4 ตุลาคม 2556 22:53 น.

เป็นพระหรือแม่ชีในหัวใจ

คีตากะ

007.jpg












ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา 16-18 ธันวาคม 2541 (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ) วีดิทัศน์ # 641



       เราทั้งหมดเป็นพระในรูปแบบที่แตกต่างออกไป เราเป็นพระที่เดินได้ เราเดินบนท้องถนน และเราปะปนกับผู้คน มันก็เหมือนกัน เพียงแต่ว่า ในสมัยโบราณ เป็นการยากมากสำหรับคนที่จะออกไปและเผยแพร่คำสอน ดังนั้นเธอจึงต้องเป็นพระ เธอไม่ทำงาน และเธอพึ่งพาทาน เพื่อว่า เธอจะสามารถเดินไปได้ไกลเพื่อเผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้าหรือพระเยซู ในปัจจุบันนี้ สิ่งเหล่านี้ไม่มีความจำเป็นนัก เธอสามารถทำได้จากบ้านของเธอหรือเป็นพระที่บ้าน
และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือว่า ในสมัยโบราณ ผู้คนประหยัดพลังงานทางเพศของพวกเขาเพื่อที่จะทำสิ่งอื่นๆ เพราะว่าถ้าเธอมีครอบครัวและมีลูกมากมาย มันจะยากที่เธอจะเดินไปทั่วท้องถนนและเทศน์สัจธรรม ดังนั้นเธอจะต้องสละความสุขทางครอบครัวและการร่วมรัก เพื่อที่จะเดินไปทั่วและเผยแพร่ข่าวสาร เพราะว่าพลังทางเพศนั้น มันทำให้งานที่พระต้องทำนั้นไขว้เขวไป ดังนั้น พวกท่านจึงต้องทำในลักษณะนั้น
ดังนั้น การเป็นพระ หรือแม่ชี หรือการไม่เป็น สำหรับฉัน ไม่ใช่คำถามที่แท้จริง คำถามที่แท้จริงก็คือว่า เธอเข้าใจสิ่งต่างๆ ในหัวใจของเธอหรือเปล่า และตัวเธอได้พบพระเจ้าหรือเปล่า มีคฤหัสถ์(ผู้ครองเรือน)จำนวนมากเป็นที่ดึงดูดใจมากแก่ผู้คนภายนอกด้วยเช่นกัน เพราะพวกเขาบำเพ็ญอย่างขยันขันแข็งในหัวใจของพวกเขา และพวกเขารู้แจ้งจริงๆ พวกเขายังสามารถเผยแพร่คำสอนจากที่บ้านของพวกเขาได้ด้วย และพวกเขาได้ทำสิ่งมหัศจรรย์มากมาย
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่แตกต่างออกไปแล้ว เรามีธรรมวิถีอันยอดเยี่ยมมากนี้ซึ่งครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้น เราจึงไม่ต้องอดอยากทางกาย ทางจิต หรือทางอารมณ์เพื่อที่จะไปให้ถึงพระเจ้า ฉันขอบอกเธอว่า พระเจ้านั้นยอดเยี่ยมมาก! พระองค์ใจดีมาก มีพลังมาก ไม่มีอะไรที่จะทำให้เธอไขว้เขวไปจากพระองค์ได้ ไม่ต้องพูดถึงความสุขเล็กๆ น้อยๆ กับผู้หญิงหรือผู้ชาย ที่เธอรัก ดังนั้นจึงไม่สำคัญ การเป็นพระหรือแม่ชีอยู่ที่ภายใน...






5410-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9

Be Veg, Go Green 2 Save the Planet
www.godsdirectcontact-thai.org
www.suprememastertv.com				
4 ตุลาคม 2556 22:54 น.

กลับไปสู่แหล่งของการสร้างสรรค์

คีตากะ

st.gif












สถานที่ของอาจารย์ผู้รู้แจ้งไม่ได้อยู่ห่างไกลจากตัวเธอ พวกท่านอยู่ภายในตัวเธอ ขอเพียงแต่ตั้งสมาธิจดจ่อเข้าสู่โลกภายในและในวันหนึ่งเธอจะมองเห็นได้ดีขึ้น



ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ที่กรุงโซล เกาหลี 17 พฤษภาคม 2543 (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ) วีดิทัศน์ #705



      มีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับคนคนหนึ่งที่พยายามหาสวรรค์ และมีคนหนึ่งพูดว่า "ฉันรู้ว่า สวรรค์อยู่ที่ไหน ฉันสามารถแสดงให้เธอเห็นได้" แล้วเขาก็พาเขาไปที่บ่อน้ำเล็กๆ บ่อหนึ่ง ที่ซึ่งเขาได้แสดงให้เขาเห็นถึงคนจำนวนมากกำลังนั่งสมาธิอย่างมีความสุขอาศัยอยู่ด้วยกันในโพรงนั้น ในพื้นดิน แล้วเขาก็พูดว่า "นี่คือสวรรค์!" ผู้แสวงหาก็พูดว่า "ไม่ใช่! เธอกำลังล้อเล่นฉันใช่ไหม? นี่เป็นเพียงโพรงมืดๆ โพรงหนึ่งในพื้นดิน" คนคนนั้นจึงพูดว่า "ไม่ใช่ๆ! สวรรค์อยู่ภายในตัวนักบุญซึ่งกำลังนั่งอยู่ที่ตรงนั้น ไม่ใช่อยู่ในโพรง"
ธรรมวิถีกวนอิมก็คือ ธรรมวิถีสำหรับการกลับไปยัง ณ ที่ที่เธอจากมาและที่ที่เธอจากมาก็คือสวรรค์ เรามาจากพระเจ้า เรามาจากแหล่งแห่งการสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เราไม่ใช่กายมนุษย์นี้ ดังนั้น ถ้าเธอตั้งใจรวมสมาธิและกลับไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอน กลับไปยัง ณ ที่ที่เธอมา เธอก็จะทราบว่าอาจารย์ผู้รู้แจ้งอาศัยอยู่ ณ ที่ใด พุทธะตรัสว่า "ทุกสิ่งสร้างจากใจ" เพราะฉะนั้นขอให้กลับไปและดูพระผู้สร้างที่แท้จริง นั่นคือตัวเธอ! เธอและฉัน ----เป็นหนึ่งเดียว! เธอและทุกๆ คน ----เป็นหนึ่งเดียว! เธอและ9 ชั่วโคตรของครอบครัวเธอ ----เป็นหนึ่งเดียว! ด้วยเหตุนี้จึงเป็นไปได้สำหรับฉัน ที่จะช่วยให้เธอกลับไป เป็นไปได้สำหรับเธอ ที่จะช่วยให้ 9 ชั่วโคตรหลุดพ้น เป็นไปได้ที่พุทธะจะรู้แจ้งและตรัสว่า สรรพสัตว์ทั้งหลายได้รับการปลดปล่อยแล้วหรือได้รับการหลุดพ้นแล้ว เมื่อเธอกลับไปยังแหล่งกำเนิด เธอก็จะไม่เห็นอะไรนอกจาก "ความเป็นหนึ่งเดียว" ของเรา ----ไม่มีอาจารย์ ไม่มีลูกศิษย์ เธอเป็นส่วนหนึ่งของฉัน เราเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า
ดังนั้น จึงเป็นไปได้ที่เมื่อบุคคลหนึ่งรู้แจ้ง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ได้รับการปลดปล่อยแล้วจากข้างใน และทุกๆ คนก็ทราบอยู่แล้ว ฉันไม่จำเป็นต้องปลดปล่อยเธอ ฉันไม่จำเป็นต้องให้การประทับจิตแก่เธอ เธอจะได้รับการช่วยเหลือ เพราะวิญญาณของเธอทราบจากการติดต่อกับวิญญาณของฉันภายใน แต่สมองไม่เข้าใจ ดังนั้นฉันจึงต้องสอนเธอต่อไปและบอกเธอเรื่องนี้เรื่องนั้น และเรื่องอื่นๆ เพื่อเธอจะได้รู้สึกมีความสงบสุขที่นี่ และเพื่อว่า ชีวิตของเธอ กรรมลิขิตนี้จะราบรื่นขึ้น ทนได้มากขึ้น และรื่นเริงมากขึ้น จนกระทั่งเธอจากโลกวัตถุนี้ไป



Be Veg, Go Green 2 Save the Planet
www.godsdirectcontact-thai.org
www.suprememastertv.com				
4 ตุลาคม 2556 22:55 น.

ความอ้วน-ไวรัสตัวใหม่

คีตากะ

1802351ky1t1icrak.jpg













      ปราศรัยโดย ท่าน Suma Ching Hai, ศูนย์ซีหู, ฟอร์โมซา, 10 มิถุนายน 1995 (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)



      ความอ้วนถ่ายทอดได้และแพร่ไปในอากาศได้ มีแพทย์ชาวสวิสคนหนึ่งชื่อว่าไฮน์ริชหรืออะไรนี่แหละ วันหนึ่งเขาพยายามแยกยีนและหาไวรัสของโรคเอดส์ ก็บังเอิญได้พบกับไวรัสที่ทำให้คนอ้วน
บางคนกินน้อยมาก แต่ก็อ้วนตลอด บางคนกินเยอะมากแต่ก็ยังผอมอย่างกับไม้จิ้มฟัน หมอคนนั้นบังเอิญพบว่าคนอ้วนนั้นได้ผลกระทบจากไวรัสตัวนี้ ไม่ใช่จากอาหารที่กินเข้าไป ดังนั้นคนมากมายจึงอดอาหารลดความอ้วน ออกกำลังกาย ทำอะไรทุกอย่างแล้วก็ยังอ้วนอยู่ คนก็เลยคิดว่าเขากำลังโกงไม่ได้ทำจริงๆ ไม่ได้กินแบบถูกต้องจริงๆ หรือว่าไปแอบกินอยู่ในตู้หรืออะไร (ผู้ฟังหัวเราะ) ไม่ใช่เลย เขาพบว่าไวรัสตัวนี้สะสมไขมันหรือสร้างไขมันขึ้นมามากขึ้นด้วย แล้วก็เก็บมันไว้ตลอดกาล ตามปกติแล้วถ้ามีไขมันไม่มากนัก มันก็จะถูกปล่อยเข้ามาในกระแสเลือดแล้วก็ออกไปจากร่างกายด้วยวิธีการต่างๆ แต่ว่าไวรัสตัวนี้มันเก็บไขมันไว้ในที่หนึ่ง สะสมไว้ด้วยกันโดยเฉพาะที่นี่ (อาจารย์ชี้ไปที่ท้องของท่าน) บางทีก็ไว้ข้างหลัง (ก้น) หรือบางแห่ง แล้วก็เก็บมันไว้ที่นั่นไปตลอด ขังมันไว้ตรงนั้นเอง ฉะนั้นคนที่อดอาหารลดความอ้วน หรือทำทุกสิ่งทุกอย่างหมดแล้ว ก็ยังอ้วนอยู่ตลอด
บางทีพวกเขาอาจจะค้นพบวิธีแก้ไขเรื่องนี้แล้วก็ได้ พวกเขาหวังว่าจะผลิตสิ่งที่ช่วยแก้ไขเรื่องนี้ได้ออกมามากๆ อย่างเปิดเผย แล้วตอนนั้นคนอ้วนก็จะได้รู้ข่าวดี และจะได้รูปร่างกลับมาดีอีก ข่าวที่ไม่ดีของเรื่องนี้ก็คือว่า ถ้าเธอไปอยู่ใกล้คนอ้วน เธอก็จะอ้วนด้วย นั่นเป็นสิ่งที่ฉันอ่านพบมาจากในรายงานนี้
ฉันคิดว่าวิธีป้องกันที่ดีที่สุดสำหรับพวกเราก็คือการทำสมาธิกวนอิม ถ้านั่งสมาธิมากขึ้น เราก็จะ "ป้องกัน" ตัวเราเองได้ กันอ้วน, กันผอม, กันน้ำ, กันไฟ ได้ ไม่อย่างนั้นโลกนี้จะน่ากลัวมาก อะไรก็ติดเธอได้ทั้งนั้น แม้แต่ความอ้วน ไม่น่าเชื่อเลย...





581048romvu3krup.gif



519012wmif6zub0d.gif



1529960c5pvhv19s9.gif



790992knjlpxgg1n.gif




ฺBe Veg, Go Green 2 Save the Planet
www.godsdirectcontact-thai.org
www.suprememastertv.com				
4 ตุลาคม 2556 22:56 น.

โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์

คีตากะ

20110520185219vxljz.jpg













ปราศรัยโดย ท่าน Suma Ching Hai, ไทเป, ฟอร์โมซา, 17 ธันวาคม 1986
(เดิมเป็นภาษาจีน)


      โพธิสัตว์มีหลายระดับชั้น: ระดับที่หนึ่ง ระดับที่สอง.....ระดับที่แปดไปจนถึงโพธิสัตว์ระดับที่สิบ และโพธิสัตว์มหาสัตว์ด้วย มหาสัตว์คือโพธิสัตว์ที่ระดับสูงสุด-เป็นหัวหน้าของโพธิสัตว์ทั้งหมด
แต่ก็ยังมีโพธิสัตว์อีกแบบหนึ่งซึ่งดูเหมือนว่าไม่ได้ช่วยเหลือผู้คนให้รอด เราเคารพนับถือพวกท่านว่าเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ เพราะว่าบุญกุศลของพวกท่านกว้างใหญ่ไพศาลราวกับมหาสมุทรซึ่งบริสุทธิ์และสงบมาก ฉะนั้นพวกท่านจึงเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ พลังของท่านเปรียบดังมหาสมุทรและพวกท่านจะทำงานกันแบบเงียบๆ ที่สุดเหมือนกับน้ำที่บริสุทธิ์ ไม่มีใครรับรู้ได้ถึงการดำรงอยู่ของท่าน ถึงแม้ว่าเราจะรู้ถึงนิรมาณกายแบบต่างๆ ของโพธิ์สัตว์ทั้งหลาย แต่โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์สูงกว่า เหนือกว่ามหาสัตว์ทั้งหลาย
ในจักรวาลมีระดับชั้นต่างๆ ที่รอให้เราบรรลุถึง และก็มีตำแหน่งมากมายให้เราได้รับ เพราะฉะนั้น การที่เพิ่งเข้ามาบำเพ็ญใหม่ๆ เราจึงไม่มีอะไรที่น่าจะคิดภาคภูมิใจได้ บางคนมีพลังปาฏิหาริย์อะไรนิดหน่อยก็เอามาโอ้อวดด้วยความหยิ่งทะนงตนแล้ว มีประโยชน์อะไรที่ได้รู้อดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตนิดหน่อย? ถึงแม้ว่าเราจะรู้ว่าพรุ่งนี้โลกจะถูกทำลาย เราก็ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย แล้วระหว่างเวลาช่วงตอนนี้ไปจนถึงพรุ่งนี้ เราก็จะรู้สึกหวาดกลัวที่สุดแล้วก็ยังกินไม่ได้นอนไม่หลับอีกด้วย แต่สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้โลกจะจบสิ้น อย่างน้อยพวกเขาก็ยังสามารถนอนหลับสบายและมีความสุขกับช่วงเวลาที่สงบมากกว่าเรายี่สิบสี่ชั่วโมง
ฉะนั้นมันจึงไม่มีประโยชน์จริงๆ ที่ได้รู้ถึงอดีต ปัจจุบัน และอนาคต การที่จะปูทางสำหรับอนาคตของเรานั้น เราควรจะเริ่มด้วยการกระทำในปัจจุบันของเรา ในชีวิตประจำวันของเรา จงพยายามเป็นคนดีมีศีลธรรม และรักษาศีลห้าอย่างบริสุทธิ์ตามที่ฉันสอนเธอแล้วว่า: อย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิต, อย่าลักขโมย, ให้ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม, อย่าโกหกและอย่าดื่มแอลกอฮอล แค่รักษาศีลห้าเหล่านี้อย่างเคร่งครัดก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดถึงบัญญัติต่างๆ มากมายเกินไป ถ้าเธอสามารถรักษาศีลห้าได้อย่างบริสุทธิ์แล้ว มันก็ไม่สำคัญแม้แต่ว่าเธอจะไม่เชื่อถือฉัน หรือไม่ได้บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม หรือไม่ได้อยากจะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เชื่อถือฉัน เธอก็ยังต้องเป็นคนดีและรักษาศีลห้าอย่างดีด้วย เพื่อที่อย่างน้อยเธอจะสามารถกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว
ฉันไม่เคยสอนอะไรที่ไม่ดีแก่เธอเลย เธออาจจะไม่เชื่อถือฉัน.....หรือตัวบุคคลคนนี้ก็ได้ แต่เธอควรจะเชื่อในคำสอนของฉัน ฉันสอนแต่สิ่งที่ดีๆ ให้แก่เธอ มันเป็นเรื่องที่ง่ายๆ ถ้าเธออยากจะเป็นมนุษย์ ก็คือเพียงแต่รักษาศีลห้าอย่างเคร่งครัดเท่านั้น แล้วเธอก็จะไม่มีความลำบากอะไร โดยการที่รักษาศีลห้าอย่างเคร่งครัดนั้น แม้ว่าเธอจะไม่ได้บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม เธอก็ยังสามารถจะเป็นมนุษย์ได้ ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่ง่ายเลยที่จะได้มีร่างกายมนุษย์อีก
ร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งมีค่ามาก หากไม่มีร่างนี้เราก็จะไม่มีอวัยวะทั้งหกที่ใช้รับความรู้สึก และไม่มีความรู้สึกทั้งหกนั้น (อายตนะทั้งหก) ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการบำเพ็ญของเรา แน่นอน, เรารู้ว่าอวัยวะรับความรู้สึกและความรู้สึกทั้งหกนั้นเป็นอุปสรรคกีดขวางที่น่าชังที่สุด แต่เราก็ยังต้องใช้มันในการบำเพ็ญของเรา เราจะบำเพ็ญไปไม่ได้ ถ้าปราศจากมัน เข้าใจไหม? มันก็จริงที่เราไม่จำเป็นต้องใช้หูเพื่อจะได้ยินเสียงภายใน แต่เราจะฟังได้อย่างไรโดยที่ไม่มีหู? ภาพที่เห็นในสมาธินั้นก็ไม่ได้เห็นได้ด้วยตา แต่ถ้าไม่มีร่างกายนี้ เราก็ไม่สามารถจะรับรู้ได้ ไม่สามารถจะเห็นโลกของพุทธะได้เช่นกัน เราจะไม่รู้ถึงสวรรค์หรือนรกหรือแดนสวรรค์ปัจฉิมเลย เพราะฉะนั้นร่างกายมนุษย์จึงเป็นสิ่งที่มีค่ามาก
มันเป็นเรื่องง่ายถ้าหากว่าเธอไม่อยากจะมาเป็นมนุษย์ เพียงแต่ว่ามันจะยากถ้าเธออยากจะเป็น แต่อย่างไรก็ตาม มันก็จะยากมากขึ้นไปอีกที่จะเป็นพุทธะ เพียงแต่จะเป็นโพธิสัตว์ธรรมดาๆ ก็ยากพอแล้ว แต่การจะเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์นั้น ก็ยิ่งมีความยากลำบากอย่างแสนสาหัสกว่าอีกมากมายหลายอย่าง การที่จะเป็น “โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์”   ......เป็นโพธิสัตว์สูงสุดและไร้รูป, จะต้องผ่านการทดสอบที่รุนแรงเข้มงวดสุดคณนา, สุดที่จะคิดจะกล่าวออกมาได้ ซึ่งเป็นบททดสอบที่จะผ่านได้ยากที่สุด เราอาจจะเวียนว่ายตายเกิดมาในโลกนี้หลายล้านครั้งแล้ว แต่เราจะไม่เคยได้ยินถึงบททดสอบที่รุนแรงเข้มงวดอย่างนี้ เราจะไม่มีวันได้ยินเลย
ถ้าเราเคยอ่านมามากๆ เราจะเคยอ่านเกี่ยวกับเรื่องของผู้บำเพ็ญที่ยิ่งใหญ่หลายคนในอดีต เกี่ยวกับบททดสอบที่ยากเย็นแสนเข็ญ และความเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่พวกเขาเหล่านั้นได้ประสบพบพาในวิถีทางบำเพ็ญ แต่ว่าแม้แต่ความลำบากที่เด่นชัดและเจ็บปวดที่สุดนั้นก็ยังไม่สามารถเทียบเทียมกับความลำบากที่โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ได้รับทั้งในด้านจำนวนความมากน้อยและความรุนแรงด้วย
โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์เกือบจะเป็นเหมือนกับพุทธะ เว้นแต่ว่าพุทธะนั้น “ไม่เคลื่อนไหว” ในขณะที่โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ “เคลื่อนไหว” พวกท่านเดินทางไปในจักรวาลดูแลจักรวาลอย่างดีและรักษาให้มันอยู่ในระเบียบ หน้าที่ความรับผิดชอบของพวกท่านคือการดูแลจักรวาล ขณะที่หน้าที่ของมหาสัตว์คือการช่วยจิตวิญญาณของมนุษย์ให้รอดและนำพวกเขากลับบ้าน ใครที่อยากจะไปแดนสวรรค์ปัจฉิมก็ควรจะศึกษาอยู่กับมหาสัตว์ พวกท่านปรากฏตัวเองลงมาในโลกนี้เพื่อช่วยผู้คน และนำวิญญาณของพวกเขากลับสู่บ้านเกิดของเขานั่นคือ...อาณาจักรสวรรค์, แดนบริสุทธิ์ปัจฉิม
เธอสวดท่องชื่อทั้งหลายของโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ แต่ไม่รู้เลยว่าพวกท่านเป็นใคร ถึงแม้ว่าพวกท่านจะมาปรากฏต่อสายตาของเรา เธอก็จะไม่รู้อยู่ดี มีแต่เพียงมหาสัตว์เท่านั้นที่รู้ว่า ใครคือโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ คนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางรู้ได้เลย เพราะว่าพวกท่านไม่อยากจะเปิดเผยระดับชั้นและพลังของท่าน พวกท่านจะดูปกติธรรมดามาก ธรรมดามากกว่าใครๆ เลย แม้แต่เวลาพวกท่านอยู่ในโลกนี้ ก็ไม่มีใครรู้ว่าท่านคือโพธิสัตว์ พวกท่านจะหลีกเลี่ยงที่สุดในเรื่องการแสดงพลังอิทธิปาฏิหาริย์ใดๆ และทำงานไปอย่างเงียบๆ เท่านั้น คนธรรมดาจะไม่ได้สังเกตเห็นเลย
งานของโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์แตกต่างจากงานของมหาสัตว์ พวกท่านจะละเว้นจากการเข้าไปแทรกแซงกับกรรมของผู้คน ในขณะที่มหาสัตว์จะทำเช่นนั้น มหาสัตว์สามารถช่วยเหลือคนจากนรกและพาเขาไปสวรรค์ หรือพาใครก็ได้ที่มีกรรมหนักมากไปยังแดนสวรรค์ปัจฉิม แต่ในสถานการณ์อย่างเดียวกันโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์จะเพียงแต่เฝ้าดูอยู่ด้านหนึ่งโดยไม่กระทำการใดๆ งานของพวกท่านคือการดูแลการทำงานของจักรวาลและดูแลรักษาการดำรงอยู่ของจักรวาลให้คงอยู่ พวกท่านจะไม่ช่วยผู้คน เธออาจจะกำลังอดตายอยู่แล้ว หรือกำลังถูกเผาไหม้จากไฟนรก พวกท่านก็จะไม่คำนึงถึง สำหรับเรามนุษย์ธรรมดาอาจจะดูว่าโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์นี้โหดร้ายและห่างเหินมาก แต่พวกท่านไม่ได้เป็นแบบนั้น มันเป็นเพราะธรรมชาติของงานของท่านที่แตกต่างออกไปเท่านั้นเอง





post-2683-1210915325.jpg




      แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ ฉันไม่คิดว่าพวกเธอจะสามารถผ่านการทดสอบทั้งหลายไปได้หรอก เพราะการที่จะเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์นั้น จะต้องผ่านระบบการฝึกที่เข้มงวดกวดขันและยากลำบากที่สุด กระบวนการฝึกที่แสนจะเจ็บปวดทุกข์ทรมานนี้ไม่สามารถจะใช้คำใดๆ มาบรรยายได้และมนุษย์ทั่วไปจะไม่เคยได้ยินและสุดที่จะคิดไปถึงได้ ก็เหมือนกับในกองทัพที่มีการฝึกแบบต่างๆ เช่นทหารราบ ทหารเรือ ทหารอากาศ จารชน และที่เสี่ยงชีวิตที่สุดคือ....หน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ถูกฝึกให้ฆ่าศัตรูแบบที่ต้องประจัญหน้ากันเลยด้วย การฝึกของหน่วยปฏิบัติการพิเศษนั้นยากลำบากแสนสาหัสที่สุด ใช่ไหม?
การจะเป็นโพธิสัตว์นั้น จำเป็นต้องผ่านการฝึกหลายแบบ เพื่อที่จะสำเร็จระดับชั้นต่างๆ ดังนั้นการจะเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ได้ ก็ต้องผ่านการฝึกที่ลำบากที่สุด ลำพังการฝึกฝนที่ลำบากไม่ได้ทำให้คนใดกลายเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ได้ แต่มันเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องผ่านการฝึกที่ลำบากขมขื่นที่สุด โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์เป็นผู้ที่ได้รับการคัดเลือกมาเป็นพิเศษ เราไม่มีทางจะเป็นได้โดยเพียงแต่อาศัยความที่อยากจะเป็น ผู้บำเพ็ญคนใดที่ยังไม่พ้นจากไตรภูมิ (สามโลก) ก็ไม่มีทางหวังว่าจะถูกเลือกหรอก
โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ทุกท่านถูกเลือกจากในโลกที่ห้า ไม่มีใครจะเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ได้ภายในไตรภูมิ เพราะว่าเขายังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ บทเรียนต่างๆ ของเราในโลกนี้ยังไม่ได้เรียนเลย เพราะฉะนั้นเราจะไม่ได้รับการคัดเลือกให้ไปผ่านการฝึกที่ยากลำบากที่สุดหรอก ก่อนอื่นเราจะต้องกลายเป็นโพธิสัตว์แห่งโลกที่ห้าก่อน และก็เต็มใจที่จะเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ ก่อนที่จะมีคุณสมบัติสำหรับการคัดเลือกนั้น แต่ทันทีที่ถูกเลือก ผู้นั้นก็ต้องผ่านการฝึกที่ยากลำบากที่สุด ซึ่งเจ็บปวดทุกข์ทรมานและรุนแรงมากยิ่งกว่าระบบในนรกเสียอีก
ในการบำเพ็ญนั้นมีหลายระดับชั้นมาก และหนทางของการฝึกบำเพ็ญก็ยาวมาก เพราะฉะนั้นในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญใหม่คนหนึ่ง จึงไม่ควรจะคุยโวโอ้อวดไป ฉันบอกพวกเธอไม่ให้เปิดเผยประสบการณ์ของเธอแก่คนอื่นก็เพื่อผลดีสำหรับตัวเธอเอง ไม่ใช่สำหรับตัวฉัน เธอจะบอกให้คนรู้ไปหมดทั้งประเทศก็ได้ ฉันไม่เดือดร้อนอะไรหรอก แต่เธอจะทำอันตรายต่อตัวเธอเองโดยการเปิดเผยความลับของทรัพย์สมบัติของเธอเอง
เพราะฉะนั้น จงบำเพ็ญไปเงียบๆ เพราะว่าเราต้องป้องกันรักษาระดับชั้นของเรา และค่อยๆ ปีนขึ้นไปช้าๆ เพื่อจะเป็นพุทธะ, มหาสัตว์ และโพธิสัตว์ที่สูงขึ้นไป ถ้าผู้บำเพ็ญใหม่คนใดมีพลังอิทธิปาฏิหาริย์อะไรบางอย่าง แล้วก็เที่ยวไปประกาศโฆษณาตัวเองเพราะว่าเขายังไม่มั่นคงภายใน เธอก็ควรจะรู้ว่าคนแบบนี้เชื่อถือไว้ใจไม่ได้ พอเห็นคนเหล่านี้ ผู้บำเพ็ญที่บรรลุแล้วก็สามารถจะบอกได้ว่าพวกเขากำลังพบกับอุปสรรค....กำลังทุกข์ทรมานจาก “อาการเซ็น” ที่เราพูดถึงบ่อยๆ คนที่ไม่ได้กำลังทุกข์จาก “อาการเซ็น” จะไม่เที่ยวออกไปคุยโม้โอ้อวดแบบนี้
ผู้บำเพ็ญควรจะถ่อมตน ยิ่งเขามีระดับชั้นสูง เขาก็ยิ่งถ่อมตนมากขึ้น และยิ่งกลัวว่าคนจะรู้ถึงระดับชั้นและพลังของเขา บางคนตอนอยู่ในระยะเริ่มต้นบำเพ็ญก็ยังไม่เป็นไร แต่หลังจากได้บรรลุระดับชั้นอะไรนิดหน่อยและมีประสบการณ์อะไรบางอย่าง พวกเขาก็เที่ยวคุยโม้ไปทั่วทุกแห่ง พูดมากจนกระทั่งเจออุปสรรคที่ชั่วร้ายหลายอย่าง ยิ่งระดับชั้นของพวกเขาสูงมาก อุปสรรคนั้นก็จะยิ่งชั่วร้ายมาก
เพราะฉะนั้นความผิดพลาดที่ร้ายกาจที่สุดในการบำเพ็ญก็คือการพูดถึงประสบการณ์ พอพูดออกไปมากประสบการณ์นั้นก็จะมีลักษณะบิดเบือนเพี้ยนไปไม่ตรงกับความจริง หรือไม่มีประสบการณ์มาอีกเลย มีแต่ภาพลวงมายาเท่านั้น มันเป็นเพราะว่าพลังที่รวบรวมเข้ามานั้นเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ และสิ่งแวดล้อมในการบำเพ็ญนั้นถูกทำลายไป เดิมสิ่งแวดล้อมในการบำเพ็ญนั้นเป็นกำแพงป้องกัน แต่พอผู้นั้นปล่อยให้มีการรั่วไหลออกมามากไป มารก็จะเจาะช่องและเล็ดลอดเข้ามาได้ ในการบำเพ็ญนั้น เรากลัวการมีทัศนคติที่คุยโวโอ้อวดและหยิ่งยโสโอหังมาก ยิ่งใครภาคภูมิใจมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเดือดร้อนมากเท่านั้น
ฉันก็รู้เหมือนกันว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องที่ง่ายมากสำหรับผู้บำเพ็ญที่จะยอมเชื่อถือในตัวอาจารย์ผู้หนึ่ง เพราะฉะนั้น ถ้าเธอไม่ได้เชื่อถือฉัน มันก็ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก แต่มันเป็นเพราะบรรยากาศในระยะสุดท้ายนี้ของธรรม ในยุคปัจจุบันนี้จึงถูกเรียกว่ายุคสุดท้ายของธรรม
การบำเพ็ญไม่ใช่เรื่องที่ง่ายจริงๆ ในศูรางคมสูตรมีกล่าวไว้ว่า: ในยุคสุดท้ายของธรรม ถ้ามีใครที่มีความจริงใจในการบำเพ็ญอย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าเขาอาจจะเคยบำเพ็ญมาเพียงนิดเดียว แต่พุทธะและโพธิสัตว์ทั้งหลายก็จะมาและให้ความช่วยเหลือแก่เขาอย่างมากมาย โชคร้ายที่น้อยคนจะมีความจริงใจและมีความเชื่อมั่นศรัทธาในการบำเพ็ญ ส่วนมากพวกเขาจะเลือกวิธีที่ง่ายกว่าและสบายผ่อนคลายมากกว่า ไม่เต็มใจที่จะเลือกวิถีทางที่ยากและเคร่งครัด การที่จะบำเพ็ญตามวิธีของเรา ผู้นั้นจะต้องเป็นมังสวิรัติและนั่งสมาธิอย่างน้อยวันละสองชั่วโมงครึ่ง นอกจากนี้ เราถูกห้ามไม่ให้ฆ่า, โกหก, ประพฤติผิดในกาม, ลักขโมย และดื่มแอลกอฮอล สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วจะรู้สึกว่าเรื่องนี้เคร่งครัดและลำบากเกินไป
แม้แต่ในโลกนี้ก็เถิด ถ้าใครอยากจะได้รับปริญญาเอก(Ph.D)....เป็นหมอเป็นนักกฎหมาย หรือมีเกียรติศักดิ์ศรีในสังคม ก็ต้องศึกษาเล่าเรียนอย่างหนัก ไม่ถูกหรือ? มันก็ต้องลำบากมากกว่าเป็นธรรมดาสำหรับผู้ที่อยากจะเป็นพุทธะหรือโพธิสัตว์ และได้รับการหลุดพ้นจากการเกิดและการตายในชาติเดียว
ในยุคสุดท้ายของธรรม ถึงแม้ว่าความจริงใจของเราจะมีนิดเดียว พุทธะและโพธิสัตว์ก็จะช่วยเรามากแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ดีมากจริงๆ ไม่อย่างนั้นการนั่งสมาธิสองชั่วโมงครึ่งของเธอก็ไม่มีอะไรเลยจริงๆนะ! พระศากยมุนีพุทธเจ้านั่งสมาธิตลอดทั้งวัน คนหลายคนนั่งสมาธิสิบถึงยี่สิบชั่วโมงโดยไม่ได้รับอะไรเลย ถ้าพุทธะและโพธิสัตว์ไม่ได้ช่วยเราด้วยพลังของท่าน เราก็จะไปไม่ถึงไหนเลยในการบำเพ็ญของเรา
ที่จริงแล้ว การบำเพ็ญไม่ได้ลำบากน่าขมขื่นมากมายอะไรจริงๆ หรอก แต่มันยิ่งยากมากกว่าที่จะกำจัดความหยิ่งยโสอวดดีไปได้ และก็ยิ่งยากมากขึ้นไปอีกที่จะปิดปากกว้างนี้ไว้ไม่ให้อะไรรั่วไหลออกมา ความหยิ่งยโสและการคุยโตโอ้อวดนั้นเป็นสิ่งที่ยากที่สุดที่จะแก้ไข ผู้บำเพ็ญที่ไม่มีประสบการณ์มากหรือไม่ก้าวหน้ามากในการบำเพ็ญนั้นส่วนใหญ่มีอุปสรรคขัดขวางจากความหยิ่งยโสของพวกเขา พวกเขาคุยมากไป ยังเพิ่งบำเพ็ญใหม่ๆ แต่ว่าก็พูดมากแล้ว
พระศากยมุนีพุทธเจ้าก็ห้ามลูกศิษย์ของท่านไม่ให้พูดคุยโอ้อวดเช่นกัน พระโมคคัลลาน์มีพลังอิทธิปาฏิหาริย์ แต่ว่าพระพุทธเจ้าก็ห้ามไม่ให้เขาใช้ ฉันก็แนะนำเธอแบบเดียวกัน พอเธอบำเพ็ญปฏิบัติไป พลังอิทธิปาฏิหาริย์ทั้งหลายก็จะมาหาเราเองตามธรรมชาติ แต่เธอต้องไม่โอ้อวดเรื่องนี้ ถ้าเธอมีอำนาจที่สามารถอ่านใจคนได้ ก็จงอย่าให้ใครรู้จะดีกว่า ไม่อย่างนั้นคนจะกลัวเธอ กลัวว่าเธอจะอ่านใจของเขาออก เวลาที่พวกเขามาหาเธอ แล้วต่อไปก็จะไม่มีใครกล้ามาหาเธอ จริงไหม?
ถ้าหากว่าเธอมีพลังอย่างอื่นเช่น “ขาทิพย์” หรือ “ตาทิพย์” ก็เก็บเป็นความลับไว้เหมือนกัน คนอื่นอาจจะมาทำร้ายเราได้ถ้าพวกเขารู้เข้า มันไม่มีข้อดีอะไรเลย บางคนจะอิจฉาด้วย เพราะพวกเขาจะเกลียดเราที่เหนือกว่าพวกเขา ถ้าเราเกิดพูดอะไรไม่ถูกหูเขา เขาก็จะคิดหาวิธีทำร้ายเราด้วยเวทย์มนตร์ดำ เหมือนกับพระโมคคัลลาน์ เขาชอบใช้พลังอิทธิปาฏิหาริย์ แต่แล้วในที่สุดเขาก็ถูกทำร้ายจากคนนอกศาสนาที่มีเวทย์มนตร์ดำ
ฉะนั้นฉันจึงคอยแนะนำและตักเตือนเธออยู่ตลอดเวลา อย่าเปิดเผยระดับชั้นในการบำเพ็ญของเธอให้คนอื่นรู้ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีบางคนที่ขจัดข้อเสียนี้ไปไม่ได้ เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกลักษณะนิสัยของเขาไปแล้ว มันจึงยากมากที่จะเปลี่ยน และก็ทำให้เกิดความลำบากยุ่งยากมากมาย ถ้าเราสังเกตเห็นคนแบบนี้ ก็จงอยู่ห่างๆ จากเขาจะดีกว่าและอย่าไปฟังคำพูดของเขา ไม่อย่างนั้น เธอก็จะติดเชื้อไปด้วย เป็นเหมือนกับโรคติดต่อ
เวลาเธออยู่กับคนที่มีกรรมกีดขวางที่ชั่วร้าย....เธอไม่ต้องอาศัยพักอยู่กับเขาด้วยซ้ำไป แค่นั่งอยู่ใกล้ตัวเขา เธอก็ติดเชื้อรับปัญหาของเขามาครึ่งหนึ่งเรียบร้อยแล้ว เวลาเธอไปเยี่ยมคนป่วย...ไปคลุกคลีและติดต่อกับพวกเขา ความเจ็บไข้ได้ป่วยครึ่งหนึ่งของเขาก็ผ่านมาสู่ตัวเธอแล้ว เธอต้องรับเอากรรมของเขามาครึ่งหนึ่งแล้ว ไม่อย่างนั้น, ทำไมพุทธะและโพธิสัตว์ทั้งหลาย เวลาพวกท่านปรากฏร่างและมายังโลกนี้จึงกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาทั่วไปหลังจากที่พวกท่านเกิดมาล่ะ? ตอนแรกพวกท่านก็เป็นคนธรรมดาก่อน แล้วต่อมาจึงบำเพ็ญเพื่อเป็นพุทธะหรือโพธิสัตว์ ถึงแม้ว่าพวกท่านจะเป็นนิรมาณกายของพุทธะหรือโพธิสัตว์ แต่ท่านก็จะยังถูกแปดเปื้อนจากโลกนี้ ถ้าหากว่าไม่มุ่งบำเพ็ญต่อไป
ดูพระศากยมุนีพุทธเจ้าเป็นตัวอย่างก็ได้ พวกเธอทุกคนรู้ว่าท่านคือ Prabhapala มหาสัตว์ที่ลงมาจากสวรรค์ชั้นดุสิต หน้าที่ภารกิจของท่านก็คือช่วยคนบนโลก แต่อย่างไรก็ตาม เวลาผ่านไปสามสิบปีแล้วหลังจากที่ท่านเกิดมา ท่านก็ยังไม่ได้ทำอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อสรรพสัตว์เลย ท่านเป็นเจ้าชายซึ่งไม่ต้องทำงาน ได้แต่มีความสุขเพลิดเพลินกับสิ่งทางโลกอยู่ทุกวัน....ไม่มีความคิดอะไรเกี่ยวกับการบำเพ็ญเลย
ตอนที่ท่านเกิดมานั้น ท่านสามารถเดินไปได้เจ็ดก้าว ตอนนั้นท่านยังรู้ตัวอยู่ว่าท่านเป็นใคร ท่านจึงพูดว่า “ฉันคือผู้สูงสุดในสวรรค์และบนแผ่นดิน” แต่พอท่านโตขึ้น ท่านก็เปลี่ยนไปกลายเป็นคนไม่รู้อะไรเลยเช่นกันและยิ่งไม่รู้เรื่องอะไรยิ่งกว่าคนธรรมดาทั่วไปเสียอีก เพราะมีผู้หญิงสวยๆ แวดล้อมมากมาย ท่านจึงเพลิดเพลินมีความสุขกับโลกอยู่ทุกวันและก็ไม่คิดถึงอะไรอย่างอื่นอีกเลย ท่านถูกล้อมรอบไปด้วยบรรยากาศที่สะดวกสบายอย่างจงใจให้เป็นอย่างนั้น บิดามารดาของท่านเอาอกเอาใจท่านอย่างมาก ท่านได้รับการสรรเสริญเยินยอจากข้าราชบริพาร พวกเขากีดกันท่านไม่ให้รู้จักกับสถานการณ์อันไม่พึงปรารถนาต่างๆ และห้ามไม่ให้ใครไปเตือนใจท่านให้นึกถึงการมุ่งมั่นเพื่อบำเพ็ญปฏิบัติต่อไป ดังนั้นก่อนที่ท่านจะอายุถึงสามสิบปี ท่านจึงเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ท่านคือนิรมาณกายของมหาสัตว์ท่านหนึ่ง และได้บรรลุความเป็นพุทธะมานานแล้ว แต่พอเกิดมาในโลกนี้ ท่านก็กลายเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะฉะนั้น โลกนี้จึงน่ากลัวจริงๆ ถ้าไม่มุ่งบำเพ็ญปฏิบัติต่อไป แม้แต่ผู้ที่เป็นพุทธะหรือโพธิสัตว์ลงมาเกิด ก็จะหลงทางไปอย่างแน่นอน ดังนั้นไม่ว่าจะอยู่ภายใต้สถานการณ์ใดๆ ท่านก็ต้องบำเพ็ญอีก
พวกเธอถามฉันเรื่อยว่า “ทุกคนไม่ได้มีธรรมชาติพุทธะหรอกหรือ? ทำไมเรายังเป็นมนุษย์ธรรมดาอยู่ล่ะ?” มันก็เป็นเพราะว่า หลังจากที่เรามายังโลกนี้แล้ว เราก็ “ติดเชื้อ” และถูกส่งเชื้อต่อมาให้จากคนธรรมดา โลกก็เหมือนกับบริเวณที่มีโรคระบาด ตอนแรกมีคนเดียวที่ได้รับโรคนั้นมา ไม่นานมันก็แพร่ไปยังคนอื่นเป็นสองหรือสามคน แล้วก็ลามไปยังคนมากขึ้นๆ จนกระทั่งทั้งบริเวณติดเชื้อไปหมด บางครั้งทุกคนและแม้แต่สัตว์ทั้งหลายในเมืองนั้นก็เสียชีวิตไปด้วย ไม่เว้นแม้แต่ลูกแมวหรือลูกหมาที่จะมีชีวิตอยู่รอดไปได้ เพราะฉะนั้นโรคติดต่อจึงน่ากลัวมากจริงๆ
ก็คล้ายๆ กับเวลาที่พุทธะหรือโพธิสัตว์มายังโลกนี้ พวกท่านก็จะกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ ไปด้วย ถ้าหากว่าพวกท่านไม่บำเพ็ญต่อไป เดิมพวกเราเป็นพุทธะกันทุกคน มีธรรมชาติพุทธะกันทุกคน แล้วทำไมเราถึงไม่รู้ล่ะ และก็ไม่ได้รับรู้ด้วย? มันก็เป็นเพราะว่า เราถูกโลกนี้เอาเชื้อมาติดเป็นเวลานานมาแล้ว ตอนนี้เราเพิ่งจะเริ่มบำเพ็ญ แล้วเราจะรู้ทันทีได้อย่างไร? อย่างไรก็ตาม ด้วยการบำเพ็ญอย่างขยันขันแข็ง ไม่ช้าก็เร็วเราก็จะกลายเป็นโพธิสัตว์ “ผู้ที่บำเพ็ญจะกลายเป็นโพธิสัตว์ ผู้ที่ไม่บำเพ็ญจะกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ” -เหตุผลนี้ชัดเจนแน่นอน ไม่มีอะไรอื่นที่จะนำมากล่าวอีกแล้ว
เธอเห็นอยู่แล้วว่าแม้แต่พระศากยมุนีพุทธเจ้าก็ใช้เวลาบำเพ็ญอยู่หกปีเพื่อจะกลายเป็นพุทธะ พระเยซูคริสต์บำเพ็ญนานกว่าสิบปีแล้วในที่สุดก็กลายเป็นมหาอาจารย์ สังฆปรินายกองค์ที่หกคือท่านฮุ่ยเหนิง(เว่ยหลาง)รู้แจ้งอยู่แล้วตอนที่ท่านได้พบกับสังฆปรินายกองค์ที่ห้าคือท่านหงเหริน แต่ท่านก็ยังต้องหลบซ่อนตัวเองและบำเพ็ญอยู่อีกสิบหกปี หลังจากที่สังฆปรินายกองค์ที่ห้าท่านหงเหรินได้ถ่ายทอดธรรมแก่ท่านแล้ว ส่วนโพธิธรรมก็ไม่ได้ช่วยโปรดสรรพสัตว์ส่งขึ้นสวรรค์ไปในระหว่างสมัยของท่าน เพราะว่าพลังของท่านดูจะยังไม่มากพอ (อาจารย์หัวเราะ) ไม่มีใครฟังท่านเลย ท่านจึงพูดอยู่กับฝาผนังอยู่ถึงเก้าปี ฉันได้ยินมาว่าเพราะการนั่งสมาธิเป็นเวลานานมากของท่านนี้ ต่อมาท่านจึงเดินไม่ได้ ในสมัยหลังๆ นี้เรามักจะได้เห็นภาพของท่านในท่าเดิน นั่นเป็นภาพของนิรมาณกายของท่านที่ปรากฏให้คนเห็น
มีคำกล่าวอยู่ว่า “ผู้ที่อยู่ใกล้ชาดก็จะเปื้อนสีแดง และผู้ที่อยู่ใกล้หมึกก็จะเปื้อนสีดำ” การคลุกคลีกับคนเลว ผู้นั้นก็จะกลายเป็นคนเลว การคลุกคลีกับคนดีมีศีลธรรม ผู้นั้นก็จะกลายเป็นคนมีศีลธรรม การอยู่กับคนที่มีการศึกษา ผู้นั้นก็สามารถจะเรียนรู้อะไรบางอย่าง การอยู่กับคนโง่ ผู้นั้นก็จะกลายเป็นคนโง่ไปด้วย คนที่พูดภาษาอังกฤษคล่องๆ ก็จะลืมได้เช่นกัน ถ้าเขาไม่ได้พูดภาษาอังกฤษมาสามสิบปี การที่จะพูดภาษาอังกฤษจะต้องมีการฝึกพูดทุกวัน ถ้าเธออยู่กับคนไม่พูดภาษาอังกฤษไปนานๆ ต่อไปเธอก็จะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ หรือพูดได้ไม่คล่อง
ก็เหมือนกับตัวฉัน ตอนนี้ฉันพูดภาษาเอาแลคได้ไม่คล่องนัก เพราะฉันไม่ได้พูดมานานแล้ว และฉันก็ยังมีปัญหากับภาษาอังกฤษของฉันอีกด้วยนะ (มีเสียงหัวเราะ) แต่ก็จะหมดปัญหานี้หลังจากที่ฉันได้อยู่ในสหรัฐอเมริกาสักสองสามวัน แต่ถ้าฉันยังคงพูดภาษาจีนไปเรื่อยๆ ทุกวันแบบนี้ บางทีอีกสามสิบปีต่อไปฉันอาจจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นก็เป็นแบบเดียวกับการบำเพ็ญ โดยการที่ได้อยู่กับคนแบบหนึ่ง เธอก็จะกลายเป็นเหมือนเขาในที่สุด นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำไมเราจึงต้องระมัดระวังในการเลือกอาจารย์ที่แท้จริงในการบำเพ็ญ
เอาล่ะ ตอนนี้เธอยังอยากจะกลายเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์อยู่อีกหรือเปล่า? (มีบางคนตอบ: ยังอยากเป็น) บางคนยังจะทำหน้ายาวอยู่เลยเวลาถูกฉันดุว่านิดๆหน่อยๆ แล้วอย่างนี้พวกเขาจะหวังที่จะได้เป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ได้อย่างไรกัน? (เสียงหัวเราะ) มันไม่ง่ายหรอกนะที่จะเป็นโพธิสัตว์แบบนี้ พอเธอปฏิญาณตนที่จะกลายเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ เธอก็จะลำบากมากทันที แม้แต่อาจารย์ธรรมดาๆ ท่านหนึ่งยังมีความยากลำบากมากมายเหลือเกิน แล้วเธอนึกออกไหมว่าโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์จะลำบากขนาดไหน?
ในจักรวาลนี้ นอกจากพุทธะแล้ว โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์นี่แหละที่มีสถานะที่สูงสุดรองลงไป ตำแหน่งที่สูงสุดในจักรวาลคือพุทธะสูงสุดหรืออนุตรสัมมาสัมโพธิ ส่วนโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์นั้นสูงสุดเป็นอันดับสอง พวกท่านอยู่เหนือกฎของจักรวาล ท่านจะไปสวรรค์และนรกเป็นธรรมดาๆ เหมือนกับเราไปตลาดเพื่อซื้ออาหาร ท่านเหล่านี้สามารถจะไปไหนก็ตามที่ต้องการ และจะทำอะไรก็ได้แล้วแต่จะชอบ ไม่มีสิ่งใดอื่นอีกที่สูงกว่าหรือเหนือกว่าท่าน เพราะว่าพุทธะสูงสุดนั้นไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ มาตั้งแต่เดิม อนุตรสัมมาสัมโพธินั้นนิ่งสนิทอย่างสมบูรณ์ที่สุด เพราะฉะนั้นในความเป็นจริงโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์จึงสูงสุด





post-2683-1210915382.jpg




ถ: ขอถามอาจารย์หน่อยว่า มีพุทธะอยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นหรือ?
อ: เปล่า, พุทธะหมายถึงพลัง ตัวอย่างเช่นในประเทศอังกฤษ แน่นอนที่พระราชินีอยู่ในตำแหน่งที่สูงสุด แต่ท่านก็ไม่ได้ทำอะไรเลย และไม่เข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงในเรื่องการเมืองการปกครอง ท่านเป็นแต่เพียงสัญลักษณ์ของตำแหน่งที่สูงสุด แต่ว่านางแธตเชอร์(นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น) มีชื่อเสียงที่สุด ทุกประเทศรู้จักเธอ ใครก็ตามที่อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงที่สุดเสมอ เธอเป็นที่รู้จักกันดีมากกว่าพระราชินี ทุกๆ คนเกรงกลัวเธอ และเธอสามารถจะทำอะไรก็ได้ตามต้องการ แน่นอนที่ตำแหน่งพระราชินีนั้นสูงที่สุด แต่ว่าก็ไม่มีอำนาจมากเท่ากับนายกรัฐมนตรี ถูกไหม? พระราชินีไม่ได้เดินทางไปไหนต่อไหน ไม่ได้ทำอะไร และจะไม่ได้เป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลงกฎหมายใดๆ แต่ว่านายกรัฐมนตรีต้องทำทุกสิ่งทุกอย่าง เธอเป็นคนที่ดุและเข้มงวดมาก และบางครั้งก็ถูกคนอื่นคัดค้านไม่ยอมรับ ตัวอย่างเช่น นางแธตเชอร์มีชื่อเสียงในการเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดุและแข็งกร้าว คนเรียกเธอว่าสตรีเหล็ก เพราะว่าเธอแน่วแน่มั่นคงมากในทัศนคติความคิดเห็นของเธอ และเธอก็มีอำนาจมาก แม้แต่พระราชินีของอังกฤษก็ยังไม่สามารถทำอะไรกับเธอได้ ได้แต่เพียงแนะนำเธอว่า “กรุณาอย่าเข้มงวดมากนักเลย พยายามผ่อนผันบ้างสักนิดหน่อยในบางครั้งเถอะ” แต่เธอก็ยังไม่ยอมอยู่ดี ไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอกหรือ?
เพราะฉะนั้นก็เช่นเดียวกันกับโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ ในจักรวาลนี้ ท่านเหล่านี้มีอำนาจมากที่สุด ถ้าเธออยากจะเป็นก็จงขยันให้มากขึ้นก็แล้วกัน แต่ฉันเกรงว่าเธอจะทนกับระบบการฝึกที่ลำบากแสนสาหัสที่สุดนั้นไม่ไหวนะซี เพราะฉะนั้นก็ค่อยๆ ไปอย่างช้าๆ ก็แล้วกัน เป็นโพธิสัตว์ก่อน แล้วค่อยไต่ขึ้นไป แต่ถ้าเธอปฏิญาณตนอย่างสุดใจ วันหนึ่งเธอก็จะได้เป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์แน่นอน เราสามารถจะเป็นสิ่งที่เรามีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเป็น...เรื่องนี้แน่นอนที่สุด แต่ว่ามันอาจจะไม่ได้เป็นจริงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว... บางทีอาจจะเป็นในชาติหน้า หรืออีกหลายๆ ชาติต่อไป อย่างไรก็ตามถ้าเธอตั้งใจมาก เธอก็อาจจะประสบความสำเร็จได้ในที่สุด

ถ: โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์จะมายังโลกนี้ไหม?
อ: มาซี! ? ทำไมจะไม่มาล่ะ? พวกท่านอยู่ทุกหนทุกแห่งเลย

ถ: ท่านเหล่านั้นจะมีกรรมไหมเวลาที่มายังโลกนี้? ท่านจะติดเชื้อจากโลกนี้ไปด้วยไหม? (เสียงหัวเราะ)
อ: ไม่มี, ท่านจะไม่มีกรรมอะไรเลย แล้วก็จะไม่ติดเชื้อจากโลกนี้ด้วย

ถ: พวกท่านมายังโลกนี้ด้วยนิรมาณกายเหมือนกันหรือ?
อ: ท่านแตกต่างจากนิรมาณกายของมหาสัตว์ พวกท่านคือกฎ และพวกท่านมีอำนาจทั้งหมดทุกอย่าง....มีพลังอิทธิปาฏิหาริย์ และสามารถจะกลายร่างเป็นอะไรก็ได้ตามต้องการ พลังปาฏิหาริย์ของท่าน, พลังของท่าน และอำนาจบังคับบัญชาของท่านมีอยู่ตลอดเวลา พวกท่านแตกต่างจากโพธิสัตว์ธรรมดาๆ

ถ: ถ้าอย่างนั้น ฉันก็อยากจะเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์คนหนึ่ง
อ: ฉันรู้ว่าเธออยากจะเป็น(มีเสียงหัวเราะ) แต่มันไม่ได้ง่ายดายอย่างนั้นหรอกนะ พอเธอบำเพ็ญบรรลุถึงโลกชั้นที่ 5 แล้วค่อยมาพูดเรื่องนี้กันใหม่ดีกว่า

ถ: ขอถามอาจารย์หน่อยว่า โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ต้องผ่านกระบวนการของการเกิดและการเติบโตขึ้นมาหรือม่เวลาที่ท่านมายังโลกนี้?
อ: มันไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้นเสมอไปหรอก พวกท่านแตกต่างจากโพธิสัตว์ธรรมดาๆ

ถ: พวกท่านมายังโลกนี้เพื่อทำงานของท่านเท่านั้นหรือ?
อ: ถูกต้อง! ท่านมาแล้วก็ไปตามแต่ท่านจะต้องการ

ถ: แต่ว่าโพธิสัตว์ธรรมดาๆ ต้องเกิดมาตอนที่ท่านมาในตอนแรก? ถูกหรือไม่?
อ: ถูก! โพธิสัตว์ธรรมดาต้องอาศัยการเกิดคลอดออกมาก่อน ซึ่งโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ไม่ต้องทำอย่างนั้น พวกท่านสามารถจะกลายร่างเป็นอะไรก็ได้ตามต้องการ สามารถกลายเป็นแมลงวันตัวหนึ่งหรือก้อนหินก้อนหนึ่งได้ทันที แต่ว่ามีพลังอำนาจอยู่ในก้อนหินก้อนนั้นหรือแมลงวันตัวนั้น ไม่ว่าท่านจะกลายร่างของท่านเป็นอะไร ท่านก็จะยังรู้ตัวอยู่อย่างสมบูรณ์ว่าท่านเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ ท่านสามารถหายตัวไปหรือปรากฏมาเป็นสิ่งมีชีวิตใดๆก็ได้ตามต้องการ ท่านสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์คนหนึ่งหรือเป็นสุนัขตัวหนึ่งก็ได้แล้วแต่จะชอบ แต่สุนัขตัวนี้จะไม่ใช่สุนัขธรรมดาๆ และจะไม่มีกรรมอะไรเลย เป็นอิสระจากกรรม เวลาอยู่ในร่างมนุษย์ ท่านก็จะไม่ติดเชื้อกรรมจากคนอื่นและก็ไม่ถูกแปดเปื้อนจากสังคมด้วย ไม่ว่าท่านจะมีรูปร่างเป็นอะไร สติของท่าน สำนึกของท่านก็จะตื่นอยู่ตลอดอย่างสมบูรณ์ โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์อยู่ในตำแหน่งที่สูงสุด ถ้ามีพระเจ้าสูงสุดจริงๆ พวกท่านก็รองลงมาจากพระเจ้านิดหน่อยเท่านั้น พระเจ้าเป็นอันดับหนึ่ง พวกท่านเป็นอันดับสอง เข้าใจไหม?

ถ: โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ได้รับการฝึกที่ไหน?
อ: พวกท่านได้รับการฝึกในมิติที่อยู่เหนือขึ้นไป

ถ: ท่านเหล่านั้นจะยังคงเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ไปตลอดกาล หรือว่าในที่สุดพวกท่านจะกลายเป็นพุทธะไป?
อ: ท่านจะเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ไปตลอดกาล พวกท่านจะกลายเป็นพุทธะก็ได้ถ้าท่านอยากจะเป็น แต่ว่าท่านไม่ต้องเป็นก็ได้

ถ: อาจารย์, ท่านบอกว่าโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ไร้อารมณ์สนใจหรือเป็นห่วงเป็นใยต่อสิ่งที่มีอิทธิพลโน้มน้าวจิตใจใดๆ ทางภายนอก สมมุติว่าสรรพสัตว์ผู้หนึ่งบังเอิญได้พบกับนิรมาณกายของโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ พวกท่านจะช่วยเหลือเขาไหม?
อ: ท่านจะไม่ช่วย

ถ: ทำไม?
อ: เป็นเพราะว่ามีโพธิสัตว์อื่นๆ ที่กำลังทำหน้าที่นั้นอยู่แล้ว!

ถ: แต่พวกท่านก็ยังสามารถช่วยคนได้อีกทางหนึ่ง!
อ: ทำไมท่านจึงควรจะช่วยเธอล่ะ? โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับเธอเลย พวกท่านดูแลทั้งจักรวาล ไม่ใช่แค่คนคนเดียวหรือสองคนหรือกลุ่มใด พวกท่านแตกต่างจากมหาสัตว์

ถ: ถ้าพวกท่านพบคนที่กำลังจะตาย พวกท่านจะช่วยเขาไหม?
อ: ท่านจะช่วยเขาได้อย่างไร? ถ้าเธอไม่ได้เป็นหมอ แล้วเธอจะช่วยรักษาคนป่วยได้อย่างไรเวลาพวกเขามาหาเธอ? พวกท่านไม่สามารถจะทำงานแบบนี้ได้หรอก ท่านมีธุระวุ่นวายอยู่มากเกินกว่าที่จะมาดูแลเรื่องของคนคนเดียวหรือสองคน หรือแม้กระทั่งทั้งโลกก็ตาม พวกท่านมีงานยุ่งมาก ยุ่งมากที่สุดจริงๆ! พวกท่านไม่มีเวลาจะมาดูแลคนคนหนึ่งหรือสองคนหรอก

ถ: อาจารย์จะช่วยยกตัวอย่างสักอย่างหนึ่งให้เห็นภาพได้ไหมว่า การฝึกที่ลำบากแสนสาหัสที่โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์จะต้องผ่านนั้นเป็นอย่างไร?
อ: เรื่องนี้อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้หรอก เพราะว่าในโลกนี้ไม่มีระบบการฝึกแบบนี้ (มีเสียงหัวเราะ) ฉันเพิ่งบอกเธอไปแล้วว่า การฝึกนี้รุนแรงลำบากและเจ็บปวดทุกข์ทรมานมากกว่าในนรกอีก มันเหลือที่เธอจะนึกคิดวาดภาพออกมาได้

ถ: แล้วในโลกระดับสูงๆ ขึ้นไปนั้นจะมีสิ่งที่เลวร้ายอย่างนี้ได้อย่างไรกันล่ะ?
อ: มันไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายอะไร แต่เป็นการฝึกที่จำเป็นและสำคัญ

ถ: ทุกๆ คนสามารถเป็นโพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์นี้ได้หรือเปล่า?
อ: เรื่องนี้จะต้องได้รับการตัดสินจากการคัดเลือก พอเธอถูกเลือกขึ้นมา พวกเขาก็จะเริ่มฝึกเธอไปอย่างช้าๆ

ถ: ใครเป็นผู้ตัดสินใจ?
อ: โพธิสัตว์มหรรณพพิสุทธิ์ศานต์ทั้งหลายเป็นผู้ตัดสิน พวกท่านจะเลือกใครก็ได้ตามที่ท่านต้องการและเราจะไม่ได้รู้ล่วงหน้าเลย เราเพียงแต่รู้ หลังจากเราถูกเลือกแล้ว เพราะว่าเราจะต้องผ่านความลำบากและความทุกข์ทรมานแบบต่างๆ แต่อย่างไรก็ตาม เธอจะไม่ถูกเลือกหรอกในขณะที่ยังอยู่ในโลกนี้น่ะ.... ฉันสามารถรับประกันกับเธอได้แน่นอนในเรื่องนี้ (มีเสียงหัวเราะ) หลังจากเธอขึ้เนไปถึงโลกที่ห้าแล้วค่อยมาพูดกัน เธอได้แต่มีทางเป็นไปได้ที่จะถูกเลือก หลังจากที่เธอผ่านพ้นไตรภูมิไปแล้วเท่านั้น...






2011_10_16_215516_780wa2bu.jpg


Be Veg, Go Green 2 Save the Planet
www.godsdirectcontact-thai.org
www.suprememastertv.com				
4 ตุลาคม 2556 22:57 น.

ไข่เป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็ง

คีตากะ

316955zq57i6zmre.jpg












ไข่เป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็งอย่ากินเลย


โดยพี่ประทับจิตหญิง ลิน ชิว ลิง เตาหยวน ฟอร์โมซา


     อาจารย์เตือนพวกเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าอย่ากินไข่ เพราะว่ามันเป็นหยิน (พลังทางลบ) โดยธรรมชาติอยู่แล้ว และมันจะดึงดูดพลังที่เป็นลบมาด้วย นอกจากนี้ไข่ยังมีชีวิตอยู่ครึ่งหนึ่ง
วันหนึ่งขณะที่กำลังจับตามองหาช่องทีวี ฉันก็พบรายการหนึ่งเกี่ยวที่มีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งทำการทดลองเรื่องไข่โดยบังเอิญ โดยทั่วไปร้านซุปเปอร์มาเก็ตจะซื้อไข่มาไว้ขายแต่ละครั้งจำนวนหลายพันสำรับ (แต่ละสำรับบรรจุไข่จำนวน 10 ฟอง) พวกเราไม่อาจรู้ได้เลยว่ายังใหม่สดหรือไม่ พวกเราได้แต่รับรู้ว่าซื้อไปแล้วต้องนำเก็บไว้ในตู้เย็นเท่านั้น
นักวิทยาศาสตร์ได้เลือกร้านซุปเปอร์มาเก็ตเพื่อทำการทดลองครั้งนี้ มันใช้เวลาประมาณ 5 วันจึงจะขายไข่ได้ทั้งหมด นักวิทยาศาสตร์จึงไปซื้อไข่ในวันที่แตกต่างกันและฉีดเชื้อจุลินทรีย์เข้าไปในไข่แต่ละฟอง แล้วเก็บไข่ไว้ในอุณหภูมิเดียวกันและช่วงเวลาเดียวกัน ต่อมาเมื่อพวกเขาได้ตรวจสอบดู ก็พบว่ามีจุลินทรีย์จำนวน 1,000 ตัวในไข่ที่ซื้อมาวันแรก ขณะที่ไข่ที่ซื้อมาวันที่สองมีจุลินทรีย์ถึง 10,000 ตัว ไข่ที่ซื้อมาในวันที่ห้าจะมีจุลินทรีย์ถึงหนึ่งร้อยล้านตัว
นักวิทยาศาสตร์ได้บอกกับผู้สื่อข่าวว่า "ไม่ควรรับประทานไข่เพราะมันเป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็ง และมันไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราอีกด้วย"
ผู้สื่อข่าวพูดว่า "ฉันจะทำให้สุกทุกครั้งก่อนรับประทาน ดังนั้นคงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง"
นักวิทยาศาสตร์ตอบว่า "คุณก็กินซากของจุลินทรีย์เป็นล้านๆ ตัวเท่านั้น ดังนั้นมันจะมีคุณค่าทางอาหารได้อย่างไร"
ฉันสามารถพิสูจน์ได้ว่าไข่เป็นหยินโดยธรรมชาติ ก่อนที่ฉันจะได้รับการประทับจิต ฉันมีความเชื่อมั่นต่ออาจารย์มากและฉันได้รับประทานอาหารมังสวิรัติ ต่อมาฉันก็ตั้งครรภ์ แต่หมอคิดว่าฉันต้องเป็นโรคขาดอาหารแน่ๆ เพราะเขาสังเกตเห็นว่าในช่วงที่ฝากครรภ์ท้องของฉันมันเล็กมาก สามีของฉันจึงซื้อไข่มาให้ฉัน 2 ฟองเพื่อเป็นอาหารบำรุงกำลัง ฉันก็งี่เง่าและกัดกินฟองละคำ หลังจากนั้นฉันรู้สึกแปลกๆ และต้องการจะอาเจียนแต่ก้ไม่อาเจียน
คืนนั้นฉันจึงฝันร้าย ฉันฝันว่าได้ไปที่ยมโลก มีซอยหนึ่งซึ่งมีบ้านอยู่สองข้างทางเต็มไปหมด แต่ละบ้านกำลังจัดงานศพและทุกคนกำลังร้องไห้ บ้านทั้งหลายจะมีสีขาว เสื้อผ้าของพวกเขาก็สีเหมือนกับใบหน้าของพวกเขา มันช่างเป็นบรรยากาศที่กดดัน ทำให้ทนไม่ได้จริงๆ ฉันตกใจมากจึงทำให้ตื่นขึ้นมาตัวสั่นและเหงื่อออกทั้งตัว
ฝันร้ายนี้ได้ทรมานฉันเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ จนกระทั่งฉันได้กินอาหารอวยพรของอาจารย์ที่บ้านน้องสาวประทับจิต ต่อมาสถานการณ์ก็เริ่มดีขึ้น และฉันตื่นกลัวอยู่ไม่นาน ฉันก็นอนหลับได้ จากประสบการณ์ที่ย่ำแย่ของฉัน พวกเราสามารถเห็นได้ว่ามีพลังของหยินรุนแรงมากในไข่ทั้งหลาย! "






519422mn6g5a0p39.jpg



Be Veg, Go Green 2 Save the Planet
www.suprememastertv.com
www.godsdirectcontact-thai.org				
Lovers  0 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 0 คน
Lovers  4 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ