4 ตุลาคม 2556 22:34 น.

ความสมดุลของลบบวก (The Way to Balance Yin and Yang)

คีตากะ

ms-title.jpg










ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ที่คอสตาริกา
วันที่ 3 มิถุนายน 2532
(ต้นฉบับเป็นภาษาจีน รหัสวีดิทัศน์ #80)



วันนี้มีนักข่าวคนหนึ่งมาสัมภาษณ์อาจารย์ เขาถามว่า: “พลังของมารหรือพลังลบมาจากไหน?”
อาจารย์บอกว่า: “มันก็มาจากพระเจ้าเหมือนกัน”
เขาพูดว่า: “อ้าว? ทำไมจึงมาจากพระเจ้า?”
อาจารย์บอกว่า: “เพราะคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่า “พระเจ้าสร้างทุกสิ่งทุกอย่างทั้งจักรวาล” ไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าไม่สร้าง ดังนั้น ถ้าพลังของมารไม่ใช่พระเจ้าสร้างมา แล้วใครเล่าเป็นผู้สร้างมัน?”
เขาก็พูดว่า: “ใช่แล้ว! แล้วทำไมพระเจ้าจึงสร้างพลังลบ?”


775620.jpg


        ด้านบวกของพลังลบ

อาจารย์บอกเขาว่า มันมีประโยชน์ มีประโยชน์ สำหรับพวกเรามาก เพราะจะทำให้พวกเราเรียนรู้การทำพลังลบให้เป็นพลังที่ใช้ได้ เหมือนกับไฟฟ้าก็อันตรายเช่นกัน พวกเราถ้าไปสัมผัสมันหรืออยู่ใกล้กับสถานที่ไฟฟ้าแรงสูง พวกเราจะถูกไฟลัดวงจร จะมีอันตรายต่อชีวิต แต่ถ้าเราเรียนรู้วิธีที่จะปรับมันได้ ก็จะไม่มีปัญหา เงินก็ทำให้คนมากมายทำผิด ทำผิดศีล ทำเรื่องไม่ดีมากมาย แต่ถ้าเรารู้จักใช้เงิน ไม่ถูกเงินมันหลอกใช้ เงินก็จะเป็นประโยชน์ เราไม่ได้ถูกเงินควบคุม แต่เราเป็นผู้ควบคุมเงิน กลายเป็นเจ้าของเงิน ถ้าเงินกลายเป็นเจ้านายเรา ถ้าไม่มีเงิน เราก็จะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ แต่มีบางคนอยากได้เงินมากจนเกินไป อยากได้เงิน ก็ฆ่าคนได้ ขโมยได้ ใช้วิธีมากมายมาทำแต่เรื่องเลวร้าย แล้วเมื่อนั้นเงินก็จะกลายเป็นเรื่องลบ แต่ถ้าเรารู้จักใช้เงิน เงินก็เป็นเรื่องบวก

เหมือนกับไฟฟ้ามี 2 ขั้ว ขั้วบวกขั้วลบรวมขึ้นมา จึงจะมีพลังไฟฟ้า ในโลกนี้ก็มีพลัง 2 ชนิด ชนิดหนึ่งเป็นบวก มันเป็นพลังของพระเจ้า เมตตา พลังรัก ดูแล พลังพรต่างเป็นพลังบวก อีกชนิดหนึ่งมันเป็นพลังลบ ก็คือพลังของมารที่เราพูดถึง พลังของมารจะผูกมัดให้คนอยู่แต่ในโลกนี้และจะทดสอบความ โลภ โกรธ หลง ปัญญากับความสามารถในการแก้ไข ความจริงมันมิใช่ดีและมิใช่ไม่ดี ต้องดูการใช้ของเรา มันก็จะกลายเป็นดีหรือไม่ดี พลังลบสามารถทำให้เราเรียนรู้การแก้ไขและปรับมันกลับกลายเป็นสิ่งที่ใช้ได้

ไม่ว่ามหาอาจารย์ท่านใดก็ตาม เช่น พระพุทธเจ้า พระเยซูคริสต์ โมหะหมัด โซเครติส และเพลโต ต่างๆ เป็นต้น พวกท่านมายังโลกนี้เพื่อมาสอนให้คนรู้จักปรับพลังลบ พลังทางด้านซ้าย จับมันรวมกับพลังบวก คนจีนพูดว่า “ลบบวกรวมกันเป็นหนึ่งเดียว” มีลบมีบวกจึงจะดี ทำไมต้องทำเช่นนี้? คนเราไม่มีลบบวกหรือ? มี! แต่อาจมีลบมากเกินไป บวกน้อยไป ดังนั้นเราจึงไม่สมดุลเลย เราจึงอ่อนไหวง่าย เหมือนกับใบไม้ที่ปลิวไปตามสายลม โดยปราศจากการตัดสินใจด้วยตนเอง ถ้าเราวิ่งตามโลกนี้ วิ่งตามความโลภ โกรธ หลง เมื่อนั้นเราก็วิ่งตามด้านลบ วิ่งตามพลังลบ และเมื่อนั้นมหาอาจารย์จะบอกเราว่า ควรจะเพิ่มบวกเข้าไปหน่อยจึงจะดี มิฉะนั้นเราจะเอียงไปทางซ้ายมาก มันลบเกินไป ก็จะถูก “ด้านลบ” ตัวนี้มัดเอาไว้แน่นตลอด


201106-06-144211-1.gif


        มหาอาจารย์เปรียบเหมือนช่างประปาและช่างไฟฟ้า

บวกคืออะไรหรือ? เป็นพลังบวก พลังบวกคือความเมตตา พลังรัก คือการรู้แจ้ง มีแสงสว่าง ปีติยินดี มีพลังพร มันมาจาก “เบื้องบน” พลังลบมาจากทางโลกหรือ “ข้างล่าง” พลังหนึ่งดึงเราลงไป อีกพลังดึงเราขึ้นไป อยู่บนสวรรค์หรือที่อยู่ของทูตสวรรค์ พวกเขาบวกมากเกินไป ดังนั้นพวกเขาไม่เข้าใจว่า ความทุกข์คืออะไร และไม่เข้าใจว่าจะเห็นใจคนอื่นที่ทุกข์ได้อย่างไร เราอยู่โลกนี้ ความทุกข์มากเหลือเกิน ดังนั้นเราจึงจำได้แต่ความทุกข์ ความสุขจำไม่ค่อยได้ เข้าใจความสุขได้น้อยมาก เวลาแห่งความสุขน้อยเกินไป ความทุกข์มีมาก อาจารย์ขอยกตัวอย่าง: พวกเธอทำงานวันละ 8 ชม. 10 ชม. กลับบ้านรับประทานข้าวได้แค่ 2-3 ชาม เวลารับประทานข้าวก็คือเวลาที่เรามีความสุข แต่ต้องใช้เวลา 10 ชม.มาแลก เมื่อเราอยู่กับสามีหรือภรรยา เราจะมีความสุข เราบอกว่า เราอยู่บนสวรรค์ แต่เธอลืมไปว่ามีหน้าที่มากมายที่ผูกติดกับความสุขนี้ หลังจากเธอแต่งงานแล้ว 20 ปี 30 ปี 40 ปี ต้องมีความรับผิดชอบต่อผู้นั้น แล้วยังต้องมีความรับผิดชอบต่อลูกๆ ด้วย ต้องทำงานทั้งวัน ดูแลอาหาร 3 มื้อ เสื้อผ้าของตัวเอง แล้วยังต้องดูแลเด็กๆ จนกว่าเด็กจะมีอายุครบ 20, 25, 30 ปี ก็ยังดูแลไม่หมด ต่อไปเขาแต่งงานแล้วมีลูก ก็จะพาลูกมาให้เธอดูแล ดังนั้นสวรรค์ที่นี่นั้นเวลาสั้นมาก เวลาแห่งความสุขนั้นน้อยเหลือเกิน เราใช้พลังกาย จิตใจมากมาย จึงจะมีความสุขเล็กๆ น้อยๆ (ทุกคนปรบมือ)

ทำไมเราต้องหาด้านบวก? จะหาได้อย่างไร? เพราะเราขาดด้านบวก ดังนั้นเราจึงไม่มีความสุข ทำงานก็เหน็ดเหนื่อย เวลาแห่งความสุขก็น้อยมาก ดังนั้นเวลาประทับจิต อาจารย์จะช่วยพวกเธอเปิดน้ำของพลังบวก มันเหมือนกับก๊อกน้ำ ข้างหนึ่งเย็น ข้างหนึ่งร้อน ก๊อกน้ำที่เย็นก็เหมือนพลังลบ ก๊อกน้ำที่ร้อนก็คือพลังบวก ถ้าเราเปิดมันพร้อมกันเมื่อน้ำรวมกัน เมื่อน้ำรวมกัน เราอาบน้ำ ก็จะไม่เป็นหวัด และอาบได้สบายสดชื่น แล้วโรคภัยไข้เจ็บทางร่างกายก็จะน้อยลง เราจึงจะมีพลัง จิตใจ เพื่อต่อสู้กับความทุกข์ งาน และความรับผิดชอบทางโลกในวันต่อไป ถ้าเราอาบน้ำเย็นทุกวัน ร่างกายแข็งแรงก็ไม่เป็นไร ถ้าไม่แข็งแรง อาจมีอันตรายถึงชีวิต

โลกนี้ให้ความทุกข์และความกลุ้มใจมากมายเหมือนกับเราอาบน้ำเย็นทุกวันจนนานเกินไป อยากมีความอบอุ่น ดังนั้นอาจารย์จึงได้มาบอกพวกเธอว่า ยังมีก๊อกน้ำอีกอันหนึ่ง มันเป็นน้ำร้อน ถ้าหากเปิดรวมกับก๊อกน้ำที่เย็นของพวกเธอ พวกเธอจะรู้สึกสบาย จะไม่เจ็บป่วยง่าย แม้จะเจ็บป่วยบ้าง ก็จะรู้สึกสบาย ไม่หนักมาก แต่น้ำก๊อกตัวนี้มันปิดอยู่ ถึงแม้จะมีก๊อกน้ำ และมีน้ำอยู่ข้างใน แต่ก๊อกน้ำติดขัดอยู่ข้างใน อาจารย์มาซ่อมให้ก็ใช้ได้ เปิดได้แล้ว และมีน้ำทันที เหมือนกับการประทับจิต อาจารย์เหมือนกับช่างประปาและช่างไฟฟ้า อาจารย์ช่วยพวกเธอต่อไฟฟ้า พวกเธอก็มีไฟฟ้า ช่วยซ่อมก๊อกน้ำให้ พวกเธอก็มีน้ำ มันเป็นเช่นนี้ เพราะกลัวพวกเธออาบน้ำเย็นทุกวันนานเกินไป จะเจ็บป่วย แล้วจะช่วยไม่ทัน


1209197749.jpg


        การบำเพ็ญไม่มีการขาดทุน

บางคนพูดว่า “ไม่เอา ไม่เอา ข้าพเจ้าอาบน้ำเย็นจะประหยัดกว่า “ตกลง อาจารย์เห็นด้วย แต่ควรจะทราบว่าเมื่อเวลาผ่านไปอีกสักระยะ จ่ายให้กับแพทย์หรือร้านขายยาจะมากกว่านี้! ดังนั้นบางคนบอกกับอาจารย์ว่า “ข้าพเจ้าไม่อยากประจิตกับท่าน ข้าพเจ้าเวียนว่ายตายเกิดก็ได้ ข้าพเจ้าสามารถรับความทุกข์ของโลกนี้ได้ ไม่อยากไปสวรรค์ ไปสวรรค์ต้องรับประทานมังสวิรัติ ยุ่งยาก! วางเนื้อสัตว์ไม่ลง เนื้อสัตว์มันอร่อยดี” หรือพูดว่า “ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม โอ! มันยากจริงๆ! ศีลมากมายเหลือเกิน มันสับสน ยุ่งยากเกินไป ค่าของการประทับจิตมันสูงเกินไป ไม่เอาละ! “ แต่ว่า ควรจะทราบว่า ตกนรก ถูกไฟเผา มันยิ่งทุกข์กว่านี้! เปรียบกับการถือศีลเวลานี้ เวลานั้นยิ่งทุกข์กว่า เปรียบเทียบกับวางเนื้อสัตว์ ปลา ลงในขณะนี้ จะยิ่งทุกข์กว่า บางคนบอกกับอาจารย์ว่า “โธ่! ประทับจิต แล้วต้องนั่งสมาธิ 2 ชม. ตายจริง! ทนไม่ไหว! เวลา 2 ชม. มาหาความสุขทางโลกดีกว่า เราทราบแต่ว่า เวลานี้เรายังมีชีวิตอยู่ ใครจะไปรู้อนาคต?”  ต้องรู้อนาคตแน่! เมื่อเราตาย เราเสียใจ มันก็ช้าเกินไป ไม่มีใครมาเป็นเพื่อนเรา เวลาที่เราเสวยสุข มันนำความยุ่งยากมาให้เรา เช่น เราเสพสุขกับพวกเนื้อสัตว์ ปลา สุรา ร่างกายของเราก็จะไม่สบายยิ่งขึ้น ดังนั้นโรงพยาบาลจึงมีแต่คนรับประทานเนื้อสัตว์ ดื่มสุรา ผู้รับประทานมังสวิรัติเจ็บป่วยน้อยมาก และเมื่อถึงเวลาเราจะตาย กรรมจะอยู่กับเรา ไม่มีผู้อื่น ญาติมิตรก็เป็นเพื่อนเราไม่ได้

ถ้าเราบำเพ็ญกับอาจารย์ ประทับจิต บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม หรือบำเพ็ญทั้งสามีภรรยา เรามิเพียงมีความสุขกับครอบครัว ต่อไปเราจะไปด้วยกัน จะมั่นคงกว่า เราเสียสละเวลาเพียง 2 ชม. เพื่อนั่งสมาธิ แล้วเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป ดอกเบี้ยมันคุ้มใช่ไหม? (ทุกคนปรบมือ) ไม่ขาดทุนแน่นอน! บำเพ็ญกับอาจารย์ มีดอกเบี้ยมาก ไม่ขาดทุน

กฎแห่งลบบวกเป็นเช่นนี้ ถ้าเรามีลบมากเกินไป เราก็จะจมอยู่ในสถานที่ลบ มันเป็นกฎแห่งกรรม เราปลูกลบก็จะได้ลบ เราปลูกบวก ก็จะขึ้นสวรรค์ แต่ว่า ถ้าเราปลูกทั้ง 2 อย่าง ลบกับบวกสมดุลกัน ลบกับบวกรวมกัน เราก็จะกลายเป็นคนที่สมดุล – สำเร็จเป็นพุทธะ “พุทธะ” มิใช่มีแต่บวก มีทั้งลบและบวก ดังนั้นเราจึงเห็นสัญลักษณ์ของเต๋าข้างหนึ่งเป็นลบ ข้างหนึ่งเป็นบวก แล้วข้างที่เป็นบวก จะมีลบอยู่ส่วนหนึ่ง ส่วนข้างที่เป็นลบ จะมีบวกอยู่ส่วนหนึ่ง ความหมายเป็นเช่นนี้ เป็นนักพรต ผู้ที่บรรลุธรรม ท่านต้องมีทั้งลบและบวกด้วยกัน ท่านมิได้เป็นบวกทั้งหมด และมิได้เป็นลบทั้งหมด ถ้าท่านเป็นบวกทั้งหมด ท่านจะไม่เข้าใจถึงส่วนเป็นลบของสรรพสัตว์ ท่านให้อภัยสรรพสัตว์ไม่ได้ ไม่รู้ใจของพวกเขา ติดต่อกับพวกเขา ปลอบใจสรรพสัตว์มิได้ ถ้าท่านลบเกินไป ท่านก็จะเหมือนพวกเรา รับประทาน ดื่ม เล่นสนุก อวิชชา ไม่รู้แจ้ง ไม่มีพลัง ไม่สามารถช่วยพวกเราได้

พลังบวกหรือพลังช่วยชีวิตนั้นอยู่ภายในของเรา นั่นคือความหมายของ “จิตเดิมแท้ดีงาม” ขณะนี้เราถูกมันขัดไว้ ถูกกรรมห้อมล้อม มองไม่เห็น ถ้ามีใครคนหนึ่ง ท่านสามารถเปิดบวกได้โดยเฉพาะ แล้วซ่อมแซมให้เรา เราก็จะได้รับประโยชน์ ประทับจิตก็คือเช่นนี้ อาจารย์ช่วยเพื่อนบำเพ็ญหรือลูกศิษย์ เปิดความเมตตา พลังรักของเขาออกมา ความเมตตาและพลังรักจะดูแลเขาทุกวัน ชาวคริสต์เรียกว่าพระเจ้า รู้จักพลังรักและเมตตา ก็คือการรู้จักพระเจ้า


yy0707-2.jpg


        สนามแม่เหล็กของผู้บำเพ็ญ

ถ้าเราไม่บำเพ็ญ ตายแล้วเราจะไปไหน? มีนรกหรือเปล่า? มีสวรรค์หรือเปล่า? คำตอบคือ “มี!” นรกคืออะไร? มันสร้างมาจากกรรมของเราเอง ความคิดที่มืดมนของเรา การกระทำที่ไม่ถูกต้องของเรา มันจะสร้างสนามแม่เหล็กชนิดหนึ่ง บรรยากาศชนิดนี้ ไม่ว่าอะไรมันจะไม่สูญไป มันจะอยู่ในจักรวาลนี้ เราพูดอะไรออกไป มันไม่สูญไป เราคิดอะไร มันก็ไม่สูญไป มีสิ่งหนึ่งบันทึกการกระทำของกาย วาจา ไม่ว่ากาย วาจา ใจจะถูกหรือผิด ก็จะกลายเป็นบรรยากาศพิเศษชนิดหนึ่งห้อมล้อมเราไว้ วิ่งตามเราไปทุกหนทุกแห่ง เมื่อเรามีชีวิตอยู่ มันจะล้อมอยู่ข้างตัวเรา วิทยาศาสตร์เรียกว่า มันเป็นสนามแม่เหล็กของคน เมื่อคนตายแล้ว สนามแม่เหล็กนี้ก็จะล้อมอยู่รอบกายอีกชนิดหนึ่ง นอกจากเธอเป็นผู้บำเพ็ญที่มีพลังและยิ่งใหญ่ เธอจึงสามารถสลายมันไปได้ มิฉะนั้นมันไม่ง่ายจริงๆ! กลาย 100 ปีผ่านไป สนามแม่เหล็กนั้นจึงจะค่อยๆ สลายไป มันไปอีกที่หนึ่ง หรือถูกเหตุการณ์หรือผู้อื่นดูดไป และจางไป

เหมือนเรามีโรงงานใหญ่ ทำอาหารได้มากมาย แล้วมีควันลอยขึ้นไปกลายเป็นเมฆสีดำ เมฆดำเหล่านี้ไม่สลายไปทันที ดังนั้นสถานที่บางแห่งมีโรงงานมากเกินไป บนท้องฟ้าจึงมีแต่เมฆดำ มันไม่ดีต่อร่างกายคน โลกนี้มีสถานที่แบบนี้มากมาย เพราะถูกเมฆดำล้อมไว้ ไม่มีออกซิเจนมากพอ ผู้คนและเด็กต้องใช้กล่องออกซิเจนหายใจ

ในทำนองเดียวกัน ภายในของเราก็มีควันออกมาแล้วกลายเป็นบรรยากาศที่ดีหรือไม่ดี ทำให้คนสบายหรือไม่สบาย เราสร้างบรรยากาศชนิดนี้ เราจะถูกกระทบเป็นคนแรก ผู้อื่นก็จะเดือดร้อนไปด้วย เหมือนคนสูบบุหรี่ เขาทำร้ายร่างกายของตัวเอง ผู้อยู่ข้างๆ จะสูบควันนั้นเข้าไปด้วย ก็จะรู้สึกไม่สบาย ดังนั้น พวกเราบำเพ็ญ จะเป็นผู้ที่ช่วยผู้อื่นได้มาก พวกเราดูแลกาย วาจา ใจของตัวเอง ไม่ให้มันทำผิด พูดเรื่องไม่ดี แล้วมาทำร้ายตัวเอง ทำร้ายผู้อื่น เราสูบอากาศบวกจากข้างบน สูบพลังของพระเจ้า เพื่อให้พรกับเรา ทำให้เราฉลาดยิ่งขึ้น มีอิทธิฤทธิ์ที่ไร้รูปมากขึ้น มิใช่อิทธิฤทธิ์ชนิดที่ต้องท่อง “ฮูลา ฮูลา โอม” เพื่อให้คนได้เห็น อาจารย์หมายถึงอิทธิฤทธิ์ที่อยู่เหนือ 3 โลก มันเป็นอิทธิฤทธิ์ของพุทธะ อิทธิฤทธิ์ของพระเยซู พวกเราจะช่วยผู้อื่นอย่างธรรมชาติ เราไม่จำเป็นต้องรู้ แต่จะทราบดีอย่างชัดเจน บางครั้งเราก็ทราบดี แต่มิได้ทำด้วยเจตนา เหมือนกับดอกไม้ มันมิได้แกล้งมีกลิ่นหอม มันมีกลิ่นหอมโดยธรรมชาติ

พวกเราบำเพ็ญแล้ว กาย วาจา ใจจะสะอาดยิ่งขึ้น แล้วเราจะมีปัญญามากขึ้น พลังมากขึ้น เราทำงานอะไร ก็จะเป็นประโยชน์สำหรับตัวเราและผู้อื่น เราจะเป็นผู้ที่ประเสริฐ แล้วเราจะสร้างสนามแม่เหล็กที่เป็นสุข สดชื่น และช่วยผู้อื่นได้ จะไม่สร้างสนามแม่เหล็กที่มืดมน ทำให้คนอื่นรู้สึกเหนื่อยมีกรรมมาก สมัยที่พระเยซูมีพระชนม์อยู่ คนมากมายทราบดีว่า พระองค์มีพลัง มีคนหนึ่งที่ป่วยหนัก เธอจึงมาแอบจับเสื้อผ้าของพระเยซู แล้วเธอก็หายเจ็บป่วย เราจะไปพูดว่าพระเยซูใช้อิทธิฤทธิ์ “ฮูลา โอม” มาช่วยเธอไม่ได้ ไม่มี! ขณะนั้นพระเยซูก็ไม่ทราบว่า ใครมาขโมยพลังของพระองค์ ดังนั้นพระองค์จึงมองไปรอบข้างแล้วถามว่า “ใครมาจับเสื้อผ้าของข้าพเจ้า?” หญิงผู้นั้นจึงตกใจ เดินออกมาสำนึกบาปว่า “ข้าพเจ้านี่แหละที่ไปจับเสื้อผ้าของพระองค์ ขณะนี้ข้าพเจ้าหายป่วยแล้ว ขอบพระคุณพระองค์! พระองค์โปรดอภัยให้ข้าพเจ้า!” พระเยซูจึงตรัสว่า “ดีแล้ว ไม่เป็นไร ความศรัทธาในใจของเธอได้ช่วยเธอเอง!” นั่นคืออิทธิฤทธิ์ที่แท้จริง พระองค์มิได้แสดงอิทธิฤทธิ์ ตัวพระองค์ก็คืออิทธิฤทธิ์! ผู้ใดมีความสัมพันธ์กับพระองค์ สัมผัสกับพระองค์ ก็จะได้รับประโยชน์


yin-yang-.jpg


        เสียงจากภายใน

เราเคยได้ยินว่า มีคนหูหนวก แล้วพระเยซูไปช่วย เขาก็สามารถได้ยินเสียง การได้ยินนี้มันแตกต่างจากที่เราได้ยินกับหู อาจารย์ทราบว่าการ “ได้ยิน” นี้คือ “การได้ยินจากภายใน” ดังนั้นลูกศิษย์ของอาจารย์บางคนหูหนวก ก็สามารถได้ยินเสียงพุทธะจากภายใน เสียงของพระเจ้า คนทั่วไปมีหูเป็นปกติ แต่ไม่ได้ยินเสียงชนิดนั้น ได้ยินแต่เสียงทางโลก สำหรับเสียงของพระเจ้า พวกเขาเหมือนคนหูหนวก คนทีหูหนวกเมื่อมาเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ แม้พวกเขาจะไม่ได้ยินเรื่องราวที่ดีหรือเลวของทางโลก แต่พวกเขาได้ยินแต่เสียงที่ดีที่สุด เป็นเสียงที่ไพเราะที่สุด เป็นสุขที่สุด มีปัญญาที่สุด ช่วยเหลือได้มากที่สุด ช่วยชีวิตได้มากที่สุด ฟังเสียงนั้นดีกว่ามาฟังเรื่องราวของภายนอก! ดังนั้น ได้ยินเสียงภายนอกมิได้วิเศษอะไร ได้ยินเสียงจากภายในต่างหากที่สำคัญ!

เสียงจากภายในนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้หูฟัง ถ้าเราสามารถฟังได้เอง ก็ดี ถ้าฟังเองไม่ได้ เราควรจะไปหาอาจารย์ที่สามารถที่จะเปิดแก้วหูได้ เพื่อขอให้ท่านช่วยเปิดแก้วหูที่อยู่ภายในของเรา แล้วเราก็จะได้ยิน แต่ว่า ถ้าเราสามารถได้ยินเอง อาจมิใช่เสียงที่สูง บางครั้งเราได้ยินเสียงแล้วหรือเห็นแสงแล้ว ยังต้องไปหามหาอาจารย์มายืนยัน มาดูว่า อันดับชั้นของเราอยู่ที่ไหน? แล้วใช้พลังของท่าน ดึงเราให้สูงขึ้นไปอีก เพื่อยกอันดับชั้นของเรา เราบางทีชาติก่อนได้บำเพ็ญ ดังนั้นชาตินี้จึงได้ยินเสียงได้ เห็นแสงได้ แต่ถ้าไม่มีมหาอาจารย์ เราไม่สามารถไปที่สูงที่สุด มหาอาจารย์มาจากดินแดนที่สูงที่สุด จึงทราบหนทางดี สามารถพาเราไปสู่ที่สูงสุด


Taoism+Yin+Yang.jpg


        เปิดพลังที่เป็นบวก

ถาม: ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าเข้าใจพลังบวกที่ท่านพูดได้อย่างง่ายดาย แต่ว่าขอให้ท่านอาจารย์บอกข้าพเจ้าอีกว่า พลังบวกที่ว่านี้จะช่วยเราในเวลาไหน? เมื่อสักครู่ฟังท่านอาจารย์ยกตัวอย่างมาหลายเรื่อง จะยกตัวอย่างอีกสักเรื่องได้ไหม?

อาจารย์: ได้! ในโลกนี้ พลังบวกทำงานได้อย่างมากมาย แต่เราไม่รู้สึกว่า มันได้มาช่วยเรา แต่มันช่วยเราจริงๆ เป็นต้นว่า เมื่อใดก็ตามที่เราเปิดเอาพลังบวกนี้ออกมาใช้ และเมื่อนั้นเราจะรู้สึกมีความสุข สมมุติว่าเธอเห็นคนหนึ่งจนเหลือเกิน ป่วยหนัก ไม่มีใครดูแล ทันใดนั้นเธอรู้สึกสงสาร จึงเอาเงินให้เขา ดูแลเขาไปสักพักหนึ่ง แล้วตัวเองก็รู้สึกเป็นสุข นั่นก็คือพลังบวกที่ช่วยผู้อื่นและช่วยตัวเราเอง มิใช่เราจะเห็นและรู้สึกต่อหน้าที่เท่านั้น ต่อไปเธอเจ็บป่วย ผู้อื่นจะมาช่วยเธอมากกว่านั้น มากกว่าที่เธอช่วยผู้อื่นมาก่อน สมมุติว่า เธอให้ผู้อื่น 100 บาท ต่อไปเธอป่วย คนอื่นจะมาให้เธอ 10,000 บาท หรือเธอมิได้ป่วย แต่ไปช่วยเหลือผู้ป่วยบ่อยๆ ต่อไปเธอก็จะไม่เจ็บป่วย พลังบวกช่วยเราแบบนี้แหละ

แต่เรามีโอกาสจะใช้พลังบวกนี้น้อยมาก เพราะเรามันอ่อนแอเกินไป ถูกพลังลบควบคุมไว้ ดังนั้นจึงต้องมีมหาอาจารย์มาช่วยเราเปิดก๊อกน้ำที่เป็นบวกและมีพลังมากที่สุด เวลานี้มันขัดข้อง ทุกวันมันมีแค่น้ำเป็นหยดๆ เท่านั้น อาจารย์ซ่อมแซมจนหายดี พอเปิด ก็มีน้ำออกมามากมาย ใช้ไม่หมด ต่อไปมันจะมีน้ำมากมาย ไม่ต้องซ่อม ไม่ต้องรอมันหยดทีละหยด รอทั้งวันมีน้ำแค่นิดหน่อย ขอเพียงเปิดหัวก๊อกน้ำ น้ำจะแรงและมีมาก

พลังบวกมีอยู่ภายในของเรา สมมุติว่า หลังจากประทับจิต เธอก็ติดต่อกับพระเจ้าทุกวัน หรือติดต่อกับพุทธะหรือจิตเดิมแท้ สามารถเห็นพระเยซูได้ เห็นพุทธะ เห็นพระโพธิสัตว์กวนอิม เมื่อนั้นเราอยู่ต่อหน้าท่านเหล่านั้น ถามอะไรก็ได้ พวกเธอขออะไร จะเป็นความจริงทั้งหมด เราติดต่อกับพลังที่ยิ่งใหญ่นั้น พวกเราใช้ไม่หมด พลังบวกที่แท้จริงเป็นเช่นนี้ ต่อไปมันจะดูแลจิตวิญญาณของเรา ในโลกนี้มันจะดูแลชีวิตเรา เราจะดีทุกสิ่งทุกอย่างในทุกๆ ด้าน! ธรรมวิถีกวนอิม รักษาทุกโรค รักษาโรคกลุ้มใจ โรคอวิชชา โรคโลภ โกรธ หลง รักษาโรคนรก ผีเปรต สัตว์เดรัจฉาน เราจะไปดินแดนสวรรค์ พุทธเกษตร ไม่ต้องลงนรกหรือมาเกิดเป็นคนเพื่อรับทุกข์ทรมานอีก ถ้าเราอยากมาเกิดเป็นคนก็ได้ เราคิดจะช่วยผู้อื่น เราก็มาเกิดเป็นคนได้ แต่เป็นเรื่องที่เรายินยอมเอง มิใช่เป็นคนอวิชชาที่ถูกกรรมมันดึงลงไป แล้วต้องเวียนว่ายตายเกิด ทุกข์ทรมาน

พลังบวกวิเศษจริงๆ เมื่อยังมิได้เปิด เราจะเป็นทุกข์ ว้าเหว่ เมื่อเปิดแล้ว เราจะรู้สึกว่า เรายิ่งใหญ่ขึ้นทุกวัน มีพลังมากขึ้นทุกวัน มีความพอใจยิ่งขึ้น มีความสุขมากขึ้น ไม่ขาดแคลนอะไร ไม่ยึดติดกับวัตถุทางโลก แล้วเมื่อนั้นเราจึงจะปล่อยวางโลกนี้ได้ง่ายดาย ขณะนี้พลังบวกของพวกเธอยังมิได้เปิด ดังนั้นอาจารย์พูดตั้งนาน พวกเธอก็ยังไม่เข้าใจ ขณะที่เราประทับจิต เปิดแล้วจะเข้าใจทุกวัน ทุกวันจะเข้าใจว่า พลังบวกช่วยเราได้อย่างไร ขณะนี้ยังมิได้เปิด พูดทำไม? เหมือนเราไม่มีเงิน ไม่ทราบจะซื้ออะไรดี? มีเงินก็จะทราบดี ไปซื้อขนมปังได้ ซื้อเต้าหู้ ซื้อแป้งหมี่กึน (ทุกคนหัวเราะ) แต่งงานได้



yinyang1.jpg


        พลังลบก็ให้ประโยชน์กับคนได้

ถาม: ขอเรียนถามท่านอาจารย์ว่า เมื่อสักครู่นี้ท่านแนะนำพลังบวก ขอรบกวนท่านให้อธิบาย พลังลบจะช่วยเราได้อย่างไร?

อาจารย์: ถ้าเราสามารถปรับพลังลบ มันก็ช่วยเราได้ เป็นต้นว่า ทุกคนบอกว่าเงินล่อใจคน ทำให้คนฆ่าสัตว์ ทำให้สามีภรรยาหย่าร้าง ทำให้พี่น้องแตกแยกกัน ทำให้ครอบครัวทะเลาะกัน ทำให้คนรับสินบนกลายเป็นข้าราชการฉ้อโกง ทำให้คนเป็นคนเลว แต่ถ้าเราเองรู้จักใช้เงิน เรามีเงินยิ่งมากยิ่งดี ไม่มีปัญหา ถ้าคนที่โลภมากหรือคนที่ถูกเงินควบคุมมีเงินมาก มันยิ่งโลภมาก แต่ถ้าคุมเงินได้ และเป็นคนที่ไม่สนใจเงิน เขาจะเป็นคนใจกว้าง เขามีเงินมากก็ยิ่งดี เขาจะช่วยผู้ยากจน เด็กกำพร้า แม่หม้าย เขาสร้างโรงพยาบาลได้ ช่วยเหลือผู้เจ็บป่วย ดังนั้นเงินจึงมิใช่สิ่งที่เลวร้าย

พลังลบ เหมือนกระแสไฟฟ้ามี 2 ขั้ว ขั้วหนึ่งเป็นบวก ขั้วหนึ่งเป็นลบ ถ้าไม่มีขั้วลบ ไฟจะไม่สว่าง ดังนั้นพลังบวกกับพลังลบ ก็เป็นพลังเหมือนกัน แต่ทำงานต่างกัน เป็นเพราะเราใช้ไม่เป็น มันจึงไม่ดี ดังนั้นจึงต้องการมหาอาจารย์ ท่านจะสอนเรา จะใช้พลังลบให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร หลังจากบำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม แล้วจะเข้าใจ ความจริงไม่มีดีกับไม่มีเลว ไม่มีบวกและไม่มีลบ แต่เรามองแตกต่างกัน เราไม่เข้าใจ สำหรับผู้ที่ยังไม่รู้แจ้ง พลังบวกก็ไม่มีประโยชน์ต่อเขา เขาใช้ไม่เป็น เขาจะใช้มันทำผิด สมมุติว่า คนที่ไม่รู้แจ้งเห็นคนที่มีเจตนาดี เขาจะถือโอกาสนี้ไปขอยืมเงินกับเขา แล้วเอาไปดื่มสุรา เล่นการพนันต่างๆ เป็นต้น แต่ถ้าผู้รู้แจ้งแล้ว แม้จะเป็นพลังลบ เขาก็จะใช้มันเป็นประโยชน์ได้


1_1234028053.gif

Be Veg, Go Green 2 Save the Planet				
4 ตุลาคม 2556 22:35 น.

การตื่นตัวของมังสวิรัติในภูเขาหิมาลัย

คีตากะ

vg6-bg.jpg










โดยกลุ่มข่าวฟลอริดา สหรัฐอเมริกา (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)




ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ชาวทิเบตที่มีอิทธิพลจำนวนมากได้กลายเป็นมังวิรัติและได้สนับสนุนให้ผู้อื่นเป็นมังสวิรัติด้วยเช่นกัน ต่อไปนี้เป็นการเล่าอย่างย่อๆ ถึงกิจกรรมของพวกเขา



vg6-1.jpg


ดาไลลามะ

ในวันที่ 5 เมษายน 2548 ดาไลลามะ ได้กล่าวถ้อยคำต่อไปนี้ต่อที่ประชุมของผู้นำชาวทิเบต “เมื่อไม่นานมานี้อาตมาได้เปลี่ยนไปกินอาหารมังสวิรัติ หนุ่มสาวในปัจจุบันนี้โดยเฉพาะผู้ที่มาจากทิเบต และมีสถานะภาพเป็นผู้ลี้ภัย จะต้องมีหลักการเหล่านี้เพื่อการพัฒนาตนเอง และเพื่อความสงบสุขของจิตใจข่าวสารจากมหากรุณา (ภาษาสันสกฤตแปลว่าความเมตตาที่ยิ่งใหญ่) ได้ขอร้องพวกเราอย่างชัดเจน ให้ปฏิบัติและเทศนาเรื่องความรักและความเมตตาแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย” การกระทำอันสูงส่งของดาไลลามะ เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วโลก และเป็นที่น่าสรรเสริญเป็นพิเศษ เพราะว่าท่านได้เปลี่ยนอาหารของท่านเมื่ออายุได้ 70 ปี อันที่จริงท่านปรารถนาที่จะเป็นมังสวิรัติ เมื่ออายุน้อยๆ แต่ถูกขัดขวางโดยความเชื่อที่อยากรู้อยากเห็นของแพทย์ส่วนตัวของท่าน

ในปัจจุบันนี้ อย่างไรก็ตามแพทย์ชาวทิเบตได้ตระหนักถึงผลประโยชน์ของอาหารมังสวิรัติเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงด๊อกเตอร์ เท็นซิน เซฟาว ผู้อำนวยการแห่งการแพทย์ทิเบต “ไม่มีความจำเป็นที่ดาไลลามะจะกินเนื้อสัตว์ ผมจะไม่ออกใบสั่งแพทย์ให้ใครเริ่มกินเนื้อสัตว์อีก แพทย์ชาวทิเบตที่ทำเช่นนั้นค่อนข้างล้าสมัย และไม่ตระหนักถึงหรือเปิดใจสู่ทางเลือกที่ไม่กินเนื้อสัตว์ ผมคิดว่าชาวทิเบตทุกคนควรหยุดกินเนื้อสัตว์”

ในปี 2547 ไก่ทอดเคนตั๊กกี้ได้ประกาศแผนที่จะเปิดภัตตาคารไก่ในทิเบต ซึ่งดาไลลามะได้ตอบโต้ด้วยการเรียกร้องต่อสาธารณดังต่อไปนี้ “ในนามของเพื่อนอาตมา ณ ประชาชนสำหรับการกระทำที่มีคุณต่อสัตว์ (PETA) ผมได้เขียนมาเพื่อที่จะขอร้องให้ไก่ทอดเคนตั๊กกี้ล้มเลิกแผนการที่จะเปิดภัตตาคารในทิเบต เพราะการสนับสนุนในองค์การของคุณในเรื่องความโหดร้ายและการเข่นฆ่าแบบจำนวนมากขัดกับค่านิยมของชาวทิเบต” หลังจากนั้นไก่ทอดเคนตั๊กกี้ก็ล้มเลิกแผนการนี้

ก่อนเหตุการณ์นี้ดาไลลามะได้กระทำการรณรงค์ในเรื่องมังสวิรัติอื่นๆ มากมาย ยกตัวอย่างในปี 2536 ท่านได้ขอให้ภัตตาคารในเมืองดารัมซาราประเทศอินเดียซึ่งเป็นบ้านของชุมชนชาวทิเบตที่ลี้ภัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกให้กลายเป็นมังสวิรัติเพื่อว่าชาวทิเบตจะได้มีโอกาสลิ้มรสอาหารมังสวิรัติที่เอร็ดอร่อยและเรียนรู้ที่จะหยุดการกินเนื้อสัตว์ ผลที่เกิดขึ้นก็คือชาวเมืองท้องถิ่นจำนวนมากได้กลายเป็นมังสวิรัติและสืบเนื่องมาจากภัตตาคารอาหารมังสวิรัติอย่างเช่นเต้าหู้ก็ได้กลายเป็นที่รู้จักต่อชาวทิเบต

ผู้นำอาหารมังสวิรัติชาวทิเบตท่านอื่น
วีรบุรุษมังสวิรัติที่แท้จริงท่านอื่นจากทิเบตคือพระเกชี ทัพเทน เพวเย ผู้ซึ่งหลังจากได้จำศีลเป็นเวลานานหลายปีได้ก่อตั้งขบวนการความเมตตาสากล (www.universalcompassion.org) ในปี 2541 ขบวนการนี้ส่งเสริมอาหารมังสวิรัติและความเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วยวิธีการต่างๆ กัน รวมไปถึงการแจกจ่ายใบปลิวมังสวิรัติทั่วเมืองดารัมซารา


vg6-2.jpg


ปี 2542 เพวเยได้ถูกคัดเลือกให้เป็นประธานของสมาพันธ์ International Gelug Society ซึ่งเป็นตัวแทนของธรรมเนียมชาววัดในทิเบต และได้ผ่านในมติให้นักบวชและแม่ชีทุกคนใน Gelug เป็นมังสวิรัติในปีต่อมาพระสงฆ์ของ Gelug ก็ได้เลือกเขาให้เป็นตัวแทนในสภาของชาวทิเบตในเมืองดารัมซารา ซึ่งเขาได้เสนอกฎหมายที่เป็นประวัติศาสตร์ ประกาศให้ปี 2547 เป็นปีมังสวิรัติของทิเบต ซึ่งชาวทิเบตทุกคนต้องเป็นมังสวิรัติ ต่อมาสภาก็ได้ออกกฎซึ่งการเป็นมังสวิรัติได้รับการสนับสนุนแต่ไม่ได้บังคับ นับเป็นการนำมังสวิรัติเข้าไปสู่จิตใจของชาวทิเบต การปกครองเช่นนี้อาจจะถือได้ว่าเป็นกฎที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สมัยของพระเจ้าอโศกมหาราชในปี 200 ก่อนคริสตกาลซึ่งได้ก่อตั้งการเกิดมังสวิรัติในอินเดีย

อนุชนรุ่นใหม่ของผู้สนับสนุนมังสวิรัติชาวทิเบต 
ในบทนำของนิตยสารไทม์ในทิเบตปี 2547 บูชุง เค เซอร์ริ่ง ผู้อำนวยการรณรงค์ในทิเบตประจำกรุงวอชิงตันดีซี ได้พูดคุยถึงแนวโน้มใหม่สู่การเป็นมังสวิรัติของชาวทิเบตดังนี้

ประเด็นของการกินเนื้อสัตว์ได้กลายเป็นการพูดคุยกันในที่สาธารณะของชาวทิเบตเมื่อไม่นานมานี้ การเปลี่ยนแปลงที่ละเอียดอ่อนในความคิดของประชาชนทิเบตได้เกิดขึ้น เมื่อชาวทิเบตที่หนุ่มสาวเยาวัยกว่ากำลังเลือกอาหารมังสวิรัติ ในทุกวันนี้แม้กระทั่งหมู่คนที่สูงอายุได้พยายามที่จะเปลี่ยนนิสัยการกินเนื้อสัตว์ที่มีมาแต่นมนาน

หนึ่งในผู้ที่สนับสนุนอาหารมังสวิรัติชาวทิเบตที่มีอายุน้อยและทรงพลังที่สุดคือ รัสเซล ซารีวา ผู้ก่อตั้งอาสาสมัครชาวทิเบตเพื่อสัตว์ในต้นปี 2548 ด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนสองคนและการสนับสนุนด้านการเงินจากดาไลลามะ นายซารีวาก็ได้เดินทางภายใต้โครงการ “All India Vegetarian Tour (ทัวร์ทั้งอินเดียเป็นมังสวิรัติ)” ไปยังชุมชนชาวทิเบตที่อยู่ห่างไกลทั่วอินเดีย ซึ่งเขาได้แสดงปาฐกาถาและได้ฉายาภาพยนต์สารคดีเกี่ยวกับมังสวิรัติ ในช่วงของการจาริกเดินทางพระสงฆ์ชาวทิเบตและพระสงฆ์ชาวตะวันตกมากมายได้กลายมาเป็นมังสวิรัติโดยที่มีคน 700 คนสัญญาว่าจะกินมังสวิรัติโดยการเซ็นเอกสาร นอกจากนั้นนายซารีวาก็ได้ออกนิตยสารมังสวิรัติเป็นทางการฉบับแรกที่เป็นภาษาอังกฤษ และภาษาทิเบตเมื่อเร็วๆ นี้ มีคนแนะนำให้เขาหยุดพักเขาก็ได้ตอบว่า “เวลากำลังเหลือน้อยลงเราจะต้องช่วยชีวิตสัตว์ในตอนนี้”

ชาวทิเบตหนุ่มที่มีแรงบันดาลใจอีกคนหนึ่งคือ เท็นซิ่น คุนกา ลูดิ้ง ซึ่งได้กลายเป็นมังสวิรัติตั้งแต่อายุ 10 ขวบ หลังจากที่ได้ฟังเรื่องความทุกข์ทรมานของวัวที่ถูกใช้เป็นเนื้อสัตว์ ด้วยความช่วยเหลือของบิดาของเขา เขาได้ก่อตั้งสมาคมชาวมังวิรัติแห่งทิเบต (T4VS) เท็นซิ่นใช้เวลาจำนวนมากของเขาในการช่วยเหลือสัตว์จรจัด และหวังที่จะซื้อที่ดินในเดลีเพื่อที่จะทำเป็นศูนย์ช่วยเหลือและฟื้นฟูสัตว์

พันธกิจหลักของ T4VS ก็คือการเผยแพร่มังสวิรัติด้วยวิธีการทุกรูปแบบ เท็นซิ่นได้คิดวิธีการที่ชาญฉลาดมากมายเพื่อให้เข้าถึงผู้คนโดยการใช้แผ่นพับ สติ๊กเกอร์หรือโปสเตอร์ บทความ ข่าว และวีซีดี ในปัจจุบันนี้ T4VS กำลังพัฒนาเว็บไซต์ www.T4VS.com และทำวีซีดีใหม่ที่มีเรื่องของพระลามะอันเป็นที่เคารพสูงสุดพูดถึงมังสวิรัติทั้งหมดด้วยเงินของเท็นซิ่น และเงินบริจาคเล็กน้อยจากออฟฟิศส่วนตัวของดาไลลามะ ด้วยเงินของบริจาคของดาไลลามะ เท็นซิ่นได้พูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ท่านนับเป็นดาไลลามะองค์แรกที่เป็นหัวหน้าองค์กรมังสวิรัติและเจแห่งทิเบตองค์กรแรก สิ่งนี้นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของทิเบตเรา”

เพื่อเป็นการเห็นถึงความสำคัญของปีมังสวิรัติในทิเบต T4VS เมื่อเร็วๆ นี้จึงได้จัดทัวร์ดนตรีร็อค ซึ่งจากคำกล่าวของเท็นซิ่นได้บอกว่า “เพื่อเป็นการเผยแพร่ความรักและความเมตตาสู่ทุกผู้ทุกคนที่กินเนื้อสัตว์ ผู้ที่เป็นมังสวิรัติผู้ที่ไม่ใช่เป็นมังสวิรัติและชาวพุทธ และผู้ที่ไม่ใช่ชาวพุทธยินดีต้อนรับเข้าร่วมและสนับสนุนเรา” การเป็นบวกเช่นนี้ ได้ดึงดูดผู้ที่ไม่ใช่มังสวิรัติจำนวนมาก ขณะนี้เท็นซิ่นหวังที่จะทำงานร่วมกับกลุ่มอื่นๆ เพื่อส่งเสริมวิถีชีวิตมังสวิรัติ

โยคีเท้าเปล่า
โยคีอายุ 93 ปี ชาทรัน รินโปเช อาจารย์ที่สอนการทำสมาธิของโรงเรียนนิงมา ซึ่งเป็นประเพณีชาวพุทธที่เก่าแก่ที่สุดของทิเบตได้ใช้เวลาในชีวิตส่วนใหญ่ของเขาอาศัยอยู่ตามลำพังในถ้ำและเดินท่องเที่ยวเท้าเปล่าในเทือกเขาหิมาลัย เกี่ยวกับอาหารมังสวิรัติท่านได้กล่าวว่า “ในประสบการณ์ของข้าพเจ้า ได้พบชาวลามะมากมายในชาม อันโด-ทุกส่วนของทิเบต-ที่ไม่กินเนื้อสัตว์” และเพื่อเป็นการส่งเสริมวิถีชีวิตมังสวิรัติ ท่านลามะได้เขียนเรื่องการกินเนื้อสัตว์ ซึ่งเขาได้กล่าวว่า “การได้ทราบถึงความไม่ดีของเนื้อสัตว์และแอลกอฮอล์ ข้าพเจ้าได้สัญญาที่จะไม่กินเนื้อสัตว์และแอลกอฮอล์ ข้าพเจ้ายังได้ประกาศต่อพระสงฆ์ทั้งหลาย ดังนั้นใครก็ตามที่ฟังข้าพเจ้าก็ขออย่าได้ฝ่าฝืนธรรมะข้อนี้”


vg6-3.jpg


เกี่ยวกับความเชื่อที่ว่าชาวพุทธทิเบตสามารถเปลี่ยนเนื้อของสัตว์ที่พวกเขากำลังจะกินให้เป็นพลังงาน เพื่อทำให้สัตว์หลุดพ้นและด้วยการทำเช่นนี้ทำให้ถึงระดับที่สูงกว่าการรู้แจ้ง เขาได้กล่าวว่า ด้วยพลังเหนือธรรมชาติที่ได้รับจากการนั่งสมาธิ เป็นความจริงที่มีบางคนที่สามารถชุบชีวิตสัตว์จากความตายและช่วยให้พวกมันไปเกิดใหม่ในสถานะที่สูงกว่าโดยได้รับการรู้แจ้งจากการกินเนื้อปริมาณเล็กน้อยของพวกมัน แต่สิ่งนี้ไม่ได้กระทำเพื่อการยังชีพ แต่เพื่อจุดมุ่งหมายในการช่วยเหลือสัตว์เหล่านั้นเท่านั้น ตัวของข้าพเจ้าเองไม่มีพลังเช่นนั้นและด้วยเหตุผลนั้นข้าพเจ้าจึงไม่เคยกินเนื้อสัตว์ ข้าพเจ้าจะสร้างบาปและได้รับกรรมที่เป็นลบ ข้าพเจ้าไม่เสแสร้งคล้ายกับว่ามีพลังของเนื้อสัตว์ ข้าพเจ้าเพียงแต่หลีกเลี่ยงมันทั้งหมด

มีลาเลอปาในปัจจุบัน
ดรับวัง รินโปเช อาจารย์ที่สอนสมาธิจากเชื้อสายคายูของมิลาเลอปา ได้ใช้เวลาหลายปีเช่นกัน ในการจำศีลและในขณะนี้ได้สอนคนให้มีชีวิตด้วยมังสวิรัติบริสุทธิ์ และทำสมาธิโดยท่องชื่อศักดิ์สิทธิ์ในฌานครั้งหนึ่ง ที่กระทำโดย ลามะดรับวัง คน 70 คนได้ปฏิญาณที่จะเป็นมังสวิรัติ และหลังจากที่เขาได้ไปเยี่ยมหมู่บ้านจำนวนมากในเมืองลาดัก ชาวเมืองก็สัญญาที่จะปิดตลาดขายเนื้อของพวกเขาเป็นเวลาหนึ่งวันต่อสัปดาห์ เกี่ยวกับพื้นฐานของการเป็นมังสวิรัติ ดรับวังได้พูดว่า “ถ้าหากบุคคลคนหนึ่งมีความตั้งใจที่แน่วแน่อย่างแรงกล้า บุคคลผู้นั้นจะหลีกเลี่ยงการกระทำชั่วร้ายทั้งหมดและภายใต้สถานการณ์ใดๆ แน่นอนเราพบกับความยากลำบากในการเป็นมังสวิรัติเต็มตัว แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเกิดอุปสรรคนั้นขึ้น เราควรจะจำไว้ว่าสรรพสัตว์ทุกตน ณ จุด จุดหนึ่งทุกคนได้เคยเป็นพ่อแม่ของเรามาก่อน”


vg6-4.jpg


บทสรุป
กรณีของชาวมังสวิรัติชาวทิเบตผู้สูงส่งที่ได้พูดถึงข้างต้นนั้น ได้เปิดเผยว่าจิตสำนึกของมนุษยชาติได้ถูกยกระดับขึ้นแล้วจริงๆ บุคคลที่มีคุณธรรมเหล่านี้ได้เปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมที่มีมานานนับพันปีอย่างชาญฉลาด ซึ่งได้แสดงให้เห็นว่ายุคมังสวิรัติได้ใกล้เข้ามาสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับศาสนาพุทธทิเบตและมังสวิรัติโปรดเยี่ยมชมที่ www.shabkar.org หรือ www.veggiedharma.org




ฺBe Veg, Go Green 2 Save the Planet				
4 ตุลาคม 2556 22:37 น.

นักวิทยาศาสตร์และนักประดิษฐ์ที่มีชื่อเสียงเป็นมังสวิรัติ

คีตากะ

vg5.jpg











โดยกลุ่มข่าวฟลอริดา สหรัฐอเมริกา (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)


      เพื่อที่จะเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติของโลกเหล่านักคิดและนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของโลกจำนวนมากในประวัติศาสตร์ ได้บริโภคมังสวิรัติและได้ยืนยันถึงความจำเป็นจากจุดยืนถึงคุณธรรมและทางด้านตรรกะ

ยกตัวอย่างเซอร์ ไอแซ็ค นิวตัน “บิดาแห่งวิชาฟิสิกส์” และลีโอนาโด ดาวินชี่ นักฟิสิกส์ซึ่งได้ค้นพบในเรื่องที่สำคัญของไฮดรอลิก ทัศนศาสตร์ และเครื่องกล ทั้งสองต่างก็เป็นมังสวิรัติ อันที่จริงดาวินชี่ มีความศรัทธาอย่างแรงกล้าในมังสวิรัติจนเขาถึงกับซื้อไก่ที่อยู่ในกรงและปล่อยมันให้เป็นอิสระ นอกจากนั้นสีนิวาสะ รามานุจัน (2330 – 2463) ซึ่งเป็นนักคณิตศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงร้อยปีที่ผ่านมานี้ก็เป็นมังสวิรัติ

นักมังสวิรัติที่กระตือรือร้นอีกคนหนึ่งเป็นนักประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่เป็นนักฟิสิกส์และวิศวกรก็คือนิโคล่า เทสลา (2399-2486) ได้ประดิษฐ์ระบบไฟฟ้ากระแสสลับ ซึ่งให้พลังสร้างความเจริญในปัจจุบัน ได้ใช้ชีวิตกินอาหารที่หรูหราและสั่งอาหารตามสั่งที่โรงแรมโอดอปแอสตอเรียในนิวยอร์ก เกี่ยวกับประโยชน์ทางด้านร่างกายและจิตใจของอาหารมังสวิรัติ เทสลาได้เขียนไว้ว่าโดยหลักการทั่วไปการเลี้ยงวัวควายเพื่อเป็นอาหารนั้นเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ เป็นการดีกว่าแน่นอนที่จะปลูกพืชผัก และผมคิดว่ามังสวิรัติเป็นการเลิกนิสัยแบบคนป่า ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสรรเสริญการที่เรายังชีพด้วยอาหารที่เป็นพืชและทำงานของเราอย่างเป็นประโยชน์ไม่ใช่เป็นเพียงทฤษฎี แต่เป็นความจริงที่ได้มีการแสดงให้เห็นเป็นอย่างดี ชนเผ่ามากมายที่เกือบจะกินผักแต่อย่างเดียวมีร่างกายและความแข็งแกร่งที่ดีกว่า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอาหารจากพืชบางชนิดเช่น ข้าวโอ๊ต ประหยัดกว่าเนื้อสัตว์และดีกว่าเนื้อสัตว์ ทั้งทางด้านกำลังกายและทางด้านจิตใจ ยิ่งไปกว่านั้นอาหารที่ว่านี้ อวัยวะย่อยอาหารของเราจะทำงานน้อยกว่าและจะทำให้เราพึงพอใจมากกว่า และมีไมตรีจิต ซึ่งทำให้เป็นสิ่งที่ดีอันยากที่จะคาดการณ์ได้ จากความจริงเหล่านี้เราควรพยายามทุกหนทางที่จะหยุดความโหดร้าย การเข่นฆ่าสัตว์อย่างโหดเหี้ยม ซึ่งทำร้ายคุณธรรมของเรา

เทสลาผู้ที่มองการณ์ไกลยังได้กล่าวว่า วันหนึ่งมวลมนุษย์จะเรียนรู้ค้ำจุนตัวเองโดยตรง โดยการใช้สนามพลังงานของจักรวาล นอกจากนั้นโทมัส เอดิสัน (2390-2474) นักประดิษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์รวมทั้งเป็นมังสวิรัติด้วยได้เขียนว่า “มังสวิรัติมีอิทธิพลทรงพลังเหนือจิตใจและการกระทำของมัน รวมไปถึงสุขภาพและความกระฉับกระเฉงของร่างกายเราจะยังคงเป็นคนป่าเถื่อน เว้นแต่ว่าเราจะหยุดทำร้ายสรรพสัตว์อื่นๆ ทั้งหลาย”

นักมังสวิรัติผู้มีชื่อเสียงอีกท่านหนึ่ง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (2422-2498) ซึ่งได้ถูกจัดให้เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20 และเป็นผู้ที่ส่งเสริมสวัสดิภาพตลอดชีวิต “ไม่มีอะไรที่จะยังประโยชน์ให้สุขภาพของมนุษย์ และเพิ่มโอกาสในการมีชีวิตอยู่บนโลกมากเท่ากับการวิวัฒนาการสู่อาหารมังสวิรัติ” ในคำกล่าวที่คล้ายกันนี้ เขาได้กล่าวว่าหน้าที่ของเรา คือทำให้ขอบเขตความเมตตาของเราเปิดกว้างขึ้น ที่จะรวมเอาสิ่งมีชีวิตทั้งหลายและธรรมชาติทั้งหมดในความงามของมัน” และในวันที่เขากลายเป็นมังสวิรัติ เขาได้เขียนไว้ในไดอารี่ว่า “ตกลงผมก็มีชีวิตอยู่โดยปราศจากไขมัน ปราศจากเนื้อสัตว์ ปราศจากปลา แต่ผมรู้สึกดีทีเดียวในลักษณะนี้ ผมรู้สึกอยู่เสมอว่ามนุษย์ไม่ได้เกิดมาเป็ผู้ที่กินเนื้อสัตว์”



vg5-w.jpg



ตั้งแต่ไอน์สไตน์ได้เสนอทฤษฎีแห่งสัมพันธภาพเมื่อร้อยปีก่อน โลกก็ไม่เคยได้พบอัจฉริยะที่เทียบเท่าเขาอีกเลย อย่างไรก็ตาม นักฟิสิกส์ร่วมสมัยอีกท่านหนึ่งคือ เอ็ดเวิร์ด วิดเทิลได้ถูกมองโดยหลายคนว่าเป็นผู้สืบทอดของเขา และยังเป็นที่รู้จักในฐานะเป็นนักทฤษฎีสตริงคนแรกสุด นอกเหนือจากความเก่งกาจทางวิทยาศาสตร์ของเขาแล้ว วิดเทิลก็คล้ายคลึงกับไอน์สไตน์ ตรงที่เขาก็เป็นมังสวิรัติและทำงานเกี่ยวกับปัญหาทางฟิสิกส์แบบเดียวกัน ในตึกของมหาวิทยาลัยพรินเทิลเดียวกันกับที่ไอน์สไตน์ทำงานอยู่

ผู้อุปถัมภ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของวิดเทิล คือไบรอัน กรีน ซึ่งได้แย้งทฤษฎีของไอน์สไตน์ว่า อวกาศสามารถขยายออกไปได้ แต่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เมื่ออายุได้ 9 ขวบ กรีนสามารถคูณตัวเลข 30 หลักในใจของเขาได้ และแน่นอนเขาก็เป็นมังสวิรัติด้วยต่อไปข้างล่างนี้ เป็นบทความที่คัดตัดทอนมาจากบทสัมภาษณ์พิเศษเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์คุณธรรมและมังสวิรัติ ที่นายกรีนได้ให้สัมภาษณ์กับธรรมสารอนุตราจารย์ชิงไห่

ถ:  ทำไมคุณจึงคิดว่าอัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดจำนวนมากจึงเป็นมังสวิรัติ?

บ: จากประสบการณ์อันมีขีดจำกัดของผม นักมังสวิรัติคือคนที่เต็มใจที่จะท้าทายระเบียบของสิ่งต่างๆ ที่เป็นปกติและเป็นที่ยอมรับ ยิ่งไปกว่านั้นมักจะเป็นคนที่เต็มใจเสียสละความสุขส่วนตัวของพวกเขา เพื่อทำในสิ่งที่พวกเขาคิดว่าถูกต้อง คุณสมบัติแบบเดียวกันนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นเสมอที่จะทำการฝ่าฟันที่ยิ่งใหญ่ในศิลปะและวิทยาศาสตร์

ถ: ทำไมคุณจึงคิดว่านักวิทยาศาสตร์ท่านอื่นๆ จึงยังไม่เป็นมังสวิรัติ?

บ: ผมอยากจะถามว่า โดยทั่วไปทำไมคนส่วนใหญ่จึงยังไม่เป็นมังสวิรัติ ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้มีคำถามถึงเรื่องการกินเนื้อสัตว์ พวกเขาได้กินกันมาตลอด คนเหล่านี้จำนวนมากเอาใจใส่ในเรื่องสภาพแวดล้อม บางคนก็เอาใจใส่มาก แต่ด้วยเหตุผลบางประการ – แรงแห่งนิสัยวัฒนธรรมการต่อต้านที่จะเปลี่ยนแปลง มีการเชื่อมโยงที่ไม่ปะติดปะต่อกัน ซึ่งทำให้ความรู้สึกเหล่านี้ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นการเปลี่ยนพฤติกรรม

ถ: อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้คุณเป็นมังสวิรัติ?

บ: พูดตามตัวอักษร มันเป็นอาหารซี่โครงหมูที่คุณแม่ของผมทำเมื่อผมอายุได้ 9 ขวบ ซี่โครงทำให้เกิดการเกี่ยวข้องกับเนื้อสัตว? และสัตว์ที่มันมาโดยตรง ผมรู้สึกตกใจกลัว และประกาศว่าผมจะไม่กินเนื้อสัตว์อีก และผมก็ไม่เคยกินอีกเลย การเป็นเจเกิดขึ้นในภายหลังต่อมา ผมได้ไปเยี่ยมฟาร์มที่ได้ช่วยชีวิตสัตว์ในรัฐที่อยู่เหนือนิวยอร์กและได้เรียนรู้มากมายเกี่ยวกับอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์นม ซึ่งรบกวนจิตใจมาก จนผมไม่สามารถสนับสนุนมันได้อีกต่อไป ภายในไม่กี่วันผมก็เลิกกินผลิตภัณฑ์นมทั้งมด



vg5-g.jpg



ในปัจจุบันนี้นักวิทยาศาสตร์ที่ไม่ได้เป็นมังสวิรัติก็เข้าใจถึงกายภาพพื้นฐานของมังสวิรัติ และเข้าใจว่ามันสามารถทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ดีในโลกได้อย่างไร ยกตัวอย่างนักฟิสิกส์ชาวสหราชอาณาจักรอาราน คาลเวิร์ค เมื่อเร็วๆ นี้ได้พูดถึงข้อความเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนและวิถีมังสวิรัติว่า “การกินอาหารมังสวิรัติจะทำประโยชน์ให้กับสภาพแวดล้อมมากกว่าการเผาน้ำมันและก๊าซที่น้อยลง”

จากตัวอย่างข้างต้น เราจะเห็นได้ว่านักวิทยาศาสตร์ผู้ที่มีชื่อเสียงตลอดประวัติศาสตร์ ได้ยืนยันถึงประโยชน์ของอาหารมังสวิรัติจากจุดยืนทางด้านคุณธรรมและความเมตตา รวมทั้งมุมมองที่ว่ามันจำเป็นในการสร้างความผาสุกให้กับโลกของเรา ดังนั้นในการเปลี่ยนนิสัยในด้านการกินของเราเท่านั้น เราก็สามารถทำประโยชน์ได้เหลือคณานับมาสู่มวลนุษย์



Be Veg, Go Green 2 Save the Planet				
4 ตุลาคม 2556 22:38 น.

ดาราภาพยนต์ ลินดา แบลร์ เป็นมังสวิรัติและมีเมตตา

คีตากะ

vg2-1.jpg










โดยแผนกบันเทิง ลอสแองเจอลิส, แคลิฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา
(ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)


      เมื่ออายุได้ 14 ปี ดาราหญิงลินดา แบลร์ ก็มีชื่อเสียงไปทั่วโลก จากภาพยนต์ที่ได้รับรางวัลออสการ์ ดิเอสโซซิส ที่แสดงเป็นเด็กสาวชื่อ เรแกน แม็คนิว ตลอดเวลาที่ผ่านมานางสาวแบลร์ได้ถูกเสนอชื่อสำหรับรางวัลอคาร์เดมี่ และได้รางวัลลูกโลกทองคำและรางวัลพีเพิ้ลช้อยส์ และได้ทำงานร่วมกับดารามีชื่อเสียงอย่างเช่น อลิสเบ็ท เทเลอร์ มาร์ติน ซีน แอนโทนี่ ฮอบกิ้นส์ เค๊อร์ก ดักลาส ริชาร์ด เดอร์ตัน และเลสรี่ นิวซั่น

นอกเหนือจากความสำเร็จในด้านการแสดงของเธอแล้ว นางสาวแบลร์ยังเป็นที่รู้จักอย่างดี และเป็นที่เคารพสำหรับการสนับสนุนในเรื่องสิทธิของสัตว์ และเป็นนักประพันธ์ของหนังสือเรื่องโกอิ้ง วีแกน (GOING VEGAN) นับตั้งแต่เป็นเด็กเธอมีบุญสัมพันธ์อย่างมาก และมีความรักให้กับสัตว์ อุทิศเวลาและพลังงานของเธอในการช่วยเหลือสัตว์ต่างๆ ที่ต้องการความช่วยเหลือจากงานกับองค์กรต่างๆ อย่างเช่นอาหารสำหรับเด็ก, ประชาชนสำหรับการปฏิบัติเพื่อคุณธรรมต่อสัตว์ (PETA..) โดยการใช้อิทธิพลของเธอ และเสียงของเธอในการให้การศึกษากับสาธารณชนเกี่ยวกับสัตว์ต่างๆ ที่อยู่ในภาวะฉุกเฉิน นางสาวแบลร์ยังได้ก่อตั้งลินดา แบลร์ เวิลด์ฮาร์ต เฟาน์เดชั่น (Linda Blair World Heart Foundation) ซึ่งช่วยเหลือฟื้นฟูและรับเลี้ยงสัตว์ต่างๆ ที่กำลังจะถูกฆ่า

ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2548 สมาชิกจากสมาคมอนุตราจารย์ชิงไห่นานาชาติ มีความยินดีที่ได้สัมภาษณ์นางสาวลินดา แบลร์ สำหรับรายการโทรทัศน์ การเดินทางผ่านอาณาจักรอันสุนทรีย์ ต่อไปนี้เป็นข้อความบางตอนที่คัดมาจากการสัมภาษณ์

ถ: คุณกลายเป็นมังสวิรัติและเป็นผู้ที่กระตือรือร้นเกี่ยวกับเรื่องสัตว์อย่างไร?

ล: ในปี 2531 ฉันกำลังอ่านบทความเกี่ยวกับเรื่องยาฆ่าแมลง ฝนกรด และเราทำฟาร์มสัตว์กันอย่างไรและนั่นก็คือสิ่งที่ฉันกลายเป็นมังสวิรัติ และมันได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของฉันอย่างแน่นอน ฉันไม่เคยมีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวเลยนับตั้งแต่นั้นมา ฉันไม่ได้เปลี่ยนแปลงน้ำหนัก และถ้าใครรู้ว่าฉันอายุเท่าไร คุณก็จะทราบว่า มีอะไรบางอย่างในนั้น คุณเพียงแต่มีความตระหนักมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องอาหารและการทำร้ายสัตว์ สิ่งที่เรากำลังทำกับสัตว์ กับโลก ความจริงก็คือว่าทุกอย่างไปพร้อมๆ กัน พูดถึงด้านสภาพแวดล้อมวิธีการทำปศุสัตว์ของเรามีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม มีผลกระทบต่อก้นแม่น้ำ มีผลกระทบต่อมหาสมุทร มีผลกระทบต่ออากาศ และนั้นคือสิ่งที่คนจำนวนมากไม่ได้ตระหนักถึง ดังนั้นไม่เพียงแต่มันจะโหดร้ายสำหรับสัตว์ เพราะว่ามันถูกเรียกว่าเป็น "ทำปศุสัตว์แบบโรงงาน" แต่มันยังเป็นสิ่งที่ไม่ดีอีกด้วยสำหรับโลกและแน่นอนเด็กๆ ก็กำลังเผชิญกับโลกอ้อนและเบาหวานด้วย ซึ่งนับเป็นสถิติที่สูงมากและถ้าหากมีวิธีการเพียงเพื่อให้การศึกษากับคนต่อไป และเป็นตัวอย่างให้กับพวกเขา เพราะว่าพวกเขาจะได้เห็นว่า มีบางอย่างในการเป็นมังสวิรัติ มีบางอย่างในสิ่งที่ฉันกำลังพูดอยู่ แน่นอนฉันเป็นนักมังสวิรัติแบบเจ

ได้เข้ารับการรักษาพยาบาลเมื่ออายุได้ 19 ปี ซึ่งบุคคลจำนวนมากไม่ได้ตระหนักถึง ระหว่างความเครียดและอาหารเลวๆ ดังนั้นฉันก็ได้ผ่านเรื่องนั้นมาแล้ว จริงๆ นะ ชีวิตของฉันได้รับผลกระทบ และหมอก็พูดว่า "ถ้าหากคุณไม่เปลี่ยนแปลงนิสัยการกินของคุณ และไม่เปลี่ยนแปลงระดับความเครียดของคุณ" ซึ่งก็คือช่วงเวลาที่การนั่งสมาธิได้เข้ามาสู่ชีวิต เขาพูดว่า "คุณจะต้องตาย" คนจำนวนมากไม่รู้เรื่องนี้

ถ: ตอนนี้คุณได้ทำหน้าที่เกี่ยวกับการช่วยเหลือโดยใช้บ้านของคุณ โปรดเล่าให้เราฟังเกี่ยวกับเรื่องนั้น

ล: ฉันได้ตระหนักว่า มีคนจำนวนมากมายเพียงไรที่ได้ส่งสัตว์ของพวกเขาเข้ามา เพราะว่าพวกมันไม่เข้ากับบ้าน เพราะว่าพวกเขากำลังมีปัญหา พวกเขาไม่รู้จะจัดการกับพวกมันอย่างไร ฉันจึงพูดว่าฉันจำเป็นจะต้องทำสถานพักพิง ฉันจำเป็นจะต้องช่วยชีวิตแม่และทารกทั้งหลาย มันทำให้ฉันรู้สึกหัวเสียจริงๆ ฉันจึงก่อตั้งมูลนิธิลินดา แบลร์ และมีฉันเพียงคนเดียวยังไม่ถึง 1 ปีด้วยซ้ำ โดยพื้นฐานแล้วก็เพื่อให้สาธารณชนเดินทางร่วมไปกับฉัน และพร้อมๆ กันเราจะสร้างความแตกต่าง เพราะผู้คนทราบว่าฉันจะพูดออกมา ฉันมีชื่อเสียงที่ดีมากในการพูดความจริง ด้วยการร่วมมือกัน เราสามารถสร้างความแตกต่างได้ มันจะเป็นการต่อสู้ที่ยากมาก เพราะว่าหน้าที่ซึ่งคุณมีสุนัขต่อสู้กันคุณก็จะมียาเสพติด และปืน และความรุนแรง เราสามารถเก็บกวาดรักษาความสะอาดไม่เพียงเฉพาะลอสแองเจลิสเท่านั้น แต่อเมริกาด้วย นั่นคือสิ่งที่ฉันตั้งใจจะทำเพื่อทำความสะอาดของอเมริกาและลดอาชญากรรม และการบังคับใช้กฎหมายที่ฉันใช้พูดเห็นพ้องกับสิ่งที่ฉันกำลังพูด พวกเขาทราบว่าการต่อสู้อยู่ที่ไหน พวกเขาให้การสนับสนุน

ถ: แน่นอน ช่างเป็นสิ่งที่ดีที่จะช่วยชีวิตสุนัขและพามันกลับบ้าน ฉันทราบว่าท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้ช่วยชีวิตสุนัขประมาณ 5 ตัว และท่านทำให้ฉันทึ่งที่ท่านเลี่ยงดูสัตว์เหล่านี้และฝึกฝนมันได้เป็นอย่างดี ในเหตุการณ์หนึ่งของท่าน ท่านมีสุนัขอยู่ 2-3 ตัว นั่งอยู่ที่ตรงนั้น ช่างอ่อนหวานมาก พวกมันเป็นสุนัขช่วยชีวิต พวกมันกลายเป็นสุนัขมังสวิรัติ และท่านดูแลพวกมันและทำความสะอาดพวกมัน พวกมันได้รับการฝึกฝนมาอย่างสมบูรณ์ ท่านให้เวลาจริงๆ ที่จะดูแลพวกมัน

ล: และพวกมันก็รู้ เวลาที่คุณให้กับเด็ก เวลาที่คุณให้กับสัตว์ คุณจะได้รับมันกลับมา 10 เท่า และมันจะให้ความรักไม่มีเงื่อนไขของพวกมันและมิตรภาพแก่คุณซึ่งทำให้คนประหลาดใจ

ออฟร่า วินฟรีย์ (Oprah Winfrey) กำลังทำงานกับ โฮเวิร์ด ลินแมน (Howard Lyman) ซึ่งเป็นพ่อคนที่ 2 ของฉันหนังสือของเขามีชื่อว่าแมค คาวบอย (Mad Cowboy) และเขาเป็นนักเลี้ยงปศุสัตว์รุ่นที่ 4 และเขาเป็นมะเร็ง เขาพูดเกี่ยวกับเรื่องที่ว่า เพื่อนทุกคนของเขากำลังตายจากโรคหัวใจ เราสามารถกำจัดโรคหัวใจ มะเร็ง เบาหวาน ปัญหาน้ำหนักตัวได้ กลับไปสู่อาหารพื้นฐาน เป็นมังสวิรัติและก็เป็นเจ กินอาหารดิบ และคุณก็จะเข้าใจว่าเรากำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่เขาพูดความจริง เขาเอาชีวิตของเขาเป็นเดิมพัน ถ้าหากเขารอดจากโรคมะเร็งในกระดูกสันหลังของเขา เขาจะพูดความจริง และเขาก็พูดความจริง และฉันคิดว่าเราสามารถสร้างความแตกต่างได้ที่ข้างนอกนั่นเพียงทีละ 1 วัน แต่โรคร้ายมากมายในความเห็นของฉันมาจากอาหาร จากน้ำดื่ม คุณได้ยินเสมอๆ ว่าผู้หญิงที่มีครรภ์ไม่ควรจะกินปลา มีเหตุผลสำหรับเรื่องนั้น มันเป็นร่างกายของคุณ เด็กทารกของคุณ ชีวิตของคุณ อนาคตของพวกเขา

ถ: สาธารณชนจะประหลาดใจมากที่บุคคลมีชื่อเสียงจำนวนมาก จริงๆ แล้วก็เป็นมังสวิรัติ เมื่อเริ่มต้นสัมภาษณ์บุคคลผู้มีชื่อเสียงทั้งหลายที่เราต้องการให้ปรากฎในรายการของเรา มีคนมากมายเพียงไรที่เป็นมังสวิรัติ ฉันหมายถึงแม้กระทั่งโจคิน โฟนิค และ....

ล: โจคินเป็นมังสวิรัติ

ถ: พาเมล่า แอนเดอสัน, นาตาลี พอร์ตแมน และตัวคุณเอง ลินดา แบลร์ นับเป็นเกียรติมากที่คุณมาอยู่ที่นี่

ล: แจม คอมเวล

ถ: ใช่ แจม คอมเวล มันช่างเหลือสำหรับงานมนุษยธรรมที่คุณทำอยู่ ฉันคิดว่ามันวิเศษที่คุณกำลังใช้ชื่อเสียงของคุณเพื่องานที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้น นั่นเป็นเรื่องที่งดงามมาก

ล: สำหรับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ส่วนของการมีชื่อเสียงนับเป็นพระพรสำหรับงาน ฉันทำงานยังไม่เพียงพอจริงๆ อีกต่อไป เมื่อคิดถึงตัวฉันว่าเป็นงานอันสมบูรณ์ของฉัน งานของฉันก็คือการทำให้เกิดความแตกต่างในขณะที่ฉันอยู่ที่นี่ ฉันชอบอาชีพที่ใช้ฝีมือของฉัน ฉันไม่ชอบโครงการทั้งหลายที่เรามี ฉันไม่คิดว่ามันดี ฉันไม่คิดว่ามันมีพลังทางจิตวิญญาณที่ดี เรากำลังทำอยู่ที่ข้างนอกนั่น  ฉันคิดว่าเราจำเป็นต้องทำโครงการที่ให้ความรัก และความเอาใจใส่มากยิ่งขึ้น สนุกสนาน มีอารมณ์ขัน ให้ความบันเทิง และโครงการบางอย่างก็เป็นแบบว่าเป็นเกมรอในการเฝ้าดู ทำในสิ่งที่มันกำลังกระทำ และในระหว่างนั้นฉันก็พูดกับคนว่า "เข้าไปมีส่วนร่วมเลย! " มันยากจริงๆ แต่ฉันกำลังนำอเมริกาให้รวมตัวกัน ทีละชุมชน คุณจะประหลาดใจในอีกไม่กี่ปี จู่ๆ คนก็จะพูดว่า "ว้าว! ใช่ มีคนที่ดีจริงๆ บางคนในโลกและเราจะต้องรวมพลังกัน"

ฉันคิดว่าท่านอนุตราจารย์เป็นคนที่จะเปลี่ยนแปลงโลกในลักษณะที่คนจำนวนมากอาจจะยังไม่เห็นผลของมัน แต่เนื่องด้วยมนุษยธรรม สิทธิมนุษยชน สิทธิของสัตว์ ท่านได้เชื่อมโยงโลกในลักษณะที่ทรงพลังมากและสิ่งที่คนจำนวนมากไม่ตระหนักถึงก็คือ พลังแห่งการนั่งสมาธิ ความรัก ความสุข ความเป็นหนึ่งเดียว ความสงบ และความเข้าใจ คำตอบจะเข้ามาสู่ชีวิตของคุณจากการนั่งสมาธิ และคุณจะได้เรียนรู้ด้วยเกี่ยวกับความเมตตา และความแบ่งปัน และนั่นก็คือการเดินทางอันแท้จริงของจิตวิญญาณมนุษย์ ฉันคิดว่ามันเยี่ยมยอดที่มีรายการของท่าน ทำให้ท่านมีช่องทางใหม่ๆ ที่จะเปิดใจและแสดงให้ผู้คนทราบถึงความรู้และความรักของท่าน และเรารู้สึกขอบคุณมากสำหรับทุกอย่างที่ท่านได้ทำ



vg2-3.jpg



ภาพถ่ายที่มีลายเซ็นของลินดา แบลร์ พร้อมกับข้อความ "แด่ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ด้วยความรัก ความขอบคุณและพระพร ขอบคุณที่รักสัตว์"




vg2-2.jpg



หนังสือที่มีลายเซ็นของลินดา แบลร์พร้อมกับข้อความ "แด่ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ท่านทำสำหรับมนุษยชาติ สัตว์ต่างๆ และอนาคตของโลกเรา! รัก แสง มิตรภาพ 5 มิถุนายน 2548"



Be Veg, Go Green 2 Save the Planet				
4 ตุลาคม 2556 22:39 น.

ทะนุถนอมโอกาสของการบำเพ็ญในกลียุค

คีตากะ

ebook.jpg











ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
ศูนย์ฟลอริดา สหรัฐอเมริกา 9 มิถุนายน 2544
(ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ) วีดิทัศน์ # 719



ถ: ในการบรรยายธรรมครั้งหนึ่งของท่าน ท่านได้กล่าวถึง "มหาสมุทรแห่งความรัก" ซึ่งเป็นบทกวีบทหนึ่งของกาบีร์ ถูกต้องไหม?
อ: ถูกต้อง ฉันได้พูดถึงบทกวีของกาบีร์มากมายหลายครั้ง แต่มีอะไรหรือ เกี่ยวกับมหาสมุทรแห่งความรัก?

ถ: มันเกี่ยวกับเรื่องพระเจ้าผู้สูงสุด ซึ่งพวกเขาเรียกว่าสัตบุรุษ พระองค์ได้กลับชาติมาเกิดในแต่ละยุค และในกลียุค สัตบุรุษก็ได้ตกลงกับกาล (พระเจ้าของ 3 โลก) ที่จะพาวิญญาณจำนวนมากมายกลับบ้าน

อ: ใช่ นี่คือ กลียุค ยุคมืด จำเป็นจะต้องมีผู้ที่เข้มแข็งที่จะลงมาและพาทุกๆ คนขึ้นไป! รถคันใหญ่แข็งแรง! (ท่านอาจารย์หัวเราะ)

ถ: นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมวิญญาณจำนวนมากมายจึงได้รับการหลุดพ้นได้ง่ายดายเช่นนี้ใช่ไหม?

อ: ใช่ ถูกต้อง เธอก็รู้อยู่แล้วนี่ แน่นอนมันเป็นแบบนั้น มันเป็นยุคสุดท้ายของวัฏจักรนี้ ดังนั้น ใครก็ตามที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ก็จงรีบเร่งเสีย! ท่านพาทุกๆ คนขึ้นไป ด้วยเหตุนี้จึงมีความกรุณามาก แต่ก็ต้องใช้พลังมหาศาลเหมือนกับพายุเฮอร์ริเคนที่นำน้ำจำนวนมากมา ต้องใช้เฮอร์ริเคนที่จะพาน้ำเข้ามาสู่พื้นแผ่นดิน ฝนธรรมดานำน้ำเข้ามาไม่ได้ ดังนั้น ในขณะนี้ในเวลานี้ก็เหมือนกับ "ขายส่ง" เพราะเรามีที่ว่างมากและมีพระกรุณาธิคุณมาก ดังนั้น ทุกคนจึงสามารถรวมอยู่ในนั้น ไม่มีปัญหา เธอโชคดี! (ผู้ฟังปรบมือ) พระเจ้าใจดี แต่พระองค์ไม่เคยใจดีแบบนี้มาก่อน ในสมัยโบราณ อย่างมากที่สุดก็จะมีเพียงแค่หยิบมือ บางทีอาจจะเป็น 1,000 คน ไม่เคยมีมากมายแบบนี้ และพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะมาชุมนุมพร้อมกันมากมายแบบเปิดเผย พวกเธอนับว่าโชคดีจริงๆ 
ในสมัยโบราณ ถ้าหากพวกเขาต้องการที่จะมีสมาธิกลุ่ม พวกเขาจะต้องหลบซ่อนและวิ่งไปทั่วทุกแห่ง ใช้รหัสลับ ใช้การสัมผัสมือแบบลับๆ ใช้สัญญาณมือ อย่างเช่น มุดราส (การใช้มือ) หรือการคำนับที่เธอใช้ ----  แม้กระทั่งแบบนี้ (ท่านอาจารย์ทำท่าทาง)  -----  จำตาปัญญา ท่องพระนามศักดิ์ ทำกวนอิม แล้วเราก็มาอยู่ด้วยกัน นั่นเป็นสัญญาณลับที่ชาวคริสต์เตียนเคยมีเพื่อที่จะจดจำซึ่งกันและกัน เพราะว่าในสมัยนั้น พระเยซูก็ต้องหลบซ่อน ลูกศิษย์ทุกคนก็ต้องหลบซ่อนด้วยเช่นกัน พวกเขาไม่กล้าแม้กระทั่งที่จะรู้จักอาจารย์ในที่สาธารณะ โดยพูดว่า "ฉันไม่รู้จักเขา" แม้กระทั่งลูกศิษย์คนสำคัญอย่างปีเตอร์ ก็ปฏิเสธพระองค์ 3 ครั้ง
นี่คือพลังทางลบ -----  มีแรงกดดันมาก จนกระทั่งบุคคลที่ยิ่งใหญ่อย่างพระเยซู และลูกศิษย์ที่อุทิศตนอย่างปีเตอร์ ก็ยังไม่สามารถเปิดปากของพวกเขาได้ ในช่วงเวลานั้นมันมีแรงกดดันมาก แต่ในช่วงเวลานี้ พวกเราโชคดีมาก



เราเป็นโยคีที่โชคดีที่สุด

ถ: ฉันอยากถามท่านว่า ฉันจะต้องระดับสูงแค่ไหนทางด้านจิตวิญญาณในชาตินี้ เพื่อที่จะไม่ต้องกลับมา หลังจากที่ฉันตายไปแล้ว

อ: ขอให้สูง เท่าที่เธอทำได้ มิฉะนั้นแล้ว อาจารย์ก็จะผลักดัน อาจารย์จะพาเธอไปยังระดับอะไรก็ตามและชี้นำเธอต่อไปให้ขึ้นไปเบื้องบน มิฉะนั้นแล้วเธอก็จะต้องผ่านโลกทั้ง 3 กับอาจารย์ท่านอื่นๆ เธอจะต้องผ่านระดับที่ 3 เพื่อที่จะไม่ต้องกลับมา แต่ด้วยธรรมวิถีสูงสุดนี้ มันไม่เป็นไร เธอสามารถทำได้ เพราะบางครั้งมันไม่ใช่ความผิดของเธอ ที่เธอไปไม่ถึงระดับสูง
ตัวอย่างเช่น สมมุติว่า เธอได้รับการประทับจิตวันนี้ และตายในวันพรุ่งนี้ มันก็เป็นความรับผิดชอบของอาจารย์ที่จะพาเธอขึ้นไปจากที่ที่เธออยู่ ก่อนที่เธอจะจากกายเนื้อนี้ไป หรือก่อนที่อาจารย์จะจากกายเนื้อไป เราโอเค ในช่วงเวลานี้เราเปิดเต็มที่เพื่อช่วยเหลือทุกๆ คน ใครก็ตามที่มีความจริงใจ พลังอาจารย์จะช่วยเหลืออย่างมากมาย ในศตวรรษนี้ มีความกรุณามาก

ถ: ทำไมศตวรรษนี้จึงพิเศษมาก เมื่อเทียบกับหลายพันปีก่อน?
อ: เพราะว่าสวรรค์เปิด "ขายส่ง" เป็นช่วงๆ (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เหมือนกับการขายเลหลังในโรงรถ: ทุกอย่าง 1 ดอลลาร์ มันขึ้นอยู่กับอาจารย์ท่านไหนลงมา เธอเห็นไหมว่า พวกเราทุกคนเป็นอาจารย์ แต่อาจารย์บางท่านก็จำได้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง พวกท่านรู้แจ้งในชาตินี้ อาจารย์บางท่านรู้แจ้งตลอดเวลา อาจารย์บางท่านไม่เคยจากสวรรค์มาก่อนและเพิ่งลงมาในครั้งนี้ อาจารย์บางท่านไปๆ มาๆ ตลอดเวลาและมีบุญสัมพันธ์กับสรรพสัตว์มากมายในโลกนี้ และเมื่อหล่อนหรือเขากลับลงมาอีก ก็มาหาเพื่อนเก่าทุกคน: "ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เธอต้องการ ก็โอเค พวกเรารู้จักกัน" (เสียงปรบมือ) บางทีพวกเราอาจจะเคยเป็นเพื่อนเก่ากันมาก่อนก็เป็นไปได้
ถ้าหากว่าอาจารย์เพิ่งมาใหม่ เขาก็จะไม่มีบุญสัมพันธ์มากนักกับสรรพสัตว์จำนวนมาก ดังนั้น เขาจึงพาลูกศิษย์ไม่กี่คนเป็นการเริ่มต้น แล้วก็ทำต่อไปอีกในคราวหน้า ถ้าหากอาจารย์เพิ่งจดจำได้อีกครั้งว่า เขาเป็นพุทธะในครั้งนี้ แน่นอน เขาก็จะต้องพัฒนาประสบการณ์ให้มากขึ้น ไม่ใช่ว่า อาจารย์ไม่ทราบ แต่ก็เหมือนกับสิ่งอื่นๆ เธอจะต้องฝึกฝน เธอฝึกฝนว่าจะต้องจัดการกับจิตของมนุษย์อย่างไร จัดการกับระบบข้าราชการของโลกนี้อย่างไร ปกป้องตัวเองจากการรังควานทั้งหลายของโลกนี้อย่างไร และรักษาตัวเธอเองให้ปลอดภัยอย่างไร เพื่อที่จะช่วยเหลือผู้คนอย่างเงียบๆ โดยไม่นำความยุ่งยากมาสู่ตัวเธอ
แต่อาจารย์ใหม่ไม่ทราบเรื่องนั้น อาจารย์ใหม่แสดงสีสันเต็มที่ เป่าแตร และทุกๆ อย่าง แต่บางทีหลังจาก 3 ปีครึ่ง เขาก็ตายไป หรือ 2 ปีครึ่ง หรือ 3 เดือนครึ่ง พลังทางจิตวิญญาณนั้นเป็นแบบเดียวกัน มันมาจากจักรวาล แต่วิธีการที่จัดการกับลูกศิษย์ วิธีที่จะจัดการกับอำนาจทางการเมืองในโลกนี้ : เรื่องพวกนี้จะต้องเรียนรู้ เพราะมันเป็นเรื่องทางจิตใจ สิ่งเหล่านี้เป็นความเชี่ยวชาญและความสามารถ มันไม่เกี่ยวกับการรู้แจ้งและวิญญาณ แน่นอน พวกเขามี เพราะยิ่งเธอรู้แจ้งมากเท่าไร เธอก็จะเรียนรู้ได้เร็วเท่านั้น แต่ถ้าเธอหรือหล่อนมีประสบการณ์อยู่แล้วชีวิตแล้วชีวิตเล่า ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้มากนัก
เพราะว่าบุคคลคนหนึ่งจะเรียนรู้มากมายในชาติเดียวได้อย่างไรกัน? แม้ว่าเธอจะรู้แจ้ง เธอก็ไม่สามารถที่จะเรียนเครื่องจักรกล การขับเครื่องบิน การแล่นเรือใบ บัญชีธุรกิจ ซอฟแวร์คอมพิวเตอร์ ฮาร์ดแวร์และสิ่งอื่นๆ ทุกสิ่ง เธอทำได้ แต่ชีวิตมันสั้นเกินไป สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งของทางวิญญาณ สิ่งเหล่านี้เป็นความสามารถ ที่เธอจะต้องใช้จิตและสมองของเธอ หรือมือ และร่างกาย เพื่อที่จะเข้าใจและให้มีความช่ำชอง ดังนั้น ท่านอาจารย์ได้เคยเรียนสิ่งเหล่านี้มาแล้ว เกี่ยวกับว่าจะเป็นอาจารย์อย่างไร -------  ไม่ใช่ว่าจะเป็นอย่างไร แต่หมายความว่า ในฐานะที่เป็นอาจารย์ เธอจะต้องเผชิญและเธอจะต้องสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้หลายสิ่งหลายอย่าง
ดังนั้น การเป็นอาจารย์ชนิดนี้จึงง่ายกว่าและรวดเร็วกว่า มันง่ายกว่า มันเป็นเพียงความรู้ของโลก วิธีการนั้นเป็นแบบเดียวกัน การสอนก็เป็นแบบเดียวกันพลังก็เป็นแบบเดียวกัน และสัจธรรมก็เป็นแบบเดียวกัน แต่ตัวของอาจารย์นั้นมีความสามารถหรือไม่มีความสามารถ: เกี่ยวกับเรื่องสาธารณชน เกี่ยวกับว่าจะสอนลูกศิษย์ให้ดีที่สุดอย่างไร และวิธีการที่รวดเร็วที่สุดที่จะก้าวหน้า อาจารย์สามารถสอนวิธีเดียวกันให้กับบุคคลกลุ่มเดียวกัน แต่อาจารย์ 2 คนที่แตกต่างกัน อาจจะสอนวิถีเดียวกันให้กับลูกศิษย์ 2 คน และคนที่มาจากอาจารย์คนหนึ่ง จะก้าวหน้าแตกต่างออกไปหรือรวดเร็วกว่าลูกศิษย์อีกคนหนึ่งที่มาจากอาจารย์อีกท่านหนึ่ง มันเป็นแบบนั้น มันยังขึ้นอยู่กับว่า คำสอนนั้นถูกถ่ายทอดให้กับจิตของเขาหรือหล่อนอย่างไร เพราะว่า ถ้าหากจิตใจนั้นไม่เข้าใจ จิตก็จะไม่ยอมรับมัน เธอก็ไม่สามารถก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว เธอไม่รู้สึกดีนัก เธอไม่รู้สึกเชื่อใจ หรือเธอไม่มีความมั่นใจ (เสียงปรบมือ)


มีสมาธิอยู่ที่ตาปัญญาเสมอ

ถ: ฉันได้ยินว่า ท่านพูดในวีดิทัศน์ว่า เมื่อเรามองที่ตาปัญญาของบุคคลหนึ่ง มันจะช่วยพวกเขาด้วย มันทำให้ฉันรู้สึกดีจริงๆ ที่ทำแบบนั้น และฉันหวังว่า ฉันจะจำได้ที่จะทำแบบนั้น สิ่งที่ฉันอยากจะเข้าใจให้ดีไปกว่านี้ก็คือ มันช่วยผู้อื่นได้อย่างไร?

อ: มันก็คือว่า เมื่อตัวเธอเองทราบว่า เธอกำลังทำอะไรอยู่ ถ้าหากว่า เธอกำลังคิดถึงตาปัญญาอยู่แล้ว ก็หมายความว่า ตัวเธอจำได้ถึงศูนย์กลางทางจิตวิญญาณแห่งปัญญาและการรู้แจ้ง และถ้าตัวเธอจำสิ่งนั้นได้ แน่นอน บรรยากาศของเธอก็จะเป็นทางจิตวิญญาณ ดังนั้น บุคคลผู้นั้น แน่นอน ก็จะได้รับประโยชน์จากเธอ ก็เหมือนกับเมื่อยืนอยู่ข้างๆ น้ำพุ: แม้ว่าเธอจะไม่ได้กระโจนลงไปในนั้นโดยตรง น้ำบางส่วนก็จะมาถูกใบหน้าของเธอและทำให้เธอรู้สึกเย็น ในทำนองเดียวกัน ถ้าหากเธอยืนอยู่ข้างบุคคลที่ใส่น้ำหอม แม้ว่าตัวเธอเองจะไม่ได้ใส่น้ำหอม ตัวเธอก็จะมีกลิ่นน้ำหอมอยู่บ้าง ดังนั้น ตัวเธอจึงมีความสำคัญ สิ่งที่เธอเป็นก็คือ สิ่งที่ผู้อื่นได้รับ ด้วยเหตุนี้ เมื่อไรก็ตาม ที่เราจำอะไรก็ตามเกี่ยวกับศูนย์กลางทางจิตวิญญาณ เกี่ยวกับตัวตนแท้จริงของเรา บุคคลข้างเคียงเราก็จะได้รับประโยชน์ นี่คือ วิธีที่มันทำงาน





ความรักละลายทุกสิ่งทุกอย่าง

ถ: ท่านอาจารย์ หากมีบุคคลหนึ่ง เอาแต่โจมตีเธอด้วยพลังทางลบ เธอจะต้องรับมันหรือไม่ หรือว่า มีวิธีการอะไรไหมที่จะหยุดมันได้ ถ้าหากว่า มันมากเกินไปแล้วจริงๆ?

อ: ขอให้ท่องพระนามศักดิ์สิทธิ์และสวดอธิษฐาน นั่นคือวิธีการเดียวเท่านั้น ที่เธอสามารถโจมตีคนได้ นั่นคืออาวุธที่ดีที่สุด ฆ่าพวกเขาด้วยการเป็นมิตร ฆ่าศัตรูโดยการทำให้พวกเขากลายมาเป็นเพื่อน แล้วพวกเขาก็จะไม่เป็นศัตรูอีกต่อไป ไม่มีใครในโลกนี้ ที่เธอไม่สามารถเอาชนะด้วยความกรุณาและความรัก เว้นเสียแต่ว่า พวกเขาจะเป็นคนโง่หรืออะไรบางอย่าง แต่พวกเขาก็จะยังรู้สึกได้ถึงความกรุณาและความรักของเธอ ดังนั้นนั่นเป็นวิธีการเดียวเท่านั้น ที่เราสามารถตอบโต้การโจมตีของพวกเขา: ด้วยความกรุณา ความรัก ท่องพระนามศักดิ์สิทธิ์ และคำสวดอธิษฐาน ไม่ใช่สวดให้ตัวเธอ แต่ให้เขาหรือหล่อน เพื่อว่าพระเจ้าจะทำให้เขาหรือหล่อนรู้แจ้ง แล้วเขาหรือหล่อนก็จะไม่ทำเรื่องแบบนี้ให้กับเธออีกต่อไป




Be Veg, Go Green 2 Save the Planet				
Lovers  0 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 0 คน
Lovers  4 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ