5 ตุลาคม 2556 22:02 น.

ไข่มุกแห่งปัญญา

คีตากะ

1187686i68junknof.gif













โดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
รวบรวมจากวารสาร





การช่วยเหลือคนอื่น
ก็คือการช่วยตัวเราเอง
เพราะฉะนั้น ทุกๆ ครั้ง
เราควรสร้างความคิดที่บริสุทธิ์มากๆ
ความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข
และความตั้งใจที่ดีตลอดเวลา
โดยไม่หวังสิ่งใดๆ ตอบแทน
นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด







สิ่งที่เลวไม่ได้มาจากหัวใจ
แต่มาจากนิสัย
ส่วนสิ่งที่ดีนั้นติดตัวมาตั้งแต่เกิด
สิ่งที่ดีมาจากหัวใจเธอ
เพราะเธอเกิดมาพร้อมๆ กับสิ่งเหล่านี้
เธอเกิดมาโดยมีคุณสมบัติจากสวรรค์







บางครั้ง...
ความยากลำบากที่เราเผชิญอยู่
ไม่ได้ลำบากอะไรมาก
เพียงแต่เราคิดมากไปเอง
เรากลัวมากเกินไป
ก็เลยใช้จินตนาการของตนเอง
เพิ่มความยากลำบากให้มากขึ้น
ดังนั้น...
สิ่งที่เราควรจะกลัวมากที่สุดก็คือ
จิตใจที่หวาดหวั่นของเราเอง
แทนที่จะเป็นสิ่งต่างๆ






จงทำสิ่งทุกอย่าง
เพื่อครอบครัวของเธอ
เพื่อสังคมของเธอ
เพื่อตัวเธอเอง
อย่าไปรอให้คนอื่น
มาทำให้ชีวิตของเธอดีขึ้น สดใสขึ้น
จงสร้างชีวิตของเธอด้วยตัวเธอเอง
เธอสามารถทำได้ทุกอย่าง







อย่าคิดว่าศีลทั้งหลาย
ทำให้พวกเราไม่เป็นอิสระ
ยึดเราไว้ให้อยู่ภายในกรอบ
แต่มันเป็นวิธีหนึ่งของอิสรภาพ
อิสระจากความรู้สึกผิด
อิสระจากความกังวล
อิสระจากโรคภัย
อิสระจากกรรม
อิสระจากหลายสิ่งหลายอย่าง







ถ้าเราต้องการจะเปลี่ยนโลกของเรา
ให้เป็นสวรรค์
เราจำเป็นต้องมุ่งหน้า
สู่หนทางของความจริง
คุณธรรม และความงาม
เราต้องเรียนรู้จากนักปราชญ์
เพื่อแสวงหาอุดมคติอันสูงส่ง
และปัญญาภายใน
โลกนี้จึงจะกลายเป็นสวรรค์







เรามายังโลกนี้
เพื่อจะเรียนรู้ความสมบูรณ์เพียบพร้อม
ดังนั้นเราจึงต้องมีคุณสมบัติต่างๆ ทุกอย่าง
และเรียนรู้ที่จะใช้มันในทางสายกลาง
มันไม่ถูกต้องที่แค่พูดว่า
เรากล้าหาญมาก ไม่กลัวอะไรเลย
แล้วก็วิ่งเข้าใส่อย่างไม่พินิจพิจารณา






เราต้องนำสันติสุขไปสู่ทุกหนทุกแห่ง
เราต้องปลูกฝังสิ่งที่ดีขึ้นภายใน
เพื่อว่าเราจะได้เป็นตัวแทนแห่งสันติสุข
ไม่ว่าเราจะไปที่ใด เราคือสันติสุข
เราคืออาณาจักรของพระเจ้า
เราคือเทวดา
เราคือพุทธะ






มันมีประโยชน์
ที่จะบังคับตัวเองให้หัวเราะบ้าง
ในบางครั้งนะ
เพราะว่า...
เซลล์ของร่างกายของเรามันจะตอบสนองดีมาก
มันจะฟังแต่สัญญาณที่สั่งมาเท่านั้น
เวลาเซลล์ร่างกายตรงปากหัวเราะ
เซลล์ในร่างกายทั้งหมดก็จะหัวเราะไปด้วย







เราต้องศึกษาแล้วศึกษาอีก
เริ่มต้นใหม่อย่างมั่นคงขึ้น
วันนี้เราล้มเหลว เราก็ลุกขึ้น
เพื่อเราจะสามารถก้าวหน้าไป
ด้วยเจตนาที่แน่วแน่
แล้วเราก็จะกลายเป็นคนที่แข็งแรงขึ้น
และมีปัญญามากขึ้นในสวรรค์






วิญญาณไม่เคยกลับมาเกิดใหม่
มีแต่ความคิดที่เป็นนิสัยของเรา
ความปรารถนาของเรา
และการยึดติดของเราที่กลับมาเกิดใหม่
ถ้าเรารู้จักวิญญาณ, ถ้าเรารู้แจ้ง
ถ้าเรารู้จักการติดต่อกับทั้งจักรวาล
เราก็จะไม่กลับมาเกิดที่ไหนอีกเลย
เราอยู่ที่นั่นอยู่เสมอ
เราไม่เคยเกิดและไม่เคยตาย







เวลาที่เราคิดว่าเราเก่งมาก ยอดเยี่ยมมาก
เราอาจจะถูกหลอกโดยสมองของเรา
สมองของเราชอบความรุ่งโรจน์
คำสรรเสริญ จินตนาการอันสวยหรู
และคิดว่าเราเก่ง
แต่ในอีกด้านหนึ่ง สมองก็ดูถูกตัวเรา
หรือลดชั้นตัวเราเองด้วย
มันอาจจะจมอยู่ในความหดหู่ เศร้าหมอง
และความรู้สึกมีปมด้อย
รวมทั้งหลอกเรา
เกี่ยวกับความรุ่งโรจน์ของเราด้วย
มันอาจจะเป็นไปได้ทั้งสองทาง






ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย
ระหว่างตัวเรากับนักปราชญ์
ต่างกันเพียงเส้นผมเส้นเดียว
และเมื่อเราก้าวข้ามไปได้
เราก็จะอยู่ในกลุ่มของบรรดานักบุญ
และถ้าเราอยู่ข้างหลัง
ห่างไปเพียงเส้นผมเส้นเดียว
เราก็เป็นบุคคลที่โง่เขลา
เที่ยวก้มหัวให้แก่ความกดดันทุกอย่าง
ของโลกนี้
กลัวทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกคน
และไม่รู้ว่าชีวิตของเราก่อนหน้านี้
รวมทั้งหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร
แม้ว่าเราจะมีตา แต่เราก็เหมือนคนตาบอด
เรามีหู แต่ก็เหมือนหูหนวก
ทั้งนี้เพราะเราไม่ได้ยินคำสอนจากสวรรค์








ตัวบุคคลก็เป็นเพียงนิสัยและความคิด
ที่สะสมมาชาติแล้วชาติเล่าเท่านั้น
เราไม่ได้เป็นบุคคลนั้น
เราไม่เคยถูกแบ่งแยกจากกัน
เราคือปัญญา เราคือความรัก
สิ่งเหล่านี้มีอยู่ทั่วไป
ทุกหนทุกแห่งในจักรวาล
มันจะถูกแบ่งแยกจากกัน
ด้วยผิวหนังเพียงแค่ชั้นเดียวได้อย่างไร?







ตั้งแต่โบราณกาลมาแล้ว
ผู้บำเพ็ญที่ยิ่งใหญ่
กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่
และบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย
ล้วนประสบความสำเร็จ
ด้วยความบากบั่นพากเพียร
ไม่ใช่คนเหล่านั้น
ได้รับความสำเร็จในชั่วพริบตา
ดังนั้นเมื่อเราประสบความยากลำบาก
เราควรต้องขอบคุณพระผู้สร้าง
ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ
ที่ให้โอกาสเรา
ในการฝึกความอดทน







เวลาเธอยิ้ม
ทั้งกายและใจของเธอก็ยิ้มไปด้วย
และระดับของจิตสำนึกของเธอ
ก็จะสูงขึ้นไปถึงระดับหนึ่ง
โดยอัตโนมัติ
เพราะฉะนั้น จงยิ้มไว้ให้มากๆ
จงยิ้มในเวลาที่มีความสุข
และเวลาเศร้าโศกเสียใจ
ร้องไห้เวลาที่เธอต้องร้อง
แต่จงยิ้มไปด้วยในเวลาที่เธอร้องไห้
ปล่อยให้น้ำตาไหลร่วงลงมา
แต่ก็ยิ้มอยู่ในใจด้วย
พยายามยิ้มเข้าไว้
เมื่อใดก็ตามที่เธอสามารถจะทำได้







น่าเสียดาย...
ที่มีสิ่งต่างๆ มากมาย
ที่คอยขัดขวางไม่ให้ผู้คนสามารถเข้าใจ
สัจธรรมขั้นพื้นฐาน
ว่าความรักคือกฎอันยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล
ดังนั้น...
หลายๆ คนจึงไม่ได้มีความสุขในชีวิต
อย่างที่เขาควรจะมี






ปัญหาในโลกนี้
ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาตำหนินักการเมือง
หรือมาโทษระบบเศรษฐกิจของประเทศไหน
หรือโทษนิกายลัทธิอะไรของชาติใด
แต่ต้องโทษความเพิกเฉย
ของธรรมชาติของตัวเราเอง
ที่เราไม่รู้ว่าตัวเรายิ่งใหญ่ขนาดไหน
ไม่รู้ว่าตัวเรานั้นคือความสุข
ความพอใจที่ติดมาอยู่กับร่างกาย
เราไม่รู้ว่าเราคือความรัก
ซึ่งอยู่ในรูปของบุคคลคนหนึ่ง






โลกไม่ควรจะอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้
ถ้าพวกเราทุกคนรู้แจ้ง
หรืออย่างน้อยสักครึ่งหนึ่งของพวกเรารู้แจ้ง
แต่จะยิ่งดีขึ้นถ้าพวกเราส่วนใหญ่รู้แจ้ง
ถ้าเป็นเช่นนั้น
ก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องสันติภาพ
สันติภาพจะมาเอง
ไม่จำเป็นต้องอยากได้อะไร
เพราะว่าเรามีปัญญาแล้ว
"ปัญญาคือพระเจ้า
พระเจ้าคือชุมพาบาลของฉัน
ฉันจะไม่ปรารถนาอะไรอีกแล้ว"







ถ้าเราเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา
เราจะสามารถกลับตัวได้ทันที
และเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ทุกสถานการณ์
ถ้าเป็นแบบนี้
ใจของเราก็จะไม่ติดอยู่ที่ไหน
เราจะไม่ล้มคว่ำ
ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์แบบไหน






เรายังต้องช่วยเหลืองานสังคมด้วย
ไม่ว่าเราจะเป็นอะไรก็ตาม
ที่เราสามารถจะช่วย
ให้ความทุกข์ยากลดน้อยลง
นั่นแหละคืองานที่สูงส่ง
ซึ่งไม่เพียงจะได้รับการจดจำ
ในโลกนี้เท่านั้น
แต่จะได้รับการสรรเสริญ
จากสวรรค์ด้วย






เราไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความอยาก
ไม่ได้มาพร้อมกับความเกลียด
หรือการแบ่งแยกผิว
เราเกิดมาจากความบริสุทธิ์
และความงาม
เราจึงควรคงไว้ในสภาพนั้น
นอกจากจะบริสุทธิ์แล้ว
เรายังคงจะต้องฉลาดมากขึ้น
นี่แหละ คือหนทางของสุภาพบุรุษ
นี่แหละ คือหนทางของผู้ยิ่งใหญ่










ความจริงแล้ว
กาย วาจา และใจ
เป็นสิ่งเดียวกัน
ซึ่งมีรูปแบบต่างกันเท่านั้น
ดังนั้น ความคิดของเรา
ก็เหมือนการกระทำของเรา






การมีความจริงใจต่อผู้อื่น
คือเกราะคุ้มกันที่ดีที่สุด
ในการรักษาเกียรติภูมิ
และสัญชาตญาณการรู้ของเราเอง
และเป็นวิธีที่ดีที่สุดด้วย







ทำไม?
เราจึงต้องก้มหัวของเรา
ให้แก่ความกดดันของสังคม
และทำตัวเหมือนกับคนอื่นๆ?
เราควรจะต้องมีความกล้าหาญและแข็งแกร่ง
เพื่อจะได้แตกต่างจากคนอื่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เมื่อความแตกต่างนั้น
ทำให้เราสูงส่งขึ้น มีความสุขขึ้น
ฉลาดมากขึ้น มีความรักมากขึ้น
และสามารถช่วยตัวเราเอง
ญาติพี่น้องและเพื่อนๆ
รวมทั้งสังคมและโลกของเราได้ดีกว่าเดิม
เพราะฉะนั้น
การเสียสละทั้งหลายนั้นจึงคุ้มค่ามาก
เราควรจะต้องเป็นวีรบุรุษแห่งศตวรรษ
ไม่ใช่เพียงแค่ "ใช่ ใช่ - ไม่ใช่ ไม่ใช่"
เหมือนคนทั่วไป
แล้วเราก็จะตายไปโดยไม่ได้อะไรเพิ่มมากขึ้น









เธออย่าฟังด้วยหูเพียงอย่างเดียว
ต้องฟังด้วยจิตวิญญาณทั้งหมดของเธอ
และก็เข้าใจด้วยปัญญาของเธอเอง
นั่นแหละคือคำสอนที่แท้จริง
ไม่ใช่คำพูด
เพราะอาจารย์หลายคนสอนด้วยคำพูด
ฉันไม่ใช่หมายถึงสิ่งนั้น
คำสอนที่แท้จริงก็คือ
พลังที่มองไม่เห็นซึ่งติดมากับคำพูด
ติดมากับคำสัญญาทุกข้อ
ที่อาจารย์ผู้นั้นให้แก่เธอ
สิ่งเหล่านั้นจะเป็นจริง
เพราะฉะนั้น
เราต้องรู้ว่าการลอกเลียนแบบนั้น
มีความแตกต่างจากสิ่งดั้งเดิมที่แท้จริง







หลายคนมองว่า
โลกนี้มีความทุกข์ยากมาก
มีเครื่องหลอกล่อยั่วยวนมาก
แต่บางคน
ก็มองว่าโลกนี้เป็นโรงเรียน
เป็นโรงเรียนที่ดีสำหรับการฝึกฝน
มันขึ้นอยู่กับทัศนคติในใจของเรา
ถ้าฉลาด มีปัญญามาก
และบำเพ็ญในวิถีของเราได้ดี
เราก็จะรู้สึกว่าโลกนี้ดี







พวกเราไม่ได้เรียนรู้การยืดหยุ่น
ดังนั้นพวกเราจึงหกล้ม
จึงทนทุกข์เวทนา
ด้วยเหตุนี้
พวกเราจึงสมควรเรียนรู้
การติดต่อกับต้นกำเนิดปัญญา
ที่แท้จริงของพวกเรา
จากนั้น อาศัยแต่ความรัก
และความเห็นอกเห็นใจกัน
จะไม่ใช้การโจมตีประนาม
ไปจัดการกับเหตุการณ์ต่างๆ







จริงๆ แล้วไม่มีใครที่เลวจริงๆ
เพียงแต่เขาเกิดมา
พร้อมกับความโน้มเอียงที่จะเรียนรู้
เขาจะเรียนรู้ได้เร็วมาก
ไม่ว่าสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่เลว
ถ้าเขาเรียนสิ่งที่ดี
เขาก็จะกลายเป็นคนดี
ถ้าเขาเรียนสิ่งที่เลว
เขาก็มีแนวโน้มที่จะเลว







ไม่ใช่คอยมองหาความสำเร็จอยู่เสมอไป
เพื่อที่จะวัดสติปัญญา
หรือความสามารถของพวกเธอ
เพราะบางครั้งสิ่งที่ดูเหมือนความล้มเหลว
ก็เป็นความสำเร็จ
และบางครั้งสิ่งที่ดูเหมือนความสำเร็จ
ก็กลายเป็นความล้มเหลว
เพราะมีบางครั้งที่ความล้มเหลวนั้น
กลับเป็นประตูไปสู่ความสำเร็จ







ถ้าเราถอยทุกครั้ง
ที่เผชิญความยากลำบาก
ไม่ช้าไม่นาน
เราก็ต้องเจอกับสถานการณ์เช่นเดิมอีก
เราควรจะเผชิญหน้ากับมันจะดีที่สุด
จะได้มีประสบการณ์ด้วย
เราจะได้ทราบว่า
ถ้าเจอเช่นนี้ในครั้งต่อไปควรจะทำอย่างไร
ต่อไปภายหน้า
เมื่อเราต้องเจอกับความลำบาก
ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
เราก็จะไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่








ไม่มีใครกำลังทำสิ่งใดๆ อยู่
เว้นแต่ความรักของพระเจ้า






ปัญญาที่แท้จริงเท่านั้น
คือสิ่งที่เราสามารถพึ่งได้มากที่สุด
ไม่ใช่ตำแหน่งหรือความมั่งมีในทางโลก
ไม่ใช่ความงามหรือความสามารถพิเศษทางโลก







บุคคลผู้ยิ่งใหญ่นั้น
มีความถ่อมตนอย่างมาก
เมื่อใดที่เราไม่ยอมถ่อมตน
เราก็ไม่มีความยิ่งใหญ่







ศาสนาทั้งมวลจะเป็นเรื่องสูญเปล่า
ถ้าปราศจากประสบการณ์จริง





Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.suprememastertv.com
www.godsdirectcontact-thai.org				
5 ตุลาคม 2556 22:03 น.

ไข่มุกแห่งปัญญา..

คีตากะ

701694ey1en3jid2.gif
















โดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
รวบรวมจากวารสาร




หัวใจที่ถ่อมตนคือหัวใจที่ว่างเปล่า
ปราศจากสิ่งกีดขวาง
ไม่มีอัตตา ไม่มีความหยิ่งทะนง
ไม่มีที่ใดจะพึ่งพิง
เฉพาะเมื่อมันว่างเปล่าเท่านั้น
มันจึงจะรับเอาสิ่งที่มีค่า
ซึ่งหัวใจที่มีสิ่งอื่นอยู่เต็มเปี่ยม
มิอาจรับไว้ได้






เราทุกคนเป็นนักโทษด้วยกันทั้งสิ้น
ไม่มากก็น้อย
บางคนถูกขังในตึก
ในขณะบางคนถูกยึดติด
ด้วยความคิดของเขา
นี่แหละคือข้อแตกต่าง
การถูกขังอยู่ในตึกเป็นเรื่องง่ายที่สุด
และยังพอมีความหวังอยู่มาก
แต่ถ้าถูกขังด้วยความคิด
ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะกลับเป็นอิสระ







เราถูกขังด้วยความคิดที่โง่เขลา
ความไม่รู้หรือความโลภ
ความโกรธและความหลง
ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะกลับเป็นอิสระ
หรือรู้ว่าเมื่อไรเราจะเป็นอิสระ
บางทีตายไปแล้วก้ยังไม่รู้เลย








เวลา....เป็นเพียง
สิ่งลวงตาตาลวงใจอย่างหนึ่ง
ตอนที่เธอนอนหลับ
เธอก็จะไม่รู้เวลา
และตอนที่เธอมีความสุข
เวลาก็จะผ่านไปเร็วมาก
ตอนที่เธอทุกข์
เวลาก็จะเดินอืดอาดช้ามาก
ทำไมล่ะ?
มันล้วนแล้วแต่เป็นความคิด
ความคิดที่มีมาแต่ก่อน







เราต้องเคารพตัวเราเอง
ก่อนที่คนอื่นเขาจะเคารพเรา
ถ้าเราไม่มีความมั่นใจในตัวเอง
ก็จะไม่มีใครมีความมั่นในตัวเราได้
หากเรายังจำความยิ่งใหญ่
ของตัวเราเองไม่ได้
ก็ไม่มีใคร...
จำความยิ่งใหญ่ของเราได้เช่นกัน







ชีวิตของคนเรา
มักจะยุ่งอยู่กับการวิพากษ์วิจารณ์
เรื่องทางโลก
และพยายามแก้ไขคนอื่นให้ถูกต้อง
จนเราเหนื่อยมากกับการกระทำเช่นนี้







เมื่อใดก็ตาม
ที่เธอทำในสิ่งที่ดีงามและถูกต้อง
ความถูกต้องและความดีงามนั้น
ก็จะเข้ามาสู่ชีวิตของเธอเสมอ
เพราะฉะนั้น
นั่นจึงเป็นการปกป้องคุ้มครอง
อย่างแท้จริง







จงเคารพทุกคน
และมองทุกคนด้วยสายตาอันบริสุทธิ์
จะเป็นการดีต่อตัวเธอตลอดเวลา
นี่แหละคือวิธีที่ดีที่สุด
ในการมองผู้อื่น







ความรู้สึกมีตัวตนขีดวงจำกัดทุกสิ่งทุกอย่าง
เธอไม่มีทางจะมีความไม่จำกัดถ้าเธอถูกจำกัด
นี่คือเหตุผลอันสมควรของเรื่องนี้
การที่จะไร้ขอบเขตจำกัดนั้น
เราต้องฝึกปฏิบัติ ฎการสูญสิ้นตัวตน"
ต้องฝึกปฏิบัติพลังที่คงอยู่ตลอดกาลของพระเจ้า
เราต้องกันเวลาบางส่วนในแต่ละวัน
เพื่อติดต่อกับ "พระวจนะ" นี้







สาเหตุของความทุกข์ทั้งมวล
ไม่ได้มาจากสภาวะภายนอก
แต่จริงๆแล้ว
มาจากทัศนคติของตัวเราเอง






เราควรจะใช้เวลาในชีวิตของเรา
ทุกวินาที ให้เป็นที่พอใจเต็มที่
ดำรงชีวิตด้านบวก
มีความสุข
และเป็นชีวิตที่เรียนรู้
จริงๆ แล้ว
ชีวิตนี้ไม่มีอะไรน่าเบื่อเลย
ไม่มีอะไรที่ต้องน่าเบื่อ







อย่าพ่ายแพ้ต่อสิ่งกีดขวาง
และการทดสอบอันรุนแรง
บางทีเราอาจจะยังไม่รู้
วิธีจัดการกับมันในวันนี้
ดังนั้นเราจึงตกใจและพ่ายแพ้
ลองพยายามใหม่ในวันพรุ่งนี้
เราจะชนะได้ในวันหนึ่ง







ความรักที่แท้จริงนั้น
เธอจะไม่รู้สึกมีภาระ
ความรักที่แท้จริง
ทำให้คนรู้สึกเบาสบายมากตลอดเวลา
ไม่มีข้อผูกมัด ไม่มีภาระ






ถ้าเราไม่เคยเผชิญหน้า
กับการท้าทาย
เราจะรู้ได้อย่างไรว่า
ศิลปะการป้องกันตัวของเรา
อยู่ในระดับไหน







ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานการณ์เช่นไร
เราต้องมองดูด้านที่สดใส
มองในแง่ที่ดี
อย่ามัวแต่คิดเรื่องจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ
เราควรจะเปลี่ยนสถานการณ์
ที่ไม่พึงปรารถนา
ให้เป็นสถานการณ์ที่เอื้อประโยชน์แก่เรา








ถ้าหากเราต้องการความสำเร็จ
ในชีวิตอย่างแท้จริง
ต้องปฏิบัติจากภายในออกมา
ก็เหมือนอย่างเรารดน้ำต้นไม้
ต้องรดจากราก
ไม่ใช่รดแต่ใบไม้เท่านั้น






สิ่งที่เธอควรจะละวางก็คือ
การยึดติดกับอำนาจและความมีชื่อเสียง
ไม่ใช่ละวางไม่ยุ่งกับเงินทอง
และความมีชื่อเสียง








ไม่มีอะไรที่ยากอย่างแท้จริง
มันขึ้นอยู่กับว่า
เราต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเราหรือไม่
เพื่อเราจะจำได้อย่างแท้จริงว่า
อะไรคือคุณสมบัติที่ดีในตัวเรา
อะไรที่หลอกลวง
และเป็นอันตรายต่อตัวเรา
เราต้องซื่อสัตย์ต่อตนเอง
เพราะไม่มีใครบอกเราได้







จงละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง
แล้วเธอจะมีทุกสิ่งทุกอย่าง








ความรัก....
เป็นกฎที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล
ไม่ว่าสิ่งใดล้วนได้รับการชำระล้าง
ด้วยความรักที่แท้จริง
ดังนั้น เมื่อเธอทำสิ่งใดเพื่อการกุศล
จงทำด้วยความรัก








จงมีความสุข
กับสิ่งใดก็ตามที่เธอมีอยู่
มิฉะนั้น...
พระเจ้าจะเอาทุกสิ่งไปหมด






ยิ่งเราทำงานมากขึ้น
ยิ่งเราพยายามช่วยเหลือผู้อื่นมากขึ้น
เราก็ยิ่งจะเจริญพัฒนามากขึ้น
และไม่ว่าเราจะทำงานอะไร
เราจะต้องทำอย่างสุดจิตสุดใจ
นอกจากนี้เรายังต้องช่วยเหลือ
เพื่อนๆ ของเราในทุกๆ ทาง
ที่เราสามารถจะช่วยได้
ทำให้เขามีความสุข
ทำให้เขารู้สึกว่า
เขาได้รับความรัก








เมื่อสถานการณ์
ต้องการให้เราแสดงความรักออกมา
เราก็จะต้องแสดงความรักของเรา
และต้องแสดงด้านการกระทำ
การพูด และความคิด
ที่เต็มไปด้วยความรัก
และความเมตตาอยู่เสมอ
การทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด
ต่อการพัฒนาจิตวิญญาณของเรา
รวมทั้งเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเพื่อนๆ
รอบตัวเรา








สิ่งที่ดีที่สุด
จะเรียบง่าย
และไม่มีเงื่อนไขเสมอ








เราควรจะมีชีวิตที่เรียบง่าย
ไม่ใช่ชีวิตที่ยากจนแร้นแค้น
ไม่ใช่ชีวิตที่วุ่นวายยุ่งเหยิง
ความเรียบง่ายนั้นต่างจากสิ่งเหล่านี้







เราบำเพ็ญปฏิบัติ
ไม่ใช่เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงโลก
แต่เพื่อเปลี่ยนแปลงปัญญาของเรา
เราเปลี่ยนแนวความคิด และความคิด
ใช้ปัญญาในการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์
ที่รู้สึกเลว
ให้เป็นสถานการณ์ที่ดี







ไม่ว่าหน้าที่การงานของเราจะเป็นอะไร
สิ่งที่สำคัญที่สุดในโลกนี้
ก็คือการรักซึ่งกันและกัน
หากเราไม่ทำหน้าที่เช่นนี้
เราก็จะขาดสิ่งต่างๆ มากมาย







สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตนี้
ในหลักการบำเพ็ญของเรา
ก็คือความรัก รักผู้อื่น รักตัวเราเอง
จงหลุดพ้นจากความเกลียดชัง อคติ
ทัศนคติที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์
และความคิดในทางลบ
เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งไม่ดี
เป็นภาระซึ่งผูกมัดให้เราไว้กับโลกแห่งวัตถุ
หรือผูกมัดให้เราอยู่ในสามโลก
ถ้าปราศจากสิ่งเหล่านี้
เราก็จะหลุดพ้นตั้งแต่มีชีวิตอยู่







อะไรคือจิตตารมณ์ของเซ็น?
จิตตารมณ์ของเซ็นก็คือ
การมีความสุขในวันนี้
ทำสิ่งที่ต้องทำในวันนี้
ไม่ว่าจะมีความสุขหรือความทุกข์
ทุกสิ่งก็คือวันนี้
อย่าไปกังวลเกี่ยวกับอดีต
อดีตนั้นไม่สามารถหวนกลับมาอีกแล้ว
อนิจจา!
อนาคตก็ยังมาไม่ถึง
แต่น้อยคนนักจะอุทิศความสนใจของเขา
ให้แก่ปัจจุบันอย่างเต็มที่
นี่แหละคือเหตุผลที่ทุกๆคน
ต่างมีความทุกข์กันมากเหลือเกิน






เราจะต้องทำตัวเสมือนเป็นผู้ฟัง
เราต้องมีปัญญามากพอ
และรู้แจ้งมากพอ
ที่จะเฝ้าชมเกมการละเล่นทั้งหลาย
ของจักรวาล
และออกไปให้พ้นจากความทุกข์ยากนี้ให้ได้...






ถ้าเรามีใจกว้างต่อผู้อื่น
และอภัยต่อผู้อื่นอยู่เสมอ
แม้ว่าพวกเขาปฏิบัติไม่ดีต่อเรา
เราก็ยังคงปฏิบัติดีต่อเขาและรักเขา
นี่แหละคือหัวใจของเด็กๆ				
5 ตุลาคม 2556 22:06 น.

อันตรายของอิทธิปาฏิหาริย์ที่ปราศจากปัญญา

คีตากะ

928.jpg

อาจารย์เล่านิทาน
โดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่

        มีอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับพวกนักเรียนที่มีความกระตือรือร้น ซึ่งไปร่ำเรียนกับอาจารย์ เพราะว่าอาจารย์มีพลังอิทธิปาฏิหาริย์มากมาย พวกเขาก็เลยอยากมีบ้าง อย่างไรก็ตามอาจารย์ก็มักจะปฏิเสธอยู่เสมอ โดยบอกพวกเขาว่าพวกเขายังไม่พร้อมสำหรับเรื่องอะไรแบบนั้น มันอันตรายมากที่จะมีพลังทางจิตวิญญาณโดยที่ไม่มีคุณธรรมและปัญญา แต่นักเรียนก็ไม่ต้องการที่จะฟังเรื่องพวกนี้ พวกเขาเห็นอาจารย์แสดงอิทธิปาฏิหาริย์มากมาย พวกเขาก็เลยต้องการมีบ้าง โดยเฉพาะพลังอิทธิฤทธิ์ที่ทำให้คนตายฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีก พวกเขาชอบที่จะมีพลังแบบนั้น ดังนั้นพวกเขาก็เลยเฝ้ารบเร้าอาจารย์ตลอดเวลา จนกระทั่งวันหนึ่งอาจารย์ก็ยอมแพ้และสอนสูตรลับที่จะทำให้คนตายฟื้นคืนชีพให้แก่พวกเขา

พวกเขาก็รู้สึกมีความสุขมากกับการค้นพบใหม่นี้ พวกเขาจึงจากอาจารย์ไป เพราะคิดว่านั่นคือทั้งหมดที่พวกเขาต้องการ แล้วพวกเขาก็ไปที่อื่นด้วยกัน ระหว่างการเดินทาง พวกเขาก็ได้ผ่านที่ที่เปลี่ยวมาก ไม่มีใครอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว มีโครงกระดูกอยู่บนถนน พวกเขาต้องการทดสอบพลังของความรู้ที่เพิ่งเรียนมาใหม่ๆ พวกเขาท่องมนต์ ทำมือทำไม้อะไรแบบนั้น ในทันใดนั้นกระดูกทั้งหมดก็ลอยขึ้นไปในอากาศ รวมตัวกันกลายเป็นรูปร่างดั้งเดิมของสัตว์ที่มีชีวิต เนื้อหนังมังสาทั้งหลายก็กลับมีชีวิตขึ้นมาอีก มีเขา มีเขี้ยวงอกออกมาอีก มันได้กลายเป็นไดโนเสาร์จากเมื่อหลายล้านปีมาแล้ว มันใหญ่โตมาก มันไล่และกินพวกเขา ทำให้พวกเขาหลุดพ้น นั่นก็นับได้ว่าเป็นอันตรายอย่างหนึ่งด้วยเช่นกัน ในการที่ชอบเป็นคนลอกเลียนแบบ
การลอกเลียนแบบอาจารย์โดยปราศจากปัญญาของผู้รู้แจ้งอย่างแท้จริง โดยปราศจากพลังที่จะควบคุมความอยากรู้อยากเห็นของเรา โดยปราศจากความเมตตาที่จะทำสิ่งต่างๆ ในเวลาที่เหมาะสมเมื่อสรรพสัตว์ต้องการให้เธอช่วยเหลือโดยที่ไม่ใช่เป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็นของเธอ หรือเพราะเธอต้องการอวดพลังของเธอ นั่นเป็นสิ่งที่อันตรายมาก ด้วยเหตุนี้ในการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณของเรา เราจึงไม่สนับสนุนให้คนใช้พลังอิทธิปาฏิหาริย์ หากเธอมีอยู่บ้าง เธอก็ไม่ควรใช้มันเลยจะดีกว่า
ตามที่ฉันได้เคยบอกเธอมาแล้ว มันเป็นเป็นสิ่งของชนิดหนึ่งที่ยืมมาจากโรงไฟฟ้าของจักรวาล และมันไม่ใช่เป็นโรงไฟฟ้าที่อยู่ในระดับสูง อะไรก็ตามที่เธอยืมมาจากระดับที่ต่ำ เธอก็จะต้องจ่ายคืนพร้อมทั้งดอกเบี้ย ถ้าเธอได้มันมาจากพระเจ้า จากการไหลเวียนที่เป็นธรรมชาติของปัญญาและพลังสูงสุด มันก็จะเป็นของเธอ เป็นของพลังของพระเจ้า ซึ่งเธอไม่ต้องจ่ายคืน
มีอาจารย์อยู่คนหนึ่ง ฉีนไม่รู้จักชื่อ เขาเริ่มแก่ลงๆ และแน่นอน ตาของเขาก็เริ่มมัวลงเพราะอายุที่มากขึ้น จนกระทั่งเขามองไม่เห็นลูกศิษย์และจำสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวไม่ได้ มีหมอที่รักษาโดยใช้พลังจิตคนหนึ่ง (บางครั้งพวกเขาวางแขนของพวกเขาลงบนตัวเธอ แล้วก็สามารถรักษาเธอให้หายได้ อะไรแบบนั้น) ได้พูดกับอาจารย์คนนั้นว่า "เธอมาหาฉันสิ มอบความไว้วางใจให้กับฉัน ฉันสามารถรักษาตาของเธอให้หายได้ ทำให้เธอเห็นได้อีก" แต่อาจารย์คนนั้นก็พูดว่า "ไม่เอาๆ ฉันได้เห็นในสิ่งที่ฉันจำเป็นต้องเห็นอยู่แล้ว ฉันได้เห็นสิ่งที่อยู่ภายใน สิ่งอื่นๆ ไม่สำคัญเท่าไรนักหรอก"
นั่นเป็นทัศนคติที่ถูกต้องสำหรับผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณ สำหรับเรา เราไม่ควรที่จะรู้สึกละโมภ อยากได้การรักษาด้วยพลังอิทธิปาฏิหาริย์ ละโมภอยากได้พลังอิทธิปาฏิหาริย์และสิ่งที่สะดวกสบายทั้งหลายเหล่านี้ มันเป็นสิ่งที่ชั่วคราว ให้การบรรเทานิดหน่อยเท่านั้น แต่เราจะต้องสูญเสียสิ่งต่างๆ มากมายเป็นการตอบแทน ไม่มีอะไรภายในไตรภูมิที่เราจะได้มาฟรีๆ เฉพาะในโลกที่ 5 เท่านั้นที่ทุกอย่างมีอยู่อุดมสมบูรณ์และไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ สิ่งอื่นๆ ทุกสิ่งทำมาจากสสารที่เป็นวัตถุในโลกนี้ และในไตรภูมิ ถ้าหากเราเอามากเกินไป ที่อื่นก็จะเกิดการขาดแคลน ดังนั้นพลังอิทธิปาฏิหาริย์จึงไม่มีอะไรเลย แต่เป็นการเอาสิ่งหนึ่งจากที่หนึ่งและนำมันไปสู่อีกที่หนึ่ง... Be Veg, Go Green 2 Save The Planet www.suprememastertv.com www.godsdirectcontact-thai.org
5 ตุลาคม 2556 22:08 น.

ผู้บำเพ็ญควรหาเลี้ยงชีพสำหรับตนเอง

คีตากะ

1618706fyd9pue02t.gif













อาจารย์เล่านิทาน
โดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่



       มีชายคนหนึ่งเดินเตร่เข้าไปในป่าลึก เขาอาจจะเดินเที่ยวเล่นหรือไปทำธุระอะไรบางอย่าง แล้ววันหนึ่ง เขาก็เกิดไปเห็นหมาจิ้งจอกซึ่งขาขาดทั้งสี่ข้าง เขาก็นึกประหลาดใจว่าหมาจิ้งจอกสามารถรอดชีวิตอยู่ในป่าทึบนี้ได้อย่างไรทั้งๆ ที่ไม่มีขาหลงเหลืออยู่ เขาก็เลยเฝ้าดู คอยดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วเขาก็เห็นเสือตัวหนึ่งนำเหยื่อที่ถูกล่ากลับมาและกินเหยื่อนั้น หลังจากนั้นถ้ายังมีอะไรเหลืออยู่ หมาจิ้งจอกก็เอามากินต่อ ตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่า หมาจิ้งจอกมีชีวิตอยู่รอดได้อย่างไร

ในวันรุ่งขึ้น พระเจ้าก็เลี้ยงดูหมาจิ้งจอกโดยผ่านมาทางเสืออีกเช่นเคย ชายผู้นี้ก็เลยคิดว่า เขาคงจะรู้แจ้งขึ้นมาบ้างแล้ว เขาพูดว่า "อา เราจะต้องพึ่งพาพระเจ้า เราต้องเชื่อมั่นในพระเจ้า แล้วท่านก็จะให้ทุกสิ่งทุกอย่างแก่เรา" ดังนั้นเขาจึงเลิกทำงาน ไม่สนใจภรรยาและลูกๆ ของเขา และไม่ไปนั่งสมาธิกลุ่มที่ศูนย์ซีหูอีกด้วย (คนหัวเราะ) เอาแต่นั่งอยู่ในป่า พยายามยกทุกสิ่งทุกอย่างให้พระเจ้าดูแล และคิดว่าพระเจ้าจะนำอาหารมาให้เขา ดังนั้นเขาจึงนั่งอยู่ตรงนั้น ทำสมาธิถึงพระเจ้าและแม้แต่คำพระหรือนะโมอนุตราจารย์ชิงไห่ อู๋ ซั่ง ซือ ซูม่า จื้อ ก็ยังไม่ยอมท่อง (คนหัวเราะ)
เขากล่าวว่า "ทำไมล่ะ ฉันเชื่อมั่นในพระเจ้าเท่านั้น ทำไมฉันจะต้องเรียกชื่อของใครด้วย? ฉันไว้ใจพระเจ้า รักพระเจ้าและเชื่อในพระเจ้า ฉันเกรงกลัวและเคารพพระเจ้า แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ฉันยอมให้พระเจ้าดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง" เขาก็เลยนั่งอยู่ที่นั่นคอยต่อไป เผื่อจะมีเนยสดเค้ก ขนมปัง เนยแข็ง เต้าหู้ มาหาเขา ในวันแรกก็ไม่มีอะไรมาเลย เขาก็ยังคงนั่งต่อไป เขากล่าวว่า "พระเจ้ากำลังทดสอบศรัทธาของฉัน" เขาจึงนั่งต่อไปอีกวันหนึ่ง
ในวันที่สองก็ไม่มีเต้าหู้ปรากฏมาให้เห็น ไม่มีกะหล่ำปลีงอกจากพื้นดินขึ้นมาตรงหน้าเขา ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เขาจึงคิดว่า "โอ พระเจ้าคงกำลังทดสอบความกล้าหาญและความเชื่อของฉันแน่ๆ เลย แน่นอน ฉันจะแสดงให้พระเจ้าได้เห็นความเชื่อของฉัน ได้เห็นว่าฉันยอมท่านทุกอย่าง ได้เห็นความเชื่อมั่นไว้วางใจในพระเจ้าอันไม่สั่นคลอนของฉัน" ดังนั้นเขาจึงนั่งอยู่ตรงนั้น และรอคอยต่อไป
พอถึงวันที่สาม ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีเนยสด ขนมปัง เนยแข็ง เต้าหู้ กะหล่ำปลี แคร็อท ไม่มีแม้แต่น้ำฝน เอื๊อกๆ คราวนี้เขารู้สึกว่ามีการทดสอบจากคอของเขา มีการทดสอบจากกระเพาะของเขา จากแขนขาของเขา ไม่จำเป็นต้องเป็นการทดสอบจากพระเจ้าเสมอไป แต่มันมาจากส่วนต่างๆ ทั่วร่างกายของเขา ชิ้นส่วนต่างๆ ของร่างกายเริ่มจะ (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) พยายามเอาเรื่องกับเขา เขาก็เกิดความทุกข์ทรมานมาก และพยายามคิดว่าเกิดอะไรขึ้น เขาสวดขอพระเจ้า "กรุณาอย่าทดสอบผมต่อไปเลย ผมเชื่อมั่นในพระองค์จริงๆ ผมยอมทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อท่านจริงๆ ความศรัทธาของผมที่มีต่อท่านไม่สั่นคลอนเลย มันไม่มีวันสูญหายไปเลย" จากนั้นก็มีเสียงมาจากสวรรค์หรืออาจจะมาจากกระเพาะของเขาก็ได้ ฉันไม่รู้ (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เสียงนั้นกล่าวว่า "โอ เธอ เจ้าคนโง่ ทำไมถึงได้เรียนวิธีการของหมาจิ้งจอกพิการเล่า? ตื่นขึ้นได้แล้ว และทำตามวิธีการของเสือ"
จริงๆ แล้ว เราอาจจะบวชเป็นพระภิกษุก็ได้ แต่เราควรทำงาน ทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ เพื่อการยังชีพของเรา ฉันจึงได้บอกเธอว่า เราต้องหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องด้วยตัวเราเอง เพราะว่าเราได้รับเครื่องมือต่างๆ รวมทั้งความฉลาด มีไหวพริบ เราไม่ใช่หมาจิ้งจอกพิการ ถ้าเราเป็นหมาจิ้งจอกพิการ บางทีพระเจ้าอาจจะช่วยเรา แต่เนื่องจากเราไม่ได้พิการ แล้วทำไมเราต้องทำตามอย่างวิธีการของสัตว์พิการด้วยล่ะ? เราควรจะต้องเดินอย่างราชสีห์ เสือ ช้าง ม้า เราควรจะเป็นผู้ให้ ไม่ใช่เป็นขอทาน ไม่ใช่เป็นผู้รับ นี่แหละคือวิถีของชีวิต ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลกมายานี้ เราก็ควรหาเลี้ยงตัวของเราเอง ฝึกหัดตัวเรา ลองเล่นกับเครื่องมือเหล่านี้ดู ทดลองกับมันด้วยความสามารถและความฉลาดมีไหวพริบของเรา ดูซิว่าชีวิตจะให้อะไรกลับมา ดูซิว่าพรุ่งนี้จะนำอะไรมาให้เรา
ด้วยสติปัญญาและความสามารถของเรา เราเฝ้าดูชีวิตเจริญพัฒนาขึ้นในตัวเรา เราเฝ้าดูชีวิตเปลี่ยนไปตามฤดูกาล เฝ้าดูเครื่องมือของเรานำผลประโยชน์กลับมาให้เรา ให้ครอบครัวของเรา และสังคมส่วนรวม เรามีความฉลาด มีไหวพริบ เราก็ควรใช้มัน ปัญญานั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ความฉลาดและความสามารถเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ปัญญานั้นเราเก็บเอาไว้ ปัญญานั้นไม่มีทางจะนำออกไปจากตัวเราได้ ปัญญาไม่สามารถฝึกหัดได้ ไม่มีวันถูกทำให้ด่างพร้อยได้ ไม่มีวันลดลงหรือเพิ่มขึ้น แต่ความฉลาด มีไหวพริบ, ความรู้นั้นเราต้องใช้เพื่อจัดการกับชีวิตประจำวันในโลกแห่งวัตถุนี้ ปัญญาเราเก็บไว้สำหรับตัวเราเอง และเราสามารถจะใช้มันในวัตถุประสงค์ที่ยิ่งใหญ่กว่า สูงส่งกว่า เช่น ทำให้คนอื่นรู้แจ้ง หรือทำให้ตัวเราเองมีพลังมากขึ้น เพื่อเราจะได้สามารถช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ อย่างเช่นการรักษาโรคโดยไม่ได้รักษา การรู้โดยปราศจากการรู้ การช่วยเหลือโดยไม่ได้ช่วย อวยพรแก่โลกโดยไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความหยิ่งทะนง และไม่มีร่องรอยของเกียรติยศชื่อเสียงในส่วนที่เป็นของเรา นั่นแหละคือวิธีที่เราควรจะเป็น
เพราะฉะนั้นวันนี้หรือพรุ่งนี้หรือทุกวันเราจึงนั่งสมาธิ นี่ก็เหมือนกับการทำตามแบบวิธีการของเสือ เราให้ เราอวยพร เราไม่ขอร้องอะไร ไม่ขออะไรจากใคร ฉันคิดว่า พระเจ้า เทวดา ผู้ที่รู้แจ้งแล้วทั้งหลาย ท่านกำลังทำงานของท่านอยู่แล้ว ท่านกำลังทำงานของท่านให้เสร็จ ตอนนี้เราต้องเจริญตามรอยเท้าของท่านเหล่านั้นและทำงานแบบเดียวกับท่านด้วย ไม่ใช่เอาแต่สวดอธิษฐานเพื่อตัวเราเอง หรือขอโน่นขอนี่เพื่อชีวิตที่เป็นอนิจจังนี้ เมื่อไรก็ตามที่เราต้องการสิ่งใดจริงๆ เราก็อาจจะอธิษฐานขอได้ ขอเพียงแค่สิ่งจำเป็นเพื่อให้เราสามารถบำเพ็ญต่อไปได้ แต่ไม่ใช่เป็นขอทานไปตลอดกาลในอาณาจักรแห่งจิตวิญญาณ... Be Veg, Go Green 2 Save The Planet www.suprememastertv.com www.godsdirectcontact-thai.org
5 ตุลาคม 2556 22:10 น.

การถวายอันแท้จริงแด่พระเจ้า

คีตากะ

krishna2.jpg













อาจารย์เล่านิทาน
โดย ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่


         เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบูชาด้วยใจ การบูชาด้วยจิตใจหมายถึงผู้มีจิตศรัทธาหรือผู้ที่ปฏิบัติตามคำสอน ไม่ได้ใช้สิ่งของภายนอก เช่น ดอกไม้ เครื่องหอม กลอง ฆ้อง รูปปั้น รูปบูชาหรืออาหาร ฯลฯ เพื่อทำการสักการะบูชา
เธอคงจำอรชุนได้ใช่ไหม? เขาเป็นคนที่มีความศรัทธาในตัวท่านกฤษณะซึ่งมีเอ่ยถึงในภควัทคีตา อรชุนชอบแสดงการกราบไหว้บูชาพระเจ้าเป็นเวลานานและเป็นในลักษณะโอ้อวดด้วยวิธีการภายนอก เขามีห้องบูชาพระขนาดกว้างใหญ่ ตกแต่งด้วยดวงไฟจำนวนนับไม่ถ้วน ภาชนะที่ใช้ในพิธีบูชาของเขาก็ทำด้วยทองและเงิน เขาใช้เวลาในการทำพิธีสักการะบูชาพระศิวะครั้งละหลายๆ ชั่วโมง เขาจะนั่งอยู่นานหลายชั่วโมงและนำดอกไม้จำนวนมากเป็นเกวียนๆ มาโยนถวายสักการะต่อรูปของพระศิวะ เธอคงรู้จักพระศิวะนะ ท่านเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งในศาสนาฮินดูซึ่งมีพระพรหม พระวิษณุและพระศิวะ พระศิวะนั้นเป็นเทพเจ้าแห่งการทำลาย แต่จริงๆ แล้วท่านทำลายเฉพาะความชั่วช้า ไม่ได้ทำลายคนดีๆ

มีน้องชายของอรชุนคนหนึ่งชื่อว่า ภีมะ เขาไม่เคยนั่งกราบไหว้บูชาใครเลย ไม่เคยไปวัดไปวา เขามักจะมาที่เหมี่ยวลี่เสมอ (คนหัวเราะและปรบมือ) เขาจะหลับตาลงสักสองสามนาทีก่อนรับประทานอาหาร เพียงแค่สองสามนาทีเท่านั้นก่อนกินอาหาร เพื่อทำการคารวะต่อพระเจ้าอยู่ในใจ บางทีเขาอาจจะถวายอาหาร หรือท่องคำพระหรืออะไรทำนองนั้นก็เป็นได้
อรชุนนั้นคิดว่าตนเองเป็นผู้มีความศรัทธาต่อพระเจ้ามาก รวมทั้งเป็นผู้เคร่งครัดและอุทิศตนต่อศาสนา และคิดว่าน้องชายของเขาไม่มีความอุทิศตนเลย ดังนั้นเขาจึงดูถูกดูแคลนน้องชายของเขามาก (มีเสียงหัวเราะ) ท่านกฤษณะก็ได้ล่วงรู้ถึงท่าทีของอรชุนและต้องการจะสอนบทเรียนให้เขาได้เรียนรู้อะไรบ้าง จึงเสนอให้อรชุนเดินทางไปยังเขาไกรลาศซึ่งเป็นที่อยู่ของพระศิวะ
เมื่อท่านกฤษณะและอรชุนเดินทางมาด้วยกัน ในระหว่างทางนั้นก็พบกับชายคนหนึ่งซึ่งกำลังลากเกวียนอันเต็มไปด้วยดอกไม้นานาชนิด อรชุนก็ถามชายผู้นั้นว่าจะนำดอกไม้ไปไหน แต่ชายผู้นั้นก็นิ่งเงียบและง่วนอยู่กับงานที่กำลังทำอย่างมีสมาธิสูงมาก ดังนั้นท่านกฤษณะจึงบอกอรชุนว่า "เราลองตามเขาไปดูให้รู้ด้วยตนเองดีกว่า" อรชุนก็ตกลง และทั้งสองคนก็ติดตามชายผู้นั้นไป และในที่สุดก็พบว่าเขานำดอกไม้ในเกวียนไปทิ้งที่กองดอกไม้กองใหญ่มหึมา ขนาดเท่าๆ กับเนินเขาในศูนย์ซีหูนี่แหละ และพวกเขายังเห็นเกวียนบรรทุกดอกไม้อีกหลายร้อยเกวียนกำลังมุ่งหน้ามาที่จุดเดียวกันนำดอกไม้มาทิ้งไว้ที่นั่น กลายเป็นภูเขาลูกใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยดอกไม้สดกองอยู่ตรงนั้น
อรชุนจึงยิ่งเกิดความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นจนอดรนทนไม่ได้ ถามชายเหล่านั้นอีกว่า "ช่วยกรุณาบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าดอกไม้จำนวนหลายเกวียนนี่มาจากไหนกัน?" แต่ก็ไม่มีใครสนใจตอบคำถาม อรชุนจึงถามซ้ำแล้วซ้ำอีก จนในที่สุดชายผู้หนึ่งก็ตอบว่า "ท่านที่เคารพ กรุณาอย่ามารบกวนเราเลย เรากำลังทำงานยุ่งมาก เราไม่มีเวลาพูดคุยกับใครหรอก เราเพิ่งจะนำดอกไม้มาวางไว้ที่นี่ได้เพียง 750 เกวียนเท่านั้น ยังมีอีกมากกว่า 750 เกวียนอยู่ในวัด ดอกไม้เหล่านี้มาจาก ภีมะ ลูกชายของปานดู ซึ่งทำการสักการะเทพเจ้าของเราเมื่อวานนี้"
หมายความว่าดอกไม้ขนาดเท่าภูเขามหึมานี้เป็นเพียงครึ่งเดียวของที่เขาจะต้องช่วยกันขนมา ยังมีอีกครึ่งหนึ่งกองอยู่ในวัด และดอกไม้เหล่านี้มาจากภีมะที่เป็นน้องชายของอรชุนซึ่งตามที่ปรากฏให้เห็นเป็นคนที่ขี้เกียจ ไม่เคยไปวัด ไม่เคยกราบไหว้บูชาเทพเจ้าที่ไหนเลย ไม่เคยทำอะไรเลย ไม่เคยหาดอกไม้หรือเครื่องหอมมาถวายพระ เป็นคนที่อรชุนดูถูกมาตลอดว่าเป็นบุคคลไร้ประโยชน์ ไม่นับถือพระเจ้า ไม่มีความศรัทธาในพระเจ้า
"ตอนนี้เราเหลือเวลาอีกไม่ถึง 4 ชั่วโมงก่อนที่เขาจะทำการสักการะบูชาในวันนี้ และพวกเราต้องเอาดอกไม้ออกมาให้หมดก่อนจะถึงเวลานั้น ทุกๆ วันที่เขาทำการสักการะบูชาเทพเจ้า จะมีดอกไม้เป็นจำนวนเท่าภูเขา" ดังนั้นคนเหล่านั้นจึงต้องโกยดอกไม้ออกมาทุกวัน เพราะมีดอกไม้จำนวนมากมายเหลือเกินจากการสักการะบูชาของเขา
อรชุนรู้สึกงุนงงประหลาดใจมากจึงถามขึ้นว่า "นี่คุณกำลังพูดถึงภีมะหรืออรชุนกันแน่? คุณแน่ใจหรือว่าคุณจำไม่ผิด? คุณหมายถึงอรชุนใช่ไหม? อรชุนแน่ๆ ไม่ใช่ภีมะหรอก!? นี่คุณ ลองคิดดูซิ คิดดูให้ดี คุณต้องจำผิดแน่ๆ คนนั้นเขาชื่ออรชุน อรชุน อ-ร-ชุ-น ต้องเป็นชื่อนี้แน่ๆ" ชายผู้นั้นจึงตอบว่า "วู๊! อย่าไปพูดถึงอรชุนเลย ไม่ใช่ๆ ไม่ๆๆ ไม่ใช่ของอรชุน ไม่ใช่เลย มันเป็นของภีมะ คนที่กราบไหว้สักการะด้วยความศรัทธาอันแรงกล้า ไม่ใช่พี่ชายของเขาที่ชื่ออรชุน คนๆ นี้เพียงแค่แสดงท่าทางกราบไหว้บูชาแต่เพียงภายนอกเท่านั้น"
และในตอนนั้นเองก็มีชายอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาถึงพร้อมกับดอกไม้ตะกร้าหนึ่ง ท่านกฤษณะจึงถามชายผู้นั้นอย่างจงใจ ไม่ใช่ว่าท่านไม่รู้ "อา เพื่อนรัก ดอกไม้เหล่านี้เป็นของถวายของใครกัน?" พวกเธอคงรู้คำตอบแล้วนะ ชายผู้นั้นก็ตอบว่า "เป็นของถวายจากคนบนโลกคนหนึ่งซึ่งเป็นพวกที่ชอบโอ้อวดภายนอก เขาชื่ออรชุน (คนหัวเราะ) คนนี้เขาชอบแสดงท่าทางกราบไหว้บูชาโดยไม่ได้มีความรักความอุทิศตนอย่างแท้จริง" จึงมีดอกไม้ตะกร้าเดียว แต่เขากลับพูดถึงมันมากเหลือเกิน
อรชุนก้มศีรษะลงต่ำด้วยความอับอายและกล่าวแก่ท่านกฤษณะว่า "โอ ท่านกฤษณะ ชิงไห่อู๋ซั่งซือ (คนหัวเราะ) ทำไมท่านต้องนำฉันมาที่นี่ด้วย? เราไปจากที่นี่เร็วๆ เถอะ ท่านน่าจะชี้ข้อบกพร่องของฉัน การหลอกตัวเองของฉัน การชอบแสร้งทำและโอ้อวดภายนอกของฉันที่บ้านก็ได้ จะได้ไม่ต้องเสียเวลา เสียแรงมากขนาดนี้ ฉันยอมรับว่าฉันคิดว่าการกราบไหว้บูชาและความศรัทธาของฉันสูงส่งมาก และฉันยังดูถูกภีมะด้วย ฉันเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าการนั่งสมาธิเพียงชั่วเวลาสั้นๆ แต่ด้วยความอุทิศตนอย่างจริงใจของภีมะนั้นมีค่าสูงส่งกว่าการสักการะบูชาที่โอ้อวดทั้งหลายของฉันตลอดทั้งวัน" ท่านกฤษณะก็ยิ้มและนิ่งเงียบ
เพราะฉะนั้นพวกเธอคงรู้ว่าในสถานที่ของเรา ในวัดที่ไม่ใช่วัดของเรานี้ เราไม่ได้สนใจดอกไม้ เครื่องหอมหรือกลอง ฆ้อง อะไรทั้งสิ้น เราสนใจแต่ความจริงใจและความอุทิศตนภายใน นี่แหละคือเหตุผลที่ฉันบอกให้เธอตั้งใจนั่งสมาธิ ไม่จำเป็นต้องแสดงอะไรออกมาภายนอกมากมาย ไม่จำเป็นต้องมาก้มกราบฉันหรือพุทธะองค์ไหน ถ้าพวกเธอเห็นพุทธะภายใน เธออาจจะก้มกราบพุทธะเหล่านั้นก็ได้ ถ้าเธอต้องการจะทำ แต่พุทธะทั้งหลายไม่ได้หวังสิ่งเหล่านี้ พวกเขาหวังจะให้เธออุทิศตนต่อตนเอง เธอจะได้สามารถค้นพบธรรมชาติแห่งพุทธะและกลายเป็นพุทธะหรือเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ขอให้ค้นพบธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ของตนเอง ช่วยเหลือตนเองและสรรพสัตว์อื่นๆ อีกมากมาย นี่แหละคือสิ่งที่พุทธะหวังจากเรา...< /font> krishna_arjuna_conchshells.jpg Vishvarup.jpg Be Veg, Go Green 2 Save The Planet www.suprememastertv.com www.godsdirectcontact-thai.org
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ