6 มกราคม 2551 00:10 น.

การชื่นชมพระจันทร์อย่างแท้จริง

คีตากะ

ครั้งหนึ่งขณะที่ผมกำลังนั่งสมาธิในตอนเช้าตรู่วันหนึ่ง ผมรู้สึกเหมือนกับถูกแรงที่ทรงพลังมากอย่างหนึ่งดึงขึ้นไปสูง เป็นแรงที่มากพอที่จะขยับเขยื้อนสวรรค์และโลกได้ทีเดียว ผมพุ่งขึ้นไปได้ด้วยความเร็วที่สูงมาก ทันใดนั้นเอง จิตวิญญาณของผมก็ถูกปลดปล่อยจากพันธะทางร่างกายไป จิตสำนึกของผมเข้าไปสู่ระดับที่ไม่เคยมีแบบนี้มาก่อนและไม่สามารถจะบรรยายได้ กระบวนการทั้งหมดเหมือนกับเป็น "การระเบิดครั้งยิ่งใหญ่" ความคิดอะไรต่างๆในหัวของผมอันตรธานหายไปหมดสิ้นในทันที มันเหมือนกับที่บรรดาอาจารย์เซ็นในสมัยโบราณกล่าวไว้ว่า "ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หายไปหมด"
          ผมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลังและอยู่เหนือพ้นจากกาลเวลาและสถานที่ เข้าสู่ "สภาวะของจิตสำนึกที่ศักดิ์สิทธิ์" ที่เหมือนจะมีอยู่ตั้งแต่การเริ่มต้นของกาลเวลา และเป็นสิ่งที่คงอยู่ตลอดกาล ในตอนนั้น ในใจของผมเต็มไปด้วยความสุขและมีความเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง ผมรู้สึกว่ากำลังอยู่ในมหาสมุทรของความรักที่ผมได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับมันไปแล้ว รู้สึกเหมือนกับเป็นลูกแกะที่หลงทางที่ได้กลับมาสู่อ้อมแขนของแม่อีกในที่สุด เป็นความรู้สึกที่ปลอดภัยและดลจิตใจแบบที่มิอาจจะหยั่งวัดได้
          ขณะเดียวกัน, ในความมืดมิดนั้นก็มีวงรัศมีซึ่งตรงกลางส่องแสงสีขาวสว่างเจิดจ้ามาปรากฏขึ้น แต่ถึงแม้ว่าแสงนี้จะสว่างจ้ามาก แต่ก็ไม่ได้ทำให้เคืองตาเลย และดูเหมือนว่ามันมีพลังอันมากมายไม่จำกัด คลื่นแสงเหล่านั้นไม่เพียงแต่ทำให้หัวใจของผมสว่างไสวขึ้นเท่านั้น แต่ยังได้ปลุกปัญญาสูงสุดที่นอนหลับไหลอยู่ภายในตัวผมมาแสนนานให้ตื่นขึ้น
         ด้วยพรแห่งพลังความรักและแสงอันเจิดจ้านี้ ผมก็ได้ตระหนักขึ้นมาทันทีราวกับว่าเพิ่งจะตื่นขึ้นมาจากความฝันว่า " โอ ! ชีวิตบนโลกนี้ช่างเป็นเหมือนความฝันจริงๆ และทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสร้างขึ้นมาจากจิตใจของเราจริงๆ" ผมได้เข้าใจอย่างเต็มที่แล้วในสิ่งที่เขียนอยู่ในวัชรสูตรว่า " เราไม่ควรจะยึดติดกับสิ่งใดๆ แล้วธรรมชาติเดิมแท้ของเราก็จะปรากฏขึ้น"
          ผมยังได้เข้าใจตลอดที่ท่านโพธิธรรมได้กล่าวว่า "เราจะไม่มีทางได้รู้จักพุทธะ ถ้าเราค้นหาด้วยจิตใจของเรา" จากการที่ได้ผ่านการค้นหา ต้องดิ้นรนต่อสู้ และมีความคิดต่างๆที่ขัดแย้งกันอยู่ในใจมากมาย ในที่สุด ผมก็ได้พบ 
 " ธรรมชาติพุทธะ" ที่พระพุทธเจ้าได้พูดถึง หรือ "พระจิตศักดิ์สิทธิ์" ที่พระเยซูพูดถึง หรือ "เจ้าแห่งปัญญา" ในศาสนาอิสลาม หรือ "หรือจิตสำนึกที่สูงสุด" ในภควัทคีตา ผมได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ที่สุดว่า "สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน และทุกๆคนมีธรรมชาติพุทธะจริงๆ"
          ผมไม่รู้ว่าประสบการณ์นี้กินเวลานานเท่าไร แต่ในที่สุดผมก็ออกมาจากสมาธิ แล้วก็รู้สึกกระชุ่มกระชวย มีความสุข ความสบายใจที่สุด ร่างกายของผมมีกระแสความสุขและแรงสั่นสะเทือนอันน่าภิรมย์ไหลเวียนไปทั่ว หัวใจของผมเป็นอิสระเสรีเต็มไปด้วยความสงบ เมื่อมองดูในกระจก ผมก็พบว่าตัวผมเหมือนกับเป็นคนที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว หน้าตาสดใสขึ้นมาก ผิวเรียบลื่นและอ่อนนุ่มขึ้นราวกับผิวของเด็กเล็กๆช่องทางเดินของพลังงานในตัวผมถูกเปิดออกตลอดทั่วทั้งร่าง ผมรู้สึกว่ามีกระแสพลังวิ่งขึ้นมาจากส่วนที่อยู่ต่ำกว่าท้อง มาตามส่วนหลังทางด้านล่างและเคลื่อนขึ้นไปสู่ด้านบนสุดของศรีษะเป็นระลอกๆตลอดเวลา และมันดูราวกับมีรูที่เปิดอยู่ตรงกระหม่อมอยู่รูหนึ่ง เมื่อใดก็ตามที่ผมเพ่งความสนใจตรงนั้นก็จะสามารถรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนระดับสูงอย่างหนึ่งจากเบื้องบนที่ไหลผ่านรูนั้นลงมาอยู่ตลอดเวลา และจิตสำนึกของผมก็ผ่านออกไปทางนั้นเสมอ เพื่อจะได้พบกับ "การระเบิดอย่างรุนแรง" อีก แล้วก็เข้าสู่โลกที่สงบสบาย
           แต่ยังมีสิ่งที่มากกว่านี้อีกด้วยนั่นคือ ผมยังค้นพบว่า ดูเหมือนว่าผมจะสามารถใช้ "รู" นั้นหายใจได้ด้วย ! มีการแปลงร่างทั้งทางกายและใจจริงๆ เป็นการ "เกิดใหม่จากการอาบแช่อยู่ในแสงอันยิ่งใหญ่" อะไรอย่างนี้!
            ไม่นานหลังจากนั้น มีการจัดฌานขึ้นที่ซีหู บังเอิญเป็นช่วงเทศการไหว้พระจันทร์ ดังนั้นอาจารย์จึงมาร่วมสนุกกับลูกศิษย์เป็นพิเศษ มีการจุดประทัดด้วย ตอนนั้นผมทำหน้าที่เป็นธรรมบาลอยู่ จึงโชคดีที่ได้อยู่ใกล้ๆอาจารย์
             ทันใดนั้นผมก็ได้ยินอาจารย์อุทานว่า " โอ้ ! ทุกคนดูสิ! พระจันทร์ออกมาแล้ว ! " ถึงแม้ว่าผมจะเป็นธรรมบาลอยู่ผมก็ยังแหงนหน้าขึ้นไปดูตามอาจารย์ด้วย " โอโฮ ! พระจันทร์เต็มดวงเชียว! "  " โอ้โฮ ! สวยจริงๆ !"  เสียงคนพูดชมเชยกันไปทั่ว แต่ว่าหัวใจของผมกลับไปอยู่ที่อื่น ผมรู้สึกแต่ว่าภาพเบื้องหน้านี้ดูคุ้นเคยมาก ราวกับว่าเคยเห็นมันมาก่อน แล้วผมก็คิดอะไรได้ " โอ้! นี่เอง! "  "นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมเคยเห็นมาก่อนในการนั่งสมาธิบางครั้งหรอกหรือ?! " ถึงแม้ว่าพระจันทร์ตอนนี้จะไม่สว่างเท่าแสงสีขาวในภาพที่ผมเห็น แต่มันก็เหมือนกันจริงๆ! ผมไม่สงสัยในเรื่องนี้เลย
              นับแต่นั้น ในเวลาเงียบๆตอนกลางคืน ผมก็ชอบมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มีดาวอยู่เต็มแล้วก็มองค้นหาไปเรื่อยๆเวลาที่ผมเห็นพระจันทร์ที่สว่างสุกใสอีก ความรู้สึกอันลืมไม่ลงนี้ก็จะผุดขึ้นมาในใจอีกครั้ง ผมจะถือโอกาสนี้เพื่อเตือนใจตัวเองเสมอ ไม่ให้หลงยึดติดอยู่กับภาพลวงตาของโลกภายนอก แต่ว่ามองหาอาณาจักรชั่วนิรันดร์ของพระเจ้าภายใน!
              โอ! ท่านอาจารย์, ศิษย์ของท่านได้เข้าใจในที่สุดแล้วว่า ทำไมคนในสมัยโบราณจึงอยากชมพระจันทร์!.......................................................				
2 มกราคม 2551 15:53 น.

สายสีเงินที่เป็นอมตะ

คีตากะ

ทำไมคนตายจึงทุกข์ทรมานมาก? เป็นเพราะพวกเขาส่วนใหญ่ถูกตัดขาดจากกระแสเสียงตลอดกาล มีสายสีเงินในตัวเราแต่ละคนขณะที่เรามีชีวิตอยู่ มันตามเราไปทุกหนแห่ง มันหดและขยายโดยอัตโนมัติขณะที่เราท่องเที่ยวไปมาระหว่างมิติอื่นๆ ถ้าเรารู้จักวิธีการบรรเลงสายสีเงิน เราจะสามารถทำให้มันเกิดเสียงที่ไพเราะเพื่อทำให้เรามีความสุขเพื่อหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณของเรา และพาเรากลับไปยังบ้านอันแท้จริงของเรา สำหรับผู้ที่ไม่รู้จักวิธีการใช้สายสีเงิน มันจะถูกใช้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นในตอนที่พวกเขาตายซึ่งมันจะถูกตัดขาดอย่างที่ไม่สามารถซ่อมแซมได้ นั่นเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจมาก
         ด้วยเหตุผลนี้คนเป็นจำนวนมากที่ตายไปจึงไม่มีความสุข เมื่อตอนที่พวกเขามีชีวิตอยู่ แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้วิธีการบรรเลงสายสีเงินก็ตาม พวกเขาก็มีมันอยู่ดีและดวงวิญญาณของพวกเขารู้ว่ายังคงมีความหวัง ยกตัวอย่าง ฉันมีแมนโดลิน แม้ว่าฉันจะไม่ค่อยมีเวลามากนักที่จะเล่นมัน แต่การที่รู้ว่าฉันมีมันก็ช่วยปลอบใจฉันได้ และฉันสามารถที่จะเล่นมันได้ทันทีที่ฉันมีเวลา ก่อนหน้านี้ตอนที่ฉันยังไม่มีมัน ฉันเคยคิด  "โอ มันจะดีมากเลยถ้าฉันมีสักเครื่องหนึ่ง !" ตอนนี้ฉันก็มีมันแล้ว แม้ว่าฉันจะไม่มีเวลาพอที่จะเล่นมัน ฉันก็รู้ว่ามันมีอยู่ มันก็นับว่าดีกว่าไม่มีอะไรเลย
          เมื่อเรามีชีวิตอยู่ สายสีเงินนั้นก็ดำรงอยู่ แม้ว่าเราจะไม่ได้บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมและไม่ได้ใช้สายสีเงินเส้นนี้ มันก็ยังคงมีอยู่และยังคงมีความหวัง พอเราตายไป มันก็หายไป เราไม่รู้ว่าเมื่อไรเราจึงจะมีบุญพอเพียงที่จะได้กลับมาเป็นมนุษย์และมีสายสีเงินนี้อีก สัตว์ไม่มีเส้นสายแบบนี้ ดังนั้นมันจึงไม่มีเสียงภายใน เออ มันมีเส้นสายแบบนี้ แต่ของมันนั้นเล็กเกินไปที่จะบรรเลงเป็นเพลง มันไม่ดีพอที่จะถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่
           คนส่วนใหญ่ประสบกับความทุกข์ยากมากมายหลังจากที่พวกเขาตายไป เป็นเพราะไม่มีเสียงจากเส้นสายสีเงินนี้และไม่มีความหวัง พวกที่ประทับจิตจะต่างออกไป เส้นสายสีเงินของพวกเขามีอยู่ตลอดกาล พาพวกเขาไปๆมาๆระหว่างโลกที่สูงขึ้นไป ดังนั้นพวกเขาจึงอิสระเสมอ และไม่มีวันหลงทางหรือถูกพรากจากมิติทางจิตวิญญาณที่สูงที่สุด เส้นสายสีเงินที่ทำหน้าที่ได้ถูกต้องไม่ผิดพลาดทำให้พวกเขามีชีวิตจริงๆ มิฉะนั้นแล้วเส้นสายก็จะหายไปเมื่อพวกเขาตายและจะไม่มีความหวังใดๆ และหากพวกเขาบางคนได้กลายเป็นสัตว์ ตามกฎแห่งกรรมตามศาสนาพุทธ ก็จะยังคงมีความหวังน้อยลงไปอีกสำหรับพวกเขา ด้วยเหตุนี้คนที่ตายจึงทุกข์ทรมานมาน ไม่สามารถได้ยินเสียงภายในและภายนอก
             ผู้บำเพ็ญกวนอิมมีความสุขมากในเวลาตาย โดยที่รู้ล่วงหน้าว่าจะตายเมื่อใด เส้นสายสีเงินจะยังคงไม่ถูกตัดขาดจะยังคงบรรเลงเสียงที่ไพเราะและหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง พาพวกเขาไปทุกหนแห่งและพาพวกเขากลับมา มันสามารถยืดไปจนสุดเขตแดนของจักรวาลและไปยังก้นลึกสุดของนรก ดังนั้นพวกเขาจึงอิสระที่จะไปทุกหนแห่ง นี่ก็คือข้อแตกต่างระหว่างคนธรรมดาและผู้ที่ประทับจิต เมื่อร่างกายของพวกเขาตายไป จริงๆ แล้ว ผู้ที่ประทับจิตไม่มีวันตาย เฉพาะผู้ที่เส้นสายถูกตัดขาดเท่านั้นที่ตาย
                คนที่มีชีวิตอยู่ที่ไม่สามารถได้ยินหรือเห็นสิ่งภายนอกจะไม่มีความสุขเป็นอย่างมาก คนตาบอดและคนหูหนวกไม่ค่อยมีความสุขเท่าไรนักเพราะพวกเขาไม่มีเสียงและภาพภายนอกเพื่อให้ความบันเทิงแก่พวกเขา ซึ่งเป็นแบบเดียวกันกับคนตาย ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่มีความสุข ถ้าเราเพาะเลี้ยงเส้นสายสีเงินนี้ และรักษามันไว้ไม่ให้ตาย เราก็จะเป็นอมตะและจะมีเสียงและแสงมาหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณของเรา ปลอบใจเรา และทำให้เราร่าเริงตลอดเวลา ตอนนี้เรามีมันวันละ 24 ชั่วโมง ดังนั้นเราจึงมีความสุขตลอดทั้งวัน......				
31 ธันวาคม 2550 14:09 น.

นักพูดยอดเยี่ยม...แต่ชีวิตยอดแย่

คีตากะ

      ณ ห้องประชุมอันกว้างขวางใหญ่โตที่จุคนนับพัน แถวหน้าสุดนั่งไว้ด้วยคณะกรรมการผู้ทรงเกียรติจำนวนหลายท่าน สถานการณ์เต็มไปด้วยความตึงเครียด เนื่องจากเวทีแห่งนี้กำลังมีการแข่งขันการกล่าวสุนทรพจน์ของนักพูดที่ผ่านการคัดเลือกมาจนถึงรอบสุดท้ายจำนวน 40 คน เพื่อสรรหานักพูดที่มีคะแนนรวมสูงสุดและนักพูดยอดเยี่ยม โดยเก็บคะแนนจากการพูดในแบบต่างๆ มาแล้วเป็นเวลาถึง 3 วัน เช่นการพูดในโอกาสต่างๆ การพูดแบบเป็นทางการ และไม่เป็นทางการ เป็นต้น และวันนี้เป็นวันสุดท้าย นี่คือรอบชิงชนะเลิศ เพื่อตัดสินชะตาชีวิตของพวกเขา เหล่านักพูดที่มาจากหลากหลายสาขาอาชีพและหลากหลายองค์กร ผู้คว้าเงินรางวัลพร้อมโล่เกียรติยศซึ่งเป็นรางวัลชนะเลิศในครั้งนี้เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาอมโรคคล้ายกำลังป่วยไข้หนักคนหนึ่ง ใบหน้าของเขาคล้ายเบื่อหน่ายต่อโลกนี้เต็มทน ราวกับว่าแม้เพียงสายลมก็อาจทำให้เขาล้มลงได้ทุกเวลา ทุกขณะ สถานที่ที่เขาควรอยู่เวลานี้ควรจะเป็นห้อง ICU ของโรงพยาบาลแห่งใดแห่งหนึ่งมากกว่าที่จะเป็นเวทีแห่งนี้ ! แต่ภายหลังเขากลับคว้ารางวัลนักพูดคะแนนรวมสูงสุดและนักพูดยอดเยี่ยมได้คนเดียวทั้งสองรางวัลโดยไม่มีทีท่าดีใจแม้แต่น้อย คล้ายว่าเขาถูกบางสิ่งที่มองไม่เห็นสะกดให้ขึ้นเวทีด้วยความจำใจก็ปาน เขาเดินขึ้นเวทีอย่างเชื่องช้า ในสภาพอิดโรย คงมีแต่แววตาเท่านั้นที่ยังเปล่งแสงประกายเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงตะวัน เขาเหม่อมองขึ้นสู่ท้องฟ้าและได้พูดถ้อยคำดั่งต่อไปนี้....

                     ท่านคณะกรรมการผู้ทรงเกียรติและท่านผู้มีเกียรติที่รักทุกท่าน..มีผู้รู้ท่านหนึ่งได้เคยกล่าวไว้ว่า  การจะทำงานให้ประสพความสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลได้นั้นจะใช้แต่คุณธรรมอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ ต้องอาศัยความรอบรู้เจนจบในทุกๆด้านที่เกี่ยวข้องกับงานนั้นๆ ด้วย จึงจะสำเร็จได้  กระผมมีความคิดเห็นว่าผู้รู้ท่านนั้นกำลังกล่าวถึงคำว่า ปัญญา ปัญญาคือสิ่งใด ? ปัญญามีอยู่แล้วในตัวของคนทุกคนในปริมาณที่เต็มเปี่ยมและสมบูรณ์เท่ากัน ปัญญาไม่สามารถได้รับมาจากการศึกษาเรียนรู้ หรือจากตำราใดๆ ปัญญาไม่สามารถได้รับจากประสบการณ์ใดๆ ปัญญาไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้และไม่สามารถได้รับมาจากการฝึกฝนด้วยระบบใดๆ ในโลก ปัญญาคือมหาพลังอันยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่ในจิตใจ คือขุมทรัพย์อันมหาศาล คือความสามารถในการหยั่งรู้ทุกเรื่องราวในจักรวาล คือห้องสมุดของจักรวาลอันเป็นแหล่งรวบรวมความรู้ของศาสตร์ทุกแขนงและก็มีอยู่แล้วในตัวมนุษย์ทุกคน  เพียงแต่กำลังนอนหลับอยู่เท่านั้น การจะได้รับปัญญานั้นต้องมาจากการนำปัญญาที่มีอยู่แล้วนั้นออกมาใช้บ่อยๆ ในแต่ละสถานการณ์ของชีวิต คล้ายการเรียนรู้จากสัญชาตญาณภายในขณะที่จิตใจอยู่ในภาวะเงียบสงบ เมื่อปัญญาถูกใช้บ่อยๆก็จะทราบว่าตัวเองมีปัญญามากน้อยแค่ไหนและเกิดการพัฒนาให้มากขึ้นได้ .......ท่านที่รักทั้งหลายนักวิทยาศาสตร์ได้เคยทำวิจัยพบว่ามนุษย์ได้ใช้ระดับสติปัญญาที่มีอยู่โดยเฉลี่ยไม่เกิน 10 % เท่านั้น ยกเว้นนักวิทยาศาสตร์เอกของโลกบางท่านที่อาจจะมีมากกว่านี้บ้างเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วการนำปัญญาหรือศักยภาพจากภายในออกมาใช้ยังคงอยู่ในระดับต่ำซึ่งถือว่าเป็นความล้มเหลวของมนุษยชาติอย่างมากมาย       
                      สุดท้ายนี้กระผมจึงอยากจะกล่าวว่าการได้ค้นพบปัญญานั้นท่านจะได้พบกับความสุขที่แท้จริงด้วยเช่นกัน ท่านจะสามารถทำสิ่งอันพิศวงต่างๆได้มากมายและมีความรอบรู้ในสิ่งต่างๆมากมายที่แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ที่เก่งที่สุดในโลกก็ยังไม่ทราบ ดังนั้นกระผมจึงหวังว่าการดำเนินชีวิต การทำงาน ต่อจากนี้ไปของท่านจะเป็นการทำงานเพื่อที่จะเรียนรู้จักปัญญาให้มากขึ้นกว่าเดิม เพื่อทุกท่านจะพบกับความสุข และรู้จักตัวตนของท่านเองได้มากขึ้น   สวัสดีครับ 

				
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ