25 กุมภาพันธ์ 2551 19:26 น.

ปริศนาแห่งหยินหยาง

คีตากะ

 ปราศรัยโดยท่านอนุตตราจารย์ชิงไห่ที่ศูนย์ซีหู หมู่เกาะ ฟอร์โมซา
                                 เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม  ค.ศ. 1994
                    



ทำไมคนส่วนมากจึงชอบมีเพื่อนชายหรือเพื่อนหญิงกัน? มันก็เป็นเพราะว่าเขาหรือเธอขาดหยิน(ลักษณะของเพศหญิง)
หรือหยาง(ลักษณะของเพศชาย)เราเกิดมาด้วยความปรารถนาที่จะค้นหาพระเจ้าก่อนที่เราจะทำได้สำเร็จ เราก็รับเอาอะไรก็ได้ที่สะดวกง่ายดายที่สุด ดังนั้นเราจึงแสวงหาเพื่อนชายหรือเพื่อนหญิงหรือแต่งงานกัน เป็นต้น  เมื่ออยู่ในช่วงความรัก แต่ละคนก็จะให้หยินหรือหยางแก่อีกคนหนึ่งพวกเขาทั้งสองจึงมีความสุขมาก สบายใจและพึงพอใจมาก ดังนั้นเมื่อเธอกำลังอยู่ในความรักจริงๆละก็ ว้าว! เธอจะมีความสุขมาก เพราะว่าเธอได้ให้อย่างเป็นไปตามธรรมชาติและเธอก็จะมีหยินและหยางตามธรรมชาติ พระเจ้าได้จัดการให้มันเลื่อนไหลถ่ายเทไปมาในระหว่างตัวเธอทั้งสอง อย่างไรก็ตามคนมักจะมีแนวโน้มที่จะลืมในเวลาต่อมา และก็กลายเป็นไม่เป็นไปตามธรรมชาติ เมื่อรักกันไปนานๆขึ้นพวกเขาก็คาดหวังจากกันและกัน! พวกเขามีความสุขรักกันเรื่อยมา เพราะว่าพลังของหยินและหยางได้เสริมเติมซึ่งกันและกันให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกสมบูรณ์เต็มตามธรรมชาติ แล้วพอวันหนึ่ง พวกเขาก็จะเคยชินกับความรู้สึกอย่างนี้ขึ้นมา คิดว่ามันเป็นเพราะอีกคนที่ทำให้พวกเขามีความสุขมาก ไม่ได้ตระหนักว่าพระเจ้าต่างหากที่กำลังบรรจุมอบมันให้แก่พวกเขาตามธรรมชาติอยู่ เมื่อเธอไม่ได้คิดอะไร พระเจ้าก็ได้ปล่อยให้พลังงานนี้ไหลผ่านไปสู่พวกเธอทั้งสองพร้อมๆกัน และช่วยเติมให้เธอทั้งสองคนสมบูรณ์อย่างเป็นไปตามธรรมชาติ นี่เป็นการให้ตามธรรมชาติในเวลาที่เธอไม่ได้กำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นเธอทั้งสองคนจึงมีความสุข
พอเธอเริ่มคิด เราก็เริ่มจะพูดว่า" คิดถึง" คิดถึงอีกฝ่ายหนึ่ง เราคิดว่าเรามีความสุขเพราะคนนั้น แล้วเราก็เริ่มมีการยึดติด และต้องการที่จะผูกมัดเขาให้ติดอยู่ข้างเราตลอด อยากจะเก็บรักษาความสุขนี้ตลอดไปให้เหมือนตอนที่เธอกำลังรักกันใหม่ๆ พอเราเริ่มคิดอย่างนี้พลังงานนั้นก็จะเปลี่ยนรูปเป็นพลังงานที่จำกัด เราคิดว่ามันมาจากอีกฝ่ายหนึ่งแทนที่จะคิดว่ามันมาจากพระเจ้า ดังนั้นพลังงานที่มาจากพระเจ้านี้จึงถูกตัดขาดไปทันที เข้าใจไหม? พลังของความคิดของเรามีกำลังแรงมาก จนไม่ว่าสิ่งใด ๆ ก็จะกลายเป็นจริงขึ้นมาตามนั้น ดังนั้นขณะที่ความคิดของเธอผุดขึ้น ระบบนี้ก็จะถูกตัดขาดจากกันแล้วทั้งสองคนก็ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน เพราะว่าพวกเขารู้สึกว่าพวกเขากำลังขาดอะไรไปบางอย่าง ! พวกเขาก็จะเฝ้าแสวงหา เมื่อไม่ได้รับความพอใจ พวกเขาก็จะยึดจับ ผูกมัดและเกาะติดซึ่งกันและกันและก็จมลึกลงไปในความทุกข์ทรมานมากขึ้นด้วยกัน
แรกเริ่มพวกเขาเป็นคน 2 คน แต่ตอนนี้พวกเขาเกาะติดกันราวกับกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ยังคงมีอัตตา 2 ตัว ! (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) พวกเธอเข้าใจไหม? พลังงานมาติดกัน แต่อัตตาไม่ติดกัน (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) แล้วปัญหาก็เริ่มขึ้นตรงนี้เอง ดั้งเดิมพวกเราแต่ละคนก็มีพลังงานและอัตตาเป็นของตัวเอง ควบคุมชีวิตของเราเองและเป็นอาจารย์ของพวกเราเอง ก่อนที่จะรู้จักอีกคน เราเป็นอาจารย์ของตัวเราเองเสมอ ! วันนี้ฉันจะดูทีวี ทานอาหารมังสวิรัติอย่างหนึ่ง และตัวฉันเองที่อยากจะทานมัน โดยไม่สนใจใคร พอคนสองคนเข้ามาอยู่ด้วยกัน และต่อมากลายเป็นหนึ่งเดียวพวกเขาก็มาช่วยเสริมความสมบูรณ์ให้แก่กันและกันและก็มีความสุขด้วยกัน อย่างไรก็ตาม อัตตาของพวกเขาไม่ต้องการข้าอีกต่อไปแล้ว ! ก็ลาก่อน ! นี่เป็นระบบที่อัตโนมัติ และเป็นธรรมชาติ เข้าใจไหม? เธอจะได้รับในสิ่งที่เธอขอ ดังนั้นคัมภีร์ไบเบิ้ลจึงกล่าวว่า ถ้าเธออธิษฐานต่อพระเจ้า และแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าภายในแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะถูกมอบมาให้เธอ ถ้าทั้งหมดที่เธอขอนั้นคือแค่หยดเล็กๆ เธอก็จะได้รับเพียงแค่นั้น อันนี้เป็นไปตามระบบอัตโนมัติ นี่คือเหตุผลว่าทำไมคนในโลกจึงหาพระเจ้าไม่พบ พวกเขาสวดคัมภีร์มากมายหลายอย่างในแต่ละวัน แต่ก็ไม่ได้เห็นใครเลย ไม่ว่าพวกเขาจะอธิษฐานขออะไรก็จะไม่ได้รับคำตอบ เข้าใจไหม? พวกเขามัวพึ่งพาคนด้วยกันเองหรือไม่ก็พึ่งพาถ้อยคำที่พิมพ์หรือจารึกเอาไว้และพระเจ้าจะทำอะไรได้?
เมื่อเรากำลังอยู่ในความรักกับใครสักคน ความมีชีวิตชีวาของเราก็จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฝ่ายนั้น แยกจากกันไม่ได้ แยกจากกันไม่ได้แต่ว่ามีสองหัว เมื่อสองหัวนั้นมุ่งหน้าไปคนละทิศคนละทาง มันก็จะมีปัญหายุ่งยากลำบากมาก ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทโต้เถียงกัน เข้าใจไหม? ตอนนี้พวกเธอเข้าใจแล้วนะว่าทำไมถึงมีการทะเลาะวิวาทกัน? คิดดูให้ดีแล้วพวกเธอก็จะเข้าใจได้ ทั้งคู่อยากจะเป็นเจ้านาย บางครั้งไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้เจตนา เป็นเพียงนิสัยอย่างหนึ่ง เราเคยชินกับการอยู่คนเดียวเป็นโสดตั้งแต่เกิดจนกระทั้งบัดนี้ 20 หรือ 30 ปี เราเดินคนเดียว ตัดสินใจเองเสมอว่าเมื่อไรเราจะกินและเมื่อไรเราจะเข้าห้องน้ำ (หัวเราะ) อ้อ! นั่นยังพอเจรจาต่อรองกันได้ ! (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) แต่ส่วนมากการเจรจาต่อรองจะไม่ค่อยได้ผล แต่ละคนยังคงความเห็นว่าพวกเขาเป็นฝ่ายถูกต้องอย่างแข็งขัน บางทีอาจจะไม่ได้เจตนา เป็นเพียงนิสัยเท่านั้น ไม่ได้ตระหนักว่าพวกเขาควรจะคำนึงถึงอีกฝ่ายหนึ่งด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้น การแต่งงานและความรักเป็นส่วนมากมักจะพังทลายลงเมื่อถึงระยะหนึ่ง เราไม่สามารถจะไปตำหนิพวกคนข้างนอกนั้นได้จริงๆ หรอก ที่วันนี้รักกันแต่พอวันพรุ่งนี้ก็ไม่รักแล้ว แต่งงานกันวันนี้และหย่ากันปีหน้า..พวกเขาเพียงแต่ไม่เข้าใจถึงสภาพทางจิตใจและระบบอย่างนี้
เมื่อคนสองคนกำลังอยู่ในความรักกัน พวกเขาก็เสริมเติมความสมบูรณ์ให้แก่กันและกันฝ่ายหนึ่งให้พลังหยินและอีกฝ่ายหนึ่งให้พลังหยาง(ถอนหายใจ ! ) มันช่วยรักษาเราได้ดีเหลือเกิน(อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) น่ารื่นรมย์มาก แล้วพวกเธอก็จะติดมัน เข้าใจไหม ? เพราะว่ามนุษย์ก็เป็นตัวแทนของพระเจ้าเช่นกัน พวกเขาถูกประกอบติดมาด้วยเครื่องกำเนิดพลังงานอย่างหนึ่ง ที่คล้ายคลึงกับเครื่องกำเนิดพลังงานของพระเจ้า! ดังนั้นเมื่อคนคนนั้นรักกัน มันก็คล้ายกับพระเจ้ากำลังรักเธอ เธอจึงมีความสุขมาก ถ้าเธอสองคนรักกันล่ะก็ เธอทั้งคู่ก็จะถูกชาร์จพลังงานอย่างเต็มเปี่ยม ใช่ไหม? เธออาจสังเกตเห็นว่าคนที่กำลังอยู่ในความรักดูเหมือนคนโง่ ๆ ที่ไม่สนใจอะไรเลย(อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เวลาที่เจ็บปวดที่สุดก็คือ เมื่อพวกเขาถูกละทิ้งไป หรือเมื่อความรักนั้นถูกตัดขาดสะบั้นราวกับว่าความมีชีวิตชีวาได้สูญหายไป กระแสไฟฟ้าถูกตัดขาดจากกันอย่างฉับพลัน ดังนั้นมันจึงเจ็บปวดมาก นี่คือเหตุผลว่าทำไมคนจึงชอบที่จะอยู่ในความรัก ก็เนื่องจากความสุขนั่นเอง ที่จริงแล้วความสุขไม่ได้เนื่องมาจากคนคนนั้น แต่เนื่องมาจากความจริงที่ว่า พลังงานที่ทำให้มีชีวิตนั้นถูกเติมให้สมบูรณ์เต็มที่
เราจะไม่ผิดหวังเลย ถ้าหากว่าเราแสวงหาเครื่องกำเนิดพลังที่มีอานุภาพสูงสุดตั้งแต่ตอนแรก ซึ่งคงทนถาวรให้เราใช้ได้ตลอดไป มันไม่เป็นไรหรอกที่จะมีคู่ ฉันเพียงแต่เกรงว่า เราอาจจะไม่ต้องการมีใครเลยในเวลานั้น มันไม่เป็นไรหรอกที่จะมีใครสักคนหรือไม่มีใครเลย เพียงแต่มันจะยุ่งยากมากขึ้น ถ้าหากว่าเธอมีอัตตาเพิ่มขึ้นอีกตัว(อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) มิฉะนั้นเธอก็มีอัตตาเพียงตัวเดียว ป้องกันความยุ่งยากของอัตตา 2 ตัว เวลานอนตอนกลางคืนคนหนึ่งอยากจะเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ อีกคนอยากจะปิด คนหนึ่งชอบให้เปิดไฟไว้ อีกคนต้องการให้ปิด แม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ก็ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทได้ ใช่ไหม? แล้วมันก็จะยิ่งแย่ลงไปอีกหลังจากที่พวกเธอมีลูกออกมาคนหนึ่ง ฝ่ายหนึ่งก็อยากให้ลูกทำตัวอย่างนี้ อีกฝ่ายก็ต้องการอีกวิธี ฝ่ายหนึ่งสอนลูกอย่างนี้ อีกฝ่ายก็สอนอีกอย่าง ไม่มีใครยอมแพ้ และทั้งคู่ก็คิดว่าตัวเองถูก เพราะว่าพวกเขาก็เป็นพระเจ้าทั้งคู่ ขอโทษที ! (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ)
ที่จริงแล้ว วิญญาณอีกครึ่งหนึ่งของพวกเราจะไม่พบในโลกนี้ ต่อเมื่อเราได้ค้นพบตัวตนอันแท้จริงของเราแล้ว เราก็จะได้พบอีกครึ่งหนึ่งของวิญญาณของเรา เพราะฉะนั้น ถึงแม้เราจะประสบความสำเร็จในชีวิตแต่งงาน ความมั่งคั่ง ความสมบูรณ์ในสิ่งใดๆ ในโลกนี้ เราก็จะยังมีความรู้สึกเหมือนว่าเรากำลังขาดอะไรไปบางอย่าง ! เป็นเพราะว่าคนเพียงคนเดียวไม่มีพลังเพียงพอที่จะให้อีกคนมีชีวิตชีวาขึ้นมาใหม่ได้ เว้นเสียแต่เราจะเข้าใจว่าความมีชีวิตชีวาของทั้งสองฝ่ายจริงๆ แล้วมาจากไหน แล้วเราก็ไม่ต้องกังวลว่าพลังของเราจะถูกตัดขาด มันอาจจะพูดง่ายแต่เข้าใจยาก อย่างน้อยที่สุดพวกเธอควรจะมีความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วก็จงพยายามอย่างดีที่สุดที่จะบำเพ็ญอย่างขยันขันแข็งในแต่ละวัน กำลังใจของเราก็จะเข้มแข็งขึ้นและสิ่งใดที่เราปรารถนาก็จะกลายเป็นความจริงได้ นั่นคือเวลาที่เราได้ครอบครองมหาพลานุภาพ พลังอำนาจปาฏิหารย์ซึ่งไม่สามารถจะมองเห็นได้ จากนั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องท่องมนตร์คาถาใดๆ เพียงแต่คิดถึงมันแล้วพวกเธอก็จะมีทุกสิ่งทุกอย่าง..



                               .GOOD   LUCK.
				
15 กุมภาพันธ์ 2551 00:59 น.

เหตุใดคนเราจึงต้องบำเพ็ญ

คีตากะ

 
"ชีวิตของเราได้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหลังจากที่เราได้ใช้พลังอันแท้จริงและปัญญาของเราแล้ว  ซึ่งเป็นสติปัญญาเดิมแท้ของเรา ทุกอย่างจะมา  ความสามารถพิเศษทุกอย่างจะปรากฏขึ้น  ธรรมชาติแห่งความรักและธรรมชาติที่ซ่อนเร้นของเราจะปรากฏขึ้น  ความสามารถพิเศษทุกอย่างของเราจะมา โดยที่ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน" 

~ อนุตราจารย์ชิงไห่~
 
"เมื่อเราบรรลุถึงความสงบสุขภายใน  เราก็จะบรรลุทุกสิ่งทุกอย่าง ความพอใจและความสมปรารถนาทุกอย่างทั้งทางโลกและสวรรค์ ล้วนมาจากอาณาจักรของพระเจ้า  การตระหนักรู้ภายในถึงความสอดคล้องกลมกลืนชั่วนิรันดรของเรา  ถึงปัญญานิรันดร์ของเรา และถึงมหาพลานุภาพของเรา  หากเราไม่ได้รับสิ่งเหล่านี้  เราก็จะไม่มีวันพอใจ ไม่ว่าเราจะมีเงินหรือมีอำนาจขนาดไหน  หรือไม่ว่าจะมียศตำแหน่งสูงสักเพียงไรก็ตาม"

~ อนุตราจารย์ชิงไห่~
 
"จงค้นหาทรัพย์สมบัติชัวนิรันดร์ของเธอ  และเธอจะสามารถนำสมบัติเหล่านั้นออกมาจากแหล่งซึ่งไม่มีวันใช้ได้หมด  นี่คือพระพรอันไม่มีที่สิ้นสุด!  ฉันไม่มีคำพูดที่จะโฆษณาสิ่งนี้ได้  ฉันได้แต่กล่าวสุดดี และหวังว่าเธอคงจะเชื่อคำกล่าวของฉัน   หวังว่าพลังของฉันจะสามารถส่งผลกระทบถึงหัวใจเธอ  และช่วยยกเธอขึ้นสู่ความรู้สึกที่มีปิติสุข  แล้วเธอก็จะเชื่อ  หลังจากการประทับจิตแล้วเธอจะเข้าใจความหมายของสิ่งที่ฉันพูดนี้ได้อย่างถ่องแท้  ฉันไม่มีวิธีที่จะอธิบายถึงพระพรอันยิ่งใหญ่นี้  ซึ่งพระเจ้าได้มอบให้แก่ฉัน  และให้ฉันมีสิทธิที่จะแจกจ่ายออกไปแก่ผู้อื่นฟรีๆ  โดยไม่คิดค่าตอบแทนหรือมีข้อแม้ใดๆ "

~ อนุตราจารย์ชิงไห่~
 
" คำสอนของเราก็คือ อะไรก็ตามที่เธอจำเป็นต้องทำในโลกนี้  ก็จงทำไป ทำจนสุดความสามารถ จงมีความรับผิดชอบ และก็นั่งสมาธิทุกๆ วันด้วย  แล้วเธอก็จะได้รับความรู้มากขึ้น  ได้รับปัญญามากขึ้น  และได้รับความสงบสุขมากขึ้น  เพื่อที่เธอจะได้รับใช้ตนเองและรับใช้โลกนี้  อย่าลืมว่าเธอมีความดีของตัวเธอเองอยู่ภายใน  อย่าลืมว่าเธอมีพระจ้าอยู่ภายในตัวเธอ  อย่าลืมว่าเธอมีพุทธะอยู่ภายในใจของเธอ" 

~ อนุตราจารย์ชิงไห่~
 
"ผู้ที่ประเสริฐบริบูรณ์ก็คือ  ผู้ที่เป็นมนุษย์สมบูรณ์เต็มตัว  ผู้ที่เป็นมนุษย์เต็มตัวจะประเสริฐบริบูรณ์  ขณะนี้  เราเป็นมนุษย์เพียงครึ่งเดียว  เราทำสิ่งต่างๆ ด้วยความลังเลใจ  เราทำสิ่งต่างๆ ด้วยอัตรา  เราไม่เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้ที่จัดทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดนี้  เพื่อความเพลิดเพลิน  และเพื่อประสบการณ์ของเรา  เราแบ่งแยกบาปและบุญ เราถือทุกอย่างเป็นเรื่องสำคัญใหญ่โต แล้วก็ตัดสินตัวเองและคนอื่นไปตามนั้น  เราทุกข์ทรมาณจากการตั้งข้อจำกัดของตัวเอง  ว่าพระเจ้าควรจะทำอะไร  เข้าใจไหม?  ที่จริงแล้ว พระเจ้าอยู่ภายในตัวเราและเราจำกัดพระองค์ไว้ เราอยากเล่น อยากจะสนุกสนานเพลิดเพลิน แต่เราไม่รู้ว่าจะทำอะไร  เราจึงได้แต่พูดกับคนอื่นว่า "อา!  เธอไม่ควรจะทำอย่างนั้นนะ "  และก็พูดกับตัวเองว่า "ฉันไม่ควรจะทำอย่างนั้น  ฉันต้องไม่ทำอย่างนั้น  ฉันต้องไม่ทำอย่างนี้  แล้วฉันควรจะเป็นมังสวิรัติไปทำไมกัน ? นั่นแหละ ! ฉันก็รู้อย่างนั้น  แต่ฉันเป็นมังสวิรัติเพราะว่า  พระเจ้าภายในตัวฉันต้องการแบบนั้น" 

~ อนุตราจารย์ชิงไห่~
 
"เราถูกแยกออกจากพระเจ้าก็เพราะว่าเรามีธุระวุ่นวายมากเกินไป  ถ้ามีคนกำลังพูดคุยกับเธออยู่  แล้วเสียงกริ่งโทรศัพท์ก็ดังอยู่ตลอดเวลา  แต่เธอกลับวุ่นวายอยู่กับการทำครัว หรือพูดคุยกับคนอื่นอยู่  ก็ไม่มีใครจะติดต่อกับเธอได้  พระเจ้าก็เช่นเดียวกัน  ท่านกำลังเรียกเราอยู่ทุกวัน  แต่เราไม่มีเวลาให้ท่านเลย และคอยแต่จะวางหูโทรศัพท์ใส่ท่าน" 

~ อนุตราจารย์ชิงไห่~
 
				
15 กุมภาพันธ์ 2551 00:42 น.

ความอ่อนน้อมถ่อมตนทำให้เข้าถึงสัจธรรม

คีตากะ

ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ซีหู ฟอร์โมซา 
13  สิงหาคม 2532  
  
บุคคลที่อ่อนน้อมถ่อมตนจะเข้าถึงพุทธโพธิสัตว์ได้ง่ายมาก จิตใจที่บริสุทธิ์จะเข้าถึงสัจธรรม เรายิ่งยโสโอหังก็ยิ่งห่างไกลจากสัจธรรม  เหตุใดจึงห่างไกลจากสัจธรรมเป็นเพราะเราพึ่งพิงอาศัยทางโลก  หากเราไม่ได้พึ่งพิงอาศัยทางโลกเราจะไม่ยโสโอหัง  เราอาศัยเงินทอง อำนาจ ความฉลาดและฐานะซึ่งเป็นการอาศัยทางโลก  อาศัยพึ่งพิงในสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ สัจธรรมไม่ใช่โลกมนุษย์และไม่ใช่สิ่งของที่ไม่เที่ยงแท้ทั้งหลาย  ฉะนั้น เรายิ่งพึ่งพิงทางนี้ เราก็จะยิ่งห่างไกลอีกทางหนึ่งที่เป็นทางตรงกันข้าม ตามทฤษฎีเชิงตรรกศาสตร์ได้อธิบายไว้เช่นนี้ ซึ่งไม่มีอะไรยากแก่การเข้าใจ

ไม่มีเงินทอง ไม่มีอำนาจ ยามแก่เฒ่าก็ไม่มีใครดูแล ซึ่งคนแบบนี้จะมีความอ่อนน้อมถ่อมตนค่อนข้างมาก ฉะนั้น บ่อยครั้งพวกเธอจึงเห็นว่าอาจารย์ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างดี หรือปฏิบัติต่อนักโทษในเรือนจำอย่างดี  แต่สำหรับพวกเธอแล้วบางครั้งกลับไม่ค่อยดีเท่าไหร่อาจารย์ต้องขออภัยด้วย แต่ธรรมชาติมันแสดงออกมาเป็นแบบนี้ อาจารย์ไม่ได้ตั้งใจดีกับพวกเขา และในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ตั้งใจจะไม่ดีกับพวกเธอ  อาจารย์เป็นเพียงกระจกบานหนึ่งเท่านั้นพวกเธอส่องมาอย่างไรก็สะท้อนกลับอย่างนั้น  อย่าโทษอาจารย์เลยนะว่าทำไมต้องทำกับพวกเธออย่างนั้น  และอย่าเปรียบเทียบว่า "ทำไมอาจารย์ดีกับคนนั้นเหลือเกิน แต่ไม่ดีกับฉันเลย"  ถ้าอาจารย์ดีกับใครบางคนเธอลองสังเกตดูเขาก็ทราบแล้วว่าเขาต้องมีอะไรดีที่ทำให้อาจารย์ดีกับเขามาก เขาอาจจะไม่ได้สวยกว่าเธอก็ได้ ไม่แน่  บางทีอาจจะอยู่ในสภาพฟันหลุดหมดแล้วก็ได้ แถมอาจารย์ยังต้องเอาเงินให้เขาอีกด้วย แต่อาจารย์ก็ดีกับเขามากเหลือเกินเพราะใจเขาบริสุทธิ์มาก ถ่อมตนมาก ไม่มีมลทินใดๆ ไม่มีสิ่งกีดขวาง ไม่มีอัตตาใดๆ และไม่มีอะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยว ใจเขาจะเปิดกว้างสุดประมาณเกือบรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล

หากเรายังมีอะไรไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวตัวเราก็จะกลายเป็นมีขีดจำกัด -- ฉันคือขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ ฉันคือคนที่มีคุณธรรม ฉันคือคนที่เข้าถึงสัจธรรม เราจะยังมีพรมแดนและมีช่องว่างมุมหนึ่งที่ยังไม่ได้ถูกเปิดออกมา บุคคลที่บริสุทธิ์ถ่อมตนทั้งหลายไม่มีอะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยว แต่การที่ไม่มีอะไรเลยคือการที่มีพร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง
 
  
				
14 กุมภาพันธ์ 2551 08:12 น.

เรื่องบ่น ตอนที่หนึ่ง.....

คีตากะ

  รถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจ คำเหล่านี้เหมาะกับบุคลิกของตัวผมเป็นที่สุด พิจารณาดูแล้วชีวิตผมหาความแน่นอนอะไรไม่ได้เลยซักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน ความรัก การงาน หรือจะเรื่องไหนๆก็ตามแต่ คงไม่พ้นฉายาเหล่านี้ไปได้ โลเลเหลาะแหละเป็นไม้หลักปักขี้เลน .เป็นไปตามอารมณ์ครับ!.....เหตุผลไม่ค่อยจะมี สมองไม่ค่อยจำ มันว่างๆกลวงๆ ยังไงพิกล จะคิดอะไร จะพูดอะไร จะทำอะไร มันเลยผิดเพี้ยนไปหมด ก็มันดันไปสวนทางกับชาวบ้านเขาน่ะสิ  จ้องคอยหาเรื่องใส่ตัวอยู่เรื่อย เงียบๆไว้นั่นแหละปลอดภัยที่สุด เวรกรรม ! ปกติเป็นคนเชื่อคนง่ายครับ ใครชวนไปไหนก็ไป แต่พอหลวมตัวไปกับเขาทีไรก็มักโดนปล่อยเกาะทุกทียิ่งหาทางกลับบ้านไม่ค่อยจะถูกเสียด้วย ทุกวันนี้ก็เลยสบาย การที่ต้องหลงทางบ่อยๆกลับกลายเป็นผลดีกับตัวเรา ได้เรียนรู้อะไรแปลกๆใหม่ๆมากมาย เดี๋ยวนี้ไปไหนมาไหนสบายครับ ! อาจมีหลงทางบ้างถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาเสียแล้ว คำว่ากลัวหลงทางหมดไปแล้วจากความทรงจำ เพราะถือคติว่า ถามทาง ดีกว่าวิ่งเร็ว มีปากครับ ใช้ให้เป็นประโยชน์ ไกด์มีทั่วโลก ด้านเข้าไว้ เพิ่มความหนาของใบหน้าอีกนิดหน่อยก็ดีเอง.ไม่รู้ก็ถาม มีหลายคนบอกว่าผมเป็นพวกเร้นลับ แปลกประหลาด อันธพาล ผมว่าก็มีส่วนถูกนะ  ถ้าเทียบกับคนส่วนใหญ่ในสังคม ผมไม่รู้สึกว่าผมแปลกประหลาด เพียงแต่แตกต่างจากชาวบ้านเขาเท่านั้น ถ้าเรื่องความแตกต่างผมจัดได้ว่าเป็นตัวประหลาดอันดับหนึ่ง  ผมมีเพื่อนน้อยมาก เพราะความประหลาดของผมนี่แหละ ทำให้ทุกคนที่เข้ามาใกล้ชิดเริ่มหวาดระแวงวิตกกันไปต่างๆนาๆตามระยะเวลาที่ยิ่งนานยิ่งมีมาก ส่วนใหญ่จะคิดว่า  วันนี้มันจะมาไม้ไหนหว่า?  อุณหภูมิความร้อนในตัวเขาจะเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆใกล้จุดเดือด ไม่ผิดกับกบที่กำลังว่ายน้ำเล่นอยู่ดีๆในหม้อต้มที่กำลังร้อนขึ้นๆบนเตาไฟ.สุดท้ายก็มีทางเลือกสองทางให้มันเลือกคือจะกระโดดหนี หรือจะกลายเป็นกบต้มความจริงคงไม่ถึงขนาดนั้น ผมว่าทุกคนคิดกันไปเอาเองต่างๆนาๆมากกว่า ทั้งๆที่สมองผมค่อนข้างว่างเปล่าไม่ค่อยมีเรื่องราวอะไร ไม่รู้แม้กระทั่งควรจะทำอะไรต่อไปในบางครั้งบางทีผมอาจจำเป็นต้องไปเช็คประสาทที่โรงพยาบาลบ้างน่าจะดีการที่สมองไม่ค่อยทำงานเป็นปัญหาใหญ่เหมือนกันในการทำงาน ผมมักถูกผู้หลักผู้ใหญ่ตำหนิบ่อยๆเรื่องทิศทางของชีวิตคุณต้องมีแผน คุณต้องมีเป้าหมาย มีวัตถุประสงค์ มีนโยบายชัดเจนในการทำงานและการดำเนินชีวิต เป้าหมายของคุณต้องวัดเป็นตัวเลขได้เวลาผมได้ยินประโยคเหล่านี้ทีไรก็มักเกิดอาการเซ็งอย่างบอกไม่ถูกผมอยากจะมีแต่ก็ไม่เคยทำได้สักครั้ง เป็นเรื่องยากสำหรับผมในการวางแผนชีวิต มันขัดกับนิสัยโดยสิ้นเชิง ผมกำลังดิ้นรนอยู่ระหว่างอารมณ์ที่พลิ้วไหวเหมือนสายลมกับเหตุผลที่ล้อมกรอบเหมือนกำแพงอิฐบ่อยครั้งที่ผมจมอยู่กับช่องว่างนั้น แม้มันจะดูเหมือนสงบแต่มันก็คงยังไม่ใช่ในสิ่งที่ใจปรารถนาซึ่งผมก็ไม่ทราบแน่ชัดหรอกว่าแท้ที่จริงตัวเองปรารถนาสิ่งใดกันแน่ ? แม้ผมจะเรียนจบมาทางด้านวิทยาศาสตร์(Engineer)และต่อทางด้านบริหารธุรกิจ(MBA) แต่ดูเหมือนว่าทฤษฎีเหล่านี้ที่ร่ำเรียนมาจะใช้ไม่ค่อยได้กับความเป็นจริงในชีวิตที่ออกแบบไม่ได้ของผม.วิทยาศาสตร์สอนให้ผมเชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ได้ มีการตั้งสมมุติฐาน มีการทดลอง มีข้อสรุป แต่เท่าที่ผ่านมาหลายครั้งหลายคราวที่ผมต้องประสบกับเรื่องราวที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ หาเหตุผลอธิบายไม่ได้ แล้วมันก็เกิดขึ้นบ่อยๆเสียด้วยกับผม หากจะเล่าไปก็คงจะยาวเป็นรามเกียรติ์และมันก็น่าหัวเราะเยาะคงไม่มีใครเชื่อ เพราะมันเหลือเชื่อ ก็ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจ(ไม่รู้เข้าใจป่าว) ส่วนเรื่องของธุรกิจที่ไม่พ้นเรื่องเงินๆทองๆ เรื่องของตลาดก็สอนให้ผมเข้าใจสภาวะจิตใจของคนที่เรียกภาษาทางการตลาดว่าผู้บริโภค ลูกค้า อะไรพวกนี้ แต่ผมก็ยังเอาวิชาพวกนี้มาใช้ไม่ค่อยได้อยู่ดี จนเดี๋ยวนี้ผมยังไม่เข้าใจแม้แต่ความต้องการของตัวเอง แล้วผมจะไปหยั่งรู้ความพึงพอใจของผู้บริโภคได้ออย่างไร มันเป็นเรื่องซับซ้อนมาก และมันก็มากไปสำหรับผม สรุปแล้ววิชาการส่วนใหญ่ได้คืนอาจารย์ที่น่าเคารพไปเกือบหมดสิ้นแล้ว กรรม! ผมรู้สึกได้ว่าคนอื่นๆยิ่งเรียนมากยิ่งฉลาดมาก แต่ผมกลับตรงกันข้าม คิดเอาเองนะกันว่าเป็นแบบไหน ? ผมเคยทำงานบริษัทมา 3-4 แห่งเข้า-ออก และก็ออก-เข้า อยู่อย่างนี้จนกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับผม แต่สำหรับคนอื่นไม่ใช่ ! ทุกคนยึดขาเก้าอี้แน่น ลากพาตัวออกมาได้แล้ว แต่แขนยังหลุดเกาะขาเก้าอี้ไม่ยอมปล่อย.ไหนจะผ่อนบ้าน รถ ครอบครัว หนี้สิน แบกอยู่บนบ่าจะปล่อยออกมาได้ไง ผมตัวคนเดียว(โฆษณาซะ) ก็คงเป็นแบบนี้แหละเรื่อยเปื่อยอะไรก็ได้ ง่ายๆชิวๆ สำหรับคนอื่นเขาก็เรียกไอ้พวกทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันแต่ผมก็มักอดโต้แย้งไม่ได้ว่า ก็ความไม่เป็นชิ้นเป็นอันของผมนี่แหละคือความเป็นชิ้นเป็นอัน.เถียงข้างๆคูๆไปงั้นแหละสะใจดี ! สรุปได้ว่าไม่มีสักชิ้นสักอันเลยจะดีกว่า เข้าใจง่ายดี ผมรู้สึกว่าอายุเริ่มมากขึ้นแต่มันสมองกลับตรงกันข้ามไม่ค่อยรู้เท่าทันโลกเขาเท่าไร ทีวีก็ไม่ค่อยดู เพลงก็ไม่ค่อยฟัง ชอบเก็บตัวเงียบ ไปไหนมาไหนคนเดียวไม่มีเพื่อน ไม่เรียกว่าตัวประหลาดจะเรียกว่าอะไร? บอกตรงๆเลยว่าผมชอบอยู่เฉยๆมากกว่า  ไม่ชอบความวุ่นวาย คนแถวบ้านผมเขาเรียกคนขี้เกียจสันหลังยาว  ผมไม่รู้ว่าทำไมสันหลังต้องยาว ? แต่ช่างมันเถอะ ! ยังไงผมก็คงไม่สามารถหนีพ้นข้อกล่าวหานี้อยู่ดี ใครจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร ผมไม่เกี่ยวอะไรด้วย  ขอเพียงเรามีความสุขในสิ่งที่ทำก็พอ ทำไมต้องสนใจขี้ปากชาวบ้าน มีหลายต่อหลายคนแนะนำให้ผมบวชตลอดชีวิต ซึ่งมันก็เข้าทางผมพอดี ผมหน่ะอารามบอยเก่า เรื่องวัดวาพอรู้ลู่ทางดี ไอ้เรื่องก่อกวนพระในวัดนี่ถนัดนัก พอมาคิดไปคิดมา ผมว่าคงอยู่ได้ไม่นาน ผมชอบตรงที่มีที่พักฟรี อาหารพร้อม เผอิญผมมีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ปัจจุบันเป็นรองเจ้าอาวาสแล้ว จบนักธรรมเอก เจอกันทีไรต้องเปิดเวทีโต้วาทีกันประจำ ดึกๆดื่นๆยังโทรมาถกพระไตรปิฎกเป็นเล่มๆ สนุกไปอีกแบบ มีเพื่อนแบบนี้ นานๆผมจะได้ไปนอนค้างวัดสงบจิตสงบใจสักที ผมไปทีไรพระในวัดก็ปั่นป่วนทุกที ก็เล่นจับคู่กับรองเจ้าอาวาสปิดโบสถ์นอนซะเลย พระอื่นไม่ต้องใช้ กรรม ! ช่วยไม่ได้หลวงพี่ผมเป็นรองเจ้าอาวาสถือกุญแจทุกห้อง ใครจะกล้าแหยม ผมก็กลายเป็นเด็กเส้นไปโดยปริยายเส้นใหญ่เสียด้วย รอให้หลวงพี่ผมเป็นเจ้าอาวาสเมื่อไร วัดทั้งวัดเสร็จแน่ กรรม!....จะลงมั๊ยเนี๊ย !.....โบราณว่า สันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก คนลองมีนิสัยเป็นอย่างไร จะอยู่ที่ไหนมันก็ยากจะเปลี่ยนแปลง แต่การแก้ไขตัวเองถึงจะยากเย็นแสนเข็ญแค่ไหน แต่คงยังจะง่ายกว่าไปเที่ยวตามว่าคนนี้ทีว่าคนโน้นที คิดจะแก้ไขคนอื่น เขา ซึ่งโคตะระยากยิ่งกว่าหลายเท่านัก  เรื่องง่ายๆเลยกลายเป็นยาก ส่วนเรื่องยากๆก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ .กรรม !...ก็บ่นๆไปงั้นๆแหล่ะตามประสาคนแก่.ขอบคุณที่ยอมมาเป็นที่รองรับอารมณ์..คนขี้บ่น...............................


cartoon_shark_scooter_lunch_md_wht.gif				
30 มกราคม 2551 00:39 น.

ก๊าซพิษมรณะ......มหันตภัยล้างโลก

คีตากะ

กลางท้องทะเลฝั่งอ่าวไทย ปลายปี ค.ศ. 2011 ณ แท่นขุดเจาะน้ำมันของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง รุ่งเช้าที่ท้องฟ้ากำลังสดใสของวันที่ 29 เดือนธันวาคม…….. พายุร้ายกำลังเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ
“หัวหน้าครับ ! หัวหน้า เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ !” เสียงเอะอะดังมาจากหัวหน้าทีมช่างขุดเจาะน้ำมันภาคพื้นทะเล  ที่วิ่งมาอย่างกระหืดกระหอบ ราวกับถูกผีหลอกมาก็ปาน! แกชื่อช่างบ่าว หน้าตามอมแมม ร่างกายต่ำเตี้ย ผิวสีดำสนิท
“มีอะไรว่ะ !ไอ้บ่าว ทำหน้าตื่นขนาดนั้น มึงขุดเจอภูตผีหรือไงฮะ !” คุณสุรชัยผู้จัดการฝ่ายผลิตตวาดเสียงดัง เมื่อถูกคนขัดจังหวะขณะกำลังนั่งจิบกาแฟและอาหารมื้อเช้าอยู่
“หัวหน้าครับ คืออย่างนี้ครับ ระหว่างที่คนงานกว่าร้อยคนกำลังทำงานอยู่นั้น ก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น มีคนมารายงานผมๆจึงรีบไปดู พบว่าท้องทะเลเกิดมีฟองอากาศมากมายกำลังผุดขึ้นมาจากใต้ทะเลครับ คนงานกลัวกันมาก วิ่งหนีกลับที่พักกันหมดเลยครับ บางคนบอกว่า เจ้าแห่งท้องทะเลกำลังลงโทษที่พวกเรามาขุดเจาะน้ำมันบริเวณนี้ “ ช่างบ่าวรายงานด้วยอาการอกสั่นงันงก เหมือนเจอผีสางมาจริงๆ…..
ทันทีที่ได้ฟังรายงานจากช่างบ่าว สีหน้าของคุณสุรชัยก็เปลี่ยนเป็นแดงสดสีเลือดขึ้นมา พร้อมตวาดว่า
“นี่มึงเป็นถึงหัวหน้าทีมช่าง ทำไมจึงทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมกับเรื่องไร้สาระแบบนี้ แค่ฟองอากาศ ทะเลก็ต้องมีฟองอากาศเป็นเรื่องปกติ ไปรีบไสหัวกลับไป มีภาวะความเป็นผู้นำหน่อยสิ บอกคนงานด้วยใครกล้าหนีงานอีกกูจะตัดเงินเดือนหรือไม่ก็ไล่ออก รวมทั้งมึงด้วย ออกไปซ่ะ ก่อนที่กูจะโกรธมากกว่านี้ !”
ช่างป่าวได้แต่รีบออกจากห้องไป ก่อนที่จะเจอข้อหาหนัก แต่สัญชาติญาณถึงเหตุร้ายภายในจิตใจของแก ซึ่งเป็นผู้ที่เคยคร่ำหวอดในวงการขุดเจาะน้ำมันมากว่า 20 ปี สอนให้แกรู้ว่ากำลังมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น แกเดินเรื่อยๆพลางคิดว่าเพราะอะไรผู้จัดการถึงไม่รับฟังคำพูดของแก…แต่แล้วแกก็เปลี่ยนใจที่จะกลับไปตามคนงานมาทำงาน กลับเดินเลี้ยวซ้ายเลียบทางเดินเล็กๆที่ติดกับท้องทะเลตรงไปยังห้องของหัวหน้าทีมวิจัยและพัฒนาซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับแกมานานในฐานะเพื่อนร่วมงาน
“มึงจะบ้าไปแล้ว ไอ้บ่าว เมื่อคืนมึงกินเหล้าดึกไปเปล่าวะ เช้ามาเลยเมาไม่สร่าง กูว่ามาต่อกันอีกซักกลมดีกว่าหว่ะ ถอนหน่อยจะได้หายเมาฮาๆ”ประสงค์ หัวหน้าทีมวิจัยฯ หัวเราะเพื่อนของเขาเองที่ตื่นตูมกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง หลังจากที่ช่างบ่าวเพื่อนสนิทของเขาเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง….
“เออ ไม่มีใครเชื่อกูก็แล้วไป เกิดอะไรขึ้นจะมาว่ากูไม่เตือนไม่ได้นะมึง” ช่างบ่าวตัดพ้อต่อว่าเพื่อนสนิทของเขาก่อนที่จะรีบก้าวเท้าออกจากห้องไป
ช่างบ่าวรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างมากที่ไม่มีใครรับฟังคำพูดของเขา และเขาเริ่มจะเชื่อคำพูดของคนเหล่านั้นไปเสียแล้วว่าตัวแกเพี้ยนไปเอง แต่สัญชาติญาณของแกยังคงร้องเตือนแกไม่หยุดหย่อน ถึงเหตุร้ายแรงบางอย่าง แต่แล้วแกก็พลันคิดขึ้นมาได้ว่าในไซด์งานขุดเจาะน้ำมันนี้ยังมีคนผู้หนึ่งที่สามารถตอบปัญหาเคลียร์ข้อข้องใจให้แก่แกได้  ภายหลังจากที่แกเข้าไปรายงานระดับผู้บริหารหลายท่าน แต่สุดท้ายก็จบเหมือนเช่นเดิม คือแกโดนตวาดไล่ออกมาเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง ไม่รู้ว่าคนๆนี้จะเหมือนคนอื่นๆอีกหรือไม่ แต่แกไม่มีทางเลือก เพราะนี้คือทางเลือกสุดท้าย คนที่เขาต้องการพบก็คือ นายช่างสอง วิศวกรหนุ่มไฟแรง ที่เพิ่งเข้างานมาได้เพียง 2 เดือน แต่ก็ถูกส่งมาประจำที่นี่เช่นเดียวกับแก 
“มึงเห็นนายช่างสองเปล่าว่ะ” ช่างบ่าวถามคนงานคนหนึ่งที่เผอิญเดินมาเจอกัน
“ลูกพี่ลองไปดูที่ห้องนายช่างสิ” คนงานตอบ
“กูไปมาแล้วแต่ไม่เจอ เดินหาจนทั่วเกือบจะตกทะเลตายอยู่แล้ว ไม่รู้วันนี้นายช่างมาทำงานเปล่า? หาตัวยากจริงๆ” ช่างบ่าวรู้สึกท้อแท้อย่างบอกไม่ถูกกับการเดินตามหานายช่างสอง แกให้ประชาสัมพันธ์ประจำไซด์สาวสวย ประกาศให้หลายรอบแล้วแต่ยังคงไม่เห็นแม้เงาของคนที่เขาอยากพบเจอมากในเวลาที่คับขันที่สุด !
“ไอ้หมาย มึงเห็นลูกพี่มึงเปล่าว่ะ มึงสนิทกับนายช่างสองไม่ใช่เหรอ? น่าจะรู้ดีว่าเขาอยู่ไหน เห็นกินเหล้าด้วยกันบ่อยๆ” ช่างบ่าวรีบกล่าวด้วยอาการดีใจ เมื่อได้พบกับสมหมาย ช่างเครื่องกล คนสนิทของนายช่างสอง หลังจากที่เดินตามหามันมากว่าครึ่งค่อนวัน
“ฮาๆๆๆๆ วันนี้ลูกพี่ผมไม่มาทำงานหรอกครับ แกลากิจครับ” สมหมายตอบด้วยรอยยิ้มแทบจะกลั้นหัวเราะไม่ออก
“กูมีเรื่องเร่งด่วนอยากพบเจอนายช่าง ตอนนี้เดี๋ยวนี้ เรื่องคอขาดบาดตายนะมึง ไม่มีเวลามาล้อเล่นกับมึงหรอก บอกมาตรงๆว่านายช่างอยู่ไหน” ช่างบ่าวเริ่มหงุดหงิด พร้อมพูดแกมบังคับ
“ผมบอกให้พี่รู้ก็ได้ แต่พี่อย่าไปบอกใครนะ เดี๋ยวนายช่างสองจะมาเล่นงานผม !”
“เออ กูรับปาก รีบบอกมา นายมึงอยู่ไหน” ช่างบ่าวคาดคั้น
“ผมว่าเมื่อคืนแกดื่มหนักไปหน่อย ผมชวนแกกลับตอนตีหนึ่ง แต่แกบอกไม่กลับแถมพูดจาไม่รู้เรื่องอีก ยังขับไล่ผมให้กลับไปก่อน ผมเดาว่าแกคงไปนอนกับอีหนูที่ร้านอาหารและคาราโอเกะชื่อ ร้านสุขสำราญคาราโอเกะ ในเมืองนะครับ !” สมหมายกล่าวรายงาน ภายหลังจากที่ทราบว่านายช่างขึ้นฝั่ง ช่างบ่าวก็รีบสั่งลูกน้องเอาเรือออกทันทีเพื่อไปตามนายช่างสองความหวังสุดท้ายที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวของแก และอาจหมายถึงความเป็นความตายของแกด้วย !
ท้องฟ้ายังคงเวิ้งว้างว่างเปล่าราวกระดาษ ลมทะเลแม้จะรุนแรง แต่เสียงหัวใจของช่างบ่าวยังเต้นแรงกว่าอีกหลายเท่านัก

ท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาล
สุขสำราญเพียงกินดื่ม
หวังเหงาจางร้างเลือนลืม
ขอหยิบยืมน้ำเมาคลาย……

โอบกอดนารีมีไออุ่น
หอมกลิ่นกรุ่นรักมิหน่าย
ผ่านวันเปล่าเหงาวางวาย
สุขมิคลายได้กอดนาง….

ยิ้มเยาะเย้ยชนชาวโลก
มัวนั่งโศกโชคเหินห่าง
ข้าคงสุขทุกข์เบาจาง
อ้อมกอดนางสำราญใจ

ครั้งแรกที่ช่างบ่าวมาถึง “ร้านสุขสำราญคาราโอเกะ”  แกต้องพบกับความว่างเปล่าเพราะไม่พบตัวนายช่าง แต่พอสืบทราบว่าเมื่อคืนนายช่างสองมาที่นี่และอยู่กับหญิงสาวเยาว์วัยนางหนึ่ง แกก็รีบตามหาจนพบตัวเธอ เธองดงามอย่างยิ่งทางร้านเพิ่งรับเข้ามาเป็นนักร้องที่นี่ได้แค่ 3 วัน แต่คนที่สนิทสนมกับเธอมากที่สุดคงเป็นนายช่างสองนั่นเอง 
“เมื่อคืนหนูอยู่กับพี่สองทั้งคืน แกชวนหนูดื่มเหล้า เราเล่นพนันกันว่าใครเมาก่อน จะถูกปรับแพ้ ต้องเป็นคนถอดเสื้อผ้าก่อน คริคริคริ “ หญิงสาวพูดโดยไม่อายราวกับพูดจาถึงคนรักของเธอก็ปาน ดวงตาเธอหวานเยิ้มเหมือนตกอยู่ในห้วงความรัก มุมปากมีรอยยิ้มน้อยๆปรากฏ
“แล้วจากนั้นเล่า ?” ช่างป่าวรีบสอบถาม
“จากนั้นพี่เค้าก็……อิอิอิ”
“เขาก็อะไร?”
“พอเราดวลเหล้ากันหมดไปหลายขวด หนูว่าหนูคอแข็งแล้ว แต่ไม่น่าเชื่อพี่เค้ายังคอแข็งยิ่งกว่า แม้แกจะบอกว่าไม่เคยดื่มเหล้า แต่หนูไม่เชื่อหรอก  พี่เค้ายังบอกอีกว่ายังไงก็ไม่ยอมเมาก่อนหนูแน่ๆ และไม่ยอมถอดเสื้อผ้าก่อนแน่นอน เขาว่าเสียเชิงชายหมด น่าเสียดาย ! ตอนที่หนูเริ่มเมานั่นเอง…พี่เค้าก็…”
“ว่าไปสิ แล้วไงต่อ” ช่างบ่าวเริ่มสงสัยใคร่อยากรู้จริงๆขึ้นมา จนลืมเหตุการณ์ร้ายไปหมดสิ้น
“พี่เค้าก็พลันล้มพับลงไปนอนกองกับพื้นหลับแน่นิ่งไป ส่วนหนูก็เมาจนหลับไปเหมือนกัน จนจำอะไรไม่ได้ พอตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่า พี่เขาหายตัวไปแล้ว !” สาวนักร้องกล่าวทำเสียงเสียดายอยู่กรายๆ
“เวรกรรม ! แล้วผมจะหานายช่างเจอได้ที่ไหนกันหล่ะคราวนี้ มีเรื่องเร่งด่วนด้วย !” ช่างบ่าวทำท่าเหมือนหมดอาลัยตายอยากในชีวิต
“ลองไปหาที่วัดซิ” หญิงสาวกล่าวเปรยๆ
“นายช่างจะไปวัดทำไม ?” ช่างบ่าวถามด้วยความสงสัย
“หนูเห็นพี่เค้าเป็นคนธรรมะธรรมโมน่ะ”
“รู้ได้ยังไง?”
“ก็พี่เค้ามาถึงร้านก็เอาแต่ร้องเพลงๆ  สั่งอาหารแต่พวกผักผลไม้ หนูก็เอามาให้พี่เค้า หนูสงสัยก็เลยถามพี่เค้าว่าพี่ทำไมกินแต่ผัก พี่เค้าบอกว่า พี่ไม่กินเนื้อสัตว์ กินแต่เนื้อคน อิอิอิ”
“ถ้าหนูมีแฟนยังงี้คงรวยตายเลย ปล่อยให้พี่เขากินแต่ผัก เงินคงเหลือเยอะ หนูจะกินแต่เนื้อให้อิ่มแปล้เลย” หญิงสาวพูดคล้ายว่าต้องการแบบนั้นจริงๆ พร้อมกับหัวเราะคิกคัก
หญิงสาวมัวแต่พร่ำเพ้อ พอเธอหันกลับมาอีกทีก็ไม่พบช่างบ่าวเสียแล้ว แกหายตัวไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ! ปล่อยให้เธอนั่งวาดฝันสร้างวิมานไปเพียงคนเดียว ….
จริงดั่งที่สาวน้อยกล่าว นายช่างสองมาอาศัยกุฏิหลวงตาที่วัดข้างๆนี้เองเมื่อคืนนี้ ซึ่งในเมืองแห่งนี้มีเพียงวัดเดียวเท่านั้น ช่างบ่าวจึงตามหาไม่ยากเย็น วัดอยู่ตรงมุมถนนใกล้ๆ ร้านนี้เอง
“นมัสการครับหลวงตา” ช่างบ่าวกล่าวหลังจากกราบเจ้าอาวาส
“เจริญพรโยม  มีธุระอะไรกับอาตมาหรือเปล่าถึงมาที่นี่” เจ้าอาวาสถามด้วยดวงตาที่เปี่ยมเมตตา
“ผมมาหาคนๆหนึ่งครับ ไม่ทราบหลวงตาพบคนแปลกหน้าผ่านมาทางนี้บ้างหรือเปล่า?” ช่างบ่าวยิงคำถามทันที
“พบคนหนึ่ง แต่ไม่แปลกหน้าหรอก โยมสองใช่ไหมหล่ะ?”
“ใช่ครับเขาเป็นหัวหน้าผมเองครับแต่อยู่คนละแผนก”
“เมื่อคืนเขามาสนทนาธรรมกับอาตมา เราพูดจาถูกคอกัน อาตมาก็เลยชวนค้างคืนเสียที่วัด เพราะมันดึกมากแล้ว”
“นายช่างไม่ใช่เมาหนักหรอกหรือครับ คาดว่าสภาพคงดูไม่ได้” ช่างบ่าวถามด้วยความสงสัย
“เปล่านี่ ! อาตมาไม่เห็นได้กลิ่นสุราเลยนี้ แล้วโยมเขาก็ปกติดีทุกอย่าง มีสติแจ่มใส ไม่คล้ายคนเมา”
ช่างบ่าวทำหน้าตามึนงงสงสัยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แล้วถามต่อว่า
“ตอนนี้นายช่างอยู่ที่ไหนครับ”
“อาตมาพอตอนเช้าออกไปบิณฑบาตกลับมาก็หาไม่พบแล้ว สงสัยจะกลับไปแล้วแหละ!” หลวงตาตอบ
ช่างบ่าวทำท่าผิดหวัง กราบเจ้าอาวาสพร้อมลากลับไซด์งาน ลงเรือมุ่งหน้าสู่ท้องทะเลทันที เวลาก็สายมากแล้ว อาทิตย์ทอแสงสาดส่องมาเข้มข้น และรุนแรงราวกับไม่เคยปราณีต่อสรรพชีวิตทั้งหลายบนโลก ราวกับยึดถือแผ่นดินต่างเขียง เห็นชีวิตเป็นผักปลาก็ปาน!

ฝ่าเกลียวคลื่นหมื่นแสนแสนรันทด
โศกสลดรักจางเหินห่างหนี
ครางแคลงใจน้ำใจในนารี
ไยจึงมีเพียงน้อยร่อยหรอลง…..

ช่างบ่าวตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อมาพบนายช่างสองกำลังนั่งจิบกาแฟทำท่าสบายอารมณ์ คล้ายกำลังสุนทรีย์กับภาพความงามของท้องทะเลเบื้องหน้านี้ แม้วัยจะล่วงเลยเลขสองไปแล้ว แต่ยังคงดูแจ่มใส กระตือรือร้น และผ่อนคลาย ราวเด็กหนุ่มอายุ ย่างเข้า 20 ก็ปาน แม้จะนั่งอยู่เพียงคนเดียว และดูเหมือนว่าจะว้าเหว่ แต่บุคลิกของเขายังคงสูงส่ง ยากสยบ เสมือนว่าเขาไม่ได้นั่งอยู่บนโลกนี้ หากเปลี่ยนเป็นบุคคลอื่นอยู่ในสภาพเช่นนี้นั่งอยู่ตรงนี้ คงไม่มีบุคคลที่สองที่จะสามารถปลอดโปร่งและผ่อนคลายมากกว่าเขาอีก หรือความผ่อนคลายจำต้องคร่ำเคร่งฝึกฝนจึงได้มา…..
“นายช่างครับเกิดเหตุการณ์ใหญ่แล้ว ! ………..” ช่างบ่าวรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนที่รายงานให้กับผู้บริหารท่านอื่นฟังไม่ผิดเพี้ยนแม้สักคำ 
“ผมทราบแล้ว และอยากจะถามพี่สนุกๆให้พี่ลองตอบมาฟังดู” นายช่างสองกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ทำไมโลกจึงร้อนขึ้น?”
“เพราะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มาจากการเผาเชื้อเพลิง การหุงต้ม การเผาขยะ จากเตาปฏิกรณ์ของโรงงาน จากรถยนต์ที่วิ่งเต็มถนน จากสารทำความเย็นจากแอร์คอนดิชั่นของคนรวยๆ สำนักงานต่างๆ ลอยขึ้นไปทำลายชั้นบรรยากาศและสร้างภาวะเรือนกระจก “
“พี่ลืมสิ่งสำคัญ และสาเหตุสำคัญไปข้อหนึ่ง”
“อะไรครับนายช่าง?”
“คาร์บอนไดออกไซด์ จากฟาร์มปศุสัตว์ทั่วโลก ! ที่เหล่าสัตว์ เช่น โคกระบือ ปล่อยออกมา”
“ผมพึ่งจะทราบนะเนี้ย ว่าการทำฟาร์มเพื่อผลิตอาหารให้ชาวโลกกลับย้อนมาสร้างภัยพิบัติให้กับโลกได้”
“สิ่งที่พี่รู้อาจมีมากมาย แต่ที่ไม่รู้น่ากลัวยังมีอีกมากเช่นกัน”
“แต่นายช่างครับฟองอากาศที่ผุดมาจากใต้ท้องทะเลมากมายนี้ คืออะไรครับ? รับประกันได้เลยในชีวิตผมไม่เคยพบเห็นมาก่อนแน่ๆ”
“ผมถามพี่ เมื่อเกิดภาวะเรือนกระจก หรือ Green House Effect จากนั้นเป็นอย่างไร?” นายช่างเปลี่ยนประเด็นและตั้งคำถาม
“โลกก็จะกลายเป็นเหมือนเตาอบดีๆนี่เองซิครับ  การที่ชั้นบรรยากาศหรือโอโซนถูกทำลายก็ส่งผลให้แสงแดดที่ส่องมาโลกรุนแรงขึ้นด้วย” ช่างบ่าวสาธยายเหมือนผู้รู้
“พี่ยังลืมไปข้อหนึ่ง !” 
“อะไรครับ?”
“น้ำแข็งขั้วโลกละลายอย่างรวดเร็วทำให้โลกขาดกระจกสะท้อนแสงอาทิตย์ ผลก็คือยิ่งทำให้โลกยิ่งร้อนขึ้นไปอีก”
“ผมสงสัยว่า เมื่อโลกร้อน น้ำแข็งขั้วโลกละลาย แล้วทำไม น้ำทะเลไม่เย็นขึ้นเล่าครับ?” ช่างบ่าวถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
“น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ !”
“ผมเข้าใจแล้ว แต่ภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น ที่พวกนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์คือเมื่อทะเลเย็น จะทำให้ลมมรสุม พายุต่างๆ รุนแรงขึ้น และปริมาณน้ำจากทะเลที่สูงขึ้นจะเกิดภาวะน้ำท่วมโลกมิใช่หรือ?”
“ผมไม่ทราบอะไรทั้งนั้น พี่คงดูหนังมากเกินไปแล้ว รู้แต่เพียงว่าถ้าอุณหภูมิระหว่างพื้นดินกับทะเลแตกต่างกันมาก มวลอากาศร้อนย่อมเข้าไปแทนที่อากาศเย็น และความกดอากาศเปลี่ยนแปลงทำให้ลมพายุมรสุมต่างๆรุนแรงขึ้น”
“ใช่ครับผมดูจากในหนัง เห็นว่าโลกกลายเป็นน้ำแข็ง”
“น้ำท่วมโลกและพายุรุนแรงยังไม่น่ากลัวเท่าไร”
“ยังมีสิ่งที่น่ากลัวกว่านี้อีกหรือครับ แค่นี้ผมว่ายังหาทางแก้ไม่ได้เลย”
“ยังมีวิธีที่ตายเร็วกว่านั้น แบบเฉียบพลัน แบบไม่ทันตั้งตัว และหนีไม่ทัน”
“คืออะไรครับ?” ช่างบ่าวถามด้วยอาการอกสั่นสะท้าน รู้สึกว่าอากาศรอบตัวกำลังเย็นลงทุกขณะ คล้ายได้ยินเสียงร่ำไห้โหยหวนดังมาจากห้วงนรกอเวจี…..
“ผมถามพี่ น้ำแข็งเมื่อละลายไปหมดแล้วเกิดอะไรขึ้น”
“ใช่ครับ น้ำแข็งมีวันละลายหมด แต่ดวงอาทิตย์ยังไม่เคยดับ น้ำทะเลอย่างไรก็ต้องร้อนอยู่ดี”
“คำถามอีกข้อ ปริมาณน้ำที่มากมายกว่าน้ำแข็งขั้วโลกหลายเท่าตัวใครจะเป็นฝ่ายชนะ”
“ปลาใหญ่ย่อมกลืนปลาเล็ก มหาสมุทรกลับร้อนอยู่ดี”
“ที่สำคัญมีอัตราที่สูงขึ้นอย่างน่าตกใจ !”
“ผมถามอีกข้อ เหล็กเมื่อร้อนกับเย็นต่างกันอย่างไร?”
ช่างบ่าวยังไม่หายหวาดหวั่น แต่ก็สงสัยในคำถามของนายช่างพลางตอบไปว่า
“เหล็กเวลาร้อนจะขยายตัว แต่เวลาเย็นจะหดตัวครับ”
“ผมถามอีกข้อ ก๊าซ ของแข็ง ของเหลวได้รับความร้อน อันไหนขยายตัวได้เร็วกว่ากัน?”
“ผมว่าน่าจะเป็นก๊าซ และเร็วกว่าหลายเท่าด้วยเท่าที่เห็น เพราะโมเลกุลมันเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่สูงมากเวลาได้รับความร้อน”
“ผมถามพี่ ก๊าซอะไร ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี  มีพิษ และจุดติดไฟได้อย่างรวดเร็ว”
“ก๊าซหุงต้ม ที่ใช้กันตามบ้านไงครับ เวลารั่วทีน่ากลัวจะตาย !”
“บอกไม่มีกลิ่นแล้วเวลาแฟนพี่ทำแก๊สรั่ว ทำไมถึงรู้หล่ะครับ”
“ก็เพราะทางร้านเขาผสมกลิ่นเข้าไป เพื่อความปลอดภัยน่ะซิครับ รั่วจะได้รู้ก่อน อันตรายมาก”
“พี่จำข่าวหน้าหนึ่งได้เปล่าครับ ตอนที่ก๊าซนี้รั่ว เกิดอะไรขึ้น”
“จำได้ซิครับ รถก๊าซเกิดไปชนอะไรเข้า เกิดรั่ว แล้วเผอิญมีประกายไฟเกิดขึ้น อาจมาจากเครื่องยนต์ของรถ หรือจากใครจุดไฟก็ไม่ทราบ เกิดไฟวิ่งตามอากาศ คนถูกย่างสดตายไปหลายคน คิดแล้วสยองจริงๆ” ช่างบ่าวทำตาลุกวาวหลังจากเค้นข้อมูลในสมองของแก ซึ่งแกยังไม่หายเสียงสั่น แต่พอเห็นนายช่างมีท่าทีสบายๆแกก็เลยหายวิตกจริตลงบ้าง แล้วถามว่า
“แล้วเรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับฟองอากาศที่กำลังผุดขึ้นมานี้เล่าครับนายช่าง?”
“ผมมีคำถามอีกข้อก่อนจะตอบคำถามของพี่ ก๊าซหุงต้มเกิดขึ้นได้อย่างไร?”
“แม้ผมจะเคยเรียนตอน ม.6 แต่ก็จำไม่ค่อยได้ พอรู้ว่ามันเป็นผลิตผลจากก๊าซธรรมชาติ ซึ่งแยกเอาองค์ประกอบทางเคมีของมีเทนหรือ CH4 ออกแค่นั้น ”
“พี่คงไม่ทราบว่า ก๊าซมีเทนเป็นก๊าซพิษที่รุนแรงมากเช่นเดียวกับก๊าซหุงต้มมาจากขบวนการผลิตก๊าซธรรมชาติเหมือนกัน ส่วนใหญ่ใช้เป็นเชื้อเพลิง ไร้สีไร้กลิ่น แต่พอรวมกับอากาศจะเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สาเหตุสำคัญของภาวะโลกร้อนและฝนกรด”
“แต่ภาวะโลกร้อน อากาศร้อนและฝนกรดยังไม่น่ากลัวเท่าไร” นายช่างกล่าวย้ำ
“ยังมีสิ่งที่น่ากลัวกว่านี้อีกเหรอครับ?” ช่างบ่าวเริ่มวิตกกังวลอีกครั้ง เหมือนไม่อยากได้ยินคำตอบที่ตนถามออกไปสักเท่าใด….
“พี่รู้หรือเปล่าว่าใต้ท้องมหาสมุทรมีซากพืชซากสัตว์ล้มตายสะสมมายาวนานตั้งแต่ยุคไดโนเสา”
“ย่อมทราบซิครับ เพราะนี่คืออาชีพของเรา ทำให้เรามีน้ำมันดิบเอาไปขายไง”
“น้ำมันดิบก็มาจากซากพืชซากสัตว์เหล่านี้นอกจากนั้นยังมีก๊าซธรรมชาติอีกด้วยในใต้ท้องทะเล”
“พี่คงเห็นแล้วว่าใต้ท้องทะเลล้วนมีสารและก๊าซที่เป็นเชื้อเพลิงจำนวนมาก”
“ใช่ครับ”
“และมันก็เป็นอาวุธที่สามารถทำลายล้างโลกได้ภายในพริบตา!”
พอนายช่างสองกล่าวถึงตรงนี้ ทุกอย่างก็เงียบกริบ เสมือนว่าสรรพสิ่งไม่มีการดำรงอยู่ ไร้ชีวิต ไร้ลมหายใจ โลกร้างไร้ผู้คน…….ไม่ทราบเวลาผ่านไปนานเท่าไร ช่างบ่าวเกิดอาการสั่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด แกคล้ายรับรู้ชะตากรรมของมวลมนุษยชาติแล้ว และพูดด้วยเสียงสั่นสะท้านตะกุกตะกักว่า
“นายช่างกำลังหมายความว่าฟองที่กำลังผุดตรงหน้าเรานี้คือ………”
“อย่างที่พี่เข้าใจไม่ผิดเพี้ยน จากอุณหภูมิของน้ำทะเลที่สูงขึ้นวันนี้ อาวุธทำลายล้างโลกพลันอุบัติขึ้นแล้ว มันคือก๊าซพิษ ไร้สี ไร้กลิ่น ปริมาณมหาศาลจากทั่วทุกมุมโลก จากมหาสมุทรที่ล้อมรอบแผ่นดินไว้ราวลูกไก่ที่อยู่ในกำมือ มันจะแพร่ไปในอากาศอย่างรวดเร็วเมื่ออุณหภูมิถึงจุดๆหนึ่ง พร้อมกับคร่าชีวิตผู้คนและสัตว์ภายในพริบตาเมื่อสูดดมเข้าไป ไม่ทันวิ่งหนี ไม่ทันตั้งตัว ไม่มีเวลาแม้จะกล่าวคำอำลา………………………..”
“ความร้อนทำให้มันขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนคาดไม่ถึง”
“นายช่างกำลังจะบอกผมว่าเรากำลังจะถูกฆ่าใช่ไหมครับเวลานี้เดี๋ยวนี้” ช่างบ่าวถึงกับทรุดเขาลงกับพื้น อย่างหมดอาลัยตายอยาก คงยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และภาวนาให้เรื่องราวที่ได้ยินมาทั้งหมดเป็นเพียงแค่ความฝัน แม้ในใจเขาจะทราบว่านี่เป็นความจริงก็ตาม….
“พี่ยังไม่ถึงกับตายเร็วเกินไป พี่ดูซิมันพึ่งจะเริ่มผุดขึ้นมาในปริมาณน้อยๆเท่านั้นยังมีเวลาวันสองวันให้พี่ได้หนีทัน” นายช่างสองยังคงพูดจาเหมือนล้อเล่น ใบหน้ายังคงยิ้มแย้ม คล้ายว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องโกหกก็ปาน !
เขายังคงนั่งจิบกาแฟสบายอารมณ์เหมือนเคย ราวกับว่าไม่เคยพูดอะไร จนเวลาผ่านไปเนิ่นนาน เมื่อช่างบ่าวตั้งสติได้แล้ว นายช่างจึงพูดเสริมว่า
“อาวุธที่มองเห็นอย่างไรก็ยังไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวแท้จริงคืออาวุธลับที่มองไม่เห็น ไม่รู้มันจะมาเวลาใด เมื่อไร จนมันมาถึงตัวแล้วคิดแก้ไข คงไม่ทันการแล้ว  อิอิอิอิ”
“ ฟองผุดนี้ก็คือ ก๊าซมีเทนนั่นเอง ไร้สี ไร้กลิ่น ฆ่าชีวิตในพริบตา ถ้าปริมาณมีมากพอ” นายช่างสองกล่าวสรุปย้ำอีกครั้ง ก่อนจะพริ้มตาหลับลงอย่างสงบ……………

แม้ว่าผลการณ์วิจัยจากนักวิทยาศาสตร์และองค์การนาซาจะได้เปิดเผยข้อมูลมาก่อนหน้านี้แล้วว่า ภายใต้ท้องทะเลสามารถจะเกิดก๊าซมีเทนซึ่งเป็นก๊าซมรณะคร่าสรรพชีวิตได้ภายในพริบตา ถ้าหากท้องทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้นถึงจุดหนึ่ง ด้วยปริมาณที่มากมายมหาศาลเกินกว่าใครจะคาดคิด แม้แต่นักวิทยาศาสตร์เองก็ยังคงไม่สามารถยืนยันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ามันจะมีความเป็นไปได้ขนาดไหน และจะเกิดขึ้นเมื่อใด คำเตือนต่างๆได้แจ้งไปทั่วโลกแต่ผู้นำประเทศทั้งหลายกับให้ความสนใจแต่เรื่องเศรษฐกิจจนกลายเป็นหนวกใบ้ และปล่อยให้การใช้เชื้อเพลิงอันเป็นผลต่อภาวะโลกร้อนยังคงดำเนินต่อไป จนวันนี้สิ่งแวดล้อมได้สูญเสียสมดุลและเกิดภัยทางธรรมชาติที่ไม่เคยเกิดได้เกิดขึ้นมากมายคร่าชีวิตผู้คนนับล้าน และบัดนี้หนทางเพื่อแก้ไขต่างๆสมควรงดเว้นได้แล้วเนื่องเพราะ สายเกินไป สำหรับการยับยั้งมหันตภัยจากก๊าซมรณะนี้…………………………………..


ไม่นานหลังจากนั้น เหตุการณ์ต่างๆเริ่มเลวร้ายลงจนถึงขั้นวิกฤติ การเตือนภัยดังไปทั่วโลก ท้องทะเลอันเงียบสงบได้เกิดก๊าซมีเทนขึ้นจำนวนมากมายมหาศาลทั่วทุกมุมโลก โลกตกอยู่ในภาวะอันตรายทันที มาตรการต่างๆถูกนำมาใช้แต่ไร้ผล ไม่สามารถยับยั้งก๊าซพิษลงได้ มันได้ฆ่าชีวิตมนุษย์และสัตว์ล้มตายมากมายสุดคณานับ จนไม่สามารถคาดการณ์จำนวนที่แน่ชัดได้ ผู้คนล้มตายไปค่อนทวีป มีเหลือเพียงส่วนน้อยเท่านั้น มีพื้นที่บางส่วนที่รอดพ้นจากมหันตภัยครั้งนี้ มีเหลือคนเพียงบางกลุ่มเท่านั้นที่รอดชีวิตและแน่นอนหนึ่งในนั้นย่อมมีช่างบ่าวและนายช่างสองรวมอยู่ด้วย เพราะทั้งคู่ถูกไล่ออกจากงานทันทีที่แจ้งกับผู้บริหารถึงภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่มีใครรับฟังเขา ผลก็คือเขาเป็นเพียงสองคนที่รอดตายจากไซด์งานกลางทะเล ส่วนคุณสุรชัยและคนงานนับพันต้องถูกสังเวยชีวิตลงด้วยก๊าซมรณะอย่างน่าเวทนา  ทันทีที่ถูกไล่ออกช่างบ่าวได้รีบพาครอบครัวไปอาศัยอยู่จังหวัดเชียงราย ส่วนนายช่างสองมีคนรักอยู่คนหนึ่งที่เชียงใหม่ เขาคิดถึงเธอมากจึงบินขึ้นไปหาเธอทันทีและครองคู่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขตลอดไป……………….

                                                             HAPPY   ENDING 
				
Lovers  0 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 0 คน
Lovers  4 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ