13 พฤษภาคม 2554 18:54 น.

อทิสมานกาย ๘๙

แก้วประเสริฐ

600297y8krvnyajz.gif
             อทิศมานกาย ๘๙

   ครั้นทั้งห้าได้รับยินดังนั้นก็พากันมองหน้ากันไปๆมาๆ

พลางงงงวยสงสัย  เจ้าตี๋เล็กหันไปทางนางไม้ก็เห็นหล่อน

ยิ้มแล้วเดินหลีกหายลับไปยังหลังต้นไม้ใหญ่

   เจ้าชื่นที่สงสัยอยู่อดใจไม่ได้ ก็เอ่ยปากถามขึ้นว่า

   “ใครหรือครับเป็นอาจารย์ของพวกคุณที่อาศัยอยู่ในที่นี้????..”

   “อ้อๆๆๆ...อาจารย์เปล่งเพื่อนของพวกคุณนั่นไง ท่านเป็น

อาจารย์ของพวกเราอีกด้วย”

   “ไอ้เปล่งหรือ!!!!!!????...”

   เสียงทั้งหมดอุทานกัน แต่ไม่วายสงสัย หันไปมองหน้าเจ้าพ่วง

เห็นหน้าตามันทะมึงตึงขึ้นมาทันที  ที่เรียกอาจารย์มันว่าไอ้เปล่ง

   “นี่หากไม่ใช่เพื่อนของอาจารย์ผมล่ะก็ คุณทั้งหมดจะได้เห็นดี

กัน  จะได้รู้ฤทธิ์เดชของผมเสียบ้าง  ดีนะที่อาจารย์บอกถึงนิสัย

ใจคอของพวกคุณให้ผมบ้าง  ฮึๆๆๆมิฉะนั้น???....”

   เสียงคำรามเปล่งเสียงออกมา  ทำให้พวกทั้งห้าถึงแม้ว่ามันจะ

เป็นคนไม่เคยเกรงกลัวใคร  ครั้นทั้งหมดต่างมองไปที่ใบหน้า

ของเจ้าพ่วงก็ให้เกิดความสะดุ้งในใจกันทั้งหมด ด้วยใบหน้า

นั้นรู้สึกผิดสักเกตุกว่าคนธรรมดา แต่ก็ยังรักษาอาการด้วยการ

ข่มกลั้นเอาไว้     พลันตี๋ใหญ่ก็เอ่ยว่า

   “ขอโทษนะ???...พวกเราไม่รู้ว่าที่เอ่ยไปนี้จะใช่คนเดียวกับ

เพื่อนของพวกเราหรือไม่เท่านั้นเอง”

   ใบหน้าของเจ้าพ่วงนั้นพลันก็ค่อยๆคืนกลับสภาพดังเดิม

พลางเอ่ยว่า

   “ใช่แล้วล่ะ...อาจารย์เปล่งก็คือเพื่อนของคุณนั่นแหละแต่คุณ

ควรจะรักษามารยาทไว้บ้าง  เพราะผมก็เป็นศิษย์ท่านคนหนึ่ง

หากคุณเล่ามีคนมาเรียกคนที่พวกคุณนับถือว่า ไอ้ หรือ อี บ้าง

ล่ะคุณจะคิดอย่างไร ถึงแม้ว่าจะเป็นเพื่อนของคุณก็ตามจะเรียก

ก็ควรจะเรียกกันระหว่างเพื่อนๆของคุณเท่านั้น”

   “ขอโทษด้วยนะ...ด้วยพวกเราไม่รู้จริงๆ เพราะว่าชื่อเปล่งนี้คง

มิใช่คนเดียวกับเพื่อนของพวกผมนี่นา”

   เสียงเจ้าวาสเอ่ยขึ้นแก้ตัวให้แก่พวกมันทันที

   “ไม่รู้ไม่เป็นไรหรอก  ถ้าอย่างนั้นตามผมมาก็แล้วกันนะไม่

อยากให้อาจารย์คอยนาน”

    ดังนั้นเจ้าพ่วงก็เดินออกนำหน้า  ครั้นไปได้ระยะหนึ่งมันก็

หยิบก้อนหินขนาดใหญ่พอประมาณที่ซุกไว้ที่ริมพุ่มไม้ออกมา

   ทั้งหมดมองการกระทำของมัน  ครั้นเมื่อเห็นดังนั้นก็เหลียว

ไปดูบริเวณที่พึ่งผ่านมา  ก็พากันตกตลึงไปหมด เพราะที่นั่น

ล้วนแล้วแต่เป็นพงต้นไม้ขึ้นทั้งเล็กและใหญ่ไปหมด ไม่มีหน

ทางเดินเอาเสียเลย   ต่างก็พากันมองหน้ากันแต่ไม่พูดจาอย่างไร

รีบเดินตามหลังไปอย่างกระชั้นชิด  ครั้นเมื่อหนุ่มทั้งห้าเดินออก

มาแล้ว   เจ้าพ่วงก็หันไปหยิบก้อนหินก้อนเดิมนำกลับไปวางยัง

ที่เดิมอีก   

    พวกพระกาฬทั้งห้าก็แลเห็นสภาพนั้นเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

หนึ่งไม่เหมือนเดิมเสียแล้ว  ด้วยมองอะไรไม่เห็นสิ่งที่เคยเห็น

มาเมื่อสักครู่นี้  ทำไมมันกลับไปกลับมาอีก  ก็ให้นึกทึ่งในสิ่ง

ที่มันเผชิญขึ้น  ต่างคนต่างนึกกันไปต่างๆนาๆกัน  แต่ก็รีบเดิน

ตามหลังชายคนนั้นที่ไม่กล่าวอะไรเดินล่วงหน้าไป  สักพักก็

หันหลังมาพูดขึ้นว่า

   “พวกคุณอย่างห่างผมมากนักนะเดี๋ยวจะหลงเข้าไปอีก 

พยายามเดินตามหลังผมมา”

   คราวนี้ทุกๆคนรู้แล้วว่าอะไระเป็นอะไร  รีบเดินเข้าใกล้อย่าง

กระชั้นชิดทันที   สักครู่เห็นร่างชายที่เดินนำทางพาคดไปคดมา

ไม่นานนัก  ก็แลเห็นกระต๊อบที่สร้างพิงกับภูเขา  ที่หน้าลานมี

ร่างชายสองคน  คนหนึ่งนั่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ อีกคนหนึ่งนั่งอยู่

ข้างล่าง  ชายที่นั่งบนแค่เกล้าผมยาวไว้ข้างหลังเป็นมุ่นผมกลมๆ

แต่แต่งกายด้วยผ้าสีขาวล้วนๆ แม้จะขมุกขมัวบ้างแต่ก็ดูเป็น

สีขาวอยุ่ ไม่สกปรกมีหนวดเคราปิดบังใบหน้าไว้  

    ทั้งเจ้าตี๋ใหญ่ ตี๋เล็ก ชื่น วาส และกุ๋น จำไม่ได้ว่าเป็นใครแต่

ร่างที่นั่งนั้นมีสง่ายิ่งนัก   ครั้นชายที่นำทางมารีบเข้าไปกราบที่

พื้นทันที พลางกล่าวรายงานขึ้นว่า

   “อาจารย์ครับ  ผมไปนำเพื่อนๆอาจารย์มาแล้วครับเขาติดอยู่

ที่ค่ายสระเปลี่ยนใจครับ”

   “อืมๆๆๆดีมากพ่วง  นำเจ้าเริ่มเขาออกไปจัดหาที่พักในถ่ำไว้

สำหรับให้เพื่อนๆอาจารย์พักผ่อนเถอะนะ ขอบใจมาก”

   “ครับอาจารย์”

   ทั้งสองทั้งเจ้าพ่วงและเจ้าเริ่มก็ลุกขึ้นเดินไปหลังกระต๊อบหาย

ไปทันที  บรรดาพรรคพวกต่างจ้องมองเห็นตาเดียวกัน

   ส่วนทั้งห้าก็รีบเข้ามานั่งแทนพลางเพ่งมองชายแต่งกายชุดขาว

และยกมือไหว้ทันที

   “ไม่ต้องหรอกเพื่อนๆ  เราเปล่งไงล่ะจำไม่ได้หรือไง???.....”

  “ไอ้...???.....”

   แต่แล้วคำพูดทั้งหมดก็ชะงักทันทีที่จะเอ่ยนาม ด้วยพวกมันยัง

จำคำพูดของชายที่นำทางมาได้ และนี่ก็เป็นสถานที่อาศัยของ

อาจารย์เขา  ถ้อยคำหลังจึงชะงักไป    ชื่นพลันเอ่ยว่า

   “เปล่งเองหรือ เป็นไงสบายดีหรือเปล่า พวกเราเป็นห่วงและมี

งานต้องมารายงานนายด้วย  แต่นายไม่อยู่ไปกรุงเทพฯจึงได้มา

หานี่แหละ แต่ทำไมแต่งเนื้อแต่งตัวยังกับนักทรงศีลแน๊ะ”

   หากเป็นสมัยก่อนนั้นมันจะไม่พูดแบบนี้  ด้วยความรู้สึก

ทั้งหมดต่างคิดว่าสถานที่นี้คงจะไม่ธรรมดาแน่นอนด้วยพวก

มันเจอมาแล้ว นี่ขนาดแค่สระเปลี่ยนใจ หรือว่าพวกมันต่างคิด

ตรงกันคงจะมีหลายๆแห่งอีกนะที่คงจะร้ายกาจยิ่งกว่านี้

   “อ้อๆๆคงเรื่องกำนันมั่นใช่ไหมล่ะ นายเราเรียกไปปรึกษากัน

แล้วว่าให้จัดการอย่างไรกัน เหมือนอาจารย์จะทราบล่วงหน้า

ไว้ก่อนแล้วล่ะถึงเรื่องนี้   พวกมึงไม่ต้องลำบากหรอกเพราะกู

จะให้แผนซ้อนแผนกับพวกมันไว้น๊ะ”

   “เรื่องกำนันมั่นจะส่งมอบยาเสพย์ติดใช่หรือไม่ล่ะกุ๋น”

   “อ้อๆๆๆ....เพื่อนเรื่องนี้นายอาจารย์สั่งก่อนไปกรุงเทพฯ

และบอกไว้ว่าพวกเราทั้งหมดจะมารายงานให้กูรู้เอง ส่วนพวก

เองนั้นหากค้างคืนที่นี้ะ  เมื่อจะพักที่นี่ก็ได้ปลอดภัยทุกอย่าง

หรือจะกลับ  เดี๋ยวกูจะให้เด็กมันนำทางไปส่งนี่ก็บ่ายมากแล้ว

ให้มึงไปบอกพี่ชวนด้วยว่าให้อยู่เฉยๆไว้   ไปคอยฟังข่าวที่ร้าน

แม่ลัดดานั่นแหละดี  ด้วยระยะนี้มีอะไรผิดสังเกตุเพราะว่าเป็น

ร้านที่ห่างไกลและชุมนุมพวกรถด้วย  มีอะไรผิดปกติบางอย่าง

ให้พวกเราช่วยสืบๆแล้วไม่ต้องมาทั้งหมดหรอกไปแจ้งแก่นาย

ก็พอ  ท่านก็จะให้คนมาเรียกข้าเองแหละ”

  “ครับท่าน.????...ไอ้???.....เฮ้ย!!!!....เปล่งพวกเราไม่พักหรอก

เมื่อเห็นเพื่อนสบายดีก็จะได้กลับและไปทำตามที่เปล่งพูดนั่น

แหละ ระยะนี้เด็กข้าเองที่มาส่งข่าวที่บ้านพี่ชวนก็บอกว่ามี

เหตุการณ์ทะแมงๆยังไงไม่รู้เหมือนกัน  ตั้งแต่พ่อกำนันไปบวช

มีแค่ผู้ใหญ่บ้านรักษาการณ์แทนเท่านั้นแหละจึงกลายเป็นที่

ชุมนุมของคนไปโดยปริยายนะ อีกอย่างหนึ่งนายสั่งว่าให้ไป

บอกพี่ชวนว่าไม่ต้องสมัครเลือกตั้งเป็นกำนันกับเขาด้วยนะ

    ทั้งหมดรับคำเกือบพร้อมๆกันโดยมีเจ้าวาสเอ่ยนำก่อน”

   “อ้าวไม่พักสักคืนก่อนหรือข้าจะให้สาวๆมาคอยต้อนรับ

เหมือนเมื่อก่อนเข้ามานะ  แต่ไม่เหมือนเดิมหรอกจะแต่งกาย

สวยๆทั้งนั้นแหละ”

   “สาวๆสวยๆๆ!!!!!!!!!!!!???...”

ไอ้ตี๋เล็กและพวกสะดุ้งเฮือกไปตามๆกัน  มันยังจำเหตุการณ์ที่

พึ่งผ่านมาหยกๆได้เป็นอย่างดี  หญิงพวกนี้ไม่ใช่คนแน่นอน

  มันต่างคนต่างคิดต่างๆนาๆ   พลางจ้องมองหน้าเจ้าเปล่งซึ่ง

บัดนี้การแต่งกายมันไม่เหมือนเก่า คงจะไม่ธรรมดาไปแล้ว

มิฉะนั้นใยพวกเหล่านี้จึงขึ้นตรงทั้งหมด และก็คงจะไม่ใช่คน

อย่างแน่นอน  ดังนั้นเหมือนจะมีใจตรงกัน พลางอุทานขึ้น

พร้อมๆกัน

   “ไม่ล่ะเปล่งพวกเรามาเยี่ยมนายเห็นว่าสบายดีก็โล่งใจกัน

แล้วจะได้รีบกลับ ด้วยพี่ชวนไม่ค่อยมีใครช่วยแม่เย็นหรือ

ก็บวชชีแต่มาสร้างกระต๊อบเล็กๆอยู่คนเดียวไปแล้ว บ้านนี้

จึงเหลือแค่พี่ชวน งานไร่นาสวนก็อาศัยลูกจ้างมาเช้าเย็นกลับ

เท่านั้นเอง  นี่บ่ายคล้อยมากแล้วหากช้าคงจะกลับไปบ้านบางโค

มืด  เดี๋ยวพี่ชวนจะเป็นห่วงนะ เพียงเห็นเพื่อนสบายดีก็โล่งใจ”

   เสียงเจ้ากุ๋นเอ่ยนำขึ้น

   “ถ้าอย่างนั้นตามใจเพื่อนๆก็แล้วกัน เราถึงแม้ว่าจะแต่งกาย

ผิดไปแต่ความเป็นเพื่อนก็คงเหมือนเดิม หากจะให้เราช่วยงาน

อะไรบอกมาได้เลยนะ เพียงแค่ไปยืนตะโกนที่ริมป่าเท่านั้นก็

จะมีคนมาคอยรับให้  อ้อๆๆๆดีเหมือนกันนี่ก็จวนจะใกล้คนที่

จะมารับของแล้ว  จะได้ชิงตัดหน้ามันเสียก่อน  ส่วนเราไม่ไป

ส่งเพื่อนๆหรอกนะ จะให้เด็กนำทางไปเดี๋ยวจะหลงทางอีก”

   ใช่แล้วไม่บอกพวกมันทั้งหมดก็รู้และไม่อยากจะอยู่ด้วยจริงๆ

เพราะนึกในว่าไอ้เปล่งมันคงจะอยู่กับพวกผีปีศาจนางไม้

แน่นอนหากพวกมันผิดใจอะไรขึ้นมา  คงได้เจอในสิ่งที่พวกมัน

ไม่อยากจะเจอเป็นแน่  พวกมันต่างคิดต้องตรงกัน

   “เมื่อพวกข้าเห็นแกสบายดีไม่เป็นอะไรก็โล่งใจแล้วล่ะเปล่ง

ถ้าอย่างนั้นเราจะกลับกันแล้วนะ”

   เจ้าตี๋ใหญ่เอ่ยนำขึ้นทันที

   “ตามใจเพื่อนก็แล้วกันนะ ดีเหมือนกันข้าเองก็เป็นห่วงพี่ชวน

เหมือนกันบอกเล่าให้พี่เขารู้ด้วยนะ”

   “แล้วจะให้ใครไปส่งพวกข้าล่ะ”

   ด้วยพวกมันต่างผวากันไปตามๆกัน คนนะพวกมันไม่กลัวแต่

สิ่งที่มองไม่เห็นและเห็นแล้วซิน่ากลัวกว่าคนเสียอีก

   “ถ้าอย่างนั้นให้คนของเปล่งนำทางพวกข้าได้แล้วล่ะ”

   “จะกลับแล้วหรือ เอาล่ะข้าจะให้เขาไปส่งเอ็งก็แล้วกัน”

   พลางหันไปเรียกทันที

   “เริ่มเอ๋ย!!!!...มาหาข้าหน่อยจะวานสักหน่อยนะ”

   “ครับอาจารย์”

   แล้วร่างชายหนุ่มฉกรรจ์ก็รีบเข้ามาหาทันที

เล่นเอาบรรดาเพื่อนเจ้าเปล่งพากันถอนหายใจเฮือกใหญ่มันคิด

ว่าจะเป็นคนนำทางเดิมเสียอีก ซึ่งน่าตาน่ากลัวกว่าคนๆนี้

   “พาพวกเพื่อนอาจารย์ไปส่งที่ถนนหน่อยนะ พวกเขาจะกลับ

กันแล้วล่ะ”

   “ครับอาจารย์”

   มันกล่าวอย่างนอบน้อมแล้วหันหน้าไปทางพวกเพื่อนๆของ

อาจารย์มันทันที

   “พร้อมหรือยังครับ  ถ้าพร้อมเชิญได้เลยครับ”

   ทุกๆคนต่างสบายใจขึ้นเพราะหนุ่มฉกรรจ์คนนี้ถ้อยทีวาจา

ค่อยยังชั่วหน่อย ไม่เหมือนกับคนที่ชื่อเพิ่มเอาเสียเลยน่ากลัว

ยามมันโมโหขึ้นมา  แล้วต่างพากันลุกขึ้นหันไปทางเจ้าเปล่ง

กล่าวขึ้นว่า

   “พวกเราไปก่อนนะเปล่ง หากว่างๆจะมาเยี่ยมเยียนอีกล่ะ”

   “ตามสบายเลยเพื่อน  หากมาแค่ตะโกนเรียกชื่อเราเท่านั้น

ก็จะมีคนออกไปนำทางให้นะ  แต่อย่าเข้ามาโดยพละการเสีย

ล่ะ  เดี๋ยวจะหลงทางอีก”

   ไม่ต้องบอกพวกมันทั้งห้าก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไรกัน ด้วยเจอ

มาแล้วนี่ขนาดเบาๆนะ ส่วนปืนผาหน้าไม้ไม่ต้องพูดถึงทำอะไร

แก่พวกนี้ไม่ได้หรอกพวกมันคิด   แล้วก็ยกมือโบกอำลาเจ้าเปล่ง

พลางเดินตามเจ้าเริ่มออกไปทันที  แต่ทว่ามันแปลกใจเพราะทาง

เดินขากลับไม่ใช่ทางเดิมเป็นอีกทางหนึ่งที่ดูใกล้ๆนิดเดียว  

ทุกๆคนจึงหันมามองหน้ากัน แต่ไม่ได้ซักถามแต่อย่างใด ต่าง

รีบพากันเดินตามในระยะกระชั้นชิดไม่ยอมห่างตัวเจ้าเริ่มเลย

จนพ้นป่าดังกล่าวถึงถนน  มันจึงรีบข้ามกลับไปบ้านนายมัน

แล้วรีบขับรถออกกลับบ้านบางโคทันที

    หลังจากพวกเพื่อนๆต่างไปกันหมดแล้ว  เจ้าเปล่งที่ยังนั่งบน

แคร่อยู่คอยจนเจ้าเริ่มกลับมา ก็ให้ไปตามเจ้าเปล่งมาพบทันที

ครั้นทั้งสองมาถึงเบื้องหน้าแล้ว เจ้าเปล่งก็อธิบายวางแผนการณ์

ทั้งหมดให้ทั้งสองฟัง

   “พ่วงและเริ่มพรุ่งนี้เช้าให้นำพวกเราคนละยี่สิบคน แยกย้าย

กันไปที่บ้านกำนันมั่น  แล้วก็แปลงกายเป็นเป็นพวกที่จะมารับ

ของ  เดี๋ยวคืนนี้ให้เจ้าทั้งสองไปถามเจ้าที่เจ้าทางบ้านกำนันมั่น

ว่าพวกมันมีรูปร่างหน้าตาอย่างไรเวลาเท่าใดด้วยนะ”

   “ครับอาจารย์เดี๋ยวคืนนี้ข้าจะไปถามเจ้าที่ผีบ้านเขาแล้วจะได้

กลับมาจัดกำลังคนไว้”

   “เมื่อได้รับของมาแล้วให้คอยเวลาพวกตัวจริงมันไว้ด้วยส่วนที่

เหลือให้คอยเป็นแนวระวังเท่านั้นพอ คงจะไม่กี่คนที่ให้เอาไป

เพื่อความไม่ประมาทเท่านั้นเองแหละ  อ้อๆๆๆอย่างไรกลับจาก

ถามแล้วมารายงานข้าด้วย  แล้วมานำหนังสือจากข้าไปยื่นให้

แก่กำนันอีกด้วยนะ งานนี้อย่างได้พลาดเป็นอันขาด  หากได้

ของมาแล้วให้นำกลับที่พัก แล้วจัดการทำลายทิ้งเสียให้หมดอย่า

ลืมคำสั่งข้าเสียล่ะ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วส่งกำลังส่วนหนึ่ง

ไปคอยรักษาคุ้มครองบ้านกำนันหวนด้วย ใช้พวกนางพรายและ

นางไม้ประจำกันผลัดเปลี่ยนกันก็แล้วกัน ทั้งกลางวันกลางคืน

ด้วยพวกเราอยู่ได้ทั้งกลางวันกลางคืนได้แล้วด้วยข้าได้สอนวิชา

การต่างๆให้พวกเขาไว้  สามารถทนอยู่ได้”

   “ครับอาจารย์  และจะมีอะไรอีกไหมครับ หากไม่มีข้าจะได้รีบ

ไปจัดกำลังพลเตรียมไว้ แล้วค่ำๆพวกเราสองคนจะไปบ้าน

กำนันมั่นกัน”

   “ไปได้แล้วล่ะให้ระวังพวกผีๆเพื่อนของมันด้วยนะกำลัง

เร่ร่อนอยู่ในแถวนั้น  หากจะอนุเคราะห์มันได้ก็ช่วยเหลือมัน

ก็แล้วกัน  หากตัวใดประพฤติดีข้าก็อนุญาตให้นำมาได้นะ”

   “ครับอาจารย์  ข้าไปก่อนนะเดี๋ยวจะให้นางไม้มาคอยรับใช้

อาจารย์ต่อไป  อาจารย์ไม่ต้องห่วงหรอกครับงานนี้ต้องสำเร็จ”

  “หากพวกเอ็งเห็นว่าผีที่อาศัยอยู่ในบ้านนั้นมีนิสัยดีก็รับมาไว้

ให้มาคอยรับใช้พวกนางไม้เขาก็แล้วกัน  เดี๋ยวข้าจะไปพักผ่อน

ทบทวนวิชาสักหน่อยนะ”

   “ครับอาจารย์ ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละอาจารย์จะได้พักผ่อน”

   แล้วเจ้าพ่วงและเจ้าเริ่มก็รีบออกจากที่พักหายไปในป่าทันที

        ร่างเจ้าพ่วงและเจ้าเริ่มปรากฏกายขึ้นที่หน้าบ้านของ

กำนันมั่น มันมองไปแลเห็นภายในบ้านยังส่งเสียงร้องรำทำ

เพลงกันอย่างสนุกสนาน ทั้งหญิงชาย    บ้างก็ออกมารำป้อกัน

ด้วยความเมา แม้ว่ายังไม่ดีกมากนัก ทันใดก็มีเสียงร้องตะโกน

ลั่นออกมาจากหน้าเรือนชานบ้านเป็นร่างชายรูปร่างขาวท้วมๆ

ดังขึ้น

   “เฮ้ยๆๆ...พวกมีเบาๆหน่อยได้ไหมว๊ะ  แล้วกูให้พวกมึงจัด

ของไว้เรียบร้อยแล้วหรือ ถึงได้มาฉลองกันด้วยความสบายใจ”

   “ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจ๊ะพ่อ  ข้าได้จัดไว้ในที่ปลอดภัยแล้ว

ล่ะพ่อไม่ต้องห่วงหรอก”

   เสียงร้องตอบดังลั่น คือเสียงของเจ้าแม้นลูกชายกำนันเอง

   “ถ้าอย่างนั้น???...พวกมึงก็เบาๆหน่อยนะโว้ยต้องตื่นนอนกัน

แต่เช้า เขาจะมารับของราวเก้าโมงกว่าๆนะ เขาส่งข่าวมาบอก”

   “จ๊ะพ่อไม่ต้องห่วงหรอก เหล้าเหลืออีกไม่เท่าไหร่ก็จะ

หมดแล้วล่ะ   เดี๋ยวพวกข้าก็จะไปนอนกันแล้วรองานพรุ่งนี้จ๊ะ”

   “เออ????...ดีแล้วล่ะ อย่าส่งเสียงดังมากๆข้านอนไม่หลับว๊ะ”

   เสียงตะโกนบอกของกำนันมั่นแล้วร่างก็หลบหายไปในบ้าน

เจ้าพ่วงเจ้าเริ่มมองหน้ากัน   แล้วก็ยกมือขึ้นภาวนาสิ่งที่มันได้

ร่ำเรียนมา  

         สักครูหนึ่งก็ปรากฏควันขาวจางๆพวยพุ่งเข้ามาแล้วค่อยๆ

ปรากฏร่างเป็นเทพรุกขเทวา  ทั้งเจ้าที่เจ้าทางทั้งสองขึ้น

 พวกมันจึงนั่งยองๆน้อมไหว้ทันทีอย่างนอบน้อมท่าน พร้อมทั้ง

บอกแก่เรื่องราวทั้งหมดว่านายและอาจารย์มันสั่งมาทันที  ครั้น

เทพรุกขเทวาได้ยินเช่นนั้น  ก็เนรมิตรูปร่างหน้าตาพวกที่จะมา

รับของทันทีโดยแปลงร่างหัวหน้าที่จะมารับของให้เจ้าพ่วงและ

เจ้าเริ่มเห็นแล้วค่อยๆคืนกลับสู่สภาพเดิม แล้วร่างนั้นค่อยๆ

เลือนลางเป็นควันลอยหายไปยังศาลพระภูมิที่ตั้งที่หน้าบ้าน

    ครั้นทั้งสองทราบและเห็นดังนั้นแล้วก็ไม่สนใจพวกที่ในบ้าน

จึงหันกลับ  เพื่อจะได้กลับไปหาอาจารย์มันและแล้วสิ่งต่างๆก็

พลันปรากฏ เป็นร่างของบรรดาสัมภเวสี โดยมีเจ้าสนและพรรค

พวกปรากฏกายเข้าขวางทางทันที 

      เมื่อเห็นเช่นนั้นเจ้าพ่วงและเจ้าเริ่มก็หัวร่ออย่างไม่หวั่นไหว

ต่อร่างของเจ้าสน เข่ง โจ๊ก เจี๊ยบ ผ่อง เขียวและ ดำ  ที่ร่างมันมี

สภาพร่างกายสะอิดสะเอียนล้วนแล้วแต่น้ำเหลืองไหลเยิ้มทั้ง

ร่าง ส่วนไอ้สน ไอ้เข่งและไอ้โจ๊ก ร่างมันค่อยๆสูงชะลูดแขน

ขาแกว่งไกวไปๆมาๆ   เมื่อเจ้าพ่วงเจ้าเริ่มเห็นเช่นนั้นก็พากัน

หัวร่องอหายทันที  

      บัดดลภายในบ้านที่กำลังร้องรำทำเพลงอยู่อย่างสนุกสนาน

ต่างชะงักกันเงียบกริบหันไปมองทางหน้าบ้าน พอรู้ว่าอะไรเป็น

อะไรเท่านั้น วงพวกมันก็แตกกระเจิงทันที  ไอ้แช่มบัดนี้มันหาย

เกือบเป็นปกติก็ตกตลึงแล้วรีบวิ่งหนีแยกย้ายกันไปจ้าระหวั่น

 ต่างสวมใส่ตีนหมาแยกกันไปคนละทางในสิ่งที่มันพบเห็นร่าง

ของบรรดาพวกที่เคยเป็นลูกน้องเพื่อนๆมัน เสียงดังโพล้งเพล้ง

แก้วแตกกระจายโดยที่ไม่มีใครสนใจใยดีสักคนเดียว

   “เสียงแหบโหยหวน แว่วดังขึ้นจากเจ้าสน เจ้าเข่ง เจ้าโจ๊ก

แผ่วเบาอย่างเยือกเย็นพลางกล่าวว่า   พวกมึงทั้งสองมาทำไมกัน

ที่นี่ว๊ะ”

   ยิ่งทำให้เจ้าพ่วงเจ้าเริ่มก็ยิ่งหัวร่อกันใหญ่  เจ้าพ่วงพนมมือขึ้น

แล้วตบไปยังพื้นดินทันทีสามครั้ง   เสียงร้องกร๊ดๆๆๆโหยหวน

อย่างทุกข์ทรมานร่างนั้นค่อยๆเตี้ยลงๆทั้งหมด กลับกลายเป็น

ร่างกายเตี้ยแคระไปในทันใด สูงขนาดแค่หัวเขาคนธรรมดา

    เจ้าเริ่มเห็นเช่นนั้นก็ยกเท้าขึ้นเตะไปยังบรรดาปีศาจร้ายจน

ร่างทั้งหมดกระเด็นไปปะทะรั้วหน้าบ้านร้องแรกแหกกระเฌอ

กันไปตามๆกัน ร่างพวกมันจะหายตัวไปก็ไม่ได้ด้วยอำนาจ

อะไรบางอย่างมาปิดกีดกั้น ไม่สามารถหายไปได้อีกแล้ว ร่าง

ทั้งหมดที่ปรากฏร่างในลักษณะต่างๆบัดนี้คืนสภาพเดิมที่เป็น

คนอยู่ดังเดิม  เจ้าพ่วงเห็นเจ้าเริ่มก็หัวร่อลั่น พลางเข้าไปแต่ร่าง

มันนั้นเพียงลอยเข้าไปหาแล้วไล่กระทืบ จนพวกเจ้าสน เพื่อน

ทั้งหมดต่างพากันพยายามจะวิ่งหนี  แต่ไม่อาจทำได้นอกจาก

วนเวียนไปๆมาให้ เจ้าเริ่มเจ้าพ่วงไล่ถีบ ไล่เตะกันอย่าง

สนุกสนาน  ต่างช่วยกันบรรเลงเพลงเตะถีบกันชุลมุน  เสียงร้อง

คร่ำครวญโหยหวนด้วยความเจ็บปวด จากบรรดาผีร้ายต่างๆ

   เมื่อเจ้าสนได้สติก็พากันยกมือไหว้และขอร้องอย่าทำมันกับ

พวกอีกเลย  บรรดาที่เหลือก็พากันยกมือขึ้นไหว้ด้วยทั้งสิ้น

ต่างพร่ำคร่ำครวญ บ้างร่ำไห้กันอย่างน่าเวทนายิ่งนัก ร้องไห้

ไป ร้องเจ็บปวดไป วิ่งวนไปรอบๆเพื่อหลีกการถีบเตะทั้งสอง

จนเจ้าพ่วงและเริ่มชักสงสาร ด้วยไหนๆอาจารย์สั่งมันไว้ว่าหาก

ตัวใดประพฤติตัวดีกลับเนื้อกลับใจได้ให้ให้อนุเคราะห์มันไว้

เพื่อทำบุญแก่มันและเป็นการสร้างบุญอีกทางหนึ่งด้วย ที่ทำไป

เพื่อจะสั่งสอนมันให้เข็ดหราบไว้ก่อนเท่านั้นเอง

   “พี่ๆๆๆและเพื่อนเป็นใครทำไมไม่กลัวพวกข้าเหมือนพวกไอ้

แม้นลูกกำนันเสียล่ะ???.....”

   เสียงไอ้สนเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย  เจ้าเริ่มก็เอ่ยขึ้นว่า

   “ฮ่าๆๆๆ....พวกเอ็งอย่ารู้ไปเลยว่าพวกข้าเป็นใครแต่ก็สามารถ

กำหราบพวกเอ็งได้ และยังมีพวกข้าที่เก่งกว่าพวกเอ็งอีก

มากมายนัก นี่ดีนะที่อาจารย์ของข้ายังสงสารพวกเอ็งไว้มิฉะนั้น

เอ็งจะทุกข์ทรมานยิ่งกว่านี้เสียอีกและอาจจะไม่ได้ไปผุดไปเกิด

ชดใช้หนี้เวรที่พวกมึงสร้างไว้ก่อนจะไปรับกรรมอีกชั้นหนึ่ง

นะยังในนรก   แต่หากพวกเอ็งกลับเนื้อกลับตัวได้อาจารย์ข้า

จะได้อบรมสั่งสอน  บางทีเอ็งอาจจะผ่อนหนักเป็นเบาได้”

   “แล้วอาจารย์ของพวกพี่ๆล่ะเป็นใครหรือขอรับ”

 เสียงเจ้าสนชักอ่อนเมื่อสำนึกความหลังถึงความผิดได้และได้

ยินว่ายังพอมีหนทางหนักให้เป็นเบา อีกเมื่อกล่าวแล้วได้หันไป

แจ้งแก่บรรดาพรรคพวกทันที   ซึ่งบรรดาเหล่านั้นก็ต่างได้ยิน

ต่างหน้าซีดไปตามๆกันถึงแม้มันจะเป็นผีร้ายก็ตาม  ครั้นมันรู้

ว่าจะต้องไปรับกรรมที่แสนสาหัสกว่านี้อีกในเมื่อมันตายแล้ว

พวกพ้องยังไม่เคยเลยที่จะทำบุญให้แก่พวกมันสักครั้งเดียวตอน

มันดีๆอยู่ได้แต่จิกสับโขกหัวใช้พวกมันต่างๆนาๆ  แต่เบื้องหน้า

มันก็พูดจากับมันอย่างดี ซ้ำยังแนะนำหนทางให้แก่มันอีก

      ทั้งหมดจึงก้มลงกราบเจ้าพ่วงและเจ้าเริ่มทันที ทั้งหมด

พร้อมกล่าวพร้องกันว่า

   “บัดนี้พวกข้าสำนึกผิดกันหมดแล้ว ยิ่งพี่มาบอกว่าพวกข้าต้อง

ลงไปชดใช้หนี้กรรมอีก  ปัจจุบันข้าก็ขาดการพิงพักอาศัยอยู่แม้

แต่อาหารการกินก็ต้องแย่งกันที่ทางสามแพร่งหากมีคนนำมา

วางไว้ให้  ส่วนเพื่อนข้าหรือก็เปล่าหามีน้ำใจแก่พวกข้าไม่ทั้งๆ

ที่พวกข้ารักและซื่อสัตย์ต่อมัน ถึงตอนนี้ก็ยังคอยดูแลช่วยเหลือ

มันไม่ได้ไปไหน อาศัยหลับนอนในสถานที่ต่างๆตามต้นไม้ก็

ไม่ได้เพราะเขาอาศัยกันอยู่แล้ว  พวกข้าต้องนอนกันบนตาม

ถนนหนทางนี้แหละพี่  ขอพี่กรุณารับพวกข้าไว้รับใช้ด้วยเถิด

จะใช้พวกข้าอย่างไรก็ได้ แต่พวกข้าคิดว่าคงเป็นในสิ่งที่ดีๆเป็น

แน่   ขอความเมตตาจากพี่ทั้งสองด้วยเถิด”

   ครั้นเจ้าพ่วงและเจ้าเริ่มเห็นดังนั้นต่างก็ให้มันตั้งสัตย์อธิษฐาน

ไว้  ซึ่งทั้งหมดก็กล่าวคำสาบานทันที  เมื่อเป็นเช่นนั้นเจ้าพ่วง

เห็นว่าถึงพวกมันจะเคยทำในสิ่งไม่ดีมาก่อน แต่ในส่วนลึกของ

มันยังไม่ความดีอยู่บ้าง  จึงพนมมือแล้วเป่าไปยังบรรดาพวกเจ้า

สนทันที   ทันใดร่างของพวกเจ้าสนก็สูงขึ้นเท่าคนธรรมดาทั่วๆ

ไป   เมื่อพวกเจ้าสนเห็นดังนั้นก็ต่างพากกันดีใจก้มลงกราบแก่

ทั้งสองทันที   เจ้าเริ่มก็เอ่ยปากถามขึ้นว่า

   “ในเมื่อเจ้าสำนึกได้เช่นนี้ถือได้ว่าหลังจากพบกับอาจารย์ของ

พวกข้าแล้วเจ้าอาจจะได้รับความเมตตาจากท่านอนุเคราะห์นี่

ดีนะที่อาจารย์ข้าบอกกล่าวข้าทั้งสองไว้ล่วงหน้ามิฉะนั้นพวก

เจ้าจะต้องเข้าไปอยู่ยังที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงอันร้อนแรงจนกว่า

อายุขัยของพวกเจ้าจะมาถึงนั่นแหละเขาจะมารับตัวพวกเจ้าไป

แล้วต้องไปทนทุกข์ทรมานในขุมนรกอีกเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ไหนๆ

เมื่อพวกกลับเนื้อกลับใจ หมั่นเอาใจใส่ทำความดีชดใช้หนี้กรรม

เก่าก็อาจจะช่วยเจ้าได้มาก”

   “ครับพี่ๆพวกผมขอยอมรับคำสั่งพวกพี่จะใช้ผมอะไรก็ได้

พวกผมได้สำนึกผิดแล้ว” 

     พวกมันกล่าวทั้งหมดแล้วก็ยังก้มลงกราบอีก ทั้งเจ้าพ่วงเจ้า

เริ่มมองเห็นแล้วอดเวทนาสงสารไม่ได้  จึงเองถามเรื่องราว

ต่างๆเกี่ยวกับที่พวกจะมารับในวันรุ่งขึ้น   บรรดาเจ้าสนและ

พรรคพวกก็เล่าให้ฟังจนหมดสิ้น และต่างพากันอาสาจะช่วย

ขจัดให้  ทำเอาเจ้าพ่วงและเจ้าเริ่มต่างก็หัวร่อ  อ้อๆๆๆก่อนจะ

ไปข้าจะพาเจ้าไปกราบพระภูมิเจ้าที่เจ้าทางเทพรุกขเทวดาก่อน

     เมื่อเจ้าสนและพรรคพวกได้ยินเช่นนั้นต่างก็ตกใจตัวสั่น

พลางเอ่ยว่า

    “พี่ทั้งสองข้ากลัว ทุกวันนี้เข้าไปในบ้านยังไม่ได้เลย”

   “ไม่ต้องกลัวหรอกข้าจะนำไปเอง”

     เมื่อกล่าวแล้วเจ้าเพิ่มก็พาเดินไปนอกรั้วบ้านซึ่งติดกับศาลทั้ง

สองคือศาลพระภูมิและศาลเจ้าที่พลางพนมมือกล่าวอะไรสักพัก

พลันก็ปรากฏร่างทั้งสองขึ้น  ท่านหันไปทางบรรดาเจ้าสนและ

พวกก็หัวร่อ  หันมาทางเจ้าพ่วงกล่าวว่า

   “ดีเหมือนกันนับว่าเป็นการสร้างกุศลอีกทางหนึ่งให้แก่พวก

มันที่ข้าจำเป็นต้องคอยระวังไว้  แต่บัดนี้ได้รับคำสั่งมาแล้วว่า

ให้กลับไปได้แล้วไม่ต้องมาคอยปกป้องคุ้มครองที่นี้อีก นี่ก็

เตรียมตัวจะออกเดินทางแล้วล่ะ”

   “ถ้าอย่างนั้นพวกของข้าขอกราบลาท่านทั้งสองก่อนด้วย

จะต้องมีงานทำอีกมากมายขอรับท่าน”

   “เชิญเถอะ พยายามสร้างกรรมดีไว้ให้มากๆนับเป็นบุญของ

พวกเจ้าที่มีนายและอาจารย์ซึ่งเป็นคนมีบุญวาสนามากและยัง

สูงกว่าพวกข้ามากมายนักช่วยเหลือไว้  ข้าเองก็จะไปด้วยเหมือน

กัน  ด้วยต้องไปฟังเทพชั้นสูงว่าจะให้ข้าไปอยู่ที่ใดบ้าง???....” 

   กล่าวจบร่างของพระภูมิเจ้าที่เจ้าทางก็เลือนจางหายไป  ดังนั้น

เจ้าพ่วงและเจ้าเริ่มก็นำพวกเจ้าสนทั้งหมดออกเดินทางกลับ

นำพวกเจ้าสนไปฝากไว้กับแม่นางไม้โดยแบ่งแยกกัน ขอให้

ช่วยอบรมสั่งสอนพวกมันด้วย   แล้วหันไปทางพรรคพวกเจ้า

สนทั้งหมดให้เชื่อฟังแม่นางไม้นี้ไว้อย่าขัดขืนเป็นอันขาดหาก

เจ้าขัดขืนข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้     ด้วยข้าได้มอบพวกเจ้าให้แก่

แม่นางหมดแล้ว   ครั้นฝากฝังแม่นางไม้แล้วก็รีบไปพบอาจารย์

รายงานผลงานทั้งหมด จึงออกมากพร้อมรับหนังสือจากอาจารย์

ไปพักผ่อนเพื่อรอการทำงานต่อไปในวันรุ่งขึ้น...........

         แก้วประเสริฐ.

1139348gm3744qpip.gif600297y8krvnyajz.gif				
8 พฤษภาคม 2554 18:48 น.

อทิสมานกาย ๘๘

แก้วประเสริฐ

1303963536poonkul.gif
                 อทิสมานกาย ๘๘

   หลังจากที่หนุ่มโชติและแม่นางเทพอัปสรรัตนาวดีเดินทางเข้าไปใน

กรุงเทพฯนั้น    ทางด้านเจ้าเปล่งก็ได้รับการช่วยเหลือจากแสงสี

สินชัย

พ่วงและเริ่มตลอดจนเหล่าหุ่นเหล่าผีสางนางไม้ทั้งหลายที่อาศัยอยู่ใน

บริเวณป่าแถบนั้นทราบจนเข้าใจ  เมื่อทุกอย่างรู้แล้วพวกทั้งหลาย

ก็รีบจัดการสร้างค่ายกลในลักษณะแตกต่างกัน 

โดยแบ่งหน้าที่กันทำกัน

จนเสร็จเรียบร้อยตลอดจัดหาอุปกรณ์ต่างๆ

มาเสริมแต่งตามคำบอกเล่า

ครั้นเจ้าเปล่งได้ไปตรวจสอบค่ายกลต่างๆ

ซึ่งวางไว้หลายๆค่ายแต่ละค่าย

นั้นแตกต่างกันออกไป   ครั้นเจ้าเปล่งเห็น

ต่างก็นำพวกที่สร้างนั้นมาทำการ

ทดลองเพราะว่าแต่ละพวกล้วนสร้างไม่เหมือนกัน

 ฝ่ายใดที่ไม่ได้สร้างก็ถูก

ทำการทดลองทันที  สร้างความวุ่นวายร้องเสียงดัง

โหยหวนเล็ดรอดออกมา

เจ้าเปล่ง พ่วง และเจ้าเริ่มและหัวหน้ารองลงมา

ต่างแลเห็นความวุ่นวายทั้งสิ้น

ไม่สามารถหาทางออกมาได้  เจ้าเปล่งบัดนี้พวกมันเรียกกันว่า

อาจารย์จึงใช้ให้

เข้าไปนำพวกมันออกมาสับเปลี่ยนกันไปจนทั่วทุกๆค่ายกล

  ทำให้เหล่าหุ่นพยนต์

และเหล่าภูติผีปีศาจนางไม้ต่างแตกตื่นตกใจ 

 แต่ก็ไม่อาจจะขัดขืนคำสั่งได้ต่างเข้า

ไปทดลองกันถ้วนทั่วทุกๆฝ่าย ผลไม่สามารถออกจากค่ายกลได้

จึงต้องให้คนไป

นำออกมาจากค่ายทั้งหมด  และเมื่อผ่านการทดสอบจนแน่แก่ใจ

      ดังนั้นเจ้าเปล่งก็เรียกพวกทั้งหมดมาอธิบายสิ่งต่างๆ

ภายในแต่ละค่ายกล

ให้ทั้งหมดทราบหนทางเข้าออก ประตูล่อลวง

และหากไปติดให้ถือปฏิบัติกันตลอด

หนทางเข้าออกต่างๆจนพวกเหล่านี้ชำนาญแล้ว    

หากจะมองเพียงผิวเผินก็จะไม่รู้ว่าเป็น

ค่ายกลจะแลเห็นเป็นแค่ป่าธรรมดาทั่วๆไป 

 แต่จะพบก็เพียงทางที่จะเข้าสู่ค่ายกลเท่านั้น

ซึ่งแตกต่างกันออกไป   มันจึงฝึกให้พวกเหล่านี้

ต่างทดลองทุกๆตัวนายทั้งหญิงและชาย

ด้วยเพียงตัวเดียวไม่มีเพื่อนเข้าไป 

 ทุกๆคนก็สามารถหาหนทานเข้าออกได้อย่างชำนาญ

เพื่อไม่ให้เสียเวลา  ทุกค่ำคืนมันจะเรียกบรรดา

เหล่าหุ่นพยนต์และประชุมกันพร้อมทั้ง

เจ้าเปล่งก็ไม่ปล่อยให้เสียเวลาไป สั่งสอนการเจริญธรรม

กัมฐานและวิชาการต่างๆอย่าง

คร่ำเคร่งตามแนวทางค่ายกลและวิชาที่ได้ร่ำเรียน

จากชายหนุ่มนายมันอย่างไม่ปิดบังจน

ทุกๆคนเกิดความเคารพนับถือมันเป็นอย่างมาก 

ต่างเรียกหามันว่าอาจารย์  แต่มันบอกว่า

อาจารย์ที่แท้จริงคือนายมันแล้วบอกชื่อตลอดจน

แม่นางอัปสรทั้งสองให้ทราบด้วย   ว่า

หากวันใดพบก็ให้ทำความเคารพนับถือเชื่อฟังเขา

อย่าขัดขืนเป็นอันขาด ด้วยวิชาการนี้

เขาจะเรียกคืนเมื่อใดก็ได้  ทุกๆคนน้อมรับคำสั่งเจ้าเปล่ง

อย่างพร้อมเพียงกัน

     ส่วนด้านเรื่องอาหารการกินนั้นก็ไม่ต้องห่วงใย 

ด้วย เจ้าพ่วงเจ้าเริ่มคอยปรนนิบัติ

รวมทั้งบรรดาศิษย์มันทั้งหลายอีกด้วย    พร้อมทั้งได้รับการอบรม

วิชาการต่างๆที่มันได้

รับรู้มาอบรมเรื่องศีลธรรมเพื่อเป็นหนทางสร้างความดี

เมื่อพ้นจากสภาพต่อสิ่งเหล่านี้ก็

จะได้ไปสู่ภพที่ดีๆต่อไป ตามแนวการสอน

ของอาจารย์มันคือชายหนุ่มตลอดเวลาไม่เคย

ขาดสักวันเดียวพร้อมทั้งทดสอบวิชาการต่างๆอีกด้วย

จนเห็นว่าต่างเข้าใจดีเอาตัวรอดได้

ดังนั้นมันจึงวางตัว   คงปล่อยให้พวกเหล่านี้ต่างฝึกฝนกันเอาเอง

มิให้พวกมันเกียจคร้าน

ต่อสิ่งที่มันอุตส่าห์สร้างไว้ในกาลข้างหน้า  ที่มันคาดการณ์ไว้

ยิ่งได้ศึกษาวิชา

โหราศาสตร์จากอาจารย์มันอีกด้วย ยิ่งเพิ่มทักษะเกิดขึ้น

แก่เจ้าเปล่งมากมายนัก

    ด้านเจ้าแสงสีสินชัยก็กลับไปอยู่กับแม่นางอ้อยวิลาวัลย์

และคอยช่วยเหลือ

งานด้านพ่อเชียรแม่เย็นเจ้าชัยและแม่บงกชเฝ้าดูแลบ้าน

ช่วยเหลือแม่นางชบา

ในการทำงานบ้านไปอีกทางหนึ่งด้วย  การเลี้ยงสัตว์

เช่นหมูนั้นต่างเลิกเลี้ยงกัน

ไปคงมีแต่จำพวกอาหารพืชผักต่างๆเป็นหลัก 

 หากต้องการซื้อมันทั้งสองก็ต้อง

ออกเดินทางเข้าเมืองไปซื้อมากักตุนไว้ในบางครั้งเท่านั้น

        เวลาผ่านไปนานจนกระทั่งวันหนึ่ง   

ในเวลาค่อนข้างสายๆแล้ว  ทางด้าน

พรรคพวกของเจ้าเปล่งเดินทางมาหา  ด้วยไม่เคยพบปะกับ

เจ้าเปล่งอีกเลย

เป็นเวลานานก็คิดถึง  ครั้นเดินทางมาถึงบ้านตามคำแนะนำ

ของลูกพี่มันแล้ว

เมื่อมาถึงยังบริเวณหน้าบ้านพ่อเชียร เจ้าตี๋ใหญ่

ก็ตะโกนเรียกหาเจ้าเปล่งทันที

   “ไอ้เปล่งโว้ย ไอ้ห่าเอ๋ย!!!!....ไม่ยอมไปคบหา

สมาคมหายเงียบไปเลยนะมึง

พวกกูคิดถึงจึงพากันมาเยี่ยมมึงโว้ย”

ทุกๆคนก็แปลกใจปกติไอ้เปล่งมันจะหูไว

เมื่อได้ยินเรียกครั้งเดียวก็จะรีบออกมาแต่

นี่มันตะโกนเรียกหลายๆต่อหลายครั้ง  

เสียงเจ้าเปล่งก็เงียบไม่ตอบออกมาเลยจนกระทั่ง

   “นายเปล่งไม่อยู่หรอกที่นี่หรอกนะ 

 ไม่ต้องตะโกนหรอกจะเข้ามาก็เข้ามาได้เลย”

เสียงตอบออกมาจากภายในบ้านดังขึ้นเป็นเสียงผู้ชาย

   “เข้ามาในบ้านก่อนซิ  แล้วค่อยคุยกัน”

   “อ้าวๆๆๆ...แล้วมันไปอยู่ที่ไหนหรือ  

ก็นายบอกว่ามาอยู่กับเขานี่นา????”

คราวนี้เจ้าวาสเอ่ยถามต่อด้วยความสงสัย   

พร้อมทั้งหมดก็เปิดประตูเข้ามา

ภายในบ้าน  ก็เห็นเจ้าแสงสีนั่งอยู่ใต้ถุนบ้านบนแคร่ 

 ดังนั้นทั้งหมดจึงเดินมา

หา พลางยกมือไหว้ทันที  ด้วยมันจำได้ว่าเป็นใคร

เพราะครั้งหนึ่งเคยเห็นว่า

นายมันได้เรียกพวกมันทั้งหมดมาทำการอบรมวิธีการต่างๆ

ให้ทราบพร้อมยัง

แนะนำการต่อสู้ต่างๆให้อีกด้วยทั้งหมดจึงยกมือไหว้  

เจ้าแสงสียกมือรับไหว้แล้วก็เรียกให้มันนั่งบนแคร่รวมด้วยกัน

   บรรดาพวกทั้งห้าก็หาที่นั่งกัน ซึ่งมี เจ้าตี๋เล็ก ตี๋ใหญ่ 

ชื่น วาส และกุ๋นเมื่อ

ทุกๆคนหาที่นั่งเรียบร้อยแล้ว   เจ้าแสงสีก็เอ่ยว่า

   “เปล่งเขาเข้าไปปลูกบ้านที่ป่าหน้าบ้าน

นั่นแหละอยู่ติดกับริมเขาภายในถ่ำมีธุระ

อะไรสำคัญถึงนายบ้างหรือเปล่าล่ะ???...”

   “ไม่มีหรอกครับพี่ ด้วยพวกข้าคิดถึงด้วยพวกเรา

ไม่เคยขาดการติดต่อเลยไม่รู้

ว่ามันจะเป็นอย่างไรกันบ้างจ๊ะ”

เจ้าชื่นเอ่ยขึ้น พร้อมหันไปทางเจ้าตี๋เล็ก วาสและกุ๋น

ซึ่งทุกๆคนก็เอ่ยขึ้นทำนอง

เดียวกัน

   “เปล่งเขาไปศึกษาวิชาจากนายเพิ่มเติม 

ด้วยเห็นที่นั่นเหมาะสมเงียบสงัดดีนะ

นึกว่าจะมีเรื่องงานมารายงานเสียอีก 

 ด้วยนายก็เคยบอกให้รู้ไว้ด้วยนะ”

เจ้าแสงสีเอ่ย  พลางเหลือบไปเห็นแม่นางชบา

กำลังยกโถและแก้วน้ำเดินลงบันได

มา  พลางรินน้ำใส่แก้วส่งให้แก่ทุกๆคน

   ครั้นบรรดาพระกาฬทั้งห้าเห็นก็ต่างตกตะลึงกันไปตามๆกัน 

 พลางต่างนึกใจใจว่า

โอโฮ!!!!....ช่างสวยอะไรเช่นนี้  ว่าแม่ดานั้นสวยแล้ว

ยังไม่อาจเทียบแม่นางคนนี้ได้

เลย  ต่างคนอ้าปากค้างไปตามๆกัน   เจ้ากุ๋นก็หันหน้า

ไปถามแสงสีทันที

   “พี่ๆๆๆ....น้องสาวคนนี้ใครหรือ???....”

   “อ๋อๆๆๆ....น้องสาวนายแหละต่อไปนั้น

คงจะต้องเป็นนายพวกเราอีกด้วยล่ะ???...”

   “น้องสาวนายหรือพี่????....อ้าวๆๆ???...

พวกข้ารู้ว่านายเป็นลูกชายคนเดียวนะพี่”

   “อ้อพ่อเชียรแม่เย็นท่านเอามาเลี้ยงไว้เป็นลูก 

ทั้งเจ้าชัยพวกเอ็งก็รู้จักซินะตอนมางาน

แต่งงานนะเอ็งไม่สงสัยอะไรอีกหรือว๊ะ???...”

   “สงสัยนะสงสัยหรอกพี่แต่ไม่กล้าถามเท่านั้นเอง

แหละ”

ทั้งหมดขานตอบเกือบพร้อมๆกัน  ไม่เพียงเท่านั้น

ต่างมองหน้ากันไปๆมาๆและแล้ว

    ทั้งหมดต่างอุทานกันลั่นไปหมดนึกในใจว่า 

 เห็นจะมีหวังบ้าง ด้วยพวกมันต่างเป็น

โสดกันทั้งนั้น แต่ก็ต้องสะอึกว่าต่อไปต้องมาเป็นนายมัน

ก็พากันงงงวยสงสัยในใจขึ้น

   “อ้าวพี่???....แล้วจะมาเป็นนายพวกผมได้อย่างไรกันล่ะ 

งานมันคนล่ะอย่างกันนี่นา”

   “เฮ่อะๆๆๆๆ....อีกหน่อยพวกมึงก็รู้หรอกว๊ะ...  

แต่อย่าพึ่งรู้เลยว๊ะ

พวกมึงจะมาเยี่ยมเปล่งมันก็ไปหาเพียงเดินไปทางตรงข้าม

ทางหน้าบ้านเข้าไป

ก็จะพบมันแหละมันปลูกกระท่อมไว้ด้านหน้าของถ่ำติดกับเขา

มีบ้านเดียวเท่านั้นเองแหละ”

   ทั้งหมดครั้นทราบด้วยเห็นว่าหากช้าไปจะมืดเสียก่อน 

 ต่างพากันรีบยกน้ำขึ้นดื่มแล้ว

ก็เอ่ยขึ้นว่า

   “ถ้าอย่างนั้นพวกข้าก็ไม่รบกวนพี่หรอกจะรีบไปหามัน 

คุยกันสักหน่อย

นี่รีบมาแต่เช้าขออนุญาตพี่ชวนมา  ด้วยเขาไม่ว่างกำลัง

ช่วยเด็กสั่งงานอยู่ในไร่

นั่นแหละจ้า”

   เจ้าชื่นเอ่ยขึ้นให้แสงสีฟัง    แล้วทั้งหมดก็ยกมือขึ้นไหว้เพื่อลา 

แต่สายตาพวกมันก็เหลือบไปมองแม่นางชบา

ที่กำลังก้าวขึ้นบันไดบ้าน

  ทั้งหมดนึกในใจเสียดายว๊ะนี่เป็นน้องสาวนายนะ  

หากเป็นคนอื่นเห็นที

จะต้องมาบ้านนี้ทุกๆวันแหละ แล้วพวกมันก็ลุกขึ้นจากแคร่

และเก้าอี้นั่ง

แล้วต่างก็ ทะยอยพากันออกจากบ้านไปเพื่อจะไปหาเจ้าเปล่ง  

  ครั้นเมื่อทั้งหมดออกไปแล้วเจ้าแสงสีก็พลันนึกขึ้นได้ ก็ยกมือตบอก

ลืมบอกพวกมันว่าหากเข้าไปคงจะต้องไปหลงในค่ายกลแน่ๆ  

ครั้นจะตะโกนเรียกก็ไม่ทันเสียแล้วด้วยทั้งหมดต่างก็เดินหายไปใน

ป่าหน้าบ้านหมด   จึงคิดจะออกติดตามไปเพื่อบอกแก่พวกมัน

รีบลุกจากแคร่

หมายจะไปบอกพวกเพื่อนเจ้าเปล่งก็พอดีเสียงสินชัยเรียกดังขึ้น

   “พี่แสงสีๆๆ....แม่นางอ้อยท่านให้มาเรียกพี่ไปพบด้วยพี่

  รีบๆหน่อยนะ”

   “เออๆๆๆ....จะรีบไปพบเดี๋ยวนี้แหละมันลืมที่จะไป

บอกพวกเจ้าเปล่ง

ต้องรีบขึ้นไปพบแม่นางอ้อยวิลาวัลย์ทันที

     บรรดาพรรคพวกเพื่อนเจ้าเปล่งต่างก็วิพากวิจารณ์

ถึงเรื่องแม่สาวชบาในขณะที่เดินไป

ตามทางเล็กๆภายในป่าเพื่อมองหาบ้านเจ้าเปล่งแต่ก็ไม่แลเห็น

เป็นทางคดเคี้ยวไปๆมาๆ

   “นี่นะหากไม่ใช่น้องนายล่ะเฮ้ยๆๆ...

ไอ้ตี๋ใหญ่กูสงสัยจะมีเมียก็คราวนี้แหละผู้หญิงอะไร

สวยฉิบหายเลยว๊ะ  กูว่าแม่ดาว่าเป็นคนงามแล้วเชียวนะ

ยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งน้องนายเลยว๊ะ”

   “อืมม!!!!....จริงของมึงไอ้ชื่นโว้ย  

แต่นั่นน้องนายเรานะโว้ยถึงอย่างไรก็อย่าเสือกถึง

แม้ว่าจะไม่น้องคนในบ้านห้ามเด็ดขาดนะ  

ไอ้ห่านี่หาเรื่องใส่ตัวเสียแล้วซิ”

  “จริงของไอ้ตี๋ใหญ่มันพูดโว้ย  ไอ้วาส ไอ้กุ๋น 

รวมทั้งมึงด้วยไอ้ชื่น อย่าเสือกเก็บมาคิดว๊ะ

ด้วยเป็นคนในบ้านนายเราโว้ย  แล้วมึงก็รู้ว่านายเรา

เป็นคนอย่างไรกันใหญ่ขนาดไหน”

   ไอ้ตี๋เล็กเตือนสติพวกมัน  ทำให้ทุกๆคนต่างเงียบเสียงวิจารณ์ทันที

  ช่วยกันหาทางเดิน

ภายในป่าไปเพื่อพบเจ้า เปล่ง    พวกมันเดินวนเวียนไปๆมาๆ

ก็ไม่เห็นเงาบ้าน

แม้แต่น้อยครั้นมันเดินไปอีก  ก็ได้ยินเสียงร้อยวี๊ดว้ายๆดังขึ้นมา

ทำให้พวกมันชะงัก

เสียงทันที  ด้วยทุกๆคนได้ยินเสียงนั้นเป็นเสียงของ

หญิงสาวหลายๆคน

  เอ๊ะ!!!...ๆๆๆพวกนางทำอะไรกันอยู่จึงต่างส่งเสียงร้องวี๊ดว้ายกัน

ไปดังแซ๊ดเช่นนี้  

        ต่างก็ชะงักรีบค่อยแยกกันเข้าสู่พุ่มไม้ข้างทางทันที

 ค้นหาทางแห่งเสียงนั้น

 พวกมันย่อตัวแล้วค่อยๆย่อง แต่ทั้งหมดก็อยู่ในระยะสายตา

พอมองเห็นกันได้ 

 ครั้นแล้วทั้งหมดต่างก็ต้องตะลึง  ต่างร้องอุทานออกมา

ภาพที่พวกมันเห็นนั้น 

 เป็นสระน้ำใหญ่น้ำใสมองเห็นพวกปลากำลังว่าย 

 ภายในสระล้วนมีบัวสีต่างๆแต่แปลกด้วยเป็นบัว

ที่มันไม่เคยเห็นกันมาก่อนเลย

ภายในสระน้ำแลเห็นบรรดาสาวๆกำลังแก้ผ้าต่างว่ายน้ำไปๆมาๆบ้าง 

บ้างวิดน้ำสาดใส่กันบ้าง

แต่บรรดาสาวๆนั้นช่างสวยจริงๆมันทั้งหมดล้วนเห็นกันหมด

เหมือนกันทั้งสิ้น

     ดวงตามันเบิกโพลงและคิดว่าพี่เขาทำไมไม่บอกว่ามีสิ่งดีๆเช่นนี้ 

 นี่นะซิไอ้ห่าเปล่งถึงไม่ยอมไปพบพวกมันเอาเสียเลย

แอบหาความสุขคนเดียว 

 เดี๋ยวเจอกันต้องเตะมันสักหน่อย ไอ้นี่ต่อหน้าพวกกู

ทำเป็นคนเงียบไม่พูดไม่จา

  ที่แท้แอบมีอะไรดีๆซ่อนไว้เสียคนเดียวและไม่ยอม

ไปพบไปหาพวกกู   แล้วพวกมันต่างก็สะดุ้งเฮือก

เมื่อได้ยินเสียงพวกสาวๆ

หลายๆคนต่างหันหน้ามาทางพวกมัน พลางส่งเสียงร้องเรียก

พร้อมกับกวักมือเรียกไหวๆ

   “พวกพี่ๆจะแอบดูพวกฉันทำไมล่ะจ๊ะ 

 ลงมาอาบน้ำด้วยกันซิจ๊ะพี่จ๋าาาาา”

ทำเอาทั้งหมดตลึงลืมตัวไปว่าสาวๆมันรู้ได้อย่างไรว่า

พวกมันแอบสุ่มดูอยู่  

แต่ความงามของบรรดาพวกหล่อนนั้นต่างก็พากันออกจากที่ซ่อน 

 เดินไปหาด้วยความงวยงง ครั้นถึงริมสระ

    บรรดาสาวๆที่เปลือยผ้าอยู่ก็หาเกิดความเอียงอายแต่ใดๆไม่ 
 
ต่างว่ายมาริมขอบสระ บรรดาพวกเจ้าเปล่งทั้งหมดครั้นแลเห็น

ต่างตลึงในความงามปทุมถันก็ตั้งเต้า 

ยวนเย้าเต่งตึงไปทุกๆนางล้วนแล้ว

เปล่งขาวทรวดทรงเอวก็รับกับรูปร่างอย่างหาที่ติไม่ได้ 

 ก็ได้ยินเสียงย้ำเตือนอีกว่า

   “พวกพี่ๆลงมาอาบน้ำด้วยกันซิจ๊ะพี่ๆๆๆ”

      ครั้นได้ยินชักชวนอีกเช่นนั้นต่างมิรีรอรีบเปลื้องผ้ามัน

แล้วกระโจนลงสระทันที    ยกเว้นเจ้าตี๋เล็กคนเดียว

ที่ไม่ยอมลงไปด้วย 

 จนสาวๆหันมากวักมือเรียกอีก 

แต่เจ้าตี๋เล็กสั่นหน้าบอกว่า

   “ไม่หรอกจ้าน้องสาว  พี่ไม่ค่อยจะสบาย

ครั่นเนื้อครั่นตัวชอบกลจ๊ะ”

  ทั้งๆที่มันไม่เป็นอะไรแต่ใจมันสังหรณ์ใจชอบกลอย่างไรบอก

ไม่ถูก  ด้วยสิ่งที่เห็นนั้นผิดปกติด้วยบรรดาดอกไม้ต่างๆไม่เคยมีใน

บริเวรณแถบนี้เลย  ดังนั้นทำให้มันลังเลไม่ไว้วางใจนัก

จึงไม่คิดเหมือนพวกมันที่ต่างลงไปเล่นน้ำกับบรรดาสาวๆ

อย่างสนุกสนาน มันได้แต่มองดู  พลางหาที่นั่งบนขอนไม้ใกล้ๆ  

   เมื่อมองไปสักพักใหญ่ๆมันต้องรีบขยี้นัยน์ตามันทันที  

ด้วยสิ่งที่เห็นนั้นหายไปหมดเห็น

     บรรดาพรรคพวกมันต่างเปลื้องผ้าล่อนจ้อน

กำลังว่ายอยู่กับบนพื้นดิน

ที่เปื้อนฝุ่นขาวๆฝุ่นสีแดงๆไปกันหมด  แต่เมื่อขยี้ตาอีกครั้ง

ก็แลเห็นเป็น

สระน้ำเหมือนเดิม พอมันหันไปดูที่อื่นสิ่งต่างๆ

เปลี่ยนไปหมดไม่เหมือน

กับที่มันเข้ามาเลย  ป่าทั้งป่าหายไปเพียงมีบางต้นเท่านั้น 

นอกนั้นเป็นภูเขา

ภูผาต่างซ้อนๆกัน ครั้นหันกลับไปมองพวกก็เห็นเหมือนเดิม

คือว่ายบกอยู่

แต่พอหันไปอีกหันมาก็เห็นเป็นสระน้ำเหมือนเดิม  

มันตกใจอย่างสุดขีด

ถึงกับปากอ้าตาค้าง   รีบร้องโวยวายตะโกนบอกพรรคพวกมันทันที 

  แต่บรรดาพวกมันกับหันหน้ามายิ้มกับมัน 

แล้วต่างว่ายบนพื้นดินไปๆมาๆ

 พร้อมส่งเสียงร้องเฮฮาสนุกสนากัน

   “ไอ้ตี๋เล็กโว้ย  ทำไมมึงไม่ลงมาเล่นน้ำล่ะว๊ะสนุกๆว๊ะ 

สาวๆสวยๆทั้งนั้น

โอ้ยๆๆๆกูบอกไม่ถูกว๊ะ  ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยสนุก

และเล่นกันสนุกสนาน

กับสาวๆเช่นนี้เลยล่ะ  มาๆมึงรีบลงมาเถอะว๊ะ สนุกจริงๆนะโว้ยเพื่อน

ล้วนแล้วแต่อวบอัดน่าฟัดทั้งสิ้นทุกๆนางเลยเชียวว๊ะไอ้ตี๋เล็ก”

   “จริงๆนะโว้ยเดี๋ยวจะหาว่ากูไม่เตือนมึง โอ้ยๆๆนมมันนุ่มนวล

จังใหญ่ขาวจั๊วว๊ะเนื้อออกสีชมพูน้อยๆสวยละมุนมือจริงๆว๊ะ”

เสียงไอ้กุ๋นร้องเรียกอีกเพื่อให้ไอ้ตี๋เล็กมาร่วมสนุกกับมัน 

เสียงที่ไอ้ตี๋เล็ก

ตะโกนบอกเตือนมันต่างไม่ได้ยินทั้งสิ้น ไอ้ตี๋เล็กว่า

พวกมันกำลังทำอะไร

กันอยู่หามีสระน้ำสาวๆใดๆไม่หรอก  แต่พวกมันไม่ยอม

ฟังคำเตือนกลับพูดว่า

   “ใช่แล้วโว้ยนางคนนี้มึงเอ๋ยนุ่มนวลอย่างบอกใครเชียว
 
รับรองว่าชีวิตนี้มึงไม่เคยพบหรอกกูว่า

แม่ดาแฟนพี่ชวนว่าเป็นสาวสวยแล้วยังเทียบไม่ได้เลยว๊ะ”

   เสียงไอ้วาส ไอ้ชื่น และไอ้ตี๋ใหญ่ต่างเอ่ยสรรพคุณต่างๆนาๆ  

 ไอ้ตี๋เล็กตาแทบถลนปากแทบฉีกขาดเสียให้ได้  

แตมันก็ยังเป็นห่วงอด

     ตะโกนบอกว่าพวกมึงไม่ได้แก้ผ้าเล่นน้ำโว้ยมึงกำลังเล่นกลับฝุ่น

บนทางดินโว้ย  แต่แล้วเสียงมันคล้ายๆกับหายไป

ในสายลมที่พัดเอื่อยๆ

ปนร้อนๆ ทำให้เกิดอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเดี๋ยว

ก็ร้อนเป็นบ้าเดี่ยวก็เย็นจับจิต

แต่เสียงของมันก็หาได้สร้างความหวั่นไหวแก่พวกมันได้  

พากันหัวร่อต่อกระซิกกันหยอกเย้าเหมือนว่าพบของจริงๆ

โดยไม่รู้ตัวนอกจาก

มันคนเดียวเท่านั้นเอง     มันต่างหันซ้ายหันขวา

หาคนช่วยครั้นเหลือบกลับ

ก็แลเห็นภาพดังเดิมคือเป็นสระและสาวสวยต่างร้องเรียกมัน

 มีนางหนึ่งเดินขึ้นมาตรงจะเข้ามาหามัน  

ไอ้ตี๋เล็กเห็นเช่นนั้นก็รีบถอยหลัง

ออกวิ่งหนีทันที  ทันใดนั้นก็เห็นร่างหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่

แถวโคนต้นไม้

รีบถลันออกมาช่วยมันทันที  หล่อนแต่งกายสวยแบบโบราณ

มีสไบเฉียง

ห่มผ้าสีเขียวอ่อน  บอกให้มันมาซ่อนตัวที่นี่  

ดังนั้นไอ้ตี๋เล็กจึงวิ่งไปแอบที่

โคนต้นไม้ใหญ่แต่มันไม่รู้ว่าเป็นต้นไม้อะไร

 จะว่าต้นไทร ต้นตะเคียนก็ไม่ใช่ 

 แล้วร่างหล่อนก็ออกไปรับหน้าสาวคนนั้นแทน 

ซึ่งกำลังวิ่งมาหาเจ้าตี๋เล็ก

แต่หล่อนก็ไม่วายหันหน้ามาสั่งเจ้าตี๋เล็กด้วย

  เกรงว่าเจ้าตี๋เล็กจะออกไป

   “พี่ๆๆมาแอบที่โคนไม้นี้นะ 

 ฉันจะไปรับหน้าแทนเองจ๊ะ”

   “พี่นางๆๆจะเอาเองหรือไงจ๊ะ 

 ถึงได้ออกรับหน้าแทนเช่นนี้”

   “เปล่าหรอกน้อง  พี่พ่วงมาแจ้งว่าล้อเล่น

พอได้แล้วล่ะด้วยเป็นเพื่อนๆๆ

ของอาจารย์เปล่งเขานะ”

   “เหร๋อๆๆ???....พี่????...ดีนะพวกข้า

กำลังคิดจะทำให้พวกเขาตกใจ

กลับกลายร่างหลอกเสียให้เข็ด   จึงรีบออกมาหวังว่าเพียง

เพื่อจะให้เพื่อนอาจารย์คนนี้ไปร่วมสังฆกรรมอีกคนจ้า  โอ้ยๆๆตายแล้ว

 งั้นข้ารีบไปก่อนนะจะได้ไปบอกพวกเราไว้

อย่าทำให้พวกเขาตกใจจ๊ะ”

    “เร็วๆเข้าน้องเดี๋ยวไม่ทันการณ์นะ”

   “จ๊ะพี่ไปเดี๋ยวนี้แหละ”

     กล่าวเสร็จร่างนางก็หันกายกลับเพราะไม่

อาจจะหายตัวเกรงว่าเพื่อน

ของอาจารย์จะตกใจ  

ครั้นนางหายไปแล้ว นางก็หันหลังกลับไปนั่งตรงข้ามตี๋เล็กถามว่า

   “ทำไมไม่ลงไปเล่นน้ำกับเขาด้วยล่ะจ๊ะ”

   “ไม่หรอกจ้า ด้วยสังหรณ์ใจอย่างไรไม่ถูก

 จึงปฏิเสธไปจ้า”

   “ดีแล้วจ้า ถ้าอย่างนั้นก็นั่งคอยเพื่อนก่อนนะจ๊ะ 

 ฉันเองจะไปทำธุระ

ทางโน้นก่อนนะ”

   “ตามสบายเถอะจ้า  ฉันจะคอยเพื่อนอยู่แถวนี้

แหละ”

   “เดี๋ยวเขาก็จะมีคนพามาหาแหละจ้า ไปก่อนนะ”

    กล่าวแล้วนางก็เดินหายไปทางพุ่มไม้หลังโคนต้นไม้ใหญ่  

นั่งเอนหลังพิง

ต้นไม้คอยการมาของเพื่อนๆมัน

    ที่บริเวณสระนั้น หญิงสาวก็รีบลงมาแอบแจ้งแก่เพื่อนๆ

หล่อนทันที ดังนั้น

ไม่ช้าพวกหล่อนก็หันไปยิ้มกับบรรดาชายหนุ่ม 

พร้อมโบกมือลาแล้วหายตัว

ไปทันที   เล่นเอาบรรดา ตี๋ใหญ่ ชื่น วาส และกุ๋น 

ต่างตกใจตลึงพรึงเพริศไป

ด้วยกันทั้งสิ้น  ต่างหันมามองหน้ากัน

เหมือนแลเห็นสาวๆทั้งหมดหายวับไป

มันทั้งหมดรีบมองไปในบริเวณสระ 

 บัดนี้ไม่มีสระมีแต่ถนนลูกรังที่เต็มไป

ด้วยฝุ่นแดงขาวทั้งสิ้น   พวกมันต่างตกใจ

ที่ต่างแก้ผ้ากันหมดทุกๆคนมา

ว่ายเล่นฝุ่นอยู่ผมบนหัวต่างเปื้อนฝุ่นลูกรังสีแดงไปสิ้น

 เนื้อตัวมอมแมม

   “อะไรกันโว้ย!!!!!?????.... เอ้ยๆๆๆพวกเรา

เป็นอะไรไปว๊ะ????.......”

ทุกๆคนยืนขึ้นมองหน้ากันตาเหลิกหลั่กๆไปตามกัน

พากันหัวร่อที่ต่างแลเห็น

ของลับแต่ละคนต่างลืมกลัวไปหมด  แล้วพากันชี้ชวน

ให้ดูกันและกัน ครั้น 

พอนึกขึ้นได้ต่างรีบกุมมือของลับไว้แล้ววิ่งไป

ที่มันถอดทิ้งไว้  มันมองไม่

เห็นต่างพากัน ช่วยกันค้นจนพบ แล้วรีบคว้าแยกย้ายกันนำ

เสื้อผ้ารีบนุ่งกันอย่างรีบเร่ง   แล้วหันซ้ายแลขวา

หาไอ้ตี๋เล็กกันแต่ไม่เห็น

เนื้อตัวมันต่างมอมแมมกันไปหน้าตามันเปื้อนด้วยฝุ่นแดงกันทุกๆคน

ผมเผ้าต่างกระเซิงกันไปๆมาๆทุกๆคน

  มันต่างรีบมารวมตัวกันเพื่อจะค้นหา

เจ้าตี๋เล็กซึ่งหายไป  จะได้รีบออกจากที่นี้ด้วยกัน

ถึงอย่างไรมันก็ไม่ยอมทิ้งกัน

   ทันใดมันก็เห็นหญิงสาวนุ่งผ้าห่มสไบเฉียงสีเขียวอ่อน

เดินเข้ามา แล้วร้อง

บอกว่า

   “เพื่อนพวกคุณนั่งรออยุ่ที่โคนต้นไม้  

ตามฉันมาจะพาไปพบเขานะ”

กล่าวแล้วหญิงสาวนางนั้น  ก็หันหลังกลับเดินไป

 บรรดาชายหนุ่มต่างรีบเร่ง

เดินตามไปทันใด  ครั้นเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาสักพัก

ก็เห็นไอ้ตี๋เล็กกำลังเอนกายพิง

กับโคนไม้ใหญ่   หล่อนก็ชี้มือให้พวกนั้นดูแล้ว

ก็รีบออกเดินลับหายไปทาง

พุ่มไม้ข้างทางทันที

    ไอ้ตี๋เล็กเมื่อแลเห็นก็อ้าปากหัวร่อลั่น

เมื่อแลเห็นบรรดาพรรคพวกรูปร่าง

หน้าตาต่างมอมแมมไปทุกๆคน  

ไม่เปล่าต่างชี้มือไปพลางหัวร่อไปพลาง

ด้วยเพื่อนมันบางคนสวมเสื้อกลับกันบ้าง

ล้วนแล้วแต่สกปรกทั้งสิ้นพลาง

เอ่ยว่า

   “เฮ้ยๆๆๆเป็นอย่างไรว๊ะอาบน้ำสบายดีหรือว๊ะ 

 ไหงเป็นลูกหมาคลุกฝุ่น

ไปเสียล่ะ???ฮ่าๆๆๆๆ!!!.....”

   “ไอ้เหี้..ย...เสือกหัวร่อทำหาตีนหรือไงว๊ะ

  เดี๋ยวพวกกูจะเตะมึงหรอก 

 ทำไมมึงไม่บอกกูว่าอะไรมันเป็นอะไรว๊ะ”

   “กูก็ร้องบอกมึงทั้งหมดแหละ แต่พวกมึงไม่ยอมฟังกู

 ครั้นกูเห็นมึงกำลัง

ว่ายเล่นฝุ่นก็บอกแล้ว แต่ไม่มีสาวๆที่ไหนเลย 

กูก็เลยวิ่งหลบมาพบแม่นาง

ดีนะที่มันเดินมาจะเรียกกูไปเล่นด้วย แต่แม่นางเขาห้ามไว้

กูถึงได้รู้เรื่องว๊ะ”

   ทั้งหมดมองหน้ากันด้วยรู้นิสัยใจคอพวกมันดีว่า แต่ก็อดถามไม่ได้

  “แล้วแรกๆมึงทำไมไม่ลงไปกับพวกกูล่ะ

โว้ย!!!!!????...”

  “กูสังหรณ์ใจชอบกล อะไรว๊ะในป่าที่พี่แสงสี

เขาบอก ก็ไม่คิดอะไรมาก

หรอกแต่มา คิดๆดูว่าทำไมดันมีสระน้ำและดอกไม้สวยๆ

ดอกบัวเอยอะไรๆ

อีกสวยๆผิดสักเกตุ  กูก็เตือนพวกมึงแล้วแต่พวกมึงไม่ฟังกู

ก็เห็นสาวๆสวยๆ

แต่กูยังมีสติไม่บ้ากามเหมือนพวกมึงนี่หว่า เกิดลางไม่ดีแน่

ก็เตือนแล้วเตือน

พวกมึงอีกแต่พวกมึงดันแก้ผ้าลงไปเล่นน้ำ 

ตอนแรกกูก็เห็นว่าเป็นน้ำสาวๆ

แก้ผ้าเล่นน้ำเหมือนกันแหละโว้ย แต่แรงสังหรณ์ใจ

มีมากกว่าจึงแกล้งบอกว่า

ไม่สบาย รอดตัวไป  เป็นไงล่ะกูได้ยินว่าสนุกสนานจริงโว้ย

 แล้วสนุกมากไหม

ล่ะ!!!....ฮ่าๆๆๆๆ พวกมึงต่างดูหน้ากันเอาเองก็แล้วกัน

หน้าเหมือนคนไหม”

    กล่าวแล้วไอ้ตี๋เล็กก็หัวร่อลั่นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

ไปทั่วบริเวณ เล่นเอา

พวกมันทำหน้าตาพิกลไปตามๆกัน  

ทุกๆคนมองหน้าตัวกันแล้วจริงของมันพูด

พลันก็ได้ยินไอ้ตี๋เล็กเอ่ยขึ้นอีกว่า 

 จนพวกมันต้องรีบหันมารับฟังมันพูด

   “ไอ้กุ๋นบอกว่าโอ้ยนุ่มมือจริงโว้ย  ไอ้วาสกับพวกบอกว่า

เนื้อมันนิ่มจริงๆ กูมองดูพวกมึงก็ยังย้ำเตือนบอกว่าไม่ใช่โว้ย

แต่มึงไม่ยอมฟัง

เห็นมึงกำลังขย้ำก้อนหินอยู่ ส่วนไอ้วาสนกอดกับท่อนไม้เล็กๆอยู่ว๊ะ

ส่วนคนอื่นๆต่างคว้าหากิ่งไม้มากอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน

  แย่งกันด้วยว๊ะถึงได้

แน่แก่ใจว่า  ฉิบหายล่ะโดนผีหลอกกลางวันจึงรีบถอยหลังมา

 พอดีอีนางมัน

ขึ้นจากสระหมายมาเอากูลงไปเล่นด้วย 

 ก็ก็วิ่งหนีมานั่งคอยพวกมึงที่นี่แหละ

ว๊ะ....ฮ่าๆๆๆๆๆ.......”

    ไอ้ตี๋เล็กพูดไปหัวร่อไป  เล่นเอาพรรคพวกมันทั้งหมด

ต่างมองหน้ากัน

            ทันใดนั้นก็มีร่างชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาหามัน 

 พลางเอ่ยปากว่า

   “พวกคุณไปเถอะ อาจารย์กำลังอยากพบตัว

  กำลังนั่งคอยอยู่นะ”

ทั้งหมดต่างร้องขึ้นว่า

   “อาจารย์ๆๆๆๆ!!!!!!????.....ใครว๊ะ????...

อาจารย์????.....”.............


                    แก้วประเสริฐ.

( เพื่อฝึกสมาธิื ลองทายซิว่า หญิงที่เต้นระบำนั้น หมุนทางซ้ายกี่รอบ
และหมุนทางขวากี่รอบครับ เพื่อความสนุกสนานครับ หากใครทราบ
ถือว่าผ่านวิชาเพ่งกสิณไปได้ครับ )


1139348gm3744qpip.gif				
2 พฤษภาคม 2554 15:00 น.

อทิสมานกาย ๘๗

แก้วประเสริฐ


                        อทิสมานกาย  ๘๗

   ภายหลังจากเจ้าเปล่งร่วมทางไปกับเจ้าเพิ่มและเจ้าเริ่มลับ

ร่างทั้งสามไปแล้ว

   ภายในห้องจึงเหลือชายสามหญิงสองคน เจ้าสินชัยแสงสี

ได้แต่คอยฟัง การสนทนาระหว่างอาจารย์หรือนายมันกับ

แม่นางอัปสรทั้งสองที่ต่างพากันหยอกเย้ากระเซ้ากันเล่น

ในตอนหนึ่ง  ชายหนุ่มกล่าวขึ้นแก่แม่นางอัปสรว่า

   “อีกสองสามวันพี่จะต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯเสียแล้วล่ะ

ด้วย  ท่านรองเจ้านายเรียกพบด่วน”

   “แล้วไปเพียงคนเดียวหรือพี่  ไม่เอาเจ้าสินชัยแสงสีไปด้วยล่ะ”

   “ไม่หรอกน้อง  เพราะเรื่องนี้มันเป็นเรื่องสำคัญใหญ่โตมาก

เสียด้วย  อีกอย่างหนึ่งทางนี้ก็ไม่ค่อยจะดีอีกจะได้ให้มันร่วมมือ

กับเจ้าเปล่งช่วยกันทำงานไว้  พี่เองได้เขียนหนังสือว่าเมื่อไปแล้ว

จะมอบหมายให้มันทำงาน หากได้รับทราบจากทางกรุงเทพฯ

จ๊ะ ส่วนน้องทั้งสองก็ต้องคอยดูแลกำกับพวกมันอีกทางหนึ่ง

ด้วยนะ ในระหว่างพี่ไม่อยู่ด้วย”

   “เอาอย่างนี้ดีกว่าเพื่อจะได้ทันเหตุการณ์ น้องจะตามไปพี่ส่วน

ทางนี้ให้น้อยอ้อยคอยควบคุม หากเมื่อทราบเหตุการณ์ผันแปร

เป็นที่เรียบร้อยแล้วจะได้รีบกลับมาแจ้งให้น้องอ้อยกับพวกเรา


ได้ดำเนินการต่อไป ไม่ดีหรือจ๊ะ”

   แม่นางรัตนาวดีเอ่ยขึ้นกับชายหนุ่ม ส่วนในใจนั้นรู้เหตุการณ์

ทั้งหมดอยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร เพียงคิดว่าชายหนุ่มก็คงจะรู้

เหมือนกับตัวหล่อนเองแหละ

   “อย่างนั้นก็ได้น้องรัตนาตามพี่ไปคนเดียวก็พอ”

   กล่าวเสร็จก็หันไปทางแม่นางอ้อยวิลาวัลย์อัปสรและเจ้าแสงสี

เจ้าสินชัยกล่าวว่า

   “พี่ต้องขอให้น้องอ้อยช่วยทำหน้าที่แทนพี่ในระหว่างที่ไม่อยู่นะ

ส่วนเจ้าสินชัยแสงสีก็ให้ไปแจ้งให้เจ้าเปล่งรู้ไว้ด้วย  นี่ก็หลายวัน

ผ่านมาแล้วการจัดการที่อยู่ของมันคงจะเรียบร้อยแล้ว ด้วยข้าไปดู

การทำงานของมันมาเรียบร้อยแล้วล่ะ  เพียงแต่เสริมบางอย่างให้

แก่มันด้วย  

   ที่นั่นยากนักที่คนจะเข้าไปได้นอกจากเจ้าทั้งสองและข้าและนาย

หญิงของเจ้าเท่านั้นแหละ

   “แล้วนายจะไปกรุงเทพฯคิดว่าจะกี่กันล่ะนาย?????”

เจ้าแสงสีถามขึ้น

  “ข้าคิดว่าคงจะไม่เกินห้าวันแหละ  พอรับคำสั่งมาแล้วก็จะได้สั่งให้

เจ้าเปล่ง  ซึ่งมันนั้นเก่งกาจในเรื่องการวางแผนการณ์อยู่แล้ว ส่วนข้า

นั้นจะแสดงตัวเองก็ไม่ได้ ด้วยข้าสังหรณ์ใจว่างานครั้งนี้ต้องแบ่ง

หน้าที่ออกเป็นสองทางเสียแล้วล่ะ”

   ชายหนุ่มเอ่ยให้เจ้าแสงสีสินชัยฟังตลอดจนแม่นางทั้งสองอีกด้วย

   “แล้วนายจะเริ่มออกเดินทางเมื่อไหร่ล่ะนาย???...”

   “คิดว่าคงจะพรุ่งนี้แหละ  แต่ต้องบอกพ่อแม่และน้องๆให้รู้

เสียก่อนเพื่อจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงอะไร  แต่คิดว่าคงจะไม่เป็น

ปัญหาหรอกนะ”

   ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นลอยๆพร้อมทั้งแย้มยิ้มไปด้วย แม่นางทั้งสองและ

เจ้าทั้งสองก็รู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นชายหนุ่มแย้มยิ้มไม่กังวลใดๆทั้งสิ้น

   หลังจากที่ชายหนุ่มได้ไปกล่าวลาพ่อแม่กับน้องๆแล้วว่ามีงานด่วน

จะต้องไปกรุงเทพฯคงไม่นาน  ด้านพ่อเชียรแม่เข็มก็เอ่ยว่า

   “เมื่อเสร็จงานก็ให้รีบกลับมานะลูก  สองสามวันนี้พ่อไม่เห็นเจ้า

เปล่งมันเลยหรือว่าลูกให้มันไปอยู่ที่อื่นแล้ว???”

   “มันก็อยู่ที่ป่าหน้าบ้านเราแถบภูเขานั่นแหละครับไม่ได้ไปไหน

เพราะว่ามันเกรงว่าหากมันอยู่ที่นี่จะเป็นที่สงสัยของชาวบ้านเขา

ด้วยมันเป็นคนที่เกือบทุกหมู่บ้านรู้จักมัน เกรงจะเปิดเผยความลับ

ของลูกครับ”

   “อ้องั้นนี่เอง  ข้าเห็นมันมาลาพ่อและแม่    ก็ถามมันแต่มันไม่ตอบ

ได้แต่ยิ้มๆว่าไม่ได้ไปไหนหรอกอยู่แถวๆนี้แหละ  พยายามถามมัน

แต่มันก็บ่ายเบี่ยงเลี่ยงไปเลี่ยงมา จนข้าขี้เกียจถาม”

   “อ้อๆๆๆ.....พ่อป่าแถวบริเวณหน้าบ้านเราเกือบติดภูเขานั้นนะ

พ่อแม่และน้องๆอย่าเข้าไปเสียล่ะและช่วยบอกน้องๆด้วยล่ะครับ”

   “อ้าวๆๆๆ!!!!????....ทำไมหรือก่อนนั้นพ่อเองก็เข้าไป หาของ

ป่าอยู่เสมอๆนี่นา มีอะไรพิเศษหรือลูก”

   “ด้วยตอนนี้ไม่เหมือนเก่าเสียแล้วล่ะครับคุณพ่อคุณแม่  เพราะว่า

มันเปลี่ยนแปลงไปหมด ด้วยเจ้าเปล่งมันวางค่ายกลไว้ หากใครไม่รู้

ทางเข้าและทางออก จะหลงติดอยู่จนตายไปครับ  แม้แต่พวกภูต

ผีปีศาจก็ยังไม่อาจจะเข้าไปได้หากไปแล้วก็ย่อมวนเวียนหาทางออก

ไม่ได้เลยครับ  มันเป็นค่ายกลที่ร้ายกาจมากๆด้วยครับ ต้องหลงใหล

หากเข้าไปแล้ว ทั้งหลงใหลและน่ากลัวมากๆครับ”

   “เฮ้ยๆๆๆๆ????...ถึงขนาดนี้เชียวหรือ  ข้านึกว่ามันมีเพียงในเรื่อง

สามก๊กเท่านั้นเอง  นี่เป็นเรื่องจริงหรือเจ้าโชติ”

   พ่อเชียรตลอดจนแม่เข็มอุทานลั่น ด้วยความตกใจไม่คิดว่าเรื่องนี้

จะเป็นเรื่องจริงในยุคนี้

   “เป็นเรื่องจริงครับ  เพราะเจ้าเปล่งมันได้ตำราวิชาการมาในเรื่องนี้

จากการตกทอดมา   และมันบอกว่าตกทอดมาจากทวดมันครับจนตก

ทอดมาถึงมัน มันเป็นคนชอบอ่านหนังสือจึงให้เขาไปแปลเป็นไทย

ไว้แล้วค่อยๆศึกษาจนได้รู้ซึ้ง ทดลองแล้วเห็นผลมากครับ  มันเก็บ

เป็นความลับไม่ให้ใครรู้ นอกจากมันคนเดียว  มันยังเอามาให้ผมอ่าน

ดูอีกด้วยครับ  มันมีวิธีการซับซ้อนมากมายหลายวิธีการอีกด้วย 

    เมื่อผมอ่านดูเห็นว่ามันโหดเหี้ยมเกินไปจึงได้เสริมสิ่งอื่นๆไว้โดย

ผมได้ถ่ายทอดบางสิ่งบางอย่างไว้ให้แก่มันด้วยครับ  ตามตำราของ

อาจารย์เลื่อมท่านก็ได้รับการถ่ายทอดมาจากอาจารย์ท่านเหมือนกัน

แต่แตกต่างกัน  ผมจึงเอามาผสมผสานกันไว้ก็สามารถเข้ากันได้ครับ

วิชานี้มีจริง  ผมได้เคยทดลองเอาสัตว์มาใส่ไว้มันหาทางออกไม่ได้

เลย จนต้องนำมันออกมา ผมก็ไปทดลองที่ในป่าแถวหน้าบ้านเรานี่

แหละครับ  เมื่อเจ้าเปล่งมันขออนุญาตใช้บริเวณแถบนั้นเป็นที่อยู่มัน

คงจะมีแผนอะไรบางอย่างกระมัง  เพราะนิสัยมันไม่นิยมการฆ่าฟัน

เพียงแต่จำเป็นเท่านั้น ข้อนี้ผมรู้นิสัยมันจึงรับมันมาอยู่ที่บ้านเรา

และก็ทราบด้วยว่ามันเป็นคนมีความกตัญญูรู้คุณคนมาก วิชามันร้าย

มากๆนะ  ดีที่ผมนำมาดัดแปลงเพิ่มเติมบางส่วนให้แก่มันไว้ให้มัน

แล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะครับ     เวลาสร้างต้องอาศัย

ภูมิประเทศประกอบการอีกด้วย มิฉะนั้นผลจะไม่เกิดขึ้นการสร้าง

ค่ายเมื่อใช้ต้องดูภูมิประเทศประกอบอีกด้วย    เจ้าเปล่งมันเวลาว่างๆ

ก็เข้าไปสำรวจมาแล้ว ตลอดจนได้วางสิ่งต่างๆเช่นหิน ต้นไม้ ต้องทำ

การซ่อมแซมเพิ่มเติมบางอย่างลงไปด้วย ผมเคยตามมันไปดูการ

สร้างค่ายกลของมันไว้ด้วย การวางแนวทาง การใช้หินต่างๆและการ

ปลูกต้นไม้ตามลักษณะค่ายกลไว้โดยย้ายต้นไม้ต่างๆวางตามแนว

แผนการณ์สร้างบางอย่างขึ้นไว้  นี่ผ่านมาหลายวันคงเรียบร้อยแล้ว

ผมเองได้ไปช่วยมันมาแล้วครับ  หากใครไม่รู้แนวทางย่อมต้องติด

หลงวนเวียนในบริเวณนั้นคล้ายเรื่องเขาวงกตแหละครับคุณพ่อ”

   “ข้าเองก็ร่ำเรียนวิชาการมาก็นับว่ามากเหมือนกันแต่ไม่ได้ยิน

เรื่องนี้เลยนอกจากอ่านในหนังสือสามก๊กเท่านั้นเองยังคิดว่า

เป็นเรื่องแต่งขึ้นเสียอีกนะลูก  หากไม่เล่าโดยเจ้าจะไม่เชื่อเรื่องนี้โดย

เด็ดขาด  แต่นี่เป็นลูกพ่อเล่าจึงเชื่อคนอื่นเล่าพ่อจะต้องหัวร่อเชียวล่ะ   

หากเป็นเช่นนั้น   ก็เหมือนคุกใช้ขังคนชั่วได้ดีกว่าการฆ่าซึ่งเป็นบาป

มากอีกด้วย  ก็ดีไปอย่างนะให้มันตายเองโดยธรรมชาติเอง”

   “วิชานี้สาบสูญไปตั้งนานแล้วครับ แต่ไม่รู้ว่าเจ้าเปล่งมันไปได้

มาจากการตกทอดมา  ที่ลูกเข้าไปได้ก็ด้วยมันพาไปดูการสร้าวไว้นั่น

แหละตลอดจนรู้บ้าง  จึงได้ช่วยเหลือมันเล็กๆน้อยรู้วิธีการเข้าออก

ได้เป็นอย่างดี  หากใครไม่รู้ก็จะต้องหลงติดอยู่ในนั้นนอกจากจะมี

คนไปนำออกมาครับพ่อ   ส่วนผมรู้นั้นเพียงเห็นการกระทำของมัน

แต่ไม่มากนักหรอก ส่วนเจ้าเปล่งมันสนใจเรื่องนี้มานานแล้วและ

มันที่ผมเอามาเลี้ยงไว้คนเดียว เพราะมันมีปัญญาหลักแหลมฉลาด

มากวางแผนการณ์ได้อย่างลึกซึ้ง  คงจะเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่นอนครับ

ก็ดีไปอย่างหนึ่งที่มีคนมาช่วยเหลือผม ส่วนผมเองก็จะวางมือทางนี้

ไปทำงานทางด้านโน้นทางเดียว  เมื่อได้ลูกมือไว้ใจได้มาทำงาน

ทางด้านนี้ทางเดียวครับคุณพ่อคุณแม่”

   “หากเป็นเช่นนั้นจริงๆดังลูกกล่าวไว้ก็นับว่าลูกมองคนได้เก่งมาก

ทีเดียวนะ”

   “ผมมองมันมานานแล้วล่ะครับ ทดสอบมันก็ตั้งหลายๆครั้งจึงแน่

แก่ใจว่า มันเป็นคนซ่อนคมไว้ไม่เปิดเผย แม้แต่เพื่อนรักมันก็ยังไม่

รู้หรือน้องชวนหัวหน้ากลุ่มรู้ก็เพียงว่ามันเป็นนักวางแผนเท่านั้นเอง”

    ชายหนุ่มเอ่ยให้พ่อแม่ฟัง  พลางเอ่ยเสริมว่า

   “อย่าลืมนะครับบอกน้องๆทุกๆคนด้วยให้ทราบเรื่องนี้  หาก

ต้องการพบมันก็ให้บอกเจ้าแสงสีสินชัย  หรือพ่ออยากจะไปดูก็ให้

เจ้าแสงสีสินชัยนำทางเข้าไปก็ได้ครับ  ผมจะสั่งพวกมันไว้ครับ

หรือหากหลงเข้าไปไม่รู้ตัว  ก็ให้ตะโกนเรียกเจ้าแสงสีสินชัยมันก็

จะออกมานำทางออกให้ครับหรือต้องการพบมันก็เช่นเดียวกันครับ”

   “คงจะไม่จำเป็นหรอก งานในไร่สวนนาก็มีมากที่ต้องดูแลแทบจะ

ไม่หมดอยู่แล้วล่ะลูก”

   “เรื่องไร่สวนนานั้น พ่อแม่และน้องไม่สังเกตุสิ่งผิดปกติหรือครับ

ว่าเปลี่ยนแปลงไปมาก  ด้วยผมใช้คนของผมไปทำให้เวลากลางคืน

ให้เรียบร้อยแล้วครับ”

    พอพ่อเชียรได้ฟังลูกกล่าวเช่นนี้ก็ตบเข่าดังผลั๊วๆ เอ่ยว่า

   “นั่นซิพ่อเองก็แปลกใจเหมือนกัน ต้นหญ้ารอบต้นไม้ต่างๆทำไม

มันถึงได้เตียนโล่งไปเกือบทุกๆต้น ลำพังพ่อกับเจ้าชัยมันก็ทำไม่ทัน

เหมือนกัน กว่าจะเสร็จที่ทำแต่แรกกลับงอกโตอีกต้องย้อนมาทำแต่

นี้มันเหมือนมีคนมาช่วยทำ เพียงแค่ใส่ปุ๋ยเท่านั้น การพรวนดินก็ดู

เรียบร้อยหมด  พ่อเองก็สงสัยเหมือนกันแต่ไม่รู้จะไปถามใครๆเขา

เพียงแค่แปลกใจเท่านั้นเองแหละลูก หากลูกไม่บอกพ่อเองก็ไม่รู้”

   ชายหนุ่มหัวร่อ ฮึๆๆๆแต่ไม่กล่าวอะไรอีก เพียงบอกว่า

   “พรุ่งนี้ผมจะออกเดินทางแต่เช้า ส่วนเจ้าแสงสีสินชัยหากพ่อจะใช้

ก็เรียกมันเท่านั้นมันก็จะออกมาคอยรับใช้ครับ เรื่องนี้น้องชบารู้เรื่อง

ดีทั้งหมดแล้วครับ”

   “เจ้าชบาก็รู้เห็นเป็นใจด้วยหรือนี่????....”

   “ข้ารู้มานานแล้วล่ะพี่เชียรลูกชบามันเล่าให้ฉันฟังตั้งนานแล้วล่ะ”

   “บ๊ะๆๆๆๆ???....ข้าอยู่กลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย  โถลูกชบาจะเอ่ยให้

พ่อฟังสักหน่อยก็ไม่ได้ลูกหนอลูก”

  “พ่อเชียรอย่าไปว่ามันเลยมันไม่อยากให้พ่อต้องกลุ้มใจเท่านั้น หาก

ข้าไม่สอบถามมันก็คงไม่บอกหรอก  เออ???...เจ้าโชติก็อย่าไปตำหนิ

น้องมันเสียล่ะ”

   “ไม่หรอกครับแม่เขามาเล่าให้ผมฟังเหมือนกันแหละครับ”

   แล้วชายหนุ่มก็หัวร่อ  พลางขอตัวออกไปออกกำลังกายตามปกติดัง

เช่นเคยปฏิบัติมา  คงปล่อยให้พ่อแม่ต่างสนทนากันเองคงไม่พ้นเรื่อง

นี้ชายหนุ่มคิด แล้วก้าวลงบันไดไปออกวิ่งตามปกติเหมือนไม่มีอะไร

เกิดขึ้นเลย จนพ้นบริเวณบ้านหายลับไปตามถนนลูกรัง


   ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่างชายหนุ่มแต่งกายชุดไปร์เวท

ผูกเน็คไทม์ เดินเข้าไปในสำนักงานผ่านบรรดานายตำรวจใหญ่น้องที่

บ้างแต่งกายสวมเครื่องแบบ บ้างไม่แต่งกายเดิน ต่างหันมามองร่าง

ชายหนุ่มที่กำลังก้าวสวนทาง เพียงแค่หันมามองดูเท่านั้น จนเขาก้าว

ขึ้นบันไดเพื่อขึ้นไปยังชั้นบน ครั้นขึ้นมายังชั้นของผู้บัญชาการตำรวจ

ก็มีนายตำรวจยศนายพันเอกนายหนึ่งพลางเข้ามาสอบถามว่าจะไป

ไหน ด้วยเขาไม่เคยเห็นหน้าชายหนุ่มเลย ท่าทางผิดกับตำรวยทั่วไป  

   ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะตอบให้ทราบนั้น  พลันก็มีเสียงเรียกเขา

ทันที  ทำให้นายตำรวจคนนั้นชะงักหันหลังกลับไปมองพร้อมทำ

ความเคารพผู้ส่งเสียงเรียกพร้อมทั้งเดินหลีกทางให้  ชายหนุ่มก็เข้า

ไปหาพร้อมยกมือไหว้ผู้ที่ร้องทักเขาทันที

   นายตำรวจยศนายพลตำรวจเอกนายนั้นก็รีบเดินเข้ามาหาพลางสวม

กอดร่างชายหนุ่ม  เมื่อนายตำรวจยศพันเอกเห็นก็ตกตะลึงรีบผละ

ออกไปทันทีอย่างรวดเร็ว

   “ท่านรองให้ผมมาคอยรอรับคุณอยู่ก่อนแล้ว ด้วยเกรงว่าจะเข้า

ไปหาท่านผู้บัญชาการ  ด้วยท่านสั่งไว้ว่าระยะนี้อย่าเข้าไปหาให้

ไปพบท่านรองก่อน  แหมไว้หนวดเสียจนแทบจำไม่ได้เชียวน๊ะ”

  ชายหนุ่มค้อมตัวลงพลางตอบว่า

   “กระผมไม่อยากให้ใครจำได้ขอรับท่าน  ด้วยเป็นคำสั่งลับให้

ผมปลอมแปลงร่างมาครับท่าน”

   “นั่นซิหากผมกับคุณไม่คุ้นเคยกันมาก่อนคงจะจำไม่ได้หรอก

มาๆรีบเข้าไปพบท่านรองก่อนเถอะนะท่านกำลังคอย”

   ผู้ช่วยท่านผู้บัญชาการตำรวจเอ่ยพร้อมจูงมือชายหนุ่มรีบเข้าไป

ในห้องผ่านโต๊ะนายตำรวจหน้าห้องที่รีบยืนทำความเคารพทันที

   หน้าห้องรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเขียนชื่อว่าพลตำรวจเอก

พิเชษฐ์ อินทรสมบัติ ที่ชายหนุ่มเหลือบสายตามองดู พอดีท่านผู้ช่วย

รีบกระตุกแขนเขาพาเข้าไปข้างในพร้อมหันหน้าไปมองซ้ายแลขวา

สั่งนายตำรวจหน้าห้องว่า  ห้ามใครๆทั้งสิ้นเข้าไปในห้องเป็นเด็ดขาด

ไม่ว่าจะเป็นใครหรืองานเร่งด่วนใดๆก็ตามทั้งสิ้น จนกว่าจะอนุญาต

    นายตำรวจหน้าห้องน้อมรับคำสั่งทันที   เมื่อร่างทั้งสองเข้าไปใน

ห้องท่านรองฯแล้ว  ท่านยืนคอยรับอยู่ที่โต๊ะทำงานแล้ว พลางร้องทัก

ว่า  
   “ เป็นไงน้องชายทางโน้นสบายดีหรือ????..  เชิญนั่งก่อนซิ  อ้อๆๆ

ท่านนิวัฒน์ก็นั่งสนทนาด้วยกันนะ  หากหิวน้ำไปทานได้ที่วางไว้

แล้วได้เลยนะไม่ต้องขออนุญาตผมหรอก”

   “ครับท่าน ทุกอย่างผมจัดการเรียบร้อยแล้วครับ”

   แล้วเข้ามานั่งยังเก้าอี้ข้างเคียงชายหนุ่มทันที  

       ครั้นต่างวิสาสะสักพัก ถามถึงความทุกข์สุขกันพอสมควร

ท่านรองจึงเอ่ยขึ้นว่า

   “ท่านผู้บัญชาการสั่งมาว่าให้รู้ไว้เฉพาะสามคนเท่านั้น ห้ามแพร่ง

พรายให้ใครรู้ทั้งสิ้น อ้อ???...ก่อนอื่นผมขอแสดงความยินดีกับคุณ

ด้วยว่าได้เลื่อนตำแหน่งแล้วพร้อมกับลูกน้องสามนายด้วยแล้วล่ะ

คำสั่งออกไปแล้ว ด้วยท่านไปเจรจากับผู้ใหญ่ก่อนเรื่องนี้จะเกิดขึ้น

ด้วยระแคะระคายว่าจะเกิดการปฏิวัติของพวกทหาร ให้ทางเราระวัง

ตัวเอาไว้  พร้อมทั้งแจ้งเหตุการณ์ทั้งหมดให้ชายหนุ่มฟัง ทำเอา

ชายหนุ่มถึงกับตกตะลึงในสิ่งที่ไม่คาดฝันว่าจะเกิดขึ้นอีกในยุคนี้

   ชายหนุ่มรีบยกมือไหว้กล่าวขอบคุณทันที พร้อมล้วงหยิบหนังสือ

จากอกเสื้อออกมายื่นให้แก่ท่านรองผู้บัญชาการตำรวจทันที

   ท่านรองรับมาอ่านแล้วบอกว่า  

   “ในระยะไม่มีปัญหาหรอกผมจะรีบจัดการให้โดยด่วนนะ  คุณนะ

ยังใจดีที่ไม่ให้พักราชการเสียเลยเพียงแค่ย้ายไปเท่านั้นเอง”

     พร้อมทั้งยืนหนังสือให้ผู้ช่วยนิวัฒน์อ่านด้วย  ท่านผู้ช่วยหน้าตา

คิ้วขมวดทันที  พลางเอ่ยว่า

   “แบบนี้เลี้ยงไม่ได้นะครับท่านรองน่าจะเอาออกเสียเลยตัดไฟแต่

ต้นลม หากไปที่อื่นก็คงจะเหมือนเดิมอีกครับท่าน”

   “ตามใจคุณโชติเถอะนะ เขาคงคิดอะไรๆดีอยู่แล้วล่ะ งานของเขา

รู้จักหนักจักเบาอยู่แล้ว ว่าสมควรทำอย่างไร ทุกๆอย่างที่เขาทำไม่

เคยพลาดสักครั้งเดียว  ทางเราได้รับการชมเชยก็เกิดจากเขานี่แหละ

อีกประการหนึ่งทั้งสองคนนี้เป็นคนของอีกฝ่ายหนึ่งที่ส่งมาคอย

สอดส่องดูการทำงานทางภาคนี้ด้วยนะ ตามที่ท่านแจ้งให้ทราบ

การที่เราทำไปนี้ก็เหมาะสมด้วยอยู่ในอำนาจของเรา  อย่าหักพร้า

ด้วยเข่า เดี๋ยวจะเสียงานใหญ่ไปอีกด้วย ท่านกำชับไว้เช่นนี้”

   ท่านผู้ช่วยนิวัฒน์หันไปตบไหล่ชายหนุ่มพลางเอ่ยว่า

   “หากเป็นผมคงจะไม่ใจดีเช่นคุณเป็นแน่ๆ เลี้ยงไม่เชื่องแบบนี้”

   “ผมเพียงอยากจะให้เขาสำนึกไว้ครับ หากจะเอาออกก็ได้ครับ

ด้วยผมมีหลักฐานต่างๆพร้อมทั้งภาพถ่ายไว้หมดแล้วครับ แต่เพียง

เห็นเป็นความผิดโจ่งแจ้งครั้งเดียว แล้วเด็กผมรายงานผมว่าสองคน

นี้เป็นคนของนักการเมืองใหญ่ ด้วยติดตามตลอดเวลาครับท่าน จึง

เห็นว่า  หากจะนำหลักฐานทั้งหมดเสนอคงจะต้องถูกปลดแน่นอน

อีกประการหนึ่ง การย้ายของเขาก็คงจะถูกใจพวกนักการเมืองใหญ่

อีกทางหนึ่งด้วย เพราะทางด้านผมตอนนี้กำลังเงียบ การค้าก็ชะงัก

ไปหมดแล้วจนพวกนั้นขยาดกันไม่กล้าค้าขายกันแล้วครับ คงจะ

เหลือที่ซุกซ่อนเป็นบางส่วนแต่ผมรู้หมดแล้วคอยเวลาจะทำลายให้

สิ้นซาก  คิดว่าคงไม่นานนักหรอกปล่อยให้มันชะล่าใจไปก่อน เพื่อ

หวังให้มันจะได้เข้าสู่กับดักของทางเรา จะได้จัดการครั้งเดียวให้สิ้น

ซากไปพร้อมๆกันทีเดียวครับท่าน”

   ชายหนุ่มเอ่ยเสริมขึ้นแก่นายตำรวจทั้งสองอีกว่า

      “แล้วท่านเรียกผมมาจะให้ผมรับใช้อะไรท่านหรือครับผมพร้อม

น้อมรับเสมอๆครับท่าน”

     ท่านรองหันไปทางผู้ช่วยพลางอมยิ้ม ท่านผู้ช่วยก็เอ่ยขึ้นว่า

  “ระยะนี้ข่าวลับออกมาว่าทางเราจะแย่ด้วยมีเหตุการณ์จะเปลี่ยน

แปลงเกิดขึ้น  นายใหญ่เราก็ต้องเดือดร้อนอีกจะถึงคราวเปลี่ยน

แปลงไปเสียแล้วล่ะ  เพียงมาแจ้งให้คุณทราบไว้ล่วงหน้าก่อน

ว่าจะให้ทำตัวอย่างไร  เดี๋ยวฟังท่านรองอธิบายก็แล้วกัน”

   “คือว่าจะมีการเปลี่ยนรัฐบาลขึ้นใหม่ซิคุณโชติ และอาจจะเลวร้าย

แก่บ้านเมืองเรามากเสียด้วย ด้วยท่านผู้บัญชาการฯเรียกผมและผู้ช่วย

เข้าไปปรึกษาเป็นความลับและให้สั่งมายังคุณด้วยว่า อย่าคิดลาออก

จากทางราชการตามเหตุการณ์นี้ ด้วยท่านรู้นิสัยคุณว่าเป็นอย่างไร

ท่านขอร้องให้คุณทำหน้าที่ต่อไปเป็นที่พึ่งของประชาชนด้วย แม้ว่า

จะเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็ตามอย่าไหวหวั่นอะไรทั้งสิ้น”

   ชายหนุ่มได้รับฟังก็ตะลึงถึงแม้ว่าเขาจะรู้มาเพียงคร่าวๆเท่านั้นจาก

ตำราก็ตามทีเถิด   แต่ก็ไม่ขัดแย้งอะไรเพียงคอยรับฟังเท่านั้น พลัน

ก็ได้ยินท่านกล่าวเพิ่มเติมขึ้นอีกว่า

    “คุณโชติ มีกลางวันก็ย่อมมีกลางคืน มีสว่างก็ย่อมมีมืด เหมือน

เหรียญก็มีสองด้าน  คุณเองมีกำลังพลจำนวนมากที่แอบแฝงไว้ตาม

ที่คุณแจ้งผมมานั้นผมทราบอนุมัติให้เรียบร้อยแล้ว  ท่านยังกำชับว่า

ให้คุณอยู่ในด้านสว่าง  ส่วนด้านมืดนั้นให้ พรรคพวกคุณที่แอบแฝง

ไว้จัดการลงมือทางลับๆในด้านมืด ส่วนคุณก็อยู่ด้านสว่างทำอะไรก็


ควรดูสถานะการณ์เหมาะสม  เขาขอกำลังมาก็หาทางอ้างจัดให้ส่วน

น้อยไว้  แจ้งว่ากำลังพลไม่เพียงพอ ต้องคอยเฝ้าสถานีอยู่ด้านอาวุธ

นั้นก็มีจำกัดเท่านั้น  อย่าไปขัดความประสงค์ของเขา  ข้อนี้จำไว้ให้

มากๆด้วยนะ   ทุกๆอย่างต้องใช้ความละเอียดสิ่งใดควรไม่ควรให้

พิจารณาตามสถานะการณ์เป็นหลัก  ส่วนความรับผิดงานในหน้าที่ก็

อ้างหาเหตุผลไว้แก้ตัว   ส่วนความรับผิดชอบนั้นท่านจะช่วยเท่าที่จะ

ช่วยได้หากท่านยังอยู่  ถึงอย่างไรก็ยังมี พวกเราที่ทำงานเหมือนคุณ

อยู่และจะสั่งให้ประสานงานกับคุณด้านทำงานอื่นๆทั้งหมดยังมี

ผมและผู้ช่วยนิวัฒน์อีกคนคอยช่วยเหลือคุณอยู่ตลอดเวลา 

 ตอนนี้เมื่อมีเหตุการณ์อะไรในอนาคตเกิดขึ้น ให้คุณตัดสินใจเอาเอง

แต่ก็ควรคำนึงถึงสิ่งควรหรือไม่ควรเป็นหลักด้วย  จริงอยู่กำลังพล

นั้นมากพร้อมจะลงมือทำงานได้ทุกเวลาก็จริง น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟอยู่

ฉะนั้นทุกอย่างควรใช้สติไตร่ตรองให้แน่ชัดเสียก่อนจะลงมือ 

มิฉนั้นจะเดือดร้อนไปทั่วกันหมด  ควรคำนึงระลึกอยู่เสมอๆนะ

ไม่ต้องรอคำสั่งทางท่านและผมกับผู้ช่วย  ทางผมก็จะทำเป็นทองไม่รู้

ร้อนรู้หนาวปล่อยไปตามสถานะการณ์  คุณเองก็เหมือนกันสิ่งใดไม่

ดีขอให้คุณแต่งตั้งคนไว้ใจได้จัดการแทนคุณ  ด้านคุณทำเป็นคอยรับ

ปฏิบัติแต่ไม่โจ่งครึ้มสิ่งใดหลีกเลี่ยงได้ก็หลีกไปเสียทำตามเขาในที่

สว่างนะ ส่วนอีกทางหนึ่งให้จัดการปราบปรามให้ราบคาบแต่อย่าให้

ทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้   ผมพูดมานี้คุณคงจะเข้าใจนะ”

   “ครับท่านเรื่องนี้ไม่ต้องห่วงหรอกครับ  ผมเองคาดคำนวณไว้เช่น

กันด้วยติดตามข่าวคราวเสมอๆ รู้สึกมันทะแม่งๆชอบกลอยู่ บัดนี้ผม

ได้แบ่งกำลังออกเป็นสองฝ่ายไปแล้วครับ ทางหนึ่งทำตามปกติอีก

ทางหนึ่งผมซุกซ่อนไว้คอยจังหวะเช่นกันครับท่าน”

   “ดีแล้วล่ะที่ผมมองคนไม่ผิดตั้งแต่คุณสำเร็จมาใหม่ๆแล้ว ผมเช็ค

ประวัติอุปนิสัยต่างๆของนร.ทั้งหมด  เห็นมีแต่คุณและไม่กี่คน

เท่านั้นที่พอจะไว้ใจได้  จึงเรียกมาเป็นการส่วนตัวและแยกย้ายกัน

ทำงานพร้อมทั้งยังกำชับไว้ด้วย  ไม่จำเป็นอย่าเผยตัวเองเด็ดขาดให้

ขึ้นตรงต่อท่านผมและผู้ช่วยนี้เท่านั้น  ส่วนด้านบนเป็นหน้าที่พวก

ผมที่จะดำเนินการเอาเอง   เหตุการณ์ตอนนี้เป็นเวลาช่วงแห่งการ

จะเปลี่ยนแปลงไป    สายผมรายงานส่งตรงมายังผมสอดคล้องกัน

ระยะนี้กระแสการเมืองกำลังรุนแรงมากผิดธรรมดา  ถึงแม้ว่าเราจะ

เป็นหน่วยหนึ่งแต่กำลังอาวุธกำลังพลไม่เพียงพอ  จึงต้องดำเนินการ

ทั้งทางตรงและทางอ้อมเสีย”

   “ครับผมเข้าใจครับ  แล้วท่านแจ้งอะไรมาเพิ่มเติมอีกหรือไม่ล่ะ

ครับ  เพื่อผมจะได้รีบดำเนินการตามนโยบายท่านครับ”

   “ท่านสั่งเพียงเท่านี้ที่ไม่ให้คุณเข้าไปหาก็เกรงว่าจะล่วงรู้ไปยังฝ่าย

ตรงกันข้ามจึงให้ผมมาคอยดักคุณไว้ก่อน และท่านรู้นิสัยคุณว่าเป็น

อย่างไร ท่านจะเสียหายหากไม่สั่งไว้คุณก็จะลาออกไปเสีย ก็จะทำให้

ประชาชนยิ่งเดือดร้อนยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก”

   “อ้อๆๆๆอีกอย่างหนึ่ง  ตอนนี้ยาเสพย์ติดกำลังระบาดหนักมาก

ด้วยเบื้องหลังเป็นคนใหญ่โตเกือบทั้งสิ้นทั้งด้านการเมืองและการ

ทหารเพื่อหวังอำนาจด้วยทางการเงิน  เมื่อคุณได้รับคำสั่งแต่งตั้งแล้ว

คุณจะต้องดูแลเขตเพิ่มเติมอีก  ผมจะแจ้งให้ทราบภายหลังนะ”

   “ครับผมจะทำตามคำสั่งท่านทุกๆประการครับ”

   “เอาล่ะผมไม่อยากมีหนังสือถึงคุณหรือทางสื่อสารอื่นด้วยจะมี

การแอบฟัง  ผมกับผู้ช่วยตอนนี้ต่างระวังกันตัวแจไม่กล้าเสี่ยงอะไร

จึงเรียกคุณมารับทราบคำสั่งเท่านั้น  หากเข้าใจแล้วเชิญกลับได้แล้ว

หากอยู่นานจะเกิดการสงสัย ด้วยที่นี่เต็มไปด้วยสายสืบฝ่ายตรงข้าม

มาก  ผมรู้แต่ทำอะไรไม่ได้หรอก คุณแต่งตัวมาแบบนี้ก็ดีแล้วจะได้

ไม่ต้องเป็นที่สังเกตุของใครๆเขา  อ้อคุณนิวัฒน์ไม่ต้องออกไปส่ง

นะจะทำให้เป็นที่สงสัยได้”

   “ครับผ๊ม   ทั้งสองรับคำพร้อมๆกัน”

   “คุณโชติออกไปก่อน   ส่วนคุณนิวัฒน์คอยสักพักจึงกลับได้นะ”

   “ครับท่าน”

         แล้วชายหนุ่มก็ยืนขึ้นยกมือไหว้ท่านรองและผู้ช่วยก้าวออกเดิน

ผลักประตูห้อง แล้วหันไปยิ้มกับตำรวจหน้าห้องที่เงยหน้ามองอย่าง

สงสัย   ชายหนุ่มแกล้งเปรยๆว่า

    “ผมมาขอความช่วยเหลือท่านรองครับท่าน เกี่ยวกับงานบางอย่าง

ครับ”

    “นั่นซิเห็นเข้าไปเดี๋ยวเดียว  อ้อสำเร็จไหมล่ะ???....”

    “ไม่รู้ซิครับ ท่านบอกว่าจะดูๆให้แต่ไม่ยอมรับปากอะไรเลย

งานนี้เกี่ยวกับการช่วยเหลือคนที่ถูกคุมขังไว้”

    “ ผมขอให้คุณสำเร็จก็แล้วกัน เชิญได้ครับ”  

      แล้วนายตำรวจคนนั้นก็นั่งทำงานต่อไป โดยไม่สนใจเขาอีกเลย

   ครั้นเมื่อชายหนุ่มออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาแล้วก็ระบาย

ลมออกมาทันที  ชายหนุ่มคิดเหมือนดังเหตุการณ์ที่เขารู้ล่วงหน้าไว้

ไม่ผิด ประจวบกับเป็นจังหวะที่เขาได้เจ้าเปล่งมาช่วยดำเนินการด้วย

ดังนั้นชายหนุ่มจึงสบายใจ  เมื่อถึงที่พักโรงแรมแล้วก็รีบจัดการเก็บ

เข้าของ เช็คบิลรายจ่ายทั้งหมด   รีบเดินทางกลับหมู่บ้านโคกอีกแร้ง

ทันที............

             ๐ แก้วประเสริฐ. ๐

1139348gm3744qpip.gif				
26 เมษายน 2554 21:11 น.

อทิสมานกาย ๘๖

แก้วประเสริฐ


              อทิสมานกาย ๘๖

   ตะวันลอยแล้วเคลื่อนลับ จันทร์จากข้างขึ้นเป็นข้างแรมหมุนสลับ

เปลี่ยนไปตลอดเวลา เดี๋ยวมีมืดมีสว่างทอดนานวันสายลมแสงแดด

สลับหมุนเวียนสับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
   
     กาลเวลาเดินหน้าตลอดเวลาชีวิตคนเปลี่ยนแปลงไปไม่หยุดหย่อน

ตามกระแสหมุนเวียน มิอาจจะย้อนคืนกลับมาได้  หมู่บ้านโคกอีแร้ง

ก็ไม่อาจจะย้อนทวนกลับคืนได้อีก คงปล่อยไปชาวบ้านต่างก็พากัน

เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด

    การทำมาหากินถูกความเจริญเข้ามาครอบคลุมไปทั่ว  แม้แต่

วัดโคกอีกแรงก็เหมือนกัน  หลวงพ่อทองชราภาพมากแล้ว
  
อดีตกำนันหวน  ก็ได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัตรหลังจากที่ลูกสาวได้ออก

เย้าเรือนไปแล้ว  ทุกๆอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมด

    วัดที่เคยทรุดโทรมดีขึ้นตอนที่มีงานสร้างปูชนียวัตถุแล้วก็หยุด

ชะงักไป  บัดนี้ได้ถูกซ่อมแซมดีขึ้น และดีกว่าเดิมกว่าท่านถึงแม้ว่า

จะชราภาพมากแล้ว แต่ได้รับการช่วยเหลือจากอดีตกำนันหวนซึ่ง

ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากประสบการณ์ที่สะสมมาทำให้ วัดดูเจริญ

ขึ้นอย่างผิดหูผิดตา  บัดนี้ท่านมีฉายานามใหม่ว่า  อาจาริโยภิกขุ อัน

เป็นนามที่หลวงพ่อทองท่านตั้งให้ แต่ยังคงไว้ซึ่งชื่อเดิม คือ

พระภิกษุ หวน อาจาริโยซึ่งเป็นพระอุปปัชฌาจารย์เป็นผู้อุปสมบท


   ตั้งแต่เข้ามาสู่ร่มกาสาวพัตรภิกษุหวนก็เจริญธรรมปฏิบัติอย่างหมั่น

เพียรมิหยุดหย่อนจากตำราที่อาจารย์ทองมอบและตำราจากชายหนุ่ม

ที่มอบให้ มีวิชาของพ่อเชียรแม่เข็มและอาจารย์เลื่อม ซึ่งชายหนุ่มได้

อบรมแนะนำให้จนหมดมิปิดบังแม้แต่น้อย  แนะนำการเข้าสมาบัติ

จนก้าวล่วง  ดังนั้น พระภิกษุหวนจึงได้ขออนุญาติไปปลูกกุฎิที่ใต้

ต้นไม้ที่ฝังศพอาจารย์เลื่อมเป็นที่พำนัก ซ้ำยังได้รับการแนะนำ

     และการเจริญสมาธิยามใดท่องตำราอาจารย์เลื่อมก็คอยมาแนะนำ

ให้อยู่อย่างสม่ำเสมอ  การมาอยู่ในป่าช้าของท่านจึงเจริญก้าวหน้าทั้ง

สมาธิและวิชาการต่างๆอย่างรวดเร็วรุดหน้า จนได้รับการชมเชยจาก

อาจารย์เลื่อมซึ่งเป็นรุกขเทวาประจำอยู่บนต้นไทรนั้น

     กลางวันท่านก็มาร่วมสังฆกรรมกับภิกษุทั้งหลายจนเป็นที่โปรด

ปราณของหลวงพ่อทองเป็นอย่างมาก  ทั้งยังลงมือซ่อมแซมอาสนาะ

เรื่องเงินทองก็ใช้จ่ายในส่วนตอนเป็นฆราวาสอยู่จึงไม่เดือดร้อน

อะไรเลย ด้วยลูกชายได้นำมาถวายให้เป็นเนืองๆ


   ฉนั้นวัดจึงได้เจริญรุ่งเรืองตลอดจนสร้าง โบสถ์ กุฎิเพิ่มเติม ส่วน

โบสถ์เก่าก็เป็นวิหารไป  ได้มีการฝังลูกนิมิตรใหม่โดยนำลูกนิมิตร

เก่ารอบๆพระอุโบสถหลังเก่าขึ้นมายกเว้นที่ภายในโบสถ์เก่าเท่านั้น

มาฝังใหม่ยังโบสถ์ที่สร้างใหม่ ส่วนลูกนิมิตรที่ฝังไว้หน้าพระ

ประธานองค์เดิม ก็ถูกสร้างขึ้นใหม่ให้ชาวโคกอีแร้งปิดทอง ฉลอง

การสร้างโบสถ์กูฎีใหม่มีงานยกช่อฟ้า ดำเนินตามประเพณีงานวัด

จึงเกิดขึ้นอีกครั้งแต่ก็มีแค่คนชาวบ้านโคกอีกแร้งเท่านั้น ส่วน

โบสถ์ถูกสร้างวิจิตรการสง่างามใหญ่โต แบบแปลนในกรุงเทพฯ

กว้างขวางยกเป็นสองชั้น ดังนั้นวัดโคกอีแร้งจึงเจริญขึ้นกว่าวัดใดๆ

ในหมู่บ้านรอบๆไปมาก

   ครั้นหลวงพ่อทองเห็นก็ชมเชยอีกครั้งที่ภิกษุหวนได้ไปสอบ

นักธรรมเอกที่ในเมืองได้  ท่านจึงประกาศต่อภิกษุภายในวัดว่าหาก

ท่านสิ้นบุญแล้ว  ทุกๆอย่างภายในวัดให้ภิกษุหวนดูแลแทน ซึ่งพระ

ในวัดก็เห็นพ้องต้องกันไม่มีรูปใดขัด อีกทั้งที่วัดเจริญรุ่งเรืองได้ก็

ด้วยภิกษุหวน อาจาริโยท่านนี้อีกทั้งยังมีภูมิความรู้ทั้งทางปริยัติธรรม

และวิปัสสนาธรรมอันหาภิกษุรูปได้เหมือนได้ ด้วยภิกษุที่บวชนี้ส่วน

มากเมื่อครบพรรษาก็จะลาสิกขาบทออกไปทำมาหากิน เว้นแต่พระ

แก่เท่านั้นไม่กี่รูป

    ส่วนที่เหลือนั้นก็ไม่มีภูมิความรู้เท่ากับภิกษุหวนสักรูปเดียวถึงจะ

แก่พรรษากว่าก็ตาม  ทุกๆคนทราบว่าภิกษุหวนท่านเชี่ยวชาญธรรม

ทั้งด้านปริยัติและวิปัสสนาซึ่งไม่มีรูปใดเทียบได้ จึงเป็นการเหมาะ

สมอย่างยิ่ง  หลวงพ่อทองท่านก็มีหนังสือไปที่คณะสงฆ์จังหวัดว่า

หากสิ้นท่านไปแล้ว  ก็ขอมอบวัดการดูแลทั้งหมดให้แก่ภิกษุหวน

คณะสงฆ์จังหวัดทราบ
 
    ซึ่งพิจารณาเห็นว่าถึงแม้ว่าอ่อนพรรษาแต่อายุก็มากอยู่ด้วยแล้ว

 ยังสามารถศึกษาสอบได้นักธรรมเอกทั้งๆที่มีอายุมาก

ก็ให้เกิดความเชื่อมั่นจึงได้ทำหนังสือไปยังในเมือง
 
จนพระภิกษุหวนได้รับการมอบหมายจากคณะสงฆ์ในกรุงเทพฯ

แต่งตั้งเป็นท่านพระครูสัญญาบัตร เป็นรองเจ้าอาวาสรับการทอดสืบ

ต่อจากหลวงพ่อทองทันทีในอนาคตต่อไป

    หลังจากที่เจ้าชัย บงกช พ่อเชียรและแม่เข็ม ได้ออกไปงานไร่แล้ว

ภายในบ้านจึงมีคนไม่กี่คนเท่านั้น   เจ้าเปล่งหลังจากที่ได้รับการ

ถ่ายทอดวิชาการต่างๆจากชายหนุ่มจนหมดสิ้น  ได้หมั่นเพียรฝึกฝน

อาศัยมันเป็นคนที่มีไหวพริบปฎิภาณจดจำได้แม่นยำจึงผ่านการ

ศึกษาวิชาการต่างๆไปได้อย่างรวดเร็ว


    มันจึงออกมานั่งคิดทบทวนวิชาการต่างๆที่หัวบันไดบ้านทอดสาย

ตาไปมองบริเวณรอบๆบ้าน ภายในใจก็นึกว่านับเป็นบุญวาสนาของ

มันอย่างยิ่งที่มารับใช้นายคนนี้ของมันในทุกๆสิ่งทุกๆอย่างไว้ ด้วย

จิตออกจะฟุ้งซ่าน  แต่มันก็ต้องหยุดด้วยมานึกถึงคำอาจารย์ทั้งเป็น

นายมันอีกด้วยจึงหยุดอารมณ์ฟุ้งซ่านทันที นอกจากผ่อนคลาย

อารมณ์ของมันเท่านั้นเอง

    ทันใดนั้นมันก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อมีมือมาตบบนไหล่มัน จึงหัน

หน้าไปมอง  แล้วยกมือไหว้เอ่ยขึ้นว่า

   “พี่สินชัย???...มีอะไรหรือครับ”

   “ข้าไม่มีอะไรหรอก นายให้มาตามตัวเข้าไปพบในห้องแน๊ะ”

   “อ้าวข้าก็พึงจะออกมาไม่เท่าไหร่นี่นาพี่???....”

   “เอ๊ะ!!!!ๆๆๆ???....ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ด้วยแม่นางอาจารย์ท่าน

ก็มาอยู่ด้วย  เอ็งเข้าไปไหว้ท่านทั้งสองด้วยนะเจ้าเปล่ง”

   “อาจารย์หญิง????.....ใครล่ะผมไม่เห็นมีใครนอกจากแม่ชบาเท่า

นั้นเองครับพี่”

   “เออๆๆๆ....เดี๋ยวเอ็งก็รู้ล่ะว่าเป็นใคร ข้าบอกก่อนนะโว้ยอาจารย์

ไม่ใช่คนธรรมดาด้วยล่ะ”

   “อ้าวๆๆๆไม่ใช่คนธรรมดา ก็ผีซิพี่???...”

   “ไอ้ห่านี่ปากเสียแล้วซิ น่าเตะจริงๆว๊ะ  ไม่ใช่ผีโว้ยไอ้เปล่ง”

   “เดี๋ยวเอ็งก็เห็นหรอกว๊ะ ว่าเป็นผีหรืออะไรกัน ไปโว้ยรีบๆไป”

     ไอ้เปล่งทำหน้างุนงงสงสัย  พึมพรำเบาๆไม่ใช่ผีก็เทวดาซิ แล้วก็

ลุกขึ้น ตามสินชัยเข้าไปในห้องหาชายหนุ่ม ไม่กล่าวอะไรอีก เดิน

ตามสินชัยเข้าห้องไป

      ภายในห้องเจ้าเปล่งแลเห็นอาจารย์นายมันกำลังนั่งสนทนากับ

หญิงสาวอยู่ ขณะที่มันกำลังจะก้าวเข้าประตู้ห้อง ก็พาตกตลึงไป

ในทันที เมื่อเห็นหญิงสาวทั้งสองหันหน้ามามองมัน 

   “โอ้โห้!!!!????....????......”

   เสียงมันพึมพรำออกมาเบาๆตาเบิ่งค้างด้วย

สองสาวที่มันแลเห็นนั้นหาใช่คนธรรมดาไม่  ด้วยมีฉัพรังษีแพรว

พรายพราวส่งประกายหลากสีช่างเปล่งออกมากจากร่างนางทั้งสอง

สวยงามอะไรเช่นนี้ ในชีวิตมันเกิดมาก็พึ่งจะพบเห็นนี่แหละ

ถึงแม้ว่ามันจะไม่เคยจีบสาวใดๆแต่ก็ผ่านพบมามากเสียมากยังหา

งามเท่าแม่นางทั้งสองนี้ไปได้  หล่อนช่างงดงามเสียนี่กระไร???...

   “ตกตะลึงอะไรอีกล่ะ???....เสียงสินชัยเอ่ยขึ้น

   “นี่อาจารย์แม่ทั้งสอง  ที่กูบอกมึงแล้วไงล่ะ”

   มันทั้งๆตกตลึงพรึงเพริศกระนั้นก็ตาม ก็รีบทรุดตัวลงกราบ

ไปยังไม่นางทั้งสองทันที มันทราบว่าอะไรคืออะไรมิฉนั้นพี่สินชัย

กับพี่แสงสีคงจะไม่ให้ความเคารพนบนอบเช่นนี้มันคิดในใจ

   “ข้าขื่อเปล่ง ขอกราบอาจารย์แม่ทั้งสองด้วย”

ว่าแล้วมันก็ก้มลงกราบ   ชายหนุ่มยิ้มให้แก่มันพร้อมแนะนำว่า

   “ขวามือข้า คือแม่นางรัตนาวดีเทพอัปสร ซ้ายมือข้าคือแม่นาง

อ้อยวิลาวัย์เทพอัปสร  รู้จักไว้ด้วยนะเปล่ง”

   เจ้าแสงสี พลันเอ่ยขึ้นว่า

   “ข้ากับน้องสินชัยเป็นศิษย์อาจารย์แม่เหมือนกัน เอ็งรีบฝากเนื้อ

ฝากตัวขอร่ำเรียนวิชาการต่างๆไว้ด้วยนะเจ้าเปล่ง”

   “ครับพี่แสงสี  เกิดมาผมไม่เคยเห็นใครงามเท่าเอาจารย์แม่เลย

นับว่าเป็นบุญวาสนาผมอย่างยิ่ง  หากเพื่อนๆผมเห็นเหมือนผม

คิดว่ามันก็จะคงเหมือนผมแหละพี่”

   แล้วมันก็หันหน้าไปทางชายหนุ่ม  พลางเอื้อนเอ่ยว่า

   “นายมีอะไรจะใช้ผมหรือ  อ้อ อีกอย่างหนึ่งผมก็มีอะไรจะขอร้อง

นายเหมือนกันครับ  ด้วยผมคิดว่าหากผมอยู่ที่นี้จะไม่เหมาะสมทั้ง

ปวง  อาจจะเกิดขึ้นเป็นที่สงสัยแก่คนอื่นได้ครับนาย”

   “เปล่งข้าไม่มีอะไรหรอกนอกจากจะแนะนำให้รู้จักแม่นางทั้งสอง

เท่านั้นเอง  แล้วเรื่องเปล่งล่ะมีอะไรก็บอกมาได้เลยนะไม่ต้องห่วง

หรอกหรือว่าเจ้าจะแยกตัวออกไปพักแถวบริเวณป่าหน้าบ้านข้าแล้ว

เพราะข้าอ่านจิตใจเจ้าออกหมดแล้ว  แล้วข้าจะให้เด็กๆไปช่วยเหลือ

เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรหรอก”

   ชายหนุ่มกล่าวขึ้นลอยๆ   ทำเอาเจ้าเปล่งถึงกับอ้าปากค้างทันทีด้วย

คิดว่านายมันรู้จิตใจมันได้อย่างไรกันจึงกล่าวขึ้นว่า


   “ครับนาย  ผมเกรงว่าหากผมอยู่ด้วยผมเป็นคนที่คนถิ่นนี้หลายหมู่

บ้านรู้จักผมดี เมื่อผมร่ำเรียนวิชาต่างๆจากนายจนสามารถรักษาตัว

เองได้แล้วก็ไม่อยากจะให้ชาวบ้านเขาสงสัยอะไรครับนาย”

   “ข้อนั้นข้ารู้แล้วล่ะเปล่งเอ๋ย  สมแล้วที่ข้าดูคนไม่ผิดหรอก

 เจ้ากลัวว่าหากคนอื่นที่รู้จักเจ้า 
 
จะเดือดร้อนมายังข้าด้วยใช่ไหมล่ะ???....”

   “ ครับนาย  อีกอย่างหนึ่งหากได้ไปอยู่ในป่าแถบเชิงเขานั้นที่สงบ

เงียบจะทำให้วิชาต่างๆรุดหน้าไปอีกมากครับ  อีกอย่างหนึ่งผมได้

ศึกษาวิชาการวางกลยุทธต่างๆไว้จากหนังสือต่างประเทศมาครับ

คิดว่า  คนที่จะไปหาผมหากไม่รู้วิชานี้ย่อมยากจะเข้าไปหาผมได้

และจะได้ทดลองวิชาที่ร่ำเรียนมาด้วยครับนาย”

   “อ้อวิชาค่ายกลพรางรูปแบบคล้ายเขาวงกตใช่ไหมล่ะเปล่ง”

   “ใช่ครับนาย????....นายก็รู้วิชานี้เหมือนกันหรือครับ”

   “ข้าเรียนรู้มาหมดแล้วล่ะ ด้วยจะทำได้ต้องใช้ภูมิประเทศประกอบ

ด้วยถึงจะสมฤทธิ์ผล  แต่ที่เจ้าไปคงจะไปดูสภาพมาแล้วกระมัง”

   “ครับผมว่างๆก็ออกไปสำรวจมา พบแต่ไพร่พลหุ่นพยนต์ของนาย

เท่านั้นที่อาศัยอยู่ ส่วนสิงสาราสัตว์ก็มีบ้างแต่ปะปรายครับนาย”

   “ดีเหมือนกันน่ะเปล่ง จะได้ฝึกฝนวิชาการต่างๆไปในตัวเจ้าด้วย

อีกอย่างหนึ่งข้าก็จะวางมือทางนี้เสียด้วย จึงหาตัวแทนคือเจ้านั่น


แหละที่เหมาะสมทุกประการมาทำงานให้แก่ข้า  จึงให้เจ้ามาพักกับ

ข้าเสียที่นี่  ด้วยข้าตรวจสอบสังหรณ์ใจว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงต่อ

บ้านเมืองอย่างขนานใหญ่อีกด้วย  อ้อๆๆๆอีกอาทิตย์หน้าข้าก็จะ

ต้องไปในกรุงเทพฯสักพักหนึ่งด้วย  ฉะนั้นทางนี้จึงให้เจ้ากับแสงสี

และสินชัย เจ้า พ่วง เจ้าเริ่ม คอยดูแลในระหว่างข้าไม่อยู่อีกด้วยล่ะ”

   “ขอเป็นเพียงนายสั่งมาคำเดียวแม้จะให้ข้าลุยน้ำบุกไฟข้ายอม

ทั้งสิ้น  จะไม่ปฏิเสธนายเลยครับ”

    ทั้งหมดที่อยู่ด้วยอันเป็นลูกน้องเขารวมเจ้าเปล่งซึ่งเป็นคนเพียง

คนเดียวต่างรับคำพร้อมเพรียงกัน

แล้วชายหนุ่มก็หันหน้าไปทางเจ้าเริ่ม เจ้าพ่วง  เจ้าทั้งสองให้ไปเกณฑ์

พวกเรารีบไปสร้างกระท่อมให้แก่เจ้าเปล่งโดยเร็วเสียล่ะ ข้าคิดว่า

ใช้เวลาวันสองวันก็คงเสร็จด้วยเครื่องไม้เครื่องมือก็มีพร้อมแล้วนี่นา

เพราะเจ้าเปล่งมันจะได้ดำเนินงานของมันเอง  เจ้าแสงสีสินชัยและ

เจ้าทั้งสองก็ค่อยติดตามศึกษางานมันด้วยนะ   ด้วยวิชาของเจ้าเปล่ง

มันแม้กระทั่งภูตผีปีศาจหรือหุ่นพยนต์ก็มิอาจจะเข้าไปได้ หากไม่

รู้ทางเข้าทางออก จะหลงติดอยู่ในนั้นไปไหนไม่ได้ด้วยล่ะ”

   “ร้ายกาจ!!!!????.....ถึงเพียงนั้นหรือนาย”

ทั้งสีอุทานลั่น

   “ใช่แล้วล่ะ  การวางกลของมันไม่ใช่วางแบบตำราหรอกแต่มันจะ

ใช้อาคมที่ร่ำเรียนมาจากข้าประกอบเข้าไปด้วย จะมียันต์ต่างๆป้อง

กันพวกดังกล่าวไว้อีกชั้นหนึ่งด่วย ใช่ไหมล่ะเจ้าเปล่ง”

   ไอ้เปล่งได้ยินก็ถึงกับปากอ้าตาค้างไปทันที  จนแม่นางอัปสรทั้ง

สองต่างหัวร่อต่อกัน  แล้วทั้งสองพลันเอ่ยขึ้นว่า

   “เจ้าเปล่ง  เหลือเวลาอีกสองวัน  ให้เจ้าอย่าไปไหนอยู่กับข้าเวลา

ตกค่ำๆให้มาศึกษาวิชาต่างๆจากข้าด้วย เนื่องจากเป็นวิชาชั้นสูงของ

เหล่าเทพยดาใช้  พวกข้ามองออกว่าอาศัยสติปัญญาอย่างเจ้าเพียงแค่

วันเดียวก็สามารถทำได้แล้วเพราะแกร่ำเรียนมากจากพี่โชติเขาไป

มากแล้วล่ะ”

   “ครับนายแม่ ผมจะพยายามอย่างที่สุดครับ”

   แล้วมันก็หันไปกราบแม่นางเทพอัปสรทั้งสองทันที ด้วยความ

ปลาบปลื้มปิติยินดีอย่างยิ่ง

   “เจ้าเปล่งเอ๋ย  บัดนี้ข้าก็ได้ถ่ายทอดวิชาการต่างๆตลอดจนการ

ต่อสู้ทั้งหมดให้แก่เจ้าหมดสิ้นแล้ว หวังว่าเจ้าคงจะไม่ใช้ไปใน

ทางที่ผิดนะ  ให้หมั่นทำความดีส่วนข้านั้นมันไม่สะดวกในการ

นี้ด้วยต่อไปอาจจะไม่ได้อยู่กับพวกเจ้าอีกแล้วล่ะ”

   “อ้าวๆๆๆๆ..?????....อ้าวๆๆๆแล้วนายจะไปไหนล่ะหากไม่อยู่

ที่นี้อีกนะ”

    ไอ้เปล่งแสงสีสินชัยเจ้าพ่วงเจ้าเริ่มต่างอุทานขึ้นมาพร้อมๆกัน

   “ทุกๆอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเสมอๆแต่ยังไม่ถึงวันนั้น

หรอกให้พวกเจ้าสบายใจได้  ข้าเพียงเกริ่นๆให้พวกเจ้ารู้เพื่อจะ

ได้ทำใจ   อ้อๆๆๆเจ้าทั้งสี่หากข้าวางมือเสียให้เจ้าถึงแม้ว่าจะมี

อายุอานามมากกว่าเจ้าเปล่งก็ตาม  แต่ข้าสั่งให้เจ้าทุกๆคนจงเชื่อ

คำสั่งเจ้าเปล่งเสมือนเป็นคำสั่งข้าด้วยนะ”

   “ครับนายหากเป็นคำสั่งเช่นนั้นข้าทั้งสี่จะปฏิบัติตามคำสั่งนาย

โดยยกย่องเจ้าเปล่งมันเป็นหัวหน้าของพวกข้าครับนาย”

   “เออๆๆๆดีแล้วล่ะ  เพราะเจ้าเปล่งนั้นมันเหมาะกับงานนี้อีก

ทั้งสติปัญญามันได้รับพรมาตลอดจนการวางแผนการณ์ต่างๆ

นั้นมันกะเหตุการณ์ไม่เคยผิดพลาดมาเลย  เอ็งดูซิขนาดเอ็งอยู่

กับข้ามานาน วิชาการต่างๆยังไม่อาจจะเทียบเท่าเจ้าเปล่งได้

เลย ไม่ใช่ว่าข้าจะดูถูกเอ็งนะเอ็งก็คงจะรู้ด้วยตัวของตัวเองอยู่

แล้วนี่นา  ใช่ไหมล่ะ???...”

   “ครับนาย...ข้าก็รู้ถึงความรู้สึกภายในเหมือนกันว่าทำไมเจ้า

เปล่งมาทีหลังแต่ทำไมมันจึงก้าวหน้าเกินกว่าพวกข้าไปได้พึ่ง

มารู้ว่ามันได้รับพรจากสรวงมานั่นเองครับนาย”

   “นั่นแหละเบื้องบนเขาส่งมันมาให้รับใช้ข้าโดยเฉพาะเพื่อ

ไม่ให้ข้าต้องพวักพะวง ทำให้เสียหายแก่เบื้องหน้าไปจึงได้

ส่งมันมาให้แก่ข้า”

    กล่าวจบชายหนุ่มก็ยกมือไหวเหนือศีรษะไปยังเบื้องบนทันที

พลันแม่นางรัตนาวดีก็เอ่ยขึ้นว่า

   “เจ้าเปล่งนั้นมันเป็นเทพที่จุติลงมาเพื่อรับใช้พี่โชติ คอยจังหวะ

เท่านั้นเองนะ  ดังนั้นเอ็งจะเห็นได้ว่าในทั้งหกคนนั้นพี่โชติเขารู้

เขาจึงเลือกเจ้าเปล่งเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ให้มารับถ่ายทอดวิชา

การต่างๆจากเขาจนหมดสิ้น”

   “อ้อเหตุดังนี้เอง พวกข้าสิ้นสงสัยแล้วล่ะ  เมื่อนายแม่เอ่ยเช่นนี้

ข้าก็พร้อมจะคอยฟังคำสั่งน้องเปล่งโดยไม่มีเงื่อนไขอะไรๆทั้งสิ้น

ครับนายและนายแม่”

    คนทั้งสี่เอ่ยขึ้น  ที่เรียกว่าคนนั้นทั้งที่เป็นแค่หุ่นพยนต์แต่บัดนี้

ร่างมันแปรสภาพไปเป็นคนเรียบร้อยแล้วระหว่างกึ่งคนกึ่งเทพไป

   หากเป็นเช่นนี้ ข้าทั้งสองขอลานายไปทำธุระที่นายสั่งไว้ก่อนก็

แล้วกันนะนาย   พลางเจ้าพ่วงและเจ้าเริ่มก็ก้มลงกราบชายหนุ่ม

และแม่นางอัปสรทั้งสองแล้วร่างมันก็ค่อยๆเลือนลางหายไป.......


             แก้วประเสริฐ.

1139348gm3744qpip.gif				
18 เมษายน 2554 12:00 น.

อทิสมานกาย ๘๕

แก้วประเสริฐ

1139348gm3744qpip.gif
               อทิสมานกาย ๘๕

   หลังจากที่อดีตกำนันหวนแม่เย็นและครอบครัวเดินทางกลับบ้าน

ทุกๆอย่างก็ไม่มีอะไรผิดปกติ  นอกจากเด็กสองสามคนมารายงาน

ให้ทราบเรื่องเกิดการยิงกันใหญ่  แล้วยังมีเสียงหมาหอนระงม ทำ

ให้ไม่กล้าออกมาดู  นอกจากนอนคลุมโปงด้วยกันทั้งหมด

   ครั้นทราบดังนั้น เจ้าชวน ก็รีบออกไปเดินสำรวจภายในบ้านทันที

แต่ก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดๆ  จึงเดินขึ้นบ้าน  แม่เย็นสาวบงกชก็ต่าง

พากันเข้าไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า  พ่อหวนกำลังนั่งสูบบุหรี่ใบจากนั่ง

ทอดอารมณ์  ชวนจึงเอ่ยปากว่า

   “ผมไปเดินสำรวจแล้วครับพ่อ  ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติเลย  เดี๋ยวว่า

จะออกไปสืบกับเพื่อนๆดูสักหน่อยครับ”

   “ไปแล้วก็รีบกลับบ้านอย่าช้าล่ะ พ่อจะได้ปรึกษาเรื่องน้องสาวเจ้า

ด้วย  ซึ่งจะถึงกำหนดอาทิตย์หน้าแล้วล่ะตามฤกษ์ที่พ่อโชติเขาดูให้

ว่าเป็นมงคลฤกษ์เหมาะสำหรับงานแต่งงาน หากพ้นไปแล้วจะต้อง

ไปปีหน้านั่นแหละ  แต่พ่อเองนั้นไม่มีปัญหา จะมีก็ทางกำนันมั่น

เท่านั้นเองแหละลูก”

   “ครับพ่อ!!!....คนอื่นนะผมเฉยๆแต่สำหรับพี่โชติแล้วบอกตรงๆ

ว่าถูกชะตาและเชื่อมั่นจริงๆ ตั้งแต่ที่ได้รับพระนั่นแหละครับ”

   “นั่นซิ???....พ่อเองก็เหมือนลูกแหละ สำหรับครอบครัวนี้มันก็

แปลกเหมือนกันนะ   พบบุคคลเหล่านี้ช่างถูกจิตใจพ่อมากๆ

เชียวนา???...”

   “เหมือนผมเลยครับ???....งั้นผมจะไปเดี๋ยวนี้นะครับจะไปพบ

เพื่อนๆดู    บางทีอาจะได้ข้อมูลมาบ้างครับ....”

   “ไปเถอะลูก อย่าลืมมากินข้าวด้วยกันล่ะ อีกหน่อยบงกชมันก็

ต้องไปอยู่ที่บ้านโน้นแล้วล่ะ???...”

   ครั้นแล้วเสียงรถมอเตอร์ไซค์ก็ดังออกจากบ้านหายไป พ่อหวนก็

เอนกายลงที่พนักพิง แล้วก็หลับไป....

   ที่ร้านแม่สาวลัดดาเจ้าของร้านอาหารกำลังสาระวนกับการต้อนรับ

บรรดาลูกค้าทั้งหมู่บ้านบางโคและหมู่บ้านอื่นที่กลับจากการส่งของ

      ร้านหล่อนเป็นร้านที่ค่อนข้างใหญ่โตติดกับริมถนนทางผ่านของ

บรรดาหมู่บ้านทั้งหลาย  อีกทั้งรสชาดอาหารหรือก็ไม่เป็นรองใครๆ

แต่การต้อนรับขับสู้ของเจ้าของร้านและบรรดาลูกมือทั้งหลายนี่

แหละที่เป็นเหตุให้บรรดา  คนรถทั้งหลายต่างพากันมาอุดหนุนกัน

เนื่องแน่น   ราคาอาหารหรือก็ไม่แพงไปกว่าที่อื่น ทุกๆอย่างปกติ

ธรรมดา  แม้ว่าราคาของในระยะนี้จะสูงเพียงใดก็ตาม

       ที่มุมห้องอาหารมีโต๊ะหนึ่งที่ล้อมวงไปด้วยพระกาฬ

ทั้งหก  แต่วันนี้มาแปลกๆหล่อนคิด

   ปกติธรรมดาแล้วบรรดาพระกาฬหกพระหน่อ

ขาดหายไปหนึ่งหน่อนั้นจะส่งเสียงดังมากๆ

   แต่วันนี้ทำไมถึงได้เงียบเชียบผิดปกติไป ไม่มีการส่งเสียงดังเหมือน

เก่าเกิดขึ้นอีกเลย  และทุกๆคนนอกจากซุบซิบกันแล้วก็กินอาหาร

เหล้าแบบธรรมดาไปหมดสิ้น

    หล่อนชำเลืองตามองระหว่าง  กำลังต้อนรับแขกที่มากินอาหาร

กลุ่มหนึ่งอยู่   ครั้นเรียบร้อยแล้วสั่งให้เด็กมาบริการแทนด้วยอดรน

ทนไม่ได้  จึงเดินไปหากลุ่ม  เห็นหกพระกาฬกำลังนั่งสนทนา

เหมือนจะปรึกษาอะไรบางอย่าง  ดังนั้นหล่อนจึงเอ่ยปากขึ้นว่า

   “เอ๊ะ!!!????....ๆๆๆๆแปลกๆโว้ย  วันนี้ลิงทโมน  อ้อๆๆผิด

ว๊ะ  พวกเหี้...ทั้งหลายเป็นอะไรไปว๊ะไหงเงียบอย่างกับมีสากอุด

ปากกันแทบทุกๆตัวไม่ซุกซนเหมือนเก่าไปเสียล่ะ???..
.
มีเรื่องอะไรมาหรือว๊ะ???..”

    พร้อมทั้งลากเก้าอี้เข้ามานั่งด้วย   ทำให้บรรดาชายหนุ่มโสด

ทั้งหมดต่างพากันสะดุ้งเฮือกไปตามๆกัน เมื่อได้ยินคำหลังหล่อน

แต่ทว่าวันนี้  พวกมันกลับไม่โวยวายเป็นที่แปลกใจหล่อนมาก

แต่กลับเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้ม  เจ้าตี๋ใหญ่ก็ตอบหล่อนว่า

   “วันนี้ไม่มีอะไรหรอกแม่ดา  พวกข้าเห็นคนมากินอาหารมากๆ

ผิดปกติ  เกรงจะรบกวนลูกค้าแม่ดาจ๊ะ”

   “อืมม???....รู้จักคำว่ามารยาทมั่งก็ดีเหมือนกันนะ  แต่มันผิดปกติ

มากไปว๊ะ   กูพอจะช่วยเหลือได้นะโว้ย???...มีเงินใช้หรือเปล่า

ล่ะ???!!!ไม่มีบอกได้นะโว้ยเราพวกกันเอง  กูไม่คิดดอกเบี้ย

จะใช้คืนหรือไม่หาใช่สิ่งสำคัญโว้ย!!!!.....”

   แม่ดาเจ้าของร้านแสนสวยโสดปิ๋งๆเอ่ยขึ้น  ด้วยทุกๆคนมักจะเข้า

ไปแล้วจะกระเซ้าเย้าแหย่หล่อนอยู่เสมอ จนเป็นธรรมดาไปแล้ว

   เมื่อเจ้าตี๋ใหญ่กล่าวจบก็ยกแก้วเหล้ายกขึ้นดื่มพลางหันไปทางพรรค

พวก   หล่อนเห็นดังนั้นคิดทันทีว่ามันต้องมีเหตุการณ์อะไรแน่ๆด้วย

รู้นิสัยใจคอพวกนี้ดี  ในเมื่อเห็นคนเข้ามาในร้านอีกจึงรีบออกไป

ต้อนรับทันที    แต่ไม่วายชำเลืองมองอยู่เสมอๆ หันมาทางหน้าร้าน

ท่าทีอาการหล่อนก็เปลี่ยนไปทันที


     หน้าร้านชายหนุ่มร่างงามก็ก้าวฉับๆๆเหลียวซ้ายแลขวา ครั้น

สบตากับสาวเจ้าของร้านแล้วยิ้มส่งให้  ทำเอาสาวดาเกิดอาการ

ผิดปกติไปทันควัน  รีบจดรายการอาหารที่ลูกค้าแปลกหน้ามา

สั่งอย่างรวดเร็วทันที   ชายหนุ่มหันไปมองลูกค้าก็สงสัยเหมือน

กันด้วยไม่เคยพบหน้าค่าตาเลย  ให้รู้สึกคลับคล้ายคลับคราแต่

เพียงนึกไม่ออกเท่านั้นเอง   เหลือบตาไปเห็นโต๊ะของพรรคพวก

ก็รีบเลิกคิดเดินเข้าไปหาทันที

   ครั้นบรรดาชายหนุ่มทั้งหกเห็นดังนั้น ต่างก็รีบร้องทักทันที

   “ได้ข่าวว่าพี่ไปที่บ้านโคกอีแร้งมา  ใช่หรือไม่???....”

   “ใช่ว๊ะไอ้ชื่น”

   กล่าวเสร็จก็นั่งบนเก้าอี้ที่หญิงเจ้าของร้านลุกขึ้นไป  แล้วมอง

ซ้ายมองขวา  ก็เอ่ยปากขึ้นว่า

   “กูไม่อยู่นี่...ถามจริงๆเถอะว๊ะในระหว่างกูไม่อยู่พวกมึงไป

ไหนกันมาหรือเปล่าล่ะ???...”

   “พวกกูก็ไม่ได้ไปไหนนี่นา  อยู่ที่บ้านบางโคตลอดเวลาเลย

ไม่ได้ไปที่อื่น มีอะไรหรือว๊ะไอ้พี่ชวน???...”

   “เปล่าหรอก...กูระหว่างตรวจบ้านหลังจากฟังพวกเด็กๆมันบอก

ว่าได้ยินเสียงปืนดังถี่ยิบและเสียงหมาหอน  ก็สังหรณ์ใจชอบกล

จึงได้ไปตรวจบริเวณบ้านดู ด้วยไม่ไว้ใจพวกไอ้แม้นมันว๊ะ!!!”

   ทุกๆคนหันไปมองหน้าทางไอ้เปล่งซึ่งกำลังนั่งกินข้าวแบบ

ทำเป็นทองไม่รู้ไม่ชี้ทั้งสิ้น  แสดงอาการเฉยเมยเสียแบบตีมึน

   “แล้วพี่เจออะไรผิดปกติหรือไม่ล่ะ???...”

   “หากไม่สังเกตุดีๆก็ไม่พบหรอกว๊ะ  แต่พบคราบรอยเลือดแห้งติด

อยู่ริมรั้วเป็นทาง  ก็นึกสงสัยเหมือนกันจึงรีบมานี่แหละ  เฮ้ยๆๆๆ

ไอ้เปล่ง  กูรู้นิสัยใจคอมึงนะโว้ยอย่าแกล้งทำตีซึมเลยว๊ะมีอะไรก็

รีบบอกกูด้วยว๊ะ?????”

   หนุ่มชวนเอ่ยถาม   เล่นเอาเจ้าเปล่งกำลังกินข้าวเคี้ยวอยู่ถึงกับสะอึก

รีบคว้าน้ำเปล่าขึ้นดื่มทันที  พลางหันไปทางบรรดาพรรคพวกหวังขอ

ความช่วยเหลือให้รายงานแทนมัน แต่ทว่า เปล่าๆๆไม่มีใครสนใจมัน

ซ้ำเห็นทุกๆคนต่างมองมาทางมันตาแป๋วๆหมด    หนุ่มชวนรู้นิสัย

ไอ้เปล่งดีว่าเป็นคนไม่ชอบโกหกหากไม่จำเป็นกับพรรคพรรคด้วย

แล้วมันจะไม่ปิดบังอะไรเลย  จึงเค้นถามไอ้เปล่งเฉพาะหากถาม

คนอื่นๆก็จะไม่ได้ความอะไร ทุกๆคนกระล่อนแบบเรียกว่ามะกอก

สามตระกร้าปาไม่ถูก  ให้ร้อยหรือกว่านั้นก็ปาไม่ถูกพวกมันแน่ จึง

หันมาถามเปล่งโดยเฉพาะ  ถึงอย่างไรไอ้เปล่งก็จะไม่ปิดบังเรื่องนี้   

  
   ไอ้เปล่งเห็นจนปัญญาด้วยไม่มีพวกจะเอ่ยแทนมัน  ก็กล่าว

เหตุการณ์  ทั้งหมดให้หนุ่มชวนฟังหมดเปลือกทันที     ครั้นหนุ่ม

ชวนรับฟังแล้ว     เจ้าชวนก็ตบเข่าเสียงดังผลั๋วะๆๆ พูดขึ้นว่า

   “กูนึกแล้วเชียวว่าเป็นแผนการณ์ของมึงก็จริงๆด้วย ”

   แล้วชายหนุ่มก็หัวร่อพลางเอ่ยว่า

   “เออๆๆๆขอบใจมึงมากไอ้เปล่ง  เฮ้ย!!!!...ๆๆๆๆทุกๆคนด้วย

นะโว้ย”

   ทุกๆคนครั้นเห็นอาการของหัวหน้ามัน   หน้าต่าแช่มชื่นทันที และ

ยิ่งได้รับการชมเชยอีกด้วย  ก็รีบรินเหล้าส่งให้ทันควัน   ชายหนุ่ม

รีบคว้าเหล้าจากมือไอ้วาสแล้วยกขึ้นดื่มทีเดียวหมดแก้ว 

 ส่วนไอ้ตี๋เล็กก็ใช้ซ่อมทิ่มอาหารส่งมาคอยอยู่ก่อนแล้ว  

พลางป้อนเข้าปากชายหนุ่ม   แล้วทุกๆคนก็พากันส่งเสียงหัวร่อ
  
    เล่นเอาแม่ดาหญิงสวยต้องหันมามอง  เพราะตั้งนานพวกนี้ต่าง

ก็เงียบ  พึ่งจะได้ยินเสียงหัวร่อดังก็คราวนี้แหละ  ครั้นชวนหันไป

มองรอบข้างก็เห็นโต๊ะชายแปลกหน้าก็หันมามองเช่นกัน  ทำให้

ชายหนุ่มนึกออกทันทีว่า   คนห้าหกคนนี้เป็นใครได้ 

   ครั้นจำได้แม่นยำดังนั้นร้องในใจฉิบหายแล้วล่ะ  มันพวกตำรวจนี่

หว่า!!!!  นึกในใจพลาง พร้อมทั้งหันไปกระซิบบอกพรรคพวก

ทันทีทำให้บรรดาพรรคพวกต่างเงียบกริบ ทั้งหมดตาเหลิกหลักๆกัน 

  หันไปมองทางโต๊ะนั้นด้วยความตกใจจนมือไม้สั่นไปกันหมด

เมื่อทุกๆคนหันไปมองดู   ก็เห็นทางโต๊ะโน้นหนุ่มรูปร่างสันทัด

ซ้ำยังยกมือโบกทักทาย  ไปๆมาๆทำให้โต๊ะพวกเจ้าชวนต่างสะดุ้ง

ทันที  ด้วยทุกๆคนรู้แน่แก่ใจว่าต่างไปทำอะไรกันมา

หนุ่มชวนก็เอ่ยกับพรรคพวก  พร้อมทั้งให้ทำตัวอย่าให้สงสัยได้

    “คนโบกมือนั้นคือสารวัตรชัชวาลย์ประจำสถานีในเมืองว๊ะ”

หนุ่มชวนเอ่ยขึ้นเบาๆ  แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยบอกอะไรอีกก็ถูกสะกิด

จากไอ้ตี๋ใหญ่ทันที   ด้วยแลเห็นบรรดาชายหนุ่มโต๊ะนั้นต่างก็ลุก

ขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินตรงมาหาพวกเขา  พลางเอ่ยปากถามขึ้นว่า


   “ใครหรือชื่อชวนครับ”

หนุ่มชวนรีบยืนขึ้นยกมือไหว้สารวัตรทันที  พร้อมเอ่ยปากกล่าวว่า

   “ผมเองครับ  มีอะไรหรือครับ”

   “อ้อๆๆๆไม่มีอะไรหรอกครับถามดูเท่านั้นเอง  ด้วยผมได้รับงาน

จากหัวหน้าผมว่า คุณเป็นญาติกับเขาครับและยังบอกว่าให้รีบมาทำ

ความรู้จักกันไว้  ไหนๆคุณช่วนแนะนำพวกๆให้ทราบหน่อยครับ

อ้อๆๆๆเฉพาะคนที่ชื่อนายเปล่งด้วยนะครับ”

   “ถ้าอย่างนั้นขอเชิญนั่งด้วยกันก็แล้วครับ”

   พลางสั่งให้พรรคพวกหาเก้าอี้มาเสริมขึ้นทันที   ดังนั้นบรรดา

พรรคพวกครั้นเห็นได้ยินดังนี้ก็ต่างพากันถอนหายใจกันทุกๆคน

ด้วยทราบว่าคงจะไม่มีอะไรกับพวกเขาแน่ๆ

   “อ้อๆๆพี่โชติหรือครับที่บอก????...”

   “ครับนั่นแหละครับ คุณชวนคงจะรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วซินะ

ครับ”

   “ครับสารวัตรพี่โชติเล่าทุกๆอย่างให้ผมฟังหมดแล้วครับ  และ

ให้รีบไปหาพี่เขาด่วนๆด้วยครับ   อ้อนี่ชื่อเปล่งครับ”

พลางชี้มือไปทางไอ้เปล่ง ซึ่งตีสีหน้าเฉยเมยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ยก

แก้วน้ำเปล่าขึ้นดื่มไปจิบไปพลางๆ หันมามองทางด้านสารวัตรเฉย

   แล้วชายหนุ่มก็แนะนำพวกๆให้สารวัตรรู้จักกันทุกๆคนโดย

เฉพาะไอ้เปล่ง    ครั้นเมื่อพี่ชวนหรือไอ้ชวนของมันแนะนำตัว

ก็ต่างยกมือไหว้สารวัตรทุกๆคนทันที  ทางสารวัตรก็หันไปแนะ

นำพรรคพวกด้วยว่าคือใครๆกัน

   “ดีล่ะงั้นดีมากทีเดียว  ไม่ต้องไปหาหัวหน้าผมหรอกครับเพราะ

ผมได้นำเอกสารมาให้แล้วครับจะได้รีบนำไปมอบให้หัวหน้าผม

ด้วยครับ”

     “อ้อๆๆๆเกือบลืมไปหัวหน้าผมสั่งมาว่าให้นายเปล่งขนข้าวของ

ไปบ้านท่านด้วย ให้ไปอยู่กับท่านจะได้มีเรื่องปรึกษาอะไรสัก

หน่อย ท่านกล่าวเช่นนั้นไม่รู้เรื่องอะไรกัน”

   “หัวหน้าสารวัตรมีอะไรกับผมหรือครับ”

ไอ้เปล่งถามขึ้นทันควัน  ทั้งๆที่สันหลังมันเย็นวาบๆ

   “ผมเองก็ไม่ทราบเจตนาของท่านเหมือนกันครับ  งั้นนายเปล่งรีบ

ไปบ้านไปเตรียมตัวด้วย  เพราะผมจะไปบ้านหัวหน้าท่าน

เหมือนกัน”

   ดังนั้นสารวัตรชัชวาลย์ก็สอบถามรายละเอียดส่วนตัวทุกๆคน

ยกเว้นหนุ่มชวนเท่านั้น   แล้วพร้อมให้ทุกๆคนกรอกข้อความลง

ในเอกสารทั้งหมดทันที   

   หนุ่มชวนอ่านหนังสือเอกสารนั้นเป็นหนังสือสมัครเข้ารับราชการ

ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  จึงบอกให้พรรคทุกๆคนรู้ไว้ ทำเอา

บรรดา  พรรคพวกต่างตื่นเต้นไปตามๆกันที่อยู่ดีๆส้มหล่นออกมา

ตกถึงตัวพวกมัน  และแล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกอีกที


   “ถามจริงๆเถอะนายเปล่ง???....เมื่อคืนนี้ที่บ้านพ่อหวนนั้นเป็น

ฝีมือการทำงานของพวกคุณหรือเปล่านะ  ด้วยผมได้รับการรายงาน

มาจากสายสืบไว้  จึงได้รีบมาสังเกตุการณ์ถึงที่นี่ แต่ก็เป็นความลับ

บอกเถอะเราพวกเดียวกันไม่ควรจะปิดบังอะไรกัน   สองสามวันนี้คง

จะมีคำสั่งแต่งตั้งลงมาแล้วล่ะ”

   เล่นเอาไอ้เปล่งอ้ำๆอึ้งๆไปทันที   ครั้นหนุ่มชวนเห็นดังนั้นจึงรีบ

รายงานทั้งหมดให้สารวัตรชัชวาลย์ทราบเรื่องนี้ในเหตุการ์ที่เกิดขึ้น

   เห็นสารวัตรหัวร่อเบาๆ สมควรแล้วล่ะงานอาทิตย์หน้าคงจะไม่

มีอะไรเกิดขึ้นทำให้เสียฤกษ์ยาม  นับว่านายเปล่งนี่แน่ดังคำบอก

ของท่านหัวหน้าจริงๆ  ท่านมองคนไม่ผิดเอาเสียเลย

   “อ้อเสร็จแล้วหรือนายเปล่ง  งั้นๆรีบกลับไปนำของจำเป็นส่วน

ตัวมาด้วยจะได้ไปด้วยกันนะ  วันหลังค่อยมาเอาเพิ่มเติมอีกก็ได้”

   “ครับท่าน”

   ไอ้เปล่งรับคำเบาๆ  แบบสบายใจมิได้เคลือบแคลงสงสัยใดๆ

ทั้งสิ้นด้วย เห็นไอ้ชวนค่อนข้างจะไว้ใจ ด้วยรู้นิสัยไอ้ชวนดีว่า

เป็นคนมีนิสัยอย่างไร   แล้วรีบลุกขึ้นก้าวเดินออกจาก

ร้านไปทันที เสียงรถมอเตอร์ไซค์ดังแล้วหายเงียบไป

   “ส่วนพวกนายตี๋เล็ก ตี๋ใหญ่ ชื่น วาสและกุ๋น นั้นท่านสั่งมาว่าให้

นำเข้าของไปอยู่บ้านคุณชวนโดยเร็วก่อนวันงานจะเกิดขึ้นก็แล้วกัน
 
จะได้ไม่ต้องเสียเวลามากนัก  ที่พวกนายทำไปนั้นถูกต้องแล้วล่ะ

ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้เป็นความลับระหว่างพวกเราเท่านั้น ห้ามไปเอ่ย

ที่ใดๆอีกเสียล่ะ???...”

   “ครับถ้าอย่างนั้นท่านสารวัตรคงจะรู้เรื่องราวหมดแล้วใช่ไหม

ครับ”

   “ใช่แล้วคุณชวน ผมรู้มานานแล้วครับ สายสืบลับได้ไปรายงานให้

หัวหน้าฟัง     ท่านก็รีบแจ้งมาให้ผมทราบทั้งผู้กองจำลองและผู้กอง

จรัสแล้วล่ะ”

   และแล้วตำรวจทั้งหมดก็ต่างยกแก้วเหล้าขึ้นชนกับพรรคพวก

หนุ่มชวนทันที   ซึ่งเหล้านี้ได้เตรียมไว้ตั้งนานแล้วจากไอ้วาสไอ้กุ๋น

   “เราพวกเดี๋ยวไปเตรียมตัวให้เรียบร้อยก็แล้วน่ะ   ทำอะไรๆก็ให้

เป็นความลับด้วยนะด้วย  ต่อไปคุณก็คือตำรวจแล้ว

พวกคุณตอนนี้เป็นสายลับพิเศษตามหัวหน้ากล่าวไว้โดย

ไม่สังกัดใครนอกจากหัวหน้าผมและผู้กองเท่านั้น  พวกเรานั้นที่

เป็นแบบคุณก็จะมีสัญญลักษณ์ประจำตัวไว้รู้กันเองระหว่าง

พวกสายลับพิเศษด้วยกัน ซึ่งบรรดาสายลับเหล่านี้ต่างก็พากัน

ขึ้นตรงต่อหัวหน้าผมอีกทีหนึ่ง  แล้วไม่ต้องไปรายงานตัว

ที่สถานีตำรวจอีกด้วย  การเบิกจ่ายเบี้ยเลี้ยงเงินเดือนจะมีคน

ทำให้เสร็จถึงเวลาจะมีการส่งมอบหมายให้กันเอง

   หากมีปัญหาใดๆเกิดขึ้นก็ให้เอาสิ่งนี้ ที่ผมจะมอบให้พวกคุณ

ให้ตำรวจสถานีดู  เขาก็จะรู้เองว่าพวกคุณเป็นใครกัน แต่ทว่า

ในสถานีนั้นมีทั้งตำรวจพวกเราและไม่ใช่พวกอีกมากมายนัก

ฉะนั้นการกระทำอะไรๆควรจะระมัดระวังตัวไว้ด้วย หากไม่

จำเป็นไม่ต้องเปิดเผยตัวเองเป็นเด็ดขาด   หากมีอะไรอีกติดต่อมาทาง

ผมก็แล้วกันไม่ต้องไปถึงท่านหัวหน้าหรอก  เข้าใจคำพูดผมไหม

ล่ะทุกๆคนนะ????”

   “เข้าใจครับ  ขอบคุณท่านมากนะครับผู้กองด้วยและทุกๆคนครับ”

แล้วทุกๆคนเมื่อต่างชนแก้วกันแล้วก็หัวร่อด้วยกันด้วยความสดชื่น

การวิสาสะสนทนาผ่านไปด้วยปกติธรรมดา  อีกอย่างหนึ่งผมจะบอก

ให้คุณทราบคือว่า

   “ นอกจากพวกเราแล้วจะไม่มีใครรู้ว่าพวกคุณเป็นใครกันเลย  

เว้นจากพวกสายลับด้วยกันจะทราบด้วยมีการประสานงานกัน

เป็นประจำเสมอๆ  หากได้รับสัญญาณก็ให้รีบไปโดยด่วนที่สุด

ไม่ว่าจะติดธุระงานใดๆทั้งสิ้นก็ต้องรีบวางมือ ไปรวมตัวพบกันโดย

เร็วด้วยงานของพวกเราเป็นงานเฉพาะกิจเท่านั้นนะ  ส่วนก่อนจะ

พบกันนั้นจะมีการแสดงสัญญลักษณ์และรหัสประจำตัว ซึ่งผมจะ

นำมาส่งมอบให้หรือใช้ให้คนของผมมาให้โดยเฉพาะ พร้อมด้วย


รหัสสัญญาณต่างๆซึ่งจะต้องจดจำทุกๆอย่างให้ขึ้นใจ  เมื่อจำได้

จนแน่แก่ใจไม่ผิดพลาด แล้วให้ทำลายหลักฐานรหัสนั้นอย่าให้

มีหลักฐานโดยการเผาทิ้งคอยจนไหม้หมดแม้แต่ฝุ่นก็ทำลายด้วย

รหัสสัญญาณจะเหมือนกันหมด เว้นรหัสประจำตัวพวกคุณเท่านั้น

ที่เป็นโดยเฉพาะเจาะจง เพื่อป้องกันการปลอมแปลงสัญญลักษณ์

ไว้ เมื่อเห็นสัญญลักษณ์แล้วก็สอบถามรหัสประกอบด้วยนะ”

   “ครับนาย ผมจะจำไว้แล้วท่องให้ขึ้นใจและทำลายเสียให้หมด

สิ้น”

   “ดีแล้วล่ะ  ทุกๆคนต้องจำให้ได้อย่าลืมแล้วทำตัวเหมือนชาวบ้าน

ธรรมดาทั่วๆไป อย่าได้แสดงในสิ่งที่เรามีอยู่ด้วยอำนาจที่มีจะทำให้

เราจะต้องเสียใจในภายหลัง  ให้จำข้อนี้ไว้ให้ดีๆด้วย ทุกๆคนต้องมี

ระเบียบวินัย การฝึกปรือนั้นที่หน่วยเราอยู่ที่บ้านโคกอีแร้งบ้านกำนัน

ให้ไปรายงานตัวกับหัวหน้ากลุ่มที่เป็นผู้ฝึก ซึ่งตอนนี้ซ่อนเร้นว่าเป็น

ทหารปลดจากกรมกองฯมา และกำลังฝึกชาวบ้านอยู่ ส่วนพวกเรา

จะแยกไปฝึกอีกทางหนึ่งต่างหาก ซึ่งหัวหน้ากลุ่มจะแจ้งให้ทราบ

เพียงแสดงสัญญลักษณ์และรหัสการสอบถามเท่านั้นเขาก็จะรู้ทันที

ว่าจะทำหน้าที่อะไรบ้าง ใช้เวลาฝึกไม่นานหรอกสำหรับพวกคุณที่

หัวหน้าท่านคัดเลือก  เพราะหน่วยนี้หัวหน้าท่านเป็นผู้คัดเลือกด้วย

ตัวท่านเองโดยเฉพาะตัว   จึงเป็นคนที่ไว้วางใจได้ทุกๆคน

   “ครับหัวหน้า พวกผมจะจำไว้และไปรายงานตัวรับการฝึกฝนอีก

ทีหนึ่งตามคำสั่งลับตกมาครับท่าน”


   “อีกอย่างหนึ่งเมื่อรู้ถึงขนาดนี้แล้ว จะถอนตัวก็ไม่ได้แล้ว หากถอน

ได้มีทางเดียวเท่านั้น คือ “ ตาย ” หนทางเดียว”

สายรวัตรเอ่ยให้พรรคพวกชวนทั้งหมดฟัง ด้วยสีใบหน้าเฉยเมย

เหมือนกับไม่อะไรเกิดขึ้น เห็นเป็นของธรรมดา กับคำว่า “ตาย”

   ครับบรรดาพรรคพวกชวนตอนแรกก็ดีใจว่าจะได้แต่งกายเป็น

ตำรวจได้โอ้อวดชาวบ้าน แต่เหตุการณ์กลับผิดคาด ไม่ทำก็ไม่ได้ด้วย

ต่างก็ได้ยินถ้วนทุกตัวคนว่า มีทางเลือกทางเดียวคือ ตาย เท่านั้นเอง

แต่กระนั้นทุกๆคนก็พอใจ ด้วยสิทธิพิเศษหลายๆอย่าง และสารวัตร

บอกว่ามีมากกว่าตำรวจที่แต่งเครื่องแบบเสียอีก ตายก็จะได้รับการ

ปูนบำเหน็จสูงขึ้นกว่าตำรวจธรรมดา อย่างน้อยก็เป็นหมวดขั้นต่ำไป

ทุกๆคน  สิ่งนี้นี่เองทำให้บรรดาพระกาฬทั้งหกพากันชื่นมึนกัน

   บรรดาพรรคพวกของชวน ต่างพากันแสดงท่าทีนอบน้อมสารวัตร

และผู้กองมากยิ่งขึ้น

    ส่วนสาวลัดดาซิสงสัยยิ่งนักที่จู่ๆโต๊ะชายแปลกหน้ากลับไปร่วม

โต๊ะกับพวกทโมนทั้งเจ็ดได้อย่างไรกัน  จะเข้าไปถามหรือก็เกรงใจ

จะเสียมารยาทสู้ทนเก็บไว้ในใจ  แต่ใจหล่อนช่างรุ่มร้อนเสียจริงๆ 

กะว่าหากชายแปลกหน้าไปแล้วจะเข้าไปถาม

 จึงได้เพียงอยู่หน้าเคาเตอร์ค่อยมองๆดูเสมอๆคอยจังหวะเวลาเท่านั้น

    แต่แล้วหล่อนก็ต้องผิดหวังเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากชวนให้มาเก็บ

ค่าอาหาร  หล่อนนึกว่าคงจะต้องรีบออกไปพร้อมๆกันทั้งหมดแน่

นอน   จึงเดินเข้าไปหาทันที


   “นี่คุณดา   นี่คุณชัชวาย์กลับพวกเป็นพวกเราทั้งหมดนี่แหละ  และ

ค่าอาหารทั้งหมดเท่าไหร่หรือจ๊ะ???......”

   “วันนี้ดาไม่คิดค่าอาหารหรอกจ้าพี่ชวน ตามสบายเถอะพี่ วันหน้า

ชวนเพื่อนๆมาอีกก็ได้นะ”

    หญิงสาวสวยโสดประจำหมู่บ้านบางโคเอ่ยขึ้น

   “จะได้หรือจ๊ะของทุกวันนี้ของก็แพงเสียด้วยล่ะ คิดมาเถอะจ้า”

  “พูดไม่รู้เรื่องหรือไงล่ะพี่ชวน  ดาว่าไม่ก็คือไม่ซิ”

อากัปกิริยาเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือทันที

  เมื่อได้รับการปฏิเสธของหล่อน  ทำเอาสารวัตรและพวกตาค้างไป

ทันทีต่อสิ่งที่พบเห็น ว่าอารมณ์หล่อนนั้นเป็นอย่างไร สมแล้วที่พวก

นี้เรียกหล่อนว่า แม่เสือโคร่ง คงจะไม่ผิด ดังที่ได้ยินแว่วๆจากพวกนี้

เมื่อสักครู่นี้ไว้ ยามโกรธเหมือนแม่เสือ ยามดีเหมือนกวางอ่อนงดงาม

แล้วคุณชวนจะรับมือไหวไหมหน่อ???...... สารวัตรหนุ่มคิดในใจ

       แต่แล้วน้ำเสียงหล่อนก็คืนกลับสู่ปกติธรรมดาทันที

โถๆๆๆไม่เข้าใจดาเสียบ้างเลยนะพี่ชวนนะ พี่หนอพี่???...”

    หญิงสาวเอ่ยเสร็จทำหน้าตากระเง้ากระงอดทันที   เล่นเอาหนุ่ม

ชวน ต้องปลอบใจหล่อนทันใด   ดังนั้นหล่อนถึงได้ยิ้มแก้มปริ 

แล้วเดินกลับออกไป  พลางสาวดาก็หันมาทางสารวัตรและพวก

กล่าวลาทุกๆคนไปทำงานก่อน ด้วยมีคนเข้าร้านมาอีกแล้ว

   “เอ๊ะแปลกนะคุณชวนเจ้าของร้านสาวและสวยด้วยไม่ยักกับคิด

เงินเลยแปลกๆๆๆ???....”

   “ไม่ต้องแปลกหรอกครับท่าน  เพราะหล่อนหมายมั่นปั้นมือว่า

จะเป็นคู่ครองของพี่ชวนเข้าครับ”

   ไอ้วาสและไอ้กุ๋นต่างรีบแย่งกันชี้แจงทันที   คราวนี้สารวัตรถึง

จะถึงบางอ้อ  พลางตบไปที่ไหล่ของหนุ่มชวน กล่าวว่า

   “ผมดูแล้วว่าหล่อนนั้นไม่ธรรมดานะคุณชวน คุณโชคดีจัง

แต่ในความโชคดีก็มีหลายๆสิ่งที่ควรระวังไว้ด้วยนะ”

   “ครับนาย  หล่อนไม่ธรรมดาจริงๆเป็นคนห้าวหาญไม่เกรงกลัว

ใครๆ  แม่เสือโคร่งดีๆนี่แหละครับ เหี้ยมโหดดุดัน

 จะมีใครกล้าตอแยอีกเล่าครับ  จะกลัวก็เพียงคนเดียวเท่านั้นแม้แต่

พวกผมเองยังเกรงใจเธอเลยครับ”

   ไอ้ตี๋ใหญ่เอ่ยขึ้นบ้าง   คราวนี้สารวัตรหัวร่อทันที
  
   “นั่นซิสมแล้วอุปนิสัยใจคอคุณชวนนี้ ซ้ำยังมีเสน่ห์แรงอีกด้วย

  ผมเพียงได้รับรายงานจากลูกน้องว่า หล่อนหากไม่เก่งจริงคงไม่อยู่

ถึงป่านนี้ไปได้หรอก  ใจถึงมือถึงเสียด้วยเชียวล่ะ”

   แล้วสารวัตรหัวร่อพร้อมลุกขึ้น ดังนั้นทุกๆคนก็รีบลุกแล้วก้าวตาม

สารวัตรไปทันที  คงจะเป็นเพราะไอ้เปล่งหิ้วถุงเสื้อผ้ากำลังจะก้าว

เข้ามาในร้านพอดี  หนุ่มชวนก็เอ่ยขึ้นว่า

   “ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอแยกตัวกลับบ้านเลยนะครับ” 

พร้อมยกมือขึ้นไหว้สารวัตรทันที

   “ตามสบายเถอะคุณชวน อ้อๆๆเดี่ยวผมจะนำนายเปล่งไปส่งให้

นายแล้วก็จะให้นายเซ็นต์ชื่อแล้วจะรีบส่งรายงานไปโดยด่วนด้วย

คงจะไม่เสียเวลานานหรอก  คิดว่านายคงจะรายงานไปทางท่านแล้ว

กระมังน๊ะ”

    ดังนั้นทุกๆคนต่างก็แยกย้ายกันไป  จนร้านคงเหลือไว้พวกที่มา

สั่งอาหารกินไม่ขาดสาย  จนทำให้แม่ลัดดาวุ่นวายไปพักหนึ่ง

    ตกเดือนหนึ่งผ่านไปเห็นจะได้งานแต่งงานของเจ้าชัยและ

สาวบงกชก็เป็นที่เรียบร้อย  

หนุ่มชัยก็ต้องมาอยู่บ้านเจ้าสาวเป็นเวลาหนึ่งเดือนตามประเพณี ใน

ระหว่างงานแต่งนั้น 

  บรรดาไอ้แม้นและพรรคพวกไม่มีเวลามาจุ้นจ้านได้ด้วย  ไอ้แม้น

เพียงแต่มองขบวนขันหมากแห่ผ่านหน้าบ้านมัน นอกจากยังไม่

หายดีจึงได้แต่กัดฟันกร๊อดๆ  และหญิงชายต่างก็นั่งมองดูเฉยๆ

เท่านั้น  นอกจากได้ยินบรรดาสาวๆต่างเปรยขึ้นเบาๆกับพวกสาวๆ

ว่าเมื่อไหร่หนอพวกเราจะได้มีโอกาสแต่งงานแบบนี้ด้วย

หรือเปล่าก็ไม่รู้เท่านั้น  ส่วนพรรคพวกเหลือไว้แต่บรรดาสมุน

พวกมันเจ็บมาก   คนเจ็บน้อยก็มัวสารวนกับการลำเลียงของเพื่อจะ

ส่งมอบให้กับเสียเม้งที่จะมารับของ ด้วยกำนันมั่นไม่ยอมให้ใครๆ

ไปไหนๆอีกแล้ว  กลัวจะเสียงานทำให้แกต้องเดือดร้อนขึ้นอีก

    ดังนั้นครั้นเวลาผ่านหนึ่งเดือนไปหนึ่งเดือนกว่าๆ

หนุ่มชัยก็นำสาวบงกชมาอยู่ที่บ้านของพ่อเชียรแม่เข็ม ต่างทำความ

เคารพพ่อแม่  แล้วเข้าไปยังห้องตนเองซึ่งพ่อเชียรแม่เข็มจัดไว้ให้

โดยเฉพาะส่วนตัว  ตลอดยังได้พบกับนายเปล่งซึ่งพี่ชายได้แนะนำ

ให้รู้จัก ต่างคนก็ทำความสนิทสนมกันนับเป็นครอบครัวเดียวกันไป

แล้ว  มันทราบภายหลังว่าทุกๆคนได้รับการบรรจุเป็นตำรวลับกัน

หมดทั้งสิ้นตลอดจนผ่านการฝึกฝนเพิ่มเติมอีกมากมาย  ส่วนตัวมัน

เองนั้น  ต้องคอยรับใช้หัวหน้าใหญ่ตลอดจนเป็นที่ปรึกษาอีกทาง

และมันก็ได้รับการบรรจุเป็นตำรวจลับด้วยเช่นกัน มือซ้ายขวาของ

ของหัวหน้ามันนั้นตลอดจนบริวารล้วนเป็นหุ่นพยนต์ ที่หัวหน้ามัน

ได้สร้างขึ้นทั้งสิ้น  ตลอดจนได้รับการแนะนำให้รู้จักกันด้วยและ

ยังได้พบกับแสงสี สินชัยมือซ้ายขวาของหัวหน้าและบริวาร

ทั้งหลายของหัวหน้า  โดยมีหัวหน้าเขาเป็นผู้ฝึกปรือให้เอง และยิ่งทึ่ง

ในความสามารถพิเศษของหัวหน้า ที่เชี่ยวชาญอาวุธยุทโธปกรณ์

ตลอดจนเวทย์มนต์ต่างๆ  และพวกนั้นล้วนเป็นพวกหุ่นพยนต์ที่

เจ้านายมัน ปลุกเสกขึ้นทั้งหมดเป็นบริวารนอกเหนือจากพวก

สายลับพิเศษอีกทอดหนึ่ง ซึ่งคนอื่นย่อมจะไม่รู้หากนายใหญ่

ไม่บอกมันไว้   ดังนั้นอุปนิสัยใจคอที่ฉลาดหลักแหลมสุขุม

มีความละเอียดอ่อนความจำเยี่ยมและตัวของมันเองยังได้รับ

การถ่ายทอดวิชาให้เกือบทั้งหมด  ทำให้มันเป็นไอ้เปล่งคนใหม่จึง

บังเกิดความเคารพนับถือทั้งกายและใจ ตลอดจนได้รับการฝึกปรือ

ด้านสมาธิซึ่งมันเกิดมาไม่เคยรู้จักอีกทางหนึ่งด้วย...........

        แก้วประเสริฐ.   

1139348gm3744qpip.gif				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแก้วประเสริฐ