17 ธันวาคม 2552 06:03 น.

โคเปนเฮเกน ลมหายใจสุดท้าย....

คีตากะ

gl.gif                แม้จนเกือบถึงวันสุดท้ายแห่งการประชุมว่าด้วยเรื่อง สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ณ เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก คงยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกากับจีนยังคงเกี่ยงกันรับผิดชอบในประเด็นการลดก๊าซเรือนกระจกโดยอ้างเหตุผลทางเศรษฐกิจ ประเทศจีนซึ่งถือเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับ ๑ ของโลกแซงหน้าประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯเมื่อปีที่ผ่านมา จากการที่สหรัฐฯเคยครองแชมป์โลกในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและทำให้โลกร้อนมายาวนานโดยต้องตกมาเป็นรองแชมป์ แต่สองยักษ์ใหญ่ก็ยังคงไม่สามารถหาข้อสรุปเพื่อจะลงเอยกันได้ ที่ผ่านมาในพิธีสารเกียวโต ที่ประเทศญี่ปุ่น แต่ละประเทศได้ให้สัตยาบันที่จะลดก๊าซเรือนกระจกลง และมีเพียง ๒ ประเทศที่ไม่ยอมร่วมลงสัตยาบันซึ่งก็คือ สหรัฐฯและออสเตรเลีย ( ซึ่งภายหลังออสเตรเลียก็ยอมร่วมลงนามในเวลาต่อมา)  ในสมัยรัฐบาลของบุช ที่มุ่งเน้นการปราบปรามผู้ก่อการร้ายสากลและก่อสงครามมากกว่าจะพูดเรื่องสิ่งแวดล้อม ผู้คนต่างคิดกันไปว่าที่รัฐบาลของบุชไม่ยอมร่วมลงนามนั้นใช่มาจากธุรกิจของเขาที่เกี่ยวข้องกับการขุดเจาะน้ำมันหรือไม่? มันก็อดคิดไม่ได้ว่า น้ำมัน ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่นักวิทยาศาสตร์ยืนยันกันว่าเป็นสาเหตุของการทำให้โลกร้อน เช่น เดียวกับถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ
ในขณะที่โลกยังมีความหวังจากประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของสหรัฐฯคนปัจจุบันซึ่งเพิ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพไปหมาดๆ จะมีท่าดีที่เด่นชัดมากขึ้นในการแก้ไขปัญหาโลกร้อน เพราะในขณะที่หลายประเทศที่เป็นเกาะและอาศัยอยู่ตามแนวชายฝั่งทะเลกำลังจะจมน้ำตาย การประชุมที่เมืองโคเปนเฮเกน เดนมาร์ก ถือเป็นความหวังสุดท้ายสำหรับชะตากรรมของพวกเขา ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าไรเลย แต่ต้องมารับเคราะห์จากประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่อย่างจีน สหรัฐฯและยุโรป และทำได้แค่การส่งเสียงและยกมือขอความช่วยเหลือขณะที่กำลังจะจมน้ำในอีกไม่ช้า การประท้วงเริ่มมีขึ้นจากผู้ที่มาร่วมชุมนุมเพื่อลดภาวะโลกร้อนที่เมืองโคเปนเฮเกน และมันดุเดือดขึ้นทุกที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสลายการชุมนุม เหมือนกับว่าโลกกำลังส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง? 
ความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัวหรอก ! แม้โลกจะพินาศวันพรุ่งนี้ก็ตาม แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือความ อวิชชา ต่างหาก ความไม่รู้หรือรู้ผิดนำไปสู่การเวียนว่ายตายเกิดไม่มีที่สิ้นสุด นำไปสู่ความทุกข์ ความกลัว ความวิตก กังวลโดยไม่จำเป็น ศาสนาทุกศาสนาล้วนสอนไว้เช่นนั้น พระพุทธเจ้าเรียกคนที่มีความทุกข์ว่าคนโง่ ถ้าสรุปกันง่ายๆ ภาษาชาวบ้าน ไม่ใช่คนที่ไม่ได้เรียนหนังสือ คนชั้นต่ำหรือว่าอะไร โลกเดินผิดทางมายาวนานมากระหว่างคำว่า โง่ กับ ฉลาด ระหว่างคำว่า ปัญญา กับคำว่า อวิชชา มันจึงไม่ใช่เรื่องที่จะไปโทษผู้นำประเทศหรือนักวิทยาศาสตร์คนไหน ความเข้าใจเรื่องภาวะโลกร้อนผิดพลาดของนักวิทยาศาสตร์ และความเพิกเฉยของผู้นำประเทศในเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเทียบเท่ากับ ความเข้าใจธรรมชาติผิดของตัวเราเอง ยกตัวอย่างเช่น นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้โลกร้อนและแหล่งผลิตอันดับหนึ่งของมันมาจากภาคอุตสาหกรรม นี่เป็นความเขลาประการที่หนึ่ง ความเข้าใจผิดอันนี้นำไปสู่ทิศทางและกลยุทธุ์ในการแก้ไขปัญหาที่ผิดพลาดไปด้วย ผลก็คือมนุษย์ พืช และสัตว์ เกือบ ๙๐% สูญพันธุ์ตามมาในอีกไม่ช้า เหมือนการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์เมื่อ ๖๐๐ ,๑๔๐,๒๕๐ และ ๕๕  ล้านปีก่อน(ค่าประมาณ) พวกมันล้วนพบจุดจบเดียวกันคือภาวะโลกร้อน ถ้าในแง่ศาสนามันคือเรื่องของ กรรม ซึ่งก็มีพวกรู้มากบางคนบอกว่าสิ่งนี้แก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ทำได้อย่างเดียวคือ รอวันตาย นี่คือความเขลาประการต่อมา คุณเชื่อไหมหล่ะว่าถ้าทุกคนบนโลกนี้ไม่กินเนื้อสัตว์ หายนะวันสิ้นโลกจะไม่เกิดขึ้น ไม่ว่าในอดีตหรือในอนาคตโลกจะถึงจุดจบก็ต่อเมื่อมนุษย์ถึงจุดจบแห่งความเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลกไม่ว่าต่อมนุษย์ด้วยกันเอง พืชหรือสัตว์.............
 นักวิทยาสาสตร์บอกว่าการเป็นมังสวิรัติไม่มีทางหยุดภาวะโลกร้อนได้ ซึ่งปัจจุบันเสียงก็เริ่มอ่อยลง เราไม่ต้องพูดถึงเรื่องศาสนาหรือพลังจิตอะไรหรอก มีพวกอุตริธรรมอยู่เยอะ แต่ท้ายที่สุดก็ทำเพื่อลาภยศชื่อเสียงศรัทธาของตัวเองเท่านั้น ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ทุกคนหรอกที่เข้าใจเรื่องภาวะโลกร้อนผิดพลาด ดร.เจมส์ ฮันเซ่นน์ สุดยอดนักวิทยาศาสตร์ทางภูมิอากาศแห่งนาซ่าเป็นหนึ่งในหลายคนที่รู้จริง ท่านกล่าวว่า การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล จะได้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาซึ่งทำให้โลกร้อน ขณะเดียวกันมันก็ได้ควันของละอองลอยซัลเฟต (Aerosols) ซึ่งมีผลทำให้โลกเย็นลง ผลของการหักล้างอุณหภมิของก๊าซทั้งสองตัวอุณหภูมิที่ได้เกือบเป็นศูนย์ ดังนั้นภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาไม่ใช่มาจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่เป็นก๊าซมีเทน ซึ่งแหล่งผลิตรายใหญ่ที่สุดมาจากฟาร์มปศุสัตว์ เช่น วัว ควาย หมู ฯลฯ ซึ่งการค้นพบที่สำคัญนี้สอดคล้องกับนักฟิสิกซ์แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก สหรัฐฯ นาย Noam Mohr ซึ่งพบว่าในช่วงระยะเวลา ๒๐ ปี คาร์บอนไดออกไซด์มีผลทำให้โลกร้อน ๔๐% ส่วนอีก ๖๐% มาจากก๊าซหลักที่สำคัญคือมีเทน นั่นหมายความว่าคาร์บอนไดออกไซด์ ๔๐% นั้นมาจากไหน? คำตอบนี้ยังไม่มีใครตอบได้ชัดเจน ทุกคนก็เหมาเอาว่าจากโรงงาน การขนส่ง การเกษตร บ้านเรือน การเผาขยะ เป็นต้น ซึ่งก็อาจจะจริงแต่เป็นส่วนน้อยเท่านั้น
แม้แต่องค์การเกษตรและอาหารแห่งสหประชาชาติ (FAO) ยังกล่าวว่าการเลี้ยงสัตว์และผลิตภัณฑ์นมทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกซึ่งทำให้เกิดภาวะโลกร้อนเพียงร้อยละ ๑๘ มากกว่าการขนส่งทั่วโลกรวมกัน อย่างไรก็ตามมันชัดเจนมากขึ้นต่อนักวิทยาศาสตร์ในเวลาต่อมาว่า อุตสาหกรรมปศุสัตว์ มีบทบาทสำคัญมากกว่านั้นและเป็นแหล่งใหญ่ที่สุดในการผลิตก๊าซเรือนกระจกซึ่งทำให้เกิดภาวะโลกร้อนถึงร้อยละ ๕๑  ดร.ที คอเลน จากมหาวิทยาลัยคอเนล สหรัฐอเมริกากล่าวว่า ผมแค่มีข้อมูลบางอย่างเมื่อเร็วๆ นี้ มีโครงสร้างใหม่ตอนนี้ ระบุว่าอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของก๊าซเรือนกระจก ที่อยู่ที่นั่นไม่ใช่แค่ ๑๕ หรือ ๒๐% แต่อย่างน้อยครึ่งหนึ่งและบางทีมากพอใช้ ซึ่งเนื่องมาจากการปศุสัตว์  คำตอบนี้พอคาดเดาได้หรือไม่ว่า ถ้าสิ่งที่ค้นพบโดย ๓ นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลก (ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย) ข้างต้นนั้นเป็นความจริง คาร์บอนไดออกไซด์ที่มีเพิ่มมากขึ้นในชั้นบรรยากาศและทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น ตามกราฟที่อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายอัล กอร์ แสดงไว้ในหนังสืออันโด่งดังชื่อ  โลกร้อน ความจริงที่ไม่มีใครอยากฟัง( An Inconvenient Truth)  ที่ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่านั้นมาจากที่ใด? เมื่อคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลไม่ได้ทำให้โลกร้อน การเผาผลาญน้ำมันจากการขนส่ง รถ เรือ เป็นต้นก็ย่อมได้ผลแบบเดียวกันคือจะเกิดละลองลอยที่ทำให้โลกเย็นด้วย หรือแม้แต่การเผาก๊าซธรรมชาติ NGV LPG ต่างๆ เหล่านี้ก็เช่นเดียวกัน  คำตอบที่น่าสนใจก็คือว่า ฟาร์มปศุสัตว์ อย่างไรหรือ? ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าฟาร์มปศุสัตว์นั้นผลิตก๊าซเรือนกระจกถึง ๓ ก๊าซคือ ก๊าซมีเทน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซไนตรัสออกไซด์ พูดถึงความรุนแรงที่ส่งผลต่อภาวะโลกร้อนก๊าซไนตรัสออกไ.ซด์รุนแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง ๒๙๖ เท่าแต่มันมีปริมาณน้อยมากจึงส่งผลน้อยกว่า ส่วนฆาตรกรตัวจริงอย่างก๊าซมีเทนทำให้โลกร้อนกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ ๗๒ เท่า (วัดในช่วง ๒๐ ปี) และมีปริมาณมากกว่า ๓๗% มาจากการปศุสัตว์ แต่มันมีอายุสั้นกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ กล่าวคือมันมีอายุแค่ ๑๑ ปีก็จะสลายตัวเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ส่วนคาร์บอนไดออกไซด์มีอายุมากกว่า ๑๐๐ ปี นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่วัดค่าก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศในช่วงเวลา ๑๐๐ ปี ทำให้พบปริมาณก๊าซมีเทนน้อยมาก พวกเขาเลยสรุปผลง่ายๆ ว่าตัวการทำให้โลกร้อนคือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นั่นคือความผิดพลาดอย่างมหันต์ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตได้เลย เพราะอะไรหรือ? เพราะเพียงแค่ ๑๑ ปี ก๊าซมีเทนก็อันตธานล่องหนหายไปไม่เหลือซากแล้ว มันถูกออกซิไดซ์เป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สุภาษิตจีนกล่าวว่า อาวุธที่อันตรายที่สุดในโลก หาใช่อาวุธที่มองเห็นได้ง่าย อาวุธในมือศรัตรูที่สามารถมองเห็นได้ ท่านยังมีโอกาสหลบหนีได้ทัน แต่ท่านจะไม่มีทางมองเห็นอาวุธลับ ของศรัตรูที่ซ่อนอยู่ รอจนอาวุธนั้นปรากฏ ท่านจึงสามารถมองเห็นว่ามันมีลักษณะเยี่ยงไร พร้อมกับ เลือดที่หลั่งรินและ ชีวิตของท่านที่หลุดลอย ก๊าซแอบแฝงลำดับที่ ๒ อย่างมีเทนกำลังเป็นประเด็นร้อนที่เมืองโคเปนเฮเกน ถ้าผู้นำทุกประเทศกลับไปรณรงค์ให้ลดการทานเนื้อสัตว์ลงเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกที่อันตรายนี้ลงได้ก่อนที่จะสายเกิน หากทั่วโลกสามารถจัดการกับมีเทนได้ เวลาที่เหลือนับร้อยปียังมีเวลาจัดการกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ทัน( แน่นอนเราต้องจัดการทั้ง ๒ ตัว) ด้วยการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีหรือการใช้พลังงานแบบยั่งยืนแทน เป็นต้น แต่ถ้าหากผู้นำก้าวเดินผิดทางย่อมนำประเทศและโลกไปสู่หายนะอย่างแน่นอน ผู้นำสามารถใช้อำนาจทางการเมืองแก้ปัญหาโลกร้อนได้หากตระหนักรู้ว่ามันคือหายนะตัวจริง คำถามคือว่า คุณจะยอมเว้นอาหารเลิศรสจากเนื้อสัตว์ แล้วมาอดทนกินแต่พืชผักผลไม้ แลกกับการสูญพันธุ์ของตัวคุณเองและลูกหลานไหม?  หากคำตอบคือไม่สิ่งเหล่านี้จะอุบัติขึ้น.......
อุณหภูมิจะเพิ่มสูงขึ้นจาก ๑-๖ องศาเซลเซียส ถ้าถึง ๖ องศาโลกนี้จะไม่ใช่ที่อยู่ของมนุษย์ สัตว์และพืชอีกต่อไป ถ้าอุณหภูมิสูงขึ้น
๑ องศาเซลเซียส - บริเวณอาร์ติกขั้วโลกเหนือจะปลอดน้ำแข็งเป็นเวลาครึ่งปี แอตแลนด์ติกตอนใต้ ซึ่งปกติแล้วจะไม่มีพายุเฮอร์ริเคน (พายุร้อยปี) จะพบกับพายุเฮอร์ริเคนชายฝั่ง และตะวันตกของสหรัฐ จะเกิดความแห้งแล้งรุนแรง จนกลายเป็นทะเลทราย
๒ องศาเซลเซียส -  มหานครหลายแห่งทั่วโลกจมอยู่ใต้น้ำ หนึ่งในนั้นคือ กรุงเทพมหานคร น้ำแข็งขั้วโลกละลายมากขึ้น หมีที่อาศัยอยู่ขั้วโลกเหนือจะตกอยู่ในภาวะคับขัน แผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์ซึ่งใหญ่กว่าประเทศสหรัฐฯ จะละลายเกือบหมด ในขณะที่ปะการังชายฝั่งจะหายไป ระดับน้ำทะเลของโลกจะสูงขึ้น ๗ เมตร
๓ องศาเซลเซียส -   ป่าฝนอะเมซอนซึ่งใหญ่ที่สุดในโลกและผลิตออกซิเจนมากที่สุดจะเหือดแห้ง ภาวะอากาศที่รุนแรงอย่างเอล นิโญ (ก่อให้เกิดน้ำท่วมรุนแรง และภัยแล้งขั้นรุนแรงคนละฝั่งของทวีป)จะกลายเป็นเรื่องปกติ ยุโรปจะพบกับคลื่นความร้อนในฤดูร้อนขั้นรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน(ปี ๒๕๔๖ คลื่นความร้อนคร่าชีวิตชาวยุโรปจำนวน ๓๕,๐๐๐ คนในฤดูร้อน) คนนับล้านหรือพันล้านคนจะถูกย้ายถิ่นจากพื้นที่เขตร้อน ไปยังแลตติจูดตอนกลาง
๔ องศาเซลเซียส - น้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้น ทำให้เมืองที่อยู่ชายฝั่งจมลง ธารน้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัยจะแห้งหมดไป ทำให้ประชาชน ๓.๒ พันล้านคน(ครึ่งโลก) ขาดแคลนน้ำจืด แม่น้ำ ๘ สายหลักของเอเชียจะแห้งขอดรวมทั้งแม่น้ำโขง แม่น้ำคงคา แม่น้ำแยงซี เป็นต้น ธารน้ำแข็งส่วนหนึ่งของแอนตาร์กติกาบริเวณขั้วโลกใต้ ซึ่งมีน้ำแข็ง ๙๐% ของโลกและเป็นแหล่งน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดจะพังทลายลง ทำให้ระดับน้ำทะเลยิ่งสูงขึ้นอีก อุณหภูมิอากาศในฤดูร้อนของลอนดอนจะสูงถึง ๔๕ องศาเซลเซียส
๕ องศาเซลเซียส  บริเวณที่อาศัยอยู่ไม่ได้จะแผ่ขยายกว้าง หิมะและธารน้ำแข็งที่เป็นแหล่งน้ำจืดให้กับเมืองใหญ่จะเหือดแห้ง จะมีผู้อพยพลี้ภัยจากความรุนแรงของภาวะอากาศนับล้านคน อารยะธรรมของมนุษย์จะเริ่มพังทลายไปพร้อมกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงนี้ คนยากจนจะเป็นผู้ที่ทุกข์ยากที่สุด จะไม่มีน้ำแข็งที่ขั้วโลกอีกต่อไป และจะเกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของสัตว์และพืชในมหาสมุทร รวมทั้งสึนามิขนาดยักษ์จะทำลายแนวชายฝั่งจนราบคาบ
๖ องศาเซลเซียส  จะเกิดการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตรวมทั้งมนุษย์ถึง ๙๕% สิ่งมีชีวิตจะทุกข์ทรมานจากพายุรุนแรงที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทะเลทรายจะครองโลก การผุดขึ้นมาของก๊าซพิษไฮโดรเจนซัลไฟด์หรือก๊าซไข่เน่า(ก๊าซชนิดเดียวกับที่รั่วไหลจากนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด) และก๊าซมีเทนซึ่งติดไฟได้จากท้องทะเลและทุกแห่งทั่วโลกจะกลายเป็นเรื่องปกติ ซึ่งมันคือระเบิดอะตอมที่มีศักยภาพสูง (ในอดีตเคยทำให้ดาวทั้งดวงระเบิดกลายเป็นฝุ่นธุลี) และจะไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่รอดได้ ยกเว้นแบคทีเรีย (เหมือนครั้งกำเนิดโลก) และนี่อาจจะเป็น สถานการณ์วันล้างโลก

ยามเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ อากาศก็อบอุ่น
มวลหมู่บุปผาชาติก็เบ่งบานสวยสล้าง
เหล่าสกุณาส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว
สุภาพชนเมื่อมีโอกาสเงยหน้าอ้าปาก
กินอิ่มสวมอุ่นไม่ทุกข์ร้อน
กลับไม่คิดที่จะเผยแพร่ความรู้และกระทำความดีแล้วไซร้
แม้จะมีอายุยืนถึงร้อยปี
ก็เหมือนยังมิได้ถือกำเนิดเกิดมาแม้สักวันเดียว


วันเวลานั้นยาวนาน
แต่คนวุ่นอยู่กับงานเห็นว่าสั้น
ฟ้าดินนั้นกว้างใหญ่
แต่คนใจคอคับแคบเห็นว่าเล็ก
บุปผามาลี
แสงจันทร์วันเพ็ญ
เป็นสิ่งจรุงจรรโลงใจ
แต่คนชอบความอึกทึกจอแจกลับเห็นว่าไร้สาระ


ใต้ฟ้าแจ่มเดือนกระจ่าง เหินหาวได้ไร้ขอบเขต
แต่แมลงเม่ากลับบินเข้าหาเปลวเทียน
ลำธารใสหญ้าเขียวขจี ดื่มกินได้ตามใจชอบ
แต่นกเค้าแมวกลับชอบรสหนูเน่า
เออหนอ
คนที่ไม่เป็นแมลงเม่าและนกเค้าแมวในโลก
จะมีสักกี่คน?


ศิลปินต่างผัดหน้าทาแป้ง
ประชันโฉมไม่ลดราวาศอก
เมื่อปิดฉากลง สวยไม่สวยอยู่หนใด?
เล่นหมากรุกหน้าดำคร่ำเครียด
เอาเป็นเอาตายกันที่ตัวหมาก
เมื่อจบกระดาน แพ้ชนะอยู่แห่งไหน?


จากสุภาษิตรากผัก
ของหงอิ้งหมิง สมัยราชวงศ์หมิง เขียน





%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%				
1 ธันวาคม 2561 15:01 น.

ไดโนเสาร์กับมนุษย์ ใครฉลาดกว่ากัน?

คีตากะ

146895-10.jpg








          โลกกำเนิดมาได้ 4,600 ล้านปี โลกเริ่มจากโลกที่ร้อนจัดและเริ่มเย็นตัวลงเรื่อยมาจนกลายเป็นโลกยุค
น้ำแข็ง ในช่างเวลาประมาณ 800,000 ปีก่อน เกิดยุคน้ำแข็งมาแล้ว 8 ครั้ง ยุคโลกร้อน กับ ยุคน้ำแข็ง 
สลับหมุนเวียนกันไปเป็วัฏจักร ไดโนเสาร์กำเนิดเมื่อ 251 ล้านปีมาแล้วพวกมันสาปสูญไปจากโลกหรือ
สูญพันธุ์เมื่อ 65 ล้านปีก่อนรวมเวลาแล้วเผ่าพันธุ์ของพวกมันมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 186 ล้านปี
 นักวิทยาศาสตร์บอกว่าพวกมันสูญพันธุ์เพราะ เมื่อ 65 ล้านปีก่อนเกิดเหตุการณ์อุกาบาตขนาดยักษ์
ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 15 กิโลเมตรพุ่งชนโลก ทำให้เกิดเปลวไฟ เขม่า และฝุ่นละอองปริมาณมหาศาล
ปกคลุมชั้นบรรยากาศไว้และเกิดภาวะเรือนกระจกนำไปสู่ภาวะโลกร้อนและเกิดการปลดปล่อยก๊าซมีเทน
ที่เรียกว่า มีเทนไฮเดรทหรือมีเทนก้อน ซึ่งเป็นเสมือนระเบิดเวลาขึ้นจากก้นมหาสมุทร รวมทั้งก๊าซพิษ
อื่นๆ เข้าแทนที่ก๊าซออกซิเจนที่พวกมันใช้หายใจ พวกมันจึงสูญพันธุ์ทันที(แบบไม่ทันตั้งตัว) แต่อย่างไรเสีย
นี่ก็ถือเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่พวกมันไม่ได้ก่อ.....
           มนุษย์ยุคแรกเกิดเมื่อประมาณ 2 ล้านปีก่อนและวิวัฒนาการเรื่อยมา ด้วยความที่มีขนาดของสมองโต
กว่าสัตว์ประเภทอื่นๆ ทำให้เราคิดค้นอุปกรณ์เครื่องมือและพัฒนามันจนมีอำนาจยิ่งใหญ่เหนือเผ่าพันธุ์ใดๆ ยุคอุตสาหกรรมเป็นยุคเริ่มต้นอารยธรรมของมนุษย์ที่มีความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่ที่สุด 
ไม่เคยมีเผ่าพันธุ์ใดในประวัติศาสตร์โลกจะกระทำได้มาก่อน เราบินไปในอากาศได้เหมือนนกจากเครื่องบิน
 เราเคลื่อนที่ไปในน้ำได้เหมือนปลาโดยเรือ เราเดินทางไปบนบกได้โดยรถ เราสามารถไปได้ทั่วโลกแม้กระทั่ง
ดวงจันทร์ เราติดต่อถึงกันแม้จะอยู่ห่างกันคนละทวีปและยังสามารถเห็นหน้ากันได้(3G,internet) เราเปลี่ยนแปลงธรรมชาติให้เป็นไปตามที่เราต้องการแม้กระทั่งการปรับเปลี่ยนพันธุกรรมของพืช สัตว์ หรือแม้กระทั้งตัวเราเอง 
ทำให้มันมีสีสัน รูปแบบ ลักษณะอย่างที่เราต้องการ และเราก็ใช้ทรัพยากรของโลกปริมาณมหาศาล เราขนย้าย
ดินและหิน(ทำเหมืองแร่) มากมายมหาศาลยิ่งกว่ากระบวนการทางธรรมชาติใดๆจะกระทำได้ เราตัดไม้
ทำลายป่าจนแทบไม่เหลือหรอ เพื่อทำการเกษตร อุตสาหกรรม ปศุสัตว์ และทำที่อยู่อาศัย เราปล่อยก๊าซพิษ
สู่ชั้นบรรยากาศ ขยะของเสียลงแหล่งน้ำ และทำให้ดินเค็ม สมดุลธรรมชาติและระบบนิเวศน์วิทยาเสียไป
 จนกระทั่งเราทำให้เกิดภาวะโลกร้อนแบบสุดขั้ว ซึ่งต่างกันโดยสิ้นเชิงกับภาวะโลกร้อน 8-9 ครั้งในอดีต
ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ในขณะที่โลกเรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคน้ำแข็งในอนาคต แต่เรากลับเปลี่ยนมันให้กลาย
เป็นโลกร้อน น้ำแข็งขั้วโลกละลายอย่างรวดเร็วน้ำทะเลหนุนขึ้นสูง สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง
 พายุแรงขึ้นและบ่อยขึ้น น้ำท่วมแบบฉับพลัน บางที่ก็แล้งจนกลายเป็นทะเลทราย ฤดูกาลเปลี่ยนไป
จนยากคาดเดา เกิดเชื้อโรคสายพันธุ์ใหม่ อีกไม่นานโลกนี้จะร้อนจัดจนอาศัยอยู่ไม่ได้ พืชและสัตว์มากมาย
สูญพันธุ์เพราะเรา น้ำทะเลกลายเป็นกรด ฯลฯ และในที่สุดเราก็จะมีชะตากรรมเหมือนกับไดโนเสาร์ 
เมื่อเกิดการปลดปล่อยก๊าซมีเทนจากมหาสมุทร แต่กว่าจะถึงตรงนั้นเราอาจจะเข่นฆ่ากันเอง
ด้วยความอดอยากและเพื่อเอาตัวรอดด้วยอาวุธนิวเคลียร์ล้างโลกที่เราใช้มันสมองอันปราดเปรื่อง
ของเราเองสร้างมันขึ้นมา เราเคยกล่าวกันว่า เราจะช่วยกันรักษาโลกใบนี้เอาไว้ หากแต่ว่าไม่ใช่โลกหรอก 
ที่จะพบหายนะ....มนุษย์ต่างหาก....ไดโนเสาร์สามารถครองโลกอยู่ได้ 186 ล้านปี แต่มนุษย์ครองโลกมา
ได้แค่ 2 ล้านปีกลับจะต้องพบกับการสูญพันธุ์แล้วเช่นนั้นหรือ?........ 
Be Veg Go Green Save World Stop Global Warming !
16 พฤศจิกายน 2552 03:47 น.

2012...วันสิ้นโลก

คีตากะ

2012_poster-3.jpgจากภาพยนต์ฟอร์มยักษ์ที่เพิ่งออกฉายเมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2552 ที่ผ่านมาของค่ายโคลัมเบียพิกเจอร์ เรื่อง 2012 ...วันสิ้นโลก ได้เป็นเหตุให้เกิดกระแสเกี่ยวกับมหันตภัยล้างโลกในอีก 3 ปีข้างหน้านี้แตกต่างกันไป ในเวปต่างๆ เชื่อว่ารายได้จากหนังเรื่องนี้คงจะทะลุเป้าของค่ายผลิตหนังเรื่องนี้แน่นอน เพราะแค่เพียงหนังฉายวันแรกข่าวว่ามียอดรายได้ทะลุถึง 300 ล้านบาทไปแล้ว ผมก็เป็นคอหนังคนหนึ่งที่อุตสาห์เสียกะตังค์(ซึ่งมีน้อย)ไปดูตั้งแต่วันแรกที่เข้าฉาย การได้นั่งแถวหน้าสุดเป็นอะไรที่ระทึกขวัญตื่นเต้นสำหรับหนังเรื่องนี้ เหมือนกับได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์จริงในหนัง ต้องมีการลุ้นอยู่ตลอดเวลา ฉากการทำลายล้างอันแสนหฤโหดต่อเพื่อนร่วมโลก เป็นอะไรที่สยดสยอง(ไม่ได้โฆษณาหนังนะ) และหดหู่ สุดสุด........
ผมคาดเดาไปว่าหนังเรื่องนี้คงสร้างมาจากคัมภีร์ไบเบิ้ลเรื่องเรือโนอาร์ และมีบางกระแสบอกว่าเกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาวด้วย(เขาบอกกว่าเรื่องราวนี้ได้จากคำบอกกล่าวของมนุษย์ต่างดาวที่มาเตือนเกี่ยวกับภัยพิบัติล้างโลกในอีก 3 ปีข้างหน้า และส่วนหนึ่งนำมาจากคำทำนายของชนเผ่ามายาที่ทำนายวันสิ้นโลกตรงกับวันที่ 23 ธ.ค. ค.ศ. 2012 บ้างก็ว่าวันที่ 21 หรือไม่ก็ 22) นอกจากนั้นยังผสมกับแนวคิดเรื่องภาวะโลกร้อนเข้าไว้ด้วยโดยท้าวความมาจากผลของการปะทุของดวงอาทิตย์ที่ส่งผ่านรังสีความร้อนมหาศาลมาสู่โลก (น่าจะเป็นตอนต่อจากหนังเรื่อง Knowing ที่นิโคลัส เคส แสดงนำ)และนำไปสู่ภัยพิบัติร้ายแรงต่างๆบนโลกรวมถึงสึนามิยักษ์ที่สามารถยกน้ำทะเลได้ถึงยอดเขาเอลเวอร์เรสซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดในโลก มุมมองจากหลายๆศาสนา ศาสดาได้พยากรณ์ไว้ว่าประมาณปี ค.ศ. 2012 โลกจะโดนทำลายล้างจากธาตุไฟ(ลองไปค้นหาดูได้) ซึ่งจากอดีตโดยเฉพาะในคัมภีร์ไบเบิ้ลการล้างโลกที่ผ่านมาถูกทำลายด้วยน้ำท่วม (ธาตุน้ำ) โลกอ้างอิงจากเรื่องเรือโนอาร์ ที่วันหนึ่งพระเจ้าได้ตรัสสั่งให้ อับราฮัม ซึ่งเป็นคนเชื่อในพระเจ้าให้จัดสร้างเรือขนาดใหญ่ขึ้นไว้บนจุดที่สูงสุดของยอดเขา แล้วนำครอบครัวรวมทั้งสัตว์เลี้ยงอย่างละคู่บรรทุกไปกับเรือด้วยตามวันและเวลาที่พระเจ้ารับสั่ง......ในส่วนของพุทธศาสนาก็มีคำทำนายที่คล้ายกันนี้ในยุคกึ่งพุทธกาล(ปี พ.ศ. 2550 เป็นต้นไป) พวกคลั่งศาสนามักจะนำประเด็นเหล่านี้มาโจมตีกันบ่อยๆทางเวป บ้างว่าพุทธศาสนาจะอยู่ได้ถึง 5000 ปี(ศาสนานะไม่ใช่มนุษย์) บ้างก็ว่าพระเจ้าจะกลับมา.(พระเจ้านะไม่ใช่คน)
ในขณะที่ผมกำลังสนใจศึกษาเกี่ยวกับเรื่อง ภาวะโลกร้อน หนังเรื่องนี้ก็สามารถปลุกกระแสได้ดี (ให้ตื่นตระหนก)  ซึ่งในหนังก็ได้สะท้อนความคิดจิตใจของมนุษย์ได้ค่อนข้างดีในเรื่องความเห็นแก่ตัว ที่พยายามเอาตัวรอดไว้ก่อน โดยไม่สนใจเพื่อนร่วมชะตากรรม มันยิ่งสะท้อนให้เห็นอะไรบางอย่างในตัวมนุษย์ซึ่งมันเป็นความจริงมากๆ และคำถามต่อมาก็คือว่า(ถ้าใครดูหนังแล้ว)....คนที่เห็นแก่ตัวเหล่านี้หรือควรจะเป็นผู้อยู่รอด และกลายเป็นต้นแบบเผ่าพันธุ์มนุษย์ยุคต่อไป? ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงมันคงน่าเศร้ามาก สังคมโลกจะออกมาเป็นลักษณะแบบใด? คงเป็นสังคมแห่งการแก่งแย่งชิงดี (แล้วจะหาความสงบสุขได้จากที่ไหน) จากการที่มีนักข่าวทางทีวีได้ถามเกี่ยวกับจุดประสงค์ของการสร้างหนังเรื่องนี้จากผู้สร้างก็ได้รับคำตอบว่าหนังสร้างขึ้นมาก็เพื่อให้มนุษย์จินตนาการว่าถ้ามันเกิดขึ้นจริง พวกเขาควรจะทำอะไร เตรียมพร้อมอย่างไร? ช่วงเวลาที่หนังเข้าฉายในโรงภาพยนต์ ก่อนหน้านั้นไม่นานองค์การนาซ่าได้ส่งยานอวกาศไปสำรวจดวงจันทร์และมีกระแสข่าวว่าอนาคตอาจต้องมีการอพยพมนุษย์โลกไปอยู่บนดวงจันทร์ ซึ่งคนที่ได้ไปคงเป็นพวกเศรษฐีเท่านั้น(เหมือนในหนังที่ต้องจ่ายค่าตั๋วนับหมื่นล้านบาท) เหตุการณ์ในหนังก็สรุปได้ว่า ความร้อนจากดวงอาทิตย์(จากการปะทุ) ทำให้ใจกลางแกนโลก(ซึ่งเป็นชั้นหินหลอมเหลวร้อนจัด) มีอุณหภูมิและความดันสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนก่อให้เกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดจนแผ่นดินแยก ตามมาด้วยคลื่นยักษ์สึนามิทั่วโลก น้ำท่วมโลกจนถึงยอดเขาหิมาลัย.................
มันก็อาจเป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์แต่ไม่น่าจะรุนแรงขนาดนั้น หลายคนอ้างการสลับขั้วของดวงอาทิตย์และโลก และการที่โลกถูกชนจากอุกาบาตนอกโลก(ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้ว) นักวิทยาศาสตร์ไทยส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าถ้าโลกจะเกิดภัยพิบัติควรจะมาจากภาวะโลกร้อนที่กำลังเกิดอยู่นี้และเห็นได้ชัดเจนมากกว่า แต่ไม่มีใครพูดเรื่องของการปะทุขึ้นมาของก๊าซมีเทนอย่างฉับพลันจากภาวะโลกร้อน...ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ผมศึกษาและเชื่อว่า มันจะเป็นต้นเหตุของการณ์ทำลายล้างสรรพชีวิตบนโลกนี้อย่างแท้จริง....เรื่องมนุษย์ต่างดาวจากนอกโลก ผมเชื่อว่าอาจมีจริง มันยากที่จะเชื่อว่า โลกเป็นดาวดวงเดียวที่มีชีวิตแห่งเดียวในจักรวาล มันคงจะโดดเดี่ยวเกินไป และก็เชื่อว่ามนุษย์ต่างดาว(ถ้ามีจริง) คงจะไม่มาแทรกแซงเรื่องราวบนโลกมากนัก (ไม่เช่นนั้นคงไม่หลบจากเรามาเป็นเวลายาวนาน)สัตว์โลกล้วนเป็นไปตามกรรมใครจะช่วยเราได้ถ้าไม่ใช่ความดีของเราเองซึ่งจะปกป้องตัวเราจากภัยพิบัติต่างๆ และผมยังเชื่อว่า ถ้ามีเหตุแห่งภัยพิบัติล้างโลกจริง นั่นย่อมมาจากเหตุแห่งการฆ่าสิ่งมีชีวิต ผลจึงได้เกิดกับมนุษย์ในแบบเดียวกัน ถ้าคุณเชื่อ กฎแห่งกรรม และถ้าจะเกิดกับมวลมนุษย์หมู่มาก เหมือนกันกับที่เคยเกิดกับสรรพสัตว์ส่วนใหญ่ นั่นคงหนีไม่พ้นเรื่องการฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหาร คุณไม่ได้ฆ่าเอง แต่คุณเป็นคนจ้างฆ่า (เพราะไม่มีคนกิน ย่อมไม่มีคนฆ่า) และผมยังเชื่อว่านี่เองเป็นสาเหตุแห่งภัยพิบัติทั้งมวลที่จะเกิดขึ้น(ถ้ามันจะเกิด) การละเว้นเนื้อสัตว์เท่านั้นคือทางรอด ทางเดียว น้อยคนนักที่จะเชื่อทฤษฎีนี้ และนี่อาจเป็นน้อยคนนักที่จะรอดด้วยเช่นกัน ไม่วันใดก็วันหนึ่งมันต้องเกิดอยู่ดี แค่เปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตตั้งแต่วันนี้ยังไม่สายจนเกินไป หากใช้เหตุและผลวิเคราะห์ดูก็จะทราบเรื่องราวแจ่มแจ้ง ไม่ต้องเสียเวลาฟังคำทำนาย พยากรณ์ ของใครที่ไหน คุณคือผู้กำหนดชะตาชีวิตของตัวคุณเอง ไม่ใช่ภัยพิบัติทางธรรมชาติ อนาคตโลกอยู่ในมือคุณ...

				
7 พฤศจิกายน 2552 23:11 น.

ร้อนขึ้น เร็วขึ้น แย่ลง

คีตากะ

2012poster06.jpg
	
	หลายเดือนที่ผ่านมา เสียงจากสายวิทยาศาสตร์ ซึ่งปกติแล้ว จะเป็นแนวอนุรักษ์นิยม ได้แสดงความแตกตื่นที่ต่างกันไปเมื่อมาถึงเรื่องภาวะโลกร้อน

เราเปลี่ยนจากการถกเถียงเรื่อง ความไม่แน่นอน ที่อยู่เบื้องหลังวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศ ไปสู่การเตือนที่เกือบถึงระดับหวาดผวาได้อย่างไร จากเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่ปกติแล้วเป็นคนเคร่งขรึมในเรื่องผลกระทบระดับหายนะที่แก้ไขไม่ได้ มีสองเหตุผล

ประการแรก ยังไม่มีความไม่แน่นอนอย่างแท้จริงในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์มามากกว่าหนึ่งทศวรรษ พันธมิตรที่ชั่วร้ายระหว่างบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิล และนักการเมืองอนุรักษ์นิยม ได้รณรงค์อ้างเหตุผลที่ผิดๆ และได้รับงบประมาณอย่างดี แต่ให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเพื่อสร้างความสงสัยและข้อโต้แย้ง ในมติที่เกือบเป็นเอกฉันท์จากเหล่านักวิทยาศาสตร์ ในเรื่องนี้พวกเขาได้รับการช่วยเหลือ และช่วยให้รอดพ้นโดยสื่อ ซึ่งชอบเรื่องโต้เถียงมากกว่าความจริง และโดยคณะบริหารของบุช ซึ่งได้พยายามบิดเบือนวิทยาศาสตร์ และสั่งให้นักวิทยาศาสตร์ผู้ที่พยายามพูดถึงเรื่องภาวะโลกร้อนเก็บเงียบ

ในบทบรรณาธิการหนึ่งของหนังสือพิมพ์ บัลติมอร์ ซัน ฉบับวันที่15 ธันวาคม 2547 ผู้เขียนได้กล่าวถึง จุดเปลี่ยนหนึ่งวงจรสะท้อนกลับที่เพิ่มกำลังด้วยตนเอง ซึ่งอุณหภูมิที่สูงขึ้น ทำให้เกิดมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่กักเก็บความร้อนอันทรงพลัง ให้หลุดจากโครงสร้างที่คล้ายกับน้ำแข็ง ที่เรียกว่า คลาเทรท ซึ่งยกอุณหภูมิ และทำให้เกิดมีเทนถูกปลดปล่อยมากขึ้น แม้ว่าจะมีหลักฐานที่ชัดเจนว่า กระบวนการนี้ ได้ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนขั้นรุนแรงสองครั้งในอดีต ชุมชนวิทยาศาสตร์ยังไม่ได้พุ่งประเด็นไปที่ น้ำแข็งมีเทน ในปี 2547 แม้แต่ในกลุ่มของผู้ที่มองโลกในแง่ร้ายบางคน ผู้ที่เราเคยเชื่อถือ คาดว่า เราเหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งทศวรรษ ก่อนที่อะไรเช่นนี้ จะเกิดขึ้นอีกครั้ง เราคิดผิด

ในเดือนสิงหาคม 2548 ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด และมหาวิทยาลัยทอมส์ที่รัสเซีย ได้ประกาศว่า ถ่านหินเลนไซบีเรียขนาดใหญ่ ซึ่งมีขนาดเท่ากับประเทศเยอรมันและฝรั่งเศสรวมกันกำลังละลาย และปล่อยก๊าซมีเทนนับพันล้านตัน อย่างที่มันเคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต

ครั้งล่าสุดที่มันอุ่นเพียงพอที่จะทำให้เกิดวงจรสะท้อนกลับนี้ คือเมื่อ 55ล้านปีที่แล้ว ในช่วงพาลีโอซีน-อีโอซีน เทอร์มอลแม็กซิมัม หรือ พีอีทีเอ็ม ตอนที่ภูเขาไฟปะทุได้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียงพอที่จะกระตุ้นการผุดมีเทนขึ้นมาเองอย่างเป็นอนุกรม ความร้อนที่เกิดขึ้นทำให้เกิดการสูญเสียมากมาย และมันใช้เวลานานกว่า 100,000ปีที่โลกจะฟื้นกลับมา

มันดูเหมือนว่า เรากำลังปริ่มอยู่ที่จุดกระตุ้นเหตุการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นมาก ในการประชุมที่อเมริกัน อคาเดมี่ เพื่อการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ ที่เมืองเซนต์หลุยส์ เมื่อไม่นานมานี้ คุณเจมส์ ซาโชส ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำด้านพีอีทีเอ็ม รายงานว่า ก๊าซเรือนกระจกกำลังสะสมในชั้นบรรยากาศ ในอัตราเร็วสามสิบเท่าที่เคยเป็นในช่วง พีอีทีเอ็ม

เราอาจจะเพิ่งได้เห็นการจู่โจมครั้งแรกในสิ่งที่อาจเป็นการเดินทางสู่นรกบนโลก ที่ไม่อาจหวนกลับคืนมาได้

มีวงจรสะท้อนกลับอื่นๆที่เราไม่ได้คาดคิดไว้ ตัวอย่างเช่น คลื่นความร้อนที่ยุโรป ที่ทำให้ประชาชน 35,000คนที่เสียชีวิตในปี 2546 และยังทำลายพื้นที่ป่าในยุโรป ทำให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ มากกว่าที่พวกเขาประเมิณไว้ ซึ่งตรงข้ามกับสมมุติฐานที่เรากำหนดไว้ในโมเดล ที่ใช้ป่าไม้เป็นฟองดูดซับคาร์บอนส่วนเกิน

สิ่งเดียวกันเกิดขึ้นกับระบบนิเวศอื่นๆ อีกมากมาย ที่โมเดลของเราและนักวิทยาศาสตร์ ใช้เป็นตัวดูดซับคาร์บอน ป่าอเมซอน ป่าบอรีล (หนึ่งในป่าที่ดูดซับคาร์บอนได้มากที่สุด) และดินในที่ที่มีอุณหภูมิปานกลางกำลังปล่อยคาร์บอนมากกว่าที่มันดูดซับ เนื่องจากความแห้งแล้ง โรคภัย แมลงรบกวน และการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวกับกระบวนการสันดาปที่เกิดจากภาวะโลกร้อน โดยสรุปแล้ว สิ่งต่างๆมากมาย ที่เราได้คิดว่าเป็นตัวดูดซับคาร์บอนในโมเดลของเรา ไม่ได้ดูดซับคาร์บอนส่วนเกิน แต่มันกำลังถูกคั้นออกมาและปล่อยคาร์บอนส่วนเกินแทน

น้ำแข็งขั้วโลกกำลังละลายอย่างรวดเร็วกว่าที่โมเดลทำนายไว้ ทำให้เกิดวงจรสะท้อนกลับอีกวงจร การมีน้ำแข็งน้อยลงหมายถึง พื้นที่ที่เป็นน้ำมากขึ้น ซึ่งจะดูดซับความร้อนมากขึ้น ซึ่งหมายถึงน้ำแข็งที่น้อยลง เช่นนี้เรื่อยๆ ที่แย่ไปกว่านั้น เราได้คาดการณ์ต่ำเกินไปอย่างยิ่ง ในเรื่องของอัตราความเร็วซึ่งน้ำแข็งบนภูเขากำลังละลาย โมเดลอากาศเปลี่ยนแปลงได้ทำนายว่ามันใช้เวลานานกว่า1,000ปี  ที่แผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์จะละลาย แต่ในที่ประชุมเอเอเอเอส ที่เซนต์หลุยส์ นายอีริค ริกนอท  ของนาซ่าได้นำเสนอผลการศึกษาที่แสดงว่า แผ่นน้ำแข็งกรีนด์แลนด์กำลังแยกเป็นส่วนๆและไหลสู่ทะเล ในอัตราเร็วเกินกว่าที่นักวิทยาศาสตร์คนใดได้ทำนายไว้ และมันกำลังเร่งขึ้นทุกปี ถ้าแผ่นน้ำแข็งกรีนด์แลนด์ละลาย มันจะยกระดับน้ำทะเล ให้สูงขึ้น 21ฟุต เพียงพอที่จะทำให้เกิดน้ำท่วมทุกท่าเรือที่อเมริกา

ที่ทะเลแอนตาร์กติกมีวงแหวนสะท้อนกลับอันตรายอีกวงจรที่อาจเป็นไปได้ ประชากรของตัวเคยได้ลดดิ่งลง80% ในเพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการสูญเสียแนวปะการัง เนื่องจากสูยเสียทะเลน้ำแข็ง ตัวเคยเป็นสิ่งมีชีวิตที่สำคัญที่สุดในห่วงโซ่อาหารทางทะเล และมันยังแยกคาร์บอนจำนวนมากออกจากชั้นบรรยากาศ ไม่มีใครคาดการณ์การลดจำนวนลงของพวกเขา แต่ผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนและความเป็นอยู่ของระบบนิเวศทางทะเลนั้นรุนแรง สิ่งนี้จะเป็นวงจรสะท้อนกลับด้วยเช่นกัน การมีตัวเคยน้อยลง หมายถึงการมีคาร์บอนอยู่ในบรรยากาศมากขึ้น ซึ่งหมายถึงทะเลที่อุ่นขึ้น ซึ่งหมายถึงน้ำแข็งน้อยลง ซึ่งหมายถึงปริมาณตัวเคยที่น้อยลงในวัฐจักรทางลบขนาดใหญ่นี้

เจมส์ เลิฟลอค นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญระดับโลกคนหนึ่งเชื่อว่า อีกไม่นานนัก ในอนาคตของมนุษย์จะเหลือเพียงคนไม่กี่คู่ในแอนตาร์กติก มันจะเป็นเรื่องง่ายๆที่จะเพิกเฉยศาสตราจารย์เลิฟลอคว่า เป็นคนบ้าคลั่ง แต่อย่างนั้นจะเป็นการกระทำที่ผิดพลาด เมื่อปีที่แล้ว ในการสัมนาภาวะโลกร้อนที่เมือง เอ็กซีเดอร์ ประเทศอังกฤษ เรื่องหลีกเลี่ยงสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลง นักวิทยาศาสตร์ได้เตือนว่า ถ้าเราให้ความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกเกิน400ppm เราอาจกระตุ้นให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงและหวนคืนกลับไม่ได้ เราได้ผ่านจุดสำคัญในปี2548 มาแล้ว แต่ได้รับความสนใจเล็กน้อยและไม่มีการกล่าวถึง

ความไม่แน่นอนทางวิทยาศาสตร์ ในเรื่องภาวะโลกร้อนไม่ใช่ว่า มันกำลังเกิด หรือว่า มันเกิดขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์ หรือแม้แต่ว่ามันจะทำให้เราสูญเสีย เงิน มากเกินไปที่จะจัดการกับมันในตอนนี้หรือไม่ เรื่องนั้นเป็นที่เข้าใจแล้ว และในตอนนี้ นักวิทยาสาสตร์กำลังถกเถียงกันว่า มันสายเกินไปหรือยัง ที่จะปกป้องหายนะระดับโลก หรือว่า เรายังมีโอกาสเล็กๆ ที่จะป้องกันผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุดของภาวะโลกร้อน

ลูกๆของเราอาจให้อภัยเรา หนี้ที่เรามอบให้กับพวกเขา พวกเขาอาจให้อภัยเรา ถ้าการก่อการร้ายยังคงอยู่ พวกเขาอาจให้อภัยเรา ที่ได้สร้างสงคราม แทนที่จะสร้างสันติสุข พวกเขาอาจให้อภัยเรา ที่ทำลายโอกาศในการหยุดยั้งเรื่องนิวเคลียร์ แต่พวกเขาอาจถ่มน้ำลายรดกระดูกของเรา และสบถสาบานชื่อของเรา ถ้าเรามอบโลกที่แทบจะอยู่อาศัยไม่ได้ให้พวกเขา ตอนที่เรามีอำนาจในการรักษามันไว้ ตอนที่เรามีอำนาจรักษามันไว้ และพวกเขามีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้น

แหล่งที่มะ: www.commondreams.org 
งานเขียนของ จอร์น แอทเชสัน ปรากฏใน the Washington Post, the Baltimore Sun, the San Jose Mercury News, the Memphis Commercial Appeal, และวารสารราชการอีกมากมาย



2012_poster-3.jpg				
23 ตุลาคม 2552 20:52 น.

อาหาร...ต้านมะเร็ง..

คีตากะ

ของขวัญจากศิษย์พระบรมครูองค์ชีวกโกมารภัจ
บทที่  1
สภาพของพลังชีวิต

มิติที่  1	เป็นพลังชีวิตที่แท้จริง  เป็นพลังแบบอากาศธาตุ  อยู่ในส่วนลึกสุดของจิตวิญญาณ  พลังชีวิตนี้แยกตัวมาจากพระผู้สร้างโลกสร้างมนุษย์  บริสุทธิ์ผุดผ่องมาแต่ก่อนเกิด  ปราศจากราคีใด ๆ
มิติที่  2	ถูกบรรจุลงในกายเนื้อ  เริ่มมีกิเลสเกาะกุม  เริ่มต้องการอาหารหล่อเลี้ยงชีวิต
มิติที่  3	เป็นวิญญาณที่แทรกซ้อนเข้ามา  เช่น  วิญญาณของสัตว์  หรือเจ้ากรรมนายเวรที่เคยก่อกรรมทำเข็ญไว้  

ฉะนั้น  การกินอาหารของมนุษย์  จึงแบ่งออกไปหล่อเลี้ยงร่างกายมนุษย์เป็น  3  มิติ  เช่นเดียวกัน

มิติที่  1	ไม่ต้องการอาหารใด ๆ นอกจากพลังงานตามธรรมชาติ  คืออากาศธาตุ  4  ได้แก่  ดิน  น้ำ  ลม  ไฟ
มิติที่  2	ต้องการอาหารหล่อเลี้ยงบ้าง  แต่เป็นอาหารที่ค่อนข้างสะอาด  เช่น  พวกพืช  ผัก  ผลไม้
มิติที่  3	ต้องการอาหารสด  คาว  เต็มไปด้วยซากศพ  อาหารที่ปรุงด้วยเนื้อหนังมังสา

	จะเห็นได้ว่าแต่ละมิติจะต้องการอาหารไม่เหมือนกัน  คนที่ถือศีลกินเจ  เป็นพวกที่ได้ปรับร่างกายให้มาอยู่ในมิติที่  1  และที่  2  จะไม่ยอมรับอาหารสดคาวใด ๆ  คนเหล่านี้จะรู้สึกอ่อนเพลียไม่สบายทันทีเมื่อบริโภคเนื้อสัตว์  แต่จะรู้สึกแข็งแรงสดชื่นเมื่อได้รับบริโภคอาหารประเภทพืชผักผลไม้  ส่วนที่มีมิติที่  3  อยู่ในตัวนั้น  จะรู้สึกมีกำลังวังชาแข็งแรงเมื่อได้กินอาหารประเภทเนื้อสัตว์  ความจริงเป็นความรู้สึกที่หลอกตัวเอง  เพราะเนื้อสัตว์เหล่านี้ความจริงเข้าไปบำรุงวิญญาณที่สิงอยู่ในตัวท่านให้แข็งแรงต่างหาก  ไม่ใช่ไปบำรุงตัวท่านเอง  ข้าพเจ้าขอรับรองว่าท่านได้ชำระล้างร่างกายของท่านให้สะอาดบริสุทธิ์  ให้คืนมาอยู่ในมิติที่  1  และที่  2  จะมีกลิ่นกายที่เรียกว่าเป็น  ความแรง  เหลืออยู่น้อยมาก รวมถึงระบบขับถ่ายตลอดจนกระทั่งอารมณ์ต่าง ๆ ก็มีความรู้สึกเบาบางมากจนเกือบไม่มีอารมณ์ใด ๆ  หลงเหลืออยู่  จะกลายเป็นคนที่มีอารมณ์เย็นอย่างยิ่งยวด  มีสติสัมปชัญญะ  ที่มั่นคงยิ่งกว่าบุคคลธรรมดา  อย่างที่เรียกกันว่ามี  พลังจิตสูง สิ่งเหล่านี้เป็นอาการของคนที่มีกำลังจะสลายตัวจากการเป็นตะกอนคืนสู่สภาวะของน้ำที่สะอาดเป็นขั้น ๆ ไป  จนกระทั่งสู่ความเป็นมิติที่  1  คืออากาศที่บริสุทธิ์  หมดสิ้นความเป็นตะกอนใด ๆ  โดยสิ้นเชิง





บทที่  2
มนุษย์  เป็นตะกอนของเทพเจ้าที่ประกอบด้วยธาตุ ดิน  น้ำ  ลม  ไฟ  จริงหรือไม่

	วรกายหรือความบริสุทธิ์แห่งเทพเจ้าแบ่งแยกออกให้เห็นชัด  ประดุจความบริสุทธิ์สะอาดของ        น้ำกลั่น เปรียบเสมือนวรกายของเทพเจ้าเบื้องสูงสุด  เป็นความสะอาดที่กลั่นกรองครั้งแล้งครั้งเล่าจนสะอาดบริสุทธิ์หมดสิ้น  ซึ่งสิ่งปฏิกูลทั้งปวง  ปราศจากสี  กลิ่น  และรส  เปรียบกับสภาวะจิตก็แน่วแน่ อยู่ในอุเบกขาฌาน  ปราศจากอารมณ์ใด ๆ สิ้นเชิง  
            น้ำสะอาด เปรียบเสมือนวรกายเทพเจ้าเบื้องกลาง  ยังมีกลิ่น  รส     น้ำขุ่น เปรียบเสมือนวรกายเทพเจ้าเบื้องต่ำ  คือ  เริ่มมีกิเลสเกาะกุมอยู่บ้าง  ทำให้กระแสน้ำนั้นขุ่น  แลเห็นเป็นรูปอากาศธาตุ  ส่วนมนุษย์หมายถึงผู้มีกิเลสเกาะกุมหนาแน่นถึงขั้นตกตะกอน  
            ฉะนั้นมนุษย์ไม่อาจแลเห็นคนละมิติกัน  คงได้รับกระแสสัมผัสทางร่างกายแบบอากาศธาตุเท่านั้น  จะแลเห็นกันได้ต่อเมื่อต่างได้ปรับร่างกายและจิตใจให้มาอยู่ในมิติเดียวกัน  เช่นเทพเจ้าลงมาเป็นตะกอนก็เห็นมนุษย์ หรือมนุษย์คืนจากความเป็นตะกอนไปเป็นน้ำที่บริสุทธิ์ก็ย่อมเห็นเทพเจ้า  ฉะนั้น  เมื่อวรกายของเทพเจ้ามีกำเนิดมาจากอากาศธาตุ  4  ดิน  น้ำ  ลม  ไฟ  มนุษย์ซึ่งตกตะกอนมาจากสิ่งนี้  กายเนื้อจึงหนีไม่พ้นการเป็นอากาศธาตุ  4  คือ  ดิน  น้ำ  ลม  ไฟ  จะสังเกตได้ว่า

1.	สีของผิว  (ธาตุดิน)  สีผิวของมนุษย์ใกล้เคียงกับสีของดิน  เมื่อมนุษย์ล้มตายไปแล้วจะเผาหรือฝังก็สลายเน่าเปื่อยไปเป็นดินตามเดิม  เพราะเป็นธาตุเดียวกัน  จะไม่สลายตัวไปเป็นธาตุอื่นที่ไม่ใช่ธาตุดินโดยเด็ดขาด
2.	เลือด  (ธาตุน้ำ/ไฟ)  กลายเป็นเลือด  ปกติน้ำจะต้องมีสีขาวและความเย็น  แต่เลือดเป็นของเหลวมีสีแดงและอุ่นทั้งนี้  เนื่องจากการรวมตัวของ น้ำ/ไฟ กลายเป็นเลือด  หล่อเลี้ยงร่างกายให้ได้รับความอบอุ่น  ถ้าธาตุหนึ่งธาตุใดรุนแรงไป  ธรรมชาติก็จะแก้ไขโดยที่มนุษย์ต้องดื่มน้ำเสมอ  เพื่อระงับความร้อนของธาตุไฟ  ถ้าเลือดจางหมายถึงธาตุไฟเสื่อมคุณภาพ  ก็มีวิธีรักษาหาหยูกยาที่เพิ่มความร้อน  คือ  เพิ่มกำลังงานให้แก่ธาตุไฟมาดื่มกิน  เมื่อมนุษย์ล้มตาย  ธาตุทั้ง  2  นี้  หมดอำนาจบังคับ  จะสลายตัวออกจากกันคืนสภาพเป็นน้ำตามเดิม  แต่เนื่องจากการตายของมนุษย์คือการนิ่งสนิทหมดประโยชน์ใด ๆ โดยสิ้นเชิง  ทางพระก็ถือเสมือนผู้เข้าสภาวะอุเบกขา  คือนิ่งสนิทด้วยประการทั้งปวง  เลือดจึงกลายสภาพจากน้ำเป็นน้ำเหลือง คือน้ำมีสีเหลืองเหมือนสีของผู้จำศีล  คือน้ำนั้นหมดสภาพที่จะทำประโยชน์ใด ๆ  ได้โดยสิ้นเชิง


3.	ธาตุลม  (วาโยธาตุ)  ธาตุลมมีความจำเป็นสำหรับมนุษย์มาก  เพราะจะต้องทำหน้าที่พัฒนาเลือด  คือธาตุน้ำและไฟไปหล่อเลี้ยงร่างกายให้ทั่วถึง  มนุษย์จึงต้องมีการหายใจเอาอากาศธาตุคือลมเข้าสู่ร่างกาย นับว่าธาตุลมมีความสำคัญยิ่งต่อระบบร่างกายของมนุษย์  ผู้ใดมีสภาพของธาตุลมอ่อน  ก็จะมีอาการหน้ามืด  คลื่นเหียร  วิงเวียน  อย่างหนึ่งที่เรียกว่า  คนเป็นลม  ความจริง  ขาดธาตุลม  ที่จะพัดพาให้น้ำและไฟไปหล่อเลี้ยงร่างกายให้ทั่วถึง  จึงต้องหายาลมมากิน  เพื่อเร่งให้ธาตุลมเข้มข้นขึ้น  ลมที่ใช้แล้วก็มีการเสื่อมสภาพเก็บเอาไว้ก็จะเป็นก๊าซพิษ ต้องมีการระบายออกเช่นเดียวกับการปล่อยก๊าซเสียของเครื่องจักรกลต่าง ๆ เช่นเดียวกัน และธาตุลมเป็นตัวจักรสำคัญยิ่ง  ที่ช่วยให้มนุษย์เคลื่อนไหวแขนขาและร่างกายได้
	เมื่อมนุษย์มีธาตุแท้ที่ประกอบด้วยธาตุดิน  น้ำ  ลม  ไฟ  เช่นนี้  การเจ็บไข้ได้ป่วยของมนุษย์  จึงมาจากการเสื่อมสภาพของธาตุทั้ง  4  นี้  เป็นสำคัญกว่าเหตุอื่น  ประดุจขี้ขมวนหรือตะกอนที่ใกล้จะหมดสภาพของความเป็นประโยชน์อยู่แล้ว  ยังเตรียมที่จะสลายตัวยุ่ยเปื่อย  สูญหายไปโดยหมดประโยชน์ใด ๆ             โดยสิ้นเชิง  ผู้ใดที่รู้ซึ่งถึงความเป็นสภาพของมนุษย์ หมั่นปรับปรุงเพิ่มเติมธาตุดิน  น้ำ  ลม  ไฟ  ให้แก่ร่างกายมีสภาพสมดุลกันอยู่ในธาตุทั้ง  4  นี้  ก็จะเป็นผู้ที่มีพลานามัยและสุขภาพที่สมบูรณ์เป็นเยี่ยม  

             วิธีรักษาธาตุทั้ง  4  ให้คงสภาพอยู่ได้ก็ง่ายเหมือนเส้นผมบังภูเขา  เมื่อมนุษย์กำเนิดมาจากสิ่งนี้  เราก็เข้าหาธรรมชาติ  สรุปก็คือ  อยู่กับธรรมชาติให้มากที่สุดกว่าการอยู่ในสภาพที่แปลกปลอมด้วยภาวะวิทยาศาสตร์ที่รังแต่จะทำลายสภาพของธรรมชาติให้หมดสิ้นไป  และสุดท้ายก็คือทำลายแม้สภาพร่างกายของตนเอง  ท่านก็จะเป็นคนสมัยโบราณที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ อันเป็นที่ต้องการอย่างยิ่งของคนในยุคปัจจุบัน  ที่ต่างพากันแสวงหาด้วยวิธีการรักษาต่าง ๆ นานา  ซึ่งเป็นการรักษาปลายเหตุ  หรือไม่รู้ที่มาหรือต้นตอที่แท้จริงของร่างกายมนุษย์  ก็ทำให้การรักษานั้นเป็นไปโดยยาก

 
บทที่  3
ต้นเหตุของการเป็นโรคที่แท้จริง

	ต้นเหตุของการเป็นโรคที่แท้จริงมีอยู่  3  ประการ ได้แก่

1.	เกิดจากการสลายตัวของพลังธรรมชาติ  เพราะธาตุทั้ง  4  คือ  ดิน  น้ำ  ลม  ไฟ  ธาตุใดธาตุหนึ่งเกิดอ่อนแอ ปรวนแปรสภาพ  ทำให้เลือดลมไม่สมบูรณ์  เนื่องจากใช้พลังงานในร่างกายออกมามากไปหรือได้รับการดูดซึงพลังจากภายนอกได้ไม่เท่าที่ควร
2.	เกิดจากความอาฆาตพยาบาทของวิญญาณ  อันเป็นต้นตอของโรคมะเร็ง  จุดแก้ไขที่สำคัญที่สุด  คือปรับสภาพการกินอาหารให้มาอยู่ในวิธีทางธรรมชาติให้มากที่สุด  งดการกินเนื้อสัตว์ที่มีชีวิตทุกประเภทเพราะทำให้เป็นแผล  ฝี  หนอง  เลือดเป็นพิษ  เนื่องจากวิญญาณเหล่านี้สูบเลือดเนื้อกินเหมือนผีดูดเลือด
3.	เกิดจากกฎแห่งกรรมทั่วไป  เช่น  ได้ก่อกรรมเวร  ทุบต่อยเตะตีใครไว้ในอดีต  เกิดมาก็มีอาการง่อยเปลี้ยเสียขา  พิกลพิการได้  แม้แต่เหตุเล็กน้อยที่สุด  เช่น  การขโมยรองเท้าใครมาใส่ในอดีตก็อาจเป็นแผลที่ขาได้  ซึ่งข้าพเจ้าได้พบด้วยตนเอง  และแก้ไขให้เป็นปกติแล้ว  โรคเหล่านี้จะมีข้อสังเกตได้ว่าหมอจะหาสาเหตุไม่พบ  ไม่มีอาการของเชื้อโรคปรากฎอยู่  ไม่มีทางรักษาได้  นอกจากจะค้นคว้าไปให้พบต้นตอที่ได้สร้างกรรมไว้  และแก้กรรมนั้นให้หมดไปเท่านั้น

 
บทที่  4
โรคมะเร็ง

	เป็นโรคที่รักษายากเป็นพิเศษ  เชื้อโรคมีอานาจเหนือยา  เหนือการรักษาของแพทย์  เนื่องจากเชื้อมะเร็งเป็นโรคที่มีชีวิตวิญญาณ  เกิดจากการกินเนื้อสัตว์ของมนุษย์แทนพืชพันธุ์ธัญญาหาร  สัตว์โลกที่มีชีวิตทั้งหลายทั้งปวงเป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นเพื่อประดับโลกให้สวยงาม  เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน  อาหารของสัตว์และมนุษย์  คือพืชพันธุ์ธัญญาหารที่มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์นานาชนิดอันเกิดจากพลังงานตามธรรมชาติ   สัตว์มีความมักน้อยกว่ามนุษย์อาศัยผักหญ้าอย่างเดียวก็มีกำลังร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ให้มนุษย์ใช้งานได้  แต่มนุษย์เราซึ่งมีอาหารธรรมชาติอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์เหลือเฟือ  กลับเสพเนื้อสัตว์เป็นอาหารแทน  เนื่องจากการหลงผิด  เพราะมีผู้แต่งตำราแนะนำไว้ให้เสพเนื้อสัตว์เป็นอาหาร  เป็นเพราะอาหารจะมีพละกำลังแข็งแรง  แต่สัตว์เหล่านี้ได้รับการทนทุกข์เวทนาจากการฆ่าแกงของมนุษย์  เกิดเป็นวิญญาณอาฆาตขึ้นสิงสู่ในร่างกายมนุษย์  ทำร้ายทำลายร่างกายให้เน่าเปื่อยผุพัง  เช่นเดียวกับที่ได้ทำกับตนไว้  เป็นการใช้กรรมใช้เวรซึ่งกันและกัน  เชื้อโรคเหล่านี้ไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ด้วยระบบของการแพทย์สมัยใหม่
                  ผู้รักษาจะต้องศึกษาให้ลึกซึ้งถึง กฎแห่งกรรม การผูกพันระหว่างชีวิตวิญญาณ  สามารถที่จะร้องขอให้วิญญาณนั้นอโหสิ  ให้อภัยแก่ผู้ก่อกรรมให้เป็นผลสำเร็จเสียก่อน แล้วจึงซ่อมแซมเนื้อเยื่อใหม่ที่ถูกเชื้อโรคร้ายทำลายไป  จะต้องเป็นผู้ที่มีพลังจิตสะอาดเป็นผู้ที่มีความบริสุทธิ์  และเมตตาจิตต่อมนุษย์สัตว์ทั้งปวง  ไม่เสพเนื้อสัตว์ใด ๆ  โดยสิ้นเชิง  เมื่อไม่กินเนื้อเขา เขาก็ไม่กินเนื้อเรา  แม้แต่ผู้ป่วยเมื่อหายแล้ว  ก็ต้องปฏิบัติให้ได้อย่างผู้รักษา  โรคจึงจะหายขาดได้โดยไม่หวนกลับมาอีก  ผู้รักษาจะต้องมีหลักธรรมะสูง  พอที่จะเกลี้ยกล่อมจิตใจให้วิญญาณเหล่านั้นหมดความอาฆาตพยาบาทได้  อันเป็นการรักษาที่ออกจะลำบากยากเย็นยิ่ง
	
	วิธีที่จะตัดรากฐานของการเป็นโรคมะเร็ง  ก็ด้วยการฝึกให้จิตเกิดเมตตา  ให้พยายามคิดอยู่เสมอว่าเพื่อนสัตว์ทั้งหลายก็มีชีวิตวิญญาณเช่นเดียวกันเรา  ย่อมไม่ปรารถนาการตายด้วยวิธีเจ็บปวดทรมาน  โดยเฉพาะสัตว์บ้าน  ซึ่งมีความเชื่องชินกับเรา  ไม่ทำร้ายเรา  สัตว์ใหญ่บางชนิดแถมให้เราใช้พลังงานเสียด้วย แล้วเรากลับโหดร้าย  ทารุณ  กินเนื้อหนังมังสาเขาเป็นอาหาร  เช่นนี้  เป็นการยุติธรรมแก่กันแล้วหรือ  เมื่อค้นคว้าเหตุผลให้เกิดความเป็นธรรมขึ้นในจิตใจแล้ว  ต้องระงับดับเสียซึ่งความอยาก  คือ  การหลงติดในรสอาหาร  พึงคิดว่า  เนื้อหนังมังสาเหล่านี้ถ้ามีประโยชน์และเป็นอาหารแก่มนุษย์จริง เหตุใดเมื่อฆ่าแกงแล้วจึงไม่สามารถกินได้ทันที  อย่างเช่นพืชพันธุ์ธัญญาหารซึ่งกินกันดิบ ๆ ได้เลย  จะต้องเอามาปรับปรุงแต่งให้มีรสชาติกันการเน่าเปื่อย  มิฉะนั้นก็จะเกิดการเน่าเหม็น  เสียหายกินไม่ได้ มีรสกลิ่นไม่ผิดอะไรกับซากอกุศเหมือนเนื้อหนังมังสาของเรา  ตายแล้วก็ควรเผาควรฝัง  ใครเอาเรามาต้มยำทำแกง  นั่งกินให้เราเห็น เราก็ย่อมโกรธแค้น  ขอให้ท่านสละทิ้งรสชาติซึ่งเย้ายวนชวนใจแต่ภายนอก  ภายในก็คือ  การชักนำให้ท่านเดินไปหาหลุมศพ  คือ  โรคมะเร็ง  อันเป็นการตายที่เจ็บปวดทรมานเยี่ยงเดียวกับการเจ็บปวดของวิญญาณที่ถูกท่านแล่เนื้อเถือหนังเขากินเป็นอาหารอย่างเอร็ดอร่อยไม่ผิดกันเลย

	อาหารธรรมชาติที่จะแบ่งเบาการหลงผิดในรสอาหารให้ท่านได้แก่  อาหารเจ  ซึ่งผู้ปรุงพยายามค้นคว้าดัดแปลงจากพืชมาปรุงแต่งให้มีลักษณะและรสชาติใกล้เคียงกับอาหารสัตว์  จะผิดแปลกแตกต่างกันก็ยังเป็นการบรรเทาความหลงติดในรสอาหารให้เบาบางลง  เหมือนบรรเทาอาการลงแดงให้แก่  คนเสพฝิ่น  ถ้าท่านปฏิบัติได้ถึงขั้นกินอาหารโดยธรรมชาติ  งดเว้นเนื้อสัตว์และสิ่งที่ชีวิตทั้งปวง  ท่านจะเป็นคนที่มีสุขภาพร่างกายดีเลิศ  ร่างกายจะไม่เป็น ฝีหนอง  การตายของท่านจะเป็นการตายแบบสำเร็จ  ไม่มีการทนทุกข์เวทนาใด ๆ  ไม่เหมือนการตายในแบบวิญญาณอาฆาต  ตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ  ร่างกายผุกร่อน  เจ็บปวดทรมาน  ดิ้นรนกระวนกระวาย  อยู่ท่ามกลางวิญญาณที่รุมล้อมแล่เนื้อเถือหนังท่าน ทวงชีวิตและวิญญาณของท่าน  ให้เกิดการเจ็บปวดเช่นเดียวกันที่ทำไว้กับเขา  อันเป็นการตายที่เจ็บปวดทรมานน่าสะพึงกลัวอย่างยิ่ง

	ข้อสังเกต  ผู้ที่กินเนื้อสัตว์แต่ไม่เป็นโรคมะเร็ง  มักจะเป็นผู้ที่มีจิตเป็นกุศล  ใจบุญสุนทาน  ช่วยเหลือความทุกข์ยากของผู้อื่น  กุศลเหล่านี้จะมาทดแทนเหมือนสีดำที่หมั่นเอาสีขาวมาเพิ่มเติมอยู่เสมอ  ก็ทำให้เคราะห์กรรมนั้นเจือจางลงได้  ส่วนมากโรคมะเร็งจึงมักเป็นกับผู้ที่ขูดเลือดขูดเนื้อมนุษย์เห็นแก่ตนเองเป็นที่ตั้ง  ขาดการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และใจบุญสุนทาน  จึงต้องชดใช้กรรมให้แก่วิญญาณเหล่านี้เป็นการทดแทน  บางรายเป็นมากถึงขนาดรักษาจนหมดเนื้อหมดตัวก็ยังไม่หาย  ท่านที่ระลึกได้ถึงกฎแห่งกรรมอันนี้  ขอได้ละเลิกความเห็นแก่ตัว  สร้างบุญสร้างกุศลในทุกอย่างที่ถือว่าเป็นความดี  เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มีเมตตาจิตต่อมนุษย์และเพื่อนสัตว์ด้วยกัน  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ถ้าท่านละเลิกจากการบริโภคเนื้อสัตว์ได้  ก็จะตัดขาดจากการเป็นโรคภัยไข้เจ็บ  เป็นแผล  ฝี  หนอง  หน้าจะเปล่งปลั่งสดใส  ไม่มีสนิมเกาะกิน  คือไม่เป็นฝ้า  เป็นสิว อีกต่อไป

 
โรคที่เกิดจากการกินเนื้อสัตว์

	บิด  ท้องร่วง  ท้องเดิน  กระเพาะอาหาร  ริดสีดวงทวาร  มะเร็ง หัวใจ เบาหวาน 
               ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน  ฯลฯ  เกิดจากการกินเนื้อสัตว์ใหญ่ เล็กทุกชนิด
	หวัด  ไอ  จาม  ไซนัส  ฯ         เกิดจากการกินไขมันที่ผลิตจากไขของสัตว์ทุกชนิด
ปวดฟัน  แผล  ฝี  หนอง ฯลฯ เกิดจากการกินกุ้ง  หอย  ปู  ปลา  เนื้อสัตว์เล็กทุกชนิด  และกินทั้งเนื้อ  ทั้งกระดูกเป็นเหตุที่สำคัญของโรค  ฟันผุ  เหมือน  เรากินกระดูกเขา เขากินกระดูกเรา


อาการของโรคที่เกิดจากความอาฆาตของสัตว์  มาในรูปแบบที่แตกต่างกันเช่น  บางคนเกิดกระดูกงอกที่หัวเข่า  หมอเอ็กซเรย์  ปรากฎเหมือนรูปกรามหมูโค้งอยู่ในรูปหัวเข่า  ได้ซักถามถึงอาหารที่ชอบ  ปรากฏว่าชอบส่วนที่เป็นกระดูกอ่อนของหมูที่เคี้ยวดังกรุบ ๆ  เป็นที่สุด  บางคนเกิดอาการกล้ามเนื้อของกรามอักเสบเพื่อให้เคี้ยวอาหารไม่ได้  พยายามรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ ก็ไม่หายขาด  ปรากฎว่า ตามปกติบุคคลนี้เป็นผู้ที่รับประทานอาหารเก่ง  ชอบเสาะหาอาหารเนื้อสัตว์ที่แปลก ๆ และอร่อยทานโดยไม่เลือกชนิดจึงลงโทษให้กรามอักเสบ  เพื่อให้เคี้ยวอาหารไม่ได้    
มีอยู่คนหนึ่ง  เป็นโรคเยื่อหูอักเสบมีขี้หูเปียกเน่าเหม็นเป็นประจำ  ประวัติส่วนตัวเป็นผู้ปรุงอาหารเก่งมาก  รู้เคล็ดลับในการทำอาหารถึงกระทั่งว่า  มีปลาชนิดหนึ่งมีเส้นเอ็นที่ซ่อนอยู่ในช่องหู  เป็นเหตุที่ทำให้ปลาตัวนั้นมีกลิ่นคาวจัด  เวลาทำอาหารต้องใช้ไม้เข้าไปแคะพันเส้นเอ็นนั้นให้ติดกับปลายไม้  แล้วดึงออกมา  ทำให้ปลานั้นหมดความคาวไปได้  และสามารถปรุงอาหารได้อย่างเอร็ดอร่อยเป็นที่ติดอกติดใจ  โดยที่หลาย ๆ คนปรุงอาหารด้วยปลาชนิดนี้ไม่ได้  เมื่อบุคคลที่ว่านี้มีอายุมากเข้าก็เกิดอาการโรคหูอย่างที่ว่านี้  และรักษาไม่หายเสียด้วย  หมอลงความเห็นว่าให้เข้าโรงพยาบาลผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อที่เสียออกไป  แม้กระทั่งกรามอักเสบก็ลงความเห็นว่าควรผ่าตัด  
เมื่อถึงขั้นนี้ก็สันนิษฐานได้ว่า วิญญาณของสัตว์อาฆาตถึงที่สุด  บังคับให้ถึงขั้นผ่าตัด  เมื่อถึงขั้นผ่าตัด  เมื่อถึงขั้นแล่เนื้อเถือหนังซึ่งกันและกันแล้ว  โรคที่ว่านี้อาจหายขาดได้  เพราะหมดเวรกรรมซึ่งกันและกัน  สำหรับสัตว์ไม่เป็นไรเพราะเขาเป็นวิญญาณไปแล้ว  แต่คนเราซิ  ยังมีชีวิตอยู่  แต่ในสภาพที่อวัยวะภายในภายนอกไม่สมประกอบถูกตัดทอนออกไป  บางคนก็ปรากฎบาดแผลให้เห็นอยู่ภายนอก  เปรียบเสมือนเครื่องจักรก็พิกลพิการขาดความสมบูรณ์หรือบกพร่องไป  ท่านจะมีชีวิตอยู่ด้วยความสุขได้อย่างไร  
ถ้าท่านยังไม่มีโรคที่ทำให้เกิดความรุนแรง  ถึงขั้นผ่าตัด  ท่านควรจะรีบคิดถึงโทษของการกินอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์เสียตั้งแต่บัดนี้  เพื่อตัวของท่านเองการหลีกพ้นให้พ้นจากสภาพของกฎแห่งกรรม  ไม่มีทางอื่น  นอกจากงดเว้นการกินอาหารเนื้อสัตว์ที่มีชีวิต  ท่านจะเป็นผู้ประเสริฐด้วยความไม่เป็นโรค  ถ้าท่านกลัวขาดวิตามินให้ปฏิบัติดังนี้

โดยปกติสภาพเลือดของคนในยุคปัจจุบันนี้  เนื่องจากกินอาหารเนื้อสัตว์เป็นประจำ  ทำให้เลือดที่บริสุทธิ์สูญเสียไป  เลือดที่บริสุทธิ์เกิดจากอากาศธาตุที่บริสุทธิ์ที่มนุษย์หายใจเข้าไปมีเหลืออยู่เป็นจำนวนน้อยมาก  ถ้าแบ่งเลือดออกเป็น  4  ส่วน  จะเป็นเลือดที่เกิดจากเลือดเนื้อสัตว์เสีย  3  ส่วน  เมื่อท่านงดอาหารเนื้อสัตว์ในขั้นแรก  เป็นความจริงที่เลือดบริสุทธิ์จะเหลืออยู่เพียงส่วนเดียว  อันเป็นเหตุให้ท่านรู้สึกอ่อนเพลียบ้าง  ความจริงเลือดบริสุทธิ์นี้จะเพิ่มตัวเองได้โดยอัตโนมัติ  โดยได้จากการหายใจเอาอากาศที่บริสุทธิ์เข้าไป  เพราะวิตามินต่าง ๆ มีอยู่ในแสงแดด  ก็เข้าไปกับอากาศก็จะเพิ่มจำนวนเลือดในตัวท่านขึ้นทันที  แต่เนื่องจากสภาพอากาศบริสุทธิ์  ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษเช่นในเมืองนี้ มีอยู่น้อยมาก  ท่านต้องอาศัยยาที่เป็นตัวนำของเลือดที่ดีเข้าไปช่วยเพิ่มเลือดให้เร็วขึ้นดังนี้

1.	ดอกมะลิแห้ง (ปลอดสารพิษ) เป็นดอกไม้ที่บริสุทธิ์  ดูดพลังงานจากอากาศธาตุไว้ได้มาก  ให้นำดอกมะลิที่บูชาพระแห้งแล้ว  หรือตากแดดให้แห้งก็ได้ คั่วให้เหลือง ใช้ชงรับประทานแทนน้ำชาอุ่น ๆ  ครั้งละหยิบมือทุกวัน  ความบริสุทธิ์จากดอกมะลิจะเข้าไปฟอกเลือดท่านให้สะอาด  ท่านจะไม่มีอาการไอจาม  น้ำมูกเสมหะเหนียวข้นอันบอกถึงความสกปรกของเลือดว่ามีมากหรือน้อย  การไอ  หรือจาม  เป็นอาการที่สภาพของเลือดที่บริสุทธิ์  ไม่ยอมรับสิ่งที่สกปรกที่จะเข้าไปผสมกันให้เกิดเป็นพิษ  จึงเกิดการระคายเคืองจนเกิดการไอจามให้แยกออกจากกัน  ถ้าสิ่งสกปรกมากเกินไปก็เกิดอาการไอจามจนเป็นไข้ตัวร้อน  เพราะเกิดการอักเสบของอวัยวะภายในขึ้น  อย่างที่เรียกว่า  ไข้หวัด

2.	ลูกสมอแห้งกับเกลือ  ลูกสมอเป็นผลของพืชที่ดูดซึมพลังงานจากแสงอาทิตย์  หรืออากาศธาตุที่บริสุทธิ์ไว้ได้ครบทุกชนิดมีทั้งรสเปรี้ยว  ฝาด  ขม  หวาน  ในตัวเองครบทุกรส  จึงเป็นวิตามินรวมที่สำคัญปกติตัวยาที่จะสกัดมาเป็นวิตามินรวม  จะต้องมาจากตัวยาหลายชนิดเดียวกัน  เอามาผสมกันเข้าถึงจะเกิดเป็นวิตามินรวมขึ้น  แต่ลูกสมอที่คุณภาพในตัวเองครบบริบูรณ์  เลือดที่สมบูรณ์จะต้องได้รับการบำรุงด้วยวิตามินรวมลูกสมอจึงเป็นยาบำรุงเลือดที่สำคัญที่สุด  และไม่ต้องยุ่งยากอะไรเลย  เมื่อกลั่นออกมาเป็นน้ำก็หมายถึงว่าท่านได้เลือดที่บริสุทธิ์มาดื่มกินได้ทันที  โดยไม่ต้องไปปรุงแต่งด้วยตัวยาอย่างอื่น  หรือหามาจากอาหารเนื้อสัตว์ที่ก่อให้เกิดโทษแทนประโยชน์  
                    สำหรับเกลือก็คือ  ธาตุดิน  ที่บริสุทธิ์  ท่านไม่ต้องวิตกกังวลว่าจะเป็นต่อมไทรอยด์เพราะขาดธาตุไอโอดีนซึ่งจะต้องไปเสาะหามาจากอาหารทะเล  เช่น  กุ้ง  ปู  หอย  ซึ่งตรงกันข้ามการกินสิ่งมีชีวิตพวกนี้ดูจะเป็นต้นเหตุให้เกิดโรคไทรอยด์เสียมากกว่า  จะมีสิ่งเดียวเท่านั้นที่ท่านอาจจะปฏิบัติได้ค่อนข้างยาก  เพราะการดื่มน้ำลูกสมอต้มกับเกลือ จะหาความเอร็ดอร่อยเหมือนบริโภคอาหารเนื้อสัตว์ไม่ได้  ท่านอาจจะปฏิเสธในข้อนี้  แต่ถ้าท่านนึกถึงกฎแห่งความจริง  และโทษทุกข์ที่เกิดกับท่านภายหลังที่บริโภคอาหารเนื้อสัตว์แล้ว  ท่านควรใช้พลังจิตต่อสู้กับความหลงติดในรสอาหารเพื่อตัวท่านเอง  พยายามเลือกเฟ้นอาหารที่ปรุงแต่งด้วยเนื้อสัตว์ให้น้อยที่สุด  ค่อย ๆ จะเลิกไป  จนพ้นจากความเป็นทาสสู่ความเป็นไทแก่ตัวท่านเองในที่สุด
	
	วิธีต้มลูกสมอแห้งกับเกลือ  ลูกสมอแห้ง  3  กำมือ  เกลือเม็ดใหญ่ประมาณ  2  ช้อนโต๊ะปาด ๆ  ต้มด้วยหม้อดินขนาดกลางใส่น้ำให้ท่วมลูกสมอประมาณ  3  ส่วนของหม้อ  ตั้งไฟให้เดือด  เคี่ยวให้งวดเล็กน้อย  ให้มีรสเข้มข้นพอดี  ใช้ดื่มประจำหลังจากรับประทานอาหาร  หรือจิบบ่อย ๆ เวลาไอ  หรือจามเป็นยาช่วยเพิ่มเลือด  บำรุงเลือด  ในขณะที่ท่านหยุดกินเนื้อสัตว์  ท่านไม่ต้องกลัวว่า  จะขาดเลือดหรือขาดวิตามิน  หรือง่อยเปลี้ยเสียขาแต่ประการใด
	
	ยาทั้ง  2  ขนานนี้  เป็นตำราแท้ดั้งเดิมมาแต่สมัยเริ่มสร้างโลกมนุษย์  เจ้าของตำรับได้แก่                    องค์อัครมหาพรหม  พระบรมครู  พระบุตรหัวปีของพระผู้สร้างโลกสร้างมนุษย์  หรือในภาคสุดท้ายที่จุติมาโปรดในโลกมนุษย์ก็คือพระบรมครูแพทย์ชีวกโกมารภัจ  พระบรมครูการแพทย์แห่งโลกมนุษย์  ผู้ใดระลึกถึงพระคุณท่าน  เวลาต้ม  จุดธูปปักกลางแจ้ง  1  ดอก  ระลึกถึงพระนามท่าน  ยาจะเพิ่มคุณภาพเข้มข้นเพราะอำนาจพลังที่พระบรมครูจะเพิ่มให้กับจิตที่บริสุทธิ์ของท่าน


ว.รัตนภูมิ  ถ่ายทอดด้วยพลังปัญญาจากพระบรมครู

				
Lovers  0 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 0 คน
Lovers  4 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ