอยเฝ้าประโลมเล้าเจ้าเพียงคนเดียว
มิให้ห่างกายน้องแม้แต่ชั่วเวลาเดียว
จะคอยเฝ้าเคล้าคลึงในรสเสน่หายากที่จะหลีกลี้ไปที่ใดได้ พลางกระหยิ่มยิ้มย้องอีกไม่ช้าหรอกน้องหญิงความ
จริงย่อมปรากฏมิดั่งฝันเช่นขณะนี้  ชายหนุ่มยิ้ม
       เสมือนจะรู้ความคิดอ่านของชายหนุ่ม หญิงสาวใบหน้ากับแดงซ่านเต็มไปด้วยสีเลือดกล่าวสำเนียงตะขุก
กุกกักว่า
       “ก็ดีเหมือนกันท่านพี่ เพราะปกติแล้วท่านพ่อปู่ก็ไม่ค่อยชอบให้ใครไปพลุกพล่านนัก ยกเว้นแต่มีเรื่องสำคัญ
ที่จะต้องจัดการกับบ้านเมืองหรือปรึกษาข้อราชการเท่านั้น  มักจะขลุกตัวเจริญธรรมสมาธิแต่เพียงผู้เดียวหาสนใจ
อื่นใดๆและมักจะไม่อนุญาตให้ใครไปหา  จะเว้นก็เพียงแต่องค์ราชันย์หรือหญิงเท่านั้นเอง” หญิงสาวกล่าวถึง
อุปนิสัยของท่านพ่อปู่
       “นั่นซิตอนนี้จะอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ได้ เพราะตอนขาเข้าเห็นท่านอยู่วิหารเล็กนะหญิง”ชายหนุ่มกล่าว
       “ท่านพ่อปู่มักจะไปที่วิหารเล็กเสมอเพราะต้องคอยตรวจตราสิ่งภายนอกเป็นประจำ บางครั้งก็ออกเดินทางไป
ตามภพต่างๆเพื่อสนทนาธรรมกับองค์เทพเสมอๆ”
        “นั่นซิจึงไม่สมควรจะไปท่านคงจะทราบถึงการกระทำของเราทั้งสองแล้วล่ะ” ชายหนุ่มพูดถึงชายชรา
        “ถ้าอย่างนั้นก็สมควรแก่เวลาแล้วท่านพี่จะได้พักผ่อนเสียก่อน เห็นท่านพ่อปู่กล่าวก่อนไปรับท่านพี่ว่าหาก
เป็นองค์ราชันย์จริงคงจะลืมเหตุการณ์เก่าๆหมดแล้ว จะให้ไปฝึกฌานสมาธิเสริมสร้างปัญญาบารมีในระหว่าง
คอยวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำที่ใกล้จะถึงนี้คงใช้เวลาไม่นานหรอกเพราะบารมีเก่าที่สะสมไว้จะคอยหนุนให้แตกฉานได้
ง่ายกว่าคนที่ไม่เคยฝึกสมาธิมาเลย”   หญิงสาวกล่าวขึ้น
        “แล้วหญิงจะจัดคนมาคอยปรนนิบัติท่านพี่เอง” หญิงสาวกล่าว
        “ไม่ต้องหรอกน้องหญิง หากมีคนมาปรนนิบัติเห็นทีพี่เองคงจะไม่ได้พักผ่อนนะ” ชายหนุ่มกล่าวด้วยเกรงใจ
        “ถ้าเป็นเจตนาของท่านพี่ หากมีความต้องการอะไรขอให้ท่านพี่ไปที่หัวตั่งเตียงจะมีระฆังแก้วแขวนไว้ให้
ท่านพี่เคาะระฆังแก้วใบนั้น  ก็จะมีนางสนมกำนัลเข้ามาคอยปรนนิบัติรับใช้นะ  ตอนนี้หญิงขอลาไปพักผ่อน
ก่อน” หญิงสาวกล่าวขอตัว
         “อย่างนั้นลำบากน้องหญิงมากแล้ว ขอบใจน้องหญิงมากนะ”   ชายหนุ่มยิ้มกล่าวคำขอบคุณ
         “ อ้อเดี๋ยวเวลาประมาณสักทุ่มกว่าๆ หญิงจะมาร่วมทานอาหารกับท่านพี่ด้วย” หญิงสาวกล่าว
    ตั้งทุ่มหนึ่งหรือตอนเราอยู่ที่โน่นห้าหรือหกโมงก็กินกันแล้ว แต่ก็ไม่กล้าทักท้วงแต่ประการใดเพราะคิดว่าเมื่อ
มาถึงที่นี้แล้วอะไรๆก็ต้องปล่อยตามไป เปรียบเสมือนเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม หรือพายเรือในคลอง
ก็ต้องคดตามคลองฉันท์ใด ชายหนุ่มคิด พลางตอบว่า
       “ตามใจน้องหญิงเถอะจ๊ะ หญิงว่าอะไรพี่ก็ว่าอย่างนั้นแหละ” ชายหนุ่มตอบ
     หญิงสาวไม่ตอบอะไรเพียงแต่ยิ้ม ถึงแม้ว่าแค่เพียงยิ้มของหล่อนก็ทำให้เขาวาบหวามใจยิ่งนักจนแทบรู้สึกไม่
หิวโหยแต่ประการใด เพียงแค่มองหญิงสาวก้าวพ้นประตูวังและเห็นหล่อนกำลังสนทนากับนายทหารองครักษ์
เมื่อหล่อนก้าวเดินไปก็มีนายทหารองครักษ์ติดตาม คงเหลือเพียงสองนายชายหญิงที่ยังคงยืนเฝ้าหน้าประตูวังไว้
ครั้นเหลือบมองไปที่หน้าต่างพบทหารหญิงชายเฝ้าอยู่ด้วย  ช่างเคร่งครัดจริงๆ ชายหนุ่มคิด
      จนกระทั่งเวลาผ่านเลยไปหลังจากที่รับทานอาหารกับหญิงดาริกา
พร้อมดูการฟ้อนรำพร้อมมโหรีจนกระทั่ง
เวลาล่วงเข้าดึก หญิงดาริกาจึงขอตัวไปพักผ่อนบ้าง ชายหนุ่มก็รู้สึกเกิดอาการง่วงเหงาหาวนอน จึงไปที่เตียงนั่ง
เอนตัวลงนอนใช้ความคิดย้อนหลังเหตุการณ์ต่างๆ
ที่ผ่านมาเสมือนหนึ่งเป็นความฝันที่เกิดขึ้นแก่เขาและผล็อย
หลับไปเมื่อไหร่มิรู้ได้
       จวบจนฟ้าสางเสียงไก่ขันกังวานเจื่อนแจ้วแว่วเข้ามา เขาจึงรู้สึกตัวขยับกายลุกขึ้นนั่งแต่นึกแปลกใจยิ่งนัก
เพราะก่อนนั้นเขาเดินเที่ยวต่างๆไม่เห็นมีไก่สักตัวเดียว  แต่ทำไมตอนนี้กลับได้ยินเสียงร้องกังวานจึงลุกขึ้นเดิน
ไปที่หน้าต่างมองไปข้างนอกก็ไม่พบเห็นแต่ประการใด  อะไรๆมันช่างพิเศษพิสดารจริงๆเขาคิด พลันเหลือบไป
เห็นโต๊ะริมหน้าต่าง ถูกจัดวางไว้ด้วยขันที่ทำด้วยทองคำ
ภายในบรรจุน้ำแล้วโรยด้วยกลีบดอกไม้พร้อมถาดทองคำ
ส่งประกายวางด้วยผ้าสีสวยสดเป็นชั้นๆ ตั้งแต่มาที่นี่เขาเห็นภาชนะทำด้วยทองคำสองครั้งคือจานที่กินพร้อมช้อน
ถ้วยใส่น้ำแกงและมา ณ ที่นี้อีกครั้นจะถามหญิงดาริกาก็ไม่กล้าหรือว่าของใช้ถูกอย่างของกษัตริย์จะทำด้วยทองคำ
แต่ทำไมล่ะตั่งเตียงที่เขานอนรวมทั้งตั่งที่ตั้งของวงมโหรีกลับไม่เป็นทองคำเลย
คงจะมีนัยพิเศษอะไรบางอย่างเขาคิด  คงเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ  ไม่รู้วันนี้ก็คงจะรู้วันหน้าหรอกเขานึกคิด พร้อมจัดการล้างหน้าล้างตาด้วยน้ำที่ใส่ใน
ขันทองคำ โอ้โฮช่างหอมหวนอะไรเช่นนี้เขารำพึงกับตนเอง พลางหยิบผ้าขึ้นเช็ดหน้าก็ช่างนิ่มนวลเช่นกัน
คนที่เป็นกษัตริย์นี่ช่างพิถีพิถันจริงๆนะ  หากเป็นแต่ก่อนเพียงแค่ขันอลูมิเนียมจ้วงน้ำจากตุ่มขึ้นล้างแล้วเอาผ้า
ขาวม้าเช็ดตัวก็เรียบร้อย เราเราจะวางตัวอย่างไรดีหนอต้องพยายามเรียนรู้สิ่งเล็กๆน้อยให้หมอเพื่อจะได้ไม่เกิด
ความขวยเขินเป็นที่ครหานินทาจากคนอื่นได้เขาคิด  อ้าวตื่นเช้ามาเราต้องเข้าห้องน้ำถ่ายทุกข์และอาบน้ำจะทำ
ฉันท์ใดดีหนอ  ยังไม่ทันทีความคิดจะสิ้นสุดก็เห็นเหล่านางกำนัลทั้งหลายเดินเข้ามาพร้อมน้อมตัวลงกล่าว
เชื้อเชิญเขาให้ไปยังห้องขวามือโดยเดินนำหน้า
เข้าไปในห้องตั้งแต่เข้ามาเขามิทันสังเกตว่าภายในห้องนั้นจะมี
กี่ห้องเพราะมันแต่เพลินและสนทนากับหญิงดาริกา
จนลืมสิ่งเล็กๆน้อยไปปกติแล้วเขาเป็นคนละเอียดคนหนึ่ง
          เมื่อเขาถูกนำพาไปยังในห้องพร้อมสาวสวยเหล่านั้น เหล่านางทั้งหลายก็รีบเปลื้องผ้าเขาทั้งหมด ทำให้ชาย
หนุ่มตกใจมากถึงกับแย่งเสื้อผ้าชุนมูลกันทีเดียว จนนางบางคนกลั้นหัวร่อแทบตายเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วเขาจึงยอม
ให้นางกระทำโดยมิขัดขืนเปลื้องเขาจนกายล่อนจ้อน
แล้วนำลงไปยังสระน้ำที่โรยด้วยดอกไม้ต่างพันธุ์ส่งกลิ่น
หอมโรยริน เหล่านางกำนัลก็พากันลงไปพร้อมขัดสีฉวีวัณเขาเป็นการใหญ่ ส่วนนางอีกกลุ่มหนึ่งยืนรออยู่
ข้างๆถือเสื้อผ้ายืนคอยไว้ ทำให้เขารู้สึกเขินเหนียมอายจนหน้าแดงกร่ำ นางอีกกลุ่มหนึ่งกำลังดีดสีตีเป่าด้วยเครื่อง
ดนตรีคล้ายๆกล่อมก็มิปาน  หลังจากเสร็จภารกิจทั้งปวงแล้วพวกนางก็จัดการเช็ดเนื้อตัวพร้อมทั้งนำน้ำหอมแป้ง
ที่จัดทำเป็นพิเศษทาและโรยตัวเขาจนหอมกรุ่นไปทั่ว  เสร็จสรรพก็จัดการสวมใส่เสื้อผ้าเครื่องประดับนานา
ประการซึ่งเขาเองไม่รู้เลยในเรื่องนี้ หากเป็นเขาคงไม่ยุ่งยากมากเช่นนี้ เมื่อสมควรแก่การจัดการจึงนำเขาไป
ยังบานกระจกบานใหญ่ที่ทำด้วยทองคำขัดเงางามส่งประกายชัดเจนแทนกระจกเงาที่เคยใช้ในเก่าก่อนจัดการ
แต่งใบหน้าพร้อมคาดผ้าศีรษะด้วยผ้าที่ถักทอด้วยใยทองคำประดับด้วยมณีสีแดงก้อนใหญ่ส่องประกายแดงฉาน
    เมื่อเหล่านางกำนัลตรวจสอบเห็นว่าเรียบร้อยดีแล้วก็พากันน้อมก้มถอยหลังพร้อมเดินออกไปพร้อมกับนาง
ที่บรรเลงดนตรี   เหล่านางกำนัลนี้จัดถือว่าเป็นสาวสวยตระการตากลุ่มหนึ่งหากแม้นเป็นสมัยก่อนคงจะมีการ
แก่งแย่งชิงตัวนางทีเดียว     เขาเองก็อดจะชมความงามของนางกำนัลเสียมิได้   แล้วก็ย่างเท้าเดินออกไปยัง
หน้าต่างยืนชมวิวในอุทยาน ซึ่งมีมวลหมู่แมลงแปลกตากำลังบินว่อนไปว่อนมาตามกลีบดอกไม้ทั้งหลาย
      “ท่านพี่เรียบร้อยแล้วหรือค่ะ” หญิงสาวอมยิ้มกึ่งหัวร่อคิกๆๆ
   จนชายหนุ่มเหนียมอายคิดว่าหล่อนคงจะทราบถึงการอาบน้ำของเขาเป็นแม่นมั่น รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าววูบวาบ
ไปมา แสร้งกลบเกลื่อนความเขินด้วยเดินไปทำท่าทางพินิจพิจารณานางทันที แล้วกล่าวชมนางทันที
        “วันนี้น้องหญิงแต่งกายช่างงดงามเสียเหลือเกินจนพี่แทบจะจำน้องหญิงมิได้ ทำไมช่างสวยบาดใจเช่นนี้”
ชายหนุ่มชมเพื่อเปลี่ยนเรื่องเกี่ยวกับการอาบน้ำของเขา  ได้ผลแฮะเห็นหล่อนมีใบหน้าอายขวยเขินทันที
        “อ้อ..ท่านพี่น้องได้รับข่าวว่าท่านพ่อปู่เรียกท่านพี่และหญิงเข้าพบโดยด่วนมิทราบว่าเรื่องเป็นประการใด
สงสัยเกี่ยวกับท่านพี่หรือเกี่ยวกับนครหรือเปล่า  รีบเดินทางไปพบกันเถอะ” หล่อนพูดเสร็จรีบเข้ามาจูงมือเขา
ทันที  ชายหนุ่มแทบจะรวบตัวหล่อนมาสวมกอดเสียให้ได้เพราะกลิ่นหอมในกายหล่อนช่างยั่วเย้าใจเหลือเกิน
อยากจะพรมจูบลงบนใบหน้าอันงามงดปานประหนึ่งเทพธิดาเสียให้ได้ จนต้องรีบชั่งใจไว้อย่างลำบาก
         “แล้วท่านพ่อปู่อยู่ที่ใดรึ”  ชายหนุ่มถาม แต่จิตใจรู้สึกสังหรณ์อย่างไรชอบกล
          “ท่านพ่อปู่มารอท่านพี่ที่อุทยานริมน้ำพุร้อนค่ะ” หญิงสาวตอบ พลางชายตามองชายหนุ่มที่เปลี่ยนสภาพ
ใหม่ ร่างกายเขาซึ่งกำยำล่ำสันเนื่องจากทำงานหนักกลับเปล่งประกายของความเป็นลูกผู้ชายรัดรูปเข้ากับเครื่อง
แต่งกายอย่าพอเจาะพอเหมาะทำให้เกิดรังสีสง่างามอย่างประหลาดจนอดชมในใจนางจนรู้สึกปลื้มปติ
ในความทะมัดทะแมงของชายหนุ่มผู้ซึ่งจะมาเป็นสามีนางต่อไปมิได้
           “รีบไปเถอะน้องหญิงหากไม่มีเรื่องท่านพ่อปู่คงจะไม่มาหาอย่างเร่งด่วนเช่นนี้” ชายหนุ่มตอบเจตนาที่คิด
จะเย้าแหย่หล่อนหายไป
            ทั้งสองรีบเดินออกทางประตูข้างของปราสาทเพื่อเข้าไปในสวนอุทยานแลเห็นท่านพ่อปู่กำลังยืนมองดู
สายธารน้ำพูอย่างเคร่งเครียดสังเกตได้จากใบหน้าคิ้วขมวดจนเป็นเส้นๆ เมื่อเข้าไปถึงจึงน้อมกายลงพนมมือไหว้
ท่านพ่อปู่หันกลับมายิ้ม พลางเชิญให้ทั้งสองนั่งยังเฉลียงทอดยาวริมที่สร้างไว้แบบม้านั่งยาวหินอ่อน  เมื่อทั้งสาม
นั่งลงเรียบร้อยแล้ว ท่านพ่อปู่ก็เอ่ยปากกล่าวขึ้น
       “ปู่พึ่งได้รับรายงานมาเมื่อกี้นี้เองว่า  เมืองกาฬปักษ์คีรีนครจะส่งกำลังมาขอน้ำอมฤตศักดิ์สิทธิ์กับเราเป็น
ข้ออ้างความต้องการอันแท้จริงนั้นต้องการเจ้าหญิงดาริกามากกว่า  เพราะหากขอน้ำอมฤตศักดิ์สิทธิ์อย่างเดียว
ก็จะต้องทำสงครามกับสรวงสวรรค์เพียงแต่กล่าวอ้างเท่านั้น”  ท่านพ่อปู่เอ่ย
        “ที่ท่านท้าวนิลกาฬกล้ากำเริบเติบสานเช่นนี้เพราะเห็นประกายของไข่มุกกับแสงที่ครอบคลุมเมืองเรานั้น
อ่อนแสงลง ตามลำดับ จึงไปยุแหย่นครต่างๆโดยเอาน้ำอมฤตเป็นที่ตั้งจะแบ่งปันกันทั่วๆแต่ในเจตนาอันแท้จริง
กลับมุ่งหวังในตัวเจ้าหญิงดาริกามากกว่า เพราะหากเป็นเช่นนั้นนครต่างๆก็จะไม่เห็นด้วย เพราะนครเหล่านี้ต่าง
ก็กระหายในน้ำอมฤตเพียงคอยหาโอกาสและจังหวะเท่านั้น  อีกประการหนึ่งท่านทัศยุราชันย์สิ้นพระชนม์ไป
ความเกรงกริ่งก็ลดน้อยลงไปด้วย ข่าวแพร่สะพัดไปทั่วว่าเจ้าหญิงดาริกาทรงพระสิริโฉมโนมพรรณงามยิ่งนักแม้
แต่พระมเหสีของมหาเทพบนสรวงยังต้องก้ำกึ่งกัน ด้วยเหตุนี้จึงมีราคะจริตมากขาดความเกรงกลัวเหมือนแต่
ก่อนเก่ายิ่งด้วยมเหสีของท้าวนิลกาฬก็สิ้นพระชนม์ชีพไม่นานมานี้เอง”  ชายชราสาธยายให้ฟัง 
       “ทางเราได้รายงานเรื่องนี้ให้ท่านมหาเทพทราบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  เพียงแต่ทว่าท่านท้าวนิลกาฬยังไม่ทราบ
ว่าท่านทัศยุราชันย์ได้หวนกลับมาแล้วในคราบของมนุษย์” ชายชราเสริม
       “แล้วท้าวนิลกาฬเป็นใครอยู่ที่ใดหรือท่านพ่อปู่” ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัยพลางหันไปมองหญิงดาริกา
เห็นใบหน้าสวยสดงดงามมีแววประกายดุดันเคร่งเครียดจนเขาอดสะท้านใจมิได้มิคิดว่านางที่งดงามเช่นนี้ยาม
ไม่สบอารมณ์จะมีลักษณะน่าสะพรึงกลัวยากแก่การเย้าแหย่ได้
       “ท้าวนิลกาฬเป็นเทพอสูรอยู่ริมป่าหิมพานต์เชิงเขาไกรลาส  ได้ข่าวว่าได้รับพรจากท่านมหาเทพมาจึงทำให้
ไม่ยำเกรงกลัวผู้ใดเที่ยวย่ำยีเทพเทวามนุษย์สัตว์ไปทั่วขยายอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลจนท่านท้าววิรุฬหคมหาราช
ต้องออกไปปราบปรามนั่นแหละถึงได้หยุดรุกรานแต่ด้วยนิสัยกักขฬะสักพักก็เริ่มต้นขึ้นใหม่คราวนี้พุ่งมาทาง
เราเพื่อหากได้น้ำอมฤตไว้ก็จะทำให้เพิ่มฤทธิ์เดชมากยิ่งขึ้น” ชายชราอธิบาย
       “เอาล่ะท่านทัศยุแรกทีเราคิดว่าจะให้ท่านพักผ่อนสักพักหนึ่งก่อน แต่ตอนนี้เห็นทีจะต้องของด ตั้งแต่พรุ่งนี้
เป็นต้นไปให้หญิงดาริกาพาท่านมาหาเราที่ปราสาทด้านหลังเพื่อเริ่มต้นฝึกฌานสมาบัติเริ่มต้นปฏิบัติถือศีลพรต
และตรวจสอบวิชาอาคมศิลปะศาสตร์อาวุธต่างๆ เพราะท่านเองก็เคยมีฌานจนถึงขั้นอนาคามีฌานแล้วเพียงเริ่มดึง
ให้หวนกลับมา เริ่มต้นจากฌานเบื้องต้น กสิณทั้งหมดเข้าสู่ครรลองโลกียฌาน เราคิดว่าคงใช้เวลาไม่มากนัก  
พอถึงขั้นสมาบัติชั้นสูงก็เข้าสู่พิธีกรรมอาบน้ำธารศักดิ์สิทธิ์ในวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ  เพื่อปลุกมหาศาสตราอาวุธเสริม  
โดยหญิงดาริกาเป็นผู้ดูแลควบคุมอย่าให้ขาด  ทานอาหารที่เป็นผลไม้โดยนำผลไม้ทองที่เป็นตัวประสานธาตุ
เพิ่มเติมทุกๆวัน นำน้ำอมฤตธาตุที่เราจะนำมาให้เร่งธาตุต่างๆภายในกายท่านทัศยุ คงจะทันต่อเหตุการณ์นี้แน่”
    ชายชรากล่าวกับชายหนุ่มพลางหันไปสั่งกับหญิงดาริกา ซึ่งรับฟังน้อมรับคำสั่งด้วยใบหน้าค่อยยิ้มแย้มแจ่มใส
     “ เอาล่ะเรามีเรื่องคุยก็เพียงเท่านี้ เพราะต้องรีบขึ้นไปเฝ้าท่านมหาเทพก่อนด้วยตัวเอง” ชายชรากล่าวจบก็ลุก
ขึ้นเดินออกไปยังปราสาทส่วนตัว  ปล่อยให้หนุ่มสาวสนทนากันต่อไป......

				
1 พฤศจิกายน 2549 13:06 น.

** ทัศยุราชันย์ (กาลเบื้องหลัง) **

แก้วประเสริฐ



                                                    บทที่ ๕
                                                 กาลเบื้องหลัง

       “นี่เป็นที่ประทับของจอมราชันย์แห่งนาครินทนาครเวลาออกว่าราชการแผ่นดิน ด้านข้างเป็นที่ประทับ
ของพระมเหสีซ้ายและขวาซึ่งก็ต้องมาช่วยเหลือว่าราชการเหมือนกัน ส่วนเก้าอี้หินใหญ่ต่ำกว่าพระที่นั่งของ
พระมเหสีตรงกลางหน้าของแท่นที่ประทับกษัตริย์เป็นของท่านพ่อปู่ราชครูตัวกลางใหญ่ ส่วนอีกสองตัวเล็ก
ขนาบข้างห่างกันไม่มากนักเป็นของอัครเสนาบดีทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน ส่วนเก้าอี้หลังพระมเหสีจัดไว้เป็น
ที่ของพระโอรสและพระธิดาถัดหลังไปเป็นของพวกราชวงศ์  ด้านหน้าของท่านราชครูและเสนาบดีที่ปรึกษา
ส่วนที่เป็นเก้าอี้ถัดไปจะเป็นของแม่ทัพนายกอง ส่วนที่เป็นวงกลมจะเป็นของเหล่าขุนทหารเรียงลำดับหน้า
ไปถึงหลัง  จัดถูกแบ่งเป็นสองฝ่าย ขวามือเป็นของฝ่ายขุนนางทหาร ส่วนซ้ายมือเป็นของฝ่ายพลเรือน  ซึ่งหาก
 ท่านพี่สังเกตจะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่จะจัดตามตำแหน่งดวงดวงในจักรวาลเกือบทั้งสิ้น เพียงแต่จะมีบ้างดวงดาว
อาจจะสลับตำแหน่งเพื่อกำหนดฟ้าดินในรูปหักมุมเพื่อเน้นทางเดินของดวงดาว” หญิงสาวกล่าวแล้วเสริมว่า
       “องค์ทัศยุราชันย์นั้นเป็นบุคคลไม่ขวักไขว่ในกามารมณ์  คงเพียงหมกมุ่นฝึกปรือวิชาอาคมแก่ทางทหาร
และด้านศาสนานำมาประยุกต์กัน  ตลอดจนแนวทางเพื่อใช้ปกป้องพระนคร  ส่วนด้านอื่นๆไม่เคร่งครัดนัก
ส่วนมากสอบถามข้อราชการต่างๆก็เพียงท่านมหาราชครูฝ่ายด้านทหารและพลเรือนถึงแนวทางต่างๆ
 ทั้งส่วนการระเบียบกฎข้อบังคับจึงมอบหน้าที่การจัดการดูแลให้เป็นอำนาจหน้าที่ของพระมเหสีแต่เพียงผู้เดียว
ต่างคนต่างทำหน้าที่กันจึงทำให้พระนครนี้สงบสุขเพียงแต่ขาดพระราชบุตรพระราชธิดาเพื่อสืบทอดสันติวงศ์
สืบไปจนเกิดความวุ่นวายภายในขึ้น    สาเหตุนั้นเกิดจากหญิงต่างแดน เพราะพระราชไมตรีที่ต้องฝืนยอมรับไว้
ในทางมิตรสหายยามช่วยเหลือ  เพื่อให้เกิดสันติสุขแก่นครนี้ให้พ้นจากเหล่าอริราชศัตรูรักษาไว้ในสิ่งสำคัญ
ช่วยเป็นหูเป็นตาแทน ซึ่งมหามิตรทั้งปวงได้มอบพระธิดาจากดินแดนต่างๆมาเป็นข้าบาทบริจาในพระองค์ 
     ในการนี้ พระองค์มิต้องการแต่ประการใดได้นำมาร่วมปรึกษาหญิงและท่านพ่อปู่ราชครู  สรุปรวมความแล้ว
เห็นว่าเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งขุ่นเคืองต่อกัน จึงตกลงยอมรับไว้ในพระองค์  แต่หาได้ใส่ใจในหญิงเหล่านี้ไม่
เพียงแต่ให้ความเอ็นดูดุจหญิงทั่วๆไปตามขนบธรรมเนียมมิบกพร่องเท่านั้น  ความทราบไปถึงเจ้าแคว้นต่างๆแต่ก็
ไมสามารถทำอะไรถึงแม้ว่าจะไม่บรรลุตามจุดประสงค์นั้น  จนเกิดการใช้เล่ห์เพทุบายต่างๆนาๆในระหว่างเจ้า
หญิงต่างแดนต่อกันและกัน  จนบังเกิดความกลัดกลุ้มในพระราชหฤทัยเป็นล้นพ้นมิมีอันในทางด้านทหารซึ่ง
พระองค์โปรดปรานนัก  มักจะเสด็จยังห้องวิหารที่จัดไว้เป็นพิเศษหมกตัวเองอยู่หลายๆวัน ฝึกฌานสมาธิก็ยัง
ไม่พ้นการกลัดกลุ้มยามออกจากห้องวิหารนั้นๆ  ทำให้จิตใจยากสงบลงได้  พระองค์ได้มาปรึกษาปรับทุกข์หญิง
ว่าจะลาไปชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้  หญิงเองไม่คิดว่าพระองค์จะสละสังขารภายใต้ธาตุอันศักดิ์สิทธิ์
ิ์ที่ใช้ชำระกายในทุกวันเพ็ญกระจ่างรัตติกาลนั้น
เพียงแต่พระองค์ยืนยันว่าจะกลับมาสู่นาครินทนาครอีกครั้งขอไป
ชั่วคราวมอบการปกป้องแก่มหาศาสตราอาวุธอันศักดิ์สิทธิ์แก่ธาตุบริสุทธิ์  และฝากการดูแลปกครองนคร
แก่ท่านพ่อปู่ราชครูกับหญิงไว้     หญิงก็เชื่อเช่นนั้นนึกว่าจะเสด็จไปตามภพต่างๆเพื่อผ่อนคล้ายพระราชหฤทัย จนกระทั่ง
เสด็จสู่ธารศักดิ์สิทธิ์สละสังขารในที่นั้น ในระหว่างนั้นก็ยังหันมายิ้มและกล่าวอำลาเป็นนัยๆกำชับว่าอย่าลืม
คำสั่งถึงพ่อท่านปู่ราชครูด้วย   หญิงเสียใจเป็นอย่างมากเพียงแค่คิดว่าพระองค์จะเสด็จท่องเที่ยวไปในภพ
ต่างๆ     มิได้เฉลียวใจเลยว่าจะเสด็จสละสังขารในทางธาตุศักดิ์สิทธิ์  เพื่อตัดปัญหาทางการเมืองและเหล่าหญิง
         เมื่อเจ้าหญิงต่างๆทราบว่าองค์ราชันย์ได้สิ้นพระชนม์ไปก็หาทางแยกย้ายกันกลับสู่แคว้นของตน
แต่ด้วยเดชะบารมีของมหาศาสตราอาวุธทั้งห้านั้น เหล่าที่คิดจะรุกรานก็ยังมิกล้าเพราะด้วยเกรงคร้ามใน
อำนาจอิทธิฤทธิ์บารมีอยู่  เนื่องด้วยกิติศัพท์ที่เขาแลเห็นว่ามหาศาสตราอาวุธน
ี้จะออกปกป้องคุ้มครองนครมัก
จะล่องลอยให้เห็นอยู่เสมอมา   จึงค่อยเบาใจอีกทั้งท่านพ่อปู่ราชครูปลอบโยนหญิงและบอกว่าเป็นกรรมเก่าเข้า
ตัดรอนแล้วจะกลับคืนมาในอีกรูปแบบหนึ่ง  ทำให้หญิงค่อยบรรเทาคลายโศกลงด้วยเชื่อในคำทำนายพ่อปู่ราชครู  
จนถึงวันที่ท่านพี่จะมา   ท่านพ่อปู่ราชครูแจ้งให้หญิงไปคอยรับพี่ท่านที่จะเข้ามาในวงจรแห่งนาครินทนาครนี้
ตามวันเวลาอย่าได้พลาดเป็นอันขาดองค์ทัศยุราชันย์ในร่างใหม่จะเสด็จ  จงนำไปให้พ่อปู่ราชครูตรวจสอบเพื่อ
แน่นอนถูกต้องจนแน่แท้แก่ใจแก่ท่านพ่อปู่ราชครูเสียก่อน  หญิงดีใจเป็นล้นพ้นแทบจะไม่ได้พักผ่อนหลับนอน
เลยเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ  จนถึงวันเวลาตามกำหนดรีบไปรอคอยเพื่อรอรับอมตะวิญญาณองค์ทัศยุหรือตัวท่านพี่
ที่สลบไศลบนเนินฝั่งปากถ้ำของท่านโสตตะนาคีนาคราช อาศัยสถานที่เบิกทางนำท่านเข้าสู่นาครินทนาคร”
       “นั่นซิพอตื่นมาพบสิ่งแปลก?   อะไรเล่าทำให้ท่านพ่อปู่ของหญิงแน่ใจเช่นนั้น” ชายหนุ่มสงสัยถามต่อ
       “ก็เพราะว่าท่านพ่อปู่มีฌานสมาบัติฤทธิ์สามารถตรวจสอบลิขิตชาตาของฟ้าดินได้ เพียงแต่ท่านสบนัยน์ตาเท่านั้น
ก็จะทราบความเป็นไปตื้นลึกหนาบางของเหล่าวิญาณนั้นๆได้ซิ”  หญิงสาวตอบแล้วยังกล่าวต่อว่า
        “เคยได้ยินพ่อปู่กล่าวให้ฟังเสมอๆว่า ในภพนี้นั้นยกเว้นทัศยุราชันย์แล้วหาได้เกรงกลัวผู้ใดไม่”
        “โอ้โหๆแสดงว่าท่านพ่อปู่สามารถขึ้นสวรรค์ทุกชั้นและลงเที่ยวเมืองนรกได้ล่ะซิ” เขาถามเพราะยิ่งคุยยิ่ง
บังเกิดความสนุกสนานแปลกใหม่แทรกเข้ามา 
         “  อ้อ!!!ขอถามอีกหน่อยว่า หญิงและท่านพ่อปู่กับบริวารนั้นเป็น มนุษย์ เทวดาหรืออะไรกันแน่นะ
ถึงได้มีอิทธิฤทธิ์ดังที่เห็นแสดงไว้และสถานที่อยู่ก็แตกต่างอย่างมากมาย”  
          “แล้วพี่ท่านไม่ได้ฟังท่านพ่อปู่เล่าให้ฟังเลยหรือ
ถึงกำเนิดของนาครินทนาครและชาวนครเหล่านี้  หญิงไม่
สามารถอธิบายกระจ่างกว่านี้ได้” หล่อนตัดบทยิ้มแล้วรีบเดินหนีนำหน้าเดินเข้าไปข้างในหลังพระแท่นเศวตฉัตร
          ชายหนุ่มเดินตามเข้าไปพร้อมทหารองครักษ์ทั้งแปดนาย  แต่ยังมิวายอดถามเสียมิได้
          “ไปคราวนี้คงเป็นห้องส่วนตัวใช่หรือเปล่าละ  แล้วเราสองจะพักรวมกันหรือเปล่าหนอ”  ชายหนุ่มถามโดย
แสร้งกล่าวลอยๆพอให้หญิงสาวได้ยิน แล้วอดเอามือปิดปากกลั้นหัวร่อเสียมิได้
           เป็นผลหญิงสาวหันขวับมาทันทีแล้วแสร้งทำหน้าบึ้งกล่าวขึ้นว่า
         “จะเป็นไปได้อย่างไรล่ะท่านพี่ ต่างก็พักซิค่ะ  มาดแม้นว่าอดีตเราจะเป็นคนๆเดียวกันก็ตาม แต่ปัจจุบันนี้ยัง
ต้องอาศัยปัจจัยเหตุหลายๆอย่างนะ   จนกว่าท่านพี่จะเข้าอาบธาตุอันศักดิ์สิทธิ์เสียก่อนก็จะถึงเวลา  มิฉะนั้น ฮึๆๆๆ”  นางกล่าวแค่นั้นแล้วหันหน้ากลับ
         “ทำไมช่างยุ่งยากอะไรเช่นนั้นหรือ”  ชายหนุ่มแกล้งเย้า เพราะรู้ว่ายากจะเป็นไปได้ต้องคอยเวลา
         “หญิงกลัวจะเสียท่านพี่ไปอีกนะซิ”  หล่อนตอบแล้วใบหน้ากลับแดงซ่าน
         “โอ้วๆๆ..ทำไมเป็นไงหรือน้องหญิง”  คราวนี้ชายหนุ่มทำหน้าสงสัยบ้าง
         “ก็...ก็เพราะท่านพี่เป็นมนุษย์เต็มตัวนะซิ   หากใกล้กับหญิงมากธาตุทั้งสี่ภายในกายพี่จะหลีกลี้หนีแยกออก
จากกันด้วยไม่อาจทานฤทธิ์ธาตุศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในกายหญิงได้ค่ะ อย่าถามอีกเลยเดินต่อเถอะท่านพี่” หญิงสาวม้วน
อายใบหน้าแตกซ่านมากยิ่งขึ้น
           คราวนี้ชายหนุ่มพอจะทราบอะไรลางๆแล้ว  จึงซินะท่านพ่อปู่บอกว่าพวกเขาเป็นมนุษย์กึ่งเทพที่อยู่ใน
ภพพิเศษไม่เหมือนกับเทพในภพต่างๆ  จึงมีอิทธิฤทธิ์เหนือกว่าเทพบางองค์ถึงแม้ว่าจะทำอะไรเหมือนกับมนุษย์
ก็ตามแต่ก็ยังมีสิ่งเข้ากีดขวางกั้นของมนุษย์อย
ู่จนกว่าจะปรับเปลี่ยนสภาพเป็นดุจเดียวกับพวกชาวนครเท่านั้น
   เห็นจะต้องรอปรับสภาพตัวเราเองก่อนถึงจะมีวันนั้น  จะดูซิว่ามนุษย์เทพจะน่าภิรมย์เพียงใดหรือไม่   ชายหนุ่ม
ฝันหวานคิด  พาลนึกถึงกลิ่นที่ลอยจางๆออกมาจากกายหล่อน
ช่างหอมละมุนละไมเหลือที่จะกล่าวแล้วที่ท่อง
เที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆก็ไม่เกิดความร้อนอากาศก็เย็นสบายๆ
หากเป็นสาวมนุษย์ธรรมดาป่านฉะนี้กลิ่นกาย
คงส่งกลิ่นรุนแรงด้วยหยาดเหงื่อไคล  ทำให้อดนึกย้อนไปตอนเล่าเรียนก่อนจะเข้าป่า เคยวิ่งเล่นกับเพื่อนสาว
และเคยสวมกอดเจ้าหล่อนกลิ่นกายกับไม่หอมดังนี้เลย แล้วนึกย้อนตัวเองตั้งแต่ทานผลไม้กับน้ำอุทกศิลาไป
นี่ก็เกือบทั้งวันแล้วยังไม่มีกลิ่นเหงื่อไคลเลย
หากก่อนนั้นคงจะชุ่มโชกไปด้วยหยาดเหงื่อซ้ำตัวยังเบาหวิวๆชอบกล
พลันคิดถึงเหตุแปลกประหลาดที่พบเห็นสิ่งที่ผ่านมา อดถามเจ้าหล่อนเสียมิได้
                  “น้องหญิง  พี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมละ”   ชายหนุ่มสอบถามด้วยความสงสัย
           “อะไรหรือท่านพี่”   หล่อนหันกลับมาถาม
           “พี่เฝ้าสังเกตว่านับตั้งแต่ออกเดินทางมาจนถึงที่นี่
เห็นพวกทหารและนางรำไม่เหมือนจะเดินเลยคล้ายๆจะ
ล่องลอยไปในอากาศก็มิปานรวมทั้งน้องหญิงด้วย ทำให้บังเกิดความสงสัยอาการเดินเหินของชาวนครยิ่งนัก”
             “อ้อ..ๆ ไม่มีอะไรหรอกท่านพี่ เพียงแต่พวกเราได้ทานผลไม้และน้ำอมฤตอุทกศิลาปรับสภาพร่างกายและ
อีกอย่างหนึ่งก็ถือกำเนิดก็อยู่ในหมู่เดียวกัน เมื่อถือกำเนิดชาวนครต้องทานผลไม้และน้ำอมฤตอุทกนี้ทุกๆคน
ซึ่งเกิดขึ้นมาเองกับบุคคลนั้นๆตามแต่บารมีของคนที่ได้รับไม่เท่ากัน แตกต่างกันไปตามแต่บุญวาสนา ฉะนั้นทำ
ให้ร่างกายจึงเบาหวิวเสมือนล่องลอยไปอากาศดุจเทพยาดา หากจะนึกให้เร็วก็ได้ช้าก็ได้ค่ะ  อย่างท่านที่ซึ่งเป็น
มนุษย์เต็มตัวเมื่อได้ทานผลไม้และน้ำอมฤตอุทกศิลาแล้ว
จะถูกปรับแต่งสภาพร่างกายเพียงขั้นแรกแต่ว่ายังไม่
อาจจะเข้าสู่ภูมิเทพได้ ต้องอาศัยการชำระร่างกายด้วยธาตุศักดิ์สิทธิ์เสียก่อน
ถึงจะเข้าสู่ภพภูมินี้เต็มตัวกลายเป็น
กึ่งมนุษย์กึ่งเทพสามารถไปไหนมาไหนได้ตามใจนึกปรารถนา”  หล่อนตอบ
           “แล้วน้องหญิงบอกว่าผลไม้และน้ำอุทกศิลาจะบังเกิดขึ้นเฉพาะบุคคล แล้วที่พี่ได้รับทานนั้นล่ะได้มา
อย่างไร ยิ่งพูดยิ่ง งง  หรือว่าจะมีผลไม้และน้ำอุทกศิลาที่ปลูกในดินแดนนี้มีอีกหรือ”  ชายหนุ่มถาม
         “ไม่มีหรอกท่านพี่ ส่วนของท่านนั้นไม่เหมือนใครเพราะกำเนิดขึ้น
จากสถานที่เก็บธารธาตุอันศักดิ์สิทธิ์
ลอยขึ้นมาตามที่พ่อปู่เล่าให้ฟัง จึงทราบว่าท่านพี่กลับมาแล้ว หากมาดแม้มิใช่วิญญาณท่านทัศยุแล้วไซร้ เมื่อได้
รับผลไม้และอุทกศิลาเข้าไปในร่างกาย  ร่างนั้นจะถูกแยกแตกออกเป็นเสี่ยงๆทันทีดับไปพร้อมวิญญาณยากจะ
หาที่ผุดเกิดได้ใหม่จนกว่าจะได้รับการโปรดจากพระอรหันต์เท่านั้น  สถานธารธาตุนี้จะมีก็เพียงท่านพ่อปู่คน
เดียวที่เฝ้าดูแลรักษา   คนอื่นยากที่จะกร่ำกรายเข้าไปได้ เพราะมีสิ่งปกป้องคุ้มครองภัยนานานัปการ
หากท่านพี่ต้องการทราบรายละเอียดให้ไปสอบถาม
ท่านพ่อปู่ดูก็จะได้ความกระจ่างค่ะ” หญิงสาวตอบ
            “คงไม่ช้าไม่นานหรอกจะได้พบท่านพ่อปู่ เพราะจะนำพี่ท่านไปชมมหาศาสตราอาวุธและธารน้ำอมฤต
อันศักดิ์สิทธิ์  ถึงตอนนั้นท่านพี่ก็สอบถามท่านพ่อปู่ดูเอาเองก็แล้วกัน”  หญิงสาวเอ่ยตอบ
             “ซึ่งที่เก็บของดังกล่าวนี้ไม่มีผู้ใดเข้าไปได
้นอกเสียจากองค์ราชันย์ทัศยุกับท่านพ่อปู่เท่านั้นเพราะผู้เฝ้า
รักษาดูและสถานศักดิ์สิทธิ์ไม่ยินยอมให้ผู้ใดเข้าไป  แม้แต่หญิงเองก็ไม่ได้ยกเว้น เว้นแต่ผู้หนึ่งผู้ใดในสองที่
กล่าวนี้จะเป็นผู้นำทางผ่านเข้าสู่สถานจึงสามารถผ่านไปได้”
               “แม้แต่ท่านบัดนี้ก็เถอะก็ไม่สามารถผ่านไปได
้เพราะร่างกายท่านยังเป็นมนุษย์เต็มตัว
ฤทธิ์ของผลไม้และน้ำอุทกศิลาก็ไม่อาจทาน
ฤทธิ์ของมหาศาสตราอาวุธและธารอมฤตศักดิ์สิทธิ์ได้ จึงจำเป็น
ให้ท่านพ่อปู่เป็นผู้นำทางผ่านเท่านั้น  มิฉะนั้นผู้ที่รับเหมือนท่านพี่หรือมากกว่าคงผ่านได้นะซิ” หญิงสาวเฉลย
        “  ในเมื่อแทบทุกๆคนในมหานครนี้ดูไปคล้ายจะมีฤทธิ์มากหรือน้อยกันทั่ว  ถ้าหากศัตรูที่มีฤทธิ์มาก
สามารถเหาะเหินเดินอากาศและดำดินได้  หากจะเข้ามารุกรานนครนี้ก็จะทำได้ง่ายเพียงแค่เหาะผ่านกำแพงนคร
หรือดำดินมาโผล่กลางนครจะมิเกิดปัญหาในการป้องกันหรือหญิง” ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย
          “ในกรณีนี้ท่านพ่อปู่ก็ทราบแล้ว
เพียงแต่ว่าถ้าหากอำนาจของมหาศาสตราอาวุธและธารน้ำอมฤตศักดิ์สิทธิ์
ยังมิอ่อนอำนาจลง   ผู้รุกรานก็ยากจะทำอย่างที่ท่านพี่ว่าได้  ด้วยเหตุที่พื้นที่ใต้ที่จัดตั้งนี้จะแผ่พะลานุภาพกระจาย
คุ้มครองและแนวกำแพงแก้วนี้ก็จะเปล่งรัศมีพวยพุ่งขึ้นมา อีกอย่างหนึ่งท่านพี่ก่อนจะเข้ามานั้นจะเห็นดวงแก้ว
ขาวราวไข่มุกดวงใหญ่ที่ทอแสงนวลใย
ตั้งอยู่เหนือยอดมหาปราสาทราชวังจะทอแสงกระจายเสริมอำนาจของ
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าว  ซ้ำยังเตือนผู้คนที่อาศัยในพระนครนี้ให้ทราบถึงภยันตรายทราบได้  หากมีผู้รุกรานเกิดขึ้น
ประกายแสงของไข่มุกนั้นจะกระพริบแจ้งเหตุร้ายทันทีในรัศมีหนึ่งร้อยโยชน์  ฉะนั้นผู้ที่จะรุกรานหรือผู้ที่อยู่
ภายในพระนครนี้ก็ไม่สามารถจะเหาะเหิรและดำดินภายในอาณาเขตของพระนครนี้ได้ค่ะ”  หญิงสาวแจงให้ฟัง
        “ท่านพ่อปู่จึงกำชับขุนทหารตั้งเวรยาม
คอยตรวจสอบดวงแก้วนี้เป็นประจำและยังจัดทหารเข้ารักษาการณ์
ตามแนวกำแพงและสถานที่สำคัญอย่างเคร่งครัดอีกด้วย”  หล่อนเสริมต่อ
        “นั่นซิ...เสียเวลาน้องหญิงมากแล้ว เราเดินต่อไปเถอะจะได้ชมที่อยู่อาศัยเสียที” ชายหนุ่มหมดกังวล
      ทั้งสองและเหล่าขุนทหารองครักษ
์สืบเท้าไปยังข้างหน้าเป็นแนวยาวลาดด้วยหินหลากสีส่งประกายแตก
ต่างกัน  พอพ้นมหาปราสาทที่ใช้ว่าราชการแผ่นดินภาพปรากฏเบื้องหน้ากระจ่างตา ประกอบไปด้วย
ปราสาทสามหลังเรียงรายล้อมไปด้วยอุทยานพฤกษา  สระที่ปลูกดอกบัวบานสะพรั่ง สองข้างทางแนวเดิน
เป็นพุ่มไม้ดอกที่ได้รับการตบแต่งเสมอๆกันดุจกำแพงดอกพฤกษาไม้นานาพันธุ์ ยอดภูเขาเตี้ยๆส่งสายน้ำพุ
ที่พุ่งขึ้นไปในอากาศส่งควันอ้อยอิ่งล่องลอย ถัดลงมาเป็นธารน้ำตกที่เกิดจากสายธารน้ำพุไหลตกลงมาเป็นชั้นๆ
รินลงสู่แอ่งน้ำใสกลายเป็นกระแสน้ำอุ่นบริเวณไม่กว้างไม่เล็กนัก
สู่ร่องน้ำไปยังสระที่ปลูกดอกบัวหลากสี
ระหว่างกลางของปราสาทองค์กลางที่ใหญ่กว่าปราสาทหลังเล็กสองหลังทั้งสองด้านเหมือนกัน  กำแพงกั้นแบ่ง
ปราสาททั้งสามเป็นกำแพงพฤกษาส่งกลิ่นหอมเบ่งบานทั้งสามหลังสูงประมาณแค่แอวเห็นจะได้
       ทั้งหมดเดินตรงไปยังปราสาทหลังใหญ่ที่ประดับประดาไว้อย่างวิจิตรพิสดารแพรวพราวทั้งสิ้น ซึ่งงดงามกว่า
ปราสาทสองหลังอย่างเห็นได้ชัด  พลันหญิงดาริกาหันมาเอ่ยว่า
     “ปราสาทหลังใหญ่นั้นใช้เป็นที่ประทับขององค์ทัศยุราชันย์
์ส่วนด้านขวามือเป็นปราสาทของพระมเหสีฝ่าย
ขวา ด้านซ้ายเป็นของพระมเหสีฝ่ายซ้าย ส่วนด้านหลังปราสาททั้งสองเป็นของเหล่าสนมนางกำนัลของราชันย์
ท่านพี่ยังมองไม่เห็นปราสาทอีกหลังหนึ่งแต่ย่อมๆกว่าองค์ใหญ่ ใช้เป็นที่พักผ่อนของท่านมหาราชครูหรือท่าน
พ่อปู่นั่นเอง”  นางชี้แจงอธิบาย
         ทั้งสองเดินทอดเท้าย่างไปจนถึงหน้าปราสาทหลังใหญ่ นางเดินนำก้าวเข้าสู่ปราสาทที่ใช้สำหรับพักผ่อน
ขององค์ราชันย์  บรรดาเหล่าทหารองครักษ์เพียงหยุดอยู่ที่หน้าประตูทางเข้า
แบ่งกระจายออกยืนเฝ้าดูแลรักษา
พอชายหนุ่มก้าวตามหญิงดาริกาผ่านเข้าไปก็ให้รู้สึกเยือกเย็น
เปรียบประดุจอยู่ในภูเขาน้ำแข็งอากาศเย็นสบาย
พอมองไปรอบๆเห็นตรงกลางกั้นไว้ด้วยผ้าแพรบางเบา
แต่แปลกไม่สามารถมองเข้าไปเห็นภายในได้  ถูกกั้นด้วย
เป็นม่านสามชั้นคิดว่าเป็นที่ประทับบรรทมขององค์กษัตริย์  เพราะปรากฏมีเศวตฉัตรสามชั้นขึงอยู่ด้านบนแสดง
ภายในปรากฏมีแสงระยิบระยับล่องลอย
เป็นประกายสีทองเปรียบประดุจดั่งแสงหิงห้อยที่ล้อเริงลมกับอากาศที่
แผ่ปกคลุมด้วยความเย็นฉ่ำ  บ้างรวมกลุ่มแปรสภาพเป็นสัตว์มีปีกดุจผีเสื้อบินว่อนไปว่อนมาของนานาสัตว์
จำพวกแมลงอื่นๆนับตระการตายามมองสร้างอารมณ
์ให้รู้สึกคลายความเร้าร้อนอย่างประหลาด   
           มีหน้าต่างที่ใช้สำหรับมองไปยังอุทยานภายนอกปราสาท จัดวางด้วยโต๊ะหินแก้วประดับประดาไว้อย่าง
งามตาบนโต๊ะมีแจกันหินสีประดับด้วยดอกไม้ส่งกลิ่นหอมยิ่ง ข้างๆวางด้วยโถแก้วสีภายในบรรจุด้วยน้ำใส
สะอาดพร้อมเหยือกแก้วใบเล็กๆวางคู่กัน  อีกด้านหนึ่งเป็นตั่งที่ไม่กว้างใหญ่นักปูด้วยผ้าคลุมค่อนข้างหนาลายผ้า
นั่นแปลกตาไม่เหมือนกับที่เคยพบเห็นในเมื่อเขาไปช่วยทำบุญที่วัดในเมือง 
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแก้วประเสริฐ