24 กุมภาพันธ์ 2564 20:27 น.

มหาสมุทรอันอ่อนไหว....

คีตากะ

feat_5.jpg



wave-ocean-blue-sea-water-white-foam-pho





     พื้นที่ 3 ใน 4 ส่วนของโลกเป็นมหาสมุทร ปริมาณน้ำเค็มคิดเป็นร้อยละ 97 น้ำจืดในรูปน้ำแข็งขั้วโลกร้อยละ 2 และน้ำจืดตามทะเลสาบ แม่น้ำ ห้วย หนอง คลอง บึงรวมทั้งแหล่งน้ำใต้ดินอีกร้อยละ 1  ในขณะที่น้ำแข็งสีขาวเจิดจ้าที่มีหิมะปกคลุมสะท้อนความร้อนของดวงอาทิตย์กลับไปกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ มหาสมุทรสีเข้มที่เปิดโล่งกลับดูดซับรังสีจากดวงอาทิตย์ไว้ถึง 95 เปอร์เซ็นต์ หรืออาจสรุปได้ว่าเมื่อน้ำแข็งทะเลเริ่มละลายจากภาวะโลกร้อน กระบวนการนี้ก็เสริมแรงตัวมันเองอย่างรวดเร็ว ยิ่งพื้นผิวมหาสมุทรเปิดโล่งดูดซับความร้อนจากดวงอาทิตย์มากขึ้น ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น น้ำแข็งก็ยากจะก่อตัวกลับมาได้อีกในฤดูหนาวครั้งต่อไปเป็นปฏิกิริยาแบบสะท้อนกลับ ยิ่งมหาสมุทรอุ่นขึ้น น้ำแข็งก็ยิ่งละลายมากขึ้น อุณหภูมิโลกก็ยิ่งสูงขึ้น มหาสมุทรก็ยิ่งอุ่นขึ้นและจากนั้นก๊าซอาจจะถูกปล่อยออกมาจากมหาสมุทร สิ่งมีชีวิตมากมายจะได้รับพิษและเกิดการสูญพันธุ์มากมายตามมา การศึกษาแบบจำลองภูมิอากาศยังให้ผลที่ต่างกันว่า”จุดพลิกผัน(Trigger Point)” ของน้ำแข็งทะเลแห่งอาร์กติกอยู่ตรงไหน แต่สิ่งที่ทุกแบบจำลองให้ภาพสมจริงตรงกันก็คือ เมื่อโลกร้อนถึงระดับหนึ่งแล้ว พืดน้ำแข็งขั้วโลกเหนืออาจหายไปทั้งหมดอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จากข้อมูลดาวเทียมในเดือนธันวาคม 2550 บทความจากองค์การนาซ่า (NASA : Nationnal Aeronautics and Space Administratin) นักวิทยาศาสตร์ทางภูมิอากาศ ดร.เอซ เจ ซวอลลี่ ทำนายว่า ในไม่ช้านี้น้ำแข็งทั้งหมดอาจจะหายไปจากมหาสมุทรอาร์กติกในสิ้นฤดูร้อนปี 2555 รวดเร็วกว่าที่ IPCC (Intergovernmental Panel on Climate Chang หรือ คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) เคยคาดการณ์ก่อนหน้านี้เอาไว้ว่ามันจะต้องใช้เวลาอีกถึง 70 ปี (พ.ศ. 2620 หรือ ค.ศ.2077) หรือมากกว่านั้น




original_ArcticIce_03.jpg?1285967553





พื้นที่บนโลกซึ่งอ่อนไหวต่ออุณหภูมิที่สูงขึ้นฉับพลันนี้มากที่สุดและเป็นบริเวณที่น่าจะได้เห็นการผ่าน “จุดพลิกผัน” ที่สำคัญครั้งแรกคือทวีปอาร์กติก ที่นี่ อุณหภูมิปัจจุบันสูงขึ้นกว่าอัตราเฉลี่ยทั่วโลกถึงสองเท่า อลาสก้าและไซบีเรียร้อนขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ ในบริเวณเหล่านี้ปรอทสูงขึ้นแล้ว 3-4 องศาเซลเซียสในช่วงห้าสิบปีหลัง อุณหภูมิประจำวันตามภูมิภาคที่ขึ้นลงระหว่าง 20-40 องศาเซลเซียสในประเทศไทยเป็นคนละเรื่องกับอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่กล่าวถึงในเรื่องภาวะโลกร้อนที่ในสิ้นศตวรรษนี้ (ค.ศ. 2100) มีการคาดการณ์จาก IPCC ว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะขึ้นไปถึง 6 องศาเซลเซียสซึ่งเป็นระดับหายนะของโลกเลยทีเดียว และข่าวล่าสุดในเดือนกรกฎาคม ปี  2553 นี้ รายงานขององค์การนาซ่าแจ้งว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะขึ้นไปถึง 4 องศาเซลเซียสภายในอีก 10 เดือนข้างหน้า(ประมาณฤดูร้อนปี 2554) ซึ่งเร็วกว่าการคาดการณ์ใดๆทั้งหมดก่อนหน้านี้ของบรรดานักวิทยาศาสตร์ด้านโลกร้อน ผลจะทำให้ธารน้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัยอันตธานหายไปเกือบทั้งหมด แม่น้ำสายหลัก 8 สายของเอเชียซึ่งมีแหล่งต้นน้ำมาจากเทือกเขานี้จะถึงการอวสานนั่นคือ แม่น้ำโขง แม่น้ำอิรวดี แม่น้ำสาละวิน แม่น้ำคงคา แม่น้ำสินธุ แม่น้ำพรหมบุตร แม่น้ำแยงซี และแม่น้ำเหลือง ซึ่งหมายถึงแหล่งน้ำจืดสำคัญที่หล่อเลี้ยงประชากรกว่า 1,000 ล้านคนในทวีปเอเชียรวมถึงประเทศไทย จากนั้นกระบวนการทำลายตัวเองของระบบธรรมชาติจะขับเคลื่อนด้วยความเร่งแบบก้าวกระโดดเหนือการควบคุมไปสู่หายนะของโลกในไม่ช้านี้ มนุษย์จะต้องเผชิญกับโลกที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนอย่างยากจะหลีกเลี่ยง





10-wildfire-625x450.jpg





พลวัตในการขับเคลื่อนสภาพภูมิอากาศของโลกที่สำคัญอยู่ในมหาสมุทร กระแสน้ำในมหาสมุทรทำหน้าที่กระจายความร้อนจากเขตศูนย์สูตรไปยังส่วนต่างๆของโลกในรูปของกระแสน้ำอุ่นบนผิวน้ำและนำพาความเย็นจากบริเวณขั้วโลกกลับมาด้วยกระแสน้ำเย็นที่จมตัวลงเพื่อรักษาสมดุลตามระบบเทอร์โมไดนามิก ก่อเกิดเป็นสายพานมหาสมุทรที่หมุนเวียนไปไม่สิ้นสุดเสมือนระบบเครื่องจักรกลยักษ์ซึ่งเรียกว่า “สายพานยักษ์มหาสมุทร” ถ้าปราศจากระบบนี้บริเวณศูนย์สูตรจะร้อนจัดเกินไปและบริเวณขั้วโลกจะหนาวเหน็บจนเกินไป นอกจากกระแสน้ำจะช่วยกระจายอุณหภูมิแล้ว มันยังแพร่กระจายออกซิเจนและแร่ธาตุอาหารต่างๆไปยังทุกมุมโลกอีกด้วย เอื้อประโยชน์ให้กับสิ่งมีชีวิตหลากหลายสายพันธุ์ที่เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายโยงใยสัมพันธ์ต่อกันในระบบนิเวศ จนกระทั่งก๊าซเรือนกระจกที่ทำหน้าที่เป็นผ้าห่มผืนใหญ่รักษาความอบอุ่นให้แก่โลก (ถ้าหากไม่มีมันอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะมีค่าประมาณ -18 องศาเซลเซียสนั่นหมายความว่าโลกจะกลายเป็นดาวน้ำแข็ง) มีความเข้มข้นมากขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์ในช่วง 200 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO2) ในบรรยากาศมีความเข้มข้นมากขึ้นถึงหนึ่งในสามและก๊าซมีเทน(CH4)เข้มข้นมากขึ้นถึงสองเท่าตัวเมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้นอย่างรวดเร็วตามไปด้วยโดยพาะในช่วง 50 ปีหลัง ระบบกลไกตามธรรมชาติแทบทุกส่วนเกิดความแปรปรวนและเสียสมดุล แน่นอนธรรมชาติกำลังพยายามปรับตัวเองเพื่อเข้าสู่สมดุลใหม่ และนั่นอาจเป็นหายนะของสรรพชีวิตบนโลก นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าสิ่งมีชีวิตจำนวนกว่า16,000 สายพันธุ์จะสูญพันธุ์อย่างรวดเร็วกว่าก่อนหน้านี้ถึง 100 เท่า ถ้าหากไม่สามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ทัน สัตว์และพืชหลายสายพันธุ์เริ่มเกิดการสูญพันธุ์มากขึ้นเรื่อยๆ อย่างที่ทราบกันดีแล้วในปัจจุบัน





630.jpg






มหาสมุทรนำพาคลื่นลมไปพร้อมกับมันด้วย ภาวะโลกร้อนทำให้อุณหภูมิของน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น การที่มหาสมุทรสามารถดูดกลืนความร้อนได้ดีกว่าแผ่นดิน (มีค่าความจุความร้อนมากกว่า) ทำให้อุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้นช้ากว่าภาคพื้นทวีปที่เป็นแผ่นดินถึง 2 เท่าตัว การที่อุณหภูมิน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นนั้นกลายเป็นเชื้อเพลิงให้ลมมรสุม พายุ มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นด้วย นอกจากนั้นยังพบว่าพวกมันยังมีจำนวนความถี่มากขึ้น 100% มากกว่า 30 ปีที่ผ่านมา สำหรับประเทศไทยทุกปีจะเผชิญกับลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จากทะเลอันดามัน กับลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือจากตอนใต้ของจีน นอกจากนั้นยังมีพายุโซนร้อนจากทะเลจีนใต้มาเสริมอีกด้วย ความแตกต่างที่มีมากขึ้นระหว่างอุณหภูมิของท้องทะเลกับภาคพื้นดิน ทำให้ลมมรสุมทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ในฤดูหนาวที่ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือมีความรุนแรงจะก่อให้เกิดความแห้งแล้งและความหนาวเย็นในตอนบนของประเทศโดยเฉพาะภาคเหนือและภาคอีสานของไทย ในขณะที่ภาคใต้จะเผชิญอุทกภัยมากขึ้นในฤดูหนาว หากปีใดลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือรุนแรงมากกว่าปกติก็จะดันฝนไปตกบริเวณภาคใต้ตอนล่าง ประเทศมาเลเซีย และอินโดนีเซีย จนเกิดอุทกภัยตามมา ส่วนในหน้าฝนลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรง และเป็นช่วงเวลาที่บริเวณขั้วโลกทางเหนือหันเข้าหาดวงอาทิตย์หรือเป็นฤดูร้อน ประเทศไทยอยู่บนพื้นทวีปเดียวกับทางเหนือทำให้อากาศร้อนตามไปด้วย ส่งผลให้น้ำทะเลเกิดการระเหยอย่างรวดเร็ว รวมตัวกันเป็นความชื้นนำพาฝนมาตกในประเทศ นอกจากนั้นมรสุมที่รุนแรงขึ้นยังทำให้ทะเลฝั่งอันดามันมีคลื่นสูงขึ้นประมาณ 3-5 เมตรซึ่งสูงกว่าแต่ก่อนและแนวชายฝั่งทะเลยาวประมาณ 2,667 กิโลเมตรของไทยก็กำลังถูกกัดเซาะในอัตราที่รุนแรงมากขึ้นอีกด้วย ลมร้อนจากภาคพื้นทวีปจะลอยตัวสูงขึ้น ดึงดูดให้ลมเย็นกว่าและชื้นจากทะเลเข้ามาแทนที่ก่อให้เกิดฝนตกหนักในบางพื้นที่ พบว่าจากภาวะโลกร้อนฝนจะตกหนักและทิ้งช่วงยาวนานทำให้อากาศร้อนอบอ้าวในฤดูฝน ปริมาณฝนในฤดูฝนจะลดลง และในฤดูหนาวจะมีฝนตกมากขึ้น แต่โดยภาพรวมปริมาณฝนจะลดลง บางพื้นที่อาจลดลงถึง 70% ทำให้พื้นที่ทางการเกษตรได้รับความเสียหาย ราคาสิ้นค้าทางการเกษตรสูงขึ้นและเกิดความขาดแคลนอาหารตามมาในอนาคต เกิดปัญหาด้านเศรฐกิจ สังคมขั้นรุนแรงตามมา





2008-01-09_181638_%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%





ช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมาเกิดความแห้งแล้งอย่างหนัก ผลจากปรากฏการเอลนิโญ เมื่อกระแสน้ำเย็นพัดเข้ามาบริเวณแปซิฟิกฝั่งตะวันตกรวมทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กระแสน้ำเย็นนำพาความแห้งแล้งมาสู่บริเวณภูมิภาคนี้ ในทางตรงกันข้ามกระแสน้ำอุ่นนำพาความชื้นและฝนไปสู่แปซิฟิกฝั่งตะวันออกบริเวณตะวันตกของอเมริกาใต้ก่อให้เกิดฝนตกหนัก น้ำป่าไหลหลากและดินถล่มในหลายประเทศ เช่น เปรู บราซิล อาร์เจนติน่า นอกจากภัยแล้งแล้วประเทศไทยยังต้องเผชิญกับพายุฤดูร้อนบ่อยครั้งขึ้นบ้านเรือนได้รับความเสียหายและคลื่นความร้อนที่รุนแรงกว่าปีใดๆที่ผ่านมาคร่าชีวิตผู้คนแล้วหลายสิบรายจากโรคลมแดด โดยเฉพาะประเทศเพื่อบ้านอย่างพม่าอุณหภูมิฤดูร้อนที่ผ่านมาสูงถึง 45 องศาเซลเซียส แต่ปรากฏการณ์ที่สร้างความตึงเครียดให้กับประเทศอย่างแท้จริงในแง่สัญลักษณ์คือปรากกฏการณ์ที่แม่น้ำโขงแห้งขอดผิดปกติกว่าทุกปีส่งผลให้การประมงชายฝั่งและพื้นที่การเกษตรที่ต้องพึ่งพาสายน้ำนี้ได้รับความเสียหายจำนวนมาก ส่วนหนึ่งมาจากรูปแบบการตกของฝนที่เปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือปริมาณฝนลดลงอย่างเห็นได้ชัด ธารน้ำแข็งอันเป็นแหล่งต้นน้ำละลายเหลือน้อยลง อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 40 องศาเซลเซียส ยังทำให้น้ำในแม่น้ำสาขาลำคลองต่างๆเกิดการระเหยไปอย่างรวดเร็วจนแห้งขอด ประกอบกับความต้องการน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นในภาคการเกษตรและการแย่งชิงทรัพยากรน้ำจากประเทศเพื่อนบ้านอีกส่วนหนึ่ง ภายหลังจากการเกิดภัยพิบัติน้ำท่วมในปีที่ผ่านมาประกอบกับภัยแล้งที่รุนแรงขึ้น พืชผลการเกษตรได้รับความเสียหายจำนวนมาก จนส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เกษตรกรจึงเร่งเพาะปลูกมากขึ้นและใช้น้ำมากขึ้นตามไปด้วยโดยเฉพาะการทำนาถึง 3 รอบต่อปี ทำให้ระดับน้ำสำรองในเขื่อนแทบทุกแห่งต่ำกว่าทุกปีโดยส่วนใหญ่มีน้ำเหลือไม่ถึง 50% ข่าวล่าสุดเผยให้เห็นว่าธารน้ำแข็งอันเป็นแหล่งต้นน้ำหลักของแม่น้ำหลายสายของเอเชียบนเทือกเขาหิมาลัยและเป็นเสมือนกำแพงกั้นน้ำกำลังละลายอย่างรวดเร็วจนเกิดหินดินโคลนถล่มน้ำไหลท่วมพื้นที่ของประเทศภูฏานและบริเวณใกล้เคียง แน่นอนการขาดแคลนแหล่งน้ำจืดกำลังรอคอยอยู่ในวันข้างหน้าสำหรับประเทศที่ต้องพึ่งพาสายน้ำเหล่านี้ ในขณะที่การทำฝนเทียมในประเทศก็เป็นไปอย่างยากลำบากเพราะอากาศที่แห้งแล้งจัด ปราศจากความชื้นในอากาศ ในฤดูร้อนที่ผ่านมา ไฟป่าและหมอกควันไฟทางภาคเหนือจึงทวีความรุนแรงมากขึ้นส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงโดยเฉพาะโรคระบบทางเดินหายใจ นี่เป็นเพียงผลพวงจากภาวะโลกร้อนที่เห็นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นเท่านั้นซึ่งกำลังขับเคลื่อนประเทศในเขตร้อนไปสู่ดินแดนที่เป็นทะเลทรายอันแห้งแล้ง





31261_388586830734_127148635734_4136771_




รายงานข่าวพบว่าผลจากภาวะโลกร้อนต่อประเทศไทยที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดอีกปรากฏการณ์หนึ่งคือ “การฟอกขาวของปะการัง” ทั้งในทะเลฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามันจากการสำรวจในฤดูร้อนปี 2553 พบว่าเกิดเหตุการณ์ปะการังฟอกขาวแล้วประมาณ 60-70 เปอร์เซ็นต์ แนวปะการังคือโครงสร้างภายนอกที่เป็นผลงานของสัตว์ปะการังเล็กๆนับล้านตัว ที่หลั่งสารแคลเซียมคาร์บอเนตเข้าไปในกิ่ง ใบ และทรงกลมของปะการัง ส่วนประกอบเหล่านี้รวมตัวกันหลายพันปีจนกลายเป็นพืดหิน ในสัตว์ปะการังมีสาหร่าย ซึ่งเป็นพืชเล็กๆที่อาศัยอย่างพึ่งพากันและกันกับสัตว์ที่เป็นเจ้าบ้าน ทั้งสองฝ่ายต่างได้ประโยชน์ ปะการังได้น้ำตาลซึ่งสาหร่ายสังเคราะห์แสงได้(โดยเปลี่ยนให้มันเป็นพลังงาน) ขณะที่สาหร่ายได้รับสารอาหารจากของเสียที่ปะการังขับออกมา แต่ความสัมพันธ์อันสนิทสนมนี้จะดำเนินต่อไปได้ต่อเมื่อมีสภาวะใต้น้ำที่เหมาะสม เมื่อใดที่อุณหภูมิสูงเกินต้านทานของปะการังที่ 30 องศาเซลเซียส ปะการังจะเกิดความเครียดและสาหร่ายก็จะถูกขับออกไป ปะการังจะสีซีดจางลงหรือฟอกขาว ปะการังที่ถูก “ฟอกขาว” ก็จะตายหากน้ำเย็นไม่กลับคืนมาอย่างรวดเร็ว นี่คือหายนะของความหลากหลายทางชีวภาพในระดับที่เกือบจะประมาณค่าไม่ได้ เป็นรองก็แต่เพียงป่าฝนในแง่ของความมีชีวิตชีวาและความหลากหลายของชีวิตที่มันโอบอุ้มอยู่ แนวปะการังทั่วโลกคือแหล่งพักพิงและแหล่งอาหารของสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรถึงหนึ่งในสาม รวมทั้งปลา 4,000 ชนิดด้วย





p3.jpg




การทำประมงที่มากเกินไป การปล่อยน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมในเขตนิคมอุตาสหกรรม และโรงงานที่อยู่ใกล้แหล่งแม่น้ำสายสำคัญที่ไหลลงสู่ทะเล การทิ้งขยะมูลฝอยลงทะเล การใช้สารเคมีในภาคการเกษตร ตลอดจนของเสียจากภาคการปศุสัตว์ กำลังคุมคามท้องทะเลของไทยมากขึ้น ท้องทะเลอันเป็นแหล่งควบคุมวัฏจักรของออกซิเจนและคาร์บอน มันคือแหล่งผลิตออกซิเจนรายใหญ่ของโลกถึงกว่า 90% มาจากสาหร่าย แพลงก์ตอนพืชและพืชทะเล ขณะที่ท้องทะเลเป็นแหล่งกำจัดคาร์บอนส่วนเกินจากบรรยากาศรายใหญ่เช่นกัน ปริมาณคาร์บอนถึง 93% ถูกสะสมอยู่ในมหาสมุทร ในรูปสารละลาย เปลือกหินปูนของพืชและสัตว์ทะเล ซากฟอสซิลก้นทะเล เช่น น้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ และน้ำแข็งแห้งมีเทน แคลเซียมคาร์บอเนตและชอร์ค ก่อนที่จะมีการคืนคาร์บอนกลับสู่วัฏจักรตามธรรมชาติอีกครั้งจากการระเบิดของภูเขาไฟ การแพร่โดยตรงจากการละลาย การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและความดันตามธรรมชาติ และการหมุนเวียนของกระแสน้ำ แต่มนุษย์ก็เข้าไปมีส่วนในการทำลายระบบสมดุลตามธรรมชาติ ด้วยการขุดเจาะเชื้อเพลิงฟอสซิลเหล่านั้นขึ้นมาใช้ในการสร้างพลังงานให้กับตน นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของภาคอุตสาหกรรม อันเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปอย่างรวดเร็ว ที่เลวร้ายกว่าการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลคือการทำลายป่ามากขึ้น การใช้ที่ดินมากขึ้นสำหรับการเกษตรและปศุสัตว์ การเลี้ยงสัตว์และทำนาถูกมองว่าเป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อนในช่วงหลังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นต้นมา เพราะมันเป็นแหล่งผลิตก๊าซมีเทน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และไนตรัสออกไซด์ ที่ใหญ่ที่สุดจากกิจกรรมของมนุษย์ มากกว่าการขนส่งทั้งโลกรวมกัน เฉพาะภาคอุตสาหกรรมการปศุสัตว์ทั้งระบบ ตั้งแต่ การทำลายป่าเพื่อใช้ที่ดินทำฟาร์ม ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์และเพาะปลูกพืชอาหารสัตว์ เช่น ข้าว ข้าวโพด ถั่วเหลือง ฯลฯ โรงงานผลิตเนื้อและนม ตลอดจนการขนส่งและการแช่แข็งเนื้อสัตว์ สามารถผลิตก๊าซเรือนกระจกมากถึง 51% นักวิทยาศาตร์ที่ศึกษาเรื่องการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศหรือภาวะโลกร้อนส่วนใหญ่ มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในฐานะที่เป็นตัวการทำให้เกิดภาวะโลกร้อนในปัจจุบันซึ่งจำกัดไปที่การลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลลงเป็นหลัก โดยมองข้ามวิกฤตทางภูมิอากาศเฉพาะหน้าที่ต้องเร่งแก้ปัญหาก๊าซเรือนกระจกตัวการสำคัญที่รุนแรงกว่าเพื่อซื้อเวลาเอาไว้ก่อน นั่นคือก๊าซมีเทน ซึ่งแหล่งใหญ่ที่สุดของมันมาจากภาคการปศุสัตว์ถึง 37% สำหรับประเทศไทยการปศุสัตว์ยังมองไม่เห็นภาพชัดเจนมากนัก เพราะยังไม่ถึงกับเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศเหมือนประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา ยุโรปหรือออสเตรเลีย แต่ความต้องการการบริโภคเนื้อสัตว์ที่มีเพิ่มมากขึ้นจากการค้าแบบระบบเฟรนไชน์ข้ามชาติและอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ยักษ์ใหญ่ ทำให้ตลาดอาหารประเภทเนื้อสัตว์กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆภายในประเทศจากวัฒนธรรมการบริโภคและไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคภายในประเทศ





s12-161.jpg





คาร์บอนไดออกไซด์เป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีความสำคัญที่ทำให้โลกร้อน แต่เหตุที่มันมีอายุยืนยาวหลายร้อยปีในบรรยากาศ ทำให้เรามีเวลาในการจัดการกับมันอีกมาก เช่น การเปลี่ยนแปลงการใช้พลังงานแบบยั่งยืน อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานคลื่น พลังงานนิวเคลียร์ ในขณะที่ก๊าซมีเทนซึ่งมีอายุเพียงแค่ประมาณ 10 ปีแต่มีความรุนแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 72 เท่าในการทำให้โลกร้อนขึ้นเมื่อเทียบกันในช่วงเวลา 20 ปี (20 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกันใน 100 ปี) ทำให้ก๊าซเรือนกระจกอายุสั้นอย่างมีเทนกลายเป็นปัญหาเร่งด่วนสำหรับเราในช่วงเวลาไม่ถึง 20 ปีข้างหน้านี้ซึ่งความจริงโลกนี้อาจมีเวลาอีกไม่มากนักเพื่อการแก้ไขปัญหาอุณหภูมิของโลกที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วกว่ายุคใดในอดีต ก่อนที่ภาวะโลกร้อนจะข้ามเส้นอันตรายจนไม่สามารถย้อนกลับและควบคุมอะไรไม่ได้อีกนั้น การลดการปล่อยก๊าซมีเทนอย่างเร่งด่วนคือคำตอบของปัญหา ณ เวลาขณะนี้ไม่ใช่คาร์บอนไดออกไซด์ Noam Mohr นักฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา กล่าวว่าภาวะโลกร้อนเป็นผลมาจากคาร์บอนไดออกไซด์ 40% อีก 60% มาจากมีเทน นอกจากนั้นยังไม่มีคำอธิบายชัดเจนนักในเรื่อง”แอโรซอลหรือละอองลอยซัลเฟต (aerosol)” ส่วนใหญ่คือซัลเฟอร์ไดออกไซด์และอนุภาคที่ปลดปล่อยมาจากไฟ ที่เป็นผลมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล นอกจากมันจะเป็นกลุ่มหมอกควันมลพิษสำหรับสุขภาพแล้ว แอโรซอลยังมีผลในการทำให้โลกเย็นลงอีกด้วย กล่าวคือ เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ จะมีกำมะถันหรือซัลเฟอร์ปะปนอยู่ตามธรรมชาติ เมื่อเชื้อเพลิงเหล่านี้ถูกเผาไหม้เพื่อใช้เป็นพลังงานผลพลอยได้จากการเผาไหม้จะได้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งมีผลทำให้โลกร้อนขึ้นและแอโรซอลซึ่งมีผลทำให้โลกเย็นลงด้วยการสะท้อนแสงอาทิตย์ออกไป ดร.เจมส์ เฮนสัน สุดยอดนักวิทยาศาสตร์ทางภูมิอากาศของนาซ่า ได้เสนอว่าผลของการเผาไหม้เชื้อซากดึกดำบรรพ์คือ CO2 และละอองลอยเฟตซัลหรือแอโรซอลจะหักล้างกันเป็นส่วนใหญ่ ทำให้การร้อนขึ้นในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาเกิดจากก๊าซเรือนกระจกที่ไม่ใช่ CO2 ในขณะที่ประเทศกำลังรณรงค์เพื่อการหยุดภาวะโลกร้อนในปัจจุบันในทิศทางที่ขาดความเข้าใจที่แท้จริง ทำให้ปัญหายังคงไมได้รับการแก้ไข อาทิ การพยายามลดคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาขยะ จึงชักชวนกันลดขยะโดยการเปลี่ยนจากการใช้ถุงพลาสติกมาใช้ถุงผ้าแทนหรือการลดละการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลหรือพยายามควบคุมการใช้พวก ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ โดยมิได้ศึกษาถึงต้นตอของปัญหาที่แท้จริงทำให้การแก้ไขปัญหาเดินไปผิดทางและท้ายที่สุดก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลยในระยะสั้นก่อนจะถึงจุดวิกฤตทางภูมิอากาศในไม่ช้านี้ ถ้าคุณตกเป็นเครือข่ายของผู้บริโภคเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์เคี้ยวเอื้องทั้งหลายที่ในกระเพาะเป็นแหล่งหมักก๊าซมีเทนอย่างดี คุณก็คือผู้หนึ่งที่มีส่วนทำให้โลกร้อนขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย การลดความต้องการบริโภคลงจะทำให้การผลิตเนื้อสัตว์ลดลงตามกลไกทางการตลาดเรื่องอุปสงค์-อุปทาน(Demand and Supply) การหันมาทานพืชผักผลไม้หรือเป็นมังสวิรัติแทนการบริโภคเนื้อสัตว์จะสามารถลดภาวะโลกร้อนได้มากถึง 80% ไม่มีวิธีใดที่จะทรงพลังหรือมีประสิทธิภาพมากกว่านี้และต้นทุนต่ำกว่าวิธีนี้อีกแล้ว นอกจากนั้นการหยุดการตัดไม้ทำลายป่าและหันมาปลูกแทนจะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพรองลงมา ด้วยวิธีการง่ายๆ 2 วิธีเท่านั้นถ้าหากประชาชนของทุกประเทศสามารถตระหนักและร่วมมือกันปฏิบัติ ปัญหาโลกร้อนจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไปสำหรับมวลมนุษยชาติและสิ่งมีชีวิตอื่นๆอย่างแน่นอน... 





793_1.jpg





ปริมาณฝนที่เปลี่ยนแปลงไป อากาศที่ร้อนหรือหนาวสุดขั้ว ทำให้พื้นที่ทางการเกษตรมากมายได้รับความเสียหายเกิดการขาดแคลนอาหารตามมา อากาศร้อนชื้นยังก่อให้เกิดโรคติดต่อร้ายแรงต่อคน พืช และสัตว์ ตามมาส่งผลต่อสุขภาพอีกด้วย ข่าวล่าสุดอากาศร้อนขึ้นทำให้ไก่ไม่ออกไข่ส่งผลให้ปริมาณไข่ไก่ในตลาดลดลงอย่างมากราคาจึงเพิ่มสูงขึ้น บางพื้นที่เกิดเชื้อโรคร้ายแรงคร่าชีวิตสุกรไปจำนวนมาก นอกจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 และไข้หวัดนกที่มักระบาดเป็นระลอกๆอยู่แล้วในประเทศ ข้าวและพืชผลทางการเกษตรยังต้องเผชิญกับศัตรูพืช เช่น เพรี้ยกระโดด แมลงต่างๆกัดกินจนเสียหายนอกจากการขาดแคลนน้ำในการทำการเกษตรยามแล้ง ภัยพิบัติต่างๆมากมายบนโลกเกิดบ่อยครั้งขึ้นในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภาวะโลกร้อนได้ส่งสัญญาณเตือนภัยต่อมนุษย์อย่างต่อเนื่องและทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ การละลายของน้ำแข็งบริเวณอาร์กติกและกรีนแลนด์ที่เพิ่มขึ้นถึง 200-400% อุณหภูมิทวีปอาร์ติกสูงสุดในรอบเกือบ 80 ปี ทำให้น้ำจืดปริมาณมหาศาลไหลลงสู่ทะเล ลดความเค็มของน้ำทะเลลงทำให้มันระเหยได้ง่ายยิ่งขึ้นเพราะความหนาแน่นลดลง ส่งผลให้ฝนหรือหิมะตกหนักในทวีปทางเหนือ นอกจากนั้นน้ำจืดปริมาณมหาศาลเมื่อผสมกับน้ำเค็มในมหาสมุทรทางตอนเหนือจนเจือจาง ความเค็มลดลงจะไม่สามารถจมตัวลงได้ทำให้กระแสน้ำอุ่นที่ไหลมาจากเขตร้อนบริเวณศูนย์สูตรชะลอตัวหรืออาจหยุดชะงักทันทีเนื่องจากระบบกระแสน้ำขัดข้องไม่เกิดการหมุนเวียนตามกลไกของมัน จะส่งผลกระทบต่อระบบทางภูมิอากาศ ระบบนิเวศน์ทางทะเลทั่วโลกอย่างรุนแรง นอกจากนั้นเมื่อมีน้ำเย็นไหลลงมาจากขั้วโลกเหนือแทนที่น้ำอุ่นมากขึ้น(บริเวณผิวน้ำด้านบน) จะทำให้น้ำทะเลเย็นลงหากไหลมาจนถึงบริเวณเส้นศูนย์สูตรจะสามารถส่งผลกระทบในวงกว้างต่อทุกภูมิภาคของโลกในช่วงเวลานั้น บริเวณยุโรปและอเมริกาอุณหภูมิอาจลดลงทันทีถึง 8 องศาเซลเซียส ในฤดูหนาวอาจเกิดหิมะตกหนักอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนรวมทั้งประเทศที่ไม่เคยมีหิมะตกมาก่อนก็สามารถเกิดขึ้นได้ เมื่อระบบการไหลเวียนของกระแสน้ำหยุดชะงักลงอุณหภูมิระหว่างขั้วโลกและเขตศูนย์สูตรจะแตกต่างกันมากนั่นจะส่งผลต่อลมมรสุมและพายุจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นหลายเท่าตัว ระบบภูมิอากาศจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างที่เราไม่เคยพบเจอมาก่อน สัตว์และพืชทะเลจะขาดออกซิเจนและอาหารเมื่อกระแสน้ำหยุดไหลเวียนลง การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อแบคทีเรียจำพวกไม่ใช้ออกซิเจนเร่งการผลิตก๊าซไข่เน่าหรือไฮโดรเจนซัลไฟด์(H2S) จากซากพืชซากสัตว์ที่เน่าเปื่อยในน้ำนิ่งอย่างรวดเร็วในระดับลึกของมหาสมุทรจนน้ำกลายเป็นสีชมพู สารพิษที่รุนแรงระดับไซยาไนด์ที่เข้มข้นในชั่วเวลาสั้นๆ นี้(กลิ่นเหมือนไข่เน่า) หากถูกปลดปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศจะทำลายสัตว์ไม่ให้เหลือชีวิตรอดได้ไม่ว่าในสถานที่ใดๆ ปฏิกิริยาสะท้อนกลับจากภาวะโลกร้อนจะเป็นตัวเร่งภัยพิบัติต่างๆให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนนักวิทยาศาสตร์คาดไม่ถึงและแบบจำลองทางภูมิอากาศไม่สามารถทำนายผลของมันได้ วงจรสะท้อนกลับนี้เริ่มต้นจากทะเลน้ำแข็งอาร์กติกเมื่อธารน้ำแข็งบนแผ่นดิน น้ำแข็งในทะเล ทะเลสาบและพื้นที่ชุ่มน้ำ รวมถึงไหล่ทวีปเกิดการละลายจากอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นเพราะผลจากภาวะเรือนกระจกจากกิจกรรมของมนุษย์ ทำให้ชั้นดินเยือกแข็งคงตัว (Permafrost) อันเป็นแหล่งกักเก็บก๊าซมีเทนและคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณมหาศาล ประมาณว่ามีมีเทนถึง 400,000 ล้านตันบริเวณไซบีเรีย โดยในปี ค.ศ.2004 ก๊าซมีเทนนับพันล้านตันถูกปลดปล่อยสู่บรรยากาศจากทวีปอาร์กติกและไซบีเรียจากการละลายของชั้นดินเยือกแข็งคงตัวทำให้อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น 2 องศาเซลเซียสและตรวจพบความเข้มข้นของมีเทนถึง 25 เท่าในบรรยากาศบริเวณดังกล่าว ทำให้นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศต่างหันมาสนใจ”น้ำแข็งแห้งมีเทน” หรือมีเทนไฮเดรต หรือมีเทนก้อนหรือมีเทนแข็ง บ้างก็เรียกว่าน้ำแข็งไฟ (Methane Hydrate or Methane Clathrate) กันมากขึ้น เมื่อซากสิ่งมีชีวิตเกิดการทับถมกันนับล้านปีกลายเป็นอินทรีสารหรือคาร์บอนอินทรี แบคทีเรียที่ใช้ออกซิเจน(Aerobic bacteria) จะย่อยสลายมันกลายเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ มีคาร์บอนไดออกไซด์ไฮเดรตบนดาวอังคาร ส่วนบนโลกไฮเดรตส่วนใหญ่เต็มไปด้วยมีเทน เกิดจากแบคทีเรียที่ไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic bacteria) ย่อยสลายซากสิ่งมีชีวิต ถ้ามีเทนถูกผลิตเร็วพอ มีเทนบางส่วนจะแข็งเป็นน้ำแข็งแห้งมีเทนหรือมีเทนไฮเดรต น้ำแข็งแห้งมีเทนจะถูกสะสมอยู่ในแนวตะกอนใต้พื้นมหาสมุทรที่ระดับความลึก 300-500 เมตร (200 เมตรที่ทะเลอาร์กติก)ณ ที่อุณหภูมิต่ำและความกดดันสูง ประมาณการณ์ว่ามีน้ำแข็งแห้งมีเทนในมหาสมุทรปริมาณ 2-20 ล้านล้านตันกระจายอยู่ทั่วโลก เช่น ทะเลอาร์ติก อ่าวเม็กซิโก น้ำแข็งแห้งมีเทนที่เกิดในทวีปจะถูกกักเก็บอยู่ในหินทรายและหินทรายแป้งที่ ความลึกน้อยกว่า 800 เมตร กระบวนการเกิดเกิดจากอุณหภูมิที่เหมาะสมกับการย่อยสลายจากแบคทีเรียที่ช่วยแยกก๊าซออกจากสารไฮโดรคาร์บอนที่หนักกว่า ในพื้นทวีปพบบริเวณ อลาสก้า ไซบีเรีย และตอนเหนือของแคนาดา น้ำแข็งแห้งมีเทนอยู่ในรูปของแข็งสามารถลอยน้ำได้เหมือนก้อนน้ำแข็ง และจะเปลี่ยนสถานะเป็นก๊าซเข้าสู่บรรยากาศได้ทันทีถ้าน้ำทะเลอุ่นขึ้น 5-7 องศาเซลเซียสหรือเกิดการลดความดันในบริเวณที่ถูกสะสมอยู่ เช่น การเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก การละลายของชั้นดินเยือกแข็งใต้ทะเลสาบ บริเวณน้ำท่วมถึงหรือหิมะละลาย นอกจากนั้นบนภาคพื้นทวีปการสะสมของถ่านหินเลนจากซากพืชอาจจะเป็นแหล่งมีเทนที่เทียบได้กับน้ำแข็งแห้งมีเทนใต้ชั้นดินเยือกแข็งคงตัวที่กำลังละลาย ถ่านหินเลนที่ถูกทำให้แข็งมามากกว่าหนึ่งพันปี ยังคงรักษาประชากรของแบคทีเรียซึ่งจะเปลี่ยนมันให้เป็นคาร์บอนไดออกไซด์และมีเทน น้ำแข็งแห้งมีเทนถูกทำนายว่ากำลังละลายอย่างช้าๆตามอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ตามที่รายงานจากสถาบันแห่งภาคชีววิทยาอาร์คติก มหาวิทยาลัยอลาสก้า แฟร์แบงค์ ดร.เคธี่ วอลเธอร์ ได้แถลงว่า ก๊าซมีเทน ก๊าซเรือนกระจก เวลานี้ได้ถูกปล่อยออกมาจากชั้นพื้นดินที่แข็งตัว(Permafrost) ของอาร์กติก และเกิดเป็นฟองผุดขึ้นผ่านทะเลสาบต่างๆ เป็นการเร่งภาวะโลกร้อนในวิถีทางที่ไม่ได้รับการอธิบายไว้ในเวลานี้ การค้นคว้าโดย ดร.เกรกอรี่ ริซกิ้น มหาวิทยาลัยนอร์ธเวสต์เทิร์น ระบุไว้ว่า การปะทุขึ้นมาของก๊าซมีเทนจากมหาสมุทร เป็นสาเหตุการสูญพันธุ์ 90% ของสิ่งมีชีวิตทางทะเล และ 75% ของสิ่งมีชีวิตบนบก เมื่อ 250 ล้านปีก่อน 




%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%81%E0%






ปี 2553 เกิดแผ่นดินไหว 7 ริกเตอร์กรุงเปอร์โตแปงก์ ประเทศเฮติ รุนแรงสุดในรอบร้อยปี คร่าชีวิตประชาชนชาวเมืองนับแสนรายผู้คนจำนวนมากไร้ที่อยู่อาศัย ตามมาด้วยแผ่นดินไหวประเทศชิลีและเกิดคลื่นยักษ์สึนามิคร่าชีวิตไปหลายราย หิมะตกหนักในสหรัฐ ยุโรปและจีนสัตว์เลี้ยงจำนวนมากตายใต้กองหิมะ การจราจรเป็นอัมพาต สนามบินถูกปิด ขณะที่อเมริกาใต้เกิดฝนตกหนักจนน้ำท่วมในหลายประเทศ ปรากฏการเอลนีโญทำให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประสบภัยแล้งขั้นรุนแรง แม่น้ำหลายสายแห้งขอดพืชผลทางการเกษตรเสียหายจำนวนมาก เกิดไฟป่าและหมอกควันไปทั่วภาคเหนือและอีสานของไทยประชาชนได้รับผลกระทบต่อสุขภาพอย่างหนัก คลื่นความร้อนโจมตีประเทศไทย พม่า อินเดีย จีน ฯลฯ อุณหภูมิขึ้นไปถึง 45 องศาเซลเซียส คนเสียชีวิตจากโรคลมแดดหลายราย พายุทรายจากมองโกเลียในพัดถล่มเมืองปักกิ่งของจีนทัศนวิสัยเลวร้าย การจราจรหยุดชะงัก ประชาชนเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ น้ำท่วมหนักในจีนประชาชนนับร้อยเสียชีวิตและอีกจำนวนมากต้องอพยพหนี ฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันญี่ปุ่นถูกน้ำท่วมหนักกว่าครึ่งประเทศรวมทั้งฟิลิปินล์ เกิดแผ่นดินไหวซ้ำหลายระลอกบริเวณวงแหวนไฟรอบมหาสมุทรแปซิฟิกมีการเตือนภัยสึนามิและถูกยกเลิกสร้างความหวาดวิตกให้กับประชนในพื้นที่ คลื่นความร้อนจู่โจมประเทศเมืองหนาวตั้งแต่ แคนาดา สหรัฐอเมริกา และยุโรปหลายประเทศ บางพื้นที่อุณหภูมิสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส......ฯลฯ สถานการณ์ภัยพิบัติจากภาวะโลกร้อนทั้งที่เป็นผลจากทางตรงและทางอ้อม ทางอ้อมอย่างเช่นการเกิดแผ่นดินไหว จากการเก็บสถิตินักวิทยาศาสตร์พบว่าแผ่นดินไหวและสึนามิจะเกิดถี่ขึ้นขณะที่น้ำแข็งกำลังละลายเพราะน้ำแข็งปริมาณมหาศาลที่เคยกดทับภาคพื้นทวีปอยู่เกิดการละลายทำให้แผ่นเปลือกโลกปลดปล่อยแรงดันหรือพลังงานออกมาโดยการเคลื่อนตัว นอกจากนั้นปริมาณน้ำจืดที่เพิ่มมากขึ้นในมหาสมุทรจะไปรวมกันอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดก่อนนั่นคือบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกขณะที่โลกกำลังหมุนรอบตัวเองนอกจากนั้นยังมีผลจากแรงโน้มถ่วงจากดวงจันทร์และดาวดวงอื่นๆบริเวณใกล้เคียงรวมทั้งดวงอาทิตย์ ส่งผลให้โลกเสียสมดุลและต้องปรับเข้าหาสมดุลใหม่ทำให้เกิดการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกและแกนโลกด้วย หรือการปะทุของภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็งที่ไอซ์แลนด์เป็นต้น ทำให้เรารู้ว่าสถานการณ์โลกร้อนกำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆในปัจจุบัน ระดับน้ำทะเลกำลังเพิ่มสูงขึ้น เมืองตามแนวชายฝั่งทะเลที่อยู่ห่างจากฝั่งน้อยกว่า 200 ไมล์ต้องเตรียมแผนรองรับอย่างเร่งด่วนรวมทั้งประเทศไทย ปฏิกิริยาสะท้อนกลับของภาวะโลกร้อนที่เสริมแรงตัวเองให้ทวีคูณมากยิ่งขึ้นจนอาจถึงขั้นก้าวกระโดดทำให้การคำนวณ การคาดการณ์ การทำนายโดยใช้แบบจำลองทางวิทยาศาสตร์เกิดความผิดพลาดได้ง่าย ปัจจัยหรือตัวแปรหลายอย่างยังไม่ได้นำเข้ามาใช้ในการคำนวณ ทำให้ผลที่ได้รับออกมาเป็นในเชิงอนุรักษ์นิยม คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ไม่เพียงพื้นดินที่ทรุดตัวลงของกรุงเทพและปริมลฑลเท่านั้นแต่ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นในอัตราที่ไม่คงที่และมีแน้วโน้มจะเร่งมากขึ้นในช่วงท้าย ระยะเวลาที่น้ำทะเลจะท่วมภาคกลางของไทยจึงน่าจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่ใช้ค่าเฉลี่ยแบบคงที่ในแต่ละปีมาคิดคำนวณมากนัก จึงควรมีการเตรียมความพร้อมตั้งแต่เริ่มเห็นสัญญาณเตือนภัยเหล่านี้ด้วยความร่วมมือของทุกฝ่าย ในขณะที่ยังมีความหวังในการลดภาวะโลกร้อนโดยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เร่งด่วนก่อนนั่นคือก๊าซมีเทน ด้วยวิธีการง่ายๆคือ การทานมังวิรัติ และปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้น  หากทุกคนในประเทศร่วมมือกันรณรงค์และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการบริโภคนี้ได้เชื่อว่าจะสามารถลดภาวะโลกร้อนได้เกือบ 90%






2t300.jpg?et=1dee0DctzAU36BpiJ%2BS1UQ&nm				
18 กรกฎาคม 2553 18:00 น.

ภาคการปศุสัตว์....

คีตากะ

84.jpg              โรงเรือนมุงหลังคาด้วยกระเบื้องทรงสูงเปิดรับลมทั้ง 4 ด้าน เสาทำจากไม้ทั้งต้นที่เริ่มผุจากการกัดแทะของปลวกตามกาลเวลา ภายในเป็นที่อาศัยของแม่โคแบบผูกยืนโรงกว่า30 ตัว ตรงกลางเป็นทางเดินเพื่อใช้ให้อาหาร ซึ่งจะวางลงในรางยาวก่อด้วยอิฐโบกปูนเรียบทั้งภายในและภายนอก รางยาว 2 ฝั่งข้างทางเดินทำให้แม่โคทั้ง 2 ฝั่งของโรงเรือนหันหน้าเข้าหากัน ทางเดินนี้ไม่เพียงมีประโยชน์ในการให้อาหารทั้งอาหารหยาบจำพวกหญ้าหรือต้นข้าวโพด อาหารข้นจำพวกรำข้าวหรืออาหารเสริม และน้ำดื่มแล้ว มันยังเป็นที่ให้ลูกโคอยู่อาศัยอีกด้วย พื้นที่ที่มีอย่างจำกัด ก่อให้เกิดความแออัดยัดเยียดและไม่ค่อยเจริญหูเจริญตาสักเท่าใด ทุกเช้าเจ้าของจะต้องตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่เพื่อทำความสะอาดคอกสัตว์นี้ ด้วยการฉีดน้ำที่ปั๊มจากบ่อบาดาลและใช้ไม้กวาดทางมะพร้าวหรือพลั่วตักสิ่งปฏิกูลต่างๆออกไปจนหมดเกลี้ยง เมื่อคอกสะอาดแล้วจะใส่สายน้ำเอาไว้ในรางจนปริมาณน้ำสูงถึงครึ่งหนึ่งของความสูงของรางพร้อมทั้งใส่อาหารทั้งหยาบ และละเอียด เช่น ฟางข้าว หญ้า ข้าวโพด และรำข้าว ปริมาณที่เพียงพอให้แม่โคเหล่านี้ดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้เพื่อผลิตน้ำนมส่งเข้าโรงงานที่อยู่ใกล้บ้านทุกวันทั้งเช้าและเย็น...

                แม่โคที่ถึงวัยเจริญพันธุ์จะได้รับการผสมเทียมและให้กำเนิดลูก เพื่อมีน้ำนมนำไปขาย มันจะทำหน้าที่เป็นเครื่องจักรกลผลิตน้ำนมจนกว่าจะกลายเป็นโคแก่ที่หมดน้ำนมไปเอง ซึ่งแต่ละตัวก็จะมีอายุไม่เท่ากันตามความสมบูรณ์ของร่างกายและพันธุ์ของมันด้วย นอกจากนั้นอาหารยังเป็นองค์ประกอบหลักที่สำคัญในการผลิตน้ำนมทั้งปริมาณและคุณภาพ ลูกโครุ่นแล้วรุ่นเล่าก็จะถูกเลี้ยงหรือขุนขึ้นมาแทนที่แม่โคเป็นวัฏจักรแบบนี้เรื่อยไป ดูเหมือนว่าลูกโคจะได้รับเอกสิทธิ์มากเป็นพิเศษในเรื่องการมีอิสรภาพมากกว่าแม่โค พวกมันจะถูกเลี้ยงแบบปล่อยอิสระมากกว่า ให้วิ่งเล่น กินหญ้า เดินดูโน่นดูนี่ทุกวันอย่างเสรี แต่เมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์ พวกมันก็จะมีชะตากรรมเหมือนกับแม่โคตัวอื่นๆที่ต้องถูกผูกด้วยเชือกในโรงเรือนคับแคบและสกปรกขาดอิสรภาพตลอดไป และทำหน้าที่เสมือนเครื่องจักรกลเครื่องหนึ่งเท่านั้น โคที่เลี้ยงแบบผูกยืนโรงจะมีสุขภาพจิตย่ำแย่กว่า การเลี้ยงแบบปล่อยเหมือนกับฟาร์มใหญ่ๆ ที่มีที่ดินเพียงพอ การที่พวกมันเครียดจะทำให้พวกมันกินและนอนเท่านั้น ขาดความกระตือรือล้น เซื่องซึม สุขภาพจึงอ่อนแอและเป็นโรคติดต่อได้ง่าย

                   กลิ่นยังเป็นปัญหาหลักของการทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะฟาร์มเลี้ยงสุกร ฟาร์มเลี้ยงวัวก็ไม่แตกต่างกันมากนัก สัตว์เคี้ยวเอื้องมีหลายกระเพาะอย่างวัว กระเพาะของมันจึงทำหน้าที่เป็นถังหมักแก็สอย่างดี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแก็สมีเทนและคาร์บอนไดออกไซด์ กลิ่นจากมูลวัวมีส่วนผสมของแก็สจากการหมักในกระเพาะและลำไส้สร้างความวิงเวียนศรีษะต่อมนุษย์ไม่น้อย การสูดดมเข้าไปปริมาณมากนอกจากจะทำให้เหม็นแล้ว ภาวะขาดออกซิเจนของสมองยังทำให้เกิดความง่วงซึมได้ง่ายอีกด้วย ฟาร์มเลี้ยงวัวที่ไม่สะอาดจะเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคอย่างดี การสร้างที่พักอาศัยของมนุษย์ตามมาตรฐานควรอยู่ห่างจากโรงเรือนเลี้ยงอย่างน้อย 100 เมตร แต่เกษตรกรผู้เลี้ยงวัวส่วนใหญ่ยากจนและมีที่ดินจำกัด ส่วนมากที่อยู่อาศัยกับโรงเลี้ยงจะอยู่ใกล้กันมาก บางบ้านใช้ใต้ถุนบ้านเป็นคอกเลี้ยงก็มีให้เห็นอยู่มาก ซึ่งเสี่ยงต่อการติดต่อเชื้อโรคจากสัตว์ไปสู่คน เกษตรกรส่วนใหญ่แถวนี้มีอาชีพเลี้ยงวัวแบบครัวเรือน พื้นที่มีจำกัด จำนวนโคที่จะเลี้ยงจึงจำกัดไปด้วย ส่งผลให้รายได้มีจำกัด การเลี้ยงในจำนวนที่น้อยเกินไปผลผลิตต่ำจะทำให้ต้นทุนสูงไปด้วย ต่างกับฟาร์มขนาดใหญ่ที่มีจำนวนแม่โคที่ให้น้ำนมได้จำนวนมากต้นทุนรวมจึงยิ่งต่ำลงมากด้วย โรงงานแปรรูปนมส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ที่มีการเลี้ยงวัวหรือไม่ไกลมากนัก เพื่อประหยัดค่าขนส่ง สำหรับเกษตรกรที่อยู่ไกลออกไปอาจไม่คุ้มกับต้นทุนค่าน้ำมันในการขนส่ง แต่ก็มีบริการรับจ้าง รับ-ส่งให้เลือกในราคาที่ประหยัดเพราะใช้วิธีแบบเหมารวม ผู้รับส่งน้ำนมดิบจึงประหยัดต้นทุนได้มากกว่าและสามารถมีรายได้หักต้นทุนแล้วคุ้มค่าน้ำมัน นั่นต้องขึ้นกับระยะทางการเดินทางอีกด้วย 

                  น้ำนมสดที่ถูกนำส่งเข้าโรงงานจะถูกนำไปแปรรูปเป็นนมสำเร็จรูปพร้อมดื่ม บ้างก็ส่งขายให้โรงงานที่ผลิตอาหารหรือเครื่องใช้อุปโภคบริโภคที่ต้องใช้ส่วนผสมของนมอีกต่อหนึ่ง เช่น โรงงานผลิตนมผง  โรงงานผลิตขนมหวาน โรงงานผลิตไอศกรีม ในปัจจุบันต้นทุนแฝงจากการเลี้ยงโคนมมีค่อนข้างสูง ฟาร์มไม่ได้มาตรฐาน ต้นทุนอาหารข้นสูง ขาดแคลนอาหารหยาบ คุณภาพน้ำนมต่ำ ยังเป็นปัญหาของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมรายย่อยทั่วไปอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่ถูกมองข้ามมานานจากการทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ก็คือ “สิ่งแวดล้อม” แหล่งน้ำอยู่ใกล้กับฟาร์มไม่ได้รับการจัดการอย่างเป็นระบบ ส่วนใหญ่ขาดระบบบำบัดน้ำเสียที่ดี ทำให้เกิดการเน่าเสีย ดินบริเวณโดยรอบเสื่อมสภาพลงกลายเป็นดินเค็มมีภาวะเป็นกรดเพาะปลูกไม่ได้ หลายๆฟาร์มที่ไม่สะอาดกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคที่สามารถส่งถ่ายมาถึงมนุษย์ได้อย่างรวดเร็ว หลายโรคเกิดซ้ำซาก บางโรคเป็นโรคอุบัติใหม่ ฟาร์มเลี้ยงสัตว์เป็นแหล่งผลิตก๊าซมีเทน คาร์บอนไดออกไซด์และไนตรัสออกไซด์ซึ่งถือเป็นแหล่งผลิตใหญ่ที่สุดในภาคการเกษตรที่ผลิตก๊าซเรือนกระจกเติมเข้าสู่ชั้นบรรยากาศอันส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อน นอกจากนั้นตามมาตรฐานที่กำหนดจำเป็นต้องใช้ที่ดินจำนวนมากในการทำฟาร์ม ทำให้ป่าไม้ถูกถางทำลายและเกิดการรุกล้ำเขตป่าสงวนอยู่บ่อยๆ นอกจากนั้นโคนมมีกระเพาะที่ใหญ่จึงกินอาหารจุมาก จำเป็นต้องใช้พื้นที่จำนวนมากในการเพาะปลูกพืชเพื่อเลี้ยงมัน เช่น ข้าวโพด ฟางข้าว ข้างฟ่าง หญ้า เกษตรกรรายใดที่มีที่ดินไม่เพียงพอ จึงต้องมีต้นทุนสูงขึ้นจากการเช่าที่หรือไม่ก็ซื้อจากแหล่งอื่น ยิ่งการเลี้ยงโคนมหรือการเลี้ยงสัตว์อื่นมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ที่ดินที่ต้องใช้สำหรับปลูกพืชอาหารก็ต้องเพิ่มมากขึ้นไปด้วย เป็นการใช้ที่ดินอย่างสิ้นเปลืองและไม่เกิดประโยชน์สูงสุด หากเพียงแต่นำที่ดินเหล่านั้นมาเพาะปลูกพืชเพื่อใช้เป็นอาหารเลี้ยงมนุษย์ก็จะเพียงพอเลี้ยงประชากรทั้งโลกในปัจจุบันได้อย่างแน่นอน การปศุสัตว์ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจก แต่ยังใช้พื้นดินเป็นบริเวณกว้างทั่วโลก การทำฟาร์มเลี้ยงใช้พื้นที่กสิกรรม 70% หรือ 30%ของผิวดินของโลก ยิ่งไปกว่านั้น ผลิตผลโดยส่วนใหญ่ถูกปลูกเพื่อเป็นอาหารสัตว์ โดยที่ 40% ของธัญพืชของโลก ถูกนำไปเลี้ยงสัตว์ในฟาร์ม  ไม่ใช่คน แค่เพียงธัญพืชเหล่านี้ครึ่งหนึ่ง ก็เพียงพอสำหรับการกำจัดความหิวโหยให้แก่ประชากรทั่วทั้งโลกได้แล้ว การปศุสัตว์เป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการทำลายป่า 70% ของป่าอะเมซอนเดิม ได้ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ นอกจากนี้ การปศุสัตว์ยังเป็นสาเหตุของดินเสื่อม ทุ่งเลี้ยงสัตว์ประมาณ 20% ถูกทำให้เสื่อมสภาพด้วยการกินหญ้า การอยู่อย่างแออัด และการกัดเซาะที่มากเกินไป มันยังเป็นสาเหตุของการบริโภคน้ำจำนวนมากและมลภาวะ แค่ที่สหรัฐอเมริกาเท่านั้น น้ำชลประทาน 30,000 ล้านแกลลอน ถูกนำไปใช้ในการปลูกพืชเพื่อเลี้ยงสัตว์ต่อปี นี่คือน้ำประมาณ 85% ของแหล่งน้ำสะอาดในสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้สัตว์ยังผลิตของเสียชีวภาพในปริมาณที่มากเกินกว่าที่ระบบนิเวศจะรองรับได้ มีตัวอย่างของข้อมูลในประเทศสหรัฐอเมริกา การใช้น้ำในการผลิตอาหาร 1 กิโลกรัมในการกสิกรรมของสหรัฐ เนื้อวัวใช้น้ำ 1,000,000 ลิตร เนื้อไก่ 3,500 ลิตร ถั่วเหลือง 2,000 ลิตร ข้าว 1,912 ลิตร ข้าวสาลี 900 ลิตร และมะเขือเทศ 500 ลิตร ด้านการใช้พลังงานในการผลิตอาหารให้ได้โปรตีน 1 แคลลอรี่ ถั่วเหลืองใช้พลังงานเชื้อเพลิงถ่านหิน 2 แคลอรี่ ข้าวโพด 3 แคลอรี่ ข้าวสาลี 3 แคลอรี่ แต่เนื้อวัวใช้พลังงานปิโตรเลียมถึง 54 แคลอรี่ นั่นหมายความว่าในการผลิตแฮมเบอร์เกอร์จากเนื้อวัวต้องใช้พลังงานเชื้อเพลิงถ่านหินถึง 27 เท่าของพลังงานที่ใช้ในการผลิตเบอร์เกอร์ถั่วเหลือง ในเรื่องของการใช้พลังงาน การใช้น้ำ ที่ดิน มลภาวะ การทำลายระบบนิเวศ มันไม่น่าประหลาดใจเลยที่ได้เรียนรู้ว่าพลังงานที่ใช้ในการผลิตเนื้อสัตว์หนึ่งมื้อ สามารถจะนำไปผลิตอาหารจากพืชผักได้ถึง 15 มื้อหรือมากกว่า เมื่อไม่นานมานี้ กิดอน เอเชลและพาเมล่า มาร์ติน สองนักวิจัยจากคณะธรณีวิทยา มหาวิทยาลัยชิคาโก ได้เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างการผลิตอาหารและปัญหาสิ่งแวดล้อม พวกเขาได้แสดงปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เป็นผลมาจากเนื้อแดง ปลา ไก่ นม และไข่ โดยเปรียบเทียบตัวเลขกับอาหารมังสวิรัติ พวกเขาพบว่าการเปลี่ยนจากการทานอาหารอเมริกันทั่วไปมาเป็นการทานอาหารจากพืช สามารถป้องกันการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 1.5 ตัน ต่อคนต่อปี ในทางตรงกันข้าม การเปลี่ยนจากรถซีดานปกติ(ใช้น้ำมัน) เช่น โตโยต้า แคมรี่ ไปเป็นรถยนต์ไฮบริด(ใช้ไฟฟ้า) โตโยต้า พริอุส จะสามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 1 ตัน ต่อคนต่อปี

                   ทางเลือกนั้นอยู่ในครัวของคุณแล้ว แม้ว่าบางคนจะเลือกที่จะไม่มองความโหดร้ายที่อยู่ในการปศุสัตว์ แต่ความเร่งด่วนในการหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ และวิธีที่จะดำเนินการนั้นชัดเจน ไม่ใช่แค่นักมังสวิรัติหรือนักสิ่งแวดล้อมที่กล่าวไว้เท่านั้น เวลานี้ ประธานคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ( Intergovernmental Panel on Climate Change หรือ IPCC) ดร.ปาจาอุร ได้ประกาศต่อโลกว่า ผลกระทบของการทานเนื้อสัตว์นั้นสร้างความเสียหายให้กับโลกของเรา เราควรที่จะหยุดทานเนื้อสัตว์ เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ แต่กระนั้นที่สุดแล้วมันขึ้นอยู่กับการเลือกของผู้คน เราทุกคนมีส่วนร่วมที่จะทำให้โลกเย็นลงและสะอาดมากขึ้น ฉะนั้น แค่เริ่มต้นที่ครัวของท่าน เลือกที่จะทานมังสวิรัติ และช่วยกันเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
				
8 กรกฎาคม 2553 14:40 น.

โรงพยาบาลธรรมชาติ....

คีตากะ

      หัวจดเท้ารักษาเองได้ก่อนไปหาหมอ

๑.	ไขมันในเลือดสูง  แทนที่จะหายามากินให้ปวดหัว ตับพังก็หากระเทียมสดมากินสักวันละ  ๑๐ กลีบกับกินหอมหัวใหญ่สดวันละครึ่งหัว

๒.	ปวดหัว  ให้หาผักคะน้าหรือปวยเล้ง (แมกนีเซียม) กินวันละ ๕ ขีด หรือจะชงโกโก้กินหน่อยก็ช่วยได้ค่ะ

๓.	เป็นหวัด ไอ จามบ่อย  ให้หมั่นแปรงลิ้นและกินกระเทียม, หอม, พริกให้มากเข้าไว้

๔.	ภูมิแพ้  แค่กินฝรั่งวันละ ๕ ชิ้นกับเมล็ดฟักทองวันละ ๑ กำมือ (สังกะสี)

๕.	แพ้ฝุ่นละออง  ไรฝุ่น   หาโยเกิร์ตแบบรสธรรมชาติและนมเปรี้ยวไม่หวานจัดมากิน

๖.	โรคหืดหอบ ไอเรื้อรัง   กินหัวหอมใหญ่, หอมแดง, ต้นหอมและเอาหอมซุกไว้ใต้หมอน

๗.	นอนไม่หลับ  กินน้ำตาลทราย ๒ ช้อนโต๊ะ ถ้าอยากให้หลับสบายเพิ่มเติมขี้เหล็กและมะรุมเข้าไปหน่อย

๘.	กระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อย  ให้กินน้ำกระเจี๊ยบไม่หวานจัดวันละ ๓ มื้อ หรือน้ำแครนเบอรี่ของฝรั่งในปริมาณเท่ากัน ( เปรี้ยวจัดมาก)

๑๐.ท้องอืด แก๊สมาก ให้กินกล้วยหักมุกปิ้งหรือขิงบ่อย ๆ

๑๑.ท้องผูก  ชงน้ำผึ้งดื่มวันละ ๓ ช้อนโต๊ะและให้กินน้ำมะขามต้มติดเนื้อมาก เช้า เย็น

๑๒.โรคกระเพาะอาหาร  หากล้วยหักมุกปิ้งกิน, กินกล้วยหรือกินผักกระ หล่ำปลีให้มาก

๑๓.เวียนหัว คลื่นไส้ง่าย  ให้หาอาหารทำจากขิงรับประทาน เช่น น้ำขิง, ชาขิงหรือเต้าฮวย

๑๔.วัยทอง วูบวาบ อารมณ์ปรวน  กินเต้าหู้เหลืองวันละ ๑ แผ่น ถ้ากินเต้าหู้แล้วเบื่อให้สลับกับถั่วลิสงวันละ ๑ กำมือก็ได้

๑๕.หงุดหงิดง่าย ให้กินอาหารร่าเริง คือ ข้าวเหนียวดำ ข้าวโพด กลอย กล้วยหอม

๑๖.กระดูกพรุน ให้กินงาดำวันละ ๔ ช้อนโต๊ะ (ได้แคลเซียมเท่ากับเม็ดใหญ่) มะม่วงและสับปะรดซึ่งมีธาตุสมานกระดูดอยู่มาก                    ( แมงกานีส)

๑๗.ความจำไม่ดี สิ่งที่มีธาตุสังกะสีช่วยสมองได้

๑๘.มะเร็งเต้านม ให้กินบร็อคโคลีหรือคะน้าวันละ ๕ ขีด 

๑๙.มะเร็งปอดทางเดินหายใจ ให้กินเสาวรส  ฝรั่ง  ส้ม  มะนาว  มะขามป้อม  มะละกอ  มะม่วง ให้มาก เพราะวิตามินซีช่วยสมานหลอดเลือดในปอดได้ดี แต่ต้องระวังวิตามินเอโดยเฉพาะผู่ที่ยังสูบบุหรี่อยู่

๒๐.ท้องเสีย ลำไส้แปรปรวน กินแอปเปิ้ลเขียววันละ ๑-๒ ผล หรือน้ำแอปเปิ้ลเขียวปั่นทั้งกาก จะเป็นการล้างพิษในตัวด้วย

๒๑.เจ็บอก โรคหัวใจ หลอดเลือดตีบ  กิน น้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิน  ผลอโวคาโดเพราะเหล่านี้มีไขมันดีไปช่วยขับตะกรันน้ำมันเก่าออก ถ้าชอบดื่มชาให้หาชาเขียวสดมาชงดื่มเองวันละถ้วย

๒๒.ความดันสูง ต้องตัดบุหรี่และอาหารเค็ม ลองหาข้าวโอ๊ตไม่ขัดสีมากินและผักขึ้นฉ่ายสดหรือปั่นก็ได้ จะช่วยคุมความดันให้ดีขึ้น
๒๓.เบาหวนถามหา ให้เลี่ยงแป้งกับน้ำตาลและกินผักเขียวจัดอย่างคะน้า  บร็อคโคลี  ผักโขมให้มาก  ถ้าอยากหวานให้กินส้มโอและฝรั่งเพราะมีน้ำตาลอยู่น้อยมาก
													
				
28 มิถุนายน 2553 09:44 น.

วิถีแห่งอหิงสา....

คีตากะ

มังสวิรัติเป็นวิถีแห่งชีวิต..ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา





หนังสือ วิถีสุขภาพแห่งชีวิต จัดทำโดย สหพันธ์มังสวิรัติแห่งประเทศไทย 


ประวัติของวิทยากร 

ศาสตราจารย์ ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา SK2493 

 จบการศึกษาปริญญาเอกจากอังกฤษ เป็นนักวิทยาศาสตร์สาขาฟิสิกส์ 

 เคยเป็นผู้ออกแบบประดิษฐ์ชิ้นส่วนขาและระบบลงจอดของยานอวกาศ Viking ที่สหรัฐฯ ส่งไปลงบนดาวอังคารได้เป็นผลสำเร็จ ...ใน 63 ล้านคน...ยังมีคนไทยที่มีความรู้ความสามารถระดับสากล สิ่งนี้...บอกเราว่า...ยังมีคนไทย...ที่มีผลงานระดับนานาชาติ...มันสมองคนไทยไม่ด้อยกว่าชาติภาษาใด...ถ้าได้รับการฝึกฝน-พัฒนา-ปลดปล่อยศักยภาพให้ถูกทาง 


 เคยรับบทเป็นพระยาอธิการบดี ในภาพยนตร์เรื่องข้างหลังภาพ กำกับโดยคุณเชิด ทรงศรี
 เป็นผู้สนใจด้านพลังจิต-สมาธิ และการประยุกต์พลังจิตใช้ในชีวิตประจำวัน และพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ 
 เคยสอนแผนกวิชาวิศวกรรมไฟฟ้า ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 ท่านอาจารย์อาจองเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งการนั่งวิปัสนาและชมรมพุทธศาสนาของจุฬาฯ ห้องนั้นน่าจะอยู่ที่ตึกเก่าของคณะอักษรศาสตร์ทางด้านห้องสมุด แต่มาในราวปี พ.ศ. 2512 ใด้เกิดอุบัติเหตุมีนิสิตบัญชีที่ฝึกนั่งกรรมฐานแบบท่านอาจารย์อาจองเสียชีวิตในตุ่มน้ำในขณะที่นั่งกรรมฐาน หนังสือพิมพ์ทั้งหลายเลยโจมตีท่านอาจารย์อาจอง กล่าวหาว่าเป็นคนนอกคอก บังอาจริตั้งลัทธิใหม่ที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธ เป็นคนตั้งศาสนาการบิน ต่างๆนาๆ จนกระทั่งท่านอาจาย์อาจอง ต้องลี้ภัยไปสอนที่มหาวิทยาลัยที่ประเทศออสเตรเลีย

 เป็นนักมังสิวิรัติ กรรมการ และอดีตนายกสโมสรมังสวิรัติกรุงเทพฯ 

 เป็นประธานมูลนิธิสัตยาไสแห่งประเทศไทยและได้ก่อตั้งโรงเรียนสัตยาไส ที่ อ.ลำนารายณ์ จ.ลพบุรี ซึ่งเป็นโรงเรียนกินนอนระดับประถม-มัธยม ทั้งครูและนักเรียนใช้วิถีชีวิตแบบมังสวิรัติโดยตลอด 

การศึกษา...วิถีไทย 

การศึกษา...วิถีธรรม 

การศึกษา...วิถีทาส...ทาสทางวัฒนธรรม...ทาสทางความคิด
มังสวิรัติเป็นวิถีแห่งชีวิต 
           โชคดีที่ตอนผมยังเด็ก ผมนับถือศาสนาพุทธ แต่พอไปเรียนที่ประเทศอังกฤษ ได้เริ่มเรียนไบเบิล เมื่อโตขึ้นผมได้เริ่มเรียนไบเบิลและศึกษาด้วยตนเองมากขึ้น ผมพบว่ามีการทำสมาธิในไบเบิลด้วย จากนั้นก็เริ่มฝึกสมาธิด้วยตนเอง ตั้งแต่นั้นมาจนถึงวันนี้ 40 ปีแล้ว หลังการทำสมาธิทำให้บางครั้งพบความสงบและประโยชน์อย่างอื่นอีก เช่น ช่วยกำจัดภาวะไมเกรน หอบหืด แต่ปัญหาเกี่ยวกับระบบท้องยังคงมีอยู่ ระหว่างทำสมาธิจะมีรังสีความคิดออกไปสู่สิ่งมีชีวิต รวมทั้งสัตว์ทั้งหลาย 

18 ปีที่ผ่านมาเมื่อส่งผ่านความคิดความหวังดีถึงสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ผมพบว่า ผมไม่สามารถทานเนื้อได้ และกินแต่อาหารมังสวิรัติตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงบัดนี้ มันเป็นวิถีทางของผม เมื่อเป็นนักมังสวิรัติ ผมสามารถทำสมาธิได้ง่ายขึ้น พบความสงบ และไม่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบท้องอีกต่อไป นอกจากสภาวะที่เป็นหวัดหรือไข้หวัดใหญ่เนื่องจากการนอนไม่พอ 

วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังว่า ทำไมมังสวิรัติจึงเป็นวิถีทางของชีวิตที่เหมาะสมสำหรับทุกคน? 

เมื่อมองไปที่ศาสนาต่าง ๆ ในโลก คัมภีร์ฉบับเดิมของไบเบิลจะคล้ายคลึงกับศาสนาอิสลาม พระเจ้าพูดว่าจะให้เมล็ดที่มีต้นพืชเล็ก ๆ บนโลกเพื่อเป็นอาหารแทนสัตว์ และในศาสนาคริสต์ พระเจ้าพูดว่า ทุกอย่างที่พระองค์ให้คือเนื้อ ฉะนั้นเราไม่ควรทานเนื้อ ขณะที่ฮินดูถือหลักการอยู่ที่ความไม่รุนแรงหรืออหิงสา ทุกสิ่งอยู่อาศัยร่วมกัน เมื่อไปอินเดีย ผมพบว่าผู้คนส่วนใหญ่เป็นนักมังสวิรัติ ลิง ม้า วัว เดินไปมาบนถนน คือภาพปกติที่เห็นมันอยู่ร่วมกันคน 

ในพระพุทธศาสนา การแผ่เมตตาภาวนาคือ สิ่งที่ชาวพุทธพึงปฏิบัติเสมอต่อสัตว์และสิ่งมีชีวิตสำหรับผม พุทธคือธรรมชาติของการเป็นชาวมังสวิรัติ เพราะเราไม่ได้รับอนุญาตให้ฆ่าสัตว์ ในอดีตมีนักปรัชญา นักวิทยาศาสตร์ และศิลปินได้พูดถึงมังสวิรัติไว้มากมาย เช่น เพลโต, ไอนสไตน์, โสเครตีส, ชาลส์ ดาร์วิน, ไอแซค นิวตัน, วอลแตร์, ตอลสตอย, ลีโอนาโด ดาร์วินซี, เบนจามิน แฟรงคลิน, รพินทรนารถ ฐากูร, อัลเบอร์ต สไวเซอร์, จอร์จ เบอร์นาค ซอร์, และมหาตมะคานธี 

ไอนสไตน์เคยพูดว่า วิถีชีวิตแบบมังสวิรัติจะส่งผลต่อต้านอารมณ์ของมนุษย์ (vegetarian moral of living) และส่งผลดีอย่างมากต่อมวลมนุษย์ ผลของการศึกษาสัตว์ที่กินเนื้อเมื่อเทียบกับสัตว์กิบพืชโครงสร้างด้านกายภาพของสัตว์เหล่านี้ เช่น เสือ หมา แมว ซึ่งเป็นสัตว์กินเนื้อ จะมีกรงเล็บที่แหลมคมมาก กรามบดเคี้ยวที่แข็งแรง มีฟันที่แหลมคม ยาว เพื่อจะฉีกเหยื่อของมันสด ๆ พวกมันไม่มีฟันที่สั้นทื่อซึ่งเหมาะสำหรับการเคี้ยว และไม่ต้องมีการย่อยก่อน (pre-digested) การย่อยจึงอยู่ที่กระเพาะอาหารและลำไส้มากกว่า เมื่อดูสุนัขกินอาหาร มันจะไม่เคี้ยว แต่จะกลืนทันที ในทางตรงกันข้าม สัตว์ที่กินพืชไม่มีกรงเล็บที่แหลม แต่มีฟันที่เหมาะสำหรับเคี้ยวใบพืชผักเมล็ดและผลไม้ และมีเอนไซม์ไทอะลินที่อยู่ในน้ำลาย ซึ่งเป็นจุดที่เริ่มต้นย่อยอาหาร โดยเคี้ยวอย่างช้า ๆ ด้วยฟันทั้งสองข้าง ในขณะที่สัตว์กินเนื้อจะใช้ฟันเคี้ยวแบบ ขึ้น-ลง 

ลักษณะของมนุษย์ไม่เหมือนกับสัตว์กินเนื้อ ฟันจะคล้ายสัตว์กินพืชและสามารถผลิตเอนไซม์ในน้ำลายได้ สัตว์กินเนื้อจะมีระบบการย่อยที่สั้น คือเพียง 3 เท่าของความยาวของร่างกาย และทำให้อาหารสดถูกย่อยสลายได้ไว ในขณะที่สัตว์กินพืชมีลำไล้ยาวมากประมาณ 12 เท่าของความยาวร่างกายทำให้อาหารมีเวลาอยู่ในร่างกายนาน มนุษย์ก็เช่นกันมีลำไส้ยาวมาก ทุกส่วนของร่ายกายที่ได้พัฒนามาเป็นพัน ๆ ปี บอกว่า มนุษย์มีชีวิตจากการกินผลไม้ ถั่ว เมล็ด และผัก 

เมื่อพิจารณาความยืนยาวของชีวิต ชาวเอสกิโมซึ่งกินเนื้อและไขมันเป็นจำนวนมาก มีอายุเฉลี่ยประมาณ 27.5 ปี ในขณะที่ชาว Hunsa ซึ่งเป็นชนเผ่าที่อาศัยอยู่ที่ตอนเหนือของอินเดียและปากีสถานและชนพื้นเมืองเผ่าหนี่งของเม็กซิโก ซึ่งกินเมล็ดธัญพืช อาหารสด ผลไม้และผัก มีอายุยืนยาวถึง 110 ปี หรือมากกว่านั้น Robert Magalism หมอที่ศึกษาเกี่ยวกับเผ่า Hunsa พูดว่า ฉันไม่เคยเห็น โรคไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis) และมะเร็งในชนเผ่านี้เลย มีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งไปที่หมู่บ้านที่มีประชากรประมาณ 4,000 คน ในเอลควาดอร์ ชาวบ้านเป็นมังสวิรัติส่วนใหญ่จะมีอายุประมาณ 100 ปี 

สถาบันส่งเสริมสุขภาพในอเมริกา ได้ศึกษานักมังสวิรัติ 50,000 คนพบว่า นักมังสวิรัติเหล่านี้มีอายุยืนยาวขึ้น มีการพบโรคหัวใจ (Heart diseases) ในคนกลุ่มนี้ต่ำมาก และอัตราการเกิดมะเร็งต่ำกว่าเมื่อเทียบกับคนอเมริกันที่กินเนื้อ นอกจากนี้การศึกษายังพบว่า มีการลดลงของโรคหวัดและภูมิแพ้ สัตว์ที่กิน พืช เช่น ม้า วัว ควาย และช้าง ซึ่งมีอายุยืนยาวสามารถทำงานหนักแทนมนุษย์ด้วยพละกำลัง อดทนและแข็งแรงได้ 

สามสี่ปีที่ผ่านมา มีนักมังสวิรัติกลุ่มหนึ่งได้ทำกิจกรรมที่เรียกว่า เดินทนมหัศจรรย์ คือ ขณะที่อดอาหาร (fasting) ได้เดินมาราธอนจากลพบุรี ถึงกรุงเทพฯ ประมาณระยะทางมากกว่า 320 กม. โดยไม่กินอาหารเลย 

โรงเรียนสัตยาไส (Satayasai school) คือโรงเรียนที่เด็กนักเรียนเป็นนักมังสวิรัติ ตอนเริ่มแรกพ่อแม่กังวลว่า เด็กจะตัวเล็กเมื่อกินอาหารมังสวิรัติ แม้แต่หนังสือพิมพ์ก็กล่าวว่า การกินอาหารมังสวิรัติจะทำให้คนไทยตัวเล็ก เด็ก ๆ ชอบออกกำลังกายมาก เช่น ว่ายน้ำในแม่น้ำ ยิ้มและมีความสุข รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเคยมาเยี่ยมโรงเรียนนี้บอกว่าบุคลิกอย่างหนึ่งของเด็กที่นี่ คือ มีความสุขมาก พวกเขาเติบโตโดยทานผักที่ไม่ใส่ปุ๋ยหรือสารเคมีและฝึกการทำสมาธิ เด็ก 13 ปี อยู่ ม.1 สูงกว่าครูมาก และพ่อแม่ก็ไม่กังวลอีกต่อไปในเรื่องที่ว่าเด็กจะตัวเล็ก 

เมื่อมนุษย์มีความโกรธหรือมีอารมณ์เครียดจะผลิตฮอร์โมนอะดรีนาลิน (Adrenalin) ซึ่งจะทำลายระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และทำให้ร่างกายเผชิญต่อโอกาสที่จะเป็นโรคต่าง ๆ รวมทั้งมะเร็ง แต่ในขณะที่ร่างกายอยู่ในภาวะสงบ สันติ ร่างกายจะผลิตเอนดอร์ฟิน (Endorphin) ซึ่งจะกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน สามารถป้องกันโรคต่างๆ และทำให้สุขภาพแข็งแรง ดังนั้นคนเราควรมีภาวะสงบ สันติตลอดเวลา 

เมื่อสัตว์หลงทาง มีความกลัว ร่างกายก็จะสร้างอะดรีนาลิน ทำให้ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีสารพิษจากอาหารที่เป็นเนื้อจะทำให้ร่างกายเพิ่มความเป็นพิษ (toxin) และอะดรีนาลินมากขึ้น และมีโอกาสเกิดโรค ดังนั้นถ้าร่างกายมีภาวะที่สงบและแข็งแรงควรหลีกเลี่ยงการกินเนื้อ 

ในศตวรรษที่ 21 ประมาณกันว่า ประชากรโลกจะมีสูงที่สุดที่ 12 พันล้านคน ในตอนนี้ประชากรบนโลกเป็นโรคขาดอาหารและยากจน ในประเทศกำลังพัฒนามากมายบนโลกนี้ เราจะทำอย่างไรที่จะมีอาหารเพียงพอในศตวรรษหน้า จนถึงตอนนี้มีการตัดต้นไม้เพิ่มขึ้นเพื่อจะเพิ่มปริมาณอาหาร พื้นที่ป่าลดลงเพราะเอาไปเลี้ยงสัตว์และทำการเกษตร 

ในช่วงชีวิตของผม ประเทศไทยเมื่อ 50 ปีมาแล้ว 60% เป็นพื้นที่ปา ปัจจุบันเหลือ 20% ของพื้นที่ทั้งหมด ต้นไม้ช่วยดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ และให้ก๊าซออกซิเจน เมื่อมีการทำลายป่าอย่างมากมายทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์สะมเพิ่มขึ้น และเป็นสาเหตุ ของปรากฏการณ์เรือนกระจก (green-house effect) ก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบันส่งผลต่ออุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบันจากที่เคยค่อย ๆ ขึ้นในอดีต 

โลกที่ร้อนขึ้นทำให้ปรากฏการณ์ธรรมชาติเปลี่ยนไป เช่น ปัจจุบันเรามีปัญหาอย่างมากกับพายุเฮอริเคน ไต้ฝุ่น และอีกหลายปรากฏการณ์ทุกชนิดที่เปลี่ยนแปลงในโลก 

ในศตวรรษหน้า คาดว่าระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้น กรุงเทพฯ อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลแค่ 1 เมตร เท่านั้น ระดับน้ำจะเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 1 หรือ 2 เมตร ไม่มีใครบอกได้อย่างชัดเจน มีการคาดว่าบางประเทศ เช่น เกาะมัลดิฟจะจมหายไป หรือพื้นที่ส่วนใหญ่ของบังคลาเทศ ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมากประเทศหนึ่งจะจมหายไป และอาจจะรวมถึงกรุงเทพฯ ซึ่งสูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียงแค่ 1 เมตร ก็จะจมหายไปด้วยเช่นกัน 

เราจะเลี้ยงประชากรโลกในศตวรรษที่ 21 อย่างไรในเมื่อไม่สามารถจะตัดต้นไม้เพื่อที่จะเลี้ยงสัตว์หรือเป็นพื้นที่ทางการเกษตรอีกต่อไป แล้วเราจะทำอย่างไรกับคนหิวโหยเหล่านี้ 

มองไปที่ผลิตภัณฑ์อาหาร เช่น นมถั่วเหลืองผง 100 กรัม มีโปรตีน 41.8 กรัม ถั่วเหลืองแห้ง 100 กรัม มีโปรตีน 34.4 กรัม 

ชนิดของอาหาร (100 กรัม) 
ปริมาณโปรตีน (กรัม) 

นมผงถั่วเหลือง 
41.8 

ถั่วเหลืองแห้ง 
34.4 

ถั่วลิสง 
26 

ถั่วต่าง ๆ 
24.7 

เนื้อ 
20.2 

ไก่ 
18.6 

แกะ 
16.8 


ดังนั้นถั่วเหลือง, ถั่วลิสง, ถั่วต่าง ๆ หรือพืชอื่น ๆ มีประโยชน์มากกว่าในแง่ของแหล่งโปรตีน นี่คือการแก้ปัญหาที่ดีสำหรับการเลี้ยงประชากรในศตวรรษที่ 21 

เมื่อเปรียบเทียบกับการเลี้ยงสัตว์ และการปลูกพืช เราต้องเพิ่มพื้นที่เป็น 17 เท่าเพื่อที่จะได้โปรตีนในปริมาณเท่ากันจากสัตว์ เมื่อเทียบกับที่ได้จากถั่วเหลืองรวมทั้งน้ำที่ต้องใช้มากกว่าในการเลี้ยงสัตว์การเลี้ยงสัตว์ด้วยเมล็ดพืช แล้วย้อนกลับมาเป็นโปรตีนในสัตว์ที่มนุษย์จะได้กลับคืนมา จะมีโปรตีนต่ำมากแค่ 10% ของโปรตีนและพลังงานของอาหารทั้งหมดที่เอาไปเลี้ยงสัตว์ และเปลี่ยนสภาพมาเป็นเนื้อสัตว์ ในอเมริกา 80-90% ของเมล็ดธัญพืชจะถูกนำไปเลี้ยงสัตว์ จึงเป็นการสูญเสียอย่างหนึ่ง เพราะเราได้คืนแค่ 10% โดยเฉลี่ยคนอเมริกันกินเนื้อ 129 ปอนด์ต่อ 1 ปี ในเวลานี้ สมมติว่า ถ้าพวกเขาแต่ละคนลดการกินเนื้อลงครึ่งหนึ่ง อาหารจะมีเพียงพอต่อประชากรในประเทศกำลังพัฒนา ถ้าลดการกินแค่ 10% จะทำให้เมล็ดพืชเพียงพอต่อประชากร 60 ล้านคน นี่คือการแก้ปัญหาในศตวรรษที่ 21 โดยมีการเปลี่ยนแปลงให้มีการเลี้ยงสัตว์ในปริมาณที่เหมาะสมและเพิ่มการปลูกพืช, ธัญพืช, เมล็ดพืชอื่น ๆ ซึ่งควรนำไปเลี้ยงประชากรโดยตรง และเพื่อหยุดการทำลายป่าไม้ และลดการเพิ่มปัญหาสิ่งแวดล้อม จะมีอาหารเพียงพอกับทุกคนในศตวรรษหน้า ถ้ามังสวิรัติคือวิถีของชีวิต 

ผมอยากสรุปตามคำของมหาตมะคานธีว่า The earth has enough for everyones need but not enough for everyones greed. คือ โลกนี้เพียงพอสำหรับความต้องการของทุกคน แต่ไม่เคยเพียงพอสำหรับความโลภของผู้คน และมังสวิรัติจะเป็นวิถีแห่งชีวิตสำหรับศตวรรษที่ 21 

(ถอดเทป แปล และเรียบเรียงมาจากปาฐกถาพิเศษ เรื่อง Vegetarianism is the Way ในวันพิธีเปิดการประชุมมังสวิรัติโลก ครั้งที่ 33 วันที่ 4 มกราคม 2542)				
16 มิถุนายน 2553 10:02 น.

การสูญพันธุ์ยุคเพอร์เมียน....

คีตากะ

gashydrate_thumb.jpg               การสูญพันธุ์ยุคเพอร์เมียน 251 ล้านปีก่อน

   มาร์ก ไลนัส เขียน

                 สำหรับคนงานเหมืองชาวจีนซึ่งขุดหินอยู่ในเหมืองเหมยชานที่มณฑลซีเกียงทางตอนใต้ของจีน เส้นแบ่งระหว่างหินปูนสีเทากับหินดินดานที่คล้ำกว่านั้นแยกกันไม่ออกเลย พวกเขาอาจจะสังเกตว่าหินใต้เส้นแบ่งเปราะกว่าปกติไม่ค่อยเหมาะนำไปใช้ในการก่อสร้าง พวกเขาอาจสังเกตเห็นสีที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนจากสีเทาอ่อนๆ ไปเป็นสีเกือบดำในชั้นหิน แต่การระเบิดและลำเลียงเศษหินเหล่านี้ออกไปคงเป็นงานของอีกวันหนึ่ง ไม่มีใครสังเกตว่าด้วยสว่าน จอบ พลั่ว ของพวกเขานี่เองคือกระบวนการที่กำลังเปิดเผยให้เห็นถึงหนึ่งในชั้นทางธรณีวิทยาซึ่งสำคัญที่สุด พวกเขาขุดเหมืองไปเจอรอยต่อของยุคเพอร์เมียนกับยุคไทรอัสสิก ซึ่งเป็นช่วงของการสูญพันธุ์อย่างขนานใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยปรากฏมา
                    ชั้นเหมยชานกลายเป็นมาตรฐานทองคำทางธรณีวิทยาสำหรับการสิ้นสุดยุคเพอร์เมียนเพราะรอยต่อของชั้นหินชัดเจนมาก มันทอดตัวอยู่บนพื้นทะเลตื้นๆ และชั้นหินปูนที่อยู่ใต้รอยต่อ เพอร์เมียน-ไทรอัสสิก(Permain-Triassic) อัดแน่นไปด้วยซากฟอสซิลที่มีอยู่มากมายเป็นพิเศษนั่นก็คือสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวขนาดเล็กที่เรียกว่า ฟอรามินิเฟอแรน(foraminiferran แพลงก์ตอนพืชชนิดหนึ่ง) และโคโนดอนต์(conodont ซากสัตว์มีแกนสันหลังเล็กมากขนาด 0.1-1.0 ม.ม.) แต่ก็ยังพบหอยเม่น ปลาดาว และหอยมีเปลือก ตลอดจนปะการัง ปลา และปลาฉลามด้วยเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าทะเลก่อนการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่อุดมสมบูรณ์มากและเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตสัตว์และพืชแต่ละชนิดปรับตัวเข้ากับสถานที่ซึ่งวิวัฒนาการไปในระบบนิเวศอันซับซ้อนได้เป็นอย่างดี
                   แล้วหายนะก็มาเยือน ซากฟอสซิลหายไป ส่วนหินปูนถูกแทนที่ด้วยชั้นโคลน มีหินควอร์ต และขี้เถ้าภูเขาไฟปะปนอยู่กระจัดกระจายด้านบนของหินดินดานสีคล้ำดังกล่าวนี้ สารอินทรีย์อุดมสมบูรณ์ เป็นร่องรอยที่สำคัญของสภาพออกซิเจนต่ำก้นทะเล นอกจากนั้นยังมีเหล็กไพไรต์(pyrite หรือทองของคนโง่) ที่เป็นตัวบ่งชี้ถึงสภาวะออกซิเจนต่ำและเต็มไปด้วยกำมะถัน ซากฟอสซิลอันอุดมสมบูรณ์หายไปหมด ที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ต่างๆ นับร้อยๆ อาศัยอยู่ในระบบนิเวศน์อันซับซ้อน บัดนี้มีเพียงหอยสองสามชนิดเหลือรอดอยู่ในชั้นโคลน สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ในทะเลสูญพันธุ์ไป จากข้อมูลของนักธรณีวิทยาที่ศึกษาชั้นเหมยชานหายนะภัยทั้งหมดนั้นอยู่ในช่วงชั้นที่หนาเพียง 12 มิลลิเมตร
ยังมีความลับที่ซ่อนอยู่อีกในชั้นหินเหมยชาน แถบขี้เถ้าภูเขาไฟช่วยให้สามารถกำหนดอายุที่แน่นอนได้จากการสลายตัวของไอโซโทปของยูเรเนียนไปเป็นตะกั่ว บ่งชี้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ 251 ล้านปีมาแล้ว ไอโซโทปของคาร์บอนก็เปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน แสดงให้เห็นว่าชั้นไบโอสเฟียร์และวัฏจักรคาร์บอนเกิดความผิดเพี้ยนรุนแรงบางอย่างขึ้น เบาะแสว่าเหตุใดมันจึงเกิดขึ้นนั้นได้จากไอโซโทปของออกซิเจน ซึ่งแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วระหว่างออกซิเจน-16 และออกซิเจน-18 บ่งชี้ถึงความผันผวนอย่างรุนแรงของอุณหภูมิ บางทีนี่อาจจะเป็นปรากฏการณ์ที่เผยตัวออกมาครั้งรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยปรากฏ อุณหภูมิสูงขึ้นแต่ไม่ใช่คราวละ 1 หรือ 2 หรือแม้กระทั่ง 4 องศา มันพุ่งปรู๊ดขึ้นไปไม่น้อยกว่า 6 องศา ดูเหมือนว่าการสูญพันธุ์เมื่อสิ้นยุคเพอร์เมียน เกิดขึ้นจากความร้อนภายใต้สภาวะเรือนกระจกที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
                    นอกเหนือจากประเทศจีน หินรอยต่อยุคเพอร์เมียน-ไทรอัสสิก บอกเรื่องราวโลกาวินาศและวันสิ้นโลกคล้ายๆ กัน ทางตอนเหนือของอิตาลี ชั้นตะกอนใต้ทะเลบริเวณใกล้ชายฝั่งในช่วงสิ้นยุคเพอร์เมียนประกอยด้วยดินที่ชะล้างมาจากแผ่นดินอันเกิดจากการพังทลายของดินอย่างรุนแรงมาก ภายใต้สถานการณ์ปรกติ พืชจะช่วยยึดดินไว้ คอยปกป้องมันจากการถูกฝนกัดเซาะ แต่ในช่วงเวลาดังกล่าวการปกป้องรักษาดินนี้ไม่เกิดขึ้น ข้อสรุปที่เป็นอื่นไปไม่ได้ก็คือ พืชที่ปกคลุมดินเกือบทั้งหมดถูกกำจัดไป มีอะไรบางอย่างกวาดป่า หนองน้ำ และทุ่งหญ้าสะวันนาหายไป และเมื่อฝนแห่งฤดูมรสุมมาเยือน ก็ไม่เหลืออะไรเหนี่ยวรั้งดินอันมีค่าไว้ได้ ดินถูกชะล้างด้วยความเชี่ยวกรากรุนแรงลงสู่มหาสมุทรในยุคโบราณ
พืชตายแล้วที่หลงเหลืออยู่บนพื้นดินก็เน่าเปื่อยผุพังไปตามปรกติมีรายงานว่าพบฟังกัล สไปค์(fungal spike) อยู่ตามหินในทะเลทรายเนเจฟ (Negev) ที่อิสราเอล และที่อื่นๆ ทั่วโลก มันคือสปอร์ที่ยังคงอยู่จากการทวีจำนวนของเห็ดมีพิษซึ่งจะงอกงามอย่างรวดเร็วบนต้นไม้และไม้พุ่มที่ตายแล้ว สำหรับสิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่ด้วยการกินสิ่งที่ตายแล้วนี่คือช่วงเวลาอันอุดมสมบูรณ์จนเหลือเฟือ
                    ที่แอ่งคารู ในแอฟริกาใต้สมัยใหม่ นักวิจัยซึ่งกำลังตามล่าหาซากฟอสซิลที่เคยมีชีวิตในช่วงรอยต่อยุคเพอร์เมียน-ไทรอัสสิก พบกับชั้นทางธรณีวิทยาที่ผิดปกติในช่วงการสูญพันธุ์ ชั้นของเหตุการณ์ ดังกล่าวซึ่งบ่งบอกถึงการพังทลายอย่างรุนแรง เป็นชั้นที่ปราศจากสิ่งมีชีวิต นอกจากนั้นยังชี้ให้เห็นว่าภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง จากเปียกชื้นไปเป็นแห้ง ในช่วงเวลาซึ่งรูปแบบชีวิตหายวับไป ที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นหุบเขาแห่งแม่น้ำลึก สองฝั่งอุดมณ์ด้วยสิ่งมีชีวิต กลับกลายเป็นร่องคดเคี้ยวในภูมิทัศน์แห้งผาก เมื่อไม่มีพืชเกาะยึดตลิ่ง จึงกลายเป็นแม่น้ำแห้งวกเวียนไปมาท่ามกลางทะเลทรายเกิดใหม่ ที่ซึ่งครั้งหนึ่งคือสวนสวรรค์แห่งอีเดน กลับกลายเป็นหุบเขาแห่งความตาย
                    เครื่องบ่งชี้ถึงสุดยอดสภาวะเรือนกระจกมหาวินาศอีกประการเกิดขึ้นในบริเวณที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นก็คือ แอนตาร์กติกา สูงขึ้นไปเกือบ 3,000 เมตรบนยอดกราไฟต์ ในเขตภูเขาทรานส์แอนตาร์กติก ดินที่คงสภาพเดิมอยู่แสดงให้เห็นระดับสารเคมีปนเปื้อนในอากาศซึ่งเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นไปได้ว่าส่วนใหญ่เกิดจากระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจึงทำให้เกิดฝนกรดมากขึ้น ที่สำคัญก็คือตะกอนหินช่วงนี้ยังเผยให้เห็นว่าการเปลี่ยนผ่านจากภูมิอากาศปรกติไปสู่สภาวะเรือนกระจกนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นพิเศษอย่างน้อยก็ตามมาตรฐานทางธรณีวิทยา กล่าวคือในระยะเวลาราว 10,000 ปี หรือต่ำกว่า
                เดวิด คิดเดอร์ และโธมัส วอร์สลีย์ สองนักธรณีวิทยาเสนอแบบจำลองที่น่าประทับใจสำหรับกระบวนการทำงานของสภาวะเรือนกระจกของโลก และการเกิดของมัน พวกเขาเสนอว่าเมล็ดพันธุ์ถูกหว่านไว้นับสิบๆ ล้านปีก่อนจะเกิดเหตุการณ์สูญพันธุ์ เมื่อการเกิดภูเขาจากเปลือกโลกเคลื่อนที่เข้าชนกันยุติลง และเมื่ออากาศหยุดปนเปื้อนสารเคมี เปิดทางให้คาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศก่อตัวขึ้นช้าๆ จนถึงระดับอันตราย เมื่อยุคเพอร์เมียนใกล้ถึงจุดจบ ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าทุกวันนี้ถึง 4 เท่า เป็นตัวจุดให้อุณหภูมิสูงขึ้นครั้งใหญ่
                   ทำนองเดียวกับเกมโดมิโนแห่งความตาย การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศสร้างแรงกระเพื่อมซ้ำเติมวิกฤต ทะเลทรายขยายตัว ขณะที่ป่ากระถดตัวเข้าใกล้ขั้วโลกที่อากาศเย็นกว่า ยิ่งไปลดการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านการสังเคราะห์แสงลง ทะเลทรายขยายขึ้นไปถึง 45 องศาเหนือ(บริเวณพื้นทวีปของยุโรปตอนกลางและสหรัฐอเมริกาตอนเหนือในปัจจุบัน) และบางทีอาจจะรุกล้ำขึ้นไปถึง 60 องศาเหนือ ใกล้กับอาร์กติกเซอร์เคิล ทะเลทรายเหล่านี้คงร้อนจนสุดจะจินตนาการ การระเหยของน้ำจากมหาสมุทรนอกชายฝั่งเป็นไปในระดับสูงมากจนทะเลหนาแน่นและเต็มไปด้วยเกลือ น้ำอุ่นถูกดึงลึกลงไปใต้มหาสมุทร กระบวนการดังกล่าวกลับกันกับในโลกทุกวันนี้ ซึ่งน้ำเย็นที่ขั้วโลกจมลงในเหวลึกของมหาสมุทร แต่ด้วยขั้วโลกที่ร้อนกว่าในสภาวะเรือนกระจกยุคเพอร์เมียนการจมลงของน้ำอุ่นในมหาสมุทรขั้วโลกดำเนินไปอย่างช้าๆ และหยุดลงในที่สุด
                   น้ำอุ่นอาจจะน่าลงไปแหวกว่าย แต่ก็อย่างที่เราเห็นก่อนหน้านี้เมื่อแพร่กระจายไปทั่วทั้งมหาสมุทร มันกลับกลายเป็นนักฆ่า ออกซิเจนน้อยลงในน้ำทะเลที่ร้อนขึ้น ดังนั้น น้ำทั้งหมดจึงค่อยๆ หยุดหมุนเวียนและขาดออกซิเจน สิ่งมีชีวิตในน้ำที่ต้องอาศัยออกซิเจน กล่าวคือ รูปแบบชีวิตขั้นสูงกว่าทั้งหมดตั้งแต่แพลงก์ตอนไปจนถึงปลาฉลาม ต้องเผชิญกับสภาวะปราศจากอากาศหายใจ ในห้วงวิกฤตของยุคเพอร์เมียนน้ำอุ่นยังขยายตัวและระดับน้ำทะเลสูงขึ้นราว 20 เมตร เข้าท่วมชั้นทวีป ก่อให้เกิดทะเลร้อนและตื้นขณะที่น้ำขาดออกซิเจนรุกล้ำเข้าไปบนพื้นผิวแผ่นดิน
                  มหาสมุทรที่ร้อนขึ้นเหล่านี้เป็นเชื้อให้กับเฮอร์ริเคนอันเกรี้ยวกราดดุดันเกินกว่าที่เราเคยประสบกันมาในยุคปัจจุบัน พายุสมัยใหม่ถูกจำกัดด้วยน้ำเย็นในทะเลลึกและในเขตละติจูดสูงๆ ทว่ามหาสมุทรร้อนในสภาวะเรือนกระจกตอนสิ้นยุคเพอร์เมียนนั้นขยายไปทั่วโลกตั้งแต่ขั้วโลกเนือจนจรดขั้วโลกใต้ มหาเฮอร์ริเคน(super-hurricanes บางครั้งเรียก hypercanes) มีพลังพอจะพาตัวมันเองไปถึงขั้วโลกเหนือแล้วย้อนกลับมา บางครั้งยังถึงขนาดตีวนกลับรอบโลกซ้ำอีกด้วย มีแต่แผ่นดินแห้งผากเท่านั้นจึงจะหยุดมันได้ แต่มหาเฮอร์ริเคนก็อาจจะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันอย่างรุนแรงจนกระทั่งสิ่งมีชีวิตไม่อาจรอดได้ พายุขนาดมโหฬารเหล่านี้นำพาความร้อนสูงไปยังละติจูดสูงๆ เพิ่มผลกระทบจากสภาวะเรือนกระจกให้มากยิ่งขึ้นผ่านปฏิกิริยาสะท้อนกลับจากไอน้ำและเมฆ
                     นี่เพียงเริ่มต้นเท่านั้น หากระบบโลกสมดุลก็อาจจะทานทนกับการจู่โจมอย่างฉับพลันเช่นนั้นได้ ทว่าโชคร้าย ชะตากรรมกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น เมื่อสภาวะเรือนกระจกทวีความเข้มข้น แมกม่าร้อนหลอมละลายจากใจกลางโลกพุ่งขึ้นมาตามรอยแยกของโลกเหมือนมีดพุ่งแทงทะลุหัวใจของไซบีเรีย เมื่อมาถึงผิวโลก หินหลอมเหลวพุ่งขึ้นไปด้วยความรุนแรงเต็มพิกัด พ่นขี้เถ้าและเศษซากภูเขาไฟไปไกลเป็นร้อยๆ ไมล์ บดบังดวงอาทิตย์ด้วยฝุ่นและซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ยิ่งแมกม่าพุ่งทะลักในชั่วระยะเวลาหนึ่งพันปีดังกล่าว ก็ยิ่งสะสมเป็นชั้นหนานับหลายร้อยเมตรกินอาณาบริเวณกว้างใหญ่กว่ายุโรปตะวันตก ด้วยระเบิดของแมกม่าแต่ละครั้งอย่างต่อเนื่อง หินบะซอลท์ก็ยิ่งบ่าท่วมพื้นแผ่นดิน ปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หลายพันล้านตันจากรอยปริของพื้นผิวโลกที่กำลังแยกออกจากกันอย่างรวดเร็ว
                    สิ่งมีชีวิตอาจจะอยู่รอดจากเหตุการณ์หินบะซอลท์ท่วมไซบีเรียได้ดีกว่านี้ หากมันไม่ได้มาอยู่ในช่วงที่ความร้อนของโลกขึ้นสูงถึงจุดที่ชั้นบรรยากาศ พื้นผิวโลกมุ่งไปสู่ชายขอบของความสามารถในการอยู่รอดอย่างที่มันเกิดขึ้น การระเบิดของแมกม่ายิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง ปลดปล่อยก๊าซพิษและคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาในปริมาณพอๆ กัน บันดาลให้เกิดพายุฝนกรดเกรี้ยวกราดรุนแรง พร้อมๆ กับยิ่งทำให้สภาวะเรือนกระจกเข้าใกล้สภาวะสุดขั้วยิ่งขึ้น เหมือนที่หนังสือเว็น ไลฟ์ เนียร์ลี่ดาย(When Life Nearly Died) ของไมเคิล เบนตันวาดเค้าโครงไว้ พายุมรสุมของกรดซัลเฟอริกเหล่านี้จะทำลายอาณาจักรของพืชบนบก กวาดล้างท่อนซุงผุพังและใบไม้เน่าเปื่อยลงสู่มหาสมุทรที่แน่นิ่งไปแล้ว ถึงตอนนี้สิ่งมีชีวิตหากไม่ตายแล้วก็กำลังจะตาย สัตว์โลกที่อยู่ในรูลึกอาจมีชีวิตรอดจากวิกฤตที่เลวร้ายที่สุดในตอนเริ่มต้น ทว่าอะไรก็ตามที่โผล่ขึ้นมาบนพื้นดินไม่ช้าก็ต้องตายเพราะความร้อน หรืออดตายไปในที่สุด พืชส่วนใหญ่ซึ่งเป็นฐานของห่วงโซ่อาหารทั้งบนบกและในทะเลถูกกวาดหายไปจนหมดสิ้น มีเพียงน้อยนิดที่อาจอยู่รอดไปได้เป็นเวลานาน ระดับออกซิเจนในชั้นบรรยากาศลดลงเหลือ 15 เปอร์เซ็นต์ (ระดับในปัจจุบันคือ 21 เปอร์เซ็นต์) ต่ำมากพอจะปล่อยให้สัตว์ใดๆ ที่เคลื่อนไหวได้รวดเร็วต้องหอบหายใจแม้กระทั่งที่ระดับน้ำทะเล
                 สิ่งที่แย่กว่านั้นยังมาไม่ถึง เมื่อน้ำอุ่นลงไปถึงใต้มหาสมุทรอย่างรวดเร็ว เจ้าปีศาจร้ายที่เดี๋ยวนี้รู้จักกันดีก็เริ่มก่อกวนชั้นทวีป ซึ่งก็คือน้ำแข็งแห้งมีเทน สภาวะโลกร้อนที่ควบคุมไม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว
                    มีเทนส่วนใหญ่ที่ปลดปล่อยออกมาในตอนแรกแทรกตัวอยู่ในน้ำค่อยๆ สะสมไปตามกาลเวลา อย่างไรก็ตาม เมื่อพรายฟองเพิ่มมากขึ้นๆ แต่ละชั้นของน้ำที่ต่อเนื่องกันจะค่อยๆ ถึงจุดอิ่มตัว เมื่อระเบิดเตรียมพร้อมแล้ว สิ่งเดียวที่ต้องการก็คือเชื้อปะทุ
                 เหตุการณ์คลี่คลายไปในทำนองนี้ ก่อนอื่น การก่อกวนเบาๆ ที่ก้นทะเลทำให้กลุ่มของน้ำที่อิ่มตัวด้วยก๊าซมีเทนลอยตัวขึ้นข้างบน ขณะที่มันลอยตัวขึ้น ฟองเริ่มผุด ก๊าซที่ปนอยู่เดือดปุดเป็นฟองด้วยการลดแรงดันสถิตของน้ำลง เหมือนกับขวดน้ำเลโมเนดที่เป็นฟองฟู่ล้นทะลักออกมาหากเปิดฝาออกเร็วเกินไป ฟองก๊าซเหล่านี้ทำให้กลุ่มของน้ำชุดดังกล่าวยังคงลอยขึ้นด้วยความเร่งผ่านมวลน้ำตามแนวโด่ง ขณะที่น้ำพุ่งขึ้นข้างบนจนถึงจุดระเบิดมันจะฉุดเอาน้ำรอบๆ ขึ้นไปด้วย ทำให้กระบวนการดังกล่าวขยายตัว จากผิวทะเลน้ำพุ่งขึ้นไปในอากาศหลายร้อยเมตร ขณะที่ก๊าซซึ่งปลดปล่อยออกมาระเบิดเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ เกิดคลื่นกระแทก(shockwave) กระจายไปทุกทิศทาง กระตุ้นให้เกิดการระเบิดตามมาในบริเวณใกล้ๆ
                 ที่บรรยายมานี้ไม่มีตรงไหนเป็นการคาดเดาทางทฤษฎี กระบวนการคล้ายกันในระดับย่อส่วนเกิดขึ้นเมื่อไม่นานเท่าไรนัก ปี ค.ศ.1986 ในทะเลสาบนีโยส ประเทศแคเมอรูน ภูเขาไฟที่อยู่ใต้ทะเลสาบปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาอย่างต่อเนื่อง ตอนเย็นของวันที่ 12 สิงหาคม 1986 ก๊าซก็ระเบิดขึ้น ทำให้เกิดน้ำพุของก๊าซปนกับน้ำพุ่งสูงขึ้นไปในอากาศ 120 เมตร ปลดปล่อยกลุ่มหมอกควันคาร์บอนไดออกไซด์มรณะคร่าชีวิตคนกว่า 1,700 คนในบริเวณโดยรอบเพราะขาดอากาศหายใจ หมอกควันคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งหนักกว่าอากาศจะลอยเรี่ยอยู่ระดับพื้นดินทำให้เหยื่อจำนวนมากหายใจไม่ออกตายอยู่บนเตียง
                 หมอกควันมีเทนก็อาจจะทำตัวแบบเดียวกัน มันแทรกตัวอยู่ในหยดน้ำ กระจายตัวคลุมหน้าดินเหมือนกับผ้าห่มมีพิษ นอกจากนั้นมีเทนยังไม่เหมือนคาร์บอนไดออกไซด์ตรงที่มันติดไฟได้ ความเข้มข้นของมีเทนในอากาศแม้ต่ำเพียงแค่ 5 เปอร์เซนต์ ก็เป็นส่วนผสมเพียงพอจุดให้ลุกได้ด้วยสายฟ้าผ่าหรืออะไรอื่นที่ทำให้เกิดประกายไฟ เกิดเป็นลูกไฟน่ากลัวพุ่งพาดผ่านท้องฟ้า อาจจะเทียบได้กับระเบิดเชื้อเพลิงสมัยใหม่ที่กองทัพสหรัฐและรัสเซียใช้ ส่วนอำนาจทำลายล้างของมันเทียบได้กับอาวุธนิวเคลียร์อันน่าสะพรึงกลัว สิ่งที่เรียกกันว่า ระเบิดสุญญากาศ นี้ พ่นกลุ่มฝอยของหยดเชื้อเพลิงขึ้นไปอยู่เหนือเป้าหมาย(เป็นพื้นที่อากาศถูกโอบล้อมเหมือนในถ้ำ) จากนั้นก็จะจุดระเบิด มันจะดูดอากาศออกและส่งคลื่นกระแทกรุนแรงพอที่จะฆ่าและทำให้บาดเจ็บได้ในบริเวณกว้าง
อย่างไรก็ตาม หมอกควันก๊าซมีเทนที่เกิดจากการระเบิดในมหาสมุทรจะทำให้อาวุธสงครามสมัยใหม่ชนิดรุนแรงที่สุดกลายเป็นของกระจอกไปเลย และการระเบิดของกลุ่มหมอกควันมีเทนที่ใหญ่ที่สุดจะทำให้เกิดคลื่นทำลายล้างซึ่งสามารถเดินทางไปได้เร็วกว่าเสียง ด้วยการระเบิดซูเปอร์โซนิก แรงดันจากคลื่นกระแทกเองจะเป็นตัวจุดระเบิดส่วนผสมของอากาศ ผลักให้การระเบิดพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็ว 2 กิโลเมตรต่อวินาที ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันพุ่งผ่านระเหยกลายเป็นไอ
                  ผลที่เกิดขึ้นกับสัตว์และพืชที่มีชีวิตอยู่ในโลกยุคเพอร์เมียนนั้นยากจะจินตนาการออก ดังนั้น การระเบิดที่ค่อนข้างเล็กโดยเปรียบเทียบของก๊าซมีเทนในมหาสมุทรจะกลายเป็นตัวการที่มีประสิทธิผลมากของการสูญพันธุ์ขนานใหญ่ ดังที่ เกรกอรี ไรสกิน วิศวกรเคมีเขียนไว้ในรายงานชิ้นหนึ่งว่าด้วยเรื่อง กลไกการทำลายล้าง ตอนสิ้นยุคเพอร์เมียนโดยเฉพาะว่า ก๊าซมีเทนดังกล่าว สามารถทำลายล้างสิ่งมีชีวิตบนโลกได้จนเกือบหมดสิ้น เขาประเมินว่าการระเบิดของก๊าซมีเทนครั้งใหญ่ จะปลดปล่อยพลังงานเท่ากับระเบิด TNT 108 เมกะตัน มากกว่าอาวุธนิวเคลียร์สะสมของโลกประมาณ 10,000 เท่า ไฟล้างโลกนี้อาจจะยิ่งทำให้อุณหภูมิเย็นลงในระยะสั้นเหมือนฤดูหนาวนิวเคลียร์ ก่อนที่จะกลับไปเร่งให้โลกร้อนต่อไปด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นจากการเผาไหม้มีเทน (ส่วนมีเทนที่ไม่ได้เผาไหม้ก็จะยิ่งสร้างผลกระทบจากภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้น)
                    ก๊าซมีเทนอาจจะไม่ได้ทำหน้าที่สังหารโดยลำพัง ขณะที่พืชและสัตว์เน่าเปื่อยอยู่ในมหาสมุทรตายนั้น ไฮโดรเจนซัลไฟด์ ปริมาณมหาศาลกำลังก่อตัวขึ้นในระดับลึกของมหาสมุทร หลักฐานบ่งชี้ถึงมหาสมุทรกำมะถันนี้ยังคงปรากฏอยู่ในหินยุคเพอร์เมียนทางตะวันออกของเกาะกรีนแลนด์ ซึ่งก็คือเหล็กไพไรต์ที่พบได้ทั่วไปท่ามกลางหินดินดานในยุคที่เกิดภัยพิบัติ สารพิษเข้มข้นในชั่วเวลาสั้นๆ (กลิ่นเหมือนไข่เน่า) หรือไฮโดรเจนซัลไฟด์ใดๆ ที่ปลดปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศจะทำลายสัตว์ไม่ให้เหลือชีวิตรอดได้ไม่ว่าในสถานที่ใดๆ แม้ว่ามันอาจจะรอดมาจากการระเบิดของก๊าซมีเทนก็ตาม
                    ที่สำคัญพอๆ กันก็คือ กำมะถันที่หมักอยู่ในมหาสมุทรเป็นตัวการให้เกิดการสูญพันธุ์ที่มีประสิทธิผลมากกับสิ่งมีชีวิตในน้ำ มันสังหารรูปแบบชีวิตที่ต้องอาศัยออกซิเจนในการหายใจจนหมดสิ้น ราวกับว่าเท่านี้ยังไม่พอ หมอกควันไฮโดรเจนซัลไฟด์อาจบุกจู่โจมและทำลายชั้นโอโซนเปิดช่องให้รังสีอัลตราไวโอเล็ตอันตรายจากดวงอาทิตย์แผ่ลงมา เมื่อเร็วๆ นี้มีการค้นพบสปอร์รูปร่างผิดเพี้ยนในหินยุคเพอร์เมียนจากเกาะกรีนแลนด์ทางตะวันออกเช่นเดียวกัน เป็นเครื่องบ่งชี้ว่า พืชบกที่หลงรอดมาได้อาจจะประสบกับการผ่าเหล่าทางดีเอ็นเออันเนื่องมาจากการรับรังสีอัลตราไวโอเล็ตเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนาน
                    ก๊าซมีเทนเข้มข้นสูงมากยังทำลายชั้นโอโซนด้วย การศึกษาโดยใช้แบบจำลองชิ้นหนึ่งมุ่งสืบค้นเงื่อนไขต่างๆ ในตอนสิ้นยุคเพอร์เมียนโดยเฉพาะพบว่า หากความเข้มข้นของก๊าซมีเทนบนผิวโลกสูงขึ้นไปถึง 5,000 เท่าของระดับทั่วไป ซึ่งเป็นกรณีที่อาจเกิดขึ้นจากการระเบิดของน้ำแข็งแห้งมีเทนในวงกว้าง ครึ่งหนึ่งของมวลโอโซนจะถูกทำลาย ทำให้รังสีอัลตราไวโอเล็ตแผ่ลงมายังพื้นผิวโลกเพิ่มขึ้นอีก 7 เท่า ผู้เขียนเสนอว่านี่อาจจะเป็นสาเหตุของการสูญพันธุ์ก็เป็นได้ นอกจากนั้นเมื่อตัวกระทำการสองตัวร่วมกันคือ ไฮโดรเจนซัลไฟด์ และก๊าซมีเทน สามารถจะส่งผลให้เกิดการทำลายล้างชั้นโอโซนอย่างขนานใหญ่ขึ้นได้
ด้วยภัยพิบัติอย่างต่อเนื่องเหล่านี้ทั้งหมดที่กระหน่ำใส่โลก แทบไม่น่าประหลาดใจเลยว่าการสูญพันธุ์เมื่อสิ้นยุคเพอร์เมียนนั้นนำโด่งทิ้งห่างจากครั้งอื่นๆ ทั้งหมด จากการคำนวณ 95 เปอร์เซนต์ของสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ต่างๆ ทั้งบนบกและในน้ำสูญพันธุ์ไป ในทะเลมีหอยสองสามชนิดรอดมาได้โดยฝังตัวลึกอยู่ในโคลน บนบกสัตว์มีกระดูกสันหลังขนาดใหญ่ชนิดเดียวที่รอดผ่านคอขวดของการสูญพันธุ์มาได้คือ ลิสโทรซอรัส(Lystrosaurus) รูปร่างคล้ายหมู ซึ่งครอบครองโลกส่วนใหญ่อยู่เป็นเวลาอีกหลายล้านปีหลังจากนั้น มี แหล่งถ่านหิน ที่แตกต่างออกไปอยู่ในช่วงต้นถึงกลางยุคไทรอัสสิก ซึ่งเป็นยุคทางธรณีวิทยาต่อจากเพอร์เมียน แสดงให้เห็นว่ามีพืชปกคลุมดินเท่านั้นที่มีชีวิตรอด ไม่มีป่าเขียวขจีขึ้นตามแนวตะเข็บชั้นถ่านหินหนาเช่นตอนต้นยุคเพอร์เมียนและยุคคาร์โบนิเฟอรัส(Carboniferous) ต้องใช้เวลาอีก 50 ล้านปีในยุคจูราสสิก ก่อนที่ความหลากหลายทางชีวภาพในระดับเดียวกับก่อนการสูญพันธุ์จะกลับคืนมา.....




Be Veg Go Green Save The Planet





spd_20080331182827_b.jpg				
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ