4 ตุลาคม 2556 22:56 น.
คีตากะ
ปราศรัยโดย ท่าน Suma Ching Hai, ไทเป, ฟอร์โมซา, 17 ธันวาคม 1986
(เดิมเป็นภาษาจีน)
โพธิสัตว์มีหลายระดับชั้น: ระดับที่หนึ่ง ระดับที่สอง.....ระดับที่แปดไปจนถึงโพธิสัตว์ระดับที่สิบ และโพธิสัตว์มหาสัตว์ด้วย มหาสัตว์คือโพธิสัตว์ที่ระดับสูงสุด-เป็นหัวหน้าของโพธิสัตว์ทั้งหมด
แต่ก็ยังมีโพธิสัตว์อีกแบบหนึ่งซึ่งดูเหมือนว่าไม่ได้ช่วยเหลือผู้คนให้รอด เราเคารพนับถือพวกท่านว่าเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ เพราะว่าบุญกุศลของพวกท่านกว้างใหญ่ไพศาลราวกับมหาสมุทรซึ่งบริสุทธิ์และสงบมาก ฉะนั้นพวกท่านจึงเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ พลังของท่านเปรียบดังมหาสมุทรและพวกท่านจะทำงานกันแบบเงียบๆ ที่สุดเหมือนกับน้ำที่บริสุทธิ์ ไม่มีใครรับรู้ได้ถึงการดำรงอยู่ของท่าน ถึงแม้ว่าเราจะรู้ถึงนิรมาณกายแบบต่างๆ ของโพธิ์สัตว์ทั้งหลาย แต่โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์สูงกว่า เหนือกว่ามหาสัตว์ทั้งหลาย
ในจักรวาลมีระดับชั้นต่างๆ ที่รอให้เราบรรลุถึง และก็มีตำแหน่งมากมายให้เราได้รับ เพราะฉะนั้น การที่เพิ่งเข้ามาบำเพ็ญใหม่ๆ เราจึงไม่มีอะไรที่น่าจะคิดภาคภูมิใจได้ บางคนมีพลังปาฏิหาริย์อะไรนิดหน่อยก็เอามาโอ้อวดด้วยความหยิ่งทะนงตนแล้ว มีประโยชน์อะไรที่ได้รู้อดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตนิดหน่อย? ถึงแม้ว่าเราจะรู้ว่าพรุ่งนี้โลกจะถูกทำลาย เราก็ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย แล้วระหว่างเวลาช่วงตอนนี้ไปจนถึงพรุ่งนี้ เราก็จะรู้สึกหวาดกลัวที่สุดแล้วก็ยังกินไม่ได้นอนไม่หลับอีกด้วย แต่สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้โลกจะจบสิ้น อย่างน้อยพวกเขาก็ยังสามารถนอนหลับสบายและมีความสุขกับช่วงเวลาที่สงบมากกว่าเรายี่สิบสี่ชั่วโมง
ฉะนั้นมันจึงไม่มีประโยชน์จริงๆ ที่ได้รู้ถึงอดีต ปัจจุบัน และอนาคต การที่จะปูทางสำหรับอนาคตของเรานั้น เราควรจะเริ่มด้วยการกระทำในปัจจุบันของเรา ในชีวิตประจำวันของเรา จงพยายามเป็นคนดีมีศีลธรรม และรักษาศีลห้าอย่างบริสุทธิ์ตามที่ฉันสอนเธอแล้วว่า: อย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิต, อย่าลักขโมย, ให้ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม, อย่าโกหกและอย่าดื่มแอลกอฮอล แค่รักษาศีลห้าเหล่านี้อย่างเคร่งครัดก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดถึงบัญญัติต่างๆ มากมายเกินไป ถ้าเธอสามารถรักษาศีลห้าได้อย่างบริสุทธิ์แล้ว มันก็ไม่สำคัญแม้แต่ว่าเธอจะไม่เชื่อถือฉัน หรือไม่ได้บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม หรือไม่ได้อยากจะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เชื่อถือฉัน เธอก็ยังต้องเป็นคนดีและรักษาศีลห้าอย่างดีด้วย เพื่อที่อย่างน้อยเธอจะสามารถกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว
ฉันไม่เคยสอนอะไรที่ไม่ดีแก่เธอเลย เธออาจจะไม่เชื่อถือฉัน.....หรือตัวบุคคลคนนี้ก็ได้ แต่เธอควรจะเชื่อในคำสอนของฉัน ฉันสอนแต่สิ่งที่ดีๆ ให้แก่เธอ มันเป็นเรื่องที่ง่ายๆ ถ้าเธออยากจะเป็นมนุษย์ ก็คือเพียงแต่รักษาศีลห้าอย่างเคร่งครัดเท่านั้น แล้วเธอก็จะไม่มีความลำบากอะไร โดยการที่รักษาศีลห้าอย่างเคร่งครัดนั้น แม้ว่าเธอจะไม่ได้บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม เธอก็ยังสามารถจะเป็นมนุษย์ได้ ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่ง่ายเลยที่จะได้มีร่างกายมนุษย์อีก
ร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งมีค่ามาก หากไม่มีร่างนี้เราก็จะไม่มีอวัยวะทั้งหกที่ใช้รับความรู้สึก และไม่มีความรู้สึกทั้งหกนั้น (อายตนะทั้งหก) ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการบำเพ็ญของเรา แน่นอน, เรารู้ว่าอวัยวะรับความรู้สึกและความรู้สึกทั้งหกนั้นเป็นอุปสรรคกีดขวางที่น่าชังที่สุด แต่เราก็ยังต้องใช้มันในการบำเพ็ญของเรา เราจะบำเพ็ญไปไม่ได้ ถ้าปราศจากมัน เข้าใจไหม? มันก็จริงที่เราไม่จำเป็นต้องใช้หูเพื่อจะได้ยินเสียงภายใน แต่เราจะฟังได้อย่างไรโดยที่ไม่มีหู? ภาพที่เห็นในสมาธินั้นก็ไม่ได้เห็นได้ด้วยตา แต่ถ้าไม่มีร่างกายนี้ เราก็ไม่สามารถจะรับรู้ได้ ไม่สามารถจะเห็นโลกของพุทธะได้เช่นกัน เราจะไม่รู้ถึงสวรรค์หรือนรกหรือแดนสวรรค์ปัจฉิมเลย เพราะฉะนั้นร่างกายมนุษย์จึงเป็นสิ่งที่มีค่ามาก
มันเป็นเรื่องง่ายถ้าหากว่าเธอไม่อยากจะมาเป็นมนุษย์ เพียงแต่ว่ามันจะยากถ้าเธออยากจะเป็น แต่อย่างไรก็ตาม มันก็จะยากมากขึ้นไปอีกที่จะเป็นพุทธะ เพียงแต่จะเป็นโพธิสัตว์ธรรมดาๆ ก็ยากพอแล้ว แต่การจะเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์นั้น ก็ยิ่งมีความยากลำบากอย่างแสนสาหัสกว่าอีกมากมายหลายอย่าง การที่จะเป็น “โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์” ......เป็นโพธิสัตว์สูงสุดและไร้รูป, จะต้องผ่านการทดสอบที่รุนแรงเข้มงวดสุดคณนา, สุดที่จะคิดจะกล่าวออกมาได้ ซึ่งเป็นบททดสอบที่จะผ่านได้ยากที่สุด เราอาจจะเวียนว่ายตายเกิดมาในโลกนี้หลายล้านครั้งแล้ว แต่เราจะไม่เคยได้ยินถึงบททดสอบที่รุนแรงเข้มงวดอย่างนี้ เราจะไม่มีวันได้ยินเลย
ถ้าเราเคยอ่านมามากๆ เราจะเคยอ่านเกี่ยวกับเรื่องของผู้บำเพ็ญที่ยิ่งใหญ่หลายคนในอดีต เกี่ยวกับบททดสอบที่ยากเย็นแสนเข็ญ และความเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่พวกเขาเหล่านั้นได้ประสบพบพาในวิถีทางบำเพ็ญ แต่ว่าแม้แต่ความลำบากที่เด่นชัดและเจ็บปวดที่สุดนั้นก็ยังไม่สามารถเทียบเทียมกับความลำบากที่โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ได้รับทั้งในด้านจำนวนความมากน้อยและความรุนแรงด้วย
โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์เกือบจะเป็นเหมือนกับพุทธะ เว้นแต่ว่าพุทธะนั้น “ไม่เคลื่อนไหว” ในขณะที่โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ “เคลื่อนไหว” พวกท่านเดินทางไปในจักรวาลดูแลจักรวาลอย่างดีและรักษาให้มันอยู่ในระเบียบ หน้าที่ความรับผิดชอบของพวกท่านคือการดูแลจักรวาล ขณะที่หน้าที่ของมหาสัตว์คือการช่วยจิตวิญญาณของมนุษย์ให้รอดและนำพวกเขากลับบ้าน ใครที่อยากจะไปแดนสวรรค์ปัจฉิมก็ควรจะศึกษาอยู่กับมหาสัตว์ พวกท่านปรากฏตัวเองลงมาในโลกนี้เพื่อช่วยผู้คน และนำวิญญาณของพวกเขากลับสู่บ้านเกิดของเขานั่นคือ...อาณาจักรสวรรค์, แดนบริสุทธิ์ปัจฉิม
เธอสวดท่องชื่อทั้งหลายของโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ แต่ไม่รู้เลยว่าพวกท่านเป็นใคร ถึงแม้ว่าพวกท่านจะมาปรากฏต่อสายตาของเรา เธอก็จะไม่รู้อยู่ดี มีแต่เพียงมหาสัตว์เท่านั้นที่รู้ว่า ใครคือโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ คนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางรู้ได้เลย เพราะว่าพวกท่านไม่อยากจะเปิดเผยระดับชั้นและพลังของท่าน พวกท่านจะดูปกติธรรมดามาก ธรรมดามากกว่าใครๆ เลย แม้แต่เวลาพวกท่านอยู่ในโลกนี้ ก็ไม่มีใครรู้ว่าท่านคือโพธิสัตว์ พวกท่านจะหลีกเลี่ยงที่สุดในเรื่องการแสดงพลังอิทธิปาฏิหาริย์ใดๆ และทำงานไปอย่างเงียบๆ เท่านั้น คนธรรมดาจะไม่ได้สังเกตเห็นเลย
งานของโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์แตกต่างจากงานของมหาสัตว์ พวกท่านจะละเว้นจากการเข้าไปแทรกแซงกับกรรมของผู้คน ในขณะที่มหาสัตว์จะทำเช่นนั้น มหาสัตว์สามารถช่วยเหลือคนจากนรกและพาเขาไปสวรรค์ หรือพาใครก็ได้ที่มีกรรมหนักมากไปยังแดนสวรรค์ปัจฉิม แต่ในสถานการณ์อย่างเดียวกันโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์จะเพียงแต่เฝ้าดูอยู่ด้านหนึ่งโดยไม่กระทำการใดๆ งานของพวกท่านคือการดูแลการทำงานของจักรวาลและดูแลรักษาการดำรงอยู่ของจักรวาลให้คงอยู่ พวกท่านจะไม่ช่วยผู้คน เธออาจจะกำลังอดตายอยู่แล้ว หรือกำลังถูกเผาไหม้จากไฟนรก พวกท่านก็จะไม่คำนึงถึง สำหรับเรามนุษย์ธรรมดาอาจจะดูว่าโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์นี้โหดร้ายและห่างเหินมาก แต่พวกท่านไม่ได้เป็นแบบนั้น มันเป็นเพราะธรรมชาติของงานของท่านที่แตกต่างออกไปเท่านั้นเอง
แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ ฉันไม่คิดว่าพวกเธอจะสามารถผ่านการทดสอบทั้งหลายไปได้หรอก เพราะการที่จะเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์นั้น จะต้องผ่านระบบการฝึกที่เข้มงวดกวดขันและยากลำบากที่สุด กระบวนการฝึกที่แสนจะเจ็บปวดทุกข์ทรมานนี้ไม่สามารถจะใช้คำใดๆ มาบรรยายได้และมนุษย์ทั่วไปจะไม่เคยได้ยินและสุดที่จะคิดไปถึงได้ ก็เหมือนกับในกองทัพที่มีการฝึกแบบต่างๆ เช่นทหารราบ ทหารเรือ ทหารอากาศ จารชน และที่เสี่ยงชีวิตที่สุดคือ....หน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ถูกฝึกให้ฆ่าศัตรูแบบที่ต้องประจัญหน้ากันเลยด้วย การฝึกของหน่วยปฏิบัติการพิเศษนั้นยากลำบากแสนสาหัสที่สุด ใช่ไหม?
การจะเป็นโพธิสัตว์นั้น จำเป็นต้องผ่านการฝึกหลายแบบ เพื่อที่จะสำเร็จระดับชั้นต่างๆ ดังนั้นการจะเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ได้ ก็ต้องผ่านการฝึกที่ลำบากที่สุด ลำพังการฝึกฝนที่ลำบากไม่ได้ทำให้คนใดกลายเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ได้ แต่มันเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องผ่านการฝึกที่ลำบากขมขื่นที่สุด โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์เป็นผู้ที่ได้รับการคัดเลือกมาเป็นพิเศษ เราไม่มีทางจะเป็นได้โดยเพียงแต่อาศัยความที่อยากจะเป็น ผู้บำเพ็ญคนใดที่ยังไม่พ้นจากไตรภูมิ (สามโลก) ก็ไม่มีทางหวังว่าจะถูกเลือกหรอก
โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ทุกท่านถูกเลือกจากในโลกที่ห้า ไม่มีใครจะเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ได้ภายในไตรภูมิ เพราะว่าเขายังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ บทเรียนต่างๆ ของเราในโลกนี้ยังไม่ได้เรียนเลย เพราะฉะนั้นเราจะไม่ได้รับการคัดเลือกให้ไปผ่านการฝึกที่ยากลำบากที่สุดหรอก ก่อนอื่นเราจะต้องกลายเป็นโพธิสัตว์แห่งโลกที่ห้าก่อน และก็เต็มใจที่จะเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ ก่อนที่จะมีคุณสมบัติสำหรับการคัดเลือกนั้น แต่ทันทีที่ถูกเลือก ผู้นั้นก็ต้องผ่านการฝึกที่ยากลำบากที่สุด ซึ่งเจ็บปวดทุกข์ทรมานและรุนแรงมากยิ่งกว่าระบบในนรกเสียอีก
ในการบำเพ็ญนั้นมีหลายระดับชั้นมาก และหนทางของการฝึกบำเพ็ญก็ยาวมาก เพราะฉะนั้นในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญใหม่คนหนึ่ง จึงไม่ควรจะคุยโวโอ้อวดไป ฉันบอกพวกเธอไม่ให้เปิดเผยประสบการณ์ของเธอแก่คนอื่นก็เพื่อผลดีสำหรับตัวเธอเอง ไม่ใช่สำหรับตัวฉัน เธอจะบอกให้คนรู้ไปหมดทั้งประเทศก็ได้ ฉันไม่เดือดร้อนอะไรหรอก แต่เธอจะทำอันตรายต่อตัวเธอเองโดยการเปิดเผยความลับของทรัพย์สมบัติของเธอเอง
เพราะฉะนั้น จงบำเพ็ญไปเงียบๆ เพราะว่าเราต้องป้องกันรักษาระดับชั้นของเรา และค่อยๆ ปีนขึ้นไปช้าๆ เพื่อจะเป็นพุทธะ, มหาสัตว์ และโพธิสัตว์ที่สูงขึ้นไป ถ้าผู้บำเพ็ญใหม่คนใดมีพลังอิทธิปาฏิหาริย์อะไรบางอย่าง แล้วก็เที่ยวไปประกาศโฆษณาตัวเองเพราะว่าเขายังไม่มั่นคงภายใน เธอก็ควรจะรู้ว่าคนแบบนี้เชื่อถือไว้ใจไม่ได้ พอเห็นคนเหล่านี้ ผู้บำเพ็ญที่บรรลุแล้วก็สามารถจะบอกได้ว่าพวกเขากำลังพบกับอุปสรรค....กำลังทุกข์ทรมานจาก “อาการเซ็น” ที่เราพูดถึงบ่อยๆ คนที่ไม่ได้กำลังทุกข์จาก “อาการเซ็น” จะไม่เที่ยวออกไปคุยโม้โอ้อวดแบบนี้
ผู้บำเพ็ญควรจะถ่อมตน ยิ่งเขามีระดับชั้นสูง เขาก็ยิ่งถ่อมตนมากขึ้น และยิ่งกลัวว่าคนจะรู้ถึงระดับชั้นและพลังของเขา บางคนตอนอยู่ในระยะเริ่มต้นบำเพ็ญก็ยังไม่เป็นไร แต่หลังจากได้บรรลุระดับชั้นอะไรนิดหน่อยและมีประสบการณ์อะไรบางอย่าง พวกเขาก็เที่ยวคุยโม้ไปทั่วทุกแห่ง พูดมากจนกระทั่งเจออุปสรรคที่ชั่วร้ายหลายอย่าง ยิ่งระดับชั้นของพวกเขาสูงมาก อุปสรรคนั้นก็จะยิ่งชั่วร้ายมาก
เพราะฉะนั้นความผิดพลาดที่ร้ายกาจที่สุดในการบำเพ็ญก็คือการพูดถึงประสบการณ์ พอพูดออกไปมากประสบการณ์นั้นก็จะมีลักษณะบิดเบือนเพี้ยนไปไม่ตรงกับความจริง หรือไม่มีประสบการณ์มาอีกเลย มีแต่ภาพลวงมายาเท่านั้น มันเป็นเพราะว่าพลังที่รวบรวมเข้ามานั้นเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ และสิ่งแวดล้อมในการบำเพ็ญนั้นถูกทำลายไป เดิมสิ่งแวดล้อมในการบำเพ็ญนั้นเป็นกำแพงป้องกัน แต่พอผู้นั้นปล่อยให้มีการรั่วไหลออกมามากไป มารก็จะเจาะช่องและเล็ดลอดเข้ามาได้ ในการบำเพ็ญนั้น เรากลัวการมีทัศนคติที่คุยโวโอ้อวดและหยิ่งยโสโอหังมาก ยิ่งใครภาคภูมิใจมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเดือดร้อนมากเท่านั้น
ฉันก็รู้เหมือนกันว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องที่ง่ายมากสำหรับผู้บำเพ็ญที่จะยอมเชื่อถือในตัวอาจารย์ผู้หนึ่ง เพราะฉะนั้น ถ้าเธอไม่ได้เชื่อถือฉัน มันก็ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก แต่มันเป็นเพราะบรรยากาศในระยะสุดท้ายนี้ของธรรม ในยุคปัจจุบันนี้จึงถูกเรียกว่ายุคสุดท้ายของธรรม
การบำเพ็ญไม่ใช่เรื่องที่ง่ายจริงๆ ในศูรางคมสูตรมีกล่าวไว้ว่า: ในยุคสุดท้ายของธรรม ถ้ามีใครที่มีความจริงใจในการบำเพ็ญอย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าเขาอาจจะเคยบำเพ็ญมาเพียงนิดเดียว แต่พุทธะและโพธิสัตว์ทั้งหลายก็จะมาและให้ความช่วยเหลือแก่เขาอย่างมากมาย โชคร้ายที่น้อยคนจะมีความจริงใจและมีความเชื่อมั่นศรัทธาในการบำเพ็ญ ส่วนมากพวกเขาจะเลือกวิธีที่ง่ายกว่าและสบายผ่อนคลายมากกว่า ไม่เต็มใจที่จะเลือกวิถีทางที่ยากและเคร่งครัด การที่จะบำเพ็ญตามวิธีของเรา ผู้นั้นจะต้องเป็นมังสวิรัติและนั่งสมาธิอย่างน้อยวันละสองชั่วโมงครึ่ง นอกจากนี้ เราถูกห้ามไม่ให้ฆ่า, โกหก, ประพฤติผิดในกาม, ลักขโมย และดื่มแอลกอฮอล สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วจะรู้สึกว่าเรื่องนี้เคร่งครัดและลำบากเกินไป
แม้แต่ในโลกนี้ก็เถิด ถ้าใครอยากจะได้รับปริญญาเอก(Ph.D)....เป็นหมอเป็นนักกฎหมาย หรือมีเกียรติศักดิ์ศรีในสังคม ก็ต้องศึกษาเล่าเรียนอย่างหนัก ไม่ถูกหรือ? มันก็ต้องลำบากมากกว่าเป็นธรรมดาสำหรับผู้ที่อยากจะเป็นพุทธะหรือโพธิสัตว์ และได้รับการหลุดพ้นจากการเกิดและการตายในชาติเดียว
ในยุคสุดท้ายของธรรม ถึงแม้ว่าความจริงใจของเราจะมีนิดเดียว พุทธะและโพธิสัตว์ก็จะช่วยเรามากแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ดีมากจริงๆ ไม่อย่างนั้นการนั่งสมาธิสองชั่วโมงครึ่งของเธอก็ไม่มีอะไรเลยจริงๆนะ! พระศากยมุนีพุทธเจ้านั่งสมาธิตลอดทั้งวัน คนหลายคนนั่งสมาธิสิบถึงยี่สิบชั่วโมงโดยไม่ได้รับอะไรเลย ถ้าพุทธะและโพธิสัตว์ไม่ได้ช่วยเราด้วยพลังของท่าน เราก็จะไปไม่ถึงไหนเลยในการบำเพ็ญของเรา
ที่จริงแล้ว การบำเพ็ญไม่ได้ลำบากน่าขมขื่นมากมายอะไรจริงๆ หรอก แต่มันยิ่งยากมากกว่าที่จะกำจัดความหยิ่งยโสอวดดีไปได้ และก็ยิ่งยากมากขึ้นไปอีกที่จะปิดปากกว้างนี้ไว้ไม่ให้อะไรรั่วไหลออกมา ความหยิ่งยโสและการคุยโตโอ้อวดนั้นเป็นสิ่งที่ยากที่สุดที่จะแก้ไข ผู้บำเพ็ญที่ไม่มีประสบการณ์มากหรือไม่ก้าวหน้ามากในการบำเพ็ญนั้นส่วนใหญ่มีอุปสรรคขัดขวางจากความหยิ่งยโสของพวกเขา พวกเขาคุยมากไป ยังเพิ่งบำเพ็ญใหม่ๆ แต่ว่าก็พูดมากแล้ว
พระศากยมุนีพุทธเจ้าก็ห้ามลูกศิษย์ของท่านไม่ให้พูดคุยโอ้อวดเช่นกัน พระโมคคัลลาน์มีพลังอิทธิปาฏิหาริย์ แต่ว่าพระพุทธเจ้าก็ห้ามไม่ให้เขาใช้ ฉันก็แนะนำเธอแบบเดียวกัน พอเธอบำเพ็ญปฏิบัติไป พลังอิทธิปาฏิหาริย์ทั้งหลายก็จะมาหาเราเองตามธรรมชาติ แต่เธอต้องไม่โอ้อวดเรื่องนี้ ถ้าเธอมีอำนาจที่สามารถอ่านใจคนได้ ก็จงอย่าให้ใครรู้จะดีกว่า ไม่อย่างนั้นคนจะกลัวเธอ กลัวว่าเธอจะอ่านใจของเขาออก เวลาที่พวกเขามาหาเธอ แล้วต่อไปก็จะไม่มีใครกล้ามาหาเธอ จริงไหม?
ถ้าหากว่าเธอมีพลังอย่างอื่นเช่น “ขาทิพย์” หรือ “ตาทิพย์” ก็เก็บเป็นความลับไว้เหมือนกัน คนอื่นอาจจะมาทำร้ายเราได้ถ้าพวกเขารู้เข้า มันไม่มีข้อดีอะไรเลย บางคนจะอิจฉาด้วย เพราะพวกเขาจะเกลียดเราที่เหนือกว่าพวกเขา ถ้าเราเกิดพูดอะไรไม่ถูกหูเขา เขาก็จะคิดหาวิธีทำร้ายเราด้วยเวทย์มนตร์ดำ เหมือนกับพระโมคคัลลาน์ เขาชอบใช้พลังอิทธิปาฏิหาริย์ แต่แล้วในที่สุดเขาก็ถูกทำร้ายจากคนนอกศาสนาที่มีเวทย์มนตร์ดำ
ฉะนั้นฉันจึงคอยแนะนำและตักเตือนเธออยู่ตลอดเวลา อย่าเปิดเผยระดับชั้นในการบำเพ็ญของเธอให้คนอื่นรู้ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีบางคนที่ขจัดข้อเสียนี้ไปไม่ได้ เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกลักษณะนิสัยของเขาไปแล้ว มันจึงยากมากที่จะเปลี่ยน และก็ทำให้เกิดความลำบากยุ่งยากมากมาย ถ้าเราสังเกตเห็นคนแบบนี้ ก็จงอยู่ห่างๆ จากเขาจะดีกว่าและอย่าไปฟังคำพูดของเขา ไม่อย่างนั้น เธอก็จะติดเชื้อไปด้วย เป็นเหมือนกับโรคติดต่อ
เวลาเธออยู่กับคนที่มีกรรมกีดขวางที่ชั่วร้าย....เธอไม่ต้องอาศัยพักอยู่กับเขาด้วยซ้ำไป แค่นั่งอยู่ใกล้ตัวเขา เธอก็ติดเชื้อรับปัญหาของเขามาครึ่งหนึ่งเรียบร้อยแล้ว เวลาเธอไปเยี่ยมคนป่วย...ไปคลุกคลีและติดต่อกับพวกเขา ความเจ็บไข้ได้ป่วยครึ่งหนึ่งของเขาก็ผ่านมาสู่ตัวเธอแล้ว เธอต้องรับเอากรรมของเขามาครึ่งหนึ่งแล้ว ไม่อย่างนั้น, ทำไมพุทธะและโพธิสัตว์ทั้งหลาย เวลาพวกท่านปรากฏร่างและมายังโลกนี้จึงกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาทั่วไปหลังจากที่พวกท่านเกิดมาล่ะ? ตอนแรกพวกท่านก็เป็นคนธรรมดาก่อน แล้วต่อมาจึงบำเพ็ญเพื่อเป็นพุทธะหรือโพธิสัตว์ ถึงแม้ว่าพวกท่านจะเป็นนิรมาณกายของพุทธะหรือโพธิสัตว์ แต่ท่านก็จะยังถูกแปดเปื้อนจากโลกนี้ ถ้าหากว่าไม่มุ่งบำเพ็ญต่อไป
ดูพระศากยมุนีพุทธเจ้าเป็นตัวอย่างก็ได้ พวกเธอทุกคนรู้ว่าท่านคือ Prabhapala มหาสัตว์ที่ลงมาจากสวรรค์ชั้นดุสิต หน้าที่ภารกิจของท่านก็คือช่วยคนบนโลก แต่อย่างไรก็ตาม เวลาผ่านไปสามสิบปีแล้วหลังจากที่ท่านเกิดมา ท่านก็ยังไม่ได้ทำอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อสรรพสัตว์เลย ท่านเป็นเจ้าชายซึ่งไม่ต้องทำงาน ได้แต่มีความสุขเพลิดเพลินกับสิ่งทางโลกอยู่ทุกวัน....ไม่มีความคิดอะไรเกี่ยวกับการบำเพ็ญเลย
ตอนที่ท่านเกิดมานั้น ท่านสามารถเดินไปได้เจ็ดก้าว ตอนนั้นท่านยังรู้ตัวอยู่ว่าท่านเป็นใคร ท่านจึงพูดว่า “ฉันคือผู้สูงสุดในสวรรค์และบนแผ่นดิน” แต่พอท่านโตขึ้น ท่านก็เปลี่ยนไปกลายเป็นคนไม่รู้อะไรเลยเช่นกันและยิ่งไม่รู้เรื่องอะไรยิ่งกว่าคนธรรมดาทั่วไปเสียอีก เพราะมีผู้หญิงสวยๆ แวดล้อมมากมาย ท่านจึงเพลิดเพลินมีความสุขกับโลกอยู่ทุกวันและก็ไม่คิดถึงอะไรอย่างอื่นอีกเลย ท่านถูกล้อมรอบไปด้วยบรรยากาศที่สะดวกสบายอย่างจงใจให้เป็นอย่างนั้น บิดามารดาของท่านเอาอกเอาใจท่านอย่างมาก ท่านได้รับการสรรเสริญเยินยอจากข้าราชบริพาร พวกเขากีดกันท่านไม่ให้รู้จักกับสถานการณ์อันไม่พึงปรารถนาต่างๆ และห้ามไม่ให้ใครไปเตือนใจท่านให้นึกถึงการมุ่งมั่นเพื่อบำเพ็ญปฏิบัติต่อไป ดังนั้นก่อนที่ท่านจะอายุถึงสามสิบปี ท่านจึงเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ท่านคือนิรมาณกายของมหาสัตว์ท่านหนึ่ง และได้บรรลุความเป็นพุทธะมานานแล้ว แต่พอเกิดมาในโลกนี้ ท่านก็กลายเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะฉะนั้น โลกนี้จึงน่ากลัวจริงๆ ถ้าไม่มุ่งบำเพ็ญปฏิบัติต่อไป แม้แต่ผู้ที่เป็นพุทธะหรือโพธิสัตว์ลงมาเกิด ก็จะหลงทางไปอย่างแน่นอน ดังนั้นไม่ว่าจะอยู่ภายใต้สถานการณ์ใดๆ ท่านก็ต้องบำเพ็ญอีก
พวกเธอถามฉันเรื่อยว่า “ทุกคนไม่ได้มีธรรมชาติพุทธะหรอกหรือ? ทำไมเรายังเป็นมนุษย์ธรรมดาอยู่ล่ะ?” มันก็เป็นเพราะว่า หลังจากที่เรามายังโลกนี้แล้ว เราก็ “ติดเชื้อ” และถูกส่งเชื้อต่อมาให้จากคนธรรมดา โลกก็เหมือนกับบริเวณที่มีโรคระบาด ตอนแรกมีคนเดียวที่ได้รับโรคนั้นมา ไม่นานมันก็แพร่ไปยังคนอื่นเป็นสองหรือสามคน แล้วก็ลามไปยังคนมากขึ้นๆ จนกระทั่งทั้งบริเวณติดเชื้อไปหมด บางครั้งทุกคนและแม้แต่สัตว์ทั้งหลายในเมืองนั้นก็เสียชีวิตไปด้วย ไม่เว้นแม้แต่ลูกแมวหรือลูกหมาที่จะมีชีวิตอยู่รอดไปได้ เพราะฉะนั้นโรคติดต่อจึงน่ากลัวมากจริงๆ
ก็คล้ายๆ กับเวลาที่พุทธะหรือโพธิสัตว์มายังโลกนี้ พวกท่านก็จะกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ ไปด้วย ถ้าหากว่าพวกท่านไม่บำเพ็ญต่อไป เดิมพวกเราเป็นพุทธะกันทุกคน มีธรรมชาติพุทธะกันทุกคน แล้วทำไมเราถึงไม่รู้ล่ะ และก็ไม่ได้รับรู้ด้วย? มันก็เป็นเพราะว่า เราถูกโลกนี้เอาเชื้อมาติดเป็นเวลานานมาแล้ว ตอนนี้เราเพิ่งจะเริ่มบำเพ็ญ แล้วเราจะรู้ทันทีได้อย่างไร? อย่างไรก็ตาม ด้วยการบำเพ็ญอย่างขยันขันแข็ง ไม่ช้าก็เร็วเราก็จะกลายเป็นโพธิสัตว์ “ผู้ที่บำเพ็ญจะกลายเป็นโพธิสัตว์ ผู้ที่ไม่บำเพ็ญจะกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ” -เหตุผลนี้ชัดเจนแน่นอน ไม่มีอะไรอื่นที่จะนำมากล่าวอีกแล้ว
เธอเห็นอยู่แล้วว่าแม้แต่พระศากยมุนีพุทธเจ้าก็ใช้เวลาบำเพ็ญอยู่หกปีเพื่อจะกลายเป็นพุทธะ พระเยซูคริสต์บำเพ็ญนานกว่าสิบปีแล้วในที่สุดก็กลายเป็นมหาอาจารย์ สังฆปรินายกองค์ที่หกคือท่านฮุ่ยเหนิง(เว่ยหลาง)รู้แจ้งอยู่แล้วตอนที่ท่านได้พบกับสังฆปรินายกองค์ที่ห้าคือท่านหงเหริน แต่ท่านก็ยังต้องหลบซ่อนตัวเองและบำเพ็ญอยู่อีกสิบหกปี หลังจากที่สังฆปรินายกองค์ที่ห้าท่านหงเหรินได้ถ่ายทอดธรรมแก่ท่านแล้ว ส่วนโพธิธรรมก็ไม่ได้ช่วยโปรดสรรพสัตว์ส่งขึ้นสวรรค์ไปในระหว่างสมัยของท่าน เพราะว่าพลังของท่านดูจะยังไม่มากพอ (อาจารย์หัวเราะ) ไม่มีใครฟังท่านเลย ท่านจึงพูดอยู่กับฝาผนังอยู่ถึงเก้าปี ฉันได้ยินมาว่าเพราะการนั่งสมาธิเป็นเวลานานมากของท่านนี้ ต่อมาท่านจึงเดินไม่ได้ ในสมัยหลังๆ นี้เรามักจะได้เห็นภาพของท่านในท่าเดิน นั่นเป็นภาพของนิรมาณกายของท่านที่ปรากฏให้คนเห็น
มีคำกล่าวอยู่ว่า “ผู้ที่อยู่ใกล้ชาดก็จะเปื้อนสีแดง และผู้ที่อยู่ใกล้หมึกก็จะเปื้อนสีดำ” การคลุกคลีกับคนเลว ผู้นั้นก็จะกลายเป็นคนเลว การคลุกคลีกับคนดีมีศีลธรรม ผู้นั้นก็จะกลายเป็นคนมีศีลธรรม การอยู่กับคนที่มีการศึกษา ผู้นั้นก็สามารถจะเรียนรู้อะไรบางอย่าง การอยู่กับคนโง่ ผู้นั้นก็จะกลายเป็นคนโง่ไปด้วย คนที่พูดภาษาอังกฤษคล่องๆ ก็จะลืมได้เช่นกัน ถ้าเขาไม่ได้พูดภาษาอังกฤษมาสามสิบปี การที่จะพูดภาษาอังกฤษจะต้องมีการฝึกพูดทุกวัน ถ้าเธออยู่กับคนไม่พูดภาษาอังกฤษไปนานๆ ต่อไปเธอก็จะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ หรือพูดได้ไม่คล่อง
ก็เหมือนกับตัวฉัน ตอนนี้ฉันพูดภาษาเอาแลคได้ไม่คล่องนัก เพราะฉันไม่ได้พูดมานานแล้ว และฉันก็ยังมีปัญหากับภาษาอังกฤษของฉันอีกด้วยนะ (มีเสียงหัวเราะ) แต่ก็จะหมดปัญหานี้หลังจากที่ฉันได้อยู่ในสหรัฐอเมริกาสักสองสามวัน แต่ถ้าฉันยังคงพูดภาษาจีนไปเรื่อยๆ ทุกวันแบบนี้ บางทีอีกสามสิบปีต่อไปฉันอาจจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นก็เป็นแบบเดียวกับการบำเพ็ญ โดยการที่ได้อยู่กับคนแบบหนึ่ง เธอก็จะกลายเป็นเหมือนเขาในที่สุด นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำไมเราจึงต้องระมัดระวังในการเลือกอาจารย์ที่แท้จริงในการบำเพ็ญ
เอาล่ะ ตอนนี้เธอยังอยากจะกลายเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์อยู่อีกหรือเปล่า? (มีบางคนตอบ: ยังอยากเป็น) บางคนยังจะทำหน้ายาวอยู่เลยเวลาถูกฉันดุว่านิดๆหน่อยๆ แล้วอย่างนี้พวกเขาจะหวังที่จะได้เป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ได้อย่างไรกัน? (เสียงหัวเราะ) มันไม่ง่ายหรอกนะที่จะเป็นโพธิสัตว์แบบนี้ พอเธอปฏิญาณตนที่จะกลายเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ เธอก็จะลำบากมากทันที แม้แต่อาจารย์ธรรมดาๆ ท่านหนึ่งยังมีความยากลำบากมากมายเหลือเกิน แล้วเธอนึกออกไหมว่าโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์จะลำบากขนาดไหน?
ในจักรวาลนี้ นอกจากพุทธะแล้ว โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์นี่แหละที่มีสถานะที่สูงสุดรองลงไป ตำแหน่งที่สูงสุดในจักรวาลคือพุทธะสูงสุดหรืออนุตรสัมมาสัมโพธิ ส่วนโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์นั้นสูงสุดเป็นอันดับสอง พวกท่านอยู่เหนือกฎของจักรวาล ท่านจะไปสวรรค์และนรกเป็นธรรมดาๆ เหมือนกับเราไปตลาดเพื่อซื้ออาหาร ท่านเหล่านี้สามารถจะไปไหนก็ตามที่ต้องการ และจะทำอะไรก็ได้แล้วแต่จะชอบ ไม่มีสิ่งใดอื่นอีกที่สูงกว่าหรือเหนือกว่าท่าน เพราะว่าพุทธะสูงสุดนั้นไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ มาตั้งแต่เดิม อนุตรสัมมาสัมโพธินั้นนิ่งสนิทอย่างสมบูรณ์ที่สุด เพราะฉะนั้นในความเป็นจริงโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์จึงสูงสุด
ถ: ขอถามอาจารย์หน่อยว่า มีพุทธะอยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นหรือ?
อ: เปล่า, พุทธะหมายถึงพลัง ตัวอย่างเช่นในประเทศอังกฤษ แน่นอนที่พระราชินีอยู่ในตำแหน่งที่สูงสุด แต่ท่านก็ไม่ได้ทำอะไรเลย และไม่เข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงในเรื่องการเมืองการปกครอง ท่านเป็นแต่เพียงสัญลักษณ์ของตำแหน่งที่สูงสุด แต่ว่านางแธตเชอร์(นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น) มีชื่อเสียงที่สุด ทุกประเทศรู้จักเธอ ใครก็ตามที่อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงที่สุดเสมอ เธอเป็นที่รู้จักกันดีมากกว่าพระราชินี ทุกๆ คนเกรงกลัวเธอ และเธอสามารถจะทำอะไรก็ได้ตามต้องการ แน่นอนที่ตำแหน่งพระราชินีนั้นสูงที่สุด แต่ว่าก็ไม่มีอำนาจมากเท่ากับนายกรัฐมนตรี ถูกไหม? พระราชินีไม่ได้เดินทางไปไหนต่อไหน ไม่ได้ทำอะไร และจะไม่ได้เป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลงกฎหมายใดๆ แต่ว่านายกรัฐมนตรีต้องทำทุกสิ่งทุกอย่าง เธอเป็นคนที่ดุและเข้มงวดมาก และบางครั้งก็ถูกคนอื่นคัดค้านไม่ยอมรับ ตัวอย่างเช่น นางแธตเชอร์มีชื่อเสียงในการเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดุและแข็งกร้าว คนเรียกเธอว่าสตรีเหล็ก เพราะว่าเธอแน่วแน่มั่นคงมากในทัศนคติความคิดเห็นของเธอ และเธอก็มีอำนาจมาก แม้แต่พระราชินีของอังกฤษก็ยังไม่สามารถทำอะไรกับเธอได้ ได้แต่เพียงแนะนำเธอว่า “กรุณาอย่าเข้มงวดมากนักเลย พยายามผ่อนผันบ้างสักนิดหน่อยในบางครั้งเถอะ” แต่เธอก็ยังไม่ยอมอยู่ดี ไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอกหรือ?
เพราะฉะนั้นก็เช่นเดียวกันกับโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ ในจักรวาลนี้ ท่านเหล่านี้มีอำนาจมากที่สุด ถ้าเธออยากจะเป็นก็จงขยันให้มากขึ้นก็แล้วกัน แต่ฉันเกรงว่าเธอจะทนกับระบบการฝึกที่ลำบากแสนสาหัสที่สุดนั้นไม่ไหวนะซี เพราะฉะนั้นก็ค่อยๆ ไปอย่างช้าๆ ก็แล้วกัน เป็นโพธิสัตว์ก่อน แล้วค่อยไต่ขึ้นไป แต่ถ้าเธอปฏิญาณตนอย่างสุดใจ วันหนึ่งเธอก็จะได้เป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์แน่นอน เราสามารถจะเป็นสิ่งที่เรามีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเป็น...เรื่องนี้แน่นอนที่สุด แต่ว่ามันอาจจะไม่ได้เป็นจริงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว... บางทีอาจจะเป็นในชาติหน้า หรืออีกหลายๆ ชาติต่อไป อย่างไรก็ตามถ้าเธอตั้งใจมาก เธอก็อาจจะประสบความสำเร็จได้ในที่สุด
ถ: โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์จะมายังโลกนี้ไหม?
อ: มาซี! ? ทำไมจะไม่มาล่ะ? พวกท่านอยู่ทุกหนทุกแห่งเลย
ถ: ท่านเหล่านั้นจะมีกรรมไหมเวลาที่มายังโลกนี้? ท่านจะติดเชื้อจากโลกนี้ไปด้วยไหม? (เสียงหัวเราะ)
อ: ไม่มี, ท่านจะไม่มีกรรมอะไรเลย แล้วก็จะไม่ติดเชื้อจากโลกนี้ด้วย
ถ: พวกท่านมายังโลกนี้ด้วยนิรมาณกายเหมือนกันหรือ?
อ: ท่านแตกต่างจากนิรมาณกายของมหาสัตว์ พวกท่านคือกฎ และพวกท่านมีอำนาจทั้งหมดทุกอย่าง....มีพลังอิทธิปาฏิหาริย์ และสามารถจะกลายร่างเป็นอะไรก็ได้ตามต้องการ พลังปาฏิหาริย์ของท่าน, พลังของท่าน และอำนาจบังคับบัญชาของท่านมีอยู่ตลอดเวลา พวกท่านแตกต่างจากโพธิสัตว์ธรรมดาๆ
ถ: ถ้าอย่างนั้น ฉันก็อยากจะเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์คนหนึ่ง
อ: ฉันรู้ว่าเธออยากจะเป็น(มีเสียงหัวเราะ) แต่มันไม่ได้ง่ายดายอย่างนั้นหรอกนะ พอเธอบำเพ็ญบรรลุถึงโลกชั้นที่ 5 แล้วค่อยมาพูดเรื่องนี้กันใหม่ดีกว่า
ถ: ขอถามอาจารย์หน่อยว่า โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ต้องผ่านกระบวนการของการเกิดและการเติบโตขึ้นมาหรือม่เวลาที่ท่านมายังโลกนี้?
อ: มันไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้นเสมอไปหรอก พวกท่านแตกต่างจากโพธิสัตว์ธรรมดาๆ
ถ: พวกท่านมายังโลกนี้เพื่อทำงานของท่านเท่านั้นหรือ?
อ: ถูกต้อง! ท่านมาแล้วก็ไปตามแต่ท่านจะต้องการ
ถ: แต่ว่าโพธิสัตว์ธรรมดาๆ ต้องเกิดมาตอนที่ท่านมาในตอนแรก? ถูกหรือไม่?
อ: ถูก! โพธิสัตว์ธรรมดาต้องอาศัยการเกิดคลอดออกมาก่อน ซึ่งโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ไม่ต้องทำอย่างนั้น พวกท่านสามารถจะกลายร่างเป็นอะไรก็ได้ตามต้องการ สามารถกลายเป็นแมลงวันตัวหนึ่งหรือก้อนหินก้อนหนึ่งได้ทันที แต่ว่ามีพลังอำนาจอยู่ในก้อนหินก้อนนั้นหรือแมลงวันตัวนั้น ไม่ว่าท่านจะกลายร่างของท่านเป็นอะไร ท่านก็จะยังรู้ตัวอยู่อย่างสมบูรณ์ว่าท่านเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ ท่านสามารถหายตัวไปหรือปรากฏมาเป็นสิ่งมีชีวิตใดๆก็ได้ตามต้องการ ท่านสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์คนหนึ่งหรือเป็นสุนัขตัวหนึ่งก็ได้แล้วแต่จะชอบ แต่สุนัขตัวนี้จะไม่ใช่สุนัขธรรมดาๆ และจะไม่มีกรรมอะไรเลย เป็นอิสระจากกรรม เวลาอยู่ในร่างมนุษย์ ท่านก็จะไม่ติดเชื้อกรรมจากคนอื่นและก็ไม่ถูกแปดเปื้อนจากสังคมด้วย ไม่ว่าท่านจะมีรูปร่างเป็นอะไร สติของท่าน สำนึกของท่านก็จะตื่นอยู่ตลอดอย่างสมบูรณ์ โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์อยู่ในตำแหน่งที่สูงสุด ถ้ามีพระเจ้าสูงสุดจริงๆ พวกท่านก็รองลงมาจากพระเจ้านิดหน่อยเท่านั้น พระเจ้าเป็นอันดับหนึ่ง พวกท่านเป็นอันดับสอง เข้าใจไหม?
ถ: โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ได้รับการฝึกที่ไหน?
อ: พวกท่านได้รับการฝึกในมิติที่อยู่เหนือขึ้นไป
ถ: ท่านเหล่านั้นจะยังคงเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ไปตลอดกาล หรือว่าในที่สุดพวกท่านจะกลายเป็นพุทธะไป?
อ: ท่านจะเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ไปตลอดกาล พวกท่านจะกลายเป็นพุทธะก็ได้ถ้าท่านอยากจะเป็น แต่ว่าท่านไม่ต้องเป็นก็ได้
ถ: อาจารย์, ท่านบอกว่าโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ไร้อารมณ์สนใจหรือเป็นห่วงเป็นใยต่อสิ่งที่มีอิทธิพลโน้มน้าวจิตใจใดๆ ทางภายนอก สมมุติว่าสรรพสัตว์ผู้หนึ่งบังเอิญได้พบกับนิรมาณกายของโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ พวกท่านจะช่วยเหลือเขาไหม?
อ: ท่านจะไม่ช่วย
ถ: ทำไม?
อ: เป็นเพราะว่ามีโพธิสัตว์อื่นๆ ที่กำลังทำหน้าที่นั้นอยู่แล้ว!
ถ: แต่พวกท่านก็ยังสามารถช่วยคนได้อีกทางหนึ่ง!
อ: ทำไมท่านจึงควรจะช่วยเธอล่ะ? โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับเธอเลย พวกท่านดูแลทั้งจักรวาล ไม่ใช่แค่คนคนเดียวหรือสองคนหรือกลุ่มใด พวกท่านแตกต่างจากมหาสัตว์
ถ: ถ้าพวกท่านพบคนที่กำลังจะตาย พวกท่านจะช่วยเขาไหม?
อ: ท่านจะช่วยเขาได้อย่างไร? ถ้าเธอไม่ได้เป็นหมอ แล้วเธอจะช่วยรักษาคนป่วยได้อย่างไรเวลาพวกเขามาหาเธอ? พวกท่านไม่สามารถจะทำงานแบบนี้ได้หรอก ท่านมีธุระวุ่นวายอยู่มากเกินกว่าที่จะมาดูแลเรื่องของคนคนเดียวหรือสองคน หรือแม้กระทั่งทั้งโลกก็ตาม พวกท่านมีงานยุ่งมาก ยุ่งมากที่สุดจริงๆ! พวกท่านไม่มีเวลาจะมาดูแลคนคนหนึ่งหรือสองคนหรอก
ถ: อาจารย์จะช่วยยกตัวอย่างสักอย่างหนึ่งให้เห็นภาพได้ไหมว่า การฝึกที่ลำบากแสนสาหัสที่โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์จะต้องผ่านนั้นเป็นอย่างไร?
อ: เรื่องนี้อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้หรอก เพราะว่าในโลกนี้ไม่มีระบบการฝึกแบบนี้ (มีเสียงหัวเราะ) ฉันเพิ่งบอกเธอไปแล้วว่า การฝึกนี้รุนแรงลำบากและเจ็บปวดทุกข์ทรมานมากกว่าในนรกอีก มันเหลือที่เธอจะนึกคิดวาดภาพออกมาได้
ถ: แล้วในโลกระดับสูงๆ ขึ้นไปนั้นจะมีสิ่งที่เลวร้ายอย่างนี้ได้อย่างไรกันล่ะ?
อ: มันไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายอะไร แต่เป็นการฝึกที่จำเป็นและสำคัญ
ถ: ทุกๆ คนสามารถเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์นี้ได้หรือเปล่า?
อ: เรื่องนี้จะต้องได้รับการตัดสินจากการคัดเลือก พอเธอถูกเลือกขึ้นมา พวกเขาก็จะเริ่มฝึกเธอไปอย่างช้าๆ
ถ: ใครเป็นผู้ตัดสินใจ?
อ: โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ทั้งหลายเป็นผู้ตัดสิน พวกท่านจะเลือกใครก็ได้ตามที่ท่านต้องการและเราจะไม่ได้รู้ล่วงหน้าเลย เราเพียงแต่รู้ หลังจากเราถูกเลือกแล้ว เพราะว่าเราจะต้องผ่านความลำบากและความทุกข์ทรมานแบบต่างๆ แต่อย่างไรก็ตาม เธอจะไม่ถูกเลือกหรอกในขณะที่ยังอยู่ในโลกนี้น่ะ.... ฉันสามารถรับประกันกับเธอได้แน่นอนในเรื่องนี้ (มีเสียงหัวเราะ) หลังจากเธอขึ้เนไปถึงโลกที่ห้าแล้วค่อยมาพูดกัน เธอได้แต่มีทางเป็นไปได้ที่จะถูกเลือก หลังจากที่เธอผ่านพ้นไตรภูมิไปแล้วเท่านั้น...
Be Veg, Go Green 2 Save the Planet
www.godsdirectcontact-thai.org
www.suprememastertv.com
4 ตุลาคม 2556 22:57 น.
คีตากะ
ไข่เป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็งอย่ากินเลย
โดยพี่ประทับจิตหญิง ลิน ชิว ลิง เตาหยวน ฟอร์โมซา
อาจารย์เตือนพวกเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าอย่ากินไข่ เพราะว่ามันเป็นหยิน (พลังทางลบ) โดยธรรมชาติอยู่แล้ว และมันจะดึงดูดพลังที่เป็นลบมาด้วย นอกจากนี้ไข่ยังมีชีวิตอยู่ครึ่งหนึ่ง
วันหนึ่งขณะที่กำลังจับตามองหาช่องทีวี ฉันก็พบรายการหนึ่งเกี่ยวที่มีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งทำการทดลองเรื่องไข่โดยบังเอิญ โดยทั่วไปร้านซุปเปอร์มาเก็ตจะซื้อไข่มาไว้ขายแต่ละครั้งจำนวนหลายพันสำรับ (แต่ละสำรับบรรจุไข่จำนวน 10 ฟอง) พวกเราไม่อาจรู้ได้เลยว่ายังใหม่สดหรือไม่ พวกเราได้แต่รับรู้ว่าซื้อไปแล้วต้องนำเก็บไว้ในตู้เย็นเท่านั้น
นักวิทยาศาสตร์ได้เลือกร้านซุปเปอร์มาเก็ตเพื่อทำการทดลองครั้งนี้ มันใช้เวลาประมาณ 5 วันจึงจะขายไข่ได้ทั้งหมด นักวิทยาศาสตร์จึงไปซื้อไข่ในวันที่แตกต่างกันและฉีดเชื้อจุลินทรีย์เข้าไปในไข่แต่ละฟอง แล้วเก็บไข่ไว้ในอุณหภูมิเดียวกันและช่วงเวลาเดียวกัน ต่อมาเมื่อพวกเขาได้ตรวจสอบดู ก็พบว่ามีจุลินทรีย์จำนวน 1,000 ตัวในไข่ที่ซื้อมาวันแรก ขณะที่ไข่ที่ซื้อมาวันที่สองมีจุลินทรีย์ถึง 10,000 ตัว ไข่ที่ซื้อมาในวันที่ห้าจะมีจุลินทรีย์ถึงหนึ่งร้อยล้านตัว
นักวิทยาศาสตร์ได้บอกกับผู้สื่อข่าวว่า "ไม่ควรรับประทานไข่เพราะมันเป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็ง และมันไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราอีกด้วย"
ผู้สื่อข่าวพูดว่า "ฉันจะทำให้สุกทุกครั้งก่อนรับประทาน ดังนั้นคงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง"
นักวิทยาศาสตร์ตอบว่า "คุณก็กินซากของจุลินทรีย์เป็นล้านๆ ตัวเท่านั้น ดังนั้นมันจะมีคุณค่าทางอาหารได้อย่างไร"
ฉันสามารถพิสูจน์ได้ว่าไข่เป็นหยินโดยธรรมชาติ ก่อนที่ฉันจะได้รับการประทับจิต ฉันมีความเชื่อมั่นต่ออาจารย์มากและฉันได้รับประทานอาหารมังสวิรัติ ต่อมาฉันก็ตั้งครรภ์ แต่หมอคิดว่าฉันต้องเป็นโรคขาดอาหารแน่ๆ เพราะเขาสังเกตเห็นว่าในช่วงที่ฝากครรภ์ท้องของฉันมันเล็กมาก สามีของฉันจึงซื้อไข่มาให้ฉัน 2 ฟองเพื่อเป็นอาหารบำรุงกำลัง ฉันก็งี่เง่าและกัดกินฟองละคำ หลังจากนั้นฉันรู้สึกแปลกๆ และต้องการจะอาเจียนแต่ก้ไม่อาเจียน
คืนนั้นฉันจึงฝันร้าย ฉันฝันว่าได้ไปที่ยมโลก มีซอยหนึ่งซึ่งมีบ้านอยู่สองข้างทางเต็มไปหมด แต่ละบ้านกำลังจัดงานศพและทุกคนกำลังร้องไห้ บ้านทั้งหลายจะมีสีขาว เสื้อผ้าของพวกเขาก็สีเหมือนกับใบหน้าของพวกเขา มันช่างเป็นบรรยากาศที่กดดัน ทำให้ทนไม่ได้จริงๆ ฉันตกใจมากจึงทำให้ตื่นขึ้นมาตัวสั่นและเหงื่อออกทั้งตัว
ฝันร้ายนี้ได้ทรมานฉันเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ จนกระทั่งฉันได้กินอาหารอวยพรของอาจารย์ที่บ้านน้องสาวประทับจิต ต่อมาสถานการณ์ก็เริ่มดีขึ้น และฉันตื่นกลัวอยู่ไม่นาน ฉันก็นอนหลับได้ จากประสบการณ์ที่ย่ำแย่ของฉัน พวกเราสามารถเห็นได้ว่ามีพลังของหยินรุนแรงมากในไข่ทั้งหลาย! "
Be Veg, Go Green 2 Save the Planet
www.suprememastertv.com
www.godsdirectcontact-thai.org
25 พฤศจิกายน 2554 15:36 น.
คีตากะ
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
ฟลอริดา สหรัฐอเมริกา
วันที่ 5 ตุลาคม 2541 (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)
เราจะต้องบำเพ็ญมาเป็นเวลายาวนานเพื่อจะให้ได้มาซึ่งร่างกายของผู้หญิง ด้วยเหตุนี้ผู้ชายจึงไม่เข้าใจว่าทำไมบางครั้งผู้หญิงจึงช่างละเอียดลออและช่างใส่ใจในมากมายหลายสิ่ง พวกผู้ชายไม่สนใจ และไม่เข้าใจ สักวันหนึ่งพวกเขาจะเข้าใจ
แท้จริงแล้ว วิญญาณมิได้แบ่งเป็นชายหรือหญิง เพื่อให้ได้เป็นผู้หญิง จะต้องบำเพ็ญมายาวนาน มีผู้คนเคยกล่าวว่าผู้หญิงไม่สามารถกลายเป็นพุทธะได้ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นในทางตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ผู้หญิงใกล้สภาวะความเป็นพุทธะมากกว่าหากเธอรู้ตัว หากเธอใช้คุณภาพแห่งความเป็นหญิงของเธอเพื่อจุดมุ่งหมายที่สูงส่งกว่า เธอจะไปถึงที่นั่นได้รวดเร็วกว่า เธอมีความละเอียดลออ มีความตั้งอกตั้งใจ มีความรู้สึกอันอ่อนไหว และมีเหตุมีผล ดังนั้นไม่ว่าเธอต้องการสิ่งใด เธอก็จะได้มา นั่นคือเหตุผลที่ผู้ชายกลัวผู้หญิง
เราถูกฝึกฝนมาเป็นเวลาหลายภพหลายชาติเพื่อให้ได้มาซึ่งร่างกายของผู้หญิง เพื่อมีคุณลักษณะแบบผู้หญิง และเพื่อให้ได้มาซึ่งคุณภาพแห่งมนุษย์อันเปี่ยมด้วยรักและละเอียดลออเหล่านี้ ผู้ชายยังมิได้ถูกขัดเกลาเช่นนี้ พวกเขามีคุณลักษณะอันงดงาม พวกเขามีสิ่งต่างๆ แต่ไม่ละเอียดเช่นนี้ พวกเขายังไม่ถึงตำแหน่งอันละเอียดลออนี้ นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาไม่เข้าใจหลายๆ อย่างเกี่ยวกับผู้หญิง และเกี่ยวกับชีวิต พวกเขาจะมองอะไรในลักษณะทั่วๆ ไปเป็นมุมกว้างๆ และผู้หญิงจะละเอียดกว่าและเห็นทุกสิ่ง บางครั้งผู้ชายช่างมืดบอด "ตู้เย็น" เต็มไปด้วยอาหาร แต่พวกเขาหาอะไรทานไม่ได้สักอย่างเดียว (เสียงหัวเราะ)
ผู้ชายไม่ค่อยละเอียดถี่ถ้วนในเรื่องความรู้สึกและในการสังเกตการณ์สิ่งต่างๆ โดยรอบ ดังนั้นพวกเขาจึงได้ละเลยหลายสิ่งหลายอย่าง นั่นคือสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดให้กับผู้หญิงและสัมพันธภาพระหว่างพวกเขา เพราะความไร้การเอาใจใส่ของพวกเขา พวกเขาเพียงไม่ทราบเท่านั้นเอง พวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะไร้มารยาทหรือไม่ดี หรือแข็งกระด้าง หรือไม่ใส่ใจ เพียงพวกเขาไม่เข้าใจเท่านั้นเอง พวกเขายังต้องได้รับการฝึกฝนในอีกหลายๆ ภพหลายชาติ
ดังนั้น หากมีใครกล่าวว่าผู้หญิงด้อยกว่าและมิอาจจะเป็นพุทธะได้ นั่นเป็นความเห็นที่ไร้ซึ่งปัญญาที่สุด พวกเขาไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ของจักรวาล พวกเขาไม่เข้าใจว่ามนุษย์จะต้องผ่านมากี่ภพกี่ชาติ ว่าวิญญาณจะต้องผ่านการฝึกฝนมามากเพียงใด เพื่อให้ได้เป็นผู้หญิง นั่นคือสาเหตุที่พวกเขากล่าวเช่นนั้น...
Be Veg, Go Green 2 Save the Planet
www.godsdirectcontact-thai.org
www.suprememastertv.com
12 ตุลาคม 2554 13:59 น.
คีตากะ
ข้าพเจ้าได้สดับมาดั่งนี้ ว่าครั้งหนึ่งเมื่อสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ เชตวนารามวิหาร ในอุทยานของท่านอนาถบิณฑิกะใกล้กรุงสาวัตถี พร้อมด้วยหมู่ภิกษุสงฆ์ 1,250 รูป
วันนั้นเมื่อได้เวลาบิณฑบาตโปรดสัตว์ สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงครองจีวร สังฆาฏิ ทรงบาตร แล้วเสด็จพุทธดำเนินไปในนครสาวัตถี ทรงบิณฑบาตตามบ้านเรือนไปตามลำดับ เมื่อทรงกิจเสร็จแล้วเสด็จกลับที่ประทับเสวยภัตตาหารเพล จากนั้นทรงปลดสังฆาฏิ เก็บบาตรขึ้น ชำระพระบาท ทรงลาดอาสนะ แล้วประทับนั่ง
ครั้งนั้นพระสุภูติมหาเถระได้ลุกขึ้น ลดจีวรไหล่ขวาพาดเฉวียงบ่าซ้าย แล้วคุกเข่าประคองอัญชลีทูลถามสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระองค์ทรงติดตามสั่งสอน ชี้ทาง และวางพระทัยในปวงพระโพธิสัตว์อยู่เป็นนิจ ยากจะหาผู้ใดเสมอเหมือน”
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หากกุลบุตรกุลธิดาปรารถนาจะตรัสรู้ธรรม บรรลุจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบานแล้วไซร้ เขาและเธอควรตั้งจิตและควบคุมจิตของตนอย่างไร พระเจ้าข้า”
สมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัสตอบ “สาธุ สุภูติ ที่เธอกล่าวนั้นเป็นความจริงทีเดียว ตถาคตได้ติดตามสั่งสอน ชี้ทาง และวางใจในปวงพระโพธิสัตว์อยู่เป็นนิจ จงตั้งใจฟัง เราจักแสดงแก่เธอ หากกุลบุตรกุลธิดาปรารถนาจะตรัสรู้ธรรม บรรลุจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบานแล้วไซร้ เขาควรตั้งจิตและโน้มนำจิตของตนอย่างนี้”
ภิกษุสุภูติกราบทูล “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์มีความปลาบปลื้มยินดี เฝ้าคอยสดับอยู่”
สมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัสแก่สุภูติ “ปวงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ควรจักตั้งจิตและโน้มนำจิตของตนอย่างนี้ว่า สรรพสัตว์ไม่ว่าจักเป็นเหล่าใดๆ จักเกิดจากฟองไข่ก็ดี เกิดจากครรภ์ก็ดี เกิดจากคราบไคลความชื้นหรือผุดเกิดขึ้นเองก็ดี จักมีรูปหรือไม่มีรูปก็ดี จักมีสัญญาหรือไม่มีสัญญาก็ดี มีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ก็ดี เราจักต้องสั่งสอน ชี้ทาง ให้สรรพสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นบรรลุนิพพานได้วิมุติ หลุดพ้นเป็นอิสระ และเมื่อสรรพสัตว์อันไม่สิ้นสุด ไม่มีประมาณนี้ลุถึงความเป็นอิสระแล้ว เราย่อมไม่คิดเลยว่าสัตว์ใดลุถึงความอิสระ
ไฉนจึงเป็นเช่นนั้นเล่า สุภูติ ก็เพราะเหตุว่า ถ้าพระโพธิสัตว์ยังมีจิตยึดมั่นผูกพันอยู่ด้วยตัวตน บุคคล สัตวะและชีวะแล้วไซร้ นั่นหาชื่อว่าพระโพธิสัตว์แท้จริงไม่”
“อนึ่ง สุภูติ เมื่อพระโพธิสัตว์บำเพ็ญทาน ท่านย่อมไม่ยึดมั่นผูกพันอยู่กับสิ่งใด กล่าวคือ ไม่ยึดรูป ไม่ยึดเสียง ไม่ยึดกลิ่น รส โผฏฐัพพะและธรรมารมณ์ สุภูติเอย พระโพธิสัตว์พึงมีจิตใจเช่นนี้ในการบำเพ็ญทาน คือไม่ยึดมั่นอยู่กับสัญญาใดๆ ไฉนจึงเป็นเช่นนั้นเล่า ก็เพราะเหตุว่าเมื่อพระโพธิสัตว์บำเพ็ญทานด้วยความไม่ยึดมั่นผูกพันอยู่กับสัญญาใดๆ แล้ว ความปิติปราโมทย์ที่ได้รับย่อมไม่อาจประมาณได้เลย สุภุติ เธอคิดว่าอวกาศในฟากฟ้าตะวันออกเป็นสิ่งที่จะวัดประมาณได้ละหรือ”
“หามิได้ พระเจ้าข้า”
“สุภูติ แล้วอวกาศในฟากฟ้าตะวันตก ด้านใต้ และด้านเหนือเล่า ตลอดจนอวกาศทิศเบื้องบนและเบื้องล่างจักเป็นสิ่งที่วัดประมาณได้อยู่ฤา”
“หามิได้ พระเจ้าข้า”
“ดูก่อนสุภูติ หากพระโพธิสัตว์ไม่คิดยึดมั่นผูกพันอยู่กับสิ่งใดในการบำเพ็ญทานแล้ว ความปิติปราโมทย์ซึ่งได้จากการบำเพ็ญทานนั้น ย่อมไพศาลดุจห้วงอวกาศซึ่งไม่อาจประมาณนั้นแล สุภูติ พระโพธิสัตว์พึงตั้งจิตดังคำสอนที่ตถาคตได้กล่าวแสดงนี้”
“ดูก่อนสุภูติ เธอมีความคิดเห็นเป็นไฉน การเห็นตถาคตนั้นจักพึงเห็นได้ด้วยรูปลักษณะฤาหนอ”
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค หามิได้ พระเจ้าข้า เมื่อพระตถาคตตรัสถึงรูปลักษณะ แท้จริงแล้วมิได้มีรูปลักษณะอยู่เลย”
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแก่สุภูติ “ที่ใดมีรูปลักษณะที่นั่นมีมายา ถ้าสามารถเห็นแจ้งว่าธรรมชาติของรูปลักษณะทั้งปวงไร้รูป ก็ย่อมเห็นตถาคตได้”
ภิกษุสุภูติกราบทูลพระผู้มีพระภาค “ในกาลข้างหน้ายังจักมีสัตว์ใด เมื่อได้สดับพระธรรมคำสอนนี้แล้ว บังเกิดศรัทธาเลื่อมใสอย่างแท้จริงขึ้นได้หนอ”
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบ “อย่ากล่าวอย่างนั้นสิ สุภูติ เมื่อตถาคตดับขันธ์ปรินิพพานล่วงำปแล้วห้าร้อยปี ก็ยังจะมีผู้ได้เสวยรสธรรมจากการปฏิบัติตามพระสัทธรรมนี้ เมื่อบุคคลเช่นนั้นได้ฟังพระธรรมคำสอนนี้ เขาจักบังเกิดศรัทธาเลื่อมใสว่าพระธรรมนี้คือสัจจะ ดังนั้นแล้วจงสำเหนียกไว้เถิด ว่าบุคคลนั้นหาได้ปลูกฝังกุศลมูลเพียงในกาลสมัยแห่งพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว หรือในกาลสมัยแห่งพระพุทธเจ้าสอง สาม สี่ หรือห้าพระองค์เท่านั้น แท้จริงแล้วเขาได้สั่งสมบุญกุศลมาตลอดพุทธสมัยแห่งพระพุทธเจ้าอเนกอนันต์นับพันนับหมื่นพระองค์ บุคคลใดได้สดับพระธรรมซึ่งตถาคตได้ตรัสแสดง แล้วบังเกิดศรัทธาด้วยจิตบริสุทธิ์สว่างไสวแม้เพียงชั่วขณะจิตเดียว ตถาคตย่อมเห็นและรู้ว่าบุคคลนั้นจักบังเกิดปีติปราโมทย์อย่างไม่อาจประมาณได้ ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น
“ก็เพราะเหตุว่า บุคคลเช่นนั้นไม่ยึดมั่นอยู่กับความคิดเนื่องด้วยตัวตน บุคคล สัตวะ และชีวะ เขาไม่ยึดมั่นอยู่กับความคิดเกี่ยวกับธรรมและอธรรม ไม่ยึดมั่นว่านี่คือรูปลักษณะ นั่นมิใช่รูปลักษณะ เช่นนั้นเพราะเหตุใด ก็เพราะว่า ถ้าบุคคลยึดมั่นอยู่กับความคิดเกี่ยวกับธรรม จิตบุคคลนั้นก็ยังผูกพันอยู่กับตัวตน บุคคล สัตวะ และชีวะ ถ้าเขายึดมั่นอยู่กับความคิดว่าไม่มีธรรม จิตเขาก็ยังผูกพันอยู่กับตัวตน บุคคล สัตวะ และชีวะอยู่นั่นเอง ฉะนั้นบุคคลจึงไม่พึงยึดถือผูกพันอยู่กับธรรม หรือคิดว่าธรรมเป็นสิ่งไม่มีอยู่ นี่คือนัยะความหมายเมื่อตถาคตกล่าวว่า ‘ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงกำหนดรู้ ว่าธรรมที่เราแสดงมีอุปมาดั่งพ่วงแพ’ แม้แต่สิ่งที่ตถาคตสอนก็ต้องละเสีย จักกล่าวไปไยถึงสิ่งที่ไม่ได้กล่าวเทศนา”
“เธอคิดอย่างไรเล่า สุภูติ ตถาคตได้บรรลุถึงจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบานกระนั้นหรือ ตถาคตได้แสดงพระธรรมเทศนาอยู่ฤา”
ภิกษุสุภูติกราบทูล “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ตามที่ข้าพระองค์เข้าใจนั้น พระธรรมคำสอนของพระตถาคตไม่มีธรรมารมณ์อิสระที่เรียกว่า จิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน ไม่มีคำสอนใดของพระตถาคตดำรงเอกภาวะ ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่าพระธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้และเทศนาสั่งสอนนั้นไม่อาจบรรยาย ไม่อาจกล่าวได้ว่าดำรงภาวะอิสระแยกจากกัน ไม่เป็นทั้งตัวตนดำรงอยู่ หรือไม่มีตัวตนดำรงอยู่ ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่า พระอริยบุคคลย่อมต่างจากผู้อื่นก็ด้วยอสังขตธรรมนี้แล”
“เธอคิดอย่างไรเล่า สุภูติ ถ้าบุคคลใดบำเพ็ญบริจาคด้วยสัปตรัตนะจนเปี่ยมล้นทั่วสามล้านอสงไขยโลกธาตุ บุคคลนั้นจะได้เสวยปีติสุขมากล้นเพราะกุศลกรรมนี้ฤาไฉน”
ภิกษุสุภูติกราบทูล “เช่นนั้น พระเจ้าข้า เพราะกุศลกรรมและปีติสุขเช่นนั้นมิใช่กุศลกรรมและปีติสุขดังที่พระตถาคตทรงแสดง”
พระผู้มีพระภาคตรัส “อนึ่ง ถ้าบุคคลใดยอมรับคำสอนนี้แล้วนำไปปฏิบัติแม้เพียงคาถาเดียว สี่บาท และยังอธิบายเผยแผ่แก่ผู้อื่นด้วย ปีติสุขจากกุศลกรรมนี้ย่อมลึกซึ้งไพศาลกว่าปีติสุขจากการบริจาคสัปตรัตนะมากมายนัก ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น สุภูติเอย ก็เพราะว่าบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งปวง พระธรรมของพระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทุกพระองค์ล้วนบังเกิดจากคำสอนนี้ สุภูติ ที่เรียกว่าพุทธธรรมคือทุกสิ่งที่ไม่ใช่พุทธธรรม”
“ดูก่อน สุภูติ เธอคิดอย่างไรเล่า พระโสดาบันจักมีมนสิการว่า ‘เราได้บรรลุโสดาปัตติผล’ ได้ฤา”
สุภูติตอบ “หามิได้ พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่าพระโสดาบันนั้นชื่อว่าเป็นผู้เข้าสู่กระแส แต่แท้จริงแล้วมิได้มีกระแสที่จะเข้าสู่เลย บุคคลมิได้เข้าสู่กระแสซึ่งเป็นรูป เป็นเสียง กลิ่น รส สัมผัส หรือธรรมารมณ์ เมื่อกล่าวว่าบุคคลเข้าสู่กระแสก็คือเข้าสู่กระแสโดยนัยนี้ พระเจ้าข้า”
“เธอคิดอย่างไรเล่า สุภูติ พระสกทาคามีจักมีมนสิการว่า ‘เราได้บรรลุสกทาคามิผล’ ได้ฤา”
สุภูติตอบ “หามิได้ พระเจ้าข้า ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่าพระสกทาคามีชื่อว่าจักเป็นผู้เวียนกลับมาอีกครั้งเดียว แต่แท้จริงแล้วมิได้มีการไปมิได้มีการกลับ นี่คือความหมายเมื่อกล่าวว่าบุคคลจักเวียนกลับมาอีกครั้ง”
“เธอคิดอย่างไรเล่า สุภูติ พระอนาคามีจักมีมนสิการว่า ‘เราได้บรรลุอนาคามิผล’ ได้ฤา”
สุภูติตอบ “หามิได้ พระเจ้าข้า ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่าพระอนาคามีชื่อว่าเป็นผู้ไม่เวียนกลับมาในโลกนี้อีก แต่แท้จริงแล้วมิได้มีสภาวะของการไม่เวียนกลับ นี่คือความหมายเมื่อกล่าวว่าบุคคลจักไม่เวียนกลับมาในโลกนี้อีก”
“เธอคิดอย่างไรเล่า สุภูติ พระอรหันต์จะมีมนสิการว่า ‘เราได้บรรลุอรหัตตผล’ ได้ฤา”
สุภูติตอบ “หามิได้ พระเจ้าข้า ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่ามิได้มีสภาวะอิสระใดที่อาจเรียกได้ว่าอรหันต์ ถ้าพระอรหันต์คิดว่าท่านได้บรรลุอรหัตตผล ก็เท่ากับท่านติดข้องอยู่ในความคิดเนื่องด้วยตัวตน บุคคล สัตวะ และชีวะนั่นเอง ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระองค์ทรงรับสั่งเสมอว่าข้าพระองค์บรรลุแล้วซึ่งอรณยิกสมาธิอันสงบ ว่าข้าพระองค์เป็นพระอรหันต์สิ้นแล้วซึ่งกิเลสทั้งปวง เป็นผู้ยอดเยี่ยมในชุมชนสงฆ์แห่งนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หากแม้นว่าข้าพระองค์คิดว่าข้าพระองค์ได้บรรลุอรหัตตผลแล้วไซร้ พระตถาคตย่อมจักไม่ตรัสว่าข้าพระองค์ยินดีในอรณยิกสมาธิธรรม พระเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคตรัสแก่สุภูติ “ดูก่อนสุภูติ ณ เบื้องอดีตกาลโน้น เมื่อตถาคตยังท่องเที่ยวอยู่ในสมัยของพระทีปังกรพุทธเจ้า ตถาคตได้บรรลุธรรมอันใดฤา”
สุภูติตอบ “หามิได้ พระเจ้าข้า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ณ เบื้องอดีตกาลโน้น ครั้งเมื่อพระตถาคตยังท่องเที่ยวอยู่ในสมัยของพระทีปังกรพุทธเจ้า พระตถาคตมิได้บรรลุธรรมอันใด พระเจ้าข้า”
“เธอคิดอย่างไรเล่า สุภูติ พระโพธิสัตว์ได้ตกแต่งพุทธเกษตรอันสงบงดงามกระนั้นหรือ”
“หามิได้ พระเจ้าข้า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่าในการตกแต่งพุทธเกษตรอันสงบงดงามนั้น แท้จริงแล้วมิได้มีการตกแต่งแต่อย่างใด ดังนั้นพุทธเกษตรอันสงบงดงามจึงบังเกิดขึ้น”
พระผู้มีพระภาคตรัสแก่สุภูติ “ดังนี้แล สุภูติ พระโพธิสัตว์และมหาสัตว์ทั้งปวงจึงพึงยังจิตให้บริสุทธิ์สะอาดอยู่เป็นนิจ เมื่อตั้งจิตไว้เช่นนี้ พระโพธิสัตว์และมหาสัตว์จึงไม่ยึดมั่นผูกพันอยู่กับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ เป็นจิตอิสระไม่เกี่ยวเนื่องอยู่ด้วยสภาวะใดๆ”
“สุภูติ แม้นบุคคลใดรูปร่างสูงใหญ่ดั่งเขาพระสุเมรุ(หิมาลัย) เธอคิดว่ารูปกายนั้นสูงมหึมากระนั้นหรือ”
สุภูติกราบทูล “มหึมานัก พระเจ้าข้า ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่าสิ่งที่ตถาคตตรัสถึงมิใช่รูปกายอันสูงมหึมา เป็นแต่ชื่อว่ารูปกายสูงมหึมา พระเจ้าข้า
“ดูก่อน สุภูติ แม้นว่ามีคงคานทีมากมหาศาลเท่าจำนวนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา เธอจะกล่าวได้ฤาว่าจำนวนเม็ดทรายในนทีเหล่านี้มีมากมหาศาล”
สุภูติตอบ “มหาศาลยิ่งนัก พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้นว่าคงคานทีมีมากมหาศาลแล้ว จำนวนเม็ดทรายในนทีเหล่านี้ย่อมอเนกอนันต์กว่านั้นนัก”
“สุภูติ เราจักถามเธอ ว่าถ้ากุลบุตรกุลธิดาบำเพ็ญทานบริจาคจนเปี่ยมล้นทั่วสามล้านอสงไขยโลกธาตุด้วยสัปตรัตนะมากเท่าจำนวนเม็ดทรายในท้องนทีเหล่านี้แล้ว เขาจักบังเกิดปีติปราโมทย์ยิ่งนักกระนั้นหรือ”
สุภูติกราบทูล “ยิ่งนักแล้ว พระเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคตรัสแก่สุภูติ “ถ้ากุลบุตรกุลธิดาบังเกิดศรัทธาพระสูตรนี้ รับปฏิบัติ และอธิบายเผยแผ่แก่ผู้อื่นด้วย แม้เพียงคาถาเดียว สี่บาท เขาจะได้ความปีติปราโมทย์เป็นอานิสงส์มากมายกว่านั้นนัก”
“อนึ่งเล่า สุภูติ หากพระสูตรนี้ได้ประกาศแสดง ณ ดินแดนใด แม้เพียงคาถาเดียว สี่บาทแล้ว เทวดา มนุษย์ แลมาร จักพากันมาสักการะบูชาดินแดนนั้นประหนึ่งดังบูชาพระพุทธสถูป เมื่อสถานที่ยังศักดิ์สิทธิ์เป็นมงคลได้ถึงเพียงนี้ บุคคลผู้สาธยายและปฏิบัติตามพระสูตรจักจำเริญมงคลยิ่งกว่าเพียงไหน สุภูติเอย เธอจงสำเหนียกไว้เถิดว่าบุคคลนั้นได้บรรลุแล้วซึ่งสิ่งลึกซึ้งหายาก ที่ใดมีพระสูตรนี้ประดิษฐานอยู่ ที่นั่นย่อมเป็นสถานอันศักดิ์สิทธิ์ดุจมีพระอัครสาวกพำนักหรือมีพระพุทธเจ้าประทับอยู่ด้วย”
จากนั้นท่านสุภูติได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พึงเรียกพระสูตรนี้นามใด และข้าพระองค์ทั้งหลายจักพึงปฏิบัติต่อพระสัทธรรมนี้อย่างไร พระเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบ “พึงเรียกพระสูตรนี้ว่า เพชรตัดทำลายมายา (วัชรเฉทิก) เพราะเหตุว่าเป็นพระสูตรอันอาจตัดทำลายมายากิเลสทั้งปวง และนำสรรพสัตว์ให้ถึงฝั่งแห่งวิมุติ จงเรียกพระสูตรตามนามนี้ และปฏิบัติตามพระสัทธรรมอันลึกซึ้งแห่งพระสูตรนั้นเถิด ไฉนจึงกล่าวเช่นนี้ ก็เพราะเหตุว่าสิ่งที่ตถาคตเรียกปัญญาบารมี แท้จริงแล้วหาใช่ปัญญาบารมีไม่ ปัญญาบารมีที่แท้ย่อมมีนัยะดังกล่าวมานี้”
สมเด็จพระผู้มีพระภาครับสั่ง “เธอคิดอย่างไรเล่า สุภูติ ตถาคตได้แสดงธรรมอยู่ฤา”
ภิกษุสุภูติตอบ “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระตถาคตเจ้ามิได้มีสิ่งใดจักแสดง”
“เธอคิดอย่างไรเล่า สุภูติ ในสามล้านอสงไขยโลกธาตุนี้มีปรมาณุภาคมากมายกระนั้นหรือ”
“มากมายนัก พระเจ้าข้า”
“สุภูติ ตถาคตกล่าวว่าปรมาณุภาคเหล่านี้มิใช่ปรมาณุภาค ฉะนั้นจึงเป็นปรมาณุภาคที่แท้จริง และเมื่อตถาคตกล่าวถึงโลกธาตุ แท้จริงแล้วมิได้มีโลกธาตุอยู่เลย ดังนี้จึงได้ชื่อว่าโลกธาตุ”
“เธอคิดอย่างไรเล่า สุภูติ จักพึงเห็นตถาคตได้ในลักษณะ 32 ประการกระนั้นหรือ”
ภิกษุสุภูติกราบทูล “หามิได้ พระเจ้าข้า ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่าลักษณะ 32 ประการที่พระตถาคตทรงรับสั่งนั้น แท้จริงแล้วมิใช่ลักษณะอันใดเลย ฉะนี้พระตถาคตจึงตรัสเรียกลักษณะ 32 ประการ พระเจ้าข้า”
“สุภูติเอย หากแม้นกุลบุตรกุลธิดาใดสละชีวิตเป็นทานครั้งแล้วครั้งเล่าเท่าจำนวนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา ส่วนกุลบุตรกุลธิดาอื่นๆ รู้จักรับปฏิบัติพระสูตรนี้ แล้วยังอธิบายเผยแผ่แก่ผู้อื่น แม้เพียงคาถาเดียว สี่บาท กุลบุตรกุลธิดาเหล่าหลังนี้จักได้รับความสุขเป็นอานิสงส์มากมายยิ่งกว่านัก”
เมื่อเข้าใจสิ่งที่ได้สดับอย่างลึกซึ้งแจ่มแจ้ง ภิกษุสุภูติน้ำตาไหลด้วยความปีติ กราบทูลสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค จะหาใครในโลกนี้เสมอเหมือนพระองค์ได้ยากนัก นับแต่ข้าพระองค์ได้ดวงตาเห็นธรรมจากการแนะนำสั่งสอนของสมเด็จพระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ไม่เคยได้ฟังคำสอนใดลึกซึ้งอัศจรรย์เช่นนี้มาก่อน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้นผู้ใดได้สดับพระสูตรนี้แล้วบังเกิดศรัทธาเลื่อมใสด้วยจิตใจบริสุทธิ์สว่างไสว ได้บรรลุธรรมมสัจจะ บุคคลผู้นั้นย่อมแจ่มแจ้งในกุศลธรรมอันหาได้ยากนัก ข้าแต่พระผู้มีพระภาค การบรรลุถึงธรรมสัจจะนี้แท้จริงแล้วมิได้มีการบรรลุเลย ฉะนี้เองพระตถาคตเจ้าจึงตรัสเรียกว่าบรรลุถึงธรรมสัจจะ
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันนี้ข้าพระองค์ได้สดับพระสูตรอันอัศจรรย์ บังเกิดศรัทธาเลื่อมใส เข้าใจและรับปฏิบัติได้ไม่ยาก แต่ในกาลข้างหน้า เมื่อล่วงไปอีกห้าร้อยปี ถ้าแม้นผู้ใดได้ฟังพระสูตรนี้ บังเกิดศรัทธาเลื่อมใส เข้าใจและรับปฏิบัติ บุคคลเช่นนี้ย่อมเป็นเลิศหาได้ยากแท้ ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่า จิตของบุคคลนั้นจะไม่ถูกครอบงำด้วยตัวตน บุคคล สัตวะ และชีวะ ข้อนี้เพราะเหตุใด เพราะความคิดเกี่ยวด้วยตัวตนแท้จริงแล้วมิใช่ความคิด ความคิดเกี่ยวกับบุคคล สัตวะ และชีวะ ก็มิใช่ความคิดเช่นกัน ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่าบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งปวงได้พระนามว่าพระพุทธเจ้าก็เพราะท่านเหล่านั้นล้วนเป็นอิสระแล้วจากความคิด”
สมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัสแก่สุภูติ “เช่นนั้น เช่นนั้น สุภูติ แม้นผู้ใดได้ฟังพระสูตรนี้แล้วไม่ตกใจครั่นคร้าม เขาหรือเธอเช่นนั้นย่อมหาได้ยากยิ่ง ไฉนจึงเป็นเช่นนั้นเล่า สุภูติ ก็เพราะเหตุว่าสิ่งที่ตถาคตเรียกปรมบารมีหรือบารมีอันเลิศนั้น แท้จริงแล้วมิใช่บารมีอันเลิศ ดังนี้จึงได้ชื่อว่าบารมีอันเลิศ
“ดูก่อน สุภูติ ตถาคตกล่าวว่า สิ่งที่เรียกว่าขันติบารมีนั้น แท้จริงแล้วมิใช่ขันติบารมี ดังนี้จึงได้ชื่อว่าขันติบารมี ไฉนจึงเป็นเช่นนั้นเล่า สุภูติเอย ณ เบื้องอดีตกาลเมื่อหลายพันชาติก่อน เมื่อพระเจ้ากลิราชาสั่งให้บั่นร่างกายเราเป็นท่อนๆ นั้น จิตเรามิได้ยึดมั่นผูกพันอยู่กับตัวตน บุคคล สัตวะ และชีวะเลย ถ้าเมื่อครั้งกระนั้นเรายึดมั่นอยู่กับความคิดเหล่านี้ เราย่อมโกรธแค้นอาฆาตราชาพระองค์นั้นเป็นแน่แท้
“อนึ่ง เรายังตามระลึกถึงกาลที่ล่วงมาแล้วห้าร้อยชาติ เมื่อเราบำเพ็ญขันติบารมีโดยจิตไม่ยึดมั่นผูกพันอยู่กับตัวตน บุคคล สัตวะ และชีวะ ดังนี้แล สุภูติ เมื่อพระโพธิสัตว์บรรลุถึงพุทธจิต รู้ตื่นเป็นนิจอย่างไม่มีใครเสมอเหมือนนั้น ท่านต้องละทิ้งความคิดทั้งปวง เมื่อจิตถึงขั้นนี้แล้วท่านย่อมไม่ยึดมั่นผูกพันอยู่กับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ จิตท่านย่อมลุถึงความไม่ยึดมั่นผูกพันอยู่กับสิ่งใดเลย
“ตถาคตกล่าวว่าสิ่งของทั้งหลายไม่ใช่สิ่งของ ชีวิตทั้งหลายไม่ใช่ชีวิต สุภูติเอย ตถาคตคือผู้พูดทุกสิ่งตามที่เป็นจริง พูดแต่ความจริง พูดตรงกับความจริง ท่านไม่พูดลวงให้หลง หรือพูดเพื่อเอาใจผู้คน สุภูติ แม้นเราพูดว่า ตถาคตเห็นแจ้งในธรรมที่ได้สั่งสอน คำสอนทั้งปวงนั้นก็หาใช่สิ่งที่อาจติดตามยึดถือ หรือเป็นสิ่งลวงไร้แก่นสาร”
“ดูก่อน สุภูติ ถ้าพระโพธิสัตว์องค์ใดบำเพ็ญทานด้วยความสำคัญมั่นหมาย อุปมาดั่งบุคคลเดินอยู่ในความมืด เขาจะไม่เห็นสิ่งใด แต่ถ้าพระโพธิสัตว์บำเพ็ญทานโดยละความสำคัญมั่นหมายแล้วไซร้ อุปมาดั่งบุรุษตาดีเดินอยู่กลางแดดสว่าง เขาย่อมเห็นทุกสีสันทุกรูปทรง
“สุภูติเอย ในอนาคตข้างหน้า ถ้ากุลบุตรกุลธิดาใดบังเกิดศรัทธาเลื่อมใสพระสูตรนี้ ได้อ่านและปฏิบัติตามแล้วไซร้ ตถาคตย่อมเห็นบุคคลผู้มีดวงตาแห่งปัญญาผู้นั้น ตถาคตจะรู้จักเธอ และบุคคลนั้นก็จะประจักษ์ถึงผลานิสงส์มากล้นสุดประมาณจากบุญกุศลซึ่งเขาหรือเธอได้กระทำ”
“อนึ่งเล่า สุภูติ ถ้ากุลบุตรกุลธิดาใดสละชีวิตบำเพ็ญทานยามเช้ามากครั้งเท่าจำนวนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา แล้วยังบำเพ็ญทานยามบ่าย ยามค่ำ และทำต่อไปไม่สิ้นสุดนับกัปกัลป์ กระนั้นบุคคลผู้สดับพระสูตรนี้ด้วยดวงจิตศรัทธาไม่คัดค้าน ย่อมได้ความปีติปราโมทย์เป็นอานิสงส์มากมายกว่านั้นนัก แต่นั่นก็ไม่อาจเทียบได้กับความปีติปราโมทย์ที่จะบังเกิดแก่บุคคลผู้จดจาร คัดลอก ปฏิบัติ เจริญสาธยาย และอธิบายพระสูตรนี้เผยแผ่แก่ผู้อื่น
“สุภูติเอย กล่าวโดยสรุป พระสูตรนี้มีคุณานิสงส์อันจะยังให้เกิดความสุขอย่างไม่อาจประมาณ แม้นว่าผู้ใดสามารถปฏิบัติ เจริญสาธยาย และประกาศเผยแผ่แก่ผู้อื่นด้วยแล้ว ตถาคตจะเห็นและรู้จักบุคคลนั้น ส่วนเขาหรือเธอผู้นั้นก็จะได้บุญกุศลอเนกอนันต์สุดจะเปรียบเทียบพรรณนา หรือประมาณได้ บุคคลเช่นนี้แลจักสามารถเชิดชูพุทธาชีวะอันรู้ตื่น รู้เบิกบานแห่งตถาคต ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น สุภูติ หากผู้ใดยังพอใจอยู่กับคำสอนเล็กๆ น้อยๆ ถ้าเขาหรือเธอยังติดข้องอยู่กับความคิดเนื่องด้วยตัวตน บุคคล สัตวะ และชีวะแล้วไซร้ เขาหรือเธอย่อมไม่อาจฟังพระสูตรนี้ ไม่อาจปฏิบัติ ไม่อาจสาธยาย และอธิบายเผยแผ่แก่ผู้อื่นได้เลย สุภูติ ที่ใดมีพระสูตรนี้ที่นั่นย่อมเป็นสถานซึ่งเทวดา มนุษย์ แลมารจักมาทำการสักการะ สถานที่นั้นคือพุทธสถูป ควรแก่การกระทำพิธีกราบไหว้บูชา กระทำประทักษิณ ถวายดอกไม้และเครื่องหอม”
“สุภูติ ถ้ากุลบุตรกุลธิดาใดถูกดูหมิ่นกล่าวร้ายขณะสาธยายพระสูตรนี้ บาปกรรมทั้งหลายที่เขาหรือเธอเคยกระทำมาแต่ชาติปางก่อน ตลอดจนอกุศลกรรมซึ่งอาจนำเขาหรือเธอสู้อบายภูมิก็จะหมดสิ้นไป เขาและเธอจะได้เสวยผลแห่งพุทธจิตอันรู้ตื่น รู้เบิกบานอยู่เป็นนิจ สุภูติเอย ณ เบื้องอดีตกาลโน้น ก่อนเราจะได้พบพระทีปังกรพุทธเจ้า เราเคยถวายเครื่องบูชา ได้เฝ้าปฏิบัติบูชาต่อพระพุทธเจ้าจำนวน 84,000 ล้านอสงไขยพระองค์ ถ้าในกาลข้างหน้าเมื่อถึงปลายสมัยแห่งพระสัทธรรม ยังมีบุคคลใดสามารถเลื่อมใส สาธยาย ศึกษา และปฏิบัติพระสูตรนี้ สุขานิสงส์จากการบำเพ็ญกุศลนี้จักยิ่งใหญ่ไพศาลกว่าที่เราเคยได้รับในอดีตกาลเป็นล้านเท่า แท้จริงแล้วความปีติปราโมทย์นั้นไม่อาจประมาณ ไม่อาจเปรียบเทียบกับสิ่งใดแม้กับตัวเลข ความปีติปราโมทย์นั้นมากล้นคณนา
“ดูก่อน สุภูติ สุขานิสงส์ซึ่งกุลบุตรกุลธิดาผู้เลื่อมใส สาธยาย ศึกษา และปฏิบัติพระสูตร จะได้รับเพราะกุศลอันได้บำเพ็ญ ณ ปลายสมัยแห่งพระสัทธรรมนั้นใหญ่หลวงนัก หากเราจะแจกแจงอธิบายแล้วไซร้ บางคนจะสงสัยไม่เชื่อ เกิดวิจิกิจฉาขึ้นในจิต สุภูติเอย เธอพึงสำเหนียกไว้เถิดว่าอรรถธรรมแห่งพระสูตรนี้เป็นสิ่งไม่อาจคิดนึกหรือพรรณนา ผลานิสงส์จากการเลื่อมใส และปฏิบัติพระสูตรก็เป็นสิ่งไม่อาจคิดนึกไม่อาจพรรณนาได้ดุจเดียวกัน”
ในกาลครั้งนั้น ภิกษุสุภูติได้กราบทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอประทานอนุญาต กราบทูลถามอีกสักครั้ง ว่าถ้ากุลบุตรกุลธิดาปรารถนาจะตรัสรู้ธรรม บรรลุจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบานแล้วไซร้ เขาและเธอควรตั้งจิตและควบคุมจิตของตนอย่างไร พระเจ้าข้า”
สมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัสตอบ “ดูก่อน สุภูติ กุลบุตรกุลธิดาผู้ปรารถนาจะตรัสรู้ธรรม บรรลุจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน พึงตั้งจิตดังนี้ ‘เราจักนำสรรพสัตว์ให้ถึงฝั่งแห่งความตื่น และเมื่อปวงสัตว์เหล่านั้นได้วิมุติ หลุดพ้นเป็นอิสระแล้ว เราจักไม่คิดเลยว่าสัตว์ใดได้วิมุติ หลุดพ้นเป็นอิสระ’ ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น สุภูติเอย ถ้าพระโพธิสัตว์ยังมีจิตยึดมั่นผูกพันอยู่กับตัวตน บุคคล สัตวะ และชีวะแล้วไซร้ บุคคลนั้นหาใช่พระโพธิสัตว์แท้จริงไม่ ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น
“สุภูติ แท้จริงแล้วไม่มีธรรมารมณ์อิสระใดเรียกได้ว่าจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน เธอคิดอย่างไรเล่า สุภูติ ณ เบื้องอดีตกาลเมื่อตถาคตอยู่ในสำนักของพระทีปังกรพุทธเจ้า ตถาคตได้บรรลุถึงจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน กระนั้นหรือ”
“มิได้ พระเจ้าข้า ตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งข้าพระองค์เข้าใจ ไม่มีสิ่งใดเรียกได้ว่าจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน พระเจ้าข้า”
สมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัส “อย่างนั้น อย่างนั้น สุภูติ แท้จริงแล้วมิได้มีสิ่งที่เรียกว่าจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน อันตถาคตจักบรรลุได้ เพราะเหตุว่าถ้ามีสิ่งนั้นแล้วไซร้ พระทีปังกรพุทธเจ้าย่อมไม่ทรงพยากรณ์แก่เราว่า ‘ในอนาคตกาลเบื้องหน้า เธอจักได้เป็นพระพุทธเจ้านามศากยมุนี’ คำพยากรณ์นี้มีได้ เพราะแท้จริงแล้ว ไม่มีธรรมบรรลุได้อันใดจักพึงเรียกได้ว่าจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่า ตถาคตย่อมหมายถึงความเป็นเช่นนั้นของสรรพสิ่ง (ธรรม) บุคคลอาจเข้าใจผิดเมื่อเขากล่าวว่า ตถาคตได้บรรลุถึงจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน เพราะแท้จริงแล้วไม่มีจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบานให้บรรลุถึงได้เลย สุภูติเอย จิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน อันตถาคตได้บรรลุนั้นหาใช่สิ่งที่อาจติดตามยึดถือ แต่ก็หาใช่สิ่งเลื่อนลอยไร้แก่นสาร ด้วยเหตุดังนี้ ตถาคตจึงกล่าวว่า ‘ธรรมทั้งปวงคือพุทธธรรม’ แท้จริงแล้วสิ่งที่เรียกว่าธรรมนั้นมิใช่ธรรม ดังนี้ธรรมทั้งหลายจึงได้ชื่อว่าธรรม
“ดูก่อน สุภูติ โดยประการเดียวกัน ถ้าพระโพธิสัตว์มีมนสิการว่าท่านต้องช่วยสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นเป็นอิสระแล้วไซร้ นั่นหาใช่พระโพธิสัตว์ไม่ ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น สุภูติเอย ไม่มีธรรมารมณ์อิสระใดเรียกได้ว่าพระโพธิสัตว์ ด้วยเหตุดังนี้พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าธรรมทั้งปวงไม่เป็นตัวตน บุคคล สัตวะและชีวะ อนึ่ง สุภูติ ถ้าพระโพธิสัตว์มีมนสิการว่า ‘เราจักตกแต่งพุทธเกษตรอันสงบงดงาม’ แล้วไซร้ บุคคลนั้นก็ยังมิใช่พระโพธิสัตว์ ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่าสิ่งซึ่งตถาคตเรียกพุทธเกษตรอันสงบงดงามนั้น แท้จริงแล้วมิใช่พุทธเกษตรอันสงบงดงาม ดังนี้จึงได้ชื่อว่าพุทธเกษตรอันสงบงดงาม ดูก่อน สุภูติ พระโพธิสัตว์องค์ใดเห็นแจ้งความไม่มีตัวตน ไม่มีธรรม ดังนี้แล้วตถาคตย่อมตรัสเรียกบุคคลเช่นนั้นว่าพระโพธิสัตว์แท้จริง”
“สุภูติ เธอคิดอย่างไรเล่า ตถาคตมีมังสจักษุฤา”
สุภูติกราบทูล “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระตถาคตเจ้าทรงมีมังสจักษุ พระเจ้าข้า”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถาม “สุภูติ เธอคิดอย่างไรเล่า ตถาคตมีทิพจักษุฤา”
สุภูติกราบทูล “อย่างนั้น พระเจ้าข้า พระตถาคตทรงมีทิพจักษุ”
“สุภูติ เธอคิดอย่างไรเล่า ตถาคตมีปัญญาจักษุฤา”
สุภูติกราบทูล “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระตถาคตเจ้าทรงมีปัญญาจักษุ พระเจ้าข้า”
“สุภูติ เธอคิดอย่างไรเล่า ตถาคตมีธรรมจักษุฤา”
“อย่างนั้น พระเจ้าข้า พระตถาคตทรงมีธรรมจักษุ”
สมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัสถาม “ตถาคตมีพุทธจักษุฤา”
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระตถาคตเจ้าทรงมีพุทธจักษุ พระเจ้าข้า”
“สุภูติ เธอคิดอย่างไรเล่า พระพุทธเจ้าเห็นเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาว่าเป็นเม็ดทรายฤาไฉน”
สุภูติกราบทูล “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระตถาคตตรัสเรียกว่าเม็ดทราย”
“สุภูติ แม้นว่ามีคงคานทีมากเท่าจำนวนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา แล้วมีพุทธเกษตรให้แก่เม็ดทรายทุกเม็ดในคงคานทีเหล่านี้ไซร้ เธอคิดว่าพุทธเกษตรย่อมมีจำนวนมากมายนักฤาไฉน”
“มากมายนักแล้ว พระเจ้าข้า”
สมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัส “ดูก่อน สุภูติ ไม่ว่าสรรพสัตว์จะมีมากมายเท่าใดในพุทธเกษตรเหล่านั้น ไม่ว่าปวงสัตว์เหล่านั้นจะมีเจตสิกแตกต่างกันอย่างไร ตถาคตย่อมเห็นแจ้งในสัตว์ทั้งปวงนั้น เหตุไฉนจึงเป็นเช่นนี้ สุภูติ เพราะสิ่งที่ตถาคตเรียกเจตสิกที่แตกต่างกัน แท้จริงมิใช่เจตสิกที่แตกต่างกัน ดังนี้จึงได้ชื่อว่าเจตสิกที่แตกต่างกัน
“ไฉนจึงเป็นเช่นนั้นเล่า สุภูติ ก็เพราะว่าจิตในอดีตเป็นสิ่งไม่อาจติดตามยึดถือ จิตปัจจุบันและจิตในอนาคตก็ไม่อาจติดตามยึดถือได้เช่นกัน”
“เธอคิดอย่างไรเล่า สุภูติ ถ้าบุคคลใดบำเพ็ญบริจาคด้วยสัปตรัตนะจนเปี่ยมล้นทั่วสามล้านอสงไขยโลกธาตุ บุคคลนั้นจะได้ความปีติปราโมทย์ล้ำเลิศ เป็นผลานิสงส์จากการบำเพ็ญทานนั้นฤาไฉน”
“ล้ำเลิศนักแล้ว พระเจ้าข้า”
“ดูก่อน สุภูติ ถ้าความปีติปราโมทย์นี้อาจแยกจากสิ่งอื่นๆ ได้ ตถาคตจักไม่กล่าวว่านั่นเป็นความล้ำเลิศ แต่เพราะเหตุที่ไม่อาจติดตามยึดถือ ตถาคตจึงกล่าวว่าทานบริจาคอันบุคคลได้กระทำย่อมนำคุณานิสงส์ล้ำเลิศมาสู่เขา”
“สุภูติ เธอคิดอย่างไรเล่า จักพึงเห็นตถาคตได้ด้วยรูปกายอันสมบูรณ์กระนั้นหรือ”
“หามิได้ พระเจ้าข้า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค สิ่งที่พระตถาคตตรัสเรียกว่ารูปกายอันสมบูรณ์นั้น แท้จริงแล้วมิใช่รูปกายอันสมบูรณ์ ดังนี้จึงได้ชื่อว่ารูปกายอันสมบูรณ์”
“เธอคิดอย่างไรเล่า สุภูติ จักพึงเห็นตถาคตได้ด้วยสรรพลักษระอันสมบูรณ์กระนั้นหรือ”
“ยากนัก พระเจ้าข้า ยากนักที่ใครจักพึงเห็นพระตถาคตได้ด้วยสรรพลักษณะอันสมบูรณ์ ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่า สิ่งที่พระตถาคตตรัสเรียกสรรพลักษณะอันสมบูรณ์นั้น แท้จริงแล้วมิใช่สรรพลักษณะอันสมบูรณ์ ดังนี้จึงได้ชื่อว่าสรรพลักษณะอันสมบูรณ์”
“สุภูติ จงอย่ากล่าวว่าตถาคตมีมนสิการว่า ‘ตถาคตจะแสดงธรรมสั่งสอน’ อย่าคิดอย่างนี้ เพราะเหตุใดฤา ก็เพราะเหตุว่า ถ้าบุคคลกล่าวว่าตถาคตมีสิ่งจะสั่งสอน บุคคลนั้นย่อมกล่าวร้ายพระพุทธเจ้า เพราะเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ตถาคตกล่าวเลย สุภูติเอย การสนทนาธรรมนั้น แท้จริงแล้วมิได้มีการสนทนา ดังนี้จึงจะเป็นการสนทนาธรรมที่แท้จริง”
ณ กาลนั้น ภิกษุสุภูติได้ดวงตาเห็นธรรมกราบทูลถามสมเด็จพระผู้มีพระภาคว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในอนาคตสมัย ยังจักมีสรรพสัตว์ใดเมื่อได้ฟังพระวจนะนี้แล้ว บังเกิดศรัทธาเลื่อมใสอยู่ฤาหนอ”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสตอบ “ดูก่อน สุภูติ สรรพสัตว์ทั้งปวงนั้นหาใช่มีชีวิตอยู่หรือไม่มีชีวิต ไฉนจึงเป็นเช่นนั้นเล่า สุภูติ ก็เพราะเหตุว่าสิ่งที่ตถาคตกล่าวว่าไม่มีชีวิต แท้จริงแล้วย่อมมีชีวิตอยู่”
สุภูติกราบทูลถามสมเด็จพระผู้มีพระภาค “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ จิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบานอันสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุนั้น เป็นสิ่งไม่อาจบรรลุฤาไฉน”
สมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัสตอบ “อย่างนั้น อย่างนั้น สุภูติ ถ้าว่าถึงจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบานแล้ว เรามิได้บรรลุถึงสิ่งใด ดังนี้จึงเรียกว่าจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน”
“อนึ่ง สุภูติ จิตมีอยู่ทุกแห่งหนเสมอกัน เพราะไม่มีสูง ไม่มีต่ำจึงเรียกว่าสูงสุด เป็นจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน ผลานิสงส์ของจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน จะประจักษ์ก็โดยการปฏิบัติอย่างไม่ยึดมั่นกับตัวตน บุคคล สัตวะ และชีวะ สุภูติเอย สิ่งที่เรียกการปฏิบัตินั้น แท้จริงแล้วไม่มีการปฏิบัติเลย ดังนี้จึงได้ชื่อว่าการปฏิบัติที่แท้”
“ดูก่อน สุภูติ ถ้าบุคคลบำเพ็ญทานบริจาคด้วยสัปตรัตนะกองสูงเทียมเขาพระสุเมรุ จนเปี่ยมล้นทั่วสามล้านอสงไขยโลกธาตุ สุขานิสงส์จากบุญกุศลนี้ก็ยังน้อยกว่าอานิสงส์อันบุคคลจะได้รับจากการรู้จักเลื่อมใส ปฏิบัติ และอธิบายวัชรเฉทิกปรัชญาปารมิตาสูตรเผยแผ่แก่ผู้อื่น ความปีติปราโมทย์อันบุคคลจักได้รับจากการปฏิบัติพระสูตรนี้แม้เพียงคาถาเดียว สี่บาท ย่อมไม่อาจพรรณนาด้วยการยกตัวอย่างหรืออ้างตัวเลข”
“สุภูติ จงอย่ากล่าวว่า ตถาคตมีมนสิการว่า ‘เราจักขนปวงสัตว์ข้ามสู่ฝั่งวิมุติ’ จงอย่าคิดอย่าง สุภูติ เพราะเหตุใดฤา ก็เพราะเหตุว่า แท้จริงแล้วไม่มีสัตว์ใดให้ตถาคตขนข้ามสู่ฝั่งโน้น ถ้าตถาคตมีมนสิการว่าสัตว์เหล่านั้นมีแล้วไซร้ จิตของเราย่อมติดข้องอยู่กับตัวตน บุคคล สัตวะ และชีวะ
“สุภูติเอย สิ่งที่ตถาคตเรียกตัวตน แท้จริงแล้วมิได้มีตัวตนอย่างที่ปุถุชนคิดกัน สุภูติ ตถาคตไม่สำคัญมั่นหมายบุคคลใดว่าเป็นปุถุชน ดังนี้จึงเรียกเขาได้ว่าปุถุชน”
“เธอคิดอย่างไรเล่า สุภูติ บุคคลจักพึงภาวนาถึงตถาคตได้ด้วยลักษณะ 32 ประการ กระนั้นหรือ”
สุภูติกราบทูล “อย่างนั้น พระเจ้าข้า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค บุคคลจักพึงภาวนาถึงพระตถาคตได้ด้วยลักษณะ 32 ประการ”
สมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัส “ถ้าเธอกล่าวว่า เธออาจเห็นตถาคตได้ในลักษณะ 32 ประการ ดังนี้แล้วจักรพรรดิก็คือตถาคตด้วยเช่นกัน กระนั้นฤา”
สุภูติกราบทูล “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดง บุคคลไม่ควรภาวนาถึงตถาคตด้วยลักษณะ 32 ประการ พระเจ้าข้า”
ในกาลนั้นสมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัสเป็นคาถาว่า
“บุคคลใดตามยึดตถาคตด้วยรูป
หรือด้วยเสียง
ย่อมผิดมรรควิธี
ฉะนี้เขาจะไม่เห็นตถาคตได้เลย”
“อนึ่ง สุภูติ ถ้าเธอคิดว่าตถาคตบรรลุจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน แล้วไม่จำต้องมีลักษณะใดๆ อย่างนี้เรียกว่าคิดผิด สุภูติ จงอย่าคิดอย่างนี้ อย่าคิดว่าเมื่อบุรุษใดบรรลุจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน แล้วต้องพิจารณาว่าธรรมารมณ์ทุกชนิดเป็นสิ่งไม่มีอยู่ ขาดไปแล้วจากชีวิต จงอย่าคิดอย่างนั้น บุรุษผู้ลุถึงจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน ย่อมไม่โต้แย้งว่าธรรมารมณ์เป็นสิ่งไม่มีอยู่ ขาดไปแล้วจากชีวิต”
“สุภูติ แม้นว่าพระโพธิสัตว์บำเพ็ญทานบริจาคด้วยสัปตรัตนะจำนวนมากเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา จนเปี่ยมล้นทั่วสามล้านอสงไขยโลกธาตุ สุขานิสงส์จากการบำเพ็ญบุญกุศลนี้ ก็ยังน้อยกว่าอานิสงส์อันบุคคลจักพึงได้รับเมื่อเขาแจ่มแจ้งเข้าใจ และเลื่อมใสความจริงที่ว่าธรรมทั้งหลายไม่มีตัวตน และเขายังมีชีวิตอยู่ด้วยสัทธรรมนี้ ไฉนจึงเป็นเช่นนั้นเล่า สุภูติ ก็เพราะเหตุว่าพระโพธิสัตว์ไม่จำต้องสั่งสมกุศลมูลและความปีติปราโมทย์ใดๆ เลย”
สุภูติทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระองค์หมายความอย่างไร พระเจ้าข้า เมื่อทรงรับสั่งว่าพระโพธิสัตว์ไม่จำต้องสั่งสมกุศลมูลและความปีติปราโมทย์ใดๆ “
“สุภูติ พระโพธิสัตว์ย่อมปลูกฝังสั่งสมกุศลมูลและความปีติปราโมทย์ แต่จิตท่านไม่ติดข้องอยู่กับกุศลมูลและความปีติปราโมทย์นั้น ด้วยเหตุดังนี้ ตถาคตจึงกล่าวว่าพระโพธิสัตว์ไม่จำต้องสั่งสมกุศลมูลและความปีติปราโมทย์ใดๆ”
“ดูก่อน สุภูติ ถ้าบุคคลกล่าวว่า สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงพระดำเนินมา ทรงพระดำเนินไป ประทับนั่ง และทรงไสยาสน์ บุคคลนั้นย่อมไม่เข้าใจสิ่งที่ตถาคตกล่าว ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่าตถาคตหมายความว่า ‘ไม่มาจากไหนและไม่ไปที่ไหน’ ดังนี้แลจึงเรียกว่าตถาคต”
“ดูก่อนสุภูติ ถ้ากุลบุตรกุลธิดาจักสลายสามล้านอสงไขยโลกธาตุให้เป็นปรมาณุภาค เธอคิดว่าปรมาณุภาคนั้นย่อมจักมากมายนักกระนั้นหรือ”
สุภูติกราบทูล “มากมายนัก พระเจ้าข้า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่า ถ้าปรมาณุภาคมีอยู่จริง พระตถาคตจักไม่ตรัสเรียกว่าปรมาณุภาค สิ่งที่พระตถาคตตรัสเรียกปรมาณุภาค แท้จริงแล้วมิใช่ปรมาณุภาค ดังนี้จึงอาจเรียกได้ว่าปรมาณุภาค ข้าแต่พระผู้มีพระภาค สิ่งที่พระตถาคตตรัสเรียกโลกธาตุ แท้จริงแล้วมิใช่โลกธาตุ ดังนี้จึงเรียกได้ว่าโลกธาตุ เพราะเหตุใดฤา ก็เพราะเหตุว่าถ้าโลกธาตุมีอยู่จริง ก็ย่อมประกอบด้วยปรมาณุภาคซึ่งปรุงแต่งรวมกันอยู่ตามเหตุปัจจัย สิ่งที่พระตถาคตเจ้าตรัสเรียกปรุงแต่งรวมกันอยู่ แท้จริงแล้วมิได้ปรุงแต่งรวมกันอยู่เลย ดังนี้จึงได้ชื่อว่าปรุงแต่งรวมกันอยู่
“สุภูติ ที่เรียกว่าปรุงแต่งรวมกันอยู่เป็นเพียงวิธีพูดอย่างปรัมปรา มิได้มีสิ่งจริงอยู่เลย มีแต่ปุถุชนเท่านั้นที่หลงยึดอยู่กับถ้อยคำปรัมปรานี้”
“ดูก่อน สุภูติ ถ้าบุคคลกล่าวว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงอาตมทิฏฐิ ปุคคลทิฏฐิ สัตวทิฏฐิ และชีวทิฏฐิแล้วไซร้ บุคคลนั้นเข้าใจสิ่งที่ตถาคตกล่าวแสดงหรือไม่หนอ”
“หามิได้ พระเจ้าข้า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค บุคคลเช่นนั้นไม่เข้าใจพระตถาคต ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่า สิ่งที่พระตถาคตตรัสเรียก อาตมทิฏฐิ ปุคคลทิฏฐิ สัตวทิฏฐิ และชีวทิฏฐินั้น แท้จริงแล้วมิใช่อาตมทิฏฐิ ปุคคลทิฏฐิ สัตวทิฏฐิ และชีวทิฏฐิ ดังนี้จึงได้ชื่อว่าอาตมทิฏฐิ ปุคคลทิฏฐิ สัตวทิฏฐิ และชีวทิฏฐิ”
“อนึ่ง สุภูติ บุคคลผู้บรรลุจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน พึงรู้ว่านี่คือลักษณะแท้จริงของธรรมทั้งปวง เขาพึงเห็นว่าธรรมทั้งปวงเป็นเช่นนี้ พึงเลื่อมใสต่อการเห็นธรรมทั้งปวงอย่างไม่สำคัญมั่นหมายในธรรม สุภูติเอย สิ่งที่ตถาคตเรียกความสำคัญมั่นหมายในธรรม แท้จริงแล้วมิใช่ความสำคัญมั่นหมายในธรรม ดังนี้จึงได้ชื่อว่าความสำคัญมั่นหมายในธรรม”
“ดูก่อนสุภูติ หากบุคคลบำเพ็ญทานบริจาคด้วยสัปตรัตนะจำนวนมหาศาลเกินคณนา จนเปี่ยมล้นทั่วสรรพโลกอันมีห้วงอวกาศไม่สิ้นสุด สุขานิสงส์จากการบำเพ็ญบุญกุศลนี้ไม่อาจเทียบได้กับความปีติปราโมทย์อันเป็นผลานิสงส์เมื่อกุลบุตรกุลธิดาได้บรรลุถึงจิตอันตื่น ได้อ่าน สาธยาย เลื่อมใส ปฏิบัติพระสูตรนี้ และอธิบายเผยแผ่แก่ผู้อื่นแม้เพียงคาถาเดียว สี่บาท อนึ่ง จักพึงตั้งจิตอย่างไรในการเผยแผ่แสดงเล่า จงอย่ายึดมั่นผูกพันอยู่กับสัญญา อธิบายทุกสิ่งตามสภาวะแท้จริงโดยไม่หวั่นไหว ไฉนจึงเป็นเช่นนั้นเล่า
“สรรพสิ่งปรุงแต่งดุจความฝัน
ดุจพรายน้ำ ดุจสายฟ้า ดุจภูตหลอน
จงดูให้เห็นสิ่งเหล่านี้
ด้วยการเพ่งภาวนา”
เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแสดงพระสูตรจบลง พระสุภูติมหาเถระ บรรดาภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทวดาและมาร ซึ่งประชุมสดับพระธรรมเทศนาพร้อมกันอยู่ ณ ที่นั้น ต่างปลาบปลื้มยินดี บังเกิดความเลื่อมใส รับพระสัทธรรมไปปฏิบัติด้วยประการฉะนี้แล..
Be veg, Go Green 2 Save The Planet
www.godsdirectcontact-thai.org
www.suprememastertv.com
4 ตุลาคม 2556 22:58 น.
คีตากะ
ในขณะนี้ มันเร่งด่วน เราจะต้องหยุดภาวะโลกร้อนเพื่อที่จะมีชีวิตรอดให้ได้ก่อน ดังนั้น การทานวีแก้นจึงเป็นเพียงวิธีแก้ปัญหาเดียวที่จะส่งผลทันทีสำหรับทุกปัญหาบนโลกเรา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อม การอยู่รอด สุขภาพ เศรษฐกิจ ฯลฯ
ฉันเชื่อแน่ว่าโลกของเรากำลังอยู่บนรอยต่อของการเปลี่ยนแปลงที่สร้างสรรค์ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของผู้อยู่อาศัยทั้งหมด ซึ่งรวมถึงสัตว์ ต้นไม้ และพืช
ถ้าเราใช้โอกาสนี้ทำงานร่วมกันในการเปลี่ยนนิสัยที่ไม่ดีของเรา เช่น การกินเนื้อสัตว์ การเสพยาเสพติด การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ แล้วเหมือนที่หลายประเทศได้เลิกการสูบบุหรี่ ร่วมกัน เราสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ฉับพลันและยิ่งใหญ่เกิดขึ้นบนโลกเรา
1. ภาวะฉุกเฉินของโลก
เวลานั้นเร่งด่วน
“เวลานั้นสายแล้ว มันถึงเวลาแล้วที่จะตัดสินใจ ผมค่อนข้างมั่นใจว่าคุณจะเลือกอย่างฉลาดในการจัดการกับประเด็นโลกร้อน
นักวิทยาศาสตร์ได้บอกไว้ค่อนข้างชัดเจน”
----บัน คี มูน
“เรามีวิกฤติอากาศที่เปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นเรื่องฉุกเฉินระดับโลก”
----อัล กอร์
นักวิทยาศาสตร์ของโลกเกรงว่า ถ้าเราผ่านจุดที่ไม่อาจหวนคืน ขั้นต่อไปของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศจะไม่เพียงแค่รวดเร็ว แต่อาจไม่สามารถหวนกลับคืนได้และจะเกิดภัยพิบัติที่รุนแรง ได้มีสัญญาณที่แสดงว่าช่วงเวลาอันตรายนี้กำลังใกล้เข้ามาแล้ว จากการที่ทะเลสาบต่างๆ และในบริเวณอื่นๆ มีก๊าซมีเทนผุดขึ้นมา แทนที่จะถูกเก็บกักไว้อย่างปลอดภัยใต้แผ่นน้ำแข็งโลก
ไม่มีใครทราบถึงวันที่มีเทนจำนวนมหาศาลในปริมาณที่ไม่อาจควบคุมได้จะถูกปล่อยออกมา ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นอย่างฉับพลัน และเป็นตัวเร่งปรากฏการณ์โลกร้อนที่ไม่อาจหวนคืน สิ่งนั้นจะเป็นหายนะแก่เรา
ผลกระทบทำลายล้างอื่นๆ ของสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นแล้ว น้ำแข็งอาร์คติกซึ่งเป็นตัวสะท้อนความร้อนจะหายไปในฤดูร้อนอันใกล้นี้ ระดับน้ำทะเลที่ขึ้นสูงและเกาะที่จมลงหรือถูกคุกคามนับสิบๆ แห่ง บริเวณมรณะในมหาสมุทร เกิดขึ้นจากความเป็นกรดที่เกินกว่าที่สิ่งมีชีวิตจะอาศัยอยู่ได้เนื่องจากมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากเกินไป ไฟป่ารุนแรงเกิดขึ้นบ่อยครั้ง สัตว์ป่ากำลังสูญพันธุ์อย่างรวดเร็วเกินอัตราการสูญพันธุ์ตามธรรมชาติถึง 100 เท่า พายุทำลายล้างที่รุนแรงเกิดบ่อยครั้งขึ้น การระบาดของยุงที่เป็นพาหะนำโรคจากการขยายตัวของพื้นที่เขตร้อน แผ่นน้ำแข็งของโลกหายไป ทะเลสาบและแม่น้ำกำลังเหือดแห้งหรือหายไปนับหมื่นๆ แห่ง และการแผ่ขยายของพื้นที่ทะเลทราย
จากผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ ประชากรสองพันล้านคนกำลังเผชิญกับการขาดแคลนน้ำ และ 20 ล้านคนอยู่ในภาวะสิ้นหวังเหมือนดั่งผู้ลี้ภัยแต่ไม่ได้รับการคุ้มครองใดๆ จากรัฐ
เหล่านี้เป็นผลลัพธ์ซึ่งเกือบทั้งหมดมาจากการกระทำที่รุนแรงของมนุษย์ การกระทำหมายเลขหนึ่งก็คือการกินเนื้อสัตว์
[นอกจากนี้] อุตสาหกรรมปศุสัตว์เป็นสาเหตุหลักของการกัดกร่อนของดินในโลก มันคือตัวขับเคลื่อนหลักของการเกิดพื้นที่ทะเลทราย การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และการสูญเสียน้ำและมลภาวะทางน้ำ ทั้งๆ ที่น้ำกำลังหายากขึ้นทุกวันเนื่องจากภาวะโลกร้อน นอกจากนี้ภาคปศุสัตว์ยังใช้น้ำมันเชื้อเพลิงและธัญพืชไปอย่างไร้ประสิทธภาพ กล่าวโดยย่อก็คือ เราทิ้งขว้างธัญพืชไปมากกว่า 12 เท่า น้ำอย่างน้อย 10 เท่า และพลังงานเชื้อเพลิงแปดเท่าในการผลิตเนื้อวัว เมื่อเทียบกับการผลิตอาหารวีแก้นในสัดส่วนของสารอาหารที่เท่าเทียมกันหรือมากกว่า
การปศุสัตว์: สาเหตุหลักของวิกฤติโลก
หนทางเดียวที่จะหลีกเลี่ยงหายนะสภาพอากาศ “ที่ไม่อาจหวนคืน” ก็คือ การลงมือดำเนินการโดยมุ่งไปที่สาเหตุที่สำคัญที่สุดที่ก่อให้เกิดภัยพิบัติซึ่งก็คือการผลิตเนื้อสัตว์ ในตอนนี้เรามีหลักฐานและข้อมูลทั้งหมดที่ทำให้กล่าวได้อย่างมั่นใจว่า อุตสาหกรรมปศุสัตว์คือตัวการผลิตก๊าซเรือนกระจกอันดับหนึ่ง
การค้นพบล่าสุดที่ได้รับการตีพิมพ์จากองค์การสหประชาชาติในปี 2006 บอกเราว่า อุตสาหกรรมปศุสัตว์เป็นสาเหตุของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าภาคการขนส่งทั้งหมดในโลก – เครื่องบิน รถไฟ รถยนต์ รถมอเตอร์ไซด์ ฯลฯ รวมกัน “การคำนวณใหม่บอกเราว่า อุตสาหกรรมปศุสัตว์เป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อนอย่างน้อย 50%”
“การวิเคราะห์ของเราแสดงให้เห็นว่า ปศุสัตว์และผลิตผลพลอยได้ของมัน แท้จริงแล้วเป็นสาเหตุของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 32,564 ล้านตันต่อปี ในหน่วยของคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ 51 เปอร์เซ็นต์ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกในแต่ละปี”
---สถาบันเวิร์ลวอร์ช
มีเทนนั้นทรงพลังกว่า CO2
การปศุสัตว์เป็นสาเหตุหลักของการปล่อยก๊าซมีเทนที่เกิดจากมนุษย์ และมีเทนไม่เพียงสามารถเก็บกักความร้อนได้ 72 เท่า มันยังเป็นก๊าซที่มีอายุสั้น ซึ่งหมายความว่า มันจะหายไปจากบรรยากาศได้เร็วกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ภายในหนึ่งทศวรรษ ซึ่งตรงข้ามกับเป็นพันๆ ปีของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ดังนั้นการขจัดมีเทนโดยการกำจัดการเพาะพันธุ์ปศุสัตว์ คือหนทางที่เร็วที่สุดที่จะทำให้โลกนี้เย็นลง
ใช่แล้ว เราต้องจัดการตัวปล่อยก๊าซที่สำคัญที่สุดนี้
ฉันอธิษฐานให้ผู้นำผู้มีปัญญาทุกคนหยุดยั้งการผลิตเนื้อสัตว์ที่เป็นภัยถึงชีวิต ซึ่งเป็นตัวผลักดันหลักให้เรา ไปถึงจุดที่ไม่อาจหวนคืนในขณะนี้ มิฉะนั้นแล้วความพยายามทั้งหลายอื่นๆ ในการลดคาร์บอนในระบบของเราอาจล้มเหลวไป หรือไม่มีโอกาสที่จะบรรลุผลได้
เราจะทำลายโลกใบนี้หากเรายังไม่หยุดกินเนื้อสัตว์ ผลิตเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์สัตว์อื่นๆ
2. ทางเลือกอาหารของเราคือ
ประเด็นชีวิตและความตาย
เรากำลังกลืนกินโลกของเรา
ถ้าเรากินเนื้อสัตว์ไม่ถูกสั่งห้ามหรือไม่ถูกจำกัดและล่ะก็ โลกทั้งใบอาจหายไป นี่เป็นเรื่องความเป็นความตายของทุกคน มันมิใช่ทางเลือกส่วนบุคคล และเมื่อเรากินเนื้อสัตว์ เราก็กำลังกลืนกินโลกทั้งหมด กลืนกิน 90% ของเสบียงอาหารทั้งหมด และปล่อยให้คนอื่นๆ อยู่อย่างหิวโหย มันไม่ใช่เป็นทางเลือกที่จำเป็นเลย
แม้แต่ก่อนจะมีภาวะฉุกเฉินนี้ คนที่กินเนื้อสัตว์ก็ได้กลืนกินทั้งโลก กินอาหารมากมายซึ่งเป็นผลให้เกิดความหิวโหยและสงคราม และมันไม่ใช่เป็นทางเลือกที่ถูกต้องตั้งแต่แรกเริ่ม
“เว้นแต่เราจะเปลี่ยนทางเลือกอาหารของเรา ไม่มีสิ่งใดอื่นที่สำคัญเพราะมันคือเนื้อสัตว์ที่ทำลายป่าไม้มากที่สุด มันคือเนื้อสัตว์ที่ก่อมลภาวะทางน้ำ มันคือเนื้อสัตว์ที่ก่อให้เกิดเชื้อโรค ซึ่งผันเงินของเราทั้งหมดไปสู่โรงพยาบาล ดังนั้นมันคือทางเลือกอันดับหนึ่งสำหรับทุกคนที่ต้องการจะรักษาโลกใบนี้ไว้”
----มาเนกะ คานธี
สถานการณ์ทั้งหมดนี้ [ภาวะโลกร้อน] กำลังเลวร้ายลงเรื่อยๆ และจะไม่ยุติจนกว่าเราจะเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตของเรา ที่จริงแล้ว หนทางแก้ไขนั้นง่ายมาก เพียงแค่หยุดกินเนื้อสัตว์ นั่นก็คือหนทางแก้ไขที่ดีที่สุด นี่คือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ในขณะนี้ เนื่องด้วยภาวะอันตรายอันน่าสะพรึงกลัวของโลกเราและเวลาที่เรามีอย่างจำกัด
การเลิกผลิตเนื้อสัตว์จะช่วยให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงและเป็นหนทางที่เร็วที่สุดที่เป็นไปได้ และหยุดยั้งความเสียหายอันเลวร้ายต่อสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ไปจนถึงการใช้ที่ดินและน้ำในทางที่ผิด การสูญเสียสัตว์ป่าและภัยคุกคามต่อสุขภาพของมนุษย์
นอกจากหยุด [ภาวะโลกร้อน] ได้ถึง 50% แล้ว – ฉันหมายถึงมากกว่านั้น นี่เป็นแค่การประมาณการเชิงอนุรักษ์ – ยังมีคุณประโยชน์ที่สำคัญอีกมากมาย มันช่วยแก้ปัญหาน้ำขาดแคลนของเรา วิกฤติความอดอยากของโลกเรา และปัญหามลภาวะและดินเสื่อม
ถ้าคุณเปรียบเทียบ [การกินเนื้อสัตว์] กับการกินอาหารวีแก้น การกินเนื้อสัตว์ใช้ผืนดินมากกว่า 17 เท่า ใช้น้ำมากกว่า 14 เท่า และใช้พลังงานมากกว่า 10 เท่า เราผลิตธัญพืชได้เพียงพอที่จะเลี้ยงประชากรมนุษย์ทั้งหมดอย่างเหลือเฟือ แต่กระนั้นประชากรหนึ่งพันล้านคนกำลังหิวโหย และเด็กเล็กๆ 6 ล้านคนเสียชีวิตในแต่ละปี – นั่นคือเด็กหนึ่งคนเสียชีวิตทุก ๆ ห้าวินาที ขณะที่เรามีอาหารมากมายที่จะเลี้ยงประชากรในโลกได้ทั้งหมด และมากกว่านั้น มากกว่าสองเท่าด้วยซ้ำ ในทางตรงข้าม ประมาณหนึ่งพันล้านคนทุกข์ทรมานจากโรคอ้วนและโรคภัยที่เกี่ยวข้องกับการกินมากเกินไปหรือการกินเนื้อสัตว์มากเกินไป
ดังนั้น จึงมีเหตุผลในทางปฏบัติมากมายที่จะเป็นวีแก้น นอกเหนือจากธรรมชาติแห่งความเมตตาที่ถูกบ่มเพราะจากการอนุรักษ์ทุกชีวิต นี่ก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน แต่ถ้าผู้คนแค่เริ่มต้นด้วยอาหารวีแก้น การเอาใจใส่ใจต่อทุกชีวิตก็จะมาเอง
ยูเอ็นกระตุ้นให้หันมาทานอาหารปลอดเนื้อสัตว์และปลอดผลิตภัณฑ์นม:
“ผลกระทบจากการกสิกรรมคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากการเติบโตของประชากร ซึ่งเพิ่มการบริโภคผลิตภัณฑ์สัตว์ การลดผลกระทบนี้อย่างมีนัยสำคัญจะเป็นไปได้ ด้วยการเปลี่ยนไปสู่การทานอาหารที่ไม่มีผลิตภัณฑ์สัตว์เท่านั้น”
การทานอาหารจากพืชเป็นทางออกที่รวดเร็วที่สุด
“การดำเนินการแทนที่การผลิตปศุสัตว์ ไม่เพียงแต่สามารถบรรลุผลการลดก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังสามารถพลิกสถานการณ์วิกฤติอาหารและน้ำของโลกที่กำลังเกิดขึ้นได้อีกด้วย”
----สถาบันเวิร์ลวอร์ช
การเป็นวีแก้นจะส่งผลให้เกิดการขจัดมีเทนออกจากบรรยากาศทันที ซึ่งมีเทนเป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจกที่เก็บกักความร้อนมากที่สุดถึง 72 เท่าของการเก็บกักความร้อนของคาร์บอนไดออกไซด์ แน่นอนว่าการเป็นวีแก้นนั้นจะทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นทะเลทรายช้าลง และรักษาทรัพยากรธรรมชาติของคุณ เช่น ทะเลสาบและแม่น้ำ และปกป้องป่าไม้ของคุณ
คุณสามารถใช้มาตรการสีเขียวอื่นๆ เช่น การปลูกต้นไม้ หรือหันไปใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ การทานมังสวิรัติคือหนทางที่เร็วที่สุดและยังลดกรรมเลวจากการฆ่าได้อีกด้วย ดังนั้นจึงเป็นทางออกที่สำคัญที่สุด
เราอนุรักษ์น้ำสะอาดได้ 70% รักษาป่าฝนอเมซอนจากการถางป่าเพื่อเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ได้มากถึง 70% มันทำให้มีพื้นที่สำหรับใช้ประโยชน์มากขึ้น 3.5 ล้านเฮกตาร์ต่อปี มันทำให้มีเมล็ดธัญพืชเหลือไว้ใช้ประโยชน์มากขึ้นถึง 760 ล้านตันต่อปี ซึ่งคิดเป็นครึ่งหนึ่งของผลิตผลธัญพืชทั่วโลก คุณจินตนาการออกไหม? ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงน้อยกว่าที่ใช้ในการผลิตเนื้อสัตว์ 2/3 เท่า ลดมลพิษจากของเสียจากสัตว์ที่ไม่ได้รับการบำบัด รักษาอากาศให้สะอาด ลดการปล่อยก๊าซถึง 4.5 ตันต่อหนึ่งครัวเรือนในสหรัฐอเมริกาต่อปี และมันหยุดภาวะโลกร้อนได้ 80%
ถ้าจะกล่าวถึงการประหยัดด้านการเงิน นักวิทยาศาสตร์ที่เนเธอร์แลนด์พบว่า ต้องใช้งลประมาณ 40 แสนล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐในการยับยั้งสภาวะโลกร้อน ซึ่ง 80% เต็มของเงินจำนวนนี้จะประหยัดได้ด้วยการทานอาหารวีแก้น! นั่นคือการประหยัดเงินได้ถึง 32 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ สำหรับก้าวง่ายๆ ของการหันจากเนื้อสัตว์ไปรับประทานผลิตผลจากพืช
โลกมีกลไกที่จะซ่อมแซมตัวเอง แค่ว่าเราใช้งานดาวเคราะห์ดวงนี้หนักเกินไป เราสร้างมลพิษมากเกินไปและเราสร้างกรรมจากการฆ่ามากเกินไป โลกจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ซ่อมแซมตัวเองเพราะกรรมเลวของผู้อยู่อาศัย ทันทีที่เราลบล้างผลกรรมเลวจากการฆ่านี้ โลกก็จะกลับหลังหันและจะได้รับอนุญาตให้ซ่อมแซม ฟื้นฟูและค้ำจุนชีวิตอีกครั้ง แท้จริงแล้วมันคือ ผลกรรมเลว เราได้ใช้โลกนี้จนเกินพิกัด เราจึงต้องเปลี่ยนการกระทำของเรา ก็แค่นั้นเอง
แล้วเราจะรักษาโลกใบนี้ไว้ได้ รักษาชีวิตของเรา และชีวิตของลูกๆ ของเรา และสัตว์ต่างๆ ก็เช่นกัน โลกจะกลายเป็นสวรรค์ ไม่มีใครขาดแคลนอะไรอีก ไม่มีใครหิวโหย ไม่มีสงคราม ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีภาวะโลกร้อน ไม่มีอะไรอื่นนอกจากสันติสุข ความสุข และความอุดมสมบูรณ์ ฉันสัญญาในนามของพระพุทธะ มันเป็นอย่างนั้น
การฆ่าสัตว์นำพาซึ่งกรรมเลว
“คุณหว่านเมล็ดพืชเช่นไร คุณจะได้ผลเช่นนั้น” “สิ่งที่เหมือนกันดึงดูดกัน” เราได้ถูกเตือนแล้วทั้งทางวิทยาศาสตร์และทางจิตวิญญาณ ดังนั้นภัยพิบัติทั้งหลายที่เกิดขึ้นทั่วโลก แน่นอนว่า มันเกี่ยวข้องกับการปราศจากความเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลกของเรา นั่นคือราคาที่เราต้องจ่ายสำหรับสิ่งที่เราได้กระทำต่อสัตว์ผู้บริสุทธิ์ ผู้ที่ไม่เคยทำร้ายเราผู้ที่เป็นลูกๆ ของพระเจ้าเช่นกัน ผู้ที่ถูกส่งมายังโลกนี้เพื่อช่วยเราและให้กำลังใจเรา
มันไม่ใช่ปัญหาทางเทคนิค มันไม่ใช่การซ่อมแซมทางเทคนิคที่เราต้องมุ่งไป มันคือผลกรรมสนอง เหตุและผลตอบสนองที่เราต้องให้ความสนใจ ราคาของการฆ่า ราคาของความรุนแรงนั้นเลวร้ายยิ่งกว่ารถยนต์ การระเบิดของดวงอาทิตย์ หรือการระเบิดของมหาสมุทรใดก็ตามรวมกัน เพราะเราต้องรับผิดขอบต่อการกระทำของเรา ทุกการกระทำก่อให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนอง เราจึงแค่ต้องหยุดฆ่า เราแค่ต้องหยุดฆ่าสัตว์และมนุษย์ เราต้องหยุดมัน แล้วเมื่อนั้นทุกสิ่งจะกระจ่างทันที
เราจะพบกับวิธีทางเทคนิคที่ดีขึ้นในการแก้ปัญหาสภาวะอากาศ แม้แต่จุดในดวงอาทิตย์อาจหยุดระเบิดด้วยซ้ำ การระเบิดในมหาสมุทรอาจแค่ยุติลง พายุไต้ฝุ่นอาจแค่หยุด พายุไซโคลนจะเงียบหายไป แผ่นดินไหวจะแค่หายไป ทุกสิ่งอื่นจะเปลี่ยนสู่วิถีชีวิตที่สงบสุข เพราะเราสร้างสันติสุข เราก็จะมีสันติสุข สันติสุขไม่ใช่แค่ในหมู่มนุษย์ แต่ในหมู่เพื่อนร่วมโลกทั้งหมด นั่นคือเหตุที่ฉันเน้นย้ำถึงการทานมังสวิรัติ มันคือหลักคุณธรรมของการเป็นมนุษย์ มันคือเครื่องหมายของการเป็นมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่
พลังงานแห่งความเมตตาสามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง
การทานมังสวิรัติคือความเมตตา ดังนั้นมันจะนำพลังความสุขมาให้คุณ แล้วมันจะก่อให้เกิดความสุขมากยิ่งขึ้น จะดึงดูดความสุขมากยิ่งขึ้น และเมื่อคุณมีความสุข ทุกอย่างจะดีขึ้น คุณคิดได้ดีขึ้น คุณจะตอบสนองดีขึ้น ชีวิตของคุณจะดีขึ้น ลูกๆ ของคุณจะดีขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างจะดีขึ้น
และพลังรวมแห่งความรักที่เป็นบวกอันทรงพลังนี้จะขับไล่ความมืดที่กำลังมาหาเราที่เรากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ นั่นเป็นหนทางแก้ไขเดียวที่ฉันมี
คุณเห็นไหม เรามีพลังงานที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง เรามีอำนาจที่จะกำหนดสิ่งที่จะเกิดขึ้นรอบตัวเรา แต่เราต้องใช้มัน เราต้องใช้มันเพื่อประโยชน์ของทุกคน เราต้องใช้มันเพื่อประโยชน์ของสรรพสิ่งบนโลกนี้ ความคิดของเรา การกระทำของเรา ต้องส่งข้อความให้กับพลังงานจักรวาลว่า เราต้องการดาวเคราะห์ที่ดีกว่า เราต้องการชีวิตที่ปลอดภัยกว่านี้ เราต้องการโลกที่ปลอดภัย แล้วพลังจักรวาลจะแค่ทำอย่างนั้น
แต่เราต้องปฏิบัติให้สอดคล้องกับพลังงานนี้ คุณเห็นไหม? หากเราต้องการสิ่งที่ดี เราก็ต้องทำความดี ถ้าเราต้องการชีวิต เราก็ต้องให้ชีวิต แล้วพลังงานดีๆ ที่เราสร้างขึ้นจะสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ รวมถึงสิ่งที่อัศจรรย์อีกมากมาย บรรยากาศความรักความเมตตาที่เราทั้งโลกได้สร้างขึ้นนั้นสามารถและจะสร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้แก่เรา
เราสร้างทุกสิ่งที่เราต้องการถ้าเราใช้ชีวิตตามกฎของจักรวาล เช่นนี้คือพลังของการเป็นวีแก้น เพราะมันหมายความว่าเราไว้ชีวิต เราต้องการชีวิต เราต้องการพลังงานที่สร้างสรรค์เราไม่ต้องการการทำลายล้าง อาหารวีแก้นจึงคือคำตอบ
ยิ่งมนุษยชาติยกระดับทางจิตวิญญาณมากเท่าใด แน่นอนว่า ภาวะโลกร้อนก็จะบรรเทาลงมากเท่านั้น เมื่อมนุษยชาติมีระดับจิตวิญญาณที่สูงขึ้นและมีความรักมากขึ้นให้กับทุกคน ทุกสรรพสิ่ง ทุกสถานการณ์ และทุกสภาพแวดล้อม เมื่อนั้นภาวะโลกร้อนจะบรรเทาลงทุกวัน และจะหายไปโดยสิ้นเชิง และหลังจากนั้น ทุกคนในโลกจะอยู่อย่างมีสันติสุข ความสุขและจะรักกันและกัน แต่ทุกคนต้องตื่น
ฉันมั่นใจว่าโลกของเราจะไปถึงระดับของจิตสำนึกที่สูงขึ้น และปาฏิหาริย์จะบังเกิดขึ้นภายใต้ความเมตตาของสวรรค์
บางส่วนจากหนังสือ “จากวิกฤติสู่สันติสุข”
วิถีแห่งวีแก้นออแกนิกคือคำตอบ
โดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
หนังสือเล่มนี้ใช้กระดาษรีไซเคิล
โปรดเข้าไปที่ http://crisis2peace.org เพื่ออ่าน
หรือดาวน์โหลดหนังสือเล่มนี้เวอร์ชั่นออนไลน์ที่มีในหลายภาษา
สำหรับท่านที่สนใจหนังสือภาษาไทยสามารถติดต่อสอบถามได้ที่
สมาคมนานาชาติอนุตราจารย์ชิงไห่
ศูนย์กรุงเทพ
537/191-192 ซอยสาธุประดิษฐ์ 37 ถนนสาธุประดิษฐ์
แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กทม. 10120
โทรศัพท์ 02-682-0014-15 โทรสาร 02-682-0014
รถเมล์ที่ผ่านหน้าซอย สาย 35, 62, สองแถวแดง สาย 1279 (วัดดอกไม้)
ฺBe Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.godsdirectcontact-thai.org
www.suprememastertv.com