28 กุมภาพันธ์ 2553 09:44 น.
คีตากะ
คืนหนึ่ง ขณะที่ท่านจำวัดอยู่ที่ที่ท่านได้ทำการก่อสร้างสะพาน ท่านก็ได้เกิดนิมิตประหลาด ท่านนิมิตไปว่า มีชีปะขาว หน้าตามีบุญ มีแสงสว่างออกจากตัว คล้ายมีแสงไฟกระจายอยู่ด้านหลัง ชีปะขาวมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าท่าน แล้วกล่าวกับท่านว่า
เมื่อสะพานเสร็จแล้ว ท่านพึงจะละทิ้งเอาไว้ระยะหนึ่งก่อน ออกธุดงค์ไปยังโคราชก่อน แล้วตัดทางออกไปอุบลราชธานี อย่าพึงรีบร้อนและลังเล เมื่อพักผ่อนอิริยาบถพอสมควรแล้ว ท่านก็ข้ามไปฝั่งลาวเลย....
เส้นทางที่ชีปะขาวบอก คือข้ามจากอุบลราชธานีทางช่องเม็ก สู่แขวงจำปาศักดิ์ ประเทศลาว เดินตามเส้นทางป่าที่เชื่อมจำปาศักดิ์กับเมืองปากเซ ด้วยเป็นเส้นทางที่วิเวกและสามารถหลีกพ้นการรบกวนของผู้คนที่อาจจะทำให้หลวงปู่ต้องพักช่วยชาวบ้านเป็นระยะ ๆ หมดโอกาสจะไปยังสถานที่ที่ต้องการจะไปได้ หลวงปู่สุภาเดินทางพร้อมเครื่องบริขารธุดงค์ ตรงไปยังปากเซ สอบถามเส้นทางไปยังเมืองเซโปน ซึ่งได้ใช้เส้นทางป่าเหมือนที่มาจากนครจำปาศักดิ์ ผจญความยากลำบากและเภทภัยต่าง ๆ ตลอดเส้นทาง
เพราะตอนนั้น ป่าแถบนั้นชุกชุมไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บและภูตผีปีศาจ จากเซโปน สอบถามเส้นทางไปยังเมืองวัง เส้นทางช่วงนี้วิบากยิ่ง แต่หลวงปู่สุภาก็ไม่ย่อท้อ เพราะมีชีปะขาวมานิมิตของเหตุอยู่เสมอตลอดทางชีปะขาวมาปรากฏในนิมิตอยู่เสมอว่า ถ้ำจุงจิง คือสถานที่ที่ท่านจะต้องเดินทางไปให้ถึง ไปให้ตลอด ที่นั่นคือจุดหมายปลายทาง
หลวงปู่สุภาจึงมีพลังใจและรุดหน้าเดินทางไปยังเมืองวัง และเดินทางต่อไปยังเมืองอ่างคำ อันป่าแถบนั้นยากที่จะมีผู้ใดบุกเข้าไปได้ ชาวบ้านบอกชัดเจนว่า พระธุดงค์หลายต่อหลายรูป ถามหาทางแล้วไม่เคยกลับออกมาอีกเลย และหลายคนห้ามหลวงปู่สุภาด้วยคำชาวบ้านง่าย ๆ ว่าอย่าเอาร่างกายไปเป็นเหยื่อสัตว์ร้ายและไข้ป่า ตลอดจนภูตผีปีศาจเลย แม้พรานที่ว่าแก่วิชา ก็ยังต้องตามไปเอาศพกลับมาเผาเพื่อส่งวิญญาณ เมื่อไปพบสภาพศพดูทุเรศเป็นที่สุด
จากเมืองวังไปยังเมืองอ่างคำ หลวงปู่สุภาต้องผจญกับอาถรรพ์ต่าง ๆ นานาประการ หากแต่ได้วิชาที่เล่าเรียนมาแต่ต้น หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า และธุดงควัตรอันบริสุทธิ์ของท่าน แก้ไขสถานการณ์จนรอดออกมาจากป่า บรรลุถึงเมืองอัตปือแสนปาง ที่นั่นหลวงปู่สุภามิอาจหาเส้นทางที่เข้าไปยังจุดที่จะถึงถ้ำจุงจิงได้ ที่สุดชีปะขาวต้องมานิมิตบอกท่านว่า มีคนพวกเดียวเท่านั้นที่จะพาหลวงปู่สุภาไปได้คือ พวกข่า
พวก ข่า เป็นพวกพรานป่าที่ชำนาญไพร และชำนาญด้านเส้นทางที่จะไปยังถ้ำจุงจิง หลวงปู่สุภาเดินทางมาจนถึงบ้านหนองไก่โห่ อันเป็นชุมชนของชาวข่าที่น้อยคนนักจะมาถึงได้ พวกข่าพบหลวงปู่สุภาแล้วรู้สึกแปลกใจ ถามว่ารอดชีวิตจากป่าดงดิบ ดงดิบดำได้อย่างไร หลวงปู่สุภาจึงบอกวัตถุประสงค์ที่จะไปถ้ำจุงจิงแก่ชาวข่า เมื่อได้ยินดังนั้น ชาวข่าก็บอกกับท่านว่า
ถ้ำแห่งนั้นเป็นถ้ำอาถรรพ์ ไม่มีใครอยู่ได้ แม้แต่เฉียดเข้าไป ก็ถูกอาถรรพ์เล่นงานเอาจนตาย หรือเฉียดตาย แต่หากว่าท่านจะไป ก็จะนำทางให้ จะนำทางเพียงขึ้นไปที่ปากถ้ำเท่านั้น หลัวจากนั้น ให้หลวงปู่ให้ค่าจ้างเขาด้วยหน่อทองคำหลวงปู่สุภาจึงบอกกับพวกข่า
เราเป็นพระธุดงค์ ไม่มีทองคำหรือหน่อไม้ทองแต่ประการใดที่จะให้เป็นค่าแรง บอกทางด้วยปากเปล่าก็ได้ จะเดินไปเอง
พวกข่าจึงบอกกับหลวงปู่สุภาว่า
สะพานที่ทอดข้ามจากหนองไก่โห่ ไปยังเส้นทางเขาจุงจิง มีต้นไม้สีทองอุไรขึ้นอยู่มากมาย หากมีวิชาอาคมเด็ดยอดให้ขาดลงมา ทันทีที่ขาดใส่มือ ก็จะกลายสภาพเป็นหน่อทองคำทันที ขอหน่อนั้นให้พวกกระผม จะได้รอจนท่านกลับมา
หลวงปู่สุภาจึงรับปาก เขาจุงจิงนั้นเป็นเขตแดนติดต่อกันระหว่าพระราชอาณาจักรลาวกับดินแดนของเวียดนาม หลวงปู่สุภาจึงข้ามสะพานไปอีกฟากหนึ่งจึงพบต้นไม้ที่ชาวข่าบอกให้ฟัง ความจริงนั้นหลวงปู่สุภาเล่าว่า
ไม่ใช่ต้นไม้ต้นไร่อะไรหรอก เป็นหน่องอกจากดิน สูงคืบหนึ่งบ้าง หนึ่งศอกบ้าง สองศอกบ้าง มีสีเหลืองเหมือนทอง เวลาต้องแสงแดดก็จะเปล่งประกายงดงามจับตายิ่งนัก พวกข่าต้องการมากทีเดียว
เมื่อเดินผ่านเข้าไป ท่านได้ระลึกอยู่ ๒ อย่าง คือ
-ประการแรก ได้รับปากกับชาวข่าไว้แล้วเรื่องให้หน่อไม้ทองเป็นรางวัล
-ประการที่สอง การจะหักหน่อทองคำเป็นอาบัติ ธุดงควัตรจะขาด และจะเกิดอันตราย จะต้องรักษาสองอย่างนี้ไว้ในเวลาเดียวกันหลวงปู่เล่าว่าเพ่งมองดูด้วยจิตอันเป็นอุเบกขา ไม่มีความโลภอยากได้ เมื่อจิตเป็นเอกคตาแล้ว จึงนึกอธิษฐานจิตอย่างแน่วแน่ว่า ขอเทพยดาอารักษ์ที่รักษาสถานที่นี้อยู่ ด้วย
อาตมาเดินทางมาด้วยนิมิตจิต ต้องการเพียงเล่าเรียนศึกษาแสวงหาทางนิพพาน แต่ได้รับปากชาวบ้านว่าจะให้หน่อไม้ทอง หากมิมีของให้พวกเขา ธุดงควัตรของอาตมาก็จะบกพร่องและเกิดอันตราย ขอเทพยดาได้เมตตาให้หน่อทองแก่อาตมาด้วยเถิดทันใดนั้นก็มีเสียงซู่ซ่า ต้นไม้ทองคำก็สั่นไหวไปมา และหลายต้นโน้มยอดเข้ามาทางที่ท่านเดินไปและหักกระเด็นออกมาเรี่ยรายอยู่กับพื้นเป็นจำนวนมาก โดยที่ท่านไม่ต้องออกแรงเด็ดหรือทำการอย่างใดให้ต้องอาบัติ และเมื่อยอดตกหักถึงพื้น ก็กลายเป็นหน่อทองคำจริง ๆ เหมือนที่พวกข่าเล่าให้ฟัง เมื่อเห็นว่าได้หน่อทองคำพอสมควรแล้ว หลวงปู่สุภาจึงบอกกับชาวข่าว่า บัดนี้เราได้หน่อทองแล้ว ขอให้พากันไปเก็บ แต่ต้องนำท่านไปส่งที่ถ้ำจุงจิงก่อน หาไม่แล้ว อาจไม่ได้ทอง เพราะเป็นจิตอธิษฐานของท่านเอง พวกข่าจึงตามท่านไปเก็บหน่อทอง และจึงช่วยกันนำหลวงปู่สุภาไปส่งยังถ้ำจุงจิง และลากลับไปหมู่บ้านของเขา หลวงปู่สุภาปักกลดอยู่ทางขึ้นถ้ำ ชีปะขาวก็มานิมิตอีก คราวนี้มาบอกชัดเจนเลยว่า
บนถ้ำจุงจิง มีพระอรหันต์หลายรูป แต่ละรูปเจริญอิทธิบาท ๔ ประการ ดำรงสังขารมานับเป็นพันปี และจะดำรงต่อไปจนกว่าจะพบพระศรีอาริยเมตตรัยมาตรัสรู้ และเมื่อได้รับฟังพระธรรมจากท่านพระศรีอาริยเมตตรัยแล้วจึงจะละสังขารไป ท่านจะได้พบด้วยตัวของท่านเองนั่นแหละ
หลวงปู่สุภาได้ขึ้นไปจำวัดอยู่บนถ้ำจุงจิงเป็นคืนแรก การขึ้นสู่ถ้ำจุงจิงนั้นยากลำบาก ต้องป่ายปีนไปตามซอกหิน จนได้ขึ้นไปสู่ปากถ้ำ ซึ่งมีแต่หมอกควันปกคลุมอยู่ แสงสว่างจากภายในไม่มี จากภายนอกก็เข้าไปไม่ได้ ต้องอาศัยเทียนนำทาง เมื่อเข้าไปแล้ว เหมือนตนเองอยู่ในเมืองลับแล คือไม่รู้ว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืน เข้าวันใหม่ หลวงปู่สุภาจึงออกมานอกถ้ำ ที่หน้าถ้ำ หมอกได้สลายไปหมดแล้ว เห็นภูมิทัศน์ได้ถนัดตา มองขึ้นไปด้านบน จะเห็นมียอดเขาและถ้ำอีกมากมาย แต่ไร้เส้นทางขึ้น เป็นหน้าผาล้วน ๆ ไม่มีก้อนหินและทางขึ้นไปได้ จึงได้แต่คิดว่า เราจะได้พบพระอาจารย์หรือพระอรหันต์ได้อย่างไร พอคิดแวบขึ้นมา มองขึ้นไปข้างบนก็เห็นสีเหลืองคล้ายจีวร เลื่อนลงมาจากปากถ้ำด้านบน รวดเร็วมากจนมองแทบไม่ทัน มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อสีเหลือง ๆ นั้น มายืนอยู่ตรงหน้า เป็นพระภิกษุที่มีผิวพรรณวรรณะผิดกับคนธรรมดาทั่วไป ครองผ้าแปลกไปกว่าที่หลวงปู่สุภาครองอยู่ แต่มีลักษณะคล้ายพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ให้สังเกตได้หลายประการ แล้วพระสงฆ์รูปนั้นก็กล่าวขึ้นว่า
ไม่ต้องแปลกใจหรอก การลงมาเมื่อกี้นี้เป็นเพียงการอธิษฐานจิตเท่านั้นแหละ เอาเป็นว่า มาได้อย่างไร และทำไมจึงต้องมาที่นี่ บอกมาให้ละเอียด
หลวงปู่สุภาเล่าให้ศิษย์ฟังว่า พระอรหันต์จริง ๆ จะไม่กล่าวพาดพิงถึงการสำแดงปาฏิหาริย์หรือปรากฏการณ์มหัศจรรย์ แต่จะพูดเลี่ยงไปมา ด้วยพระอรหันต์นั้น หากแม้แสดงตัวหรืออะไรก็ตามที่ให้บุคคลที่สองรู้ว่าตนเป็นอรหันต์ ต้องปาราชิก ฐานอวดอุตริมนุสธรรม แม้จะมีภูมิธรรมก็ตามที หลวงปู่สุภาจึงได้ตอบไปว่า
กระผมมาตามนิมิตที่ได้จากชีปะขาว จึงเดินทางมาจนถึงที่นี่ด้วยต้องการจะเล่าเรียนทางด้านวิปัสสนากรรมฐานที่สูงขึ้นกว่าที่ได้เรียนมา หากท่านมีเมตตาแล้ว ก็ช่วยสอนให้กับกระผมด้วยเถิด
พระรูปนั้นจึงกล่าวว่า ไม่ยากหรอก แต่ต้องเริ่มกันที่ การกำจัดสิ่งปฏิกูลออกจากตัวท่านก่อน อย่าลืมว่าท่านฉันภัตตาหารที่มีเนื้อสัตว์ปะปนอยู่ สิ่งเหล่านั้นปะปนอยู่ในตัวท่านมากมาย ต้องนอนลงบนใบตอง ทำจิตให้มั่นคง และต่อไปเราจะสวดเพื่อขับไล่สิ่งที่เป็นคาวออกจากตัวท่านให้หมด เมื่อน้ำคาวออกหมดแล้วจึงจะสวมจีวรได้อีกครั้ง ระหว่างที่สวด จะต้องสวมแต่สบงเท่านั้น จีวรและอังสะต้องแยกออกไป ชำระล้างตัวแล้วจึงไปเรียนกับชีปะขาวหรือฤๅษีที่ไปนิมิตบอกท่านนั่นแหละ เรียนกับเขาด้านสมถะและด้านญาณโลกียะ ซึ่งสามารถแสดงฤทธิ์อภิญญา แต่นั่นไม่ใช่ทางหลุดพ้น แต่จะสามารถแสดงฤทธิ์ขึ้นไปข้างบนที่เห็นอยู่ได้ เพื่อพบพวกเรา พวกเราอยู่กันบนนั้น มีอายุวัฒนะด้วยอิทธิบาท ๔ ที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงสำแดงว่า จะสามารถดำรงขันธ์อยู่ได้นานตามที่ต้องการ เราจะอยู่จนพระศรีอาริยเมตตรัยลงมาตรัสรู้ และได้ฟังธรรมะจากท่านแล้วจึงจะละสังขารไปสู่นิพพานอันเป็นบรมสุข แต่ เอ๊ะ...
คุณยังมีภาระอยู่นี่ ยังทำอะไรไม่ได้หรอก ต้องกลับไปทำให้สำเร็จก่อนจะมาศึกษาเล่าเรียนได้ มันเป็นห่วงที่คอยขัดขวางการเล่าเรียนของคุณ กลับไปทำให้เรียบร้อยก่อน
หลวงปู่สุภาจึงบอกกับพระภิกษุรูปนั้นว่า สะพานผมสร้างสำเร็จแล้ว ศาลาการเปรียญก็สำเร็จแล้ว ผมยังมีอะไรเป็นห่วงอีก พระภิกษุรูปนั้นจึงบอกว่า
สำเร็จแล้ว แต่คุณยังค้างชาวบ้านเขา ก็คุณบอกว่า จะทำการฉลองไง แล้วคุณไม่กลับไปฉลอง ก็เท่ากับคุณไม่ทำตามปากพูด เป็นมุสาวาท คุณกลับไปทำให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยกลับมาใหม่ก็แล้วกันพอสิ้นคำพูดนั้น ร่างของภิกษุรูปนั้นก็เลื่อนขึ้นสู่เบื้องบนเหมือนตอนที่ลงมาไม่มีผิด ท่านจึงต้องเดินทางย้อนกลับมาทางเดิม มาทำพิธีฉลองสะพานและสิ่งก่อสร้างในวัดเกาะสีคิ้ว ครั้นเตรียมตัวกลับไปใหม่ก็ไม่อาจทำได้ เพราะมีพระมหาสมาน อยู่คณะ ๕ วัดหงส์รัตนาราม นิมนต์ให้ไปช่วยเป็นประธานปฏิสังขรณ์หมู่กุฏิและเสนาสนะในคณะ ๕ กว่าจะเสร็จกินเวลานาน และชีปะขาวก็มิได้มานิมิตอีกเลย เป็นอันว่าท่านไม่ได้กลับไปถ้ำจุงจิงอีกเลย ท่านเล่ามาถึงตอนนี้ก็บอกกับศิษย์ว่าจำไว้เลยว่า ทุกอย่างจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จอยู่ที่วาสนาบารมีแต่ละคน สำหรับท่าน ไม่มีวาสนาบารมีจะได้เล่าเรียนกับพระอาจารย์ที่ถ้ำจุงจิงเป็นแน่ จึงได้กลับไป
28 มกราคม 2553 01:05 น.
คีตากะ
นับเวลากว่า ๑๐ ปีตามปฏิทินโลก ที่เพื่อนรักอย่าง สิงห์เหนือ กับ เสือใต้ จำร้างลาห่างเหินกันไปเพราะภาระหน้าที่ ของแต่ละคน ความวุ่นวายของกระแสโลกิยะไม่ต่างอะไรกับการหมุนวนของกระแสน้ำเชี่ยวในท้องมหาสมุทร ที่สลับซับซ้อนวกวนจนยากจะคาดการณ์ มาตรแม้นระยะทางและเวลาจะพรากจากคู่ซี้ทั้งสองจนแทบจดจำใบหน้าของกันและกันไม่ได้ แต่มิตรภาพระหว่างพวกเขากับแน่นแฟ้มกว่าเดิมมากนัก แล้ววันหนึ่ง ในเย็นวันหนึ่ง ณ ร้านตาดวง ริมถนนสายเพชรเกษม พวกเขาก็ได้พบกันอีกครั้ง....
ปล่อยวางลาภยศชื่อเสียง
ยึดถือเพียงความว่างเปล่า
ถือขวดโค้กรินต่างเหล้า
วันนี้ไม่เมา...ไม่เลิกรา
สิงห์เหนือยกแก้วโค้กดื่มดับกระหายไปอึกหนึ่งก่อนเริ่มต้นสอบถามสารทุกข์สุกดิบของเพื่อนซี้...
สิงห์เหนือ : เวลาที่ผ่านมาท่านทำอะไร ?
เสือใต้ : ข้าพเจ้า กิน กับนอน นอกจากนั้นก็ไม่มีเรื่องราวอะไรน่าสนใจ แล้วท่านหล่ะทำอะไร ?
สิงห์เหนือ : ข้าพเจ้าเดินทางไปทั่ว จากเหนือลงใต้ และเดินทางจากใต้ขึ้นเหนือ แทบไม่เคยหยุดพัก
เสือใต้ : นับว่าเวลาที่ผ่านมา ท่านไม่ทำตัวเหลวไหล ยังมีเรื่องราวที่มีสาระให้กระทำ
สิงห์เหนือ : ท่านก็นับว่ายังมีอะไรกระทำ ไม่หายใจทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ ยังคงกินและนอน ฮาฮา
ความเงียบเข้ามาแทรกระหว่างการสนทนาของคนทั้งสอง เวลาผ่านไปเนิ่นนาน โค้กลิตรหมดไป ๒ ขวด เสือใต้ทอดถอนใจก่อนจะเอ่ยวาจาทำลายความเงียบขึ้นมาก่อนว่า...
เสือใต้ : ท่านคงไม่ดูทีวีกระมัง บ้านเมืองมันวุ่นวายกันไปถึงไหนแล้ว ท่านก็คงไม่ทราบ และไม่ต้องทุกข์ร้อนอะไรด้วย ข้าพเจ้ากลับเป็นทุกข์มากกว่าท่าน
สิงห์เหนือ : รู้แล้วเป็นทุกข์ ไม่รู้ย่อมประเสริฐกว่าหลายเท่านัก
เสือใต้ : ความกลัวคงไม่สามารถทำอะไรท่านได้ แม้โลกจะพังทลายลงต่อหน้าต่อตาก็ตาม
สิงห์เหนือ : ข้าพเจ้าเป็นเพียงคนพเนจรไร้ราก มีญาติมิตรเป็นต้นไม้และสายธารที่คอยทักทายตลอดทาง มีภรรยาเป็นสายลมที่เอาแน่นอนไม่ได้ มีบ้านและ ฟูกนอนเป็นแผ่นดินที่ค่ำไหนก็นอนนั่น และมีแสงแดด อากาศเป็นอาหารหล่อเลี้ยงบำรุงร่างกาย เป็นคนไม่มีความสลักสำคัญอะไร และไม่เห็นมีเรื่องราวใดอะไรสำคัญนัก โลกจะเป็นอะไรหาเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าไม่ พูดจบเขาก็ฮัมเพลงออกมาเบาๆว่า...
ท่องโลกด้วยหัวใจเบิกบาน
ขับขานเพลงแห่งภควันต์
สลัดเครื่องร้อยรัดผูกพัน
ทุกคืนวันเต็มปริ่มด้วยความว่าง
เสือใต้ : ผู้คนกำลังวิตก กังวลกับความเปลี่ยนแปลงของโลกอันเสื่อมโทรมใบนี้ ภัยพิบัติและหายนะต่างๆ กำลังส่งสัญญาณต่อพวกเขา นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ท่านไม่รู้สึกกังวลบ้างหรือ?
สิงห์เหนือ : พวกเขาต่างเลือกเดินทางสายนี้ เทวดาที่ไหนจะมาช่วยได้ แต่มันคือความหวังที่งดงามครั้งใหม่ ความหวังที่โลกจะมีแต่เพียงความสงบสุขและสันติอีกครั้ง มันเป็นความท้าทายใหม่ๆ น่าสนุก น่าสนุก
เสือใต้ : ข้าพเจ้ายังหวังจะขุดถ้ำสักแห่งหรือไม่ก็หาที่อยู่ตามธรรมชาติที่สามารถรอดพ้นจากหายนะได้ ข้าพเจ้าส่งโทรจิตไปถามมนุษย์ดาวอังคารที่เหลือรอดจากเหตุการณ์ทำลายล้างครั้งนั้น ซึ่งท่านเองก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยสมควรรู้วิธีเอาตัวรอดดีกระมัง?
สิงห์เหนือ : แม้ข้าพเจ้าจะอพยพมาจากที่นั่น นานมาแล้ว แต่ก็ยังจดจำภาพเหตุการณ์ครั้งนั้นได้เป็นอย่างดี ที่ดาวอังคารก่อนที่จะเกิดเหตุ ข้าพเจ้าโชคดีที่ได้พบกับอาจารย์ผู้รู้แจ้งก่อน ข้าพเจ้าติดตามท่านและขยันบำเพ็ญเพียรภาวนาจนได้ญาณสามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ ข้าพเจ้ากับเพื่อนๆ ต่างช่วยกันขุดถ้ำขนาดใหญ่ กักตุนอาหารทุกอย่าง นำสัตว์ที่จำเป็นต่อการเกษตร พวกวัว ควายลงสู่ใต้ดินจำนวนหนึ่ง ได้ทันก่อนจะเกิดภัยพิบัติ มันใช้เวลาทำลายล้างแค่เพียง ๒ เดือน ทุกอย่างหมดสิ้น ทั้งที่มีการเตือนล่วงหน้า แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ ไม่มีประโยชน์ เหมือนสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับโลกนี้
เสือใต้ : ชาวดาวอังคารบางคนที่ยังอาศัยอยู่ใต้ดินจนถึงเดี๋ยวนี้ สามารถใช้โทรจิตติดต่อระหว่างกันและกันได้ ข้าพเจ้าได้รับคำตอบมากมายจากที่นั่น พวกเขากำลังมองดูโลกของเราผ่านสื่อต่างๆ ซึ่งพวกเขาต่างก็รู้ว่าโลกนี้กำลังจะเปลี่ยนแปลง พวกเขาสังเกตพฤติกรรมของมนุษย์บนโลกตลอดมา ในขณะที่ความด้อยทางด้านเทคโนโลยี่ของมนุษย์โลกซึ่งไม่สามารถทัดเทียมกับที่นั่นได้ จึงไม่สามารถค้นหาพวกเขาเจอ พวกเขามีประตูทางลับลงสู่ใต้ดินที่มนุษย์ไม่มีวันหาเจอ
สิงห์เหนือ : นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะมนุษย์ดาวอังคารกำเนิดขึ้นมาถึง ๔๐ กว่าล้านปี ในขณะที่มนุษย์โลกเพิ่งเกิดมาได้ไม่ถึง ๒ หมื่นปีเท่านั้น ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี่และวิทยาศาสตร์จึงแตกต่างกันมาก เรียกว่าห่วงไกลกันหลายก้าว แต่เดี๋ยวนี้นักวิทยาศาสตร์ก็เริ่มพบเบาะแสบางอย่างของชีวิตบนนั้นบ้างแล้ว ซึ่งทำให้พวกเขาไม่ค่อยสบายใจนัก
เสือใต้ : แต่เกรงว่าจุดจบของดาวอังคารและโลกจะไม่แตกต่างกันกระมัง?
สิงห์เหนือ : จุดเริ่มต้นต่างหากหล่ะ ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ศูนย์ว่าง เป็นวัฏจักร มีอะไรน่าตกใจหรือ?
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ทุกสิ่งในใต้หล้าหาแท้เที่ยง
เกิดแลดับลับหายไปไร้สำเนียง
หลงเหลือเพียงเถ้าธุลีวิถีธรรม
ภายหลังจากโค้กขวดที่ ๔ ถูกยกมา สิงห์เหนือเริ่มมีอาการคล้ายเมามายไปหลายส่วน ไม่ทราบเป็นเพราะฤทธิ์จากคาเฟอีนหรือเปล่า ซึ่งปกติเขาก็มีสภาพไม่ต่างอะไรกับคนเมาอยู่แล้ว ดวงตาของเขาคล้ายมีเมฆหมอกจางๆปกคลุมอยู่ตลอดเวลา เขาส่ายหัวไปมาพร้อมกับร้องเพลงลูกทุ่งดังๆ ออกมา
ดาวกลางดิน เจ้ากลับคืนถิ่นหรือยัง
ดาวดวงน้อยยังคอยหวัง เป็นดาวเด่นดังในเมืองกรุง
ลืมนาลาถิ่น ว่าเกิดกลางดินกลิ่นโคลนฟุ้ง
ไปเป็นหงส์ทิ้งดงทิ้งทุ่ง ระวังดาวรุ่งน้ำตาริน
คนจนจน สู้อดสู้ทนคอยเหงา
ทุ่งดูร้างไร้นางแนบเนา ไม่มีดาวเจ้ามาเคียงดิน
ชายจนคนเก่า ยังคอยเฝ้าแม่ดาวดิน
ฝากวอนฟ้าตามหายุพิน ลดดวงลงดินมากินน้ำคลอง
น้องเอ๋ย ก่อนเคยให้สัญญาพี่
ใต้เงาจันทร์ริมนที ว่าคนดีจะไม่มีสอง
เปลี่ยนใจไปแล้วหรือไรเนื้อทอง
อวยชัยให้น้อง สู่ห้องหอทองของคนลวง
ชายใจโทรม คอยปลอบประโลมยามเหงา
แม้นสิ้นหวังยังคอยเฝ้า วันที่ดาวมาชื่นทรวง
แหงนคอรอท่า วันดาวบ้านป่าลาดวง
ก็จะคอยรับช่วง ดาวดับดวงประดับกลางดิน...
เสียงปรบมือดังขึ้น เป็นเสือใต้นั่นเอง เขาเอ่ยปากชมเชยสหาย
เสือใต้ : ไม่พบกันนานปี น้ำเสียงของท่านนับว่ายังไร้ผู้ต่อต้าน สมควรฉลองอีกหลายจอก ฮา ฮา
สิงห์เหนือ : ยังคงต้องได้รับคำชี้แนะสั่งสอนจากท่านอีกมาก ขอคารวะท่านอาจารย์ ฮาฮา
เสือใต้ : เรื่องราวชายใจโทรมกับหญิงงามอันดับหนึ่งของแผ่นดิน ของท่านที่ถูกแล้วสมควรถูกจารึกในหน้าประวัติศาสตร์ของโลกจะเหมาะสมมากกว่า ฮาฮา
สิงห์เหนือ : ฮาฮา ไร้สาระ ไร้สาระ สมควรดื่มอีกสามร้อยจอก
เสือใต้ : เชิญ
เสือใต้ : นักบุญมีอดีต ปุถุชนมีอนาคต คำกล่าวนี้ไม่นับเป็นปรัชญาแต่ก็นับเป็นสัจธรรม บัณฑิตทั้งหลายไหนเลยไม่เคยพบพานกับความทุกข์มาก่อน ผู้ใดไม่เห็นทุกข์ ผู้นั้นย่อมไม่เห็นธรรม
สิงห์เหนือ : ข้าพเจ้าไหนเลยจะบังอาจเทียบกับเหล่าปราชญ์เมธีผู้รู้แจ้งได้ ท่านกล่าวเกินไปแล้ว
เสือใต้ : สถานการณ์โลกดูเหมือนกำลังจะเลวร้ายลงทุกทีจนยากเยียวยา โลกร้อนเพราะแรงกรรมกำลังส่งผล แม้แต่สวรรค์ยังเมินหน้าหนี อีกไม่นานบนผิวโลกจะอาศัยอยู่ไม่ได้อีกต่อไป และอาจต้องหลบอาศัยอยู่ใต้ดิน ซึ่งในที่สุดก็อาจอดอาหารและน้ำ สร้างความทุกข์ทรมานตามมาอีก ไม่สู้ตกตายเสียแต่เนิ่นๆ จะไม่ดีกว่าหรือ?
สิงห์เหนือ : การตายไม่ได้ช่วยอะไร ในที่สุดความหลงมืดบอดก็จะทำให้ท่านเกิดใหม่อยู่ดี และมันจะยิ่งแย่ถ้าไม่ได้กลับมาเป็นมนุษย์อีก นั่นหมายถึงการไม่มีโอกาสหลุดพ้นจากเกมของพญามารอันเปรียบประดุจหุบเขาวงกต สุดวกวน มีชีวิตสมควรมีความหวัง ต้องมีกำลังขวัญเทียมฟ้า จึงเรียกว่ายอดคน
เสือใต้ : ข้อมูลจากดาวอังคารซึ่งเป็นผู้ที่มีประสบการณ์วันล้างโลก พวกเขาล้วนมุ่งด้านจิตวิญญาณมากกว่าวัตถุ เอื้อเฟื้อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งพวกเขามีอายุยืนยาวมากกว่าพวกเรา ไม่ต้องมีรัฐบาล ไม่มีรัฐสภา ไม่มีการก่อการร้าย สุขภาพของพวกเขาดีกว่าพวกเรามากจนไม่จำเป็นต้องมีโรงพยาบาล โรงเรียนของพวกเขามุ่งเน้นสอนเรื่องของศีลธรรมเป็นหลัก และพวกเขาล้วนเป็นมังสวิรัต
สิงห์เหนือ : อินเตอร์เนตของพวกเขาก็เร็วกว่าพวกเราหลายเท่า เวลาดาวโหลดใช้เวลาเพียงชั่วพริบตา ไม่เป็นชั่วโมงเหมือนของเรา พวกเขายังสามารถรับข่าวสารผ่านอินเตอร์เนตและทีวีจากโลกของเราได้ด้วยในปัจจุบัน พวกเขาจึงรู้ความเคลื่อนไหวของโลกเราเป็นอย่างดี แต่จะไม่เข้าแทรกแซงเรื่องราวใดๆ พวกเขากลัวติดเชื้อโรค ทั้งทางร่างกายและจิตใจ พวกเขายังสวดอฐิษฐานขอให้มนุษย์โลกหันกลับเปลี่ยนใจได้ทันก่อนจะถึงวันชำระล้างอันใกล้นี้ สำหรับพวกเขามันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยในการอาศัยอยู่ใต้ดินอันจำกัดคับแคบ และน่าอึดอัดแบบนั้น ดาวที่ขาดชั้นบรรยากาศ ขาดออกซิเจน ทำให้พวกที่อาศัยอยู่ใต้ดินต้องใช้เทคโนโลยี่ในการแยกออกซิเจนจากแหล่งน้ำใต้ดิน นอกจากนั้นพวกเขาสามารถผลิตดวงอาทิตย์เทียม เพื่อการเกษตรอีกด้วย ชีวิตของพวกเขาอยู่แบบเรียบง่ายมากๆ และพยายามควบคุมจำนวนพลเมืองให้เหมาะสมกับพื้นที่อยู่อาศัย ต้นไม้ที่ปลูกส่วนใหญ่มีความสูงไม่เกิน ๓ เมตร และปลูกกลับหัว เพราะพื้นที่จำกัด
เสือใต้ : ท่านก็เป็นมนุษย์ต่างดาวคนหนึ่ง ท่านก็รู้ว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่บนโลกไม่อาจทัดเทียมกับดาวอังคารที่จะสามารถอาศัยอยู่ใต้ดินได้ ท่านจึงถูกส่งมาที่นี่เพื่อภาระกิจบางอย่างและบอกทางรอดสำหรับโลกใบนี้ บทเรียนของท่านจะช่วยพวกเราได้ โปรดแจ้งแก่เราก่อนที่จะสาย
สิงห์เหนือ : ฮาฮา ใช่แล้วโลกกำลังก้าวไปสู่ความหวังใหม่ แม้ข้าพเจ้าจะไม่ได้เวียนว่ายตายเกิดอยู่บนโลกใบนี้ ข้าพเจ้าอาจมาจากต่างดาวและสิ่งที่ข้าพเจ้าจะบอกก็คือร่างกายของมนุษย์เป็นพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า มนุษย์ทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้ รวมทั้งสร้างและทำลายจักรวาลทั้งจักรวาลนี้ลงได้เพียงในพริบตา สิ่งที่ควรทำเร่งด่วนคือการตื่นขึ้นและรู้ว่าพวกท่านคือบุตรของพระผู้สร้าง ความสามารถทุกอย่างมีอยู่ในตัวของท่านเรียบร้อยแล้ว ด้วยความศรัทธาและความรักจะเปิดเผยความลับนี้ได้ จงเชื่อและศรัทธาในคุณงามความดี ในความรักของพระผู้สร้าง ในพระพุทธเจ้าผู้สูงสุด และในตัวตนที่แท้จริงของท่านเอง
เสือใต้ : ข้าพเจ้าทราบมาว่าท่านเป็น มนุษย์กินอากาศ สิ่งนี้ท่านกำลังบอกอะไรแก่ชาวโลก ?
สิงห์เหนือ : ฮาฮา แม้ข้าพเจ้าจะไม่เคยดื่มน้ำและกินอาหารมานานกว่า ๙ ปีแล้วก็ตาม แต่นั่นหาใช่เรื่องพิสดารไม่ เพราะแท้ที่จริงมนุษย์ทุกคนล้วนเป็นมนุษย์กินอากาศกันอยู่แล้ว ฮาฮาฮา
เสือใต้ : ข้าพเจ้าเคยรู้มาว่ามนุษย์กินอากาศมีหลายท่านในอดีตและปัจจุบัน บางคนกินแต่เพียงน้ำไม่กินอาหาร บางคนก็กินเฉพาะแสงแดด ส่วนท่านไม่กินทั้งอาหารและน้ำ อย่างไรเสียร่างกายของท่านก็ยังเป็นมนุษย์ มันจะไม่เป็นการทรมานสังขารหรอกหรือ?
สิงห์เหนือ : ๑๗,๐๐๐ ปีที่แล้ว มนุษย์เข้าใจว่าหลังจากการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์จากภาวะโลกร้อน เผ่าพันธุ์ของมนุษย์มาจากสัตว์ที่อาศัยอยู่ใต้ดินในยุคนั้นซึ่งวิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์ในยุคปัจจุบัน แต่แท้ที่จริงหาเป็นเช่นนั้นไม่!
เสือใต้ : หรือมนุษย์ไม่เคยอาศัยอยู่บนโลกนี้มาก่อน หรือเป็นเหมือนกับตัวท่านเวลานี้?
สิงห์เหนือ : เรื่องที่ท่านรู้แม้มีมากมายยิ่ง แต่เกรงว่าเรื่องราวที่ยังไม่รู้จะมีอีกมากเช่นกัน ถูกแล้ว มนุษย์ล้วนมาจากสวรรค์ ทุกคนล้วนเป็นมนุษย์กินอากาศ ! ไม่ได้วิวัฒนาการมาจากสัตว์ ! อย่างที่เข้าใจกัน
เสือใต้ : นี่เกรงว่าความรู้อันนี้จะขัดกับตำราทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้เป็นแบบเรียนในโลกมายาวนานเสียแล้ว คงไม่มีใครเชื่อท่านแน่นอน
สิงห์เหนือ : ความจริง ถึงจะผ่านไปอีกกี่ล้านปีก็ยังคงเป็นความจริงวันยังค่ำ แน่นอนถ้าท่านกลายเป็นมนุษย์กินอากาศ อาศัยแต่เพียงพลังของธรรมชาติ ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ท่านย่อมอาศัยอยู่ได้ ท่านจะรอด ท่านจะมีชัยชนะทุกสนามแห่งบททดสอบ พระผู้สร้างได้มอบความสามารถแก่มนุษย์ทุกคนไว้แล้ว ข้าพเจ้าเป็นเพียงแบบอย่างให้ดูเท่านั้น แท้ที่จริงแล้วร่างกายมนุษย์ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาวัตถุใดๆ เลยในการดำรงอยู่ แม้แต่อาหาร!
เสือใต้ : ข้าพเจ้าเคยได้ยินมาว่า มนุษย์พวกแรกไม่มีร่างกาย พวกเขาบินลงมาจากฟากฟ้า แต่เพราะเผลอไปกินอาหารและน้ำบนโลกเข้า จึงทำให้ ร่างกายมีความหยาบขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปร่างกายหยาบมากจนสามารถมองเห็นได้ สัมผัสได้ มันจึงหนักมากขึ้นจนไม่สามารถบินกลับสวรรค์ได้อีก นั่นมีกล่าวอยู่ในพระสูตร
สิงห์เหนือ : ก็อาจเป็นเช่นนั้น
เสือใต้ : ข้าพเจ้าก็อยากรอดเหมือนกัน ได้โปรดชี้แนะ การเป็นมนุษย์กินอากาศ !
สิงห์เหนือ : เป็นเรื่องง่ายมากเพราะท่านเป็นอยู่แล้ว แต่เดิมข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนท่าน ข้าพเจ้ากำเนิดขึ้นมาในโลกและถูกเลี้ยงดูมาแบบยากลำบากตั้งแต่เด็ก แม้ชีวิตจะมีความสุขในการท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ข้าพเจ้ายังวาดภาพและนำไปขายเพื่อหาเลี้ยงชีพ แต่ก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะมีความสุขอย่างแท้จริง จนกระทั่งข้าพเจ้าพบกับเพื่อนที่เป็นมนุษย์กินอากาศ และเขาแนะนำเรื่องการเป็นมนุษย์กินอากาศ ข้าพเจ้าจึงเริ่มต้นฝึกฝนทันที เพราะข้าพเจ้าต้องการเป็นแบบนั้น
เสือใต้ : เคล็ดลับคืออะไร ใช้เวลาเท่าไร?
สิงห์เหนือ : ข้าพเจ้าเริ่มจากศรัทธาและความรักคิดจะช่วยเหลือมนุษยชาติ จึงเว้นจากอาหารประเภทเนื้อสัตว์ มาเป็นมังสวิรัติ มากินเจ มากินผักสดและผลไม้ไร้การปรุงแต่ง มากินเฉพาะน้ำผลไม้ มากินเฉพาะน้ำปล่า และสุดท้ายมาเป็นมนุษย์กินอากาศในที่สุด ช่วงเป็นมังสวิรัติใช้เวลานับปี ส่วนช่วงกินผลไม้ใช้เวลาเพียง ๒๐ วันเท่านั้น ข้าพเจ้ากินอากาศมาได้นับ ๘-๙ ปีแล้ว ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง แต่กว่าที่ข้าพเจ้าจะสามารถเอาชนะจิตใจหรือสมองได้ก็หาใช่เรื่องง่าย ต้องต่อสู้กับอัตตาอย่างหนัก จนพบช่องทางพิเศษของร่างกายที่พระผู้เป็นเจ้ามอบให้ ทำให้ไม่ต้องพึ่งพาอาหารอีกต่อไป ข้าพเจ้าโปรแกรมข้อมูลใหม่ใส่เข้าไปในดีเอ็นเอที่ผิดพลาดมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ เปลี่ยนแปลงมันใหม่ทั้งหมด ข้อมูลก็คือว่า มนุษย์ไม่มีขีดจำกัดใดๆ ไม่ต้องกินอะไร ร่างกายมนุษย์คือวิหารของพระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าได้พบความสุขที่ค้นหามาตลอดชีวิต ข้าพเจ้าไม่เคยป่วยเข้าโรงพยาบาล ร่างกายกลับแข็งแรงมากกว่าเดิม ข้าพเจ้าอยากบอกข่าวนี้กับทุกคน
เสือใต้ : ข้อมูลนี้ไยไม่ขัดกับหลักศาสนาที่มุ่งเน้นทางสายกลางหรอกหรือ? พระพุทธเจ้าก็เคยเดินผิดทางมาแล้วด้วยการอดอาหาร?
สิงห์เหนือ : แน่นอนถ้าท่านไม่มีครูผู้เชี่ยวชาญคอยสอนและทดลองมันด้วยตัวเองท่านอาจกำลังเสี่ยงชีวิต สิ่งนี้เหมือนกับการฝึกฝนกีฬา จำต้องมีวิธีที่ถูกต้อง ผู้ชี้แนะที่ดี ต้องค่อยเป็นค่อยไป ให้ร่างกายค่อยๆปรับจนเข้าสู่สมดุล ไม่ควรทรมานตนเอง ความเชื่อ ความศรัทธาและความรักจะสามารถทำให้ทุกสิ่งกลายเป็นความจริงได้ ทุกคนสามารถทำได้ ธรรมชาติจะดูแลร่างกายนี้เอง พลังธรรมชาติหล่อเลี้ยงร่างกายนี้อยู่แล้วเป็นนิจ เพียงแต่ที่ผ่านมาเรามักจะทำลายระบบต่างๆด้วยการเอาขยะใส่เข้าไปในกระเพาะ จนเสียสมดุล และติดยึด
กายหรือคือโพธิ์พฤกษ์
กระจกนึกเทียบจิตได้
หมั่นปัดเช็ดถูไว้
อย่าปล่อยให้เกิดธุลี
โพธิ์ไซร้เดิมไร้ต้น
กระจกยลหามีไม่
แท้จริงปราศสิ่งใด
แล้วที่ไหนจะเกิดธุลี
เสือใต้ : การเป็นมนุษย์กินอากาศ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณใช่หรือไม่?
สิงห์เหนือ : แน่นอน เพียงท่านเชื่อในตัวเอง มีวินัยและฝึกฝนมันทุกวันเหมือนการเล่นกีฬา ก็มีเท่านั้น ใครๆก็ทำได้ ง่ายมาก
เสือใต้ : ท่านเชื่อเรื่องปี ค.ศ. ๒๐๑๒ เกี่ยวกับวันสิ้นโลกหรือไม่?
สิงห์เหนือ : ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนแปลง มันท้าทายความสามารถของมนุษย์ เหมือนเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับดาวอังคารเมื่อ ๔๐ ล้านปีก่อน ดาวทั้งดวงร้อนขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์ที่มุ่งเน้นวัตถุนิยม เทคโนโลยี่และวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าจนเกินไป มนุษย์ลืมรากเหง้าของชีวิตที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรักต่อกัน รักตัวเอง รักเพื่อนพ้อง รักพี่น้อง แม้กระทั่งรักศัตรู ผลจากการทำลายสรรพชีวิตมากมาย ผลอันนั้นได้ย้อนกลับมาเล่นงานมนุษย์และคัดสรรเผ่าพันธุ์มนุษย์เอง เพียงระยะเวลา ๒ เดือนก๊าซพิษจากทะเลทำลายทุกชีวิตลงเหลือรอดเพียง ๕ เปอร์เซนต์ และต่อมาเหลือรอดเพียง ๐.๒ เปอร์เซนต์ซึ่งอาศัยอยู่ใต้ดินจนถึงปัจจุบัน เมื่อท่านมองดูดาวอังคารที่มีสีแดงกลมในฟากฟ้า มันปราศจากน้ำ ปราศจากอากาศ ปราศจากชีวิต หลงเหลือเพียงทะเลทราย นั่นแหล่ะท่านกำลังมองเห็นโลกในอนาคต! มันคืออนาคตของโลกในอีกไม่ช้า!
เสือใต้ : เรามีทางที่จะเปลี่ยนแปลงมันได้มั๊ย?
สิงห์เหนือ : แน่นอน ทุกคนต้องร่วมมือกัน แต่ต้องเป็นไปอย่างรวดเร็วที่สุด!
8 มกราคม 2553 09:42 น.
คีตากะ
ภายหลังจากความล้มเหลวของการประชุมของบรรดาเหล่าผู้นำจากประเทศต่างๆทั่วโลกว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ณ กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ความหนาวเหน็บแบบสุดขั้วในบริเวณทวีปทางเหนือไม่ว่าจะเป็น ที่กรุงโคเปนเฮเกนเอง บริเวณทางตอนเหนือและตะวันตกของสหรัฐ ทวีปยุโรป เอเชียเหนือ อย่างจีน เกาหลี เรื่อยลงมาจนถึงอินเดียตลอดจนภาคเหนือและอีสานของประเทศไทย ก็ติดตามมา หลายประเทศต้องพบกับสิ่งที่เรียกว่าความหนาวเย็นแบบสุดขั้วจากภาวะโลกร้อน ฟังๆดูค่อนข้างจะงุนงง ความเย็นจัดกับโลกร้อนมาเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร ทั้งที่มันควรจะเป็นเรื่องที่ตรงข้ามกัน ถ้าคุณเคยดูภาพยนต์เรื่อง The Day After Tomorrow คงพอจะทราบดีว่ามันเป็นเรื่องราวใดกันแน่ บางคนเห็นหิมะตกหนักในหลายประเทศถึงกลับกล่าวว่า ภาวะโลกร้อนได้ผ่านพ้นไปแล้ว ทั้งที่ความจริงก็คือว่าปรากฏการณ์เหล่านี้ต่างก็เป็นผลมาจากโลกร้อนทั้งสิ้น รองถามกูรูต่างๆ ก็จะทราบดี ภาวะโลกร้อนไม่ใช่เรื่องที่จะมาสร้างสถานการณ์ให้ใครต้องหวาดวิตก แต่คือความจริงที่มนุษย์ทุกคนต้องรู้เพราะมันเกี่ยวข้องกับกิจกรรมของมนุษย์เองไม่ใช่การสร้างกระแสเหมือนการปั่นหุ้น เพราะนี่คือหายนะที่ต้องเข้าใจและสามารถร่วมใจกันแก้ปัญหาได้ก่อนที่มันจะสายเกิน การเพิกเฉยนั่นแสดงว่าเรายอมให้ภัยพิบัติต่างๆเกิดขึ้นกับทั้งตัวเราและญาติมิตรของเราอย่างเลือดเย็นทั้งที่สามารถยับยั้งมันได้ ด้วยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตัวเราโดยใช้หลักเหตุและผลประกอบการพิจารณา
The Day After Tomorrow เป็นเรื่องราวที่นักวิทยาศาสตร์จำลองเหตุการณ์ขึ้นจริงจากเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือภาวะโลกร้อนนั่นเอง เมื่อน้ำแข็งทางตะวันตกของทวีปแอนตาร์กติกาบริเวณขั้วโลกใต้ ได้หลุดตกลงจากหิ้งน้ำแข็งที่ชื่อว่าลาร์เซน-บี ซึ่งมีขนาดใหญ่เท่ารัฐโรดไอส์แลนด์ของสหรัฐฯหรือใหญ่กว่ากรุงเทพฯถึง ๒ เท่า เมื่อปี ค.ศ. ๒๐๐๒ และละลายหายไปในมหาสมุทรเพียงแค่ ๓๕ วัน มันได้สร้างความตกตะลึกให้แก่นักวิทยาศาสตร์ ทั้งที่พวกเขาคิดว่ามันควรจะอยู่อย่างนั้นได้อีกนับ ๑๐๐ ปี แต่แล้วมันก็ละลายหายไปหมดเพียงพริบตา นักวิทยาศาสตร์ได้จินตนาการต่อว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมาและได้สร้างเป็นภาพยนต์โด่งดังฉายไปทั่วโลกและเงียบหายไป จนใครๆก็ต่างคิดว่ามันเป็นจินตนาการมากกว่าความจริง แต่ขณะนี้เรื่องราวในภาพยนต์เรื่องนี้กำลังเกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน การละลายอย่างรวดเร็วของน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกทำให้กระแสน้ำอุ่นชะลอตัวลง การที่กระแสน้ำในมหาสมุทรเกิดการหมุนเวียนได้ก็เพราะมีแรงขับเคลื่อนมาจากอุณหภูมิของน้ำทะเลนั่นเอง กระแสน้ำจะรับความอุ่นจากบริเวณเส้นศูนย์สูตรซึ่งอยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์มากที่สุด มันจะไหลอยู่บริเวณผิวน้ำเพื่อเดินทางนำพาความอบอุ่น ความชื้น ออกซิเจนและสารอาหารที่จำเป็นต่อสิ่งมีชีวิตแพร่กระจายไปทั่วทุกมุมโลกโดยจะไปแลกเปลี่ยนหรือคายความร้อนบริเวณขั้วโลกเหนือ-ใต้ ซึ่งมีน้ำแข็งที่เย็นจัดปกคลุมอยู่ น้ำจะเปลี่ยนกลายเป็นเย็นจัดจากน้ำแข็งและจมตัวลงสู่ก้นมหาสมุทรเรียกว่ากระแสน้ำเย็น จากนั้นจะเดินทางในทิศตรงกันข้ามกับกระแสน้ำอุ่นหมุนเวียนเป็นวัฏจักรอย่างนี้มายาวนาน จนกระทั่งเมื่อน้ำแข็งได้ละลายอย่างรวดเร็ว เมื่ออุณหภูมิฉลี่ยของโลกเพิ่มสูงขึ้น ทะเลเริ่มอุ่นขึ้นกว่าเดิม ปรากฏการณ์ในภาพยนต์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะน้ำแข็งกำลังละลายและทำให้กระแสน้ำในมหาสมุทรชะลอตัวช้าลงเนื่องจากความแตกต่างของอุณหภูมิน้อยลงและเกิดการเสียสมดุลระหว่างน้ำเค็มในทะเลกับน้ำจืดจากน้ำแข็งขั้วโลกที่ละลาย ถ้ากระแสน้ำหยุดหมุนเวียนจะทำให้บางพื้นที่ร้อนเกินไปและบางแห่งหนาวเย็นเกินไปจนสิ่งมีชีวิตไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ ในฤดูหนาวทางตอนบนของทวีปแกนโลกจะเอียงออกห่างจากดวงอาทิตย์ทำให้หนาวเย็น ในขณะที่บริเวณเส้นศูนย์สูตรยังคงรับความร้อนจากดวงอาทิตย์ต็มๆ มวลอากาศเย็นจากตอนเหนือของทวีปตั้งแต่ไซบีเรียลงมาจะมีกำลังแรงพัดลงสู่ทางใต้สู่บริเวณเขตร้อนนำพาอากาศที่เย็นจัดลงมาด้วย ความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิระหว่างร้อนกับเย็นบนพื้นแผ่นดินมีมากกว่าน้ำทะเล เพราะแผ่นดินจะรับความร้อนได้น้อยกว่ามหาสมุทรทำให้มันมีอุณหภูมิสูงกว่ามาก มวลอากาศร้อนจัดที่ลอยตัวสูงขึ้นจะถูกแทนที่ด้วยมวลอากาศเย็นที่ทั้งเร็วและรุนแรงทำให้สิ่งมีชีวิตปรับตัวไม่ทันและถึงขั้นหนาวตาย สภาพอากาศมีความรุนแรงจากการที่โลกร้อนขึ้นสำหรับประเทศไทยทำให้ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือทวีความรุนแรงขึ้น มันจะพัดพาความเย็นจากประเทศจีนสู่ภาคเหนือและอีสานของไทย ด้วยกลไกธรรมชาติจากแผ่นดินที่ร้อนขึ้นนี้เองมวลอากาศเย็นจึงพัดมาแทนที่อากาศร้อนอย่างรุนแรงประกอบกับภาวะโลกร้อนทำให้อากาศมีความชื้นมากจาการระเหยของน้ำทะเลและแหล่งน้ำต่างๆ รวมทั้งน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเหนือ ในขณะที่กระแสน้ำอุ่นที่นำพาความชื้นไปบริเวณตอนบนของทวีปเริ่มจะชะลอตัวลงผลก็คือมวลอากาศเย็นปะทะกับความชื้นจากภาวะโลกร้อนทำให้เกิดหิมะตกหนักบริเวณต่ำลงมาใกล้เส้นศูนย์สูตรมากขึ้นบางประเทศที่ไม่เคยมีหิมะตกก็กลับมีหิมะตกสร้างความตื่นตกใจให้กับประชาชนในประเทศนั้นๆ ความรุนแรงของมรสุมทางตอนบนที่ปะทะกับความชื้นอย่างฉับพลันทำให้อุณหภูมิลดต่ำลงอย่างรวดเร็วต่ำกว่าจุดเยือกแข็งโดยบางแห่งติดลบถึง ๓๐ องศาเซลเซียส
ภาวะโลกร้อนไม่เพียงทำให้พายุทวีความรุนแรงเท่านั้น ยังทำให้ฝนตกหนัก และหิมะตกหนักอีกด้วย ปรากฏการณ์แบบสุดขั้วเริ่มมีให้เห็นมากขึ้นทั่วโลกเมื่ออุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มสูงขึ้นจากภาวะโลกร้อน ขณะที่ตอนบนเกิดพายุหิมะรุนแรง ทางใต้บริเวณใกล้เส้นศูนย์กลับประสบกับฝนตกหนักจนน้ำท่วม ภัยแล้ง และไฟป่าขั้นรุนแรง แม้ความหวังในการแก้ไขปัญหาการปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงและเกิดบ่อยครั้งขึ้นเรื่อยๆ จะดูริบหรี่จากการประชุมครั้งล่าสุดเกี่ยวกับสภาพอากาศที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เมื่อข้อตกลงของเหล่าผู้นำประเทศต่างๆ กำหนดขอบเขตที่กว้างมากจนยากแก่การจับต้องและไม่มีผลบังคับทางกฏหมายที่เป็นรูปธรรม แต่เราในฐานะมนุษย์ผู้มีส่วนร่วมในปัญหาโลกร้อนก็ควรได้ร่วมมือร่วมใจกันแก้ไขปัญหาเท่าที่กำลังจะทำได้ไปก็แล้วกัน ทัศนคติด้านบวกเป็นสิ่งสำคัญในห้วงเวลาแห่งวิกฤติ แต่ก็ควรมีความรอบคอบโดยอาศัยข้อมูลที่เป็นความจริงและเชื่อถือได้เพื่อที่เราจะไม่มาสำนึกเสียใจภายหลัง เมื่อเรามีโอกาสที่แก้ปัญหาแต่เรากลับเพิกเฉย.....
8 มกราคม 2553 07:10 น.
คีตากะ
อดีตคือสิ่งที่ผ่านพ้นไปแล้ว...อนาคตคือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง...ปัจจุบันคือสิ่งที่กำลังดำเนินต่อไป...แต่มีคนกล่าวว่าอดีต ปัจจุบัน และอนาคตคือห้วงเวลาที่กำลังเกิดขึ้นพร้อมๆ กันอยู่ทุกขณะ...แม้ข้าพเจ้าจะยังงุนงงกับปัญหาเหล่านี้และยังคงไม่มีเวลาไปคิดค้นอะไรเกี่ยวกับความต่อเนื่องของเวลาในแบบซ้อนทับกันในแนวดิ่งซึ่งมันอาจไม่ใช่เป็นแบบในแนวเส้นตรงเหมือนกับที่ข้าพเจ้าเคยเรียนมาและทุกๆคนคุ้นเคยเป็นอย่างดี ทฤษฏีที่ดูเหมือนจะอธิบายเรื่องราวของเวลาได้ดีที่สุดน่าจะเป็นของไอสไตน์ แต่พอข้าพเจ้าไปหาตำราของเขามาอ่านกลับยิ่งงวยงงมากขึ้นไปอีก ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคตของโลกและไม่อยากครุ่นคิดถึงมันมากนัก จนอยากลืมไปว่าอนาคตของโลกต่อไปจะเป็นเช่นไรพร้อมกับการหลับตาลงพักผ่อนลืมเรื่องราวทุกอย่างให้สิ้น...คุณอู๋พลันมาหาข้าพเจ้าในวันหนึ่ง...
คุณอู๋เป็นชาวไต้หวันที่มาลงทุนเปิดบริษัทในประเทศไทยนับเวลากว่า ๑๐ ปีมาแล้ว หลายครั้งที่ข้าพเจ้ามีโอกาสได้เข้าไปช่วยงานที่บริษัทผลิตน้ำมันพืชจากปาล์มของคุณอู๋ เมื่อถูกร้องขอ เราก็เป็นเสมือนพี่น้องกัน เรารู้จักกันผ่านเพื่อนๆ ที่ช่วยแนะนำให้ คุณอู๋ขับรถจากกรุงเทพฯมาพบข้าพเจ้าที่จังหวัดกาญฯในวันหนึ่งอย่างเร่งด่วน เมื่อพูดจาต้อนรับตามมารยาทแล้วคุณอู๋ก็เริ่มต้นเข้าประเด็น....
คุณคงจะพอทราบข้อมูลจากท่านอาจารย์มาบ้างแล้ว ผมจะไม่อ้อมค้อม คุณอู๋กล่าว ผมพยักหน้า คุณอู๋กล่าวต่อด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า
ผมได้เดินทางไปที่ไต้หวันและเข้าไปดูงานก่อสร้างอุโมงค์ของพวกเขา คนไต้หวันเขาตื่นตัวกว่าพวกเราเยอะ เขาจัดทำอุโมงค์เสร็จตั้งแต่ ๒ ปีที่แล้ว และบางส่วนกำลังมีการก่อสร้างเพิ่มเติม งานค่อนข้างเร่งด่วน ผมพยักหน้าเพื่อเป็นการตอบรับ
นักวิทยาศาสตร์ไต้หวันคำนวณว่าตัวเลขของระดับความสูงที่ใช้ในการก่อสร้างอุโมงค์อยู่ที่ความสูง ๑๐๐ เมตรจากระดับน้ำทะเล จึงจะปลอดภัย ประเทศไต้หวันเป็นเกาะซึ่งพวกเขาต้องเผื่อตัวเลขไว้สูงๆ เพื่อความปลอดภัยมากกว่าที่อื่นๆ คุณอู๋กล่าวเสริม
ประเทศไทยก็ติดกับทะเล ข้าพเจ้าออกความเห็น
ใช่ นั่นเองผมจึงคิดว่าผมจะใช้ตัวเลขเดียวกันกับที่ไต้หวัน ผมเปิดแผนที่พบว่าภาคอีสานเกือบทั้งหมดใช้ได้ ส่วนภาคเหนือต้องเริ่มต้นที่จังหวัดอุตรดิตขึ้นไปจึงจะปลอดภัย คุณอู๋อธิบายและกล่าวต่อ
ผมพอจะมีพื้นที่สำหรับขุดอุโมงค์แล้ว ขาดก็แต่ความรู้ด้านเทคนิคเกี่ยวกับการดำเนินงาน
เช่นอะไรครับ ข้าพเจ้าถามด้วยความสงสัย
วิธีการขุดเจาะ เครื่องจักรเครื่องมือต่างๆ เพราะผมไม่มีความรู้ทางด้านนี้ คุณอู๋ตอบและกล่าวต่อไปว่า
การจะจ้างคนอื่นทำทั้งหมดก็จะต้องใช้งบประมาณลงทุนสูงจนเกินไป เราต้องประหยัดที่สุด ข้าพเจ้ารู้สึกขบขันในใจ เพราะทราบดีว่าคุณอู๋ขึ้นชื่อเรื่องนี้เป็นที่สุด บางทีคำว่าประหยัดอาจใช้กับคุณอู๋ไม่ได้น่าจะเป็นขี้เหนียวมากกว่า ข้าพเจ้าครุ่นคิดในใจ
ผมรู้ว่าคุณทำงานเกี่ยวกับเหมืองแร่ ซึ่งน่าจะมีความรู้มากกว่าผมในเรื่องนี้ อย่างน้อยก็แนะนำให้รู้จักกับผู้เชี่ยวชาญด้านการขุดเจาะในบริษัทของคุณ คุณอู๋กล่าวแกมขอร้อง
ผมรู้จักอยู่คนหนึ่ง ชื่อพี่ชาญ ทำงานเป็นหัวหน้าฝ่ายเหมืองแร่ อยู่กับการขุดเจาะ ระเบิดมากว่า ๒๐ ปี แต่ไม่รู้ตอนนี้จะว่างหรือเปล่า คุณอู๋มากระทันหันไม่ได้บอกก่อน แต่บ้านของพี่ชาญอยู่ไม่ไกลจากนี้ นี่ก็มืดค่ำแล้ว เดี๋ยวผมจะลองไปเรียกที่บ้านดู คุณอู๋รอสักครู่ ข้าพเจ้ากล่าวพร้อมกับลุกเดินออกไป
ข้าพเจ้าพบพี่ชาญกำลังนั่งซดเหล้าอยู่หน้าบ้านกับเด็กนักศึกษาฝึกงานอยู่พอดี เลยขอเวลาแกสักครู่หนึ่ง ทั้งที่รู้ว่าบรรยากาศไม่ค่อยเหมะสมเท่าไหร่ แต่โชคดีที่แกยอมมาด้วย พี่ชาญมาถึงโต๊ะนั่งหน้าบ้านข้าพเจ้าพร้อมกับกลิ่นเหล้าคละคลุ้ง ข้าพเจ้าแนะนำให้รู้จักกับคุณอู๋ก่อนจะเริ่มเรื่องเจรจา
ถ้าเป็นพื้นหินหรือภูเขาหิน ผมพอจะแนะนำให้ได้ แต่ถ้าเป็นที่ๆเป็นดิน อันนี้ผมไม่เชี่ยวชาญครับ พี่ชาญกล่าวภายหลังจากทราบเจตนาการมาของคุณอู๋
ผมไม่มีความรู้เรื่องธรณีเสียด้วย เอาแบบนี้นะกันขอเวลาผมไปสำรวจก่อนว่าพื้นที่เป็นหินหรือดิน แล้วผมอาจจะมาขอความช่วยเหลือจากคุณ คุณอู๋กล่าว
ยินดีครับ พี่ชาญตอบด้วยอาการมึนเมาเล็กน้อยจากฤทธิ์สุรา คุณอู๋สอบถามอีกสองสามเรื่องก่อนที่พี่ชาญจะขอตัวกลับไปดวนเหล้าต่อเพราะเดี๋ยวจะขาดความต่อเนื่อง ก่อนที่อารมณ์ของแกจะไม่ดีไปกว่านี้ คุณอู๋เข้าใจสถานการณ์ดีจึงไม่ซักถามอะไรมาก
คุณอู๋คิดว่าจะสร้างอุโมงค์แบบไหน ข้าพเจ้าเริ่มซักถามด้วยความสงสัย
เงื่อนไขของเราก็คือว่า หนึ่ง อุโมงค์จะต้องอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากกว่า ๑๐๐ เมตรขึ้นไป เพื่อป้องกันน้ำทะเลท่วมถึงเมื่อน้ำแข็งขั้วโลกละลายหมด ซึ่งคาดว่าน่าจะประมาณ ๗๐ เมตร ถ้ารวมน้ำแข็งทั้งขั้วโลกเหนือและใต้ คุณอู๋หยุดเล็กน้อยจึงกล่าวต่อ
ประการที่สอง จะต้องขุดให้ลึกกว่า ๓-๖ เมตรหรือ ๑๐ เมตรจากผิวดินเพื่อป้องกันก๊าซพิษจากทะเล มลพิษทางอากาศต้องไม่สามารถซึมเข้าไปสู่ภายในอุโมงค์ได้ ไม่อย่างนั้นทุกชีวิตจะอันตราย
แล้วเราจะไม่ขาดออกซิเจนเพื่อหายใจหรือครับ ข้าพเจ้าตั้งคำถาม
เราจะต้องผลิตอากาศใช้เอง บทเรียนจากดาวอังคาร พวกเขาใช้เครื่องมือที่ทันสมัยกว่าเราในการอาศัยอยู่ใต้ดิน ก่อนที่ก๊าซพิษจะทำอันตรายพวกเขาในเวลาเพียง ๒ เดือน บางส่วนได้อพยพลงสู่ใต้ดินได้ทัน ซึ่งเป็นเพียงมนุษย์ที่รอดแค่ ๕ เปอร์เซนต์เท่านั้น สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่สูญพันธุ์ในทันที ทั้งที่ก่อนหน้าหายนะจะเกิด ได้มีการเตือนเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่มีใครรับฟังหรืออาจจะฟังแต่ก็ไม่มีใครเตรียมพร้อมอย่างจริงจัง คุณอู๋หยุดเล็กน้อยก่อนจะอธิบายต่อว่า
การอาศัยอยู่ใต้ดินเป็นเรื่องยากของมนุษย์ที่มีความสะดวกสบายทางวัตถุในยุคที่เทคโนโลยี่อำนวยความสะดวกถึงจุดสูงสุด ภายหลังจากที่มนุษย์ดาวอังคารบางส่วนหนีลงสู่ใต้ดินได้ทันก่อนช่วงเวลา ๒ เดือนแห่งการทำลายล้าง พวกเขาพบกับอุปสรรคมากมายตามมาทำให้พวกเขาลมตายมากขึ้นจาก ๕ เปอร์เซนต์ จึงเหลือเพียง ๐.๒ เปอร์เซนต์ในเวลาต่อมา
เพราะอะไรครับ ข้าพเจ้าถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
มีแก๊สบางส่วนรั่วเข้าไปในอุโมงค์ที่พวกเขาขุดเอาไว้ บางส่วนขาดแคลนอาหารและน้ำดื่ม และบางส่วนไม่สมารถปรับตัวได้ทันกับการที่ต้องอาศัยอยู่ใต้ดิน ผู้ที่เหลือรอดบางคนจึงต้องขุดลึกลงไปอีกเรื่อยๆ บางส่วนก็เจอกับดินถล่ม คุณอู๋ถอนหายใจก่อนจะกล่าวต่อว่า
ส่วนผู้ที่เหลือรอดจริงๆ ค่อนข้างฉลาดกว่า พวกเขาขุดอุโมงค์เตรียมไว้ในที่สูงน้ำท่วมไม่ถึง ลึกอย่างต่ำ ๓ เมตร และอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำใต้ดิน
ทำไมถึงต้องขุดใกล้กับแหล่งน้ำใต้ดินหล่ะครับ ข้าพเจ้าสอบถาม
เพราะพวกเขามีอุปกรณ์ที่ทันสมัยสามารถแยกก๊าซออกซิเจนที่ใช้ในการหายใจจากน้ำใต้ดิน คุณคงพอจะทราบว่า น้ำประกอบด้วยไฮโดรเจน ๒ อะตอมกับออกซิเจน ๑ อะตอม นั่นเองทำให้พวกเขามีออกซิเจนเพียงพอที่จะใช้ในการหายใจ คุณอู๋อธิบาย
เราก็เช่นเดียวกันต้องมีอุปกรณ์สำหรับผลิตออกซิเจน ประการถัดมาคือ จะต้องติดตั้งเครื่องฟอกอากาศเพื่อป้องกันก๊าซพิษรั่วซึมด้วย อุโมงค์ต้องเป็นระบบปิดน้ำและอากาศจะรั่วซึมเข้าไปไม่ได้ แต่เราก็จะต้องเตรียมการณ์ไว้ป้องกัน โดยจะต้องขุดดินทำเป็นอุโมงค์ ๒ ชั้น เพื่อป้องกันน้ำท่วมชั้นล่าง เราก็ยังอาศัยอยู่ชั้นบนได้ แต่ผมคิดว่าจะติดตั้งปั๊มเพื่อสูบน้ำเอาไว้หลายๆตัวเหมือนกับระบบของรถไฟฟ้าใต้ดินเอาไว้ด้วย คุณอู๋กล่าว
คุณอู๋จะใช้น้ำมันหรือไฟฟ้าจากไหนครับ เพราะปั๊มน้ำก็ต้องใช้ไฟฟ้าหรือเชื้อเพลิง ข้าพเจ้าถามแทรกก่อนที่คุณอู๋จะอธิบายต่อ
แน่นอนผมคิดว่าข้างบนผมจะติดตั้งแผ่นโซล่าเซล(พลังงานแสงอาทิตย์) เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์เอาไว้ด้วย หรือไม่ก็ติดกังหันลมเพื่อปั่นไฟใช้ภายในอุโมงค์ให้เพียงพอ แต่ต้องมีการวางระบบสายไฟและระบบท่อทางต่างๆให้ดี ส่วนการซ่อมบำรุง อาจจะต้องจัดเตรียมชุดป้องกันก๊าซพิษและถังออกซิเจนเพื่อใช้ในเวลาอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าข้างบนเกิดขัดข้าง ซึ่งจะได้ศึกษารายละเอียดต่อไป คุณอู๋อธิบายเสียยืดยาว
จากข้อมูลก๊าซพิษ มีเทนที่จะผุดจากทะเล มันจะใช้เวลากว่า ๑๐ ปีในการปนเปื้อนอยู่ในอากาศ ซึ่งแน่นอนมันติดไฟได้ แค่เพียงฟ้าผ่าครั้งเดียว ก๊าซมีเทนจะติดไฟระเบิด มันจะมีอานุภาพเทียบเท่ากับระเบิดนิวเคลียร์ทีเดียว บนผิวโลกจึงอันตรายมาก แต่พวกเราอยู่ใต้ดินจะไม่มีปัญหา ปัญหาคือเราจะอดทนอยู่ใต้ดินเป็นเวลาถึง ๑๐ ปีได้หรือเปล่าจะต้องตุนเสบียงทั้งอาหารและน้ำดื่มเท่าไรจึงจะพอ แต่ถ้าเราอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำใต้ดินก็จะช่วยเรื่องน้ำดื่มได้ แต่อาหาร เราคงต้องคิดหาวิธีปลูกพืชผักกินเอาเอง
ภายในใต้ดินคงไม่มีแสงอาทิตย์ พืชจะโตบโตได้หรือครับ ข้าพเจ้าถามต่อ
นั่นคือปัญหาอีกข้อหนึ่ง ชาวดาวอังคารสามารถผลิตดวงอาทิตย์ใช้เองได้ ทำให้พวกเขาสามารถปลูกพืชผักกินเองสบาย แต่เทคโนโลยี่ของมนุษย์เราอาจยังไม่ถึงขั้นนั้น เราต้องมาช่วยกันคิดอีกเยอะ เรายังพอมีเวลา ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ผมจะใช้อุโมงค์ที่ประเทศไต้หวันเป็นแบบอย่าง เพราะเขาพัฒนากว่าเราเยอะ ถ้าติดปัญหาตรงไหนผมจะบินไปดูงานเอง คุณอู๋ทำท่าเหมือนใช้สมองครุ่นคิด เสียงพูดคุยเงียบหายไปพักใหญ่ ก่อนที่ข้าพเจ้าจะตั้งคำถามทำลายความเงียบขึ้น
ผมจะช่วยอะไรได้บ้างครับ
คุณต้องช่วยประสานงาน แล้วผมจะติดต่อกลับมาอีกที วันนี้ต้องขอบคุณคุณมากที่ช่วยแนะนำข้อมูลและช่วยแนะนำคุณชาญให้ผม ผมคิดว่าอนาคตอาจจะขอความช่วยเหลือจากเขาก็ได้ คุณอู๋กล่าว
เป็นหน้าที่ผมอยู่แล้ว ข้าพเจ้ากล่าว
คุณอู๋จากไปพร้อมกับความมืดของค่ำคืนที่ยาวนาน ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อใด แต่ตอนเช้าตื่นขึ้นมาเพื่อจะที่ไปทำงานตามตามปกติ ยังคิดไปว่าเรื่องราวเมื่อคืนนี้ เป็นเพียงความฝันเท่านั้น คงเพราะกินมากมากไป นอนดึกไป ขยะในสมองก็เลยเยอะจนเก็บเอามาฝันเป็นเรื่องเป็นราว...เฮ้อนี่แหละน้า...มนุษย์
26 ธันวาคม 2552 13:22 น.
คีตากะ
บ้านของท่านอินทร์เป็นบ้านที่ทำจากไม้ไผ่ทั้งหลัง หลังคามุงด้วยหญ้าคา บ้านของท่านอยู่ลึกเข้าไปจนถึงท้ายทุ่ง บริเวณแถวนั้นล้อมรอบไปด้วยป่าไผ่และท้องทุ่งนาเรียงรายจนมองไปไกลสุดลูกหูลูกตา การที่บ้านของท่านอินทร์อยู่กระเด็นห่างออกมาจากหมู่บ้าน ทำให้บ้านของท่านเสมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก บ้านของท่านเป็นเพียงหลังเดียวที่ตั้งอยู่กลางทุ่งนา หน้าบ้านมีบ่อน้ำเล็กๆซึ่งมีดอกบัวสีชมพูบานสะพรั่ง ข้าพเจ้าจำได้ว่าสมัยตอนที่ยังเป็นเด็กอายุซักประมาณ ๑๐ ขวบเห็นจะได้ เคยติดตามยายไปเยี่ยมท่านอินทร์และครอบครัวครั้งหนึ่งและข้าพเจ้าเคยเผลอตกลงไปในสระบัวของท่าน ดีที่ข้าพเจ้าเกิดในชนบทซึ่งเต็มไปด้วยคลองคูมากมาย เคยจมน้ำมาบ่อยครั้งจนสามารถว่ายน้ำได้สบายไม่ว่าน้ำนั้นจะลึกหรือไหลเชี่ยวขนาดไหน ยังจำได้ว่าชีวิตในวัยเด็กมักชวนเพื่อนๆไปเล่นน้ำในคลองกันแทบทุกวันตอนเย็นๆ แต่ถ้าวันไหนที่เป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์พวกเด็กๆอย่างเราก็มักจะเล่นน้ำดำผุดดำว่ายกันทั้งวัน จนมืดค่ำ
หมู่บ้านนี้มีชื่อว่าหมู่บ้านหนองม่วง อาชีพส่วนใหญ่ทำนาและเลี้ยงสัตว์ พื้นที่ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยท้องทุ่ง มีต้นตาลยืนเรียงรายสลอน มีคลองส่งน้ำของกรมชลประทานตัดผ่านมาถึงหมู่บ้านของเราเป็นแห่งสุดท้าย ชาวบ้านแถวนี้ส่วนใหญ่ยากจน สมัยตอนที่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็กยังไม่มีไฟฟ้าใช้ พอโตขึ้นมาหน่อยจึงเริ่มมี แต่สมัยนั้นอุปกรณ์ไฟฟ้าเริ่มมีทีวีซึ่งยังเป็นเพียงทีวีขาวดำ ไม่เหมือนสมัยนี้ที่เจริญกว่าเก่าเยอะ ภายหลังจากที่ยายเสีย ข้าพเจ้าก็ไม่เคยมีโอกาสได้ไปเยี่ยมท่านอินทร์อีกเลย ท่านอินทร์เป็นชาวนาที่ค่อนข้างยากจนคนหนึ่ง ท่านมีภรรยาคนหนึ่งและลูกสาวอีกคนหนึ่ง ถึงท่านจะไม่มีตำแหน่งที่สำคัญอะไรภายในหมู่บ้าน แต่ท่านก็เป็นที่เคารพของชาวบ้านแถวนี้มานาน ใครมีปัญหาเรื่องใดก็มักจะเดินทางไปหาท่านให้ช่วยเหลือหรือขอคำแนะนำจากท่าน ท่านได้ชื่อว่าเป็นปราชญ์ชาวบ้าน ท่านมีเมตตาและมักช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยากเสมอๆ ตามกำลังที่ท่านจะสามารถช่วยได้ ท่านจึงมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ท่านไม่เคยรับตำแหน่งใดๆ และเงินบริจาคใดๆจากใคร แม้ชาวบ้านจะอยากให้ท่านเป็นผู้นำหรือผู้ใหญ่บ้าน หลายต่อหลายครั้งแต่ท่านมักปฏิเสธไม่ยอมลงสมัคร ท่านชอบที่อยู่แบบสันโดษและมีความสุขกับครอบครัวของท่านมากกว่า ชาวบ้านทั้งในตำบลและตำบลอื่นๆ มักจะเชิญท่านไปร่วมงานต่างๆ อยู่เสมอๆ และก็มักให้ท่านพูดปราศรัยในเรื่องต่างๆให้ฟัง ท่านจึงเป็นที่รักของชาวบ้านทั่วไป
ข้าพเจ้าหาโอกาสมานานที่อยากจะสนทนากับท่านอินทร์เป็นการส่วนตัว และไม่เคยหาโอกาสได้สักที จนเมื่อครั้งหนึ่งข้าพเจ้าตกงานและกลับมาอยู่บ้านที่ชนบทแห่งนี้ ความใฝ่ฝันของข้าพเจ้าจึงเป็นจริง ในสมัยก่อนการเดินทางไปบ้านของท่านอินทร์นั้นค่อนข้างลำบาก จำได้ว่าสมัยที่ยายยังมีชีวิตอยู่ ยายต้องลุกตื่นแต่เช้า เตรียมกับข้าวและของฝากเพื่อไปเยี่ยมเยือนท่านอินทร์ ยายเดินเท้าตามถนนซึ่งตัดผ่านทุ่ง ก่อนที่จะลงเดินลัดเลาะตามคันนาไปอีกไกลโข ใช้เวลาเดินทางถึงครึ่งวันกว่าจะถึงบ้านของท่าน ข้าพเจ้าเดินตามหลังยายผ่านคูคลองและผืนนามากมาย ก่อนที่จะถึงบ้านของท่านยังต้องเดินลัดป่าทึบเข้าไปอีกลึกทีเดียว ป่าทึบส่วนนี้เคยเป็นป่าช้าเก่า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมไม่มีใครกล้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่แถวนี้ยกเว้นท่านอินทร์ครอบครัวเดียว แต่สมัยนี้มีถนนหนทางดีขึ้น และก็เริ่มมีบ้านสองสามหลังเข้ามาปลูกอยู่ตรงชายป่าบ้างแล้ว และป่าที่เคยทึบก็เริ่มเบาบางลง กลายเป็นทุ่งหญ้าสำหรับเลี้ยงสัตว์ สมัยก่อนบ้านท่านอินทร์ไม่มีไฟฟ้าใช้และครอบครัวของท่านเป็นบ้านหลังสุดท้ายที่เพิ่งมีไฟฟ้าใช้ได้ไม่นานมานี้ เพราะทางการไฟฟ้าบอกว่ามีบ้านของท่านเพียงหลังเดียวที่อยู่ปลายสุดของถนนจึงไม่ลงทุนซื้อเสาไฟฟ้าให้ พวกเขาบอกว่าท่านอินทร์จำเป็นต้องลงทุนซื้อเสาไฟฟ้าเอง ซึ่งต้องใช้เสานับกว่า ๑๐ ต้นเรียงรายกันไป แน่นอนด้วยฐานะที่ยากจนของท่านอินทร์ ท่านจึงไม่มีเงินลงทุนและต้องอยู่ในความมืดมายาวนาน แม้ปัจจุบันเสาไฟฟ้าบริเวณทางเข้าบ้านท่านอินทร์จะมียืนเรียงรายให้เห็น พาดด้วยสายไฟระโยงระยาง แต่มันก็เป็นเพียงเสาที่ทำจากไม้ไม่ใช่เสาปูนเหมือนบ้านเรือนส่วนใหญ่ อาจเป็นเพราะบ้านของท่านอยู่ลึกจนเกินไปจากถนนหลัก แต่รู้สึกว่าตัวท่านจะไม่ค่อยรู้สึกทุกข์ร้อนอะไร ภรรยาและลูกสาวของท่านยังคงยิ้มแย้มอย่างมีความสุขทุกครั้งที่ข้าพเจ้าได้พบเห็น ซึ่งก็เป็นเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ครั้งแรกเมื่อปีกลาย ข้าพเจ้าขี่มอเตอรไซด์มาจนถึงหน้าบ้านของท่าน แต่ปรากฏว่าท่านไม่อยู่บ้านพบแต่เพียงลูกสาววัยเพียง ๙ ขวบ ข้าพเจ้าสอบถามว่าท่านอินทร์อยู่หรือเปล่า ลูกสาวตอบว่าไม่อยู่ ข้าพเจ้าจึงลังเลว่าจะกลับก่อนดีหรือจะรอท่านซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะกลับมา ไม่รู้จะทำอะไร ข้าพเจ้าก็เลยชวนลูกสาวของท่านพูดคุย โดยเริ่มต้นถามว่าท่านอินทร์ไปไหนเหรอ? ลูกสาวของท่านอินทร์วัย ๙ ขวบตอบมาดังนี้
ไม่มีใครรู้หรอกว่านักบุญท่านหนึ่งจะไปที่ไหน และจะกลับมาเวลาใด
เมื่อข้าพเจ้าได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกประหลาดใจกลับคำตอบนี้และถามต่อว่า
เพราะอะไรถึงเป็นแบบนั้น
ก็เพราะร่างกายของท่านไม่มีตัวตนอยู่จริงนาซี แม้แต่เทวดา พระอินทร์ หรือแม้แต่พระพรหม ในพรหมโลกชั้นสูงสุด ก็ยังไม่ทราบการไปมาของท่าน เด็กน้อยตอบ
แม้ข้าพเจ้าจะรู้สึกยินดีเล็กน้อยแต่ก็สอบถามเด็กน้อยต่อว่า
ท่านเป็นมนุษย์ไม่ใช่หรือทำไมไม่มีตัวตนอยู่จริงหล่ะ
ร่างกายของท่านไม่เหมือนมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ร่างกายท่านอยู่เหนือการหยั่งวัดหรือประมาณได้ เพราะอะไรหรือ? ก็เพราะนักบุญย่อมอยู่เหนือ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วนาซี เด็กตอบ
ที่ที่นักบุญไปนั้น พี่จะไปได้ด้วยหรือไม่ ข้าพเจ้าถามต่อ
เป็นเรื่องยากที่จะไปได้ เพราะถนนที่ไปนั้นมันลื่นมากจนมดสักตัวยังไม่สมารถไต่ขึ้นไปได้ มันสูงและชันมากจนมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถจะเดินทางไปถึงหรือจินตนาถึงได้ เด็กน้อยอธิบาย
แม้ข้าพเจ้าจะงุนงงและประหลาดใจกลับคำพูดที่ได้ยิน แต่ก็ถามต่อว่า
พี่มีคำถามเกี่ยวกับวันสิ้นโลกที่จะถามท่าน ไม่รู้ว่าน้องสามารถตอบได้หรือไม่ ข้าพเจ้ายิงประเด็น
มีคำตอบอยู่ในทุกคำถาม และทุกคำถามล้วนมีคำตอบ ซึ่งคำตอบนั้นก็มีมาก่อนที่จะเอ่ยปากถามด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามมีคำถามก็รีบถาม เด็กน้อยกล่าว
ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าจะสามารถเข้าใจถ้อยคำของเด็กหญิงคนนี้หรือไม่ แต่ปัญหาคาใจที่สงสัยมานาน ที่จำอุตสาห์เดินทางมาจนถึงที่นี่เพื่อหาคำตอบมันรุนแรงยิ่งกว่าที่จะรอต่อไป ข้าพเจ้าจึงถามออกไปว่า
จุดจบของมนุษยชาติจะมาถึงอีกเมื่อไร นักบุญช่วยอะไรได้บ้าง
ไม่มีจุดจบของมนุษย์ที่แท้จริง เพราะมนุษย์เป็นเพียงสังขารที่ปรุงแต่งขึ้น เป็นเพียงมายาภาพ และกาลเวลาก็เป็นเรื่องหลอกลวงไม่มีอยู่จริง สรรพสิ่งเป็นเพียงพระจิตที่เป็นอมตะแยกมาจากองค์รวมของพระผู้สร้างและจะต้องกลับไปสู่พระผู้สร้างหรือพุทธะภาวะสูงสุดอีกครั้ง เด็กน้อยหยุดชั่วขณะก่อนที่จะพูดต่อว่า
อย่างไรก็ตาม ๓ ปีต่อจากนี้จะมีการชำระล้างขยะโลกครั้งใหญ่เพื่อปรับสมดุล สิ่งมีชีวิตกว่าร้อยละ ๙๐ จะหมดหน้าที่บนโลกลง เด็กหญิงเอามือจับไม้กวาดขึ้นมาและเริ่มปัดกวาดบริเวณนั้นพร้อมกับเชิญให้ข้าพเจ้านั่งบนแคร่ไม้ไผ่ ก่อนที่เธอจะพูดต่อไปว่า
นักบุญหลายต่อหลายท่านช่วยโลกนี้ให้รอดพ้นจากภัยพิบัติมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่มนุษย์กลับไม่เคยเข้าใจและยังคงสร้างบาปกรรมไม่หยุดหย่อน เธอหยุดพูดและเดินหายไปหลังบ้านก่อนจะกลับมาพร้อมกับแก้วน้ำและชมพู่หนึ่งตะกร้า นำมันวางลงที่ตรงหน้าข้าพเจ้า ก่อนจะอธิบายด้วยน้ำเสียงสดใสต่อว่า
จนถึงขณะนี้ สวรรค์ไม่ยินยอมให้นักบุญที่มีชีวิตอยู่บนโลกช่วยเหลืออีกแล้ว มนุษย์จะต้องรับกรรมที่ตัวเองก่อ ถึงขนาดบอกให้นักบุญหยุดการเผยแพร่สัจธรรมเลยทีเดียว
ไม่มีทางแก้อีกแล้วหรือ แล้วใครจะเป็นคนที่อยู่รอด? ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นตระหนกเมื่อได้ยินคำพูดจากปากเด็กหญิงพร้อมกับคำถามที่ยังค้างคาใจ
คนที่มีระดับชั้นทางจิตวิญญาณที่สูงส่ง อยู่เหนืออำนาจของพญามาร เด็กหญิงตอบ
คงจะมีจำนวนน้อยมากๆเลย ข้าพเจ้าลงความเห็น
คนส่วนใหญ่จะต้องถูกจัดการเพื่อนำจิตวิญญาณที่เสื่อมทรามเหล่านี้เข้าสู่ขบวนการรักษาเยียวยา เพื่อทำให้มันบริสุทธิ์มากขึ้น จึงจะได้รับอนุญาตให้กลับมาใหม่ เด็กหญิงอธิบาย
ทำไมสวรรค์ไปเตือนพวกเขาก่อนที่จะจัดการกับพวกเขาหล่ะ ข้าพเจ้าพูดออกไปเพราะรู้สึกว่าสวรรค์ไม่ค่อยยุติธรรม
สวรรค์เตือนมนุษย์ครั้งแล้วครั้งเล่า ผ่านภัยพิบัติทางธรรมชาติ ผ่านโรคภัยไข้เจ็บ ผ่านสงครามต่างๆ ที่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่สามารถต่อกรได้ เธอกล่าว
แล้วโลกภายหลังจากภัยพิบัติครั้งใหญ่นี่เล่า จะเป็นอย่างไร คนที่เหลือรอดจะไม่ยิ่งแย่ไปอีกเหรอ? ข้าพเจ้ายังสงสัย
คนที่สามารถผ่านพ้นมหันตภัยครั้งนี้ไปได้ล้วนเป็นผู้ที่ถูกเลือกแล้วจากสวรรค์ สวรรค์จะดูแลอย่างดี เพื่อเป็นต้นแบบของคนยุคต่อไปซึ่งจะมีแต่ความดีงาม และจะทำให้โลกถูกยกระดับสูงขึ้นใกล้เคียงกับสวรรค์ โลกและสวรรค์จะติดต่อถึงกันได้ง่ายขึ้นเหมือนครั้งบรรพกาล เธออธิบาย
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าจะรอดหรือไม่ สวรรค์จะเลือกเราหรือไม่ ข้าพเจ้าถามต่อ
ถือศีล กินเจ ไม่เบียดเบียนสัตว์ บำเพ็ญเพียรภาวนา เธอสรุป
ข้าพเจ้านิ่งอึ้งไปพักหนึ่งเพราะรู้สึกว่ามันช่างเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะอยู่รอด พร้อมตั้งคำถามสุดท้ายว่า
พระพุทธเจ้าเคยทำนายว่ายุคสุดท้ายพระศรีอารย์จะมาตรัสรู้ เป็นความจริงหรือไม่และพระองค์มาแล้วหรือยัง?
ทุกยุคทุกสมัยล้วนมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ และเฉพาะคนที่มีบุญสัมพันธุ์กับท่านเท่านั้นจึงจะได้พบ ถ้าไม่มีบุญสัมพันธุ์ถึงได้พบก็ไม่รู้จัก เพราะพวกท่านเหล่านั้นมักจะมาในรูปลักษณะที่เปลี่ยนไปเสมอ สุดวิสัยที่ปุถุชนจะเข้าใจ เด็กหญิงกล่าว
พระศรีอารย์มาแล้ว และขณะนี้ท่านกำลังช่วยเหลือสรรพสัตว์อยู่อย่างเร่งด่วน จนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน ภายหลังภัยพิบัติทุกคนที่รอดจะทราบว่าท่านคือใคร เด็กหญิงตอบคำถามในท้ายที่สุด ข้าพเจ้ารู้สึกมึนงงและจนด้วยถ้อยคำ.....