9 ธันวาคม 2549 09:31 น.

** ทัศยุราชันย์(สั่งลาและอาลัย) **

แก้วประเสริฐ


                                       บทที่  ๓๑
                                   สั่งลาและอาลัย

พากันวิ่งหางจุกตูดหนีกันไปหยุดเห่าพากันเบิ่งตามองดูเท่านั้น
     องค์ทัศยุราชันย์ในร่างของทัดบ้านป่า นำขบวนเดินลัดเลาะผ่าน
บ้านหลังเล็กหลังใหญ่   จนมาถึงเนื้อที่ผืนหนึ่ง จึงหยุดชะงัก
คล้ายกำลังทรงรำลึกย้อนอดีต ก็เห็นชายชราคนหนึ่งกำลังเดินออกมาบริเวณ
บ้านที่ทรุดโทรมดูเก่าซอมซ่อคงเหลือแต่หลังคาที่มุงสังกะสีและฝาดีบ้าง
นอกนั้นทรุดโทรมเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวยกสูง แทบจะไม่สามารถกันฝนได้
 พระองค์จึงทรงเดินเข้าไปยกมือไหว้แล้วถามว่า
        “คุณลุงครับ ใครดูแลบ้านหลังนี้หรือครับแล้วเจ้าของล่ะคือใคร”
ครั้นพระองค์เพ่งเห็นชัดถนัดตาก็ให้นึกเกิดความสงสัยลังเลคลับคล้ายคลับคลา
ชายชราเดินหลังโก่งโค้งค่อยๆแหงนหน้ามองมาทางองค์ทัศยุราชันย์
ด้วยความสงสัยเพ่งแล้วเพ่งอีกเป็นเนิ่นนาน  ทันใดนั้นร่างชายชราบ้านป่า
พลันร่างนั้นก็ให้สะดุ้งสุดตัวเกิดอาการหวาดกลัวตกใจเป็นอันมากร่างนั้น   
พลันถอยหลังกรูดๆทันที  พร้อมอุทานร้องเสียงลั่นสั่นเครือ กระวนกระวาย 
โบกไม้โบกมือไหวๆด้วยอาการคล้ายตกใจลืมตัวอย่างยิ่ง 
ทำท่าหันหลังจะวิ่งหนีทันที      จนองค์ทัศยุราชันย์ในร่างของชายบ้านป่า
ต้องรีบเข้าไปจับตัวประคองไว้แล้วพาไปนั่งยังแคร่ที่มีวางไว้ ทรงตรัสว่า
         “นี่ลุงๆๆนี่ผม ทัด  บ้านป่าไงล่ะพอจะจำได้ไหมครับ”  
        “ โอยๆๆๆ!!!!!  ผีหลอกช่วยด้วยกูด้วยโว้ย”  แกสะบัดตัวเพื่อให้หลุด
 แต่ก็ไม่อาจจะหลุดรอดพ้นมือองค์ทัศยุราชันย์ไปได้
        “ไม่ใช่ผี นี่คนนะลุง ผีจับตัวลุงได้หรือ   นี่ไงยังมีเนื้อหนังอยู่เลย”
พระองค์ ทรงตรัสบอกพร้อมเขย่าตัวเรียกสติแกกลับคืนมา
      ชายชราคล้ายจะรู้สึกตัวเห็นจริงเพราะแกจับอยู่เพื่อดึงให้มือหลุด
ก็เป็นเนื้อหนังจริงๆ   จึงค่อยๆทรุดตัวลงนั่ง  องค์ทัศยุราชันย์ก็นั่งตาม
 ชายชราพอตั้งสติได้ก็ค่อยๆแหงนหน้าจ้องเพ่งมอหน้าอีกที 
 แล้วพลันขยี้หนังตาที่เหี่ยวย่นๆไปๆมาๆ  แล้วกล่าวขึ้นว่า
        “โอ้ใช่แล้วนี่มันลุงทัดนี่หว่า ใช่ลุงทัดหรือเปล่าล่ะ ช่วยตอบข้าที
มีเขาบอกว่าลุงทัดตายไปแล้วนี่นา  เมื่อคราวถูกน้ำป่าพายุพัดหายไป
ครั้งที่หมู่บ้านถูกน้ำท่วมจนเกือบตายกันหมดเหลือเพียงไม่กี่หลัง
 อ้ายอ้นและข้าก็พากันออกตามหาอยู่เลย แต่ไม่พบพบเพียงแต่เสื้อผ้าลอย
ติดมากับต้นไม้พัดมาเท่านั้นเองแหละ   เอ๊ะใบหน้ามันลุงทัดนี่นา”
  และแล้วก็ต้องเบิกตาโพลง  
“ เอ๊ะๆๆทำไมถึงไม่แก่ล่ะ เค้าใบหน้าช่างเหมือนเมื่อหกสิบปีกว่าๆ
ที่แล้วนี่นาไม่ผิดแผกแตกต่างกันเลย  ไอ้ข้าก็อายุเพียงสิบสองปีกว่าเท่านั้นเอง”
  “แปลกโว้ยแปลกจริงๆโว้ย  ทำไมถึงไม่ยักแก่กลับหนุ่มหล่อกว่าเก่าเสียอีก
 โอ๊ยๆๆกูจะบ้าตาย”   แกส่งเสียงรำพันลั่นพลางเขย่าไหล่ทั้งสองข้างไปมาด้วยมือ
อันสั่นเทาเพื่อให้พระองค์ทรงตอบคำถามของแก
  ทำให้องค์ทัศยุราชันย์พลันรำลึกจำความหลังได้พระองค์ จึงทรงตอบไปในทันที
     “อ้อๆข้านึกได้แล้ว  เอ็งมันไอ้จ้อยใช่ไหมล่ะ  พ่อมึงชื่อไอ้แท่น แม่มึงชื่อจำปาใช่ไหม” 
 พระองค์ทรงตรัสถามออกไป
      “ใช่แล้ว  ข้านี่แหละไอ้จ้อยที่คอยติดตามลุงเข้าป่าหาฟืนและเก็บผักมาช่วยกัน
ขายและคอยนวดให้ลุงนั่นแหละคือข้าเอง”  ชายชราตอบเสียงสั่นเครือด้วยอาการ
ดีใจ พร้อมยกมือขึ้นไหว้ด้วยมือที่สั่นไปมาทันทีแล้วก้มลงกราบ
        “แล้วลุงหายไปอยู่ไหนไม่ตายหรือไปได้ยาวิเศษอะไรหรือถึงกินไม่ยอมแก่สักที”
แกถามด้วยความดีใจ  เชื่อมั่นจริงจังว่าเป็นลุงที่มันรักเคารพเหมือนพ่อบังเกิดเกล้า
       “ลุงพาใครกันมาตั้งเยอะแยะเต็มไปหมด ผู้หญิงสวยๆกันทั้งนั้นไม่เหมือนกับคน
บ้านเราสักคน  สามคนข้างๆลุงเป็นป้าหรือเปล่าล่ะสงสัยจะใช่แน่ๆเลย”
แกพลันหันไปมองซ้ายมองขวาที และคนที่ยืนรออีกตั้งหลายๆคน
        “แล้วลุงจะมาอยู่เลยหรือพาพวกป้าๆและใครตั้งแยะจะมาอยู่ที่นี่หรือ” 
 แกถามพร้อมทั้งเขม้นมองไปยังองค์หญิงทั้งสามและทหารหญิงแปลง
        “เปล่าหรอกไอ้จ้อย ข้าคิดถึงก็จะมาเยี่ยมเยียนสักหน่อย แล้วข้าก็จะกลับไป”
พระองค์ทรงตรัสตอบ
        “อ้าวๆๆแล้วใครจะดูแลบ้านล่ะ ข้าดีใจนึกว่าลุงจะกลับมาดูแลมันเสียอีก
 ข้าต้องมาคอยเฝ้าซ่อมแซมบ้านและดูแลที่ดินของลุง   มันมีคนมาขอซื้อกับข้า
  ข้าไม่ยอมขายบอกว่าเป็นของลุงข้าไม่ขายให้ใครทั้งสิ้นถึงลุงไม่อยู่ข้าก็จะเก็บไว้
เพราะนับจากข้าเกิดมาพ่อก็หายไปไม่เห็นหน้า   ก็มีลุงนี่แหละเลี้ยงดูข้ามาตั้งแต่เล็ก
แต่น้อย ลูกเมียลุงหรือก็ไม่มีเพราะมัวแต่มาเลี้ยงตัวข้า” ชายชราพร่ำสาธยายมาไม่หยุดปาก
       แล้วพลางหันไปทางเจ้าหญิงทั้งสามและทหารหญิงแปลง พลางยกมือไหว้กล่าวว่า
      “หวัดดีป้า สบายดีหรือ”
      พระ องค์หญิงทั้งสามให้ทรงรู้สึกเวทนายิ่งนักยิ่งได้ฟังชายชราที่เล่าเบื้องหลัง
ยิ่งฟังนึกถึงความกตัญญูแก่พระองค์ชายก็ยิ่งทรงพระเมตตายิ่งขึ้น
 พระองค์ทรงตรัสว่า
        “ไม่หรอกจ๊ะพ่อจ้อย  เดี๋ยวก็คงจะกลับกันแล้วล่ะ พ่อทัดเขาอยากมา
เยี่ยมบ้านเดิมแนะ”
        “ไอ้ข้านึกว่าลุงและป้าจะมาอยู่เองหลงดีใจแทบตาย 
นี่ก็ว่าจะกลับบ้านสักหน่อยมานั่งเฝ้านอนเฝ้าหลายวันแล้วล่ะ 
 ป่านนี้ไอ้เจนและอีสร้อยคงจะเอาข้าวมาให้ข้าแล้วล่ะ
ลุงกับป้ามากินข้าวกับข้าหน่อยนะนานแสนนานเจอกันที”  ชายชรารำพึงเบาๆ
           “ใครล่ะไอ้เจนกับอีสร้อยของเอ็งนะ”  พระองค์ทรงตรัสถาม
          “อ้อๆ...ไอ้เจนคือลูกของข้านะลุง ส่วนอีกสร้อยมันลูกสะใภ้
 มีหลานอีกสามคน  หญิงหนึ่งชายสองคน  แต่ว่ามันโตๆเกือบเป็นหนุ่มสาว
แล้วล่ะมันไปทำนาทางโน้นแนะและนาของลุงด้วยทางผ่านไปขึ้นเขาไงล่ะลุง” 
 แกกล่าวพร้อมชี้ไม้ชี้มือประกอบ
          “ทางที่ลุงกับป้าเดินลงมานั่นแหละข้าวกำลังตั้งท้องอยู่อีกข้าคิดว่าคงอีก
ไม่กี่เดือนก็เก็บเกี่ยวได้แล้ว”
      องค์ทัศยุราชันย์และเจ้าหญิงทั้งสามก็เข้าพระทัยทันที เพราะพระองค์
ยังทรงลงไปวิ่งเล่นมาในผืนนาเหล่านี้นี่เอง  
          “นั้นขึ้นไปบนบ้านก่อนเถอะลุงและป้าด้วยนะ” 
 พลางลุกขึ้นกระย่องกระแย่งจูงมือเพื่อให้เดินตามแกไป  
          แต่องค์ทัศยุราชันย์ทรงตรัสขึ้นว่า
           “ไม่หรอกจ้อย เดี๋ยวข้าก็จะไปแล้วล่ะเพียงแวะมาเที่ยวเท่านั้น
  เออๆๆบ้านและที่ดินนี้ข้าจะยกให้เอ็งและลูกหลานนะไม่ต้องขายมันหรอก
ไว้บางทีข้าว่างๆก็อยากมาเดินดูเล่นบ้างหากเป็นของคนอื่นแล้วข้าก็ไม่อยากจะมา” 
           “ข้อนั้นลุงไม่ต้องเป็นห่วงหรอก  ตราบใดชีวิตข้ายังอยู่
จะไม่ยอมเด็ดขาด อีกอย่างหนึ่ง  ข้าสั่งไอ้เจนไว้แล้วด้วยว่า หากข้าตายลง
ไม่ต้องเผาศพให้เอาศพมาฝังยังบ้านนี้ทำเป็นหลุมขนาดใหญ่เพราะข้าก็รัก
ที่ผืนนี้บ้านนี้มากตั้งแต่เล็กมาจนแก่ปูนนี้ก็ได้ที่ผืนนี้นี่แหละคุ้มกะลาหัว
เลี้ยงดูมามาจนพอจะมีกินขึ้น หากไม่ทำตามข้าก็ขอสาปแช่งมัน 
 มันกลัวรับปากทั้งผัวเมียแก่ข้าแล้ว ถึงตายก็รู้สึกสบายใจลุง”
ชายชรากล่าวแก่องค์ทัศยุราชันย์
         “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีบางทีหากเอ็งยังไม่ตายหรือตายข้าคิดถึงก็จะมาเยี่ยม
ลูกหลานได้บ้าง จะไม่ต้องเดือดร้อนคนอื่นต่อไป”
  พระองค์ท่านทรงตรัส
        “อ้าวๆมาแล้วไอ้เจนอีสร้อย  มึงทั้งสองมานี่เร็วๆเข้า”  
ชราชราหันไปทางลูกชายลูกสะใภ้
ที่กำลังก้าวเข้ามาพร้อมปิ่นโตใหญ่แถวหนึ่งกับน้ำขวดเดินเข้ามาพอดี 
 พลางหันมาทางคนแปลกหน้าอย่างสงสัยที่เห็นคุยกับพ่ออยู่ ไม่กล้าพูดสอบถาม 
เพียงแค่ชะงักหลีกเลี่ยงไปๆมาๆเท่านั้น   จนกระทั่งชายชราเห็นจึงรีบกวักมือเรียกไหวๆ
ด้วยน้ำเสียงลั่นสั่นเครือรีบเร่งให้มาเร็วๆ เพื่อจะได้แนะนำคนที่แกเคารพรักนับถือ
        “นี่ลุง ทัด บ้านป่าลุงแท้ๆของกูที่เลี้ยงกูมาตั้งแต่เล็กๆแต่น้อย
เป็นปู่ของมึงนะไอ้เจนอีสร้อยมึง   รีบมากราบท่านเสียโดยเร็วๆเข้าอย่าชักช้า เดี๋ยวนี้ 
เดี๋ยวเขาก็จะกลับกันแล้วล่ะข้าให้ค้างแกไม่ยอมค้างด้วย”  ชายชราเรียกเสียงสั่นเครือ
  ไอ้เจนกับอีสร้อยรีบเข้ามากราบปู่ทัดทันที  พร้อมหันไปยกมือไหว้
ป้าพระองค์หญิงทั้งสามที่ยังยืนอยู่ข้างๆ มันก็สุดแสนจะแปลกใจยิ่งนัก
 หากพ่อมันไม่บอกมันมิยินยอมเชื่อโดยเด็ดขาด ว่าเป็นปู่ที่เคยน้ำพัดหายไปตั้งนาน
ดีนะที่ยังมีรูปภาพของปู่ทัดติดแขวนไว้ในห้องพ่อตลอดเวลาและแกมักจะยกมือไหว้เสมอ
ถึงจะเชื่อเพราะเค้าหน้าใบหน้าเหมือนกัน   เพียงแต่พ่อเชื่อมั่นว่าเป็นปู่คือผู้ที่ยืนอยู่นี้
กลับเป็นชายหนุ่มรูปหล่อและรู้สึกว่าจะหล่อกว่ารูปที่ถ่ายไว้เสียอีก  
           องค์ท่านท้าวทัศยุราชันย์พลันหันมาทางหนุ่มชนบทลูกของไอ้จ้อยของพระองค์
ซึ่งพระองค์ทรงสังเกตเห็นชัดเจนขึ้นว่ามีใบหน้าละม้ายคล้ายกับพระองค์มาก 
ร่างกายก็กำยำล่ำสันผึ่งผายกิริยาท่าทางอ่อนน้อมละมุนละม่อมลักษณะงาม
ก็ทรงพึงพอพระราชหฤทัยนักทรงตรัสขึ้นว่า”
       “นี่แนะไอ้เจน  ข้าจะขอมอบสมบัติเหล่านี้ให้แก่เอ็งและไอ้จ้อยไว้
จะทำหนังสือสัญญาไว้ให้ถูกต้องเผื่อต่อไปจะมีปัญหาเกิดขึ้นแก่เอ็งไว้
แสดงเป็นหลักฐานไว้แก่กำนัน   ส่วนไอ้จ้อย ข้าขอฝากพ่อเอ็งไว้ด้วยให้ทำตามสัญญา
ที่รับเอ็งเคยสัญญารับปากพ่อเอ็งอย่าให้ผิดขึ้นนะ  ข้ารู้นะหากเอ็งผิดสัญญาเมื่อไหร่
ข้าจะมากล่าวปรับโทษเอ็งทันที  เอ็งอย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะ”  แล้วทรงพระสรวลเบาๆ
   พระองค์ทรงตรัสแล้วหันไปสั่งทหารหญิงให้หยิบสิ่งของเป็นหนังอ่อนๆมา
พร้อมเครื่องเขียน   เพื่อจะได้ร่างหนังสือสำคัญไว้แล้วส่งมอบให้พร้อมด้วยของที่
พระองค์ทรงหยิบเอาห่อผ้าจากเจ้าหญิงดาริกาซึ่งยื่นพระหัตถ์ส่งมาด้วยทราบ
ในน้ำพระทัยของพระองค์อยู่แล้ว  พระองค์ทรงส่งมอบให้แก่เจนหนุ่มชนบททันที 
 พลางทรงกำชับไว้ว่าห้ามเปิดเป็นเด็ดขาด 
       “นี่เสร็จแล้วเอ็งเก็บเอาไว้  และนี่ห่อของเล็กๆน้อยๆจากข้าจะได้
เป็นทุนหาเลี้ยงดูต่อไปให้ดีกว่านี้  แต่อย่าลืมจำคำของข้าไว้นะไอ้เจน

				
8 ธันวาคม 2549 20:45 น.

** ทัศยุราชันย์(เสด็จเยี่ยมบ้านชนบท) **

แก้วประเสริฐ


                                     บทที่  ๓๐
                             เสด็จเยี่ยมบ้านชนบท

    โปรดเกล้าทรงพระอนุญาตแก่เราในการกระทำครั้งนี้  จึงมิได้ทำโดยพละการเอง
ด้วยพระองค์ทรงตรวจสอบดูแล้วเห็นว่าเหมาะสมอย่างยิ่งที่สมควรจะได้รับเพื่อ
ใช้ในการทะนุบำรุงเหล่าอาณาประชาราษฎร์ให้ร่มเย็นเป็นสุขช่วยเหลือเหล่า
เทพยาดาและมนุษย์สัตว์ทั้งปวงได้ควรแก่ได้รับของศักดิ์สิทธิ์นี้ไว้ในครองครอง”
    เมื่อองค์ทัศยุราชันย์ทรงตรัสจบลง บรรดาเหล่ากษัตริย์พระยุพราชทั้งหลายต่าง
ย่อพระชานุเสมอพื้น   แล้วก็ยกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้เหนือเกล้าของแต่ละพระองค์
ส่วนบุคคลที่ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิต่างก็ยกพระหัตถ์ทั้งสอง อัญชุลีเหนือพระเศียรไว้
 พร้อมทั้งกล่าวให้สัตย์ปฏิญาณตนเปล่งพระสุระเสียงโดยพร้อมเพรียงกัน
       “ข้าพเจ้าขอถวายสัจจะแด่องค์พระจอมเทพไท้แห่งสรวงสวรรค์ว่าต่อไปนี้
จะปกป้องคุ้มครองดูแลพระนครนาครินทนาครอันเป็นสถานที่รักษาไว้ซึ่ง
น้ำอำมฤตและของวิเศษทั้งหลายตลอดจนเหล่าอาณาประชาราษฎร์สรรพสัตว์
ให้อยู่เย็นเป็นสุขตลอดไปชั่วอายุของข้าพเจ้าและบรรดาผู้สืบสันติวงศ์ข้าพเจ้าต่อไป
ขอพระองค์จอมเทพบนสรวงสวรรค์ได้โปรดรับรู้ถึงการกระทำของข้าทั้งหลาย
ด้วยเทอญ”   บรรดากษัตริย์และพระยุพราชทั้งหลายต่างก็น้อมพระวรกายทันที
       บัดดลเสมือนดั่งหนึ่งเทพบนสรวงสวรรค์จะรับทราบถึงการปฏิญาณของ
เหล่ากษัตริย์และองค์พระยุพราชนี้แล้ว พลันก็บังเกิดเสียงมโหรีแว่วลอยเข้ามา
จนได้ยินกันชัดทั่วภายในท้องพระโรง แล้วมีดอกไม้ทิพย์ต่างๆโปรยลงมาสู่ยัง
บรรดากษัตริย์พระยุพราชและคนทั้งปวง  ต่างก็พากันบังเกิดความปลาบปลื้มปิติ
อย่างยิ่งแก่เหล่าบรรดากษัตริย์และเหล่าผู้ที่อยู่ในท้องพระโรงให้รู้สึกถึงความ
ซาบซึ้งยินดีในเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดความเชื่อมั่นยึดมั่นในสัจจะทุกๆพระองค์
        บรรดากษัตริย์และพระยุพราชทั้งหลายต่างพากันเข้ามาโอบล้อมองค์
ท่านทัศยุราชันย์ทรงสวมกอดแสดงความยินดีขอร่วมทุกข์ร่วมสุขกันทั่วทุก
พระองค์   ครั้นได้เวลากาลอันสมควรยิ่ง องค์ท่านท้าวทัศยุราชันย์ก็ทรงตรัส
เรียกองค์พระยุพราชทั้งสามอันได้แก่พระยุพราชสิงหะฤทธา พระยุพราช
โกเมศกุมารและพระยุพราชวานนรินทร์เข้ามาทรงกระซิบรับสั่งความนัยกัน
ครั้นองค์พระยุพราชทรงได้รับพระดำรัสจากองค์ท้าวทัศยุราชันย์ต่างก็ทรง
พอพระราชหฤทัยยิ่งเบิกบานแย้มยิ้มแจ่มใสนัก   รีบพากันไปเฝ้าพระราชบิดา
ทูลให้ทราบถึงความประสงค์ขององค์ทัศยุราชันย์ทันที    ท่านท้าวเธอต่างก็ทรง
พระสรวลดังลั่นต่างก็นำพระราชบุตรของตนเข้าพบกษัตริย์ที่พระยุพราชใน
พระองค์พึงปรารถนา   องค์ท่านท้าวทัศยุราชันย์เห็นดั่งฉะนี้ก็ทรงหันพระพักตร์
มาแย้มยิ้มกับพระอัครมเหสีและพระอัครชายา  พร้อมอัญเชิญเหล่ากษัตริย์ที่
ทรงเกี่ยวข้องมายังพระเก้าอี้ที่พระมเหสีทรงตรัสใช้ให้พนักงานนำมาในการนี้
เป็นพิเศษ   พอองค์กษัตริย์ท่านท้าวสิงหะราช ท่านท้าวนาคุระนาคราชและ
ท่านท้าวนิระหะที่องค์ท้าวทัศยุราชันย์เชิญเสด็จประทับยังพระเก้าอี้แล้ว
ก็ทรงเข้าไปจูงพระหัตถ์ขององค์ยุพราชทั้งสามให้เสด็จเข้ามายังเหล่ากษัตริย์
พระยุพราชสิงหะฤทธาทรงเข้าไปกราบพระบาทของท่านท้าวนิระหะ 
 พระยุพราชวานนรินทร์ทรงเข้าไปกราบพระบาทท่านท้าวนาคุระนาคราช
นำโดยท่านท้าววิหะคะยุราช  องค์พระยุพราชโกเมศกุมารทรงเข้าไป
กราบพระบาทท่านท้าวสิงหะราช ท่านท้าวดังกล่าวต่างก็ทรงพระสรวลลั่น
พลางหันมาทรงทูลขอพระราชธิดาให้แก่พระยุพราชทั้งสามของพระองค์
ซึ่งต่างก็ได้รับความปรารถนากันทุกๆพระองค์  ซึ่งท่านท้าววิหะคะยุราช
ในฐานะที่ทรงพระอาวุโสสูงสุดก็ทรงตรัสขึ้นว่า
         “วันนี้ข้าพเจ้ารู้สึกปลาบปลื้มยินดีเป็นยิ่งนักที่ได้มาร่วมเฉลิมฉลอง
ในพระนครนาครินทนาครซึ่งยากยิ่งเหลือเกินที่บุคคลอื่นยกเว้นชาวนคร
เท่านั้นที่จะสามารถผ่านเข้าออกได้หรือได้รับทานผลไม้วิเศษกับน้ำอำมฤตนี้
เท่านั้น มิฉะนั้นก็ไม่สามารถจะเหยียบย่างเข้าเขตกำแพงเมืองนี้ได้  
        แม้แต่บรรดากษัตริย์ทั้งหลายแม้จะยกพหลพลพยุหะเสนามากันมากมาย
ก็ยังมิอาจจะเหยียบย่างลงพื้นแผ่นดินภายในกำแพงเมืองได้  
ถือได้ว่าบรรดาพวกเรานั้นนับได้ว่าต่างช่างมีบุญเหลือประมาณ
ถึงได้ผ่านเข้ามาจนถึงพระในพระราชวังนี้ได้  เป็นประการที่หนึ่ง 
 ประการที่สองนั้นพวกเราต่างก็พากันได้พระราชธิดาและพระราชบุตรเขยกัน
ไปเกือบทุกๆพระองค์อันนับได้ว่าเป็นมหามงคลฤกษ์งามดีเช่นนี้
ประการที่สามเราต่างก็ถือได้ว่าเป็นเครือญาติกันแล้วทางสายเลือดซึ่งต้อง
คอยดูแลซึ่งกันและกันดุจประหนึ่งเผ่าพงศ์อันเดียวกัน
และประการสุดท้ายที่สี่นี้คือองค์ทัศยุมหาราชทรงถ่อมพระองค์รับพวกเรา
เป็นเครือญาติผู้ใหญ่ไว้ในพระองค์   ทรงให้เกียรติยศอันสูงส่งนี้ไว้
ข้าพเจ้าเจ้านครปักษินนครจะขอให้สัจจะปฏิญาณชั่วชีวิตของข้าพเจ้านี่ว่า
หากมาดแม้นเกิดศึกรุกรานเหล่านครอันเป็นเครือพระญาติของข้าพเจ้า
แล้วไซร้จะนำไพร่พลชาวเมืองปักษินนครเข้าร่วมต่อสู้จนกว่าจะชีวิตจะ
ตักษัยไปข้าพเจ้าขอให้สัญญา  และขอให้เครือญาติของข้าพเจ้าทุกๆพระองค์
โปรดยืนขึ้นถวายพระพรแด่องค์ทัศยุราชันย์มหาราชด้วยเถิด”
         พอสิ้นกระแสเสียงพระราชดำรัสของเจ้าเหนือหัวแห่งปักษินนคร บรรดา
กษัตริย์พระยุพราชและทหารหาญของทุกๆนครต่างก็เปล่งเสียงให้สัตย์ปฏิญาณ
ตนโดยพร้อมเพรียงกันแล้วทรงส่งเสียงถวายพระพรเสียงดังอึงมี่ไปทั่วท้องพระโรง
เป็นที่ปลาบปลื้มยินดีไปทุกถ้วนหน้า  องค์ทัศยุราชันย์ทรงเข้าไปกราบ
ท่านพ่อปู่ราชครู  ทำเอาบรรดากษัตริย์พระยุพราชทั้งหลายต่างก็พากันน้อมพระ
วรกายเข้าไปถวายความเคารพแด่มหาราชครูทั้งสิ้นมิขาดแต่เพียงผู้เดียว
        ท่านพ่อปู่มหาราชครูถึงกับหลั่งน้ำตาอาบแก้มด้วยความปลื้มปิติยินดีเป็นล้นพ้น
แล้วทุกๆพระองค์ก็ทรงพระวิสาสะกันและกัน ประหนึ่งเครือพระญาติต่างพระองค์
กับมิได้สนใจเหล่านางรำที่มาร่ายฟ้อนรำงามจับตายิ่งนักปานหนึ่งเทพบนสรวงสวรรค์
เท่าใดนัก   เพราะพระองค์เหล่านี้ทรงมีขันติธรรมยิ่งทรงเกือบจะทรงพ้นแล้วในทางนี้
จนผ่านไปหลายทิวาราตรีกาลจึงได้ค่อยทยอยกันเสด็จกับเมืองของพระองค์ และทรงนัด
บรรดาเหล่ากษัตริย์ทั้งหลายให้ไปในงานพระสยุมพรขององค์พระยุพราชและพระ
ราชธิดาทั้งสามพระองค์ ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองสิงหะนครขึ้นพร้อมเพรียงกันในไม่อีกกี่เพลานี้
        เมื่อเสร็จสรรพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  องค์ทัศยุราชันย์พร้อมอัครมเหสีซ้ายขวาและ
พระอัครชายาก็ฝากกิจการบ้านเมืองให้พ่อท่านปู่มหาราชครูดูแล เพื่อพระองค์ทั้งสี่จะ
เสด็จไปยังเมืองรัตนานคร ทรงจัดงานพระอภิเษกองค์ท่านท้าวทิพยะราชขึ้นครองนคร
เมื่อถึงเมืองนครรัตนาแล้วพระองค์ก็ทรงเข้าพักในพระราชตำหนักเจ้าหญิงมณีกานต์
ทรงพระเกษมสำราญทุกๆพระองค์ ครั้นทรงจัดการบ้านเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
พระองค์ทั้งสี่ก็จะเสด็จกลับมายังมหานครนาครินทนาคร พอเดินทางผ่านในที่ต่างๆก็
เข้าสู่กึ่งกลางระหว่างเชิงเขาไกรลาสและแคว้นดินแดนสุวรรณภูมิ องค์พระทัศยุราชันย์
ก็ทรงพระรำลึกถึงเหตุการณ์เก่าๆเมื่อยังครั้งมีพระชนม์ชีพเป็น “ทัด บ้านป่า”  ก็ให้ทรง
คิดถึงบังเกิดความอยากที่จะเข้าไปยังดินแดนมนุษย์ที่แคว้นสุวรรณภูมิทันที  จึงทรง
พระดำรัสแก่เจ้าหญิงทั้งสามพระองค์ว่า
        “น้องหญิงอันเป็นที่รักยิ่งของพี่ พอถึงดินแดนนี้ทำให้ตัวพี่รู้สึกสะท้อนใจ
ยิ่งนักใคร่อยากจะกลับไปดูเบื้องหลังแห่งอดีตที่ครั้งยังมีพระชนม์ชีพในร่างมนุษย์อยู่
จึงอยากจะชวนพระน้องทั้งสามย้อนกลับไปดูสักเพลาหนึ่งจึงถึงใคร่กลับพระนคร
น้องอันเป็นที่รักของพี่จะเห็นชอบประการใดหรือไม่”
        เจ้าหญิงทั้งสามพระองค์ต่างแลเห็นพระพักตร์ประหนึ่งดั่งเศร้าของพระราชสวามี
ก็ให้ทรงพระรู้สึกถึงความในใจจึงพากันพร้อมใจกันตรัสว่า
        “หากมาดแม้นเสด็จพี่ทรงดำริเช่นนี้แล้ว น้องหรือจะกล้าขัดพระราชหฤทัยเสด็จพี่ได้
จะลองเข้าไปในถิ่นมนุษย์เพื่อทัศนาแลหาประสบการณ์ก็ดีเหมือนกัน เพค่ะ”
         “หากแม้นน้องหญิงทั้งสามเห็นพ้องต้องดังฉะนี้แล้ว  พี่เองก็ให้รู้สึกปลื้มปิติเป็นล้นพ้น
อีกประการสิ่งหนึ่งซึ่งซ่อนเร้นภายในใจพี่มาช้านานแล้วก็จะได้หลุดพ้นออกจากใจพี่เสียที
มิได้ซ่อนเร้นอีกต่อไป หากมาดแม้นจะเข้าไปในดินแดนนี้พี่เองก็อยากจะให้น้องพี่ตลอดจน
เหล่าทหารหญิงทั้งหลายเนรมิตกายลงไปในรูปกายของมนุษย์ทั้งผิวกายและกลิ่นเพื่อจะได้
มิเป็นที่สงสัยแก่มนุษย์ทั้งหลาย จะได้ท่องเที่ยวไปโดยที่มิเป็นที่สังเกตแต่ประการใด”
         เพค่ะ แล้วจะเนรมิตแบบใดล่ะเพค่ะ”  เจ้าหญิงทั้งสามทูลถามด้วยความสงสัย เพราะด้วย
ยังมิเคยเลยที่จะเห็นมนุษย์อันแท้จริงมีลักษณะประการใด
      “ อันข้อนี้มิมีปัญหาแต่ใดไม่   เดี๋ยวพี่จะแสดงให้น้องดู” 
 ว่าแล้วองค์ทัศยุราชันย์ก็ทรงสำรวมพระวรกายและจิตลงพลางกำหนดเกิดเป็น
พระฉายบานใหญ่มองเห็นความเป็นไปต่างๆของ
ชาวชนบททั้งหญิงและชายกำลังต่างทำงานในท้องทุ่งบ้าง
 เดินซื้อขายของในท้องตลาดบ้าง
บางคนกำลังเดินทางด้วยรถพาหนะบ้าง เป็นที่แตกตื่นตาตื่นใจ
ให้แก่เจ้าหญิงทั้งสามและตลอดจนบรรดาทหารหญิงที่พระองค์ทรงเรียกมาดู
ด้วยเพื่อการนี้โดยเฉพาะ  แล้วพระองค์ทรงจารนัยถึงลักษณะการแต่งกาย
ของชายและหญิงตลอดจนบรรดาผู้ติดตามทั้งปวง
      ครั้นเมื่อเสด็จเหาะมาถึงใกล้บริเวณเชิงเขาอันเป็นที่กึ่งกลาง
ของมิติคั่นรอยต่อแบ่งแยกมนุษย์และเทพยาดาแล้ว 
พระองค์ก็ทรงให้พระมเหสีและพระชายาตลอดจนทหารหญิงทั้งปวง
เนรมิตร่างกายเป็นมนุษย์ชายหญิง ออกเดินทางลัดเลาะผ่านป่าเขาลำเนาไพร
 พระองค์ทรงนึกย้อนอดีตถึงเหตุการณ์ต่างๆ เข้าสู่บริเวณที่เคย
ใช้เป็นที่ทำมาหากินเลี้ยงชีพแต่เก่าก่อน
แล้วนำพาทั้งหมดเดินลัดเลาะไปตามแนวคันนาที่ชาวบ้านกำลังปลูกข้าว
กำลังบานสะพรั่งขึ้นเขียวขจีดุจคล้ายพรมไหมสีเขียวเต็มไปทั่ว
บ้างก็กำลังตกท้องรวงอ่อนๆ ลมพัดพลิ้วไสวกลิ่นหอมอ่อนๆปลิวล่องลอยมา 
พระองค์หญิงทั้งสามและเหล่าทหารมิเคยพบเห็นแต่ประการใดต่างก็พากันเริงร่า
พากันวิ่งลงไปยังท้องทุ่งนาที่ต้นข้าวยังเขียวขจีสนุกสนานกันอย่างสนุกสนาน
  จนพระองค์ต้องรีบตรัสห้ามและบอกถึงโทษทำให้ต้นข้าวและเหล่าสัตว์
ที่แฝงอาศัยในน้ำเช่นปลิงเข็ม เป็นต้น  ให้ฟังและอาจจะทำความเสียหาย
แก่ผู้ปลูกข้าวไว้   เมื่อทั้งหมดเดินผ่านตามคันนามาได้ก็เป็นทางเข้าสู่ภายในหมู่บ้าน
 บรรดาสุนัขต่างๆก็พากันเข้ามาเห่ากรรโชกเป็นแถวแต่พอเข้ามาในระยะก็ตกใจ
				
8 ธันวาคม 2549 08:28 น.

** ทัศยุราชันย์(เฉลิมฉลองนครนาครินทนาคร) **

แก้วประเสริฐ


                                                      บทที่  ๒๙
                                        เฉลิมฉลองนครนาครินทนาคร

    “พี่ให้สัจจะวาจาสัญญาจ๊ะน้องทั้งสอง  พี่จะมิทำให้เป็นที่ระคายเคือง
แก่น้องหญิงทั้งสองของพี่เป็นอันขาด”  องค์ท่านท้าวทรงพระดำรัสทันที
     “หากได้รับสัจจะวาจาเช่นนี้ กระหม่อมก็พร้อมจะสละราชสมบัติเมือง
รัตนานคร จะมอบหมายให้องค์เธอพระปิตุลาทิพยะราชของเสด็จพ่อทศราช
ขึ้นปกครองนครรัตนาต่อไป  เพียงแต่ต้องกลับไปยังเมืองรัตนาก่อนเพื่อ
จัดการสะสางแต่งตั้งองค์พระปิตุลาเสียก่อน แล้วถึงจะกลับมา เพค่ะ”
องค์หญิงมณีกานต์ทรงตรัสกับพระราชสวามี” องค์หญิงทรงตรัสตอบ
      “หากเมื่อเฉลิมฉลองนครนาครินทนาครเสร็จสิ้นลง พี่กับน้องหญิง
ดาริกาก็จะร่วมไปในงานที่เมืองรัตนาด้วยนะ”  พระองค์ทรงกล่าวยิ้มแย้ม
ด้วยความดีพระทัย
       “อีกประการหนึ่งเพค่ะ  เหล่าทหารหญิงชายที่หม่อมฉันนำมานี้ก็ทูลขอ
ไว้ในกรณีพิเศษ เพียงขึ้นตรงกับหม่อมฉันแล้วก็มีเพียงเสด็จพี่ เจ้าพี่หญิง
และน้องปทุมวดีเท่านั้นที่สามารถบังคับบัญชาใช้สอยได้เท่านั้นนะ เพค่ะ”
พระองค์หญิงมณีกานต์ทรงตรัสต่อ
       “ได้ซิน้องหญิงพี่อนุญาตน้องทุกๆอย่าง”  องค์ท่านท้าวเธอทรงดำรัส
        “หม่อมฉันอยากได้ภูเขาด้านทางทิศตะวันออกของเมืองให้เป็นที่พำนัก
ของเหล่าทหารหญิงชายส่วนใหญ่พักอยู่ ด้วยเป็นทำเลเหมาะยิ่งนักสามารถ
ใช้เป็นที่ประกอบอาชีพได้อย่างดีในการเลี้ยงตัวเองและเหล่าทัพจะได้มิต้อง
เป็นที่เดือดร้อนพระราชหฤทัยและเหล่าประชาราษฎร์ของพระองค์ต่อไป
ส่วนทหารหญิงกระหม่อมก็จะคัดไว้เพียงเล็กน้อยเพื่ออยู่รับใช้หม่อมฉัน
และพระองค์ตลอดจนเจ้าพี่หญิงดาริกาเท่านั้น  ห้ามทหารของพระองค์เข้าไป
สร้างความเดือดร้อนแก่เหล่าทหารของหม่อมฉันด้วยนะ เพค่ะ”
องค์หญิงมณีกานต์ทรงย้ำขึ้นเพื่อเหล่าทหารของพระองค์ เพราะทรงคิดแล้วว่า
หากต่อไปในกาลข้างหน้าจะมีปัญหาเกิดขึ้นได้
        “ได้ซิน้องหญิงแล้วพี่จะทำหนังสือยืนยันตลอดจนสัญลักษณ์ไว้
มอบให้น้องหญิงเพื่อป้องกันทหารที่ขาดความรับผิดชอบ
อาจจะมีเกิดขึ้นได้ในภายหน้าได้” 
 องค์ทัศยุราชันย์เทรงย้ำและเน้นไว้ให้เป็นพิเศษ
        “หากเป็นเช่นนั้นกระหม่อมก็รู้สึกซาบซึ้งในน้ำพระหฤทัย
ของพระองค์ยิ่งนัก จะขอเฝ้าปรนนิบัติรับใช้พระองค์จวบจนชีวิตจะหาไม่ เพค่ะ”
         “พี่เองก็จะเป็นพยานและรับรองไว้ให้แก่น้องหญิงของพี่ไว้ด้วยนะ
หากวันใดที่เสด็จพี่ผิดคำสัญญาเมื่อใด เราทั้งสามก็จะลงมือทำโทษ
เสด็จพี่ทันที ดีไหมล่ะน้องรัก”
องค์หญิงดาริกาหันมาตรัสขึ้นบ้าง
      “แล้วจะทำโทษเสด็จพี่ฉันท์ใดล่ะ”  องค์หญิงปทุมวดีหันมาตรัสขึ้นบ้าง
      “มาๆใกล้เข้ามาแล้วพี่จะบอกให้อย่าให้เสด็จพี่ได้ยินนะ”  องค์หญิง
ดาริกาตรัสเรียกเจ้าหญิงมณีกานและเจ้าหญิงปทุมวดีให้ใกล้เข้ามา แต่
เจ้าหญิงเฌอมาลย์ก็ทรงอยากรู้เหมือนกันจึงเข้าร่วมฟังด้วย
         ครั้นเจ้าหญิงดาริกากระซิบบอกโทษของท่านท้าวทัศยุราชันย์ให้แก่
ทั้งสามพระองค์ทราบ  เสียงหัวร่อต่อกระซิกเย้าหยอกเสียงดังก็เกิดขึ้นทันที
สร้างความมึนงงสงสัยให้แก่ท้าวเธอยิ่งนัก ถึงกับต้องทรงเอ่ยตรัสถามขึ้นว่า
       “อะไรหรือโทษพี่ร้ายแรงถึงเพียงนี้เชียวหรือ ขอทราบหน่อยได้ไหม
ล่ะน้องหญิง”
       “มิได้หรอกเพค่ะ ถ้าหากเสด็จพี่จะรู้ก็ลองทำผิดดูซิเพค่ะ”  องค์หญิง
ดาริกาทรงตรัสเอ่ยขึ้น
       ทำให้บรรดาเจ้าหญิงต่างก็ทรงพระสรวลลั่นกว่าเดิมเสียอีก พลางทอด
พระเนตรมองพระพักตร์องค์ทัศยุราชันย์ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทุกๆพระองค์
     หลังจากที่ทรงเย้าหยอกกันจนเพลิดเพลินจนผ่านการเสวย
พระกระยาหารล่วงไปแล้ว    องค์หญิงเฌอมาลย์ก็ทูลลากลับไป
ยังกองทัพพระองค์ทันที พบองค์ชายสิงหะฤทธาเฝ้าคอยอยู่และไต่ถามว่า
ทำไมถึงกลับล่าช้ายิ่งนัก  พระองค์หญิงเฌอมาลย์ก็ทรงเล่าเหตุการณ์ต่างๆ
ให้องค์ชายสิงหะฤทธาทรงทราบ  องค์ชายก็ทรงพระสรวลดังลั่นด้วยความ
พอพระราชหฤทัยยิ่งนัก พร้อมทั้งรำลึกถึงกาลในภายหน้า   หากแม้นว่า
พระองค์ผิดบ้างเห็นทีจะต้องระมัดระวังให้เป็นพิเศษ จากนั้นทั้งสอง
พระองค์ก็ทรงหยอกล้อเกี้ยวพาราสีกันและกันจนควรแก่เวลาองค์ชายจึง
ลากลับไป
            เมื่อกาลเวลาเฉลิมฉลองความมีสันติสุขเมืองนาครินทนาครเกิดขึ้น
ภายในพระราชวังและภายในกำแพงเมืองก็จัดงานเฉลิมฉลองกันอย่าง
มโหฬารเอิกเกริกไปทั่วทุกมุมเมือง อาณาประชาราษฎร์ต่างยิ้มแย้มแจ่มใส
เข้าร่วมฉลองกันทุกๆครัวเรือนต่างออกมาร่วมงานสิ้นทุกๆคน พบปะสนทนา
ชมมหรสพที่ทางการจัดไว้ให้ทุกๆมุมเมือง นับเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มโหฬารยิ่ง
          ภายในท้องพระโรงและพระตำหนักทุกๆตำหนักก็ถูกประดับประดา
ด้วยโคมไฟแสงสีอันตระการตา ส่องแสงแพรวแวววาวไปทั่ว บรรดาทหาร
ชายหญิงที่เข้าเวรยามก็ได้รับอนุเคราะห์เป็นพิเศษต่างเย้าแหย่หยอกล้อกันได้
ทุกๆคนใบหน้าแย้มยิ้มผ่องใส  ภายในท้องพระโรงถูกจัดขึ้นใช้เป็นงานต้อนรับ
แขกเมืองที่จะเสด็จมาร่วมเฉลิมฉลอง  ก็ถูกจัดวางไว้ตามลำดับเรียงรายไปด้วย
โต๊ะที่ประดับไว้อย่างสวยงามตระการพร้อมผลไม้นานาๆชนิดวางแบ่งเป็นโต๊ะๆ
ตามลำดับ   
           ครั้นได้เวลาองค์ท้าวเธอทัศยุราชันย์ก็ทรงเสด็จนำพระอัครมเหสีซ้ายขวา
และพระอัครชายาที่ทรงฉลองพระองค์งดงามดุจประหนึ่งเทพธิดาเสด็จมาจาก
สรวงสวรรค์ก็มิปานกระหนาบข้างตามหลังเสด็จบนพระลาดพระบาทเข้าสู่ที่
พระราชอาสน์พระทับพร้อมด้วยพระมหาราชครูที่ถือของใส่พานตามมาเบื้อง
หลังห่างๆติดตามด้วยเหล่านางสนมกำนัลในทั้งหลายเรียงแถวตามเสด็จ
         เมื่อทรงเข้าประทับยังพระราชอาสน์เรียบร้อยแล้วก็ทรงหันพระพักตร์
ไปยังแขกเมืองทั้งหลาย ที่นั่งอยู่ตามโต๊ะเก้าอี้ที่ฝ่ายพระราชวังจัดไว้นั้นซึ่งนั่ง
เต็มอยู่ทุกพระเก้าอี้  องค์ท่านท้าวทัศยุราชันย์ก็ทรงลุกขึ้นจากที่ประทับก้าว
พระบาทเสด็จเข้าไปหาองค์ท้าวเธอสิงหะราช  องค์ท้าวเธอวิหะคะยุราช
องค์ท้าวเธอนาคุระนาคราช องค์ท้าวเธอวานิระหะ และองค์ท้าวเธอพิษยะราช
กระทำพระบังคมกราบถวายลงบนพระชานุทุกๆพระองค์ พร้อมทั้งองค์หญิง
ทั้งสามก็ย่อพระชานุถวายพระพร  ทำให้องค์ท้าวเธอผู้ยิ่งใหญ่ถึงกลับทรงหลั่ง
น้ำพระเนตรนองพระพักตร์ไปตามๆกันมิคาดคิดว่าองค์ทัศยุราชันย์มหาราชนั้น
จะทรงเคารพและให้พระเกียรติอันยิ่งใหญ่แก่พระองค์เกินกว่าที่จะคาดคิดได้
ถึงกลับทรงเขย่าพระหัตถ์ด้วยความปลาบปลื้มยินดียิ่ง
        ครั้นแล้วองค์ทัศยุราชันย์ก็ทรงจูงพระหัตถ์กษัตริย์ทั้งหลายให้ไปประทับยัง
ที่พระราชอาสน์เคียงคู่กับพระองค์ทันที  ตลอดจนเข้ามาจูงเหล่าพระยุพราชให้มา
ร่วมประทับร่วมด้วยเคียงคู่ตามลำดับด้วยกัน มิได้แบ่งชั้นวรรณะเปรียบประดุจดั่ง
ญาติในครอบครัวเดียวกันฉะนี้ สร้างความประทับใจแก่ผู้มาเยือนยิ่งนักสุดจะหาที่
เปรียบมิได้  แล้วพระองค์ทั้งหลายก็ทรงพระวิสาสะไต่ถามความทุกข์สุขซึ่งกัน
และกันดุจเป็นครอบครัวเดียวกัน บางครั้งก็ทรงพระสรวลดังสนั่นไปทั่ว
     เมื่อเวลาผ่านไปพอสมควรหลังพระกระยาหารเสร็จสิ้นลง  เหล่ากษัตริย์ทั้งหลาย
ก็ยังมิยอมเลิกราโดยง่ายยิ่งเพิ่มความฉันท์ไมตรีแนบแน่นกว่าเดิม  องค์ท่านท้าว
ทัศยุราชันย์ทรงตรัสว่า
        “ข้าพเจ้าขอถวายพระพรแด่ทุกๆพระองค์ซึ่งมีน้ำพระทัยไมตรีได้รับพระกรุณา
จากทุกๆพระองค์ที่ทรงพระเมตตาอุปการะเกื้อหนุนในการครั้งนี้  จนนาครินทนาคร
ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขอีกครั้งหนึ่ง    เพื่อเป็นสินน้ำใจเล็กๆน้อยๆจากข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าพึงจะน้อมมอบให้แก่ทุกๆพระองค์เป็นที่ระลึกว่ากาลครั้งหนึ่งไมตรีนี้
จะยั่งยืนไว้จากห้วงดวงใจของข้าพเจ้ายิ่งนัก   ขอพระองค์ทุกๆพระองค์ได้โปรด
เอ็นดูแก่ข้าพเจ้าด้วยเปรียบประดุจลูกหลานของท่านนี้ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
     แล้วองค์ท่านท้าวทัศยุราชันย์ก็ได้น้อมพระวรกายอัญชูลีถวายบังคมเหล่า
กษัตริย์ทั้งปวงด้วยพระวรกายอ่อนน้อมยิ่ง   แล้วทรงตรัสให้ท่านมหาราชครู
เข้ามาแล้วทรงตรัสแจ้งแก่เหล่ากษัตริย์ทั้งปวงว่า
        “ข้าพเจ้าขอน้อมกราบเรียนทูลพระองค์ว่า  นี่คือท่านมหาราชครูแห่งนครนี้
ซึ่งข้าพเจ้ายกย่องเปรียบประดุจพระชนกนาถของข้าพเจ้ามิปาน”  แล้วพระองค์
ทรงหยิบของในพานทองคำที่พ่อปู่มหาราชครูถือไว้ออกมามอบให้แก่เหล่า
กษัตริย์ทุกๆพระองค์  แล้วทรงตรัสขึ้นว่า
       “อันน้ำใจของข้าพเจ้าและท่านพ่อปู่ผู้ทรงเป็นพระชนกนาถของข้าพเจ้า
ขอแสดงน้ำใจเพียงน้อยนิดนี้ไว้  นั่นคือ แก้วน้อยที่บรรจุน้ำอำมฤตศักดิ์สิทธิ์
และผลไม้วิเศษซึ่งภายในบรรจุด้วยพลังธาตุทั้งสี่ไว้ เพื่อมอบให้เป็นที่รำลึก
จากนครนาครินทนาครไว้ด้วยความเคารพยิ่ง”
         เมื่อองค์ทัศยุราชันย์ทรงตรัสเสร็จสิ้น ภายในท้องพระโรงก็เงียบกริบ เหล่า
กษัตริย์ทั้งหลายเบิกพระเนตรค้างจ้องมองดูแก้วน้อยที่บรรจุน้ำอำมฤตศักดิ์สิทธิ์
ภายในส่องแสงประกายแวววาวดุจดั่งปรอทเป็นประกายสีสวยสดต่างๆกัน
สะท้อนออกมาพ้นแก้วน้อยขวดนั้น   ฉับพลันทุกๆพระองค์ทรงทรุดพระวรกาย
ลงกับพระเก้าอี้โดยพร้อมเพรียงกันกำขวดแก้วน้อยมือไม้สั่นระริกไปหมด
แม้แต่เหล่าพระยุพราชทั้งหลายก็แตกตื่นตะลึงพึงเพริดไปตามๆกันมิคาดคิด
เลยว่าพระราชบิดาจะได้น้ำอำมฤตที่ศักดิ์สิทธิ์มาโดยมิคาดฉะนี้
        แล้วองค์ทัศยุราชันย์ก็ทรงตรัสเรียกพระยุพราช นิละกาสูรย์และพระยุพราช
อหิงสากุมารเข้ามา พระองค์ทรงหยิบขวดแก้วน้ำอำมฤตพร้อมผลไม้วิเศษมอบ
ส่งให้แก่พระยุพราชทั้งสองทรงพระดำรัสว่า
           “เราขอมอบทั้งสองสิ่งนี้ไว้แก่ท่านทั้งสองด้วย   เป็นเพราะเจตนารมณ์ของ
พระราชบิดาของท่านยุพราชที่มีความต้องการยิ่งนักแต่หากทว่าทรงกระทำ
ในสิ่งผิดพลาดขัดกับเจตนารมณ์ของพระผู้เป็นเจ้า  การครั้งนี้เราได้ไปกราบทูล
แด่จอมเทพแห่งสรวงสวรรค์แล้วถึงเหตุการณ์นี้ทั้งหมด พระองค์ทรงพระกรุณา
				
7 ธันวาคม 2549 19:02 น.

** ทัศยุราชันย์(สันติคืนสู่นาครินทนาคร) **

แก้วประเสริฐ


                                     บทที่  ๒๘
                            สันติคืนสู่นาครินทนาคร

ที่เรากล่าวมานี้หวังว่าท่านทั้งสองคงจะเข้าใจนะ”  องค์ท้าวทัศยุราชันย์ทรงตรัสด้วยพระพักตร์เคร่งขรึม
มิได้มีพระอาการแสดงเสแสร้งแต่ประการใด  ครั้นพระยุพราชนิละกาสูรย์กับพระยุพราชอหิงสากุมาร
ทรงได้รับคำพระราชดำรัสเช่นนี้  ก็ทรงเห็นความผิดชอบชั่วดีที่เกิดขึ้น ทราบดีถึงความเป็นไปในศึกครั้งนี้
 ด้วยพระองค์ทั้งสองตลอดจนพระมารดาก็เคยทรงห้ามปรามท่านท้าวเธอไว้แล้วแต่ก็ทรงไม่สามารถทำได้
 แต่ด้วยความทะนงถือดีทิฐิของพระองค์ท้าวเธออันแรงกล้าด้วยโทสะจึงต้องถึงกลับกาลพินาศสิ้นไป
เสียหมดสิ้น   อีกทั้ง ตลอดจนเห็นพระอากัปกิริยาขององค์ท้าวเธอทรงอ่อนน้อมถ่อมตัวมิได้ถือดีใน
พระราชอำนาจว่าเป็นผู้ที่ชนะศึกในครั้งนี้ ตลอดจนก็มิเห็นพระองค์เป็นเยี่ยงนักโทษดั่งเมืองอื่นๆกระทำกัน
ก็ทรงเป็นที่พึงพอพระราชหฤทัยยิ่งนัก  จึงน้อมพระวรกายถวายบังคมทูลแด่องค์ท้าวเธอว่า
        “ขอเดชะอันที่จริงแล้วข้าพระพุทธเจ้าก็ทรงมิเห็นด้วยกับพระราชบิดานัก
 ได้เคยทูลคัดค้านแล้วจนพระองค์ไม่พึงพอพระราชหฤทัยยังคงกระทำการเช่นนี้ ตัวข้าพเจ้าถึงได้
บ่ายเบี่ยงไปในการศึกครั้งนี้แต่แรก  ได้หนีออกจากเมืองไปเมื่อเห็นว่าพระราชบิดาเสด็จไปแล้วก็ทรงเป็นห่วง
ครั้นพระองค์ทรงทราบว่าเรากลับมาแล้วก็ให้เรายกทัพมาช่วย แต่นี่จนด้วยเกล้ามิอาจจะหลีกเลี่ยงไปได้
จึงต้องจำนำทัพมาช่วยพระเจ้าข้า  หากเป็นได้ประการใด ข้าพระพุทธเจ้าจะขอนำพระศพพระราชบิดาคืน
กับไปยังเมืองกาฬคีรีนครถวายพระเพลิงตามราชประเพณีด้วยพระเจ้าข้า”  
องค์พระยุพราชนิละกาสูรย์กล่าวถวายรายงาน เพราะรู้สึกชอบในพระอัชฌาสัยในองค์ทัศยุราชันย์ยิ่งนัก
องค์ทัศยุราชันย์ก็ทรงพระราชดำรัสแก่องค์ยุพราชนิละกาสูรย์ว่า
    “อันการข้อนี้ไม่เป็นปัญหาใดๆหรอกท่านองค์พระยุพราช พระศพของท่านท้าวนิลกาฬที่เราทราบมานั้น
ได้ถูกจัดไว้ในที่อันสมควรแก่ฐานะกษัตริย์ไว้เรียบร้อยแล้ว หากพระองค์จะกลับคืนไปยังกาฬคีรีนครเราก็
จะช่วยน้อมอัญเชิญพระศพจัดอย่างทำเนียมราชประเพณีส่งมอบให้แก่ท่านไม่ต้องกังวงเรื่องนี้หรอกเพียง
ขอให้ท่านเข้าใจเราและชาวนาครินทนาครเท่านั้นเราก็เป็นที่ปรารถนาพึงพอใจแล้วล่ะ และขอเชิญท่าน
เข้าพักผ่อนตามพระราชอัชฌาสัยเสียก่อนนะ”
    “ขอบพระทัยพระเจ้าข้า”  องค์ยุพราชกาละนาสูรย์ทรงน้อมพระเศียรถวายบังคมทันที
      ทางด้านพระยุพราชอหิงสากุมารก็ทรงทูลขึ้นว่า
  “ที่จริงข้าพเจ้ามิได้คิดจะเข้ามาในการครั้งนี้เพียงแต่จะเข้ามานำพระศพพระราชบิดา
และนำทหารของข้าพระองค์
กลับคืนสู่นครซ้ำยังพระราชมารดากำชับหนาว่าเมื่อมาแล้วให้รีบกลับโดยเร็วอย่ายุ่งเกี่ยวทางนี้
 แต่ด้วยเกรงใจองค์พระยุพราชนิละกาสูรย์พระสหายและท่านท้าวนิลกาฬจึงจำต้องนำทัพเข้าร่วมการศึก
ครั้งนี้พระเจ้าข้า”
       แล้วพระยุพราชทั้งสองพระองค์ต่างหันมามองพระพักตร์กันแล้วต่างก็พากันถวายทูลโดยพร้อมเพรียงกัน
        “กระหม่อมทั้งสองจะขอให้สัจจะปฏิภาณว่าหากได้กลับไปถึงยังพระนครหม่อมฉันแล้วก็จะทูลแจ้ง
เหตุผลต่างๆของทางนครนาครินทนาครถวายแก่พระราชมารดาเพื่อให้ทรงทราบทุกประการทั้งยังจะเกลี้ย
กล่อมพระมารดาให้ทราบถึงเหตุผลต่างๆนี้เกี่ยวกับทางเมืองนาครินทนาครให้ทราบมิให้ขุ่นข้องหมองใจ
 หากแม้นได้ขึ้นครองราชย์สมบัติวันใดก็จะขอเข้าร่วมเป็นพระราชไมตรีที่ดีต่อกันจวบจนสิ้นอายุขัย
ของเหล่าข้าพเจ้า  พระเจ้าข้า”
     องค์ท้าวเธอก็ทรงหันมาตรัสด้วยพระพักตร์ยิ้มแย้มแจ่มใสเบิกบานพระหฤทัยยิ่งนักทรงตรัสว่า
      “เราและชาวนครนาครินทนาครนี้ขอขอบใจท่านทั้งสองล่วงหน้าและก็ให้สัจจะไว้เช่นเดียวกัน
ว่าจะรักษาสัมพันธไมตรีนี้ตลอดไป      ขอท่านทั้งสองจงสบายพระทัย และทรงเข้าพักผ่อน
ตามพระอัชฌาสัยให้เป็นที่ทรงพระเกษมสำราญก่อนเถิดนะที่จะส่งเสด็จกลับ”
    พลางหันไปทางเหล่าสมกำนัลให้นำทั้งสองพระองค์ไปพักยังตำหนักรับรองต่อไป   
   พอนางสนมกำนัลนำองค์พระยุพราชทั้งสองออกไปพ้นแล้ว
 ก็ทรงหันมายิ้มแย้มกับองค์พระยุพราชสิงหะฤทธาและพระยุพราชโกเมศกุมารทรงขอบพระทัย
เป็นอย่างยิ่งที่ทรงช่วยในการศึกครั้งนี้และพระองค์ทรงกล่าวกับเจ้าหญิงทั้งหลาย
ขอขอบพระทัยเป็นยิ่งนักที่ช่วยเหลือจนได้รับความสันติสุขกลับคืนมาอีกครั้ง  
 แล้วพระองค์ทรงตรัสว่า
        “นี่ดีนะที่พระยุพราชวานนรินทร์และองค์ท่านท้าวเธอวิหะคะยุราชที่ทรงพระปรีชาสามารถยิ่งนัก
ทรงเข้าพระทัยถึงเหตุการณ์ได้เป็นอย่างดี มิฉะนั้นยังไม่ทราบเลยว่าจะเกิดความเสียหายขึ้นอีกมากน้อย
เพราะพระวิหะคะยุราชและพระยุพราชนั้นทรงหลักแหลมยิ่งนัก”  พระองค์ทรงเปรยเบาๆให้ฟังและ
ทรงตรัสขึ้นอีกว่า
      “ในเมื่อเราทั้งหมดนี้ต่างก็เป็นพระสหายกันทั้งสิ้นข้าพเจ้าและเจ้าหญิง
จะขอแสดงน้ำพระทัยต้อนรับเป็นพิเศษสักคราหนึ่ง   หวังว่าท่านทั้งหลายคงไม่ปฏิเสธด้วยนะ
อีกประการหนึ่งใคร่จะกราบทูลเชิญพระบิดาของสหายเราให้มาร่วมในพระนครนี้lสักครั้ง
เพื่อจะได้เป็นเกียรติแก่ชาวนครนาครินทนาคร   ท่านทั้งหลายเห็นเป็นประการใด”  
       “เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งแล้วพระเจ้าข้า เพค่ะ”  
เจ้าชายและเจ้าหญิงทูลรับสนอง
       “อ้อๆๆท่านพ่อปู่ลำบากมากแล้วในการครั้งนี้  
ข้าพเจ้าขอฝากให้ท่านพ่อปู่จงช่วยแจ้งให้แก่ท่านวิษณุเดชะและท่านวีระพิชัย
ตลอดอัครเสนาบดีฝ่ายพลเรือนจงช่วยเบิกจ่ายปูนบำเหน็จแก่เหล่าทหารหาญ
ทั้งหญิงและชายในการนี้ทุกๆคนด้วยนะท่านพ่อปู่”
        “รับด้วยเกล้าพระเจ้าข้า”
  ท่านพ่อปู่ราชครูน้อมรับพระบัญชา แล้วเลี่ยงลุกถวายบังคมลาถดถอยออกไป
  เมื่อท่านมหาราชครูกลับไปแล้ว องค์พระยุพราชทั้งสองก็กราบทูลลาองค์ท้าวเธอ
       “ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้วเห็นทีกระหม่อมขอทูลลากลับด้วย พระเจ้าข้า
องค์ชายทัศยุราชันย์และองค์ชายโกเมศกุมารทูลเพื่อกลับไปยังที่ประทับเพื่อ
จัดแจงดูแลเหล่าทหารหาญทั้งหลายที่บาดเจ็บในการศึกครั้งนี้
ครั้นองค์หญิงเฌอมาลย์ทรงทอดพระเนตรเห็น ดังนั้นจึงขอทูลลาขึ้นบ้าง
        “หม่อมฉันก็เห็นจะทูลลากลับเช่นเดียวกัน เพค่ะ”
องค์หญิงเฌอมาลย์ทูลขึ้นบ้าง
          “อย่าพึ่งซิ น้องหญิงช่วยดูและเสด็จพี่ที่ได้รับบาดเจ็บก่อนนะ”
องค์หญิงดาริกาทรงขัดขึ้นทันที
            “ก็มีเสด็จพี่ทั้งสามอยู่ดูแลปรนนิบัติอยู่แล้วนี่นา”
องค์หญิงเฌอมาลย์ทรงตรัส
             “มิได้นะ  ก็น้องพี่ทรงเชี่ยวชาญเรื่องสมุนไพรยายิ่งนัก ยิ่งกว่าหมอ
หลวงในพระราชวังนี้เสียอีก”  องค์หญิงดาริกาทรงตรัสทัดทาน
          “หม่อมฉันเพียงรู้แค่นิดๆหน่อยๆเพค่ะ” เจ้าหญิงทรงตรัส
             “นั่นซิพี่เองก็ได้ยินเรื่องราวแบบนี้เหมือนกันนะน้องหญิง”
เจ้าหญิงมณีกานต์ทรงตรัสเสริมบ้าง
             “หรือว่าน้องหญิงจะคิดถึงองค์ชายสิงหะฤทธากระมังหนอ”
องค์หญิงปทุมวดีทรงเย้า พร้อมหันมาหลิ่วพระเนตรกับองค์หญิงเฌอมาลย์
ทำให้พระพักตร์องค์หญิงเฌอมาลย์แดงขึ้นทันที
             “หามิได้เพค่ะ  เสด็จพี่น้องต้องการไปดูและทหารของน้องว่าบาดเจ็บ
มากน้อยเพียงใดเพค่ะ”  องค์หญิงเฌอมาลย์ทรงแก้เขินพระองค์
             “เรื่องทหารคงไม่เท่าไหร่หรอก ส่วนที่สำคัญคงจะเป็นองค์ชายมากกว่า”
  แล้วองค์หญิงปทุมวดีก็ทรงพระสรวลดังลั่น
           “เอาล่ะๆ  พี่เองก็ไม่ได้เจ็บป่วยอะไรมากนักคงจะหายดีแล้ว ยิ่งด้วยได้สาวๆ
สวยๆเช่นนี้มาช่วยดูแลด้วยแล้ว อาการก็หายเร็วผิดปกตินะ”  องค์ทัศยุราชันย์
ทรงพระดำรัสด้วยพระพักตร์ยิ้มแย้มเบิกบานทรงกระเซ้าขึ้นบ้าง
           “อุ้ยทรงหวานจริงๆนะเพค่ะ อย่างนี้เสด็จพี่ดาริกาถึงได้ทรงพระโกรธายิ่งนัก
ยามที่ทรงเห็นพระองค์ถูกฟาดด้วยกระบองกระเด็นสิ้นสติไป 
ถึงกลับเต้นเร่าๆกลางสนามรบทันที    อุ้ยๆๆเจ็บเพค่ะ” 
 เจ้าหญิงมณีกานต์ทรงหันมากระเซ้าต้องสะดุ้งทันทีที่โดนเจ้าหญิงดาริกาทรงแอบเหน็บ
แหนบเนื้อหน้าพระเพลาเอา
             “หรือไม่จริงเพค่ะเสด็จพี่”  พลางหันมาพยักพระพักตร์หลิ่วพระเนตรยั่วเย้ามองยัง
เจ้าหญิงดาริกาแล้วทรงหันไปยิ้มกับเจ้าหญิงปทุมวดี
             “จริงหรือน้องหญิง”  องค์ทัศยุราชันย์ตรงตรัสขึ้นบ้าง
             “ไม่รู้ล่ะเสด็จพี่ น้องก็ทรงเห็นหน้าพระพักตร์ยังกับยักษ์โขมดไม่ผิดเลยเพค่ะ”
 เจ้าหญิงปทุมวดีพระองค์ทรงเสริมขึ้นทันที
              “ยายนี่อีกคนทำสงครามแบบไหนนะ กำลังรบกันแต่ไม่หันไป
มองข้าศึก ดันหันไปดูบนฟากฟ้าดีนะไม่ถูกข้าศึกฟันตายก็ดีถมไปแล้ว
มิฉะนั้น ฮึๆๆๆ”  องค์หญิงดาริกาหันมาแซ่วพระองค์หญิงปทุมวดีบ้าง
      เอาล่ะๆๆเป็นอันว่าอยู่กันทั้งสี่คนก็แล้วกันนะแล้วเสวยพระกระยาหารร่วมด้วยกัน 
นี่ก็เกือบเย็นแล้วพระองค์ท้าวทัศยุราชันย์ทรงตัดบท
        “เดี๋ยวพี่จะไปสรงสักหน่อยเหนียวตัวแย่อยู่แล้ว น้องหญิงทั้งหมดอยู่
ก่อนนะเดี๋ยวจะออกมาสนทนาด้วย” แล้วพระองค์ก็เสด็จไปข้างในทันที
  เจ้าหญิงทั้งสี่พระองค์ก็ทรงเย้าแหย่หยอกล้อกันด้วยความสนุกสนานรื่นเริง
ลืมถึงเรื่องการศึกสงครามเสียสิ้น  พระองค์ทรงเล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆของ
พระองค์แลกเปลี่ยนกันฟัง จวบจนองค์ทัศยุราชันย์เสด็จเข้ามาร่วมสนทนาด้วย
เมื่อทรงประทับเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ทรงหันมาเอ่ยกลับเจ้าหญิงมณีกานต์ทันที
         “น้องหญิงมณีกานต์และน้องหญิงปทุมวดี เมื่อเจ้ามาแล้วพี่ก็จะมิให้น้อง
ทั้งสองกลับยังพระนครรัตนาขอให้อยู่กับพี่ที่นี่อย่าได้ไปไหน ส่วนทางเมือง
รัตนานครนั้นพี่เองทรงใคร่ครวญดีแล้ว ควรที่จะมอบหมายให้พระอนุชาของ
เสด็จพ่อของน้องหญิงทั้งสองทรงขึ้นปกครองอาณาประชาราษฎร์ต่อไป
ส่วนทหารหญิงชายที่ติดตามมานี้ พี่อยากจะใคร่ขอไว้รับใช้ทางนี้กับน้องหญิง
เสียที่นี้เลย  หวังว่าน้องหญิงทั้งสองคงจะเห็นดีกับพี่ด้วยนะน้อง”
       องค์ทัศยุราชันย์ทรงตรัสด้วยพระพักตร์เศร้าสร้อยมาทางองค์หญิงทั้งสอง
         “พี่เองก็เห็นด้วยกับเสด็จพี่ด้วยล่ะน้องหญิงจงตัดสินพระทัยเถิดนะ”
องค์หญิงดาริกาก็ทรงเอ่ยตรัสขึ้นบ้าง
         “หากน้องหญิงยังคิดถึงเมือง  พี่และน้องหญิงดาริกาก็จะร่วมเดินทางไป
เยี่ยมเยียนด้วยกันทั้งสี่นี่แหละ”   ท่านท้าวทัศยุราชันย์พระองค์ทรงตรัสเสริม
        ทางด้านเจ้าหญิงมณีกานต์ทรงหันพระพักตร์มาทางเจ้าหญิงปทุมวดีเพื่อ
จะทรงขอความเห็นชอบด้วย  ครั้นเห็นองค์เจ้าหญิงปทุมวดีทรงพยักพระพักตร์
แสดงถึงการเห็นคล้อยตามกับพระราชสวามีก็ทรงพระทัยอ่อนตามใจองค์
ทัศยุราชันย์พลางเอ่ยพระโอษฐ์ขึ้นว่า
        “หากแม้นวันใดพระองค์ทรงรังเกียจหม่อมฉันเมื่อใด ก็จะขอทูลลากลับ
เมืองของหม่อมฉันพร้อมกับน้องโดยมิบอกกล่าวด้วยนะ เพค่ะ” 
				
7 ธันวาคม 2549 09:52 น.

** ทัศยุราชันย์(อวสานจอมอสูร) **

แก้วประเสริฐ


                                                  บทที่  ๒๗
                                              อวสานจอมอสูร

บรรดาทหารเหล่าอสูรต่างๆก็ถึงกับมิมีอันทำการสู้รบมัวพะวงต่อสัตว์เหล่านี้บ้างก็วิ่งหนีจาระหวั่น
 บ้างก็ต้องสังเวยชีวิตไปกับพิษภัยอันร้ายกาจของเหล็กในของตัวต่อแตนยักษ์อีกพิษต่างๆ
ของบรรดาเหล่าอสรพิษและของเหล่าสัตว์ร้ายทั้งหลาย ภายในบริเวณนั้นก็เต็มไปด้วยฝูงสัตว์ทั้งหลาย
ที่พากันเข้ารุมช่วยทางด้านทหารของเมืองนาครินทนาครต่อสู้กับเหล่ายักษ์ อสูรเป็นพัลวันมิย่อท้อ
บ้างก็ตกตายไป ส่วนที่อยู่ก็พุ่งเข้าหามิได้เกรงกลัวความตายกัน จนถึงกับทำให้เหล่าอสูร ยักษ์ทั้งหลาย
พากันแตกตื่นตกใจเสียขบวนทัพ ส่วนบนฟากฟ้าก็เต็มไปด้วยอาวุธวิเศษนานานัปการเข้าต่อสู้กันและกัน 
ทั้งเหล่าฝูงต่อแตนทั้งลายคาดเหลืองและตัวเหลืองดั่งทองและสัตว์มีปีกต่างๆก็พากันมาช่วยเข้ามา
ร่วมรบทั้งทาง ฟากฟ้าและบนดิน บรรดาท้องฟ้าเดี๋ยวก็มืดครึ้มเดี๋ยวก็สว่างบ้างก็ขมุกขมัวมืดฟ้ามัวดิน
สลับกันไปทั่ว   ระงมไปด้วยเสียงร้องก้องด้วยความเจ็บปวดจากอาวุธและพิษร้ายของสัตว์ร้ายเหล่านี้
          ท้าวเธอนิลกาฬเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ก็ทรงกริ้วพิโรธยิ่งนักตวาดด้วยพระสุระเสียงดังกึกก้อง
 สองพระเนตรแดงกร่ำกระทืบพระบาทดังสนั่นได้ยินดังไปทั่ว   พระหัตถ์ขวากุมกระบองสีดำเหล็ก
ไหลละเลื่อมเป็นเงาประกาย   พระหัตถ์ซ้ายทรงสะบัดผ้าแพรไหมสีดำไปทางใดก็เกิดไฟประลัยกัลป์
เข้าเผาผลาญทหารทั้งหลายและบรรดาสัตว์ต่างๆล้มตายหล่นเกลื่อนทั่วบริเวณส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง
       ท้าวทัศยุราชันย์เห็นดังนี้ก็ทรงร่ายพระเวทย์โยนจักรเพชร ตรีเพชร บ่วงบาศนาคราช  พระหัตถ์ทั้งสอง
ก็ทรงแกว่งไกวดาบและตรีเพชรเข้าฟาดฟันทหารแตกกระจาย รุกเข้าไปจนถึงหน้าพระราชรถขององค์
ท่านท้าวนิลกาฬ   ต่างก็เข้ารบพุ่งตีฟาดฟันรบพุ่ง  ท่านท้าวเธอก็ทรงหวดด้วยกระบองเหล็กไหล
เข้าใส่ดาบทันที เกิดประกายไฟแลบเสียงดังสนั่นกึกก้องปานแผ่นดินจะถล่มทลาย   ครั้นได้จังหวะ
ท่านท้าวองค์ทัศยุราชันย์ก็ฟันด้วยดาบไปยังพระอุระของท้าวนิลกาฬขาดเป็นสองท่อน แต่พอดาบผ่านพ้น
ไปร่างท่านท้าวนิลกาฬก็คืนกลับเข้าประสานสู่สภาพดังเดิม  ทรงพระสรวลดังลั่นพลันพระองค์ก็ทรงหวด
ท่านท้าวทัศยุราชันย์ด้วยกระบองเหล็กไหลสีดำไปยังร่างของท้าวทัศยุราชันย์บ้างทำให้ร่างท้าวทัศยุราชันย์
ปลิวกระเด็นลอยไปในอากาศทันที  เจ้าหญิงทั้งหลายต่างหวีดร้องเสียงดังลั่นด้วยความตกพระหฤทัย
กันเซ็งแซ่ไปหมดต่างแหงนมองดูร่างขององค์ทัศยุราชันย์ลอยละลิ่วไปบนท้องฟ้า  เจ้าหญิงมณีกานต์
ก็ทรงพระพิโรธยิ่งนักพลางสลัดทิ้งราชพาหนะพระยาราชสีห์รีบทะยานเหาะขึ้นไปรับร่างองค์ทัศยุราชันย์ 
ที่ทรงสิ้นพระสติสมประดีไปไปทันที   ก่อนที่ร่างนั้นจะล่วงหล่นมายังพื้นดินก็ทรงไขว่คว้าไว้ได้รีบเหาะ
นำร่างขององค์ทัศยุราชันย์เข้าไปยังในเมืองนาครินทนาครทันที
         เจ้าหญิงดาริกาทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้นก็ทรงพระพิโรธจนลืมพระองค์พุ่งทะยานด้วยความโกรธ
พุ่งเข้าหาท้าวนิลกาฬ   พระองค์ทรงฟาดร่างของท้าวนิลกาฬที่กำลังทรงพระสรวลสำราญลั่นด้วยความดี
พระราชหฤทัยดังสนั่นไปทั่วโดยมิได้ทันคิดจะปกป้องร่างกายพระองค์ด้วยทรงเชื่อมั่นในฤทธิ์ที่มีอยู่นั้น
ก็เลยถูกเจ้าหญิงดาริกาทรงตีเข้าด้วยด้ามตรีศูลที่ได้รับพระราชทานจากพระแม่เจ้าอุมาเทวีแห่งจอมเขา
ไกรลาสไว้เป็นศาสตราอาวุธประจำพระองค์ซ้ำยังถูกแทงด้วยงาช้างขององค์พระพิฆเนศวรเจ้าที่ทรวงอุระ
ปักคามิอาจจะทรงถอนออกมาได้ติดแน่นพระวรกายเลือดไหลซึมตลอดเวลา  หงายหลังพลัดตกจาก
พระราชรถด้วยความเผลอของพระองค์ทันที  เมื่อพระองค์เห็นผู้ที่ลอบทำร้ายพระองค์นั้นเป็นอิสตรีเช่นนี้
 ทำให้พระองค์ทรงหวนรำลึกถึงคำตรัสขององค์พระศิวะมหาเทพแห่งเขาไกรลาสที่ประทานพรให้ไว้
แก่พระองค์ ก็ยิ่งทรงแตกตื่นตกพระทัยเป็นยิ่งนัก   รีบทะยานกายหมายคิดจะหลบหนีจากเจ้าหญิงดาริกา
       แต่ด้วยความแค้นเคืองอย่างที่หาที่สุดมิได้ของเจ้าหญิงดาริกาทรงรีบพุ่งพระคทาตรีศูลเข้ายังเบื้องหลัง
ของท้าวนิกาฬทันที   คมของตรีศูลก็เข้าเสียบทะลุออกยังเบื้องหน้าพระอุระ พระโลหิตท่านท้าวนิลกาฬ
ก็หลั่งสาดชโลมไปทั่วบริเวณพื้นแผ่นดินร่างพระองค์คว่ำพระพักตร์ถูกตรีศูลปักกับพื้นแผ่นดินทันที
    หากเป็นการก่อนมิใช่อิสตรีแล้วไซร้ร่างนั้นก็จะคงทนต่อศาสตราอาวุธทั้งปวงหากขาดออกจากกัน
หรือเป็นบาดแผลใดๆก็จะคืนกลับสู่สภาพดังเดิมทันทีเร็วพลัน   แต่บัดนี้ร่างของจอมอสูรหาได้เป็น
เช่นเก่าก่อนแต่ใดไม่ ร่างพระองค์จึงค่อยๆดึงพระวรกายทั้งๆที่คมของตรีศูลยังปักคาพระอุระรีบหันกลับ
มาทอดพระเนตรเจ้าหญิงดาริกาด้วยพระอาการเหม่อลอย    พระเนตรทั้งสองเบิ่งโปนเส้นพระโลหิต
บนพระพักตร์เขียวคล้ำแสดงความหวาดวิตกตระหนกยิ่ง  คล้ายคิดจะทรงตรัสแต่มิมีเสียงดังออกมา
   ร่างของพระองค์ค่อยๆทรุดลงกับพื้นสองพระเนตรค้างสิ้นพระทัยลงไปในทันที  ส่วนบรรดานายทัพ
นายกองทั้งหลายที่ต่างเฝ้าคุ้มครองต่างตื่นตระหนกพากันส่งเสียงร้องระงมไปทั่วบริเวณส่งเสียงดังว่า
องค์ท่านท้าวเธอนิลกาฬได้สิ้นพระชนม์ชีพแล้ว  เหล่าบรรดาทหารทั้งปวงที่ได้ยินเช่นนั้นหันมามองดูแล้ว
ต่างก็รีบหนีไปจากบริเวณสนามรบทันที  แต่ก็หาได้หลุดพ้นไปจากการตามไล่ล่าของบรรดาเหล่าฝูง
สัตว์ต่างๆที่เที่ยวไล่ตามทำร้ายแทบจะมิเหลือกลับคืนไป
           ทางด้านองค์พระยุพราชสิงหะฤทธาที่เข้าต่อสู้กับพระยุพราชอหิงสากุมารทั้งสองพระองค์ต่าง
เข้าโรมรันมิมีผู้ใดแพ้ชนะแก่กันด้วยมีฝีมือทัดเทียมกัน   ด้านองค์พระยุพราชโกเมศกุมารกับพระยุพราช
นิละกาสูรย์ก็ต่างต่อสู้ยากจะหาผู้ใดแพ้ชนะได้   บรรดาไพร่พลต่างก็ล้มตายกันไป  จนเหลือน้อยเต็มที
เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้นทางด้านเจ้าหญิงปทุมวดีและเจ้าหญิงเฌอมาลย์ต่างนำทหารเข้ามาช่วยรบกับ
พระยุพราชสิงหะฤทธาและพระยุพราชโกเมศกุมารอีกแรงหนึ่งโดยแยกกันเข้าไปช่วย
ทางองค์หญิงเฌอมาลย์เข้าไปช่วยรบทางด้านยุพราชสิงหะฤทธา   เจ้าหญิงปทุมวดีเข้าไปช่วยทางด้าน
พระยุพราชโกเมศกุมาร เมื่อเพิ่มขึ้นเป็นสองต่อหนึ่งต่างก็ประลองฤทธิ์ด้วยอาวุธวิเศษทั้งหลาย
ต่างมีฤทธิ์เดชแตกต่างกันเข้าหักล้างซึ่งกันและกัน ยังหาผู้ใดแพ้ชนะกันไม่ จนกระทั่งทางพระยุพราช
นิละกาสูรย์กับพระยุพราชอหิงสากุมารก็เสียที ล้มลงก็เลยถูกเจ้าหญิงทั้งสองจับกุมตัวได้ทั้งสองพระองค์
ด้วยกำไลแก้วของเจ้าหญิงปทุมวดีเข้ามัดร่างขององค์พระยุพราชนิละกาสูรย์และยุพราชอหิงสากุมารแน่น
มิอาจขยับตัวไปได้อาวุธของพระองค์ทั้งสองก็ล่วงหลุดจากพระหัตถ์ ถูกเจ้าหญิงเฌอมาลย์เข้าเก็บไว้ได้
       เมื่อเหล่าทหารทั้งหลายเห็นพระยุพราชทั้งสองถูกจับกุมในการต่อสู้ครั้งนี้และท่านท้าวนิลกาฬสิ้น
พระชนม์ไปแล้ว  เหล่าทหารทั้งหลายก็ต่างแตกกระเจิงพาหนีกันอลหม่าน บ้างถูกจับกุมตัวได้บ้างหนี
หายเข้าป่าทางภูเขาต่อไป   บ้างเหาะตะเริดเปิดเปิงหนีหายคนละทิศละทางเพื่อหาทางกลับไป
ยังพระนครของตน  พากันทิ้งอาวุธยุทโธปกรณ์เกลื่อนกลาดไปทั่วบริเวณรวมทั้งพาหนะตลอดจนเครื่อง
ใช้ในการศึกต่างๆนานาเป็นจำนวนมากมาย
           ครั้นเจ้าหญิงดาริกาครั้นเห็นองค์ท้าวนิลกาฬทรุดสิ้นพระชนม์ไปก็รีบไปตรวจสอบให้แน่พระทัย
เมื่อเห็นองค์ท่านท้าวนิลกาฬสิ้นพระชนม์   ก็ทรงเหาะทะยานไปหาองค์หญิงมณีกานต์ทันที  
ต่างช่วยกันรีบนำองค์ทัศยุราชันย์กลับเข้าสู่ยังนครนาครินทนาครเพื่อรักษาพระอาการ 
  ท่านมหาราชครูรีบเข้ามารับร่างขององค์ท้าวทัศยุราชันย์และรีบนำเอาน้ำอำมฤตศักดิ์สิทธิ์กรอกใส่
ทางพระโอษฐ์ ส่วนเจ้าหญิงทั้งสองก็ทรงนวดพระวรกาย  พอเวลาผ่านไปสักครู่ใหญ่องค์ทัศยุราชันย์
ก็ทรงผายพระอัสสาสะและพระปัสสาสะจากช้าๆค่อยเร็วๆขึ้นตามลำดับ แล้วพระองค์ก็ทรงลืมพระเนตร
พร้อมกุมพระปรัศว์ครวญครางเบาๆ ทรงพยายามจะลุกขึ้น แต่เจ้าหญิงทั้งสองได้กดพระวรกายไว้
ให้พระองค์ทรงพักพระวรกายนิ่งๆ  เมื่อเป็นดั่งฉะนี้แล้ว พระองค์ทรงตรัสว่า
        “ น้องหญิงพี่โดนกระบองท่านท้าวนิลกาฬฟาดนึกว่าพี่จะสิ้นพระชนม์เสียแล้ว”
  เจ้าหญิงทั้งสองทูลเกือบพร้อมกันว่า
         “ยังเพคะขอพระองค์ทรงพักพระวรกายก่อนเถิดแล้วจะทูลให้ฟังในภายหลัง”
  ครั้นพระองค์ทรงพักผ่อนพระวรกายจนหายดีแล้วจึงทรงลุกขึ้นพลางทรงพระดำรัสถาม
         “การศึกเป็นอย่างไรบ้างน้องหญิง พี่เองไม่ค่อยสบายใจนัก”
         “การศึกสิ้นสุดแล้วเพค่ะ  ท่านท้าวนิลกาฬทรงสิ้นพระชนม์แล้ว ส่วนองค์พระยุพราชทั้งสอง
ก็ถูกจับกุมไว้ด้วยแล้วเพค่ะ”  องค์หญิงดาริกาทูล
         “ถ้าเป็นอย่างนี้ขอเราพบหน่อยได้ไหมน้องหญิง”  องค์ทัศยุราชันย์ทรงตรัส
          “อย่าพึ่งเลยเพค่ะ ขอให้ฝ่าบาททรงดีกว่านี้สักหน่อย”  เจ้าหญิงตรัส
ครั้นเวลาผ่านเลยไปได้พอยาวนานเห็นว่าพระอาการดีขึ้นมากแล้วจึงทรงตรัสขึ้นว่า
          “ไม่หรอกน้องหญิงพี่หายดีแล้วเพียงแต่ยังขัดอยู่บ้างนะ” ทรงตัดด้วยความ
เป็นห่วงเป็นใยของเจ้าหญิง    ทรงพยายามทรงลุกยืนพระวรกายขึ้นสาวพระบาทไปๆมาๆ
ให้ทอดพระเนตรแก่เจ้าหญิงทั้งสองดูว่าทรงไม่เป็นอะไรมากแล้ว  
          พระองค์ก็ทรงเดินมาขึ้นนั่งประทับพลางกวาดพระเนตรไปทั่วบริเวณทันที
ก็ทอดพระเนตรเห็นเจ้าหญิงดาริกา เจ้าหญิงมณีกานต์ถัดไปเป็นเจ้าหญิงปทุมวดี
และเจ้าหญิงเฌอมาลย์ตลอดจนพระยุพราชสิงหะฤทธาและพระยุพราชโกเมศกุมาร
ตลอดท่านพ่อปู่ราชครูกำลังทยอยเข้ามาแล้วเข้านั่งเฝ้าล้อมรอบพระองค์อยู่ ทรงเห็น
ทุกๆพระองค์ต่างมีสีหน้าซึ่งทรงแสดงเป็นห่วงเป็นใย  ก็ทรงพระสรวลเบาๆทรงไต่ถาม
ถึงเหตุการณ์ต่างๆในการศึกครั้งนี้   ซึ่งต่างก็รายงานทูลถวาย หลังจากที่พระองค์ถูกกระบองเหล็ก
ไหลสีดำตีเข้าข้างพระวรกายลอยกระเด็นไปยังบนฟากฟ้า เจ้าหญิงมณีกานต์ทรงขึ้นไปรับ
และเจ้าหญิงดาริกาทรงสังหารองค์ท้าวนิลกาฬจนสิ้นพระชนม์ชีพด้วยคทาตรีศูลและแทงด้วยงาช้าง
ของพระแม่เจ้าอุมาเทวีกับองค์พระพิฆเนศวรเจ้าจนถึงกับสิ้นพระชนม์ไปในกลางสนามรบครั้งนี้
ส่วนเจ้าหญิงปทุมวดีและเจ้าหญิงเฌอมาลย์ต่างเข้าช่วยพระยุพราชทั้งสองจนสามารถจับกุมพระยุพราช
แห่งอหิงสากะนครและนิลกาฬนครได้ และนำพระองค์มามอบให้มหาราชครูรักษาจนฟื้นพระองค์ 
 ส่วนเหล่าทหารทั้งหลายของเมืองต่างๆต่างก็ได้หลบหนีไปสิ้น ทั้งยังถูกพวกพยัคฆาลายพาดกลอน
และฝูงต่อแตนเหล่าอสรพิษต่างๆติดตามเข้ารุมทำร้ายไป หายไปจนหมดสิ้นแล้ว ส่วนทหารหญิงชาย
ที่ได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดีนั้นหาได้มีผู้ใดเสียชีวิตแต่ประการใดไม่ นอกจากเหล่าทหารที่ไม่ได้รับ
การฝึกฝนเท่านั้น แต่บัดนี้ได้กลับฟื้นคืนชีวิตได้ทั้งหมดแล้วด้วยอำนาจของน้ำอำมฤตศักดิ์สิทธิ์ที่เหล่า
ทหารทั้งหลายได้ดื่มกินไว้ก่อน พอสิ้นชีวิตไปก็ไปบังเกิดขึ้นในธารอันศักดิ์สิทธิ์กลับเข้ามาทำการหมด
แล้ว บัดนี้นครนาครินทนาครได้กลับคืนเข้าสู่เหตุการณ์ปกติ จะมีก็เหล่าทหารที่ยังคงเข้าไปเก็บกวาด
รักษาพื้นที่ให้ได้รับความสะอาดดุจดังเดิมเท่านั้น 
  เมื่อองค์ทัศยุราชันย์รับทราบแล้วก็ขอร้องให้ช่วยไปนำยุพราชทั้งสองที่จับกุมได้มาเฝ้าทันทียังแท่น
ที่ประทับรักษาพระองค์  เมื่อมีการทูลทัดทานแต่ก็ไม่สำเร็จเพราะองค์ทัศยุราชันย์ไม่ทรงยินยอมด้วย
จึงต้องตามพระราชหฤทัย ใช้ทหารชายหญิงไปที่ยังควบคุมตัวพระยุพราชทั้งสองเพื่อนำเข้าเฝ้า
           ครั้นนำตัวพระยุพราชนิละกาสูรย์และอหิงสากุมารมาถึง องค์ท้าวทัศยุราชันย์ก็ทรงเข้าไป
แก้มัดแก่องค์ยุพราชทั้งสองทันทีด้วยพระองค์เอง   พร้อมพระองค์ทรงตรัสเชิญทั้งสองพระองค์
ให้เข้าประทับยังที่สมควร  แล้วทรงกล่าวขอโทษต่อองค์ยุพราชทั้งสองถึงเหตุการณ์ที่ไม่สมควรทำ
แก่องค์ยุพราชทั้งสอง ท่ามกลางความงุนงงสงสัยแก่ทั้งหลาย ตลอดจนสร้างความมึนงง
ต่อองค์ยุพราชทั้งสองเป็นยิ่งนักไม่คิดว่าจะได้รับการต้อนรับที่ดีนี้เกิดขึ้น เพราะพระองค์ทั้งสองก็เป็น
นักโทษไปแล้วย่อมจะทำการอย่างอื่นซึ่งไม่ใช่แบบนี้แก่พระองค์    แล้วองค์ทัศยุราชันย์ก็ทรงตรัสว่า
       “ท่านทั้งสองหาใช่เป็นความผิดแก่ท่านประการใดไม่  สาเหตุที่เป็นไปเช่นนี้ก็ด้วยเพราะความ
อยากเต็มไปด้วยตัณหาและความโลภหวังในสิ่งที่ไม่สมควรจะพึงมีซึ่งขัดต่อพระบัญชาสวรรค์เบื้องบน
 การที่เราอยู่ที่นี่ก็มิได้เคยคิดที่จะเป็นศัตรูแก่เหล่านครใดๆเลย  ทางเราเพียงแค่ถือปฏิบัติต่อบัญชาเบื้องบน
เท่านั้นเพื่อรักษาน้ำอำมฤตไว้ให้แก่เหล่ามหาเทพทั้งหลายใช้ในเมื่อเกิดความจำเป็นในกาลภาคหน้า
ที่พระองค์จะประสงค์นั้น   หากมิใช่พระบิดาของท่านยุพราชนิละกาสูรย์มิหลงผิดก็คงจะไม่มี
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น เราเองก็เสียใจอย่างสุดซึ้งที่ต้องจำเป็นเข้าต่อสู้เพื่อปกป้องสิ่งนี้ไว้   
 ตลอดจนท่านท้าวสุพพัตสุระนั้นมีความเข้าใจผิดต่อกัน  หากต่างคนต่างที่จะอยู่อย่างสันติต่อไป
ไม่รุกรานซึ่งกันและกันและหวังในสิ่งที่ไม่สมควรจะได้เช่นนี้แล้วก็คงไม่ทำให้เหล่าประชาอาณาเขต
พากันเดือดร้อนไปตามๆกัน หวังว่าพระยุพราชทั้งสองเข้าใจ  ขอพระองค์คงจะไตร่ตรองถึงเหตุผลต่างๆ
อย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วย  เราเองนั้นมิได้คิดว่าทุกๆคนจะเป็นศัตรูแก่กันทั้งสิ้นเพียงแต่ต้องปฏิบัติอย่างมิมี
ทางที่จะหลีกเลี่ยงได้  จึงขอพระยุพราชทั้งสองพระองค์อย่าได้มีความขุ่นข้องหมองใจแก่เราและเหล่าประชา
ชาวนาครินทนาครแต่ประการใดเลย   การสูญเสียครั้งนี้เราเองก็รู้สึกเสียใจและต้องขอโทษท่านทั้งสองด้วย
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแก้วประเสริฐ