15 ตุลาคม 2553 14:15 น.
คีตากะ
ครั้งหนึ่งเมื่อพระสังฆปริณายกองค์นี้ได้มาที่วัดเปาลัม ข้าหลวงไว่ แห่งเมืองชิวเจา กับข้าราชการอีกหลายคน ได้พากันไปที่วัดนั้นเพื่อขอให้ท่านกล่าวธรรมกถาแก่ประชาชนทั่วไป ณ ห้องโถง แห่งวิหารไทฟัน ในนครกวางตุ้ง
ในไม่ช้า มีผู้มาประชุมฟัง ณ โรงธรรมสภานั้น คือข้าหลวงไว่ แห่งชิวเจา, พวกข้าราชการและนักศึกษาฝ่ายขงจื้อ อย่างละประมาณ ๓๐ คน, ภิกษุ ภิกษุณี นักพรตแห่งลิทธิเต๋า และคฤหัสถ์ทั่วไป รวมเบ็ดเสร็จประมาณหนึ่งพันคน
ครั้นพระสังฆปริณายก ได้ขึ้นนั่งบนอาสนะเรียบร้อยแล้ว ที่ประชุมได้ทำความเคารพ และอาราธนาขอให้ท่านแสดงธรรมว่าด้วยหลักสำคัญแห่งพุทธศาสนา ในอันดับนั้น ท่านสาธุคุณองค์นั้น ได้เริ่มแสดงมีข้อความดังต่อไปนี้
ท่านผู้คงแก่เรียนทั้งหลาย จิตเดิมแท้ (Essence of Mind) ของเรา ซึ่งเป็นเมล็ดพืชหรือแก่นของการตรัสรู้นั้น เป็นของบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ (Pure by nature), และต้องอาศัย จิตเดิมแท้ นี้เท่านั้นมนุษย์เราจึงจะเข้าถึงความเป็นพุทธะได้โดยตรงๆ อาตมาจะเล่าให้ฟังถึงประวัติของอาตมาเองบางตอน และเล่าถึงข้อที่ว่า อาตมาได้รับคำสอนอันเร้นลับ แห่งนิกายธยานะ (คือนิกายเซ็น) มาด้วยอาการอย่างไร
บิดาของอาตมาเป็นชาวเมืองฟันยาง ถูกถอดจากตำแหน่งราชการ ถูกเนรเทศไปอยู่อย่างราษฎรสามัญที่ซุนเจาในมณฑลกวางตุ้ง อาตมาโชคร้าย โดยที่บิดาได้ถึงแก่กรรมเสียแต่ในขณะที่อาตมายังเล็กเหลือเกินและละทิ้งมารดาไว้ในสภาพที่ยากจนทนทุกข์ เราสองคนจึงย้ายไปอยู่ทางกวางเจา (แคนตอน) และอยู่ที่นั่นด้วยความทุกข์ยากเรื่อยมา
วันหนึ่งอาตมากำลังนฟืนไปขายอยู่ที่ตลาดเพราะเจ้าจำนำคนหนึ่งเขาสั่งให้นำไปขายให้เขาถึงร้าน เมื่อส่งของและรับเงินเสร็จแล้ว อาตมาก็ออกจากร้าน ได้พบชายคนหนึ่ง กำลังบริกรรมสูตรๆ หนึ่งอยู่แถวหน้าร้านนั้นเอง พอได้ยินข้อความแห่งสูตรนั้นเท่านั้น ใจของอาตมาก็ลุกโพลงสว่างไสวในพุทธธรรม อาตมาจึงถามชื่อคัมภีร์ที่เขากำลังสวดอยู่ ก็ได้ความจากชายคนนั้นเองว่า สูตรนั้นชื่อ วัชรสูตร (สูตรอันกล่าวด้วยเพชรสำหรับตัดมายา) อาตมาจึงไล่เลียงต่อไปว่า เขามาจากไหน ทำไมเขาจึงจำเพาะมาท่องบ่นแต่สูตรนี้ ชายคนนั้นตอบว่าเขามาจากวัดตุงซั่น ตำบลวองมุย เมืองคีเจา เจ้าอาวาสในขณะนี้มีนามว่าหวางยั่น (ฮ่งยิ้ม) เป็นพระสังฆปริณายก (แห่งนิกายเซ็น) องค์ที่ห้า มีศิษย์รับการสั่งสอนอยู่ประมาณพันคน เมื่อเขาไปไหว้พระสังฆปริณายกที่วัดนั้น เขาได้ฟังเทศน์หลายครั้งเกี่ยวกับสูตรๆ นี้ เขาเล่าต่อไปว่า ท่านสาธุคุณองค์นั้นเคยรบเร้าทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตอยู่เสมอ ให้พากันบริกรรมสูตรๆ นี้ เผื่อว่าเมื่อเขาพากันบริกรรมอยู่เขาจะสามารถเห็น จิตเดิมแท้ ของตนเอง และจะเข้าถึงความเป็นพุทธะได้โดยตรงๆ เพราะเหตุนั้น
คงเป็นด้วยกุศลที่อาตมาได้ทำไว้แต่ชาติก่อนๆ จึงเป็นเหตุให้อาตมาได้ทราบเรื่องราวเหล่านี้ และอาตมายังได้รับเงินอีก ๑๐ ตำลึงจากชายอารีคนหนึ่งให้มาเพื่อมอบให้มารดาไว้ใช้สอย ในระหว่างที่อาตมาไม่อยู่, ทั้งเขาเองเป็นผู้แนะนำให้อาตมารีบไปยังตำบลวองมุยเพื่อพบพระสังฆปริณายกองค์นั้น เมื่อได้จัดแจงให้มีคนช่วยดูแลมารดาเสร็จแล้วอาตมาก็ได้ออกเดินทางไปยังวองมุย และถึงที่นั้นได้ในชั่วเวลาไม่ถึงสามสิบวัน
ครั้นถึงตำบลวองมุยแล้ว อาตมาได้ไปนมัสการพระสังฆปริณายก ท่านถามว่ามาจากไหน และต้องประสงค์อะไร อาตมาได้ตอบว่า “กระผมเป็นคนพื้นเมืองซุนเจา แห่งมณฑลกวางตุ้ง เดินทางมาแสนไกลเพื่อทำสักการะเคารพแด่คุณพ่อ และกระผมไม่ต้องการอะไร นอกจากธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ (Buddha-nature) อย่างเดียวเท่านั้น”
ท่านถามอาตมาว่า “เป็นชาวกวางตุ้งหรือ? เป็นคนป่าคนเยิงแล้วเธอจะหวังเป็นพุทธะได้อย่างไรกัน?”
อาตมาเรียนตอบท่านว่า “แม้ว่าจะมีคนชาวเหนือและคนชาวใต้ก็จริง แต่ทิศเหนือหรือทิศใต้นั้น หาได้ทำให้ความเป็นพุทธะซึ่งมีอยู่ในคนนั้นๆ แตกต่างกันได้ไม่ คนป่าคนเยิงจะแตกต่างจากคุณพ่อก็แต่ในทางร่างกายเท่านั้น, แต่ไม่มีความผิดแปลกแตกต่างกัน ในส่วนธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะของเราทั้งหลาย” พระสังฆปริณายกทำท่าจะกล่าวกะอาตมาต่อไปอีก แต่เผอิญมีศิษย์ของท่านเข้ามาหลายคน ท่านจึงหยุดชะงัก และเลยสั่งให้อาตมาไปสมทบทำงานกับคนงานหมู่หนึ่ง
อาตมากล่าวขึ้นว่า “กระผมขอกราบเรียนคุณพ่อว่า วิปัสสนาปัญญา เกิดขึ้นในใจของกระผมเสมอๆ เมื่อผู้ใดผู้หนึ่งไม่ได้มีจิตเลื่อนลอยไปจาก จิตเดิมแท้ (Essence of Mind) ของตนแล้ว ก็ควรจะเรียกเขาผู้นั้นว่า “ผู้เป็นเนื้อนาบุญของโลก” เหมือนกัน กระผมจึงไม่ทราบว่างานอะไร ที่คุณพ่อจะให้กระผมทำ?”
พระสังฆปริณายกได้มีบัญชาว่า “เจ้าคนป่านี้เฉลียวฉลาดเกินตัวไปเสียแล้ว จงไปที่โรงนั่น แล้วอย่าพูดอะไรอีกเลย” อาตมาจึงถอยหลีกไปทางลานข้างหลัง มีคนวัดที่ไม่ใช่บรรพชิตคนหนึ่งมาบอกให้ผ่าฟืน และตำข้าว
ต่อมาไม่น้อยกว่าแปดเดือน วันหนึ่งพระสังฆปริณายกได้พบอาตมาและท่านได้กล่าวว่า “ ฉันทราบดีว่า ความรู้ในพุทธธรรมของเธอนั้นมั่นคงดีมาก แต่ฉันต้องคอยหลีกไม่พูดกับเธอ มิฉะนั้นจะมีคนทุศีล บางคนทำอันตรายเธอ, เธอเข้าใจไหม?” อาตมาตอบว่า “ขอรับคุณพ่อกระผมเข้าใจ เพื่อไม่ให้ใครสังเกตเห็นกระผมในข้อนี้กระผมก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้ๆ ห้องของคุณพ่อ”
อยู่มาวันหนึ่ง พระสังฆปริณายกเรียกประชุมบรรดาศิษย์ทั้งหมดแล้วประกาศว่า “ปัญหาแห่งการเวียนเกิดไม่มีที่สิ้นสุด เป็นปัญหาเฉพาะหน้าเวลานี้ วันแล้ววันเล่า แทนที่จะพยายามเปลื้องตัวเองออกมาเสียจากทะเลแห่งการเกิดตายอันขื่นขม ดูเหมือนว่าพวกเธอกลับหมกมุ่นอยู่แต่ในบุญกุศลชนิดที่ถูกตัณหาลูบคลำเสียแล้วอย่างเดียวเท่านั้น (กล่าวคือบุญกุศลที่เป็นเหตุให้เกิดใหม่) ถ้าจิตเดิมแท้ ของพวกเธอยังมืดมัวอยู่ บุญกุศลทั้งหลายก็ยังจะไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย จงตั้งหน้าค้นหาปรัชญา (ปัญญา) ในใจของเธอเองแล้วเขียนโศลก (คาถา) มาให้เราโศลกหนึ่ง ว่าด้วยเรื่อง จิตเดิมแท้ ผู้ใดเข้าใจได้ถูกต้องว่า จิตเดิมแท้นั้นเป็นอย่างไร ผู้นั้นจะได้รับมอบผ้ากาสาวพัสตร์ (อันเป็นคำเครื่องหมายตำแหน่งพระสังฆปริณายก) พร้อมทั้งธรรมะ (อันเป็นคำสอนเร้นลับของนิกายธยานะ) และฉันจะสถาปนาผู้นั้นเป็นสังฆปริณายกองค์ที่หก (แห่งนิกายนี้) จงไปโดยเร็วอย่ารีรอในการเขียนโศลก การมัวตรึกตรองไม่จำเป็น, และไม่มีประโยชน์อะไร ผู้ที่รู้แจ้งชัดในจิตเดิมแท้จะพูดได้ทันทีที่มีใครมาชวนพูดด้วยเรื่องนั้น และมันจะไม่ละไปจากคลองแห่งญาณจักษุของเขา แม้ว่าเขาจะกำลังพุ่งชุลมุนอยู่กลางสนามรบก็ตามที”
เมื่อได้รับคำสั่งดังนั้น ศิษย์อื่นๆ (เว้นแต่ชินเชาหัวหน้าศิษย์) พากันถอยออกไปและกล่าวแก่กันและกันว่า “ไม่มีประโยชน์อะไร สำหรับคนชั้นพวกเราๆ ที่จะไปตั้งสมาธิเพ่งจิตเขียนโศลก ถวายคุณพ่อ เพราะว่าตำแหน่งสังฆปริณายกนั้น ใครๆ ก็เห็นว่าจะไม่พ้นมือท่านชินเชา ผู้เป็นหัวหน้าศิษย์ไปได้ เมื่อเราเขียนใช้ไม่ได้ มันก็เป็นการลงแรงเสียเปล่าๆ “ เมื่อได้ปรับทุกข์กันดังนี้แล้ว ศิษย์เหล่านั้นทุกคนได้พากันเลิกล้มความตั้งใจในการเขียนและว่าแก่กันว่า “เราจะไปทำให้มันเหนื่อยทำไม? ต่อไปนี้ เราคอยติดตามหัวหน้าของเรา คือชินเชาเท่านั้นก็พอแล้ว ไม่ว่าเขาจะไปข้างไหน เราจะตามเขาในฐานะเป็นผู้นำ”
ในขณะเดียวกันนั้น ชินเชา ผู้เป็นเชฏฐอันเตวาสิก ก็หยั่งทราบความเรื่องนี้ได้ด้วยตนเอง, รำพึงว่า “เมื่อพิจารณาดูถึงข้อที่ว่าเราเป็นครูสั่งสอนเขาอยู่ คงไม่มีใครเข้ามาเป็นคู่แข่งขัน ในการเขียนโศลกกับเรา แต่เรายังฉงนอยู่ว่า เราจะเขียนโศลกถวายพระสังฆปริณายกดีหรือไม่ ถ้าเราไม่เขียน พระสังฆปริณายกจะทราบได้อย่างไรว่า ความรู้ของเราลึกซึ้งหรือผิวเผินเพียงไหน ถ้าวัตถุประสงค์ในการเขียนของเราในครั้งนี้ ได้แก่ความหวังจะได้รับธรรมะจากพระสังฆปริณายก ก็แปลว่าเจตนาของเราบริสุทธิ์ แต่ถ้าเราเขียนเพราะอยากได้ตำแหน่งสังฆปริณายก นั่นแปลว่ามันเป็นความมีเจตนาชั่วในกรณีดังกล่าว จิตของเราก็เป็นจิตที่ข้องอยู่ในโลก และการกระทำของเราก็คือ การปล้นยื้อแย่งบัลลังก์อันศักดิ์สิทธิ์ของพระสังฆปริณายก แต่ถ้าเราจะไม่เขียนโศลกยื่นท่าน เราก็ไม่มีโอกาสจะได้รับทราบธรรมะนั้น มันช่างยากที่จะตัดสินใจเสียจริงๆ”
ที่หน้าหอสำนักของพระสังฆปริณายกนั้น มีช่องทางเดินตลอดสามช่วง, ที่ผนังของช่องเหล่านี้ โลชุน จิตรกรเอกแห่งราชสำนักได้เขียนภาพต่างๆ จาก “ลังกาวตารสูตร” แสดงถึงการกลับกลายร่างของผู้ที่เข้าประชุม และเขียนภาพอันแสดงถึงชาติวงศ์ ของพระสังฆปริณายกทั้งห้าองค์ เพื่อเป็นความรู้ของประชาชน และให้ประชาชนได้ทำสักการบูชา
เมื่อชินเชาแต่งโศลกเสร็จแล้ว ได้พยายามที่จะส่งต่อพระสังฆปริณายกตั้งหลายหน แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้จะถึงหอสำนักของพระสังฆปริณายกทีไร หัวใจเต้นเหงื่อกาฬแตกท่วมตัวทุกที เขาไม่สามารถที่จะแข็งใจเข้าไปส่งได้สำเร็จ ชั่วเวลาเพียง ๔ วัน เขาพายามถึง ๑๓ ครั้ง ในที่สุดเขาก็ตกลงใตว่า “เราจะเขียนมันไว้ที่ฝาผนังช่องทางเดินให้พระสังฆปริณายกท่านเห็นเองดีกว่า ถ้าถูกใจท่าน เราจึงค่อยออกมานมัสการท่าน และเรียนท่านว่าเราเป็นผู้เขียน, ถ้าท่านเห็นว่ามันผิดใช้ไม่ได้ ก็แปลว่าเราได้เสียเวลาไปหลายปีในการมาอยู่บนภูเขานี้ และทำให้ชาวบ้านหลงเคารพกราบไหว้เสียเป็นนาน โดยไม่คู่ควรกันเลย และเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็แปลว่าเราไม่ได้ก้าวหน้าในการศึกษาพระธรรมเลยแม้แต่น้อย มิใช่หรือ?”
ครั้นถึงเวลาเที่ยงคืนในวันนั้น ชินเชาถือตะเกียงลอบไปเขียนโศลกที่เขาแต่งขึ้นไว้ ที่ผนังช่องทางเดินทางทิศใต้ โดยหวังอยู่ว่าพระสังฆปริณายกจะได้เห็นและหยั่งทราบถึงวิปัสสนาญาณที่เขาได้บรรลุโศลกนั้นมีว่า :
“กายของเราคือต้นโพธิ์
ใจของเราคือกระจกเงาอันใส
เราเช็ดมันโดยระมัดระวังทุกๆ ชั่วโมง
และไม่ยอมให้ฝุ่นละอองจับ”
พอเขียนเสร็จ เขาก็รีบกลับไปห้องของเขาทันที โดยไม่มีใครทราบการกระทำของเขา ครั้นไปถึงแล้วเขาวิตกต่อไปว่า “พรุ่งนี้ถ้าพระสังฆปริณายกเห็นโศลกของเรา และพอใจ ก็แปลว่าเราพร้อมที่จะได้รับธรรมะอันลึกซึ้งของท่าน แต่ถ้าท่านติว่าใช้ไม่ได้ มันก็แปลว่าเรายังไม่สมควรที่จะได้รับธรรมะอันนั้น เนื่องจากความชั่วที่เราทำไว้แต่ชาติก่อนๆ มาหุ้มห่อใจเราอย่างหนาแน่น มันเป็นการยากเย็นเหลือเกินในการที่จะทายว่า พระสังฆปริณายกจะมีความรู้สึกอย่างไรในโศลกอันนั้น” เขาได้คิดทบทวนอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งคืนยังรุ่ง นั่งก็ไม่เป็นสุข นอนก็ไม่เป็นสุข
แต่พระสังฆปริณายกได้ทราบอยู่ก่อนแล้วว่า ชินเชาผู้นี้ยังไม่ได้ก้าวเข้าไปในประตูแห่งการตรัสรู้และเขายังไม่ซึมทราบในจิตเดิมแท้ (Essence of Mind)
พระสังฆปริณายก ได้กล่าวแก่โลชุนช่างเขียนว่า “เสียใจที่ได้รบกวนท่านให้มาถึงนี่ บัดนี้เห็นว่า ผนังเหล่านี้ไม่ต้องเขียนภาพเสียแล้ว เพราะสูตรๆ นั้นได้กล่าวไว้ว่า ‘สรรพสิ่งที่มีรูป หรือมีความปรากฏกิริยาอาการ ย่อมเป็นอนิจจังและเป็นมายา’ ฉะนั้นควรปล่อยโศลกนั้นไว้บนผนังอย่างนั้นเพื่อให้มหาชนได้ศึกษาและท่องบ่น และถ้าเขาปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อความที่สอนไว้นั้น เขาก็จะพ้นทุกข์ ไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิ อานิสงส์ที่ผู้ปฏิบัติตามจะพึงได้รับนั้นมีมากนัก”
ครั้นกล่าวดังนั้นแล้ว พระสังฆปริณายกได้สั่งให้นำเอาธูปเทียนมาจุดบูชาที่ตรงหน้าโศลกนั้น และสั่งให้ศิษย์ของท่านทุกคนทำความเคารพ แล้วจำเอาไปท่องบ่น เพื่อให้เขาสามารถพิจารณาเห็นจิตเดิมแท้ เมื่อศิษย์เหล่านั้นท่องได้แล้ว ทุกคนพากันออกอุทานว่า “สาธุ !”
ครั้นเวลาเที่ยงคืน พระสังฆปริณายกได้ให้คนไปตามตัวชินเชามาที่หอ แล้วถามว่าเขาเป็นผู้เขียนโศลกนั้นใช่หรือไม่ ชินเชาได้ตอบว่า “ใช่ขอรับ กระผมมิได้เห่อเหิมเพื่อตำแหน่งสังฆปริณายก, เพียงแต่หวังว่าคุณพ่อจะกรุณาบอกให้ทราบว่า โศลกนั้นแสดงว่ามีแววแห่งปัญญาอยู่ในนั้นบ้างสักเล็กน้อย หรือหาไม่”
พระสังฆปริณายกได้ตอบว่า “โศลกของเจ้าแสดงว่าเจ้ายังไม่ได้รู้แจ้ง จิตเดิมแท้ เจ้ามาถึงประตูแห่งการบรรลุธรรมแล้วเป็นนาน แต่เจ้ายังไม่ได้ก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป การแสวงหาความตรัสรู้อันสูงสุดด้วยความเข้าใจอย่างของเจ้าที่มีอยู่ในขณะนี้นั้น ยากที่จะสำเร็จได้”
“การที่ใครจะบรรลุอนุตตรสัมโพธิได้นั้น ผู้นั้นจะต้องสามารถรู้แจ้งด้วยใจเอง ในธรรมชาติแท้ของตัวเอง หรือที่เรียกว่า จิตเดิมแท้ อันเป็นสิ่งที่ใครสร้างขึ้นไม่ได้หรือทำลายให้สูญหายไปก็ไม่ได้ ชั่วเวลาขณะจิตเดียวเท่านั้น ผู้นั้นสามารถเห็นแจ้งจิตเดิมแท้ได้โดยตลอดกาลทั้งปวง ต่อจากนั้นทุกๆ สิ่งก็จะเป็นอิสระจากการถูกกักขังกล่าวคือจะเป็นวิมุติหลุดพ้นไป ตถตา (คือความเป็นแต่ที่เป็นอยู่เช่นนั้น ไม่อาจเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้, ซึ่งเป็นชื่อของจิตเดิมแท้อีกชื่อหนึ่ง) ปรากฏขึ้นเป็นครั้งเดียวหรือชั่วขณะจิตเดียว ผู้นั้นก็จะเป็นอิสระจากความหลงได้ตลอดกาลไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าสถานการณ์รอบข้างจะเป็นเช่นไร ใจของผู้นั้น ก็จะยังคงอยู่ในสภาพแห่ง “ความเป็นเช่นนั้น” สถานะเช่นนี้ ที่จิตได้ลุถึงนั่นแหละคือตัวสัจธรรมแท้ ถ้าเจ้าสามารถเห็นสิ่งทั้งปวง โดยลักษณะการเช่นนี้ เจ้าจะได้รู้แจ้งจิตเดิมแท้ ซึ่งเป็นการตรัสรู้อันสูงสุด”
“เจ้ากลับไปเสียก่อนดีกว่า ไปคิดมันอีกสักสองวัน แล้วเขียนโศลกอันใหม่มาให้ฉัน ถ้าโศลกของเจ้าแสดงว่า เจ้าข้ามพ้นประตูไปแล้ว ฉันจะมอบผ้ากาสาวพัสตร์ และธรรม(แห่งนิกายธยานะ)ให้แก่เจ้าสืบทอดไป”
ชินเชา กราบพระสังฆปริณายกแล้วหลีกไป เวลาล่วงเลยมาหลายวัน เขาก็ยังจนปัญญา ในการที่จะเขียนโศลกอันใหม่ มันทำให้ใจของเขาหกหัวกลับ ไม่รู้บนล่างเหมือนคนถูกผีอำ เป็นไข้ทั้งที่ตัวเย็นชืดเหมือนกับคนที่กำลังฝันร้ายจะนั่งหรือเดินอย่างไร ก็ไม่พบอิริยาบถที่ผาสุก
เวลาล่วงมาอีกสองวัน บังเอิญเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินผ่านมาทางห้องที่อาตมาตำข้าวอยู่ เด็กคนนั้น ได้เดินท่องโศลกของชินเชาที่จำมาจากฝาผนัง อย่างดังๆ พอได้ยินโศลกนั้น อาตมาก็ทราบได้ทันทีว่าผู้แต่งโศลกนั้นยังไม่ใช่ผู้เห็นแจ้งในจิตเดิมแท้ แม้ว่าในเวลานั้นอาตมายังมิได้รับคำอธิบายอะไรเกี่ยวกับข้อความในโศลกนั้น อาตมาก็ยังเข้าใจในความหมายทั่วๆ ไปของมันได้เป็นอย่างดีอยู่เองแล้ว
อาตมาถามเด็กนั้นว่า “โศลกอะไรกันนี่?” เด็กเขาตอบว่า “ท่านคนป่าคนเยิง, ท่านไม่ทราบเรื่องโศลกนี้ดอกหรือ? พระสังฆปริณายกได้ประกาศแก่ศิษย์ทั้งหลายว่า ปัญหาเรื่องการเกิดใหม่ไม่รู้สิ้นสุดนั้นเป็นปัญหาเฉพาะหน้าของคนทั้งหลาย, และว่าผู้ใดปรารถนาจะได้รับมอบผ้ากาสาวพัสตร์และธรรมะ (แห่งนิกายเซ็น) จะต้องเขียนโศลกให้ท่านโศลกหนึ่ง, และว่าผู้ที่รู้แจ้งจิตเดิมแท้ จะได้รับมอบของเหล่านั้นและจะถูกแต่งตั้งเป็นพระสังฆปริณายกองค์ที่หก ท่านชินเชาศิษย์ผู้อาวุโสได้เขียนโศลกเรื่อง “ไม่มีรูป” โศลกนี้ไว้ที่ผนังทางเดินด้านทิศใต้ และพระสังฆปริณายกสั่งให้พวกเราท่องบ่นโศลกอันนี้ไว้ และท่านยังได้กล่าวไว้ด้วยว่า ผู้ใดเก็บเอาคำสอนนี้ไปปฏิบัติผู้นั้นจะได้รับอานิสงส์เป็นอันมาก จะพ้นจากทุกข์แห่งการเกิดในอบายภูมิ”
อาตมาได้บอกแก่เด็กหนุ่มคนนั้นว่าอาตมาก็ปรารถนาที่จะท่องบ่นโศลกนั้นเหมือนกัน เผื่อว่าในภพเบื้องหน้า จะได้พบคำสอนเช่นนั้นอีก อาตมาได้บอกเขาด้วยว่า แม้อาตมาจะได้ตำข้าวอยู่ที่นี่ตั้งแปดเดือนมาแล้ว ก็ไม่เคยเดินผ่านไปแถวช่องทางเดินเหล่านั้นเลย เขาจะต้องนำอาตมาไปถึงที่ที่โศลกนั้นเขียนไว้บนผนัง เพื่อให้อาตมาได้มีโอกาสทำการบูชาโศลกนั้น ด้วยตนเอง
เด็กหนุ่มนั้นนำอาตมาไปยังที่นั่นอาตมาขอร้องให้เขาช่วยอ่านให้ฟัง เพราะอาตมาไม่รู้หนังสือ เจ้าหน้าที่เสมียนพนักงานแห่งตำบลกองเจาคนหนึ่ง ชื่อ จางตัตยุง เผอิญมาอยู่ที่นั้นด้วย ได้ช่วยอ่านให้ฟัง เมื่อเขาอ่านจบ อาตมาได้บอกแก่เขาว่า อาตมาก็ได้แต่งโศลกไว้โศลกหนึ่งเหมือนกัน และขอให้เขาช่วยเขียนให้อาตมาด้วย เขาออกอุทานว่า “พิลึกกึกกือเหลือเกิน ที่ท่านก็มาแต่งโศลกกับเขาได้ด้วย”
อาตมาได้ตอบว่า “ถ้าท่านเป็นผู้ที่เสาะแสวงหาการบรรลุธรรมอันสูงสุดคนหนึ่งกะเขาด้วยละก็, ท่านอย่าดูถูกคนเพิ่งเริ่มต้น ท่านควรจะรู้ไว้ว่าคนที่ถูกจัดเป็นคนชั้นต่ำก็อาจมีปฏิภาณสูงได้เหมือนกันและคนชั้นสูง ก็ปรากฏว่ายังขาดสติปัญญาอยู่บ่อยๆ ถ้าท่านดูถูกคนก็ชื่อว่า ท่านทำบาปหนัก”
เขากล่าวว่า “ไหนเล่า จงบอกโศลกของท่านมาซี ฉันจะช่วยเขียนให้ท่าน แต่อย่าลืมช่วยฉันนะ ขอให้ท่านลุความสำเร็จในธรรมของท่านเถิด” โศลกของอาตมามีว่า :
“ไม่มีต้นโพธิ์
ทั้งไม่มีกระจกเงาอันใสสะอาด
เมื่อทุกสิ่งว่างเปล่าแล้ว
ฝุ่นจะลงจับอะไร?”
เมื่อเขาเขียนโศลกนี้ลงที่ผนังแล้ว ทั้งพวกศิษย์และคนนอกทุกคน ที่อยู่ที่นั่นต่างพากันประหลาดใจอย่างยิ่ง จิตใจเต็มตื้นไปด้วยความชื่นชม เขาพากันกล่าวแก่กันและกันว่า “น่าประหลาดเหลือเกิน ไม่ต้องสงสัยเลย เราไม่ควรตัดสินใครว่าเป็นอย่างไร ด้วยการเอารูปร่างภายนอกเป็นประมาณ มันเป็นไปได้อย่างไรกันหนอ ที่เราพากันใช้สอยโพธิสัตว์ผู้อวตาร ให้ทำงานหนักให้แก่เรา มานานถึงเพียงนี้?”
พระสังฆปริณายกเห็นคนเหล่านั้นพากันเต็มตื้นไปด้วยความอัศจรรย์ใจ ท่านจึงเอารองเท้าลบโศลก อันที่เป็นของอาตมาออกเสีย ถ้าไม่ทำดังนั้น พวกคนที่มักริษยาจะพากันทำร้ายอาตมา พระสังฆปริณายก แสดงความรู้สึกบางอย่างออกมา ซึ่งทำให้คนเหล่านั้นพอใจที่จะคิดว่า แม้ผู้ที่เขียนโศลกอันนี้ ก็ยังไม่ใช่เป็นผู้ที่เห็นแจ้งจิตเดิมแท้เหมือนกัน!
วันรุ่งขึ้น พระสังฆปริณายกได้ลอบมาที่โรงตำข้าวอย่างเงียบๆ ครั้นเห็นอาตมาตำข้าวอยู่ด้วยสากหิน ท่านกล่าวแก่อาตมาว่า “ผู้ค้นหาหนทางต้องยอมเสี่ยงชีวิตของตนเพื่อธรรมะ เขาควรทำเช่นนั้นมิใช่หรือ?” แล้วท่านถามอาตมาต่อไปว่า “ข้าวได้ที่แล้วหรือ?” อาตมาตอบท่านว่า “ได้ที่นานแล้ว ยังรอคอยอยู่ก็แต่ตะแกรงสำหรับร่อนเท่านั้น” ท่านเคาะครกตำข้าวด้วยไม้เท้า ๓ ครั้ง แล้วก็ออกเดินไป
อาตมาทราบดีว่า การบอกใบ้เช่นนั้น หมายความว่ากระไร ดังนั้นในเวลาสามยามแห่งคืนนั้น อาตมาจึงไปที่ห้องท่าน ท่านใช้จีวรขึ้นขึงบังมิให้ใครเห็นเราทั้งสอง แล้วท่านก็ได้อธิบายข้อความอันลึกซึ้งในวัชรสูตร (กิมกังเก็ง) ให้แก่อาตมา เมื่อท่านได้อธิบายมาถึงข้อความที่ว่า “คนเราควรจะใช้จิตของตน ในวิถีทางที่มันจะเป็นอิสระได้จากเครื่องข้องทั้งหลาย” ทันใดนั้น อาตมาก็ได้บรรลุการตรัสรู้ธรรมโดยสมบูรณ์และได้เห็นแจ้งชัดว่า “ที่แท้ทุกๆ สิ่งในสากลโลกนี้ก็คือตัว จิตเดิมแท้นั่นเอง มิใช่อื่นไกล”
อาตมาได้ร้องขึ้นในที่เฉพาะหน้าพระสังฆปริณายก ในที่นั้นว่า “แหม! ใครจะไปคิดว่า จิตเดิมแท้ นั้นเป็นของบริสุทธิ์ อย่างบริสุทธิ์แท้จริง! ใครจะไปคิดว่า จิตเดิมแท้นั้น เป็นอิสระไม่อยู่ภายใต้อำนาจความต้องเป็นอยู่ หรือภายใต้ความดับสูญ อย่างอิสระแท้จริง! ใครจะไปคิดว่า จิตเดิมแท้นั้น เป็นสิ่งที่มีความสมบูรณ์อยู่ในตัวมันเองอย่างสมบูรณ์แท้จริง! ใครจะไปคิดว่า จิตเดิมแท้ นั้น เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความปลี่ยนแปลง อ่างนอกเหนือแท้จริง! ใครจะไปคิดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏออกมานี้ ไหลเทออกมาจากตัว จิตเดิมแท้!”
เมื่อพระสังฆปริณายก สังเกตเห็นว่า อาตมาได้เห็นแจ้งแล้วในจิตเดิมแท้ ท่านได้กล่าวว่า “สำหรับผู้ที่ไม่รู้จักจิตใจของตัวเองว่าคืออะไร ก็ป่วยการที่ผู้นั้นจะศึกษาพุทธศาสนา ตรงกันข้าม, ถ้าผู้ใดรู้จักจิตใจของตนเองว่าเป็นอะไร และเห็นด้วยปัญญาอย่างซึมซาบว่าธรรมชาติแท้ของตนคืออะไรด้วยแล้ว ผู้นั้นคือวีรมนุษย์ (นายโรงโลก) คือ ครูของเทวดาและมนุษย์ คือพุทธะ”
ดังนั้น, ในฐานะที่ความรู้ย่อมไม่เป็นของบุคคลใดแต่ผู้เดียว ธรรมะอันนั้นจึงถูกมอบตกทอดมายังอาตมาในเที่ยงคืนวันนั้นเอง, ผลก็คืออาตมาเป็นทายาทผู้ได้รับมอบทอดช่วงคำสั่งสอนแห่งนิกาย “ฉับพลัน” (Sudden School) พร้อมทั้งจีวรและบาตร (อันเป็นเครื่องหมายตำแหน่งสังฆปริณายกแห่งนิกายนี้สืบลงตั้งแต่สังฆปริณายกองค์แรก)
พระสังฆปริณายกได้กล่าวสืบไปว่า “บัดนี้ ท่านเป็นสังฆปริณายกองค์ที่หก ท่านต้องคุ้มครองตัวของท่านให้ดี จงช่วยมนุษย์ให้มากพอที่จะช่วยได้ จงทำการเผยแพร่คำสอน และสืบอายุคำสอนไว้อย่าให้ขาดตอนลงได้” จงจำโศลกโคลงอันนี้ของเราไว้ :
“สัตว์ที่มีความรู้สึกนึกคิด ซึ่งเราหว่านเมล็ดพืชพันธุ์แห่งการตรัสรู้
ลงในเนื้อนาแห่งความเป็นไปตามอำนาจแห่งเหตุผลแล้วจะเก็บเกี่ยวผลถึงพุทธภูมิ
วัตถุมิใช่สัตว์ที่มีความรู้สึกนึกคิดเป็นสิ่งว่างเปล่าจากธรรมชาติแห่งพุทธะ
ย่อมไม่หว่าน และไม่เก็บเกี่ยวเลย”
แล้วท่านได้กล่าวสืบไปว่า “เมื่อพระสังฆปริณายกนามว่าโพธิธรรมได้มาสู่ประเทศจีนนี้เป็นครั้งแรก ชาวจีนส่วนมากไม่ยอมเชื่อในท่าน, ดังนั้น ผ้ากาสาวพัสตร์นี้ จึงเกิดเป็นธรรมเนียมที่จะต้องมอบต่อๆ กันไป จากพระสังฆปริณายกองค์หนึ่งไปยังอีกองค์หนึ่งในฐานะเป็นเครื่องหมาย สำหรับธรรมะนั้นเล่า ก็มอบทอดช่องกันไปตัวต่อตัวโดยทางใจ (จิตถึงจิต) ไม่เกี่ยวกับคัมภีร์และผู้รับมอบนั้นต้องเป็นผู้ที่เห็นธรรมะนั้นแล้วอย่างแจ่มแจ้ง ด้วยความพยายามของตนเองโดยเฉพาะนับตั้งแต่อดีตกาลอันกำหนดนับไม่ได้เป็นต้นมา เป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันสำหรับสำหรับพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ก็จะมอบหัวใจคำสอนของพระองค์ให้แก่ผู้จะสืบอายุพระพุทธศาสนาต่อไป, แม้สำหรับพระสังฆปริณายก หัวหน้าแห่งนิกายองค์หนึ่งๆ ก็เหมือนกัน ย่อมจะมอบคำสอนอันเร้นลับแห่งนิกายนั้นโดยตัวต่อตัวให้แก่พระสังฆปริณายกที่รองลำดับลงไปโดยความรู้ทางใจ (ไม่เกี่ยวกับตำรา) แต่สำหรับผ้ากาสาวพัสตร์และบาตรนี้อาจเป็นต้นเหตุแห่งการยื้อแย่งเถียงสิทธิกันขึ้นก็ได้ ท่านเป็นคนสุดท้ายที่ได้รับมอบในเวลานี้ ท่านควรมอบมันไปเสียแก่ผู้ที่จะรับสืบต่อจากท่านได้ ชีวิตของท่านกำลังล่อแหลมต่ออันตราย จงเดินทางไปเสียจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ มิฉะนั้นจะมีคนทำอันตรายท่าน”
อาตมาถามท่านว่า ควรจะไปทางไหน ท่านตอบว่า “จงหยุดที่ตำบลเวย แล้วซ่อนอยู่ผู้เดียวที่ตำบลวุย”
เมื่อได้รับมอบผ้ากาสาวพัสตร์และบาตรในตอนเที่ยงคืนเสร็จแล้ว อาตมาได้กล่าวกะท่านว่า เนื่องจากตัวเป็นชาวใต้ จะรู้จักเดินทางไปตามภูเขาได้อย่างไร และไม่สามารถเดินไป (เพื่อลงเรือ) ที่ปากแม่น้ำได้ ท่านตอบว่า “อย่าร้อนใจ เราจะไปด้วย”
ท่านได้มาเป็นเพื่อนอาตมา จนถึงกิวเกียง, ณ ที่นั้นท่านได้บอกให้อาตมาลงเรือลำหนึ่ง ท่านแจวเรือนั้นด้วยตัวเอง อาตมาจึงขอร้องให้ท่านนั่งลงเสีย และอาตมาจะแจวเอง ท่านตอบว่า “มันเป็นสิทธิฝ่ายเราผู้เดียวเท่านั้นในการที่จะพาท่านข้ามไป (ในที่นี้หมายถึงทะเลแห่งการเกิดตาย ซึ่งคนเราจะต้องข้าม ก่อนแต่จะลุถึงฝั่งคือนิพพาน) “ อาตมาจึงตอบท่านว่า “เมื่อกระผมยังอยู่ภายใต้โมหะ ก็เป็นหน้าที่ที่คุณพ่อจะต้องพากระผมข้ามไป แต่เมื่อได้บรรลุธรรมเป็นการตรัสรู้แล้ว กระผมก็ควรจะข้ามมันด้วยตนเอง (คำว่า ‘ข้าม’ ทั้งสองแห่งนั้น แม้เขียนเหมือนกัน แต่ความหมายต่างกัน) โดยที่กระผมเกิดที่บ้านนอกชายแดน แม้การพูดจาของกระผมยังแปร่งไม่ถูกต้องในการออกเสียงก็ตาม แต่กระผมก็ได้รับเกียรติจากคุณพ่อในการที่ได้รับมอบธรรมะอันนั้นจากคุณพ่อ, ฉะนั้นก็แปลว่ากระผมได้บรรลุธรรมแล้ว มันควรจะเป็นสิทธิของกระผม ในการที่จะพาตัวเองข้ามทะเลแห่งความเกิดตายไปได้ด้วยการที่ตนเห็นแจ้ง จิตเดิมแท้ของตนเองแล้ว”
“ถูกแล้ว ถูกแล้ว,” ท่านรับรอง แล้วท่านกล่าวต่อไปว่า “นับจำเดิมแต่นี้เป็นต้นไป เพราะอาศัยท่านเป็นเหตุ พุทธศาสนา (หมายถึงนิกายธยานะ) จะแผ่กว้างขวางไพศาล, นับตั้งแต่จากกันวันนี้แล้วอีกสามปีเราก็จะลาจากโลกนี้ไป ท่านจงเริ่มต้นการจาริกของท่านตั้งแต่บัดนี้เถิด, จงลงไปทางใต้ให้เร็วเท่าที่จะเร็วได้ อย่าด่วนทำการเผยแพร่ให้เร็วเกินไป เพราะว่าพุทธธรรมนี้ (หมายถึงนิกายธยานะ) ไม่เป็นของที่เผยแพร่ได้โดยง่ายเลย”
เมื่อได้กล่าวคำอำลาท่านแล้ว อาตมาก็จากท่านเดินทางลงมาทางทิศใต้ เป็นเวลาประมาณสองเดือน อาตมาก็มาถึงภูเขาไต้ยู ณ ที่นี้ อาตมาได้สังเกตเห็นว่ามีคนหลายร้อยคนติดตามรอยอาตมามาด้วยหวังจะยื้อแย่งผ้ากาสาวพัสตร์ และบาตร (เป็นปูชนียวัตถุของพระพุทธเจ้า)
ในจำพวกคนที่ติดตามมานั้นมีภิกษุอยู่ด้วยรูปหนึ่งชื่อไวมิง เมื่อเป็นฆราวาสใช้แซ่สกุลว่า เซ็น และมียศนายทหารเป็นนายพลจัตวา, มีกิริยาหยาบคายโทสะฉุนเฉียว ในบรรดาคนที่ติดตามอาตมามานั้นเขาเป็นคนที่สะกดรอยเก่งที่สุด ครั้นเขามาใกล้จวนจะถึงตัวอาตมา อาตมาก็วางผ้ากาสาวพัสตร์กับบาตรลงบนก้อนหิน ประกาศว่า “ผ้านี้ไม่เป็นอะไรอื่น นอกจากจะเป็นเครื่องหมายเท่านั้น จะมีประโยชน์อะไรในการที่จะยื้อแย่งเอาไปด้วยกำลัง” (แล้วอาตมาก็หลบไปซ่อนเสีย)
ครั้นภิกษุไวมิงมาถึงก้อนหินนั้นเขาพยายามที่จะหยิบมันขึ้น แต่กลับปรากฏว่าเขาไม่สามารถจะทำเช่นนั้นได้ แล้วเขาได้ตะโกนว่า “พ่อน้องชาย พ่อน้องชาย, ฉันมาเพื่อหาธรรมะ ไม่ใช่มาเพื่อเอาผ้า,” (พึงทราบว่าเวลานี้ พระสังฆปริณายกองค์ที่หกนี้ยังไม่ได้รับการอุปสมบทจึงถูกเรียกว่า พ่อน้องชาย, เหมือนที่ฆราวาสเขาเรียกกัน)
ต่อจากนั้น อาตมาก็ออกจากที่ซ่อน นั่งลงบนก้อนหินนั้น ภิกษุไวมิงทำความเคารพ แล้วกล่าวว่า “น้องชาย แสดงธรรมแก่ฉันเถิดช่วยที”
อาตมาได้กล่าวกะภิกษุไวมิงว่า “เมื่อความประสงค์แห่งการมาเป็นความประสงค์เพื่อจะฟังธรรมแล้ว ก็จงระงับใจไม่ให้คิดถึงสิ่งใดๆ แล้วทำใจของท่านให้ว่างเปล่า, เมื่อนั้นข้าพเจ้าจึงจะสอนท่าน” ครั้นเขาทำดังนั้นชั่วเวลาพอสมควรแล้ว อาตมาได้กล่าวว่า “เมื่อท่านทำในใจไม่คิดทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว (รู้จักสิ่งที่ไม่ดีและไม่ชั่ว) แล้วในเวลานั้นเป็นอะไร ท่านที่นับถือ, นั่นคือธรรมชาติแท้ของท่าน (ตามตัวหนังสือ, เรียก หน้าตาดั้งเดิมของท่าน) มิใช่หรือ?”
พอภิกษุไวมิงได้ฟังดังนั้น ท่านก็บรรลุธรรมทันที แต่ท่านได้ถามต่อไปว่า “นอกจากคำสอนและข้อคิดอันเร้นลับ ที่พระสังฆปริณายกท่านมอบต่อๆ กันลงไป หลายชั่วพระสังฆปริณายกมากันแล้วนั้น ยังมีคำสอนเร้นลับอะไรอีกบ้างไหม?” อาตมาตอบว่า “สิ่งที่ข้าพเจ้านำมาสอนให้ท่านได้นั้น ไม่ใช่ข้อเร้นลับอะไร คือถ้าท่านมองย้อนเข้าข้างใน ท่านจะเห็นสิ่งซึ่งเร้นลับมีอยู่ในตัวท่านแล้ว”
ภิกษุไวมิงได้กล่าวขึ้นว่า “แม้ฉันจะอยู่ที่วองมุยมานมนาน ฉันก็ไม่ได้เห็นแจ้งตัวธรรมชาติแท้ของจิตฉันเลย บัดนี้รู้สึกขอบคุณเหลือเกินในการชี้ทางของท่าน ฉันรู้สิ่งนั้นชัดเจน เหมือนที่คนดื่มน้ำเขารู้แจ้งชัดว่า น้ำที่เขาดื่มนั้นร้อนหรือเย็นอย่างไร พ่อน้องชายเอ๋ย บัดนี้ท่านเป็นครูของฉันแล้ว”
อาตมาตอบว่า “ถ้าเป็นดังนั้นจริงแล้ว ท่านกับข้าพเจ้า ก็เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกัน ของพระสังฆปริณายกองค์ที่ห้า ท่านจงคุ้มครองตัวของท่านให้ดีเถิด” เมื่อเขาถามอาตมาว่าต่อจากนี้ไปเขาควรจะไปทางไหน อาตมาก็ตอบแก่เขาว่า ให้เขาหยุดที่ตำบลย็วนแล้วตั้งพำนักอาศัยที่ตำบลม็อง เขาก็ทำความเคารพแล้วจากกันไป”
ต่อมาไม่นาน อาตมาก็ไปถึงตำบลโซกาย, ณ ที่นั้น พวกใจบาปได้ตามจองล้างจองผลาญอาตมาอีก ทำให้อาตมาต้องหลบซ่อนอยู่ที่ซีวุยอันเป็นที่ซึ่งอาตมาได้อาศัยอยู่กับพวกพรานป่าตลอดเวลาถึง ๑๕ ปี ในบางโอกาส อาตมาก็หาทางสั่งสอนเขาตามที่เขาพอจะเข้าใจได้บ้าง เขาเคยใช้อาตมาให้นั่งเฝ้าข่ายดักจับสัตว์ของเขา, เมื่ออาตมาเห็นสัตว์มาติดที่ข่ายนั้น ก็ปลดปล่อยให้รอดชีวิตไป ในเวลาหุงต้มอาหาร อาตมานำผักมาใส่ลงไปในหม้อที่เขากำลังต้มหรือแกงเนื้อ บางคนสงสัยก็ถามอาตมา อาตมาตอบให้ฟังว่า แม้เนื้อนั้นแกงรวมกันอยู่กับผัก อาตมาก็จะคัดเลือกรับประทานแต่ผักอย่างเดียวเท่านั้น
วันหนึ่ง อาตมารำพึงในใจตนเองว่า อาตมาไม่ควรจะเก็บตัวซ่อนอยู่เช่นนี้ตลอดไป มันถึงเวลาแล้ว ที่อาตมาจะทำการประกาศธรรม ดังนั้นอาตมาจึงออกจากที่นั้น และได้ไปสู่อาวาสฟัดฉิ่นในนครกวางตุ้ง
ในขณะนั้น ภิกษุเยนซุง ผู้เป็นธรรมาจารย์มีชื่อองค์หนึ่งกำลังเทศนาว่าด้วยมหาปรินิรวาณสูตร อยู่ในอาวาสนั้น มันเป็นการบังเอิญในวันนั้น เมื่อธงริ้วกำลังถูกลมพัดสะบัดพริ้วๆ อยู่ในสายลม ภิกษุสองรูปเกิดโต้เถียงกันขึ้นว่าสิ่งที่กำลังไหวสั่นระรัวอยู่นั้นได้แก่ลมหรือได้แก่ธงนั้นเล่า, เมื่อไม่มีทางที่จะตกลงกันได้ อาตมาจึงเสนอข้อตัดสินให้แก่ภิกษุสองรูปนั้นว่า ไม่ใช่ลมหรือธงทั้งสองอย่าง ที่แท้จริงที่หวั่นไหวจริงๆ นั้นได้แก่จิตของภิกษุทั้งสองรูปนั้นเองต่างหาก ที่ประชุมที่กำลังประชุมกันอยู่ในที่นั้น พากันตื่นตะลึงในถ้อยคำที่อาตมาได้กล่าวออกไป และภิกษุเยนชุง ได้อาราธนาอาตมาให้ขึ้นนั่งบนอาสนะอันสูง แล้วได้ซักถามปัญหาที่เป็นปมยุ่งต่างๆ ในพระสูตรที่สำคัญๆ หลายสูตร
เมื่อได้เห็นว่า คำตอบของอาตมาชัดเจนแจ่มแจ้งและมั่นคงและเห็นว่าเป็นคำตอบที่มีอะไรสูงยิ่งไปกว่าความรู้ที่จะหาได้จากตำราแล้วภิกษุเยนชุงได้กล่าวแก่อาตมาว่า “น้องชาย, ท่านต้องเป็นบุคคลพิเศษเหนือธรรมดาเป็นแน่ เราได้ฟังข่าวมานานแล้วว่าบุคคลผู้ได้รับมอบผ้ากาสาวพัสตร์ และธรรมะจากพระสังฆปริณายกองค์ที่ห้านั้น บัดนี้ได้เดินทางลงมาทางทิศใต้แล้ว ท่านต้องเป็นบุคคลผู้นั้น เสียแน่แล้ว”
อาตมา ได้แสดงกิริยายอมรับโดยอ่อนน้อม ทันใดนั้น ภิกษุเยนชุงได้ทำความเคารพ และขอให้อาตมานำผ้าและบาตร ซึ่งได้รับมอบ ออกมาให้ที่ประชุมดูด้วย แล้วได้ถามอาตมาสืบไปว่า เมื่อพระสังฆปริณายกองค์ที่ห้ามอบธรรมอันเร้นลับสำหรับสังฆปริณายกให้แก่อาตมานั้น อาตมารับคำสั่งสอนอะไรอย่างใดบ้าง
อาตมาตอบว่า “นอกจากการคุ้ยเขี่ยด้วยเรื่องการเห็นแจ้งชัดในจิตเดิมแท้แล้ว ท่านไม่ได้ให้คำสอนอะไรอีกเลย ท่านไม่ได้เอ่ยถึงแม้เต่เรื่องธยานะ (คือฌาน) และวิมุติ” ภิกษุเยนชุงสงสัย จึงถามอาตมาว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น อาตมาตอบว่า เพราะว่ามันจะทำให้เกิดความหมายว่า มีหนทางขึ้นถึงสองทาง ก็ทางในพุทธธรรมนี้จะมีถึงสองทางไม่ได้ มันมีแต่ทางเดียวเท่านั้น
ภิกษุเยนชุง ถามอาตมาต่อไปว่าที่ว่ามีแต่ทางเดียวนั้นคืออะไร อาตมาตอบว่า “ก็มหาปรินิรวาณสูตรซึ่งท่านนำออกเทศนาอยู่นั่นเองย่อมชี้ให้เห็นอยู่แล้วว่า ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ (ซึ่งมีอยู่ในคนทุกคน) นั่นแหละคือทางทางเดียว ยกตัวอย่างตอนหนึ่งในสูตรนั้นมีว่า พระเจ้าโกไกวตั่ก ซึ่งเป็นโพธิสัตว์องค์หนึ่ง ได้กราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า บุคคลที่ล่วงปาราชิกสี่อย่างก็ดี หรือทำอนันตริยกรรมห้าอย่างก็ดี และพวกอัจฉันติกะ (คือมิจฉาทิฏฐินอกศาสนา) ก็ดี ฯลฯ คนเหล่านี้ จะได้ชื่อว่าถอนรากเง่าแห่งความมืด และทำลายธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะของตนเองเสียแล้ว โดยสิ้นเชิงหรือหาไม่? พระพุทธเจ้าได้ตรัสตอบว่า รากเง่าของความดีนั้น มีอยู่สองชนิดคือ ชนิดที่ถาวรตลอดอนันตกาล กับไม่ถาวร (Eternal, and Non-eternal) เพราะเหตุที่ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะนั้น จะเป็นของถาวรตลอดอนันตการก็ไม่ใช่ จะว่าไม่ถาวรก็ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นรากเง่าแห่งความดีของเขา จึงไม่ถูกถอนขึ้นโดยสิ้นเชิง” ในบัดนี้ก็เป็นที่ปรากฏแล้วว่า พุทธธรรมมิได้มีทางสองทาง ที่ว่าทางฝ่ายดีก็มี ทางฝ่ายชั่วก็มี นั้นจริงอยู่ แต่เพราะเหตุที่ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะนั้น เป็นของไม่ดี ไม่ชั่ว เพราะฉะนั้น พุทธธรรมจึงเป็นที่ปรากฏว่าไม่มีทางถึงสองทาง ตามความคิดของคนธรรมดาทั่วไปนั้นเข้าใจว่า ส่วนย่อยๆ ของขันธ์และธาตุทั้งหลายนั้น เป็นของที่แบ่งแยกออกได้เป็นสองอย่าง แต่ผู้ที่ได้บรรลุธรรมแล้ว ย่อมเข้าใจได้ว่า สิ่งเหล่านั้นตามธรรมชาติไม่ได้เป็นของคู่เลย พุทธภาวะหรือธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะนั้นไม่ใช่เป็นของคู่”
ภิกษุเยนชุงพอใจในคำตอบของอาตมาเป็นอย่างสูง ได้ประนมมือทั้งสองขึ้นเป็นการแสดงความเคารพแล้วท่านได้กล่าวแก่อาตมาว่า “คำอธิบายความในพระสูตรที่ข้าพเจ้าเองอธิบายไปแล้วนั้น ไร้มูลค่าเช่นเดียวกับกองขยะมูลฝอยอันระเกะระกะไปหมด ส่วนคำอธิบายของท่านนั้น เต็มไปด้วยคุณค่าเปรียบเทียบเหมือนทองคำเนื้อบริสุทธิ์” ครั้นแล้วท่านได้จัดการให้อาตมาได้รับการประกอบพิธีปลงผม และรับการบรรพชาอุปสมบท เป็นภิกษุในพุทธศาสนา และได้ขอร้องให้อาตมารับท่านไว้ในฐานะเป็นศิษย์คนหนึ่งด้วย
จำเดิมแต่นั้นมา อาตมาก็ได้ทำการเผยแพร่คำสอนแห่งสำนักตุงคือสำนักแห่งพระสังฆปริณายกองค์ที่สี่ และองค์ที่ห้า (ซึ่งอยู่ในวัดตุงซั่น) ตลอดมาภายใต้ร่มเงาของต้นโพธิ์
นับตั้งแต่อาตมาได้รับมอบพระธรรมมาจากสำนักตุงซั่นแล้ว อาตมาต้องตกระกำลำบากหลายครั้งหลายหน ชีวิตปิ่มจะออกจากร่างอยู่บ่อยๆ วันนี้อาตมาได้มีเกียรติมาพบกับท่านทั้งหลาย ในที่ประชุมนี้ ทั้งนี้ อาตมาต้องถือว่า เป็นเพราะเราได้เคยติดต่อสัมพันธ์กันมาเป็นอย่างดีแล้วแต่ในกัลป์ก่อนๆ รวมทั้งอานิสงส์แห่งบุญกุศลที่เราได้สะสมกันไว้ ในการถวายไทยธรรมร่วมกันมาแด่พระพุทธเจ้าหลายพระองค์ในชาติก่อนๆ ของเรานั่นเอง มิฉะนั้นแลวไฉนเราจะมีโอกาสได้ยินได้ฟังคำสอนแห่ง “สำนักบรรลุฉับพลัน” (Sudden School) อันเป็นรากฐานที่ทำให้เราเข้าใจพระธรรมได้แจ่มแจ้งในอนาคตนั้นเล่า
คำสอนอันนี้ เป็นคำสอนที่ “ได้มอบสืบทอดต่อๆ กันลงมาจากพระสังฆปริณายกองค์ก่อนๆ หาใช่เป็นคำสอนที่อาตมาประดิษฐ์คิดขึ้นด้วยตนเองไม่ ผู้ที่ปรารถนาจะสดับพระธรรมนั้น ในขั้นแรกควรจะชำระใจของตนให้บริสุทธิ์เสียก่อน ครั้นได้ฟังแล้ว ก็ควรจะชะล้างความสงสัยของตน ให้เกลี้ยงเกลาไปเฉพาะตนๆ โดยทำนองที่พระมุนีทั้งหลายในกาลก่อนได้เคยกระทำกันมา จงทุกคนเถิด”
ครั้นจบพระธรรมเทศนา ผู้ฟังพากันปลาบปลื้มด้วยปีติ ทำความเคารพแล้วลาไป
สิ่งทุกสิ่ง ไม่ว่าดีหรือเลว สวยงามหรือน่าเกลียด
ควรจัดเป็นของว่างอย่างเดียวกัน
แม้ในขณะที่โต้เถียงและทะเลาะวิวาท
เราควรประพฤติต่อเพื่อนและต่อศัตรูของเรา อย่างเดียวกัน
และไม่มีการนึกถึงการแก้เผ็ด ในการฝึกความนึกคิดของตนเอง
จงปล่อยให้อดีตเป็นอดีต ถ้าเราเผลอให้ความคิดของเรา
ที่เป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต มาจับติดต่อกัน เป็นห่วงโซ่แล้ว
ก็หมายว่าเราจับตัวเองใส่กรงขัง
ในฝ่ายตรงกันข้าม ถ้าเราไม่ยอมให้ใจของเรา
ข้องติดอยู่ในสิ่งใดๆ เราจะลุถึงความหลุดพ้น
เพื่อผลอันนี้ เราจึงถือเอา “ความไม่ข้องติด”
ว่าเป็นหลักหรือต้นตอ อันเป็นประธานสำคัญ
ผู้ที่ด่วนเดินมุ่งแน่วไปตามทางที่ถูกต้องนั้น
ย่อมไม่มองเห็นความผิดต่างๆ ในโลกนี้
ถ้าเราพบความผิดในบุคคลอื่น
เราเองก็ตกอยู่ในความผิดนั้นด้วยเหมือนกันฯ
เมื่อผู้อื่นทำผิด เราไม่จำต้องเอาใจใส่
เพราะมันจะเกิดความผิดขึ้นแก่เราเอง
ในการที่จะไปรื้อหาความผิด ฯ
โดยการสลัดนิสัยที่ชอบค้นหาความผิดของคนอื่น
ออกไปเสียจากสันดาน
เราย่อมตัดวิถีทางการมาของกิเลส ได้เป็นอย่างดี ฯ
ผู้มีใจเที่ยงธรรม
การรักษาศีลไม่เป็นของจำเป็น
ผู้มีความประพฤติตรงแน่ว
การปฏิบัติในทางณานมันจะมีมาเอง (แม้จะไม่ตั้งใจทำ)
สิ่งที่มีรสขม ย่อมถูกใช้เป็นยาที่ดี
สิ่งที่ฟังแล้วไม่ไพเราะหู
นั้นคือคำตักเตือนอันจริงใจของผู้เตือนที่แท้จริง
จากการแก้ไขความผิดให้กลับเป็นของถูก เราย่อมได้รับสติปัญญา
โดยการต่อสู้เพื่อรักษาความผิดของตัวไว้
เราแสดงนิมิตแห่งความมีจิตผิดปรกติออกมา
ท่านผู้คงแก่เรียนทั้งหลาย, สมาธิและปรัชญานั้น
ควรจะเปรียบกับอะไรเล่า? ธรรมะสองชื่อนี้
ควรจะเปรียบกันกับตะเกียง และแสงของมันเอง
มีตะเกียง ก็มีแสง, ไม่มีตะเกียง มันก็มืด
ตะเกียงนั่นแหละคือตัวการแท้ของแสงสว่าง
และแสงสว่างเป็นแต่สิ่งซึ่งแสดงออกของตะเกียง
โดยชื่อฟังดูเป็นสองอย่าง แต่โดยเนื้อแท้แล้ว
มันเป็นของอย่างเดียว และเป็นทั้งของอย่างเดียวกันด้วย
กรณีเช่นนี้แหละได้แก่สมาธิและปรัชญา
การน้อมใจของเรา
ให้ถือเอา “ความรู้แจ้ง” เป็นที่พึ่งได้
จนถึงกับความรู้สึกที่ชั่วร้าย และผิดธรรม
ไม่อาจเกิดขึ้นได้
ตัณหาห่างจากไป, ความตึงเครียดไม่ปรากฏ
ราคะและโลภะไม่รึงรัดอีกต่อไป
นั่นแหละคือยอดสุดทั้งของบุญและปัญญา
การน้อมใจของเรา ให้ถือเอา “ความบริสุทธิ์” เป็นที่พึ่งได้
จนถึงกับไม่ว่าสถานการณ์อันใดจะเข้ามาแวดล้อมใจ
ก็ไม่ถูกทำให้เปื้อนด้วยวัตถุกามารมณ์ อันน่าขยะแขยง,
ด้วยความทะเยอทะยานและตัณหา
นั่นแหละ คือคุณชาติอันประเสริฐสุดของการได้เกิดมาเป็นคน
ความลึกซึ้งแห่งคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ย่อมไม่เกี่ยวอะไรกันเลยกับภาษาที่เขียนด้วยตัวหนังสือ
จงทำใจของท่าน
ให้อยู่ในสภาพเหมือนกับความว่างอันหาขอบเขตไม่ได้
แต่อย่าให้มันเข้าไปติดในทิฏฐิว่า ‘ดับสูญ’
จงให้ใจทำหน้าที่ของมันอย่างอิสระ
ไม่ว่าท่านจะกำลังทำงานหรือหยุดพัก
จงอย่าให้ใจของท่านเกาะเกี่ยวในสิ่งใด
จงอย่าไปรู้สึกว่า
มีความแตกต่างระหว่างอริยบุคคล กับบุคคลธรรมดา
อย่าไปคิดว่า
มีความแตกต่างระหว่างตัวผู้กระทำ กับสิ่งที่ถูกกระทำ
จงปล่อยจิตเดิมแท้และสิ่งทั้งปวง
ไว้ในสภาพแห่งความเป็นเช่นนั้น
แล้วท่านก็จะอยู่ในสมาธิตลอดเวลา
การทำจิตให้เป็นอิสระจากมลทินทั้งปวง
คือ ศีลของภาวะที่แท้แห่งจิต
การทำจิตให้เป็นอิสระจากความกระวนกระวายทั้งหลาย
คือ สมาธิของภาวะที่แท้แห่งจิต
สิ่งที่ไม่เพิ่มขึ้นหรือไม่ลดลง นั้นแหละคือ วัชร
(วัชร หมายถึง ภาวะที่แท้แห่งจิตหรือปัญญา)
การมาและการไป เป็นสมาธิในขั้นต่างๆ
ความเป็นตัวตนนั้นไม่ใช่อะไร
นอกจากเป็นภาพลวงอันเกิดจากการประชุมกันของขันธ์ห้า
และภาพลวงนี้ก็ไม่มีอะไรที่นะเกี่ยวข้องกับความจริงแท้
การยึดมั่นว่า
มีตถตาสำหรับเราที่จะยึดหมาย หรือมุ่งไปสู่
ย่อมเป็นธรรมที่ไม่บริสุทธิ์อย่างหนึ่ง
หลักธรรมนั้นได้หมายถึงแสงสว่างหรือความมืด
แสงสว่างและความมืด หมายถึงความคิดที่อาจสับเปลี่ยนกันได้
ฉะนั้นการกล่าวว่า
แสงสว่างก่อให้เกิดแสงสว่างต่อไปโดยไม่สิ้นสุด จึงผิด
เพราะว่ามันมีความจบสิ้น
เนื่องจากความสว่างและความมืด
เป็นคำคู่ประเภทตรงข้าม
ในวิมลกีรตินิเทศสูตร กล่าวว่า
หลักธรรมนั้นไม่มีข้ออุปมา
เพราะว่าไม่ใช่เป็นคำที่อาจเทียบเคียงกันได้
ในคำสอนของพวกมิจฉาทิฏฐิ
คำว่า ‘ไม่มีอยู่’
หมายถึงการสิ้นสุดของคำว่า ‘มีอยู่’
ส่วนคำว่า ‘มีอยู่’
ก็ใช้เปรียบเทียบในทางตรงกันข้ามกับคำว่า ‘ไม่มีอยู่’
สิ่งที่เขาหมายถึงความไม่มีอยู่
ไม่ใช่หมายถึงการทำลายล้างโดยแท้จริง
และสิ่งที่เขาเรียกว่า ‘มีอยู่’ ก็ไม่ได้หมายถึงความมีอยู่อย่างแท้จริง
สิ่งที่ฉันหมายถึงเหนือความมีอยู่และความไม่มีอยู่
ก็คือโดยเนื้อแท้แล้วย่อมไม่มีอยู่
แต่ในขณะปัจจุบันก็ไม่ได้ถูกทำลายล้างไป
นี่แหละเป็นความต่างกัน
ระหว่างคำสอนของฉันกับคำสอนของพวกมิจฉาทิฏฐิ
สัตว์ทั้งหลายย่อมเคลื่อนไหว
วัตถุทั้งปวงย่อมหยุดนิ่ง
ใครฝึกตนให้เป็นผู้ไร้ความเคลื่อนไหว
ย่อมไม่ได้ประโยชน์อะไร นอกจากทำตนให้แน่นิ่งอย่างวัตถุ
ถ้าท่านจะหาความสงบนิ่งที่ถูกแบบ
ก็ควรเป็นความสงบนิ่งภายในการเคลื่อนไหว
ความสงบนิ่ง (เหมือนอย่างวัตถุ)
ก็เป็นเพียงความสงบนิ่ง (ไม่ใช่ธยานะ)
ด้วยความเยือกเย็นและไม่กระวนกระวาย
บุคคลชั้นเลิศไม่ต้องปฏิบัติความดี
ด้วยความเที่ยงธรรมและเป็นตัวของตัวเอง
ท่านไม่ต้องกระทำบาป
ด้วยความสงบและสงัด
ท่านเพิกเฉยการดูและการฟัง
ด้วยความเสมอภาคและเที่ยงตรง
จิตของท่านไม่ได้พำนัก ณ ที่ใด
สูตรของเว่ยหล่าง
หมวดที่ 1 ว่าด้วยชีวประวัติที่ท่านเล่าเอง
ท่านพุทธทาสภิกขุ แปล
12 ตุลาคม 2553 01:06 น.
คีตากะ
ประเภทผัด
เปรี้ยวหวานมังสวิรัติ
ส่วนผสม
พริกหยวก หรือพริกหวาน 2 ผล
แตงกวา 3 ผล
สัปปะรด 1/4 ผล
กระหล่ำปลีหรือกระหล่ำดอก 1 หัว
มะเขือเทศ 2 ผลใหญ่
เต้นหู้อย่างแข็งตัดพอคำ 1 แผ่น
เครื่องปรุง
น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา ซีอิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1 ช้อนชา งาคั่วบดแล้ว 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1 ล้างแตงกวาผ่าสี่ตัดครึ่ง พริกหยวกผ่าครึ่งเป็นเสี้ยว 1/4 นิ้ว
2 ปอกเปลือกสับปะรดเอาไส้ออก หั่นเป็นชิ้น 1 นิ้ว
3 ใส่งาคั่วผัดให้หอม ใส่เต้าหู้ผัดพอเหลือง ใส่พริกหยวก กระหล่ำผัดพอนุ่มใส่สับประรด ใส่แตงกวา
4 ใส่มะเขือเทศผ่าเป็นเสี้ยว 1/2 นิ้ว ใส่ซีอิ้วขาว เกลือ น้ำตาล พอผักสุกตักออกใส่จาน รับประทานร้อนๆจึงอร่อย
หมายเหตุ ถ้าชอบน้ำข้น สามารถเติมแป้งมัน 1 ช้อนชา ละลายน้ำ 1/2 ถ้วย ลงไปด้วยก็ได้
ผัดฝักทอง
ส่วนผสม
ฝักทอง 1 ถ้วย
เต้าหู้ขาวอย่างแข็ง 1 ก้อน(แผ่น)
พริกชี้ฟ้าสุก 1 เม็ด
ใบโหระพา 1 ถ้วย
เครื่องปรุง
งาคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ ซอสถั่วเหลืองปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1 ช้อนชา
วิธีทำ
1 หั่นฝักทองเป็นชิ้นเป็นคำโตหน่อย พริกชี้ฟ้าสุกหั่นแฉลบ
2 บี้เต้าหู้ขาวให้แหลก
3 เจียวงาในน้ำมันร้อน ใส่เต้าหู้ขาวบี้ลงผัด ตามด้วยฟักทอง เหยาะน้ำ เติมเครื่องปรุง
4 ใส่พริก ใบโหระพา พอเดือดสุกดีแล้วจึงตักไปเสิร์ฟ ข้อสำคัญอย่าคนนานฟักทองจะเละ
ผัดเผ็ดปลาดุกเจ
ส่วนผสม
ใช้เต้าหู้ขาวอย่างแข็ง 2 ก้อน
ถั่วฝักยาว 1/2 ถ้วย
เห็ดนางฟ้าหรือเห็ดฟาง 1/2 ถ้วย
พริกชี้ฟ้าสุกสีแดงหรือเหลือง 3 เม็ด
สาหร่ายทะเล(เถ้าแก่น้อย) 1 ซอง
ใบโหระพา 1/2 ถ้วย
งาคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ(ไม่ใส่ก็ได้)
น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
เครื่องปรุง
ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา ซอสปรุงรสถั่วเหลือง 1 ช้อนโต๊ะ(ภูเขาทอง)
วิธีทำ
1 เต้าหู้ขาวหั่นแฉลบชิ้นหนาๆ แทนเนื้อปลา
2 ถั่วฝักยาวหั่นขนาด 1 นิ้ว เห็ดฟางผ่า 4 สาหร่ายทะเลฉีกเป็นชิ้น ไม่ต้องเล็กมาก
3 โขลกพริกสุกและงาให้เข้ากันพอหยาบๆ นำลงผัดในน้ำมัน ใส่เต้าหู้ขาว ถั่วฝักยาว เห็ด สาหร่ายทะเล เติมเครื่องปรุงทุกอย่าง เหยาะน้ำนิดหน่อย
4 ก่อนยกลงใส่ใบโหระพา คนให้ทั่ว แล้วจึงดับไฟตักเสิร์ฟได้ทันที
ปูผัดผงกะหรี่ (เจ)
ส่วนผสม
เต้าหู้ขาวอย่างธรรมดา 2 ก้อนบี้ให้ละเอียด
เห็ดฟาง 1/2 ถ้วย
เห็ดนางฟ้า 1/2 ถ้วย
คึ่นฉ่ายหั่นท่อนยาว 2 ต้น
พริกชี้ฟ้าแดงหั่นเส้นยาว 2-3 เม็ด
เครื่องปรุง
ผงกะหรี่ 2 ช้อนชา พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา น้ำพริกเผาแม่ประนอมเจ 1 ช้อนโต๊ะ ซีอิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมันเห็ดหอม 1 ช้อนโต๊ะน้ำมันพืช 2-3 ช้อนโต๊ะ(ไม้ใส่ก็ได้)
วิธีทำ
1 ใส่น้ำมันพืชลงในกะทะตั้งไฟให้ร้อน ใส่เต้าหู้ผัดให้เหลือง ใส่เห็ดทั้งสองอย่าง
2 ใส่ผงกระหรี่ น้ำพริกเผา น้ำมันเห็ดหอม ผัดให้เข้ากัน
3 ปรุงรสด้วยน้ำตาล ซีอิ้วขาว ผัดให้เข้ากัน ใส่พริกชี้ฟ้าแดง คึ่นฉ่าย ผัดพอทั่วปิดไฟยกลง
ผัดกระเพราะเห็ดข้าวโพดอ่อน
ส่วนผสม
เห็ดฟางเลือกดอกใหญ่ๆ 1 ถ้วย
พริกเหลือง 7 เม็ด
ข้าวโพดอ่อน 1 ถ้วย
ใบกระเพราะเด็ดเป็นใบ 1/2 ถ้วย
พริกชี้ฟ้าเขียวแดง 2 เม็ด
งาขาว 1 ช้อนโต๊ะ(ไม่ใส่ก็ได้)
เครื่องปรุง
น้ำมันพืช 1/4 ถ้วย ซีอิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา น้ำ 3 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1 ช้อนชา
วิธีทำ
1 ล้างเห็ดเอาส่วนกินไม่ได้ออก สับเห็ดหรือหั่นหยาบๆ หรือหั่นบางๆ
2 โขลกพริกเหลือง งาและเกลือ เข้าด้วยกัน
3 ใส่น้ำมันลงในกระทะ ใส่น้ำพริกผัดพอหอม ใส่เห็ดผัดพอทั่ว ใส่น้ำผัดพอเห็ดสุก
4 ใส่ใบกะเพรา ใส่พริกที่หั่นแฉลบ ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาวและน้ำตาลทราย ผัดให้ทั่วตักใส่จาน
หมายเหตุ
ถ้าชอบถั่วฝักยาวจะหั่นแฉลบหรือหั่นฝอยตามขวาง ใส่ลงไปด้วยก็ได้
เต้าหู้ลูกเขย
ส่วนผสม
เต้าหู้ขาวอย่างแข็ง 3 แผ่น
น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
งาคั่วบดแล้ว 1 ช้อนโต๊ะ
พริกแห้งซอย 1 เม็ดเล็ก
เครื่องปรุง
น้ำตาลปีบ 1/4 ถ้วย น้ำส้มมะขาม 1/4 ถ้วย ซีอิ้วขาวหรือซอสถั่วเหลือง 1/4 ถ้วย ผักชี 1 ต้น
วิธีทำ
1 ล้างเต้าหู้ ตัดเป็นแผ่นละ 4 ชิ้น
2 ทอดพริกแห้งให้เหลืองกรอบ อย่าทอดนานจะขม แล้วตักขึ้นพักไว้
3 ทอดเต้าหู้ในน้ำมันพอเหลืองเล็กน้อย ตักขึ้น
4 ใช้น้ำมันที่ติดกระทะผัดน้ำตาล น้ำส้มมะขาม งาคั่วบด(ถ้ามี) และซีอิ้วขาว ผัดจนข้นเหนียวเป็นอย่างมะตูมอ่อน
5 เมื่อจะเสิร์ฟ จัดเต้าหู้ใส่จานราดด้วยน้ำปรุงรส โรยพริกแห้ง เด็ดผักชีโรยหน้านิดหน่อย
เมนูแนะนำ
ผักบุ้งผัดไฟแดงทำเหมือนทั่วไป ส่วนผสมมี กระเทียม ผักบุ้ง พริกชี้ฟ้าหรือขี้หนู ใช้เครื่องปรุงเพียงเต้าเจี้ยวกับน้ำตาล(ไม่ใส่น้ำปลา น้ำมันหอย)หรือเพิ่มรสชาติด้วยซอสภูเขาทองหรือซอสปรุงรสเห็ดหอมก็ได้(ถ้ามี)
ผัดถั่วงอกเต้าหู้ทำเหมือนทั่วไป ส่วนผสมมี กระเทียม ถั่วงอก เต้าหู้แผ่นขาวหั่นเป็นชิ้น ต้นหอมหรือผักชี เครื่องปรุงใช้ซีอิ้วขาวหรือซอสภูเขาทองแทนน้ำปลา ใส่เกลือเล็กน้อย น้ำตาล เพิ่มรสชาติด้วยซอสปรุงรสเห็ดหอม(ถ้ามี)
ชะอมผัดเต้าหู้ทำเหมือนชะอมผัดไข่ เพียงแทนไข่ด้วยเต้าหู้แผ่นขาวบี้ละเอียด เครื่องปรุงใช้ซอสถั่วเหลืองหรือซีอิ้วขาวและน้ำตาล การทำเหมือนกัน
ประเภทต้ม
พะโล้
ส่วนผสม
เต้าหู้ขาวอย่างแข็ง 3 แผ่น
เห็ดฟางดอกบาน 1 ถ้วย
หมี่กึนทำเลียนแบบไส้หมู(ถ้ามี) 1 เส้น(ไม่ใส่ก็ได้)
น้ำตาลปีบ 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
งาคั่วบด(ถ้ามี) 1 ช้อนโต๊ะ(ไม่ใส่ก็ได้)
พริกไทยเม็ด 1 ช้อนโต๊ะ
รากผักชี 3-4 ราก
เครื่องปรุง
ซีอิ้วหวานดำ 1 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1 ช้อนชา ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ ซอสถั่วเหลืองปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1 หั่นเต้าหู้ขาวเป็นรูปสามเหลี่ยมชิ้นโตๆ ลงทอดให้เหลือง ตักขึ้นพักไว้ เห็ดฟางผ่าครึ่งหมี่กึนตัดเป็นท่อนๆ ยาวประมาณ 2 นิ้ว
2 โขลกรากผักชีกับพริกไทยเม็ด แล้วนำลงเจียวในน้ำมันพร้อมกับงาคั่ว ใส่เห็ดฟางหมี่กึนเต้าหู้ทอดลงผัด ใส่ผงพะโล้ และน้ำตาลปีบ
3 เติมน้ำ 4 ถ้วย และเครื่องปรุง พอเดือดเคี่ยวต่อสัก 20 นาที ก่อนตักเสิร์ฟโรยผักชีเล็กน้อยรับประทานร้อนๆ ถ้าชอบรสหวานให้เพิ่มน้ำตาลปีบขณะปรุง
ต้มยำเห็ด
ส่วนผสม
เห็ดฟาง 2 ถ้วย
ตะไคร้หั่นเป็นท่อน 1 ต้น
ข่าหั่นเป็นแว่น 2-3 แว่น
ใบมะกรูด 3 ใบ
พริกขี้หนูแห้งทอดกรอบหรือสด 10 เม็ด
ผักชีหั่น 1 ต้น
เครื่องปรุง
ซีอิ้วขาว 3 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาว 3 ช้อนชา เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
วิธีทำ
1 ปอกเห็ดเอาเปลือกดำหรือดินออกให้หมด ล้างให้สะอาด ถ้าดอกใหญ่ผ่าครึ่ง
2 ต้มน้ำ 3 ถ้วย ให้เดือด ใส่ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูดฉีก ใส่เห็ดพอสุก ใส่ซีอิ้วขาวหรือซอสภูเขาทอง ยกลงปรุงด้วยมะนาว ชิมรส เปรี้ยว เค็ม ใส่พริกทอดหรือพริกขี้หนูบุบ โรยผักชี เสิร์ฟร้อนๆ
เกร็ดความรู้ อาหารที่ต้องปรุงรสด้วยมะนาว จะต้องบีบมะนาวก่อนเสิร์ฟ แล้วรับประทานทันที และไม่ควรนำไปตั้งไฟอีก เพราะจะทำให้มีรสขม
ต้มข่า
ส่วนผสม
เห็ดฟางหรือเห็ดนางฟ้า 1 ถ้วย
เต้าหู้เหลือง 1 ก้อน
ข่าอ่อนปอกเปลือกหั่นบางๆ 1 ถ้วย
กะทิ(มะพร้าวขูด 1 กิโลกรัม คั้นด้วยน้ำ 7 ถ้วยหรือกะทิกล่องชาวเกาะ)
8 ถ้วย
พริกป่น 2 ช้อนชา
ซีอิ้วขาว 1/4 ถ้วย
น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ
ใบผักชีหั่น 1 ช้อนชา
วิธีทำ
นำเต้าหู้เหลืองตัดชิ้นพอคำ เห็ดหั่นแล้วลงต้มกะทิพอเดือด ใส่ข่าและพริกป่น ปิดฝา เคี่ยวไฟอ่อนๆ ประมาณครึ่งชั่วโมง ยกลง ปรุงด้วยซีอิ้ว น้ำมะนาว น้ำตาล เสิร์ฟโรยผักชี ถ้าชอบเผ็ดใส่พริกขี้หนูหั่น
ต้มจืดผักกาดขาวรวมมิตร
เครื่องปรุง
ผักกาดขาว 4 ถ้วย
เห็ดฟาง 1/2 ถ้วย
เต้าหู้ขาวชนิดอ่อน 1 แผ่น
ข้าวโพดอ่อน 1/2 ถ้วย
ฟักทองหั่นสี่เหลี่ยมขนาดพอดีคำ 1/4 ถ้วย
ซีอิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือ 1/2 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา
งาคั่วเจียวน้ำมัน 1 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยป่น 1/4 ช้อนชา
วิธีทำ
1 ล้างเห็ด ข้าวโพดอ่อน ตักข้าวโพดเป็นท่อนสั้นๆ ตัดเต้าหู้เป็นก้อนสี่เหลี่ยม ผักกาดขาว สับ
2 ใส่น้ำในหม้อ ตั้งพอเดือด ใส่ฟักทอง พอฟักทองสุกจึงใส่ข้าวโพดอ่อน เต้าหู้ เห็ด ผักกาดขาว
3 ปรุงรสด้วยเกลือ ซีอิ้ว น้ำตาลทราย โรยด้วยพริกไทย
4 ก่อนเสิร์ฟใส่งาคั่วเจียวน้ำมัน โรยผักชีนิดหน่อย
ต้มจับฉ่าย
เครื่องปรุง
กะหล่ำปลี 1 ถ้วย
ชุงฉ่าย(คล้ายกวางตุง แต่ต้นโตใบใหญ่กว่า) 1 ถ้วย
คะน้า 1 ถ้วย
ขึ้นฉ่าย 1 ถ้วย
ผักกวางตุ้ง 1 ถ้วย
หัวไชเท้า 1 หัว
เห็ดบาน 1 ถ้วย
รากผักชี 3 ราก
เต้าหู้(ทอดก่อน) 2 ก้อน
น้ำตาลปีบ 1 ช้อนโต๊ะ
งาคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ
เกลือ 2 ช้อนชา
ซีอิ้ว 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
ซอสถั่วเหลืองปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ้วดำ 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1 ผ่ากระหล่ำปลีเป็น 8 ซีก และผักทุกอย่างหั่นชิ้นโตๆ
2 โขลกงาคั่ว รากผักชีรวมกัน เจียวกับน้ำมันพืชจนหอม ใส่ต้นชุงฉ่ายลงผัด แล้วจึงตามด้วยผักอื่นๆ ใส่น้ำ ใส่เกลือ ซีอิ้วขาว น้ำตาลปีบ ใส่ซอสปรุงรส แล้วตักลงหม้อ ใส่เห็ดและเต้าหู้ที่ทอดไว้ ใส่ซีอิ้วดำ เติมน้ำต้มให้เปื่อยยกลง
หมายเหตุ
ถ้าเป็นผัดจับฉ่าย ก็ไม่ต้องเติมน้ำ แต่ใส่วุ้นเส้น ดอกไม้จีนและเห็ดหอมลงไปผัดด้วย
ต้มจืดวุ้นเส้น
ส่วนผสม
วุ้นเส้นแช่น้ำแล้ว 1 ถ้วย
เห็ดฟาง 1 ถ้วย
โปรตีนเกษตร 1/2 ถ้วย
คึ่นฉ่าย 2 ต้น
งาคั่วบด 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
เครื่องปรุง
ซีอิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ ซอสถั่วเหลืองปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1/2 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1 เห็ดฟางผ่า 4 ส่วน วุ้นเส้นตัดให้พอดี โปรตีนเกษตรสับละเอียด
2 เจียวงาคั่วกับน้ำมันพอร้อน ใส่โปรตีนเกษตรลงผัดให้หอมนำขึ้นพักไว้
3 ต้มน้ำ 4 ถ้วย ให้เดือด ใส่เห็ดฟาง วุ้นเส้น เติมเครื่องปรุงทั้งหมด โรยด้วยใบคึ่นฉ่ายหั่นแล้ว ยกลงทันที ก่อนเสิร์ฟราดด้วยโปรตีนเกษตรที่เจียวงาไว้ เหยาะพริกไทยนิดหน่อย รับประทานร้อนๆ
หมายเหตุ
คึ่นฉ่าย มีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิต ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงควรรับประทานให้มาก ส่วนผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตต่ำไม่ควรรับประทานบ่อย
ประเภทแกง
น้ำพริกแกงเผ็ด
ส่วนผสม
พริกแห้ง 7-10 เม็ด
กระเทียม 7-8 กลีบ
หอมซอย 2-3 ช้อนโต๊ะ
ข่าซอย 1-2 ช้อนชา
ตะไคร้ซอย 4-5 ช้อนโต๊ะ
ผิวมะกรูด 1 ช้อนชา
ลูกผักชี 1 ช้อนโต๊ะ
รากผักชี 1 ช้อนชา
พริกไทยเม็ด 1 ช้อนชา
ลูกยี่หร่า(ถ้ามี) 1 ช้อนโต๊ะ
งาขาวคั่วสุก(ถ้ามี) 1 ถ้วย
กะปิเจหรือใช้เต้าหู้ยี้แทน 2 ช้อนโต๊ะ(ถ้ามี)
เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
พริกแห้งกรีดตามยาวแกะเม็ดทิ้งแล้วล้างน้ำ บิดขึ้นโขลกกับส่วนผสมทุกอย่างจนละเอียดยิบ
น้ำพริกแกงเขียวหวาน
ส่วนผสม
พริกขี้หนูสดหรือพริกชี้ฟ้าสดอย่างเขียวเด็ดก้าน 1 ถ้วย
ส่วนผสมอย่างอื่นเหมือนกับน้ำพริกแกงเผ็ด
วิธีทำ
แกงเขียวหวานเปลี่ยนจากพริกแห้งเป็นพริกขี้หนูสด ถ้าไม่ชอบเผ็ดก็ใช้พริกชี้ฟ้าสดอย่างเขียวแทนก็ได้ เครื่องปรุงทุกอย่างโขลกรวมกันให้ละเอียด แต่ควรโขลกพริกแห้ง ข่า ผิวมะกรูด และเกลือก่อน เพื่อจะได้ละเอียดง่าย และไม่กระเด็ดเข้าตา การทำเช่นเดียวกับน้ำพริกแกงเผ็ด
น้ำพริกแกงคั่ว
ส่วนผสม
พริกแห้งเม็ดงามๆ 9 เม็ด
งาขาวคั่วสุก(ถ้ามี) 1 ถ้วย
ข่าหั่นฝอยหยาบๆ 2 ช้อนโต๊ะ
ตะไคร้หั่นบางๆ 1/4 ถ้วย
ผิวมะกรูดหั่นฝอย 1 ช้อนโต๊ะ
กะปิเจหรือเต้าหู้ยี้แทน 2 ช้อนโต๊ะ
เกลือ 2 ช้อนชา
วิธีทำ
เช่นเดียวกับน้ำพริกแกงเผ็ด
น้ำพริกพะแนง
ส่วนผสม
ทุกอย่างเหมือนน้ำพริกแกงคั่ว แต่เพิ่มถั่วลิสงคั่วปอกเปลือก 1 ถ้วย
วิธีทำ
เมื่อโขลกส่วนผสมอย่างอื่นละเอียดแล้ว ใส่ถั่วลิสงคั่วลงโขลกให้ละเอียด
น้ำพริกแกงมัสมั่น
ส่วนผสม
พริกแห้งเม็ดงามๆ เผาหรือคั่ว 11 เม็ด
งาขาวคั่วสุก 1 ถ้วย
ข่าเผาหั่นฝอยหยาบๆ 1/4 ถ้วย
ตะไคร้หั่นบางๆคั่ว 1/2 ถ้วย
ผิวมะกรูดหั่นฝอย 1 ช้อนโต๊ะ
ลูกผักชีคั่ว 1/4 ถ้วย
ลูกยี่หร่าคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ
อบเชยป่น 2 ช้อนโต๊ะ
ลูกจันทร์ป่น 2 ช้อนโต๊ะ
กานพลูป่น 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
พริกแห้งเผาแกะเมล็ดทิ้ง แล้วโขลกรวมกันกับส่วนผสมทุกอย่างจนละเอียดยิบ
หมายเหตุ หากทำในปริมาณมาก ก็เพิ่มส่วนผสมทุกอย่างตามอัตราส่วน
น้ำพริกแกงส้ม
เครื่องปรุง
หอมแดง 5-7 หัว
พริกแห้ง 7-10 เม็ด
กระชาย 3-4 ราก
กะปิเจ 1 ขีด
เกลือ 1 ช้อนชา
วิธีทำ
นำทุกอย่างโขลกรวมกัน เพื่อกันการแฉะและกระเด็น ควรโขลกพริกแห้งก่อน ตามด้วยกะปิเจ เกลือ ส่วนหอม และกระชายควรโขลกทีหลังสุดเพื่อไม่ให้กระเด็นเข้าตา
แกงเผ็ด
ส่วนผสม
เต้าหู้ขาวอย่างแข็งทอดพอเหลือง 3 แผ่น
ถั่วฝักยาว 1 ถ้วย
กะทิ(มะพร้าว 1 กิโลกรัม คั้นด้วยน้ำ 5 ถ้วย) 6 ถ้วย
น้ำมันพืช 1/2 ถ้วย
น้ำพริกแกงเผ็ด 1/2 ถ้วย
มะเขือพวง 2 ถ้วย
ใบมะกรูดฉีกใบละ 4 ชิ้น 5-6 ใบ
พริกชี้ฟ้าเขียว แดง หั่นแฉลบ 10 เม็ด
ใบโหระพาเด็ด 2 ถ้วย
เครื่องปรุง
ซีอิ้วขาวหรือซอสภูเขาทอง 1/4 ถ้วย น้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1 ช้อนชา
วิธีทำ
1 เทน้ำมันใส่หม้อตั้งไฟพอร้อนจัด ใส่น้ำพริกแกงลงผัดให้หอม แล้วใส่กะทิคนให้ทั่ว ใส่เต้าหู้ทอดที่หั่นแล้ว และถั่วฝักยาวปิดฝาเคี่ยวไฟอ่อนๆ
2 ใส่มะเขือพวง พอสุกใส่พริก ซีอิ้ว น้ำตาล ใบโหระพา คนให้ทั่ว พอเดือดยกลง ผักที่ใส่จะใช้มะเขืออ่อน มะเขือเขียว หน่อไม้สดหั่นหยาบๆต้มสุกก็ได้
แกงเขียวหวาน
ส่วนผสม
เต้าหู้ขาวอย่างแข็งทอดพอเหลือง หรือ 4 แผ่น
โปรตีนเกษตร(ถ้ามี) 2 ถ้วย
มะพร้าวขูด 1/2 กิโลกรัม
มะเขือพวงหรือ 1 ถ้วย
มะเขือเปราะ 1/2 กิโลกรัม
เห็ดฟาง (ถ้ามี) 3 ขีด
ฝักทอง(ถ้ามี) 5 ขีด
กระชายหั่นฝอย 1 ขีด
พริกชี้ฟ้าหั่นแฉลบ 1 ถ้วย
หน่อไม้ไผ่ตงต้ม(ถ้ามี) 1 ถ้วย
ซีอิ้วขาวหรือซอสภูเขาทอง 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปีบ 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 1 ช้อนชา
ใบโหระพา 1 ถ้วย
ใบมะกรูด 3 ใบ
เครื่องแกงเขียวหวาน 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1 หั่นเต้าหู้ชิ้นสี่เหลี่ยม 1/2 นิ้ว หรือแช่โปรตีนเกษตรด้วยน้ำเดือดให้นิ่ม หั่นให้ชิ้นพอเหมาะ
2 คั้นมะพร้าว ใส่น้ำอุ่น 3 ถ้วย คั้นให้ได้ 2 1/2 ถ้วย(หรือกะทิกล่อง 1 กล่อง)
3 เด็ดมะเขือพวงหรือหั่นมะเขือเปราะ หั่นหน่อไม้สี่เหลี่ยมขนาด 1/2 นิ้วและผักอื่นๆถ้ามี
4 เด็ดใบโหระพา ใบมะกรูด
5 ตักหัวกะทิใส่กระทะ เคี่ยวให้แตกมัน ใส่น้ำพริกแกงลงผัดให้หอม ใส่เต้าหู้หรือโปรตีนเกษตรลงผัดให้เข้าเนื้อ ค่อยๆ เติมกะทิ เติมเกลือ ซีอิ้วขาวหรือซอสภูเขาทอง น้ำตาลเล็กน้อย เติมกะทิให้พอเหมาะ พอเดือดใส่เห็ดฟางก่อน แล้วใส่มะเขือ ฟักทอง กระชายพร้อมกันและผักอื่นๆถ้ามี พอสุกใส่ใบมะกรูด ใบโหระพา พริกชี้ฟ้า ยกลง
แกงเทโพ
ส่วนผสม
ผักบุ้ง 2 กำ
เห็ดฟางหรือเห็ดนางฟ้า 1 ถ้วย
เต้าหู้ขาวอย่างแข็ง 1 แผ่น
ลูกมะกรูด 1 ลูก
น้ำมะขามเปียก 1/2 ถ้วย
น้ำมันพืช 1/2 ถ้วย
น้ำพริกแกงเผ็ด 2 ช้อนโต๊ะ
กะทิ 1/2 กิโลกรัม
เครื่องปรุง
ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลปีบ 1 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 2 ช้อนชา ซอสถั่วเหลืองปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1 ผักบุ้งหั่นเป็นท่อนยาว 2 นิ้ว เห็ดฟางผ่า 4 ซีก เตาหู้ขาวหั่นเป็นท่อนสี่เหลี่ยมพอคำ ลูกมะกรูดปอกเปลือกผ่าครึ่ง
2 ตั้งกระทะคั่วน้ำพริกเครื่องแกงในน้ำมันพืชพอหอม ใส่น้ำกะทิคั้นรอจนเดือดใส่เห็ด ผักบุ้ง เต้าหู้ ตามด้วยน้ำมะขาม เติมเครื่องปรุงทุกอย่าง ชิมรสตามต้องการ ให้ออกเปรี้ยว หวานนิดหน่อย
แกงส้ม
ส่วนผสม
ผักกาดขาว 1 ต้น
กระหล่ำดอก 1 หัว
หัวไชเท้า 1 หัว
แครอท 1 หัว
เห็ดฟาง 1 ถ้วย
เครื่องปรุง
น้ำส้มมะขามเปียก 3 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลปีบ 1 ช้อนโต๊ะ ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1 ช้อนชา
เครื่องแกงส้ม
งาขาวคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ พริกแห้ง 10 เม็ด กะปิเจ 1 ช้อนชา
วิธีทำ
1 โขลกเครื่องแกงให้ละเอียด
2 ละลายเครื่องแกงในน้ำยกตั้งไฟ ใส่เห็ดฟาง ผักต่างๆ น้ำส้มมะขามเปียก น้ำตาลปีบ ซีอิ้วขาว เกลือ ชิมรสตามชอบ
3 พอเดือด ยกลงรับประทานได้
แกงขี้เหล็ก
ส่วนผสม
ผักขี้เหล็กต้มแล้ว เอาทั้งดอกและใบ 1/2 กิโลกรัม
มะพร้าว 1/2 กิโลกรัม
ใบย่านาง 1 กำ
โปรตีนเกษตร(ถ้ามี)หรือ 1/2 ถ้วย
เห็ดเป๋าฮื้อ 1 ถ้วย
เครื่องปรุง
เกลือ 1 ช้อนชา น้ำตาลปีบ 1 ช้อนชา ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ น้ำพริกแกงเผ็ดใส่กระชาย 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1 คั้นกะทิ แยกหัว แยกหาง
2 ใช้หางกะทิปั่นกับใบย่านาง คั้นเอาน้ำแล้วปั่นกับกระชายหรือ ใบย่านางฉีกค้นน้ำพอประมาณ
3 ฟองเต้าหู้(ถ้ามี) หักเป็นท่อนสั้นๆ พอคำ แช่น้ำไว้ นิ่มแล้วหั่นเป็นฝอย
4 เห็ดเป๋าฮื้อ(ถ้ามี) ย่างไฟให้สุก แล้วเอามาฉีก หรือหั่นเป็นชิ้นๆ
5 โขลกเครื่องแกงกับเต้าหู้ให้เข้ากัน
6 เคี่ยวหัวกะทิให้แตกมัน ใส่เครื่องแกงลงผัดให้หอม
7 ใส่โปรตีนเกษตรที่แช่น้ำให้นิ่มแล้วลงผัดให้น้ำพริกเข้าเนื้อ เติมเกลือ ซีอิ้ว น้ำตาลเล็กน้อย ใส่น้ำกระชายหรือน้ำคั้นใบย่านาง ใส่เห็ด ใบขี้เหล็ก เติมหางกะทิ ชิมรสตามต้องการ เดือดใช้ได้แล้วใส่หัวกะทิที่เหลือ เดือดอีกยกลง
แกงกะหรี่
ส่วนผสม
เห็ดฟาง 1 ถ้วย
เต้าหู้เหลือง 3 แผ่นใหญ่
มะพร้าวขูด 1/2 กิโลกรัม
มันฝรั่งหัวเล็กต้ม 3 หัว
งาคั่วบด(ถ้ามี) 2 ช้อนโต๊ะ
เกลือ 2 ช้อนชา
น้ำพริกแกงเผ็ด 3 ช้อนโต๊ะ
ผงกะหรี่ 2 ช้อนชา
วิธีทำ
1 หั่นเต้าหู้แผ่นละ 6 ชิ้น เห็ดฟางผ่า 4 ส่วน
2 คั้นมะพร้าวใส่น้ำ 2 ถ้วยคั้นให้ได้ 3 ถ้วย ช้อนหัวกะทิ 1 ถ้วย
3 โขลกน้ำพริกให้ละเอียด ผัดกับน้ำมันที่ใช้เจียวงาคั่วแล้ว จึงเติมหัวกะทิผัดจนหอม ใส่เต้าหู้ และเห็ดผัดแล้วตักใส่หม้อ เติมหางกะทิปรุงรสเค็ม เคี่ยวไฟอ่อน ใส่มันฝรั่งปอกเปลือก ผ่าสี่ พอน้ำข้นเล็กน้อยยกลง ถ้าอ่อนเค็มเติมเกลือเล็กน้อย
4 จัดเสิร์ฟรับประทานกับแตงดอง ขิงดอง หรือ ยำผักสด
ประเภททอด
เห็ดนางฟ้าชุบแป้งทอด
ส่วนผสม
เห็ดนางฟ้า 8 ดอกใหญ่
งาขาวคั่วสุก(ถ้ามี) 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืชสำหรับทอด
เครื่องปรุงแป้งชุบทอด
แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วย แป้งสาลี 1/2 ถ้วย เกลือป่น 1/2 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา พริกไทย 1/2 ช้อนชา
วิธีทำ
1 เห็ดนางฟ้าฉีกเป็นชิ้นโตๆ
2 ผสมแป้งข้าวเจ้าและแป้งสาลีลงในน้ำ 1 1/2 ถ้วย เติมเกลือ น้ำตาล พริกไทย คนให้เข้ากันแล้วโรยงาคั่วลงไป
3 นำเห็ดลงชุบ ทอดในน้ำมันร้อนปานกลาง จนเหลืองกรอบ ตัดขึ้นไว้บนกระดาษซับน้ำมัน รับประทานโดยจิ้มกับน้ำจิ้มของผักทอดเทมปูระหรือน้ำจิ้มบ๊วยก็ได้หรือซอสมะเขือเทศหรือซอสพริก
น้ำจิ้มผักทอดแบบญี่ปุ่น
ใช้ซอสปรุงรสถั่วเหลือง 3 ช้อนโต๊ะ ซีอิ้วขาว 1/2 ถ้วย น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ น้ำเปล่า 1/4 ถ้วย เทผสมรวมกันแล้วนำไปตั้งไฟร้อนจรน้ำตาลละลาย ยกลงเมื่อเย็นแล้ว ใส่หัวไช่เท้าที่ขูดหรือปั่นละเอียดลงคนให้ทั่ว ใช้จิ้มผักทอด แต่ถ้าชอบรสเปรี้ยวและเผ็ดให้ใช้ น้ำมะขามเปียก 1 ถ้วย น้ำตาล 1/2 ถ้วย น้ำเปล่า 1/2 ถ้วย ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1 ช้อนชา ผสมรวมกันตั้งไฟ เมื่อเย็นแล้วโรยด้วยพริกป่นสัก 1 ช้อนชา จะได้รสชาติอีกแบบหนึ่ง
หมายเหตุ
ผักที่จะนำมาชุบทอด ใช้ได้หลายชนิด เช่น ฟักทอง มันเทศ ถั่วฝักยาว ข้าวโพดอ่อน มะเขือยาวนำมาหั่นเป็นแผ่นบางๆ หรือกระหล่ำปลีหั่นเป็นฝอย คลุกแป้งทอดเป็นคำๆ ก็ได้ แป้งที่ใช้ชุบผัก ใช้แป้งชุบทอดสำเร็จรูปก็สะดวกดี
ลูกชิ้นกุ้ง
ส่วนผสม
เห็ดฟางหรือเห็ดนางฟ้า 1 ถ้วย
หัวไชเท้า 1 หัว
แครอท 1 หัว
สาหร่ายทะเลชนิดแผ่น 1 แผ่น
เครื่องปรุง
แป้งผสมเช่นเดียวกับแป้งชุบทอด หรือใช้แป้งชุบทอดสำเร็จก็ได้
วิธีทำ
1 สับเห็ดให้ละเอียด หัวไชเท้าและแครอทปลอกเปลือกแล้วขูดด้วยเครื่องขูดมะละกอให้เป็นเส้นฝอยๆ สาหร่ายตัดเป็นเส้นๆ
2 นำส่วนผสมทุกอย่าง ใส่ลงในแป้งที่ผสมไว้แล้วคนให้เข้ากัน
3 ใช้ช้อนตักทอดในน้ำมันร้อนปานกลาง จนสุกเหลือง เสิร์ฟพร้อมกับผักสดต่างๆ และน้ำจิ้มหรือซอสพริกตามชอบใจ
หมายเหตุ
ลูกชิ้นกุ้งสามารถนำไปใส่ผัดเปรี้ยวหวาน หรือผัดผักต่างๆ ก็ได้
หมูหมักซอส
ส่วนผสม
โปรตีนเกษตรชนิดเม็ดใหญ่แช่น้ำให้พอง 2 ถ้วย
เครื่องปรุง
ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ ซอสถั่วเหลืองปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ ซอสมะเขือเทศ 2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1/2 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ พริกไทย 1/2 ช้อนชา พริกป่น 1/2 ช้อนชา น้ำเปล่า 1 ถ้วย
วิธีทำ
1 นำเครื่องปรุงทั้งหมด ผสมลงในชามเติมด้วยน้ำเปล่าแล้วเทราดลงในโปรตีนเกษตรคนกลับไปกลับมา ปิดฝาหมักไว้ 20 นาที
2 ตั้งน้ำมันสำหรับทอดให้ร้อนปานกลาง นำโปรตีนที่หมักไว้ลงทอด จนผิวนอกกรอบหอมไม่ต้องทอดนานจะแข็ง
3 เวลาเสิร์ฟใช้มีดหั่นเป็นแผ่นๆ รับประทานกับข้ามต้มร้อนๆ อร่อยมาก
เห็ดสวรรค์
เครื่องปรุง
เห็ดนางฟ้า 2 กิโลกรัม
น้ำตาลปีบ 1 ถ้วย
พริกไทยป่น 1 ช้อนโต๊ะ
งาขาวบด 2 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ้วขาว 1/2 ช้อนโต๊ะ
เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำ 1 ถ้วย
น้ำมันพืชสำหรับทอด
วิธีทำ
1 ฉีกเห็ดนางฟ้าให้เสมอกัน ตากแดด แล้วนำมาทอดในน้ำมัน ใช้ไฟกลาง (ร้อนน้อยจะอมน้ำมัน ร้อนจัดเห็ดไหม้) ใส่น้ำมันครึ่งกระทะ อย่าใส่เห็ดมากใส่พอประมาณเรียงตัวเต็มกระทะชั้นเดียว ประมาณขยุ้มมือเดียว ใส่แล้วห้ามคน ทิ้งไว้ให้เหลืองกลับทีเดียว เพราะคนแล้วจะทำให้เห็ดห่อตัวหมด แซะกลับทีเดียวใช้ได้ กะด้วยสายตาเวลาเอาขึ้นใช้กระดาษฟางรอง
2 เวลาปรุงรส ตักน้ำมันขึ้นจนหมดกระทะ เหลือไว้เจียวงาบด พริกไทยนิดหน่อย ใส่น้ำตาลปีบ ซีอิ้วขาว ใส่เกลือ น้ำ ลดไฟให้อ่อนๆ ลองเอาเห็ดชุบแล้วชิมดู จนรสใช้ได้ จึงเอาเห็ดใส่ ใช้พายคนโหย่งๆ ใช้ไฟอ่อนที่สุดผัดให้นานราว 10 นาที ใช้พาย 2 อันคนเบาๆ เพื่อไม่ให้เห็ดหักผัดจนจะได้ที่แล้วจึงเอาพริกไทยลงเคล้า
หมูหวานเจ
ส่วนผสม
โปรตีนเกษตรเม็ดกลางแช่น้ำแล้ว 2 ถ้วย
น้ำตาล 1/2 ถ้วย
ซีอิ้วขาว 1/4 ถ้วย
ซีอิ้วดำ 1 ช้อนชา
งาคั่วบดแล้ว 2 ช้อนโต๊ะ
พริกไทย 1 ช้อนชา
วิธีทำ
น้ำตาลใส่กะทะตั้งไฟ คอยจนกลายเป็นสีน้ำตาล ใส่พริกไทย ซีอิ้วขาว ซีอิ้วดำ พริกไทยผัด 2-3 นาที ใส่โปรตีนเกษตรคนให้ทั่ว ปิดฝาเคี่ยวไฟค่อนข้างอ่อนจนเครื่องปรุงเข้ากันจึงดับไฟตักเสิร์ฟ
เนื้อแดดเดียวเจ
ส่วนผสม
ก้านเห็ดหอมแห้งแช่น้ำให้พอง 2 ถ้วย
เครื่องปรุง
ซีอิ้วดำ 1 ช้อนโต๊ะ ซอสถั่วเหลืองปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา ลูกผักชี 1 ช้อนชา
วิธีทำ
1 นำก้านเห็ดหอมที่แช่น้ำแล้วมาทุบให้แบน ลูกผักชีโขลกพอแตก
2 ผสมเครื่องปรุงทั้งหมด แล้วเติมน้ำ 1 ถ้วย
3 เทน้ำเครื่องปรุงลงบนก้านเห็ดหอม โรยลูกผักชีคลุกให้ทั่ว แล้วหมักไว้สัก 1 ชั่วโมง
4 ตั้งกระทะน้ำมันพอร้อน นำเอาเห็ดที่หมักแล้วลงทอดพอเหลือง ตักขึ้นไว้บนตะแกรง รับประทานกับข้าวหุงหรือข้าวต้มก็ได้
หมายเหตุ
หากต้องการเก็บเอาไว้เป็นอาทิตย์ ให้นำเห็ดที่หมักแล้วไปตากแดดก่อนค่อยนำไปทอด
ทอดมันข้าวโพด
เครื่องปรุง
ข้าวโพดฝานบางๆ 1 ถ้วยตวง
ถั่วเหลืองโขลกละเอียด 1 ถ้วย
น้ำพริกแกงเผ็ด 2 ช้อนโต๊ะ
ใบมะกรูดซอยละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 1 ช้อนชา
แป้งสาลี 1/2 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
น้ำมันพืชสำหรับทอด
ถั่วฝักยาวหรือถั่วพูฝานบางๆ 1/2 ถ้วยตวง
วิธีทำ
1 นำข้าวโพด ถั่วเหลือง และพริกแกง เคล้าให้เข้ากัน
2 นำแป้งสาลี เกลือป่น และน้ำตาลทราย ผสมเคล้าให้เข้ากับเครื่องในข้อ 1
3 นำถั่วฝักยาวหรือถั่วพูและใบมะกรูดเคล้ากับเครื่องทั้งหมด
4 นำลงทอดในน้ำมันเดือด ไฟร้อนปานกลาง พอเหลืองตักออก วางบนตะแกรงให้สะเด็ดน้ำมัน รับประทานกับน้ำจิ้ม
โปรตีนทอดกรอบผัดพริก
ส่วนผสม
โปรตีนเกษตรเม็ดเล็ก 5 ถ้วย
ใบมะกรูดหั่นฝอย 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช 1/2 ถ้วย
เครื่องปรุง
น้ำพริกแกงเผ็ด 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 1 ถ้วย เกลือป่น 1 ช้อนชา ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ งาคั่วบดละเอียด(ถ้ามี) 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1 ทอดโปรตีนเกษตรให้กรอบ(ไม่ต้องแช่น้ำ) แล้วนำขึ้นพักไว้
2 คั่วน้ำพริกแกงและงาในน้ำมันพืชจนหอม เติมเครื่องปรุงทั้งหมด คนให้ละลายเข้ากัน แล้วยกลงจากเตา นำโปรตีนที่ทอดลงคลุกเคล้าให้ทั่ว โรยด้วยใบมะกรูดหั่นฝอย ทิ้งไว้ให้เย็นจะกรอบอร่อย สามารถเก็บใส่ขวดไว้รับประทานได้นานหลายสัปดาห์
หมายเหตุ
โปรตีนเกษตรทอดสุกแล้ว ควรให้แช่อยู่ในน้ำมันสักครู่ จะทำให้กรอบมันคล้ายกากหมูทอด
ประเภท นึ่ง อบ ย่าง
เต้าหู้นึ่งแป๊ะซะ
ส่วนผสม
เห็ดฟาง 1 ถ้วย
เต้าหู้ขาวอย่างแข็ง 2 แผ่น
ผักกาดขาว 1 ต้น
หัวไชเท้าหั่นบางๆ 1/2 ถ้วย
แครอทหั่นบางๆ 1/2 ถ้วย
ขิงอ่อนหั่นฝอย 1 ช้อนโต๊ะ
คึ่นฉ่าย 2 ต้น
พริกชี้ฟ้าสุก 1 เม็ด
เครื่องปรุง
งาคั่วบด 1 ช้อนโต๊ะ เต้าเจี้ยว 1 ช้อนโต๊ะ ซีอิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1 หั่นเต้าหู้ขาวเป็นลิ่มหนาประมาณครึ่งเซ็นติเมตร ผักกาดขาวหั่นหยาบๆ เห็ดฟางผ่าเป็นแผ่น
2 เรียงผักกาดขาวลงในจาน เอาเต้าหู้วางทับข้างบน แต่งด้วยหัวไชเท้าและแครอทโดยรอบ
3 ตั้งกระทะเจียวงาคั่วกับน้ำมันพืช ใส่เห็ดฟางลงผัด เติมเครื่องปรุงทุกอย่าง เติมน้ำ 2 ถ้วย พอเดือดนำไปเทราดลงบนจานเต้าหู้ที่เตรียมไว้(ถ้าชอบบ๊วยดองใส่ด้วยก็ได้)
4 นำไปนึ่งไฟแรงสัก 10 นาที ยกลงก่อนเสิร์ฟโรยด้วยขิงอ่อน พริกชี้ฟ้าสุกหั่นแฉลบ บีบมะนาวรับประทานร้อนๆ (ถ้าชอบเผ็ดใส่พริกขี้หนูทุบพอแหลก)
ห่อหมกเห็ด
ส่วนผสม
เห็ดฟางหรือเห็ดนางฟ้า 3 ถ้วย
มะพร้าว 1/2 กิโลกรัม
ถั่วลิสงป่น 3 ช้อนโต๊ะ
แป้งสาลี 1-2 ช้อนโต๊ะ
ข้าวสารแช่น้ำ(ข้าวเบือ) 2 ช้อนโต๊ะ
ใบยอ ใบโหระพา ผักกาดขาว ใบมะกรูด ผักชี พริกแดง ซีอิ้วขาว น้ำพริกเครื่องแกงเผ็ด
วิธีทำ
1 เด็ดใบโหระพา ล้างน้ำให้สะอาด ผักกาดขาวล้างให้สะอาด หั่น แล้วลวกน้ำร้อนผึ่งไว้ให้สะเด็ดน้ำ
2 ล้างเห็ดฟางให้สะอาด ฝานชิ้นบางๆ
3 โขลกข้าวสารแช่น้ำให้ละเอียด
4 โขลกเครื่องแกงให้ละเอียด ใส่ข้าวสารที่โขลกละเอียดแล้วลงไปผสมด้วยกัน
5 ใช้ผ้าขาวบางบีบมะพร้าวให้ได้กะทิ 1/2 ถ้วยตวง แล้วคั้นอีกประมาณ 1 ถ้วยตวง
6 เทกะทิลงอ่างคนให้เข้ากับเครื่องแกง ใส่เห็ด ซีอิ้ว แป้งสาลี ค่อยๆโรยลงไป คนให้ทั่ว คนไปจนข้น
7 ตักใส่กระทงหรือถ้วยรองด้วยผักต่างๆ
8 หัวกะทิหยอดหน้าใบมะกรูดหั่นฝอย พริกชี้ฟ้าหั่นฝอยโรยหน้า
9 นึ่งลังถึง ไฟกลาง จนสุก
แหนมสด
ส่วนผสม
เห็ดนางฟ้า 4 ถ้วย
ข้าวเหนียวนึ่งสุก 2 ถ้วย
พริกขี้หนู 15 เม็ด
สีแดงผสมอาหารนิดหน่อย
เครื่องปรุง
เกลือป่น 1 ช้อนชา ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1 นำเห็ดนางฟ้าไปนึ่งให้สุก แล้วนำมาฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ
2 ใช้น้ำเปล่าพรมข้าวเหนียวบี้ให้กระจาย
3 นำเห็ดกับข้าวเหนียว มาคลุกเคล้าให้เข้ากัน เติมเครื่องปรุงทุกอย่าง แล้วหยดสีผสมอาหารสีแดงนิดหน่อย
4 ตักใส่ใบตองสดห่อมัดให้แน่น ทิ้งไว้ประมาณ 1 วัน เมื่อแกะใบตองออกแหนมจะมีรสเปรี้ยวพอดี ถ้าห่อทิ้งไว้หลายวันก็จะเปรี้ยวมาก
ประเภท ยำ พล่า
ยำวุ้นเส้น
ส่วนผสม
เห็ดเป่าฮื้อ 1 ถ้วย
เห็ดฟาง 1/2 ถ้วย
เห็ดหูหนู 1/2 ถ้วย
วุ้นเส้นแช่น้ำตัดแล้ว 1 ถ้วย
พริกขี้หนูสด 5 เม็ด
พริกขี้หนูแห้ง 5 เม็ด
คึ่นฉ่าย 2 ต้น
เต้าหู้ขาว 2 ก้อน
เครื่องปรุง
ซีอิ้วขาว 3 ช้อนโต๊ะ มะนาว 6-7 ผล น้ำตาลปีบ 1 ช้อนโต๊ะ มะขามเปียก 1 ช้อนโต๊ะ ผักกาดหอม ใบสะระแหน่ พริกแห้งเม็ดใหญ่
วิธีทำ
1 ลวกวุ้นเส้นพอนิ่ม แล้วตัดเป็นท่อน
2 ฉีกเห็ดเป๋าฮื้อเป็นฝอย ลวกน้ำร้อนให้สุก แล้วหั่นเห็ดหูหนูหนาๆ ลวกน้ำร้อนให้สุก ฝานเห็ดฟางเป็นชิ้นๆ ตั้งรวนไฟ เหยาะเกลือนิดหน่อย
3 ตัดคึ่นฉ่ายเป็นท่อนๆ
4 เอามะขามเปียก น้ำตาลปีบ และซีอิ้วผสมรวมกัน ตั้งไฟให้เดือด ชิมดูให้ได้ 3 รส
5 ยีเต้าหู้ให้ละเอียด ตั้งรวนบนไฟจนเหลืองนวล
6 โขลกพริกขี้หนู เอาพริกแห้งที่แกะเม็ดและไส้ทิ้งทอดรวมกับพริกขี้หนูจนกรอบ โขลกให้ละเอียด
7 เมื่อเตรียมได้ทั้งหมดแล้ว ก็นำเอาเห็ดทั้งหมดคลุกในวุ้นเส้น พร้อมด้วยพริกขี้หนู พริกแห้ง ใส่น้ำสามรส มะนาว ชิมรสตามชอบ แล้วใส่คึ่นฉ่าย จากนั้นเอาใส่ภาชนะที่รองผักกาดหอม โรยหน้าด้วยใบสะระแหน่
ยำเม็ดมะม่วงหิมพานต์
ส่วนผสม
เม็ดมะม่วงหิมพานต์ 1 ถ้วย
คึ่นฉ่าย 2-3 ต้น
พริกชี้ฟ้าแดง 2-3 เม็ด
เกลือ 1/2 ช้อนชา
น้ำมันสำหรับทอด 2 ถ้วย
วิธีทำ
1 ตั้งกระทะใส่น้ำมัน ใช้ไฟปานกลาง รอจนกระทะร้อนใส่เม็ดมะม่วงหิมพานต์ลงทอดให้เหลืองตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน
2 ล้างคึ่นฉ่ายและพริกชี้ฟ้า ทิ้งให้สะเด็ดน้ำ หั่นคึ่นฉ่ายเป็นท่อนสั้นๆ และหั่นพริกชี้ฟ้าตามขวางค่อนข้างหนาเตรียมไว้
3 เคล้าเม็ดมะม่วง คึ่นฉ่าย พริกชี้ฟ้า และเกลือ ให้เข้ากันเมื่อจะรับประทาน
พล่าเห็ด
ส่วนผสม
เห็ดฟางหรือเห็ดอื่นๆก็ได้ 2 ถ้วย
ตะไคร้ 1 ต้น
ใบมะกรูด 2 ใบ
ใบสะระแหน่ 1/2 ถ้วย
มะนาว 2 ผล
พริกขี้หนู 5 เม็ด
เครื่องปรุง
ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1/2 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
วิธีทำ
ปอกเห็ดล้างน้ำ หั่นชิ้นพองาม ลวกเห็ดในน้ำเดือด พอสุกนำขึ้นใส่ชามพักไว้ หั่นตะไคร้ใบมะกรูดให้ละเอียด เด็ดใบสะระแหน่ ผ่ามะนาว โขลกพริกขี้หนูพอให้แตกคลุกกับเห็ด เอาตะไคร้ ใบมะกรูดสะระแหน่ที่เตรียมไว้ใส่ด้วย บีบมะนาว และใส่ซีอิ้วขาวน้ำตาลทราย แล้วชิมดู รสตามต้องการ
ลาบเต้าหู้กับเห็ด
ส่วนผสม
เห็ดฟาง 1 ถ้วย
เห็ดหูหนู 1 ถ้วย
เต้าหู้ขาว 1 แผ่น
พริกขี้หนูป่น 1 ช้อนชา
ข้าวคั่ว 2 ช้อนชา
ข่าอ่อน 3 แว่น
ใบสะระแหน่ 7 ยอด
ผักชี 1 ต้น
เครื่องปรุง
มะนาว 2 ผล ซีอิ้วขาว 3 ช้อนโต๊ะ ซอสถั่วเหลืองปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1 หั่นเห็ดฟางและเห็ดหูหนูบางๆ ต้มสุกพักไว้ให้เย็น
2 ยีเต้าหู้ขาวหรือบดให้ละเอียด คั่วในกระทะจนแห้ง
3 คั่วขาให้เหลือง แล้วโขลกละเอียด
4 เด็ดใบสะระแหน่เอาแต่ใบ หั่นผักชีหยาบๆ
5 นำเห็ดฟางและเห็ดหูหนู เต้าหู้ ที่เตรียมไว้ คลุกเคล้ากับข้าวคั่ว พริกป่น ข่า ซีอิ้วขาวอย่างดี น้ำมะนาว ปรุงรสตามใจชอบ ใส่ใบสะระแหน่ ผักชี เสิร์ฟกับผักทที่จัดไว้
ปลาร้าเจทรงเครื่อง
เครื่องปรุง
มะพร้าว 1 กิโลกรัม
หอมแดง 3 ขีด
ตะไคร้ทุบ 3 ต้น
เห็ดฟาง 1/2 กิโลกรัม
เต้าหู้ยี้อย่างกระป๋อง(หรือปลาร้าหมักจากถั่วเหลือง) 3 ก้อน
น้ำ 1.5 ลิตร
กระเทียม 1 ขีด
ชะอม 2 กำ
ถั่วฝักยาว 1/2 กิโลกรัม
ข่า 3 แว่น
กระชายหั่นฝอย 2 ขีด
มะเขือเปราะ 1/2 กิโลกรัม
วิธีทำ
1 คั้นกะทิด้วยน้ำ แยกหัวกะทิไว้ 1 ถ้วย
2 ตำหอม กระเทียม เห็ดฟาง เต้าหู้ยี้บดละเอียด ใส่ในหางกะทิตั้งไฟ พอเดือด คนให้เข้ากัน จนแตกมัน
3 ใส่ซีอิ้ว เกลือ น้ำตาล ใส่หัวกะทิ หางกะทิเดือด ใส่ของทุกอย่างที่เหลือ พอเดือดยกลง ใส่ชะอมทีหลัง
ปลาจ่อมเจทรงเครื่อง
เครื่องปรุง
ถั่วเหลืองหมัก 1/2 กิโลกรัม
เห็ดฟาง 1/2 กิโลกรัม
เกลือ 3 ช้อนโต๊ะ
ซอส 5 ช้อนโต๊ะ
ข้าวคั่วป่น 4 ช้อนโต๊ะ
ถั่วเหลืองบด 2 ช้อนโต๊ะ
งาบด 2 ช้อนโต๊ะ
มะเขือเปราะสุกหั่นละเอียด 10 ผล
ตะไคร้หั่นฝอย 1 ถ้วย
ใบมะกรูดหั่นฝอย 1 ถ้วย
ข่าหั่นฝอย 1 ถ้วย
มะนาว 1 ผล
พริกขี้หนูแดงสด 10 เม็ด
ผักชีฝรั่งหั่นฝอย 1 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1 นำถั่วเหลืองหมัก เห็ดฟาง เกลือ ซอส ข้าวคั่วป่น ถั่วเหลืองบด งาบด มะเขือเปราะสุกหั่นละเอียดมาคลุกเคล้ากันแล้วหมัก 15 วันจะได้ปลาจ่อม
2 นำปลาจ่อมมาปรุงรส ใส่มะเขือหั่นฝอย ตะไคร้ ข่า ขิง ใบมะกรูด คลุกเคล้ากัน ใส่ข้าวคั่ว งา ซอส คลุกเคล้า แล้วใส่ใบผักชีฝรั่ง พริกหั่นฝอย ชิมรสเด็ด แล้วรับประทาน
พล่าเต้าเจี้ยว
เครื่องปรุง
เต้าเจี้ยว 4 ช้อนโต๊ะ
ขิงหั่นฝอย 1 ช้อนโต๊ะ
ตะไคร้หั่นฝอย 1 ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูสด 5 เม็ด
หอมซอย 1 ช้อนโต๊ะ
ต้นหอม 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาล 1/2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1 บุบเต้าเจี้ยวพอแตก ตั้งไฟจนเดือด ตักใส่ชาม
2 ผสมเครื่องปรุงทั้งหมดเข้าด้วยกัน
รับประทานกับผักสด เช่น ผักชี แตงกวา
ตำมะเขือเผา
ส่วนผสม
มะเขือยาว 2 ผล
พริกหนุ่มหรือพริกชี้ฟ้าดิบ 2 เม็ด
งาขาวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ
ใบสะระแหน่เด็ดเฉพาะใบ 1 ถ้วย
เครื่องปรุง
ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1/4 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา
วิธีทำ
1 ย่างมะเขือยาวพริกชี้ฟ้าให้สุก แล้วลอกเปลือกที่ไหม้ออก นำมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
2 โขลกพริกที่ย่างกับงาขาวคั่วให้แหลก แล้วนำมะเขือย่างลงตำพอแหลก ให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน เติมเครื่องปรุงเสร็จแล้ว เวลาตักเสิร์ฟโรยด้วยใบสะระแหน่
วิธีทำปลาร้าถั่ว
เครื่องปรุง
ถั่วเหลืองคัดแล้ว 4 กิโลกรัม
เห็ดฟางคั้นน้ำให้แห้ง 1 กิโลกรัม
เกลือป่น 12 ถุงเล็ก
ข้าวคั่วบดละเอียด 1/2 กิโลกรัม
งาดำคั่วบดละเอียด 1/2 กิโลกรัม
รำอ่อนคั่ว 1/2 กิโลกรัม
ซอสตราเด็ก 2 ขวดใหญ่
ซีอิ้วขาวสูตร 1 2 ขวด
วิธีทำ
1 นำถั่วเหลืองแช่น้ำ 6-8 ชั่วโมง แล้วนำมาล้างให้สะอาด ให้น้ำแห้ง
2 ต้มถั่วเหลืองให้เปื่อย จนเป็นสีน้ำตาล
3 นำถั่วเหลืองจากข้อ 2 มาใส่โอ่งมังกรที่สะอาด ขนาดปากโอ่งเส้นผ่าศูนย์กลาง 22-26 เซ็นติเมตร โดยประมาณ
4 หมักข้อ 3 ไว้ 15 วัน จนขึ้นราสีขาว และมีกลิ่นแรงจัดได้ที่
5 นำเครื่องปรุงจากข้อ 1-4 มาคลุกเคล้ากัน แล้วหมักไว้อีก 20 วัน จะได้ปลาร้ารสเด็ดรสดี
ถ้าต้องการน้ำ เพิ่มซีอิ้วตามต้องการ(ปลาร้าเจสำเร็จรูปตามท้องตลาดอาหารเจมีขาย)
ประเภทน้ำพริก เครื่องจิ้ม
น้ำพริกอ่อง
เครื่องปรุง
เต้าหู้ขาวอย่างแข็ง 3 ก้อน
เห็ดฟาง(หรือนางฟ้า) 1 ถ้วย
มะเขือเทศสีดา(หรือมะเขือเปรี้ยวลูกเล็ก) 2 ถ้วย
น้ำพริกแกงเผ็ดเจ 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช 1/4 ถ้วย
ซีอิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือ 1 ช้อนชา
วิธีทำ
1 สับเต้าหู้พอละเอียด
2 ล้างเห็ดฟางสับให้ละเอียด
3 ตั้งกระทะใส่น้ำมัน ไฟร้อนปานกลาง นำน้ำพริกเครื่องแกงลงผัดให้หอม
4 ใส่เต้าหู้สับ เห็ดสับ ผัดให้เข้ากัน
5 ใส่มะเขือสีดา ผ่าครึ่ง ผัดต่อสักครู่ ปรุงรสด้วยเต้าเจี้ยว เกลือป่น ซีอิ้วขาว จะมีรสเปรี้ยว เค็ม เผ็ด เติมน้ำตาลทรายนิดหน่อย
6 รับประทานกับผักสด ผักต้ม และของทอดกรอบ เช่น ฟองเต้าหู้แห้งทอดกรอบ หรือข้าวเกรียบ ฟักทองทอดก็ได้
น้ำพริกกระปิเจ
ส่วนผสม
กระปิเจ 2 ช้อนโต๊ะ
งาขาวคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ
พริกชี้ฟ้าแดง 2 เม็ด
พริกชี้ฟ้าเขียว 1 เม็ด
พริกขี้หนู 2 ช้อนชา
ซีอิ้วขาว 1/4 ถ้วย
น้ำมะนาว 1/4 ถ้วย
น้ำตาล 3 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
ตัดพริกชี้ฟ้าเป็นท่อนๆ เม็ดหนึ่งตัด 3-4 ท่อน กระปิงาคั่ว ใส่ครกโขลกให้ละเอียด แล้วใส่พริกชี้ฟ้า ลงโขลกพอแตก ใส่พริกขี้หนูบุบพอแตกแล้วจึงใส่ซีอิ้วขาว น้ำมะนาวและน้ำตาลคนจนเข้ากันดี น้ำพริกจิ้มอย่างใส่นี้นิยมรับประทานกับผักสุก เช่น ผักต้มกะทิ ผักชุบแป้งทอด
น้ำพริกหมูสับเจ
ส่วนผสม
โปรตีนเกษตรแช่น้ำจนพอง 1 ถ้วย
พริกหนุ่ม(พริกชี้ฟ้าดิบ) 3 เม็ด
ผักชี 1 ต้น
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
เครื่องปรุง
ซีอิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1 ช้อนชา ซอสถั่วเหลืองปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลปีบ 1 ช้อนชา งาขาวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1 สับโปรตีนเกษตรให้หละเอียด พริกหนุ่มโขลกละ
เอียดกับงา
2 ตั้งกระทะน้ำมันพอร้อน ใส่พริกโขลกกับงาลงคั่วให้หอมตามด้วยโปรตีนเกษตรสับ เติมเครื่องปรุง และน้ำเปล่า 1 ถ้วย พอเดือดยกลง โรยหน้าด้วยผักชีสับ ตักเสิร์ฟพร้อมผักสดต่างๆ
น้ำพริกเห็ดสับ
ส่วนผสม และเครื่องปรุงทุกอย่าง
เช่นเดียวกับน้ำพริกหมูสับเจ แต่ใช้เห็ดฟางหรือเห็ดอื่นๆ แทนโปรตีนเกษตร
วิธีทำ
1 ย่างเห็ดและพริกให้สุก
2 สับเห็ดที่ย่างแล้วให้ละเอียด โขลกพริกย่าง งาและเห็ดจนเข้ากัน เติมเครื่องปรุงทุกอย่าง ตักใส่จานรับประทานพร้อมผักสดต่างๆ
น้ำพริกเผา
ส่วนผสม
ถั่วเขียวเลาะเปลือกนึ่งโขลกละเอียด 1 ถ้วย
งาขาวเจียวพอเหลืองกรอบ 1 ถ้วย
พริกแห้งเม็ดใหญ่ใหม่ๆ 10-15 เม็ด
น้ำตาลปีบ 1/2 ถ้วย
ซีอิ้วขาว 1/2 ถ้วย
น้ำส้มมะขามเปียก 1/2 ถ้วย
น้ำมันพืช 1/4 ถ้วย
วิธีทำ
1 แกะพริกแห้งเอาเมล็ดออก หั่นตามขวางให้เป็นฝอยๆ พอน้ำมันร้อนจัดใส่พริกแล้วยกลงคั่วข้างล่างพอพริกพองคะเนว่ากรอบตักขึ้น
2 โขลกงาขาวและพริกให้ละเอียด โขลกทีละอย่าง เมื่อละเอียดแล้วนำมาผสมกัน
3 ใส่น้ำมันลงในกระทะใช้ไฟอ่อน พอน้ำมันร้อนจึงใส่เครื่องที่โขลกแล้วลงผัด พอเข้ากันดีใส่น้ำตาล ซีอิ้วขาว น้ำส้มมะขามเปียก ใส่ถั่วคนให้เข้ากัน พอเดือดชิมดู ให้มี 4 รส คือ เผ็ด เค็ม หวาน เปรี้ยว
หมายเหตุ
ต้องระวังการเจียวพริก อย่าให้ดำจะทำให้พริกขม ในขณะที่ผัดน้ำพริกระวังอย่าให้ข้นเกินไป เพราะเมื่อเย็นแล้วน้ำพริกจะข้นขึ้นอีก เมื่อเย็นจึงตักใส่ขวดที่สะอาดและแห้งสนิท เก็บไปรับประทานได้เป็นเดือนใช้ทาขนมปังก็ได้
น้ำพริกมะขามสด
ส่วนผสม
มะขามสดล้างสะอาดผ่าสองตามยาวฝักแกะเม็ดทิ้ง
หั่นละเอียด 1/2 ถ้วย
โปรตีนเกษตรทอด 1/2 ถ้วย
กะปิเจ 1 ช้อนโต๊ะ
งาขาวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ
พริกชี้ฟ้าแดง 3 เม็ด
พริกชี้ฟ้าเขียว 3 เม็ด
พริกขี้หนู 1 ช้อนชา
น้ำมันพืช 1/2 ถ้วย
เห็ดฟางสับ 1/2 ถ้วย
ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาล 2 ช้อนชา
วิธีทำ
โขลกมะขาม กะปิ และงาขาวคั่วเข้าด้วยกัน พริกชี้ฟ้าตัดเป็นเม็ดละ 3-4 ท่อน ใส่ลงครกโขลกด้วยกัน แล้วใส่โปรตีนเกษตรตำจนป่นเข้ากันดี น้ำมันใส่กระทะตั้งไฟพอร้อนจัดใส่เห็ดฟางผัดให้สุกแล้วจึงใส่น้ำพริกที่โขลกไว้แล้วผัดต่อไปประมาณ 5 นาที ใส่ซีอิ้วน้ำตาล พริกขี้หนู รับประทานกับผักสด
หลนเต้าเจี้ยว
ส่วนผสม
เต้าเจี้ยวขาว 1/2 ถ้วย
มะพร้าว 1/2 กิโลกรัม
งาขาวคั่วบดแล้ว 2 ช้อนโต๊ะ
เห็ดฟาง 1 ถ้วย
น้ำส้มมะขามเปียก 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปีบ 2 ช้อนโต๊ะ
พริกแดง พริกเหลือง 6 เม็ด
วิธีทำ
1 คั้นมะพร้าวให้ได้กะทิข้นๆ (ใส่น้ำ 1/2 ถ้วย คั้นให้ได้น้ำ 1 ถ้วย)
2 สับเห็ดหยาบๆ
3 เอาเต้าเจี้ยวใส่กระชอน ล้างน้ำให้หายเค็ม นำไปโขลก คลุกหัวกะทิและงาขาวคั่วหรือใส่เครื่องปั่นกับกะทิ อย่าให้เต้าเจี้ยวหยาบหรือละเอียดเกินไป ใส่ในหม้อ ใส่เห็ด นำไปตั้งไฟ ใส่น้ำตาลปีบ ใส่น้ำส้มมะขามเปียก เคี่ยวสักครู่หมั่นคนไม่ให้ไหม้ ชิมรสเค็มหวานนำ เปรี้ยวตาม ใส่พริกแดง เหลืองรับประทานกับผักสดต่างๆ เช่น แตงกวา ถั่วฝักยาว กระถิน กระหล่ำปลี หัวปลี ถั่วพู แครอท มะเขือ
ประเภทอาหารจานเดียว
โจ๊กเห็ด
ส่วนผสม
ข้าวสาร 2 ถ้วย
เห็ดฟางหรือเห็ดอื่นๆ 1 ถ้วย
เต้าหู้ขาวอย่างแข็ง 1/2 ถ้วย
ขิงหั่นฝอย 1 ช้อนโต๊ะ
ผักชี 1 ต้น
งาขาวคั่วบด 1 ช้อนโต๊ะ
เส้นหมี่ขาว 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
เครื่องปรุง
ซีอิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1/2 ช้อนชา พริกไทย 1 ช้อนชา
วิธีทำ
1 ต้มข้าวให้เปื่อยแล้วยกลงพักไว้ ถ้าต้องการประหยัดเวลาให้ใช้ข้าวหุงสุกแล้วไปปั่นกับน้ำจนเละ แล้วจึงนำไปต้ม วิธีนี้สะดวกรวดเร็วดี
2 สับเห็ด เต้าหู้ขาวหั่นเป็นชิ้นเล็กๆนำไปทอดให้เหลือง
3 เมื่อจะรับประทานให้นำเห็ดเต้าหู้ลงต้มลงในหม้อข้าวต้มให้เดือด เติมเครื่องปรุง เหยาะพริกไทย โรยหน้าด้วยเส้นหมี่ขาวที่ทอดน้ำมันจนพองกรอบ และผักชี รับประทานร้อนๆกับปาท่องโก๋ เป็นอาหารเช้าดีมาก
ผัดหมี่ซั่ว
ส่วนผสม
โปรตีนเกษตรเม็ดเล็ก 1/2 ถ้วย
เส้นหมี่ซั่ว 1/2 กิโลกรัม
เห็ดหอม 5 ดอก
ผักคะน้า 2 ต้น
พริกไทย 1 ช้อนชา
งาขาวคั่วบด 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ้วขาว 3 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1 โปรตีนเกษตรเม็ดเล็กทอดกรอบ แล้วตักขึ้นพักไว้
2 ต้มน้ำให้เดือด ใส่เส้นหมี่ลงต้มพอนุ่มยกลง ตักขึ้นล้างด้วยน้ำเย็น เสร็จแล้วพักไว้ ถ้าทำมากให้ใส่น้ำมันพืชคลุกเคล้าเส้นไว้
3 เห็ดหอมแช่น้ำพอนุ่ม นำมาหั่นชิ้นขนาดพอดีคำพักไว้เก็บน้ำแช่เห็ดหอมไว้
4 หั่นผักคะน้า กะหล่ำปลีหยาบๆ ล้างสะอาดพักไว้
5 ตั้งกระทะใส่น้ำพอร้อน ใส่งาคั่วลงผัดพอหอม ใส่เห็ดหอม ใส่กะหล่ำปลี เติมซีอิ้วขาว เติมน้ำเห็ดหอม 4-5 ช้อนโต๊ะ ผัดจนผักสุกแล้วจึงใส่เส้นหมี่ลงผัดสักพักใหญ่ โรยด้วยโปรตีนเกษตรทอดกรอบตักเสิร์ฟร้อนๆ
ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า
ส่วนผสม
เส้นก๋วยเตี๋ยว 1 กิโลกรัม อาจเปลี่ยนใช้เส้นอื่น เช่น เส้นหมี่ขาว บะหมี่หรือ หมี่กรอบ แล้วราดก็ได้
เครื่องปรุงน้ำราดหน้า
กระหล่ำดอก 1 หัว
ผักคะน้า 3 ต้น
เห็ดฟางหรือเห็ดอื่นๆ 1 ถ้วย
เต้าหู้ขาวทอดจนเหลือง 2 แผ่น
ข้าวโพดอ่อน 5 ฝัก
ถั่วลันเตา 1/2 ถ้วย
น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
เครื่องปรุง
ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ ซีอิ้วดำ 1 ช้อนชา เกลือป่น 1 ช้อนชา พริกไทย 1 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ งาขาวคั่วบด 1 ช้อนโต๊ะ แป้งมัน 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1 เส้นก๋วยเตี๋ยวนำลงผัดในกระทะน้ำมันร้อนๆ เหยาะซีอิ้วดำผัดให้เส้นหอม และนำขึ้นพักไว้
2 ตั้งกระทะ น้ำมันพอร้อนใส่งาขาวคั่ว และส่วนผสมทุกอย่างผัดไปสักครู่ แล้วเติมน้ำพอประมาณ ใส่เครื่องปรุงทุกอย่าง เคี่ยวต่อจนผักสุก ก่อนยกลงใส่แป้งมันละลายน้ำ
3 เวลาเสิร์ฟ ตักเส้นก๋วยเตี๋ยวที่ผัดไว้ พอประมาณแล้วราดด้วยน้ำราดหน้า ปรุงด้วยพริกชี้ฟ้าดองน้ำส้มสายชู
ก๋วยเตี๋ยวน้ำ
ส่วนผสม
ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ เล็ก หรือ บะหมี่ ก๋วยจั๊บ ก็ได้
เครื่องปรุงน้ำก๋วยเตี๋ยว
เห็ดฟางหรือเห็ดนางฟ้า 2 ถ้วย
หัวไชเท้า 1 ถ้วย
รากผักชี 4 ราก
เครื่องเทศทำน้ำก๋วยเตี๋ยวถุงเล็ก 1 ถุง
(มีขายตามร้านขายของชำทั่วไป)
ซอสถั่วเหลืองปรุงรส 3 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ้วหวานดำ 1 ช้อนโต๊ะ
พริกไทย 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 1 ช้อนชา
วิธีทำ
1 นำเห็ดฟางมาปั่นรวมกับรากผักชีให้ละเอียด หัวไชเท้าหั่นเป็นแผ่น
2 ใส่น้ำ 5 ถ้วย ตั้งไฟให้เดือด ใส่เห็ดปั่น หัวไชเท้า เครื่องเทศก๋วยเตี๋ยว ต้มจนเดือดแล้วปรุงรสตามใจชอบ
3 เวลาจะรับประทาน ลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวและผักสดต่างๆ เช่น ผักบุ้ง ผักกาดขาว ถั่วงอกใส่ชาม ตักน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวเทใส่ ถ้าจะทำเป็นก๋วยเตี๋ยวเนื้อเปื่อยเจ ก็เพิ่มโปรตีนเกษตรตุ๋นหรือลูกชิ้นหมี่กึนก็ได้ เหยาะพริกไทย โรยผักชีรับประทานร้อนๆเป็นอาหารกลางวัน
ขนมจีนน้ำยา
ส่วนผสม
เห็ดฟาง 1/2 กิโลกรัม
มะพร้าว 1 กิโลกรัม
กระชาย 1 ถ้วย
ซีอิ้วขาว 4 ช้อนโต๊ะ
เครื่องปรุง
ตะไคร้ 3 ต้น พริกแห้ง 18 เม็ด ข่าหั่นละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ กระชาย 1/2 ถ้วย งาขาวคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1 ช้อนชา
วิธีทำ
1 คั้นมะพร้าวใส่น้ำประมาณ 7 ถ้วย คั้นให้ได้กะทิ 10 ถ้วย ช้อนหัวกะทิไว้ประมาณ 1 ถ้วย
2 โขลกเครื่องแกงให้ละเอียดแล้วนำไปผัดกับกะทิ
3 หั่นกระชายเป็นแว่น นำไปปั่นกับหางบีบน้ำออก แบ่งกากกระชายเป็น 3 ส่วน เก็บไว้ 2 ส่วน ทิ้งไป 1 ส่วน
4 ปั่นเห็ดกับหางกะทิพอหยาบๆใส่กับกระชายที่เก็บไว้ยกตั้งไฟพอเดือดใส่เครื่องแกงที่ผัดกับหัวกะทิแล้ว คนให้เข้ากัน ใส่ซีอิ้วขาว เคี่ยวไฟอ่อนสักครู่ยกลง
5 เสิร์ฟน้ำยาพร้อมกับขนมจีน และผัก เช่นแตงกวา ถั่วฝักยาว สะระแหน่ ใบแมงลัก ถั่วงอก
ข้าวมันเห็ด
ส่วนผสม
ข้าวสาร 2 ถ้วย
เห็ดนางฟ้า 2 ถ้วย
ขิงแก่สับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช 4 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 1 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
วิธีทำ
1 ข้าวสารซาวให้สะอาดแล้วพักไว้
2 ตั้งกระทะใส่น้ำมันพอร้อน นำขิงลงผัดให้หอม ใส่ข้าวสารเห็ดนางฟ้าฉีกเป็นชิ้น ลงผัด เติมเครื่องปรุงทุกอย่าง
3 ตักข้าวสารทั้งหมด ลงในหม้อหุงข้าว แล้วเติมน้ำในอัตรา ส่วนที่หุงข้าวตามปกติ หุงจนสุกก็จะได้ข้าวมันเห็ด ถ้าต้องการให้ข้าวมีความเหนียวเกาะกัน ให้ใส่ข้าวเหนียวผสมข้าวสารลงไปในอัตราส่วน 1 ต่อ 10
4 เวลาตักเสิร์ฟ ประดับด้วยแตงกวาสด โรยด้วยผักชีนิดหน่อยรับประทานกับน้ำซุปใสร้อนๆ เช่น ซุปหัวไชเท้า หรือ แกงจืดแตงกวาก็ได้
น้ำจิ้มปรุงรสข้าวมันเห็ด
ใช้เต้าเจี้ยว 2 ช้อนโต๊ะ ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา พริกขี้หนูซอย 1 ช้อนชา ผสมกันทั้งหมด แล้วเติมน้ำสุกสัก 1/2 ถ้วย บีบมะนาว 1/2 ลูก ชิมรสให้พอดี
ผัดมักกะโรนี
ส่วนผสม
มักกะโรนี 2 ถ้วย
มะเขือเทศหั่นแว่น 4 ลูก
เห็ดบานหั่น 1 ถ้วย
ข้าวโพดอ่อนผ่าครึ่งตามยาวและตามขวาง 1/2 ถ้วย
กะหล่ำดอกหั่น 1/2 ถ้วย
แครอทหั่นชิ้นเล็กๆ 1/2 ถ้วย
โปรตีนเกษตรอย่างหยาบแช่น้ำจนพอง 1/2 ถ้วย
น้ำมันพืช 1/4 ถ้วย
เครื่องปรุงรส
ซอสมะเขือเทศ 2 ช้อนโต๊ะ ซอสถั่วเหลืองปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา เกลือ 1/4 ช้อนชา
วิธีทำ
1 ผสมน้ำปรุงรส ชิมดูให้รสพอดี พักไว้
2 ต้มน้ำให้เดือด ใส่เกลือ ใส่มักกะโรนี เมื่อมักกะโรนีเปลี่ยนสีและบาน ตักแช่น้ำเย็น พักไว้
3 ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืช ใส่ข้าวโพดอ่อน กะหล่ำดอก แครอท เห็ดบาน และโปรตีนเกษตรลงผัดจนเข้ากันดี
4 ใส่มักกะโรนีลงผัดให้น้ำมันพืชเข้าเนื้อ
5 ใส่น้ำปรุงรสพอสมควร เหลือไว้ใส่ทีหลัง
6 ใส่มะเขือเทศ ใส่น้ำปรุงรสที่เหลือ
7 โรยผักชีแล้วตักขึ้น ใส่จานประดับด้วยแตงกวาและผักสลัด
ข้าวผัดกะเพรา
เครื่องปรุง
เห็ดสับ 3 ขีด
พริกขี้หนู 10 เม็ด
ใบกะเพรา 1 กำ
น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
กระเทียม 2 หัว
น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
เต้าหู้ขาว 1 ก้อน
ข้าวสวย 5 จานเล็ก
ซีอิ้วขาว แตงกวา ต้นหอม
วิธีทำ
1 เต้าหู้ทอด แล้วหั่นชิ้นเล็กๆ (แบบผัดไทย)
2 โขลกกระเทียมกับพริกขี้หนูเข้าด้วยกัน แล้วนำลงผัดกับน้ำมันพืช
3 ใส่เห็ดลงผัด เต้าหู้ ใส่น้ำซุปขลุกขลิก ชิมรสให้พอดี
4 ใส่ข้าวลงผัด ผสมกันจนได้ที่ ใส่กะเพราผัดจนทั่ว ยกลงทานกับแตงกวา แต่งหน้าด้วยใบกะเพรา ทอดน้ำมันให้ดูงาม
ข้าวคลุกกะปิเจ
เครื่องปรุง
ข้าวสวย 2 ถ้วย
กะปิเจ 2 ช้อนชา
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมสับ 2 ช้อนชา
หอมแดงซอย 3 หัว
พริกขี้หนูซอย 2-3 เม็ด
เต้าหู้ทอดซอยแบบไข่ 1 แผ่น
มะนาว 1 ผล
มะม่วงดิบซอย 1-2 ช้อนโต๊ะ
ชะอมสด 1 ช้อนโต๊ะ
โปรตีนละเอียดทอด 1-2 ช้อนโต๊ะ
แตงกวา 1 ลูก
ผักชี
วิธีทำ
นำข้าวคลุกกับกะปิให้เข้ากัน เจียวกระเทียมให้เหลือง หอมแล้วนำข้าวลงผัด ตักใส่จาน โรยด้วยเครื่องเคียงต่างๆ มีหมูหวาน ไข่เจียว มะม่วงซอย หอมซอย โปรตีนทอด พริกขี้หนูซอย ชะอม ผักชี แตงกวา
เครื่องปรุงหมูหวาน
โปรตีน 2 ช้อนโต๊ะ(แช่น้ำให้นิ่ม) หอมแดงซอย 1 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ ซีอิ้วดำ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปีบ 1.5 ช้อนโต๊ะ น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำ 1/2 ถ้วย พริกไทย 1/2 ช้อนชา
วิธีทำ
เจียวหอมแดงไม่ต้องเหลือง ใส่โปรตีนลงผัด ใส่น้ำตาล ซีอิ้วขาว ซีอิ้วดำ น้ำ เคี่ยวให้แห้ง โรยพริกไทย
ประเภทอาหารว่าง
ปอเปี๊ยะทอด
ส่วนผสม
แป้งปอเปี๊ยะแผ่นเล็ก(ห่อไว้อย่าให้ถูกลม) 20 แผ่น
วุ้นเส้นแช่น้ำตัดแล้ว 1 ถ้วย
กระหล่ำปลีหั่นฝอย 1 ถ้วย
ถั่วงอก 1 ถ้วย
พริกไทย 1/4 ถ้วย
ซีอิ้วขาว 1/2 ถ้วย
งาขาวคั่วบด 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันสำหรับเจียว 1 ช้อนโต๊ะ
แป้งเปียกกวนไว้สำหรับติดแป้งเวลาห่อ 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืชสำหรับทอด
เครื่องปรุงน้ำส้ม
น้ำส้ม 1/4 ถ้วย น้ำตาล 1/4 ถ้วย เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ พริกแดงโขลก 1 เม็ด แป้งมัน 2 ช้อนชา ผสมเครื่องปรุงทุกอย่างรวมกัน ตั้งไฟพอเดือด ใส่แป้งคนพอสุก ยกลง
วิธีทำ
1 แช่วุ้นเส้นในน้ำจนนิ่ม ตัดสั้นๆ ผสมวุ้นเส้น กระหล่ำปลี ถั่วงอก พริกไทย และซีอิ้วขาวให้เข้ากัน
2 เจียวงาคั่วกับน้ำมัน 1 ช้อนโต๊ะ ใช้ไฟอ่อน พอหอมจึงใส่ ส่วนผสมของวุ้นเส้น ผัดให้สุกและแห้ง ตักขึ้นพักไว้ให้เย็น
3 แผ่แผ่นแป้งปอเปี๊ยะใส่ไส้ 1 ช้อนชาพูน ห่อพับหัวท้ายม้วนให้แน่น ทาแป้งเปียก ทอดจนกรอบ เหลือง ตักขึ้นใส่ตะแกรงให้สะเด็ดน้ำมัน รับประทานกับน้ำจิ้ม และผักสด แตงกวา ใบโหระพา
ขนมจีบ
ส่วนผสม
แผ่นเกี๊ยว 80 แผ่น
เห็ดหูหนูแช่น้ำหั่นฝอยๆ 1/2 ถ้วย
ถั่วลันเตาเม็ดหรือถั่วแขกหั่น 1 ถ้วย
ฟักทองหรือแครอทหั่นสี่เหลี่ยมเล็ก 1 ถ้วย
รากผักชี 1 ช้อนชา
เครื่องปรุง
ซีอิ้วขาว 1-2 ช้อนโต๊ะ พริกไทย 1/4 ช้อนชา แป้งสาลี 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ ซอสถั่วเหลืองปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ งาขาวคั่วบด 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1 โขลกรากผักชี พริกไทย ให้ละเอียด
2 ใส่น้ำมันในกระทะ ใส่เครื่องที่โขลกลงผัด ผัดให้หอม ใส่เห็ดหูหนู ถั่วลันเตา ฟักทอง ผัดให้สุกนุ่มปรุงรสด้วยซอสปรุงรส ซีอิ้วขาว
3 ใส่แป้งสาลีผัดให้เข้ากัน ตักขึ้นปล่อยให้เย็น
4 แผ่แผ่นแป้งเกี๊ยวตักใส่แผ่นละ 1 ช้อนชา จีบแผ่นแป้งเป็นจีบเล็กๆ รวบให้เกาะกัน วางในลังถึงปูด้วยใบตองทาน้ำมัน นึ่งประมาณ 15 นาที
5 สุกแล้วยกลังถึงขึ้นพรมด้วยงาเจียวน้ำมัน รับประทานกับซีอิ้วขาว น้ำส้มพริกดอง หรือซอสเปรี้ยว
ทอดมันข้าวโพด
ส่วนผสม
ข้าวโพดฝานบางๆ(ประมาณ 4 ฝักใหญ่) 2 ถ้วย
ถั่วฝักยาวซอยตามขวางบางๆ 1/2 ถ้วย
น้ำพริกแกงคั่ว(ไม่ใส่กะปิ) 1 ช้อนโต๊ะ
แป้งข้าวเจ้า 3 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
เกลือ 1 ช้อนชา
น้ำมันพืชสำหรับทอด 2 ถ้วย
แป้งสาลีสำหรับคลุกทอด 3 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1 ผสมเครื่องปรุงทั้งหมด นวดให้เข้ากันดี
2 ปั้นเป็นก้อนกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว แล้วกดให้แบนเล็กน้อย แตะแป้งสาลีให้ทั่ว ทอดในน้ำมันร้อนๆ และน้ำมันมาก
3 การทอดใส่ครั้งละ 8-10 ก้อน ถ้าใส่มากเกินไป น้ำมันจะเป็นฟองทำให้ผิวนอกไม่กรอบ
วิธีทำน้ำจิ้ม
1 ต้มน้ำส้ม น้ำ น้ำตาลทราย อย่างละ 1/4 ถ้วย เกลือ 1 ช้อนชา พริกแดง โขลกละเอียด 1 เม็ด ให้เดือด ปล่อยให้เย็น
2 ถั่วลิสงคั่ว โขลกละเอียด 1/4 ถ้วย แตงกวาหั่น 5 ผลผสมทุกอย่างเข้าด้วยกันสำหรับจิ้ม
หอยทอดเจ
ส่วนผสม
สาหร่ายทะเล 1 แผ่น
เห็ดฟางดอกตูมหรือเห็ดแชมปิยอง 1 ถ้วย
แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย
แป้งมัน 1/2 ถ้วย
น้ำ 1 ถ้วย
คื่นช่าย 3 ต้น
ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
ถั่วงอก 1 ถ้วย
เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
พริกไทย 1 ช้อนชา
ใบผักชีหั่น 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1 เห็ดฟางผ่าครึ่ง สาหร่าย ฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ
2 ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน น้ำ ผักชีหั่น และซีอิ้วขาวเข้าด้วยกันใส่สาหร่ายและเห็ดลงไป
3 น้ำมันใส่กระทะตั้งไฟพอร้อนจัด ตักส่วนผสมที่เตรียมไว้ลงทอด เกลี่ยให้บาง พอแป้งข้างล่างเริ่มสุกเหลืองดีแล้วกลับข้างบนลงเติมน้ำมันลงเล็กน้อย ทอดต่อไปจนเหลืองทั้งสองด้าน ใช้ตะหลิวฉีกให้เป็นชิ้นเล็กๆ ตักใส่จานเสิร์ฟ
4 ถั่วงอกผัดกับน้ำมันพอสุก ใส่ซีอิ้วนิดหน่อย ตักใส่ข้างๆจานบ้างเล็กน้อย โรยพริกไทย รับประทานกับซอสพริกก็ได้
หมายเหตุ
ควรทอดเป็นจานๆ โดยตักแป้งขึ้นไว้ 1 ถ้วย แล้วค่อยใส่เห็ดสาหร่ายลงผสม เสร็จแล้วจึงเทลงในกระทะ ถ้าผสมรวมกันหมดเสียทีเดียว สาหร่ายจะเละไม่น่าดู
ก๋วยเตี๋ยวหลอด
ส่วนผสม
ก๋วยเตี๋ยวแผ่น 1 กิโลกรัม
เห็ดฟาง 3 ถ้วย
ถั่วงอก 1/2 กิโลกรัม
เห็ดหูหนู 1 ถ้วย
เต้าหู้ขาว 4 แผ่น
เครื่องปรุง
งาคั่วบด 4 ช้อนโต๊ะ ซีอิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ พริกไทย 1 ช้อนชา น้ำมันพืช 4 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลปีบ 1 ช้อนโต๊ะ รากผักชี 5 ราก เกลือ 1 ช้อนชา ผงพะโล้ 1 ช้อนโต๊ะ ซีอิ้วดำ 1 ช้อนโต๊ะ หัวไชโป้วสับ 1 ถ้วย
วิธีทำ
1 โขลกรากผักชี งาขาวคั่ว พริกไทย ให้ละเอียด
2 เห็ดฟาง เห็ดหูหนู ตัดโคนล้างน้ำให้สะอาด หั่นชิ้นเล็ก หรือ ใช้สับหยาบๆก็ได้ เต้าหู้ขาวหั่นชิ้นยาว
3 รากผักชี งา พริกไทยที่โขลกไว้ นำลงไปผัดกับน้ำมันพืชในกระทะจนเหลือง ใส่ซีอิ้วดำ น้ำตาลปีบ ผงพะโล้ เกลือ ผัดจนหอมดีแล้วจึงใส่เต้าหู้ขาว เห็ดฟาง เห็ดหูหนู ผัดให้เข้ากัน (อย่าให้มีน้ำมากจะทำให้ห่อยาก) ชิมรสตามต้องการ
4 ล้างถั่วงอกให้สะอาด ลวกน้ำร้อน จัดใส่จาน
5 ตักเครื่องที่ผัดวางลงบนแผ่นก๋วยเตี๋ยว พับหัวท้ายแล้วห่อม้วนให้มีลักษณะกลมยาว ขนาดเล็กใหญ่ตามใจชอบ แล้วนำไปนึ่งในรังถึงจนร้อน จัดใส่จาน ใช้ถั่วงอกรองก้นจาน(หรือจะใช้ผักสลัดก็ได้) ตัดเป็นชิ้นพองาม ราดด้วยซีอิ้วดำ พริกส้ม โรยด้วยผักชี
เต้าหู้ทอด
ส่วนผสม
เต้าหู้ขาวชนิดแผ่นสำหรับทอด 4 แผ่น
น้ำมันสำหรับทอด 4 ถ้วย
เครื่องปรุงน้ำจิ้ม
น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย น้ำส้มสายชู 1/2 ถ้วย ถั่วลิสงคั่วป่นหยาบๆ 3 ช้อนโต๊ะ พริกขี้หนูสับหยาบๆ 10 เม็ด เกลือ 1 ช้อนชา
วิธีทำ
1 ตัดเต้าหู้แผ่น 4 ชิ้นเท่ากัน ตัดทะแยงเป็นสามเหลี่ยม ตั้งกระทะใส่น้ำมันพอร้อนๆ ใส่เต้าหู้ลงทอดให้เหลือง ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน
2 ผสมน้ำตาลทราย น้ำส้มสายชู และเกลือ ลงในหม้อ ตั้งไฟอ่อน เคี่ยวพอเหนียว ใส่ถั่วลิสง ใส่พริกขี้หนู คนให้ทั่ว ตักใส่ถ้วยเสิร์ฟพร้อมกับเต้าหู้
เคล็ดลับความอร่อย
อาหารมังสวิรัติ(เจ) เป็นอาหารที่ปรุงโดยปราศจากเนื้อสัตว์ รวมทั้งส่วนประกอบอื่นใดที่นำมาจากสัตว์ทุกประเภท เช่น ไข่ นม น้ำปลา น้ำมันหอย ไขมันสัตว์ ฯลฯ
อาหารมังสวิรัติ(เจ) สำหรับคนไทยสามารถทำได้ทุกอย่างโดยใช้เครื่องปรุงเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนส่วนที่เกี่ยวกับเนื้อสัตว์ดังนี้
1 เนื้อสัตว์ ใช้แทนด้วย เห็ดต่างๆ เตาหู้ ฟองเต้าหู้ หมี่กึน โปรตีนเกษตร
2 น้ำปลา ใช้แทนด้วย ซีอิ้วขาว เกลือป่น ซอสถั่วเหลืองปรุงรส
3 กระปิ ใช้แทนด้วย ถั่วหมัก เต้าเจี้ยว เต้าหู้ยี้ แต่ปัจจุบันกระปิเจ ปลาร้าเจ ก็มีจำหน่ายแพร่หลายในร้านขายของชำ หรือร้านอาหารมังสวิรัติหรือร้านอาหารเจ
4 น้ำมันหมู ใช้แทนด้วย น้ำมันพืช โดยเฉพาะน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ
สำหรับการเพิ่มรสชาติความอร่อยโดยพื้นฐานควรใส่ซอสถั่วเหลืองปรุงรส หรือซีอิ้วขาวและใส่เกลือเล็กน้อยเพราะเกลือสามารถดึงรสชาติของอาหารออกมาได้ดี สำหรับผงชูรสถ้าไม่แน่ใจในส่วนประกอบควรใช้ ผงฟ้าไทยที่มีขายแทนหรือซอสปรุงรสเห็ดหอมที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป นอกจากนั้นท่านที่พิถีพิถันเรื่องความอร่อย น้ำซุปถือเป็นพื้นฐานความอร่อยของอาหารสามารถนำมาใช้แทนน้ำเปล่าในการปรุงอาหารทุกแบบ น้ำซุปควรมาจากผักต้มใส่เกลือเล็กน้อย เช่น น้ำต้มฟัก หัวไชเท้า ฝักข้าวโพดต้ม หรือผักที่ท่านชอบ แต่ปัจจุบันน้ำซุปสามารถทำได้ง่ายจากซุปผักก้อนที่มีขายตามท้องตลาด เช่น ซูปรสเห็ดหอมก้อน ตราคนอร์ (เจ) สำหรับเนื้อเจสำเร็จรูปมีขายตามร้านอาหารเจทั่วไปสามารถนำมาประกอบอาหารเพิ่มรสชาติได้มากยิ่งขึ้น อาหารเจสามารถปรุงแบบง่ายๆ ราคาถูกๆ ไปจนถึงยากๆ และใช้ส่วนผสมและเครื่องปรุงที่ยุ่งยากราคาสูงขึ้น แล้วแต่ความสามารถในการประยุกต์ของแต่ละคน แต่พื้นฐานยังคงเป็นอาหารจากพืชผักที่หาได้ในท้องถิ่นนั่นเอง....
1 ตุลาคม 2553 23:30 น.
คีตากะ
มนุษย์นั้นคือทาสของชีวิต และความเป็นทาสนี่เองที่ทำให้กลางวันของเขาเต็มไปด้วยความทุกข์โศก และกลางคืนก็ท่วมท้นไปด้วยน้ำตาและความเจ็บปวด
เจ็ดพันปีผ่านไปนับตั้งแต่การเกิดครั้งแรกของฉัน นับแต่วันนั้นมาฉันได้แลเห็นบรรดาทาสแห่งชีวิตลากโซ่ตรวนอันหนักอึ้งอยู่
ฉันได้ท่องเที่ยวไปในโลกทั้งตะวันออกและตะวันตก เที่ยวไปทั้งในแสงสว่างและเงามืดของชีวิต ฉันได้แลเห็นขบวนอารยธรรมกำลังเคลื่อนจากแสงสว่างไปสู่เงามืด แต่ละอารยธรรมถูกลากลงสู่นรกโดยดวงวิญญาณอันไร้เกียรติซึ่งโค้งงออยู่ใต้แอกแห่งความเป็นทาส ผู้แข็งแรงถูกจองจำด้วยโซ่ตรวนและต้องพ่ายแพ้ ผู้มีศรัทธาก็คุกเข่าลงสักการะอยู่เบื้องหน้ารูปเคารพฉันได้ติดตามมนุษย์ไปตั้งแต่บาบิโลนถึงไคโร ตั้งแต่แอนเดอร์ถึงบักได้สังเกตเห็นรอยโซ่ของเขาอยู่ในพื้นทราย ฉันได้ยินเสียงสะท้อนอันเศร้าสร้อยของยุคสมัยที่ผ่านไปก้องกลับไปมาซ้ำๆอยู่ในท้องทุ่งและซอกเขาอันมีอยู่ชั่วนิจนิรันดร
ฉันได้ไปเยือนวัดวาอารามและแท่นบูชา ได้เข้าไปในพระราชวังและนั่งลงเบื้องหน้าบัลลังก์ของกษัตริย์ ฉันได้เห็นผู้ฝึกงานเป็นทาสนายงาน นายงานเป็นทาสของทหาร ทหารเป็นทาสของผู้ปกครอง ผู้ปกครองเป็นทาสของกษัตริย์ กษัตริย์เป็นทาสของพระ และพระเป็นทาสของรูปบูชา --และรูปบูชานั้นมิได้เป็นอะไรอื่นนอกไปจากก้อนดินซึ่งปั้นขึ้นโดยมารร้ายและสถาปนาไว้บนกองหัวกะโหลก
ฉันได้เข้าไปในคฤหาสน์ของคนรวยและทับกระท่อมของคนจน ฉันได้พบทารกกำลังดูดน้ำนมแห่งความเป็นทาสจากทรวงอกของมารดาและเด็กๆ เรียนรู้ให้ยอมอ่อนน้อมจากตัวอักษร
บรรดาหญิงสาวสวมใส่ภูษาแห่งความจำกัดสิทธิ์และความเฉยเมย เหล่าภริยานอนลงบนเตียงแห่งความเชื่อฟังและยินยอมต่อกฎหมายทั้งน้ำตา
ฉันได้ร่วมเดินทางไปกับกาลสมัยต่างๆ จากฝั่งแม่น้ำคงคาไปถึงฝั่งยูเฟรติส จากปากแม่น้ำไนล์ถึงที่ราบอัสซีเรีย จากสนามกรีฑาที่เอเธนส์ถึงโบสถ์แห่งโรม จากสลัมในคอนสแตนติโนเปิลถึงมหาราชวังที่อเล็กซานเดรีย—แม้กระนั้นฉันก็ยังเห็นความเป็นทาสเคลื่อนคล้อยไปเหนือผู้คนทั้งหลายเหล่านั้นในขบวนแห่อันใหญ่โตสง่างามของความโง่เขลา ฉันได้เห็นผู้คนนำคนหนุ่มคนสาวไปบูชายัญแทบเท้าของรูปบูชาและขนานนามมันว่าพระผู้เป็นเจ้ารินเหล้าองุ่นและน้ำหอมลงบนเท้าของมันและเรียกมันว่าราชินี เผากำยานเบื้องหน้ารูปของมันและเรียกมันว่าศาสดา คุกเข่าลงสักการะมันและเรียกมันว่ากฎหมาย สู้รบและตายเพื่อมันและเรียกมันว่าความรักชาติ ยอมจำนนต่อความประสงค์ของมันและเรียกมันว่าเงาแห่งพระผู้เป็นเจ้าในโลก ทำลายรื้อพังบ้านเรือนและสถาบันเพื่อมันและเรียกมันว่าภราดรภาพ ต่อสู้ลักขโมยและทำงานเพื่อมันและเรียกมันว่าโชคและความสุข ฆ่าเพื่อมันและเรียกมันว่าความเสมอภาค
มันมีชื่อต่างๆ มากมายแต่ทว่ามีความเป็นจริงอยู่หนึ่งเดียว มันมีลักษณะต่างๆ มากหลายแต่ทว่าทำด้วยธาตุแท้อันเดียว แท้ที่จริงแล้วมันคือความเจ็บป่วยนิรันดรซึ่งมนุษย์แต่ละรุ่นยกให้เป็นมรดกตกทอดกันสืบมา
ฉันได้พบความเป็นทาสแบบตาบอดซึ่งผูกพันกาลปัจจุบันของผู้คนไว้กับอดีตของบิดามารดา และรบเร้าให้พวกเขายอมจำนนต่อขนบธรรมเนียมประเพณีของบรรพบุรุษ นำเอาดวงวิญญาณเก่ามาใส่ไว้ในร่างใหม่
ฉันได้พบความเป็นทาสแบบเบื้อใบ้ซึ่งผูกมัดชีวิตของผู้ชายไว้กับภริยาที่เขาเกลียด และวางร่างของสตรีไว้บนเตียงของสามีอันเป็นที่ชัง ทำให้ดวงวิญญาณของทั้งสองตายลงไป
ฉันได้พบความเป็นทาสแบบหูหนวก ซึ่งบีบเค้นดวงวิญญาณและดวงใจคืนกลับมาเพียงเสียงสะท้อนอันว่างเปล่าและเงาอันน่าสังเวชของร่างกายให้มนุษย์
ฉันได้พบความเป็นทาสแบบพิการซึ่งวางคอของมนุษย์ลงใต้ความครอบครองของทรราช และยื่นร่างที่แข็งแรงแต่จิตใจอ่อนแอให้แก่บุตรแห่งความละโมบเพื่อให้มันใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาอำนาจ
ฉันได้พบความเป็นทาสที่น่าชังซึ่งลงมาพร้อมกับดวงวิญญาณของทารกจากท้องฟ้าอันกว้างใหญ่สู่บ้านแห่งความทุกข์ยากซึ่งความยากแค้นอาศัยอยู่เคียงข้างความโง่เขลาและความไร้เกียรติอาศัยอยู่เคียงข้างความหมดหวังและเด็กๆ เติบโตขึ้นอย่างคนเจ้าทุกข์ มีชีวิตอยู่อย่างอาชญากรและตายไปอย่างไร้เกียรติภูมิไม่มีใครถือว่าเป็นคน
ฉันได้พบความเป็นทาสแบบเจ้าเล่ห์ซึ่งขนานนามสรรพสิ่งด้วยชื่ออื่นอันมิใช่ชื่อของมันเอง—มันเรียกความเล่ห์กระเท่ห์ว่าความฉลาด เรียกความว่างเปล่าว่าวิชาความรู้ เรียกความอ่อนแอว่าอ่อนโยน เรียกความขี้ขลาดว่าการปฏิเสธอย่างเข้มแข็ง
ฉันได้พบความเป็นทาสแบบบิดเบือนซึ่งทำให้ลิ้นของคนอ่อนแอเคลื่อนไปด้วยความกลัว และพูดสิ่งที่อยู่เหนือความรู้สึกของเขาและแกล้งปกปิดความเสแสร้ง แต่พวกเขาก็คือกระสอบอันว่างเปล่าซึ่งแม้แต่เด็กๆ ก็อาจพับและถือไปได้
ฉันได้พบความเป็นทาสแบบคดในข้องอในกระดูกซึ่งชักชวนชาติหนึ่งยอมจำนนต่อกฎข้อบังคับของอีกชาติหนึ่ง และความคดนั้นยิ่งมากขึ้นทุกวัน
ฉันได้พบความเป็นทาสชั่วนิรันดร์ซึ่งสวมมงกุฎให้แก่โอรสของกษัตริย์เพื่อให้เป็นกษัตริย์ต่อไปโดยมิได้คำนึงถึงคุณธรรมความดีเลย
ฉันได้พบความเป็นทาสอันมืดมนซึ่งได้นำเอาความอับอายและอัปยศอดสูมาให้แก่ลูกหลานของอาชญากรชั่วนิรันดร์
เมื่อฉันใคร่ครวญถึงความเป็นทาส ก็ได้พบว่ามันเป็นเจ้าของพลังอันชั่วร้ายสืบเนื่องติดต่อกันมา
เมื่อฉันเบื่อที่จะติดตามยุคสมัยอันเลวทรามต่อไป และเหน็ดเหนื่อยต่อการมองดูขบวนแห่ของผู้คนที่เป็นเสมือนก้อนหินแล้ว ฉันก็ออกเดินไปในหุบเขาแห่งเงาของชีวิตแต่ลำพัง ณ ที่ซึ่งอดีตกาลพยายามซ่อนตัวมันเองไว้ในความผิด และดวงวิญญาณแห่งอนาคตห่อหุ้มฟักตัวมันเองอยู่นานเกินสมควร ณ ที่นั้นริมฝั่งแม่น้ำเลือดและน้ำตาซึ่งเลื้อยไปเหมือนอสรพิษและคดเคี้ยวเหมือนความฝันของอาชญากร ฉันได้สดับฟังเสียงกระซิบอันน่าหวาดกลัวของภูตผีแห่งทาสทั้งหลายและจ้องมองดูความไม่มีอะไร
เมื่อเที่ยงคืนมาถึงและภูตผีปีศาจออกมาจากที่ซ่อน ฉันได้แลเห็นผีตายเหมือนซากศพตนหนึ่งกำลังนั่งคุกเข่าจ้องมองดูดวงจันทร์ ฉันได้เข้าไปใกล้หล่อนพลางถามว่า “เธอชื่ออะไร?”
“ชื่อของฉันคือสันติภาพ” เงาน่าเกลียดน่ากลัวของซากศพนั้นตอบมา
ฉันถามอีกว่า “ลูกๆ ของเธออยู่ไหนเล่า?”
แม่นางเสรีภาพหายใจหอบอย่างอ่อนระโหยและตอบด้วยเสียงอันเต็มไปด้วยน้ำตาว่า “คนหนึ่งตายเพราะถูกตรึงกางเขน คนหนึ่งเป็นบ้าตาย และคนที่สามยังไม่เกิด”
แล้วหล่อนก็เดินกะโผลกกะเผลกออกไปพลางพูดต่อไปอีก แต่หมอกฝ้าในดวงตาและเสียงร้องไห้ในหัวใจของฉันทำให้ฉันแลไม่เห็นและไม่ได้ยินอะไรอีก
น้ำตาและรอยยิ้ม
คาลิล ยิบราน เขียน
กิติมา อมรทัต แปลและเรียบเรียง
28 กันยายน 2553 03:06 น.
คีตากะ
สวัสดี ท่านผู้ชมที่มีความสุข ยินดีต้อนรับสู่รายการระหว่างอาจารย์และศิษย์บนโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ การไม่ทานอาหารเป็นการปฏิบัติธรรมที่เป็นที่รู้จักกันดีอย่างมากที่ประเทศจีนมานานนับพันๆปี หนังสือเต๋า “หนังสือแห่งลำดับของอาหารประจำเดือน” กล่าวว่า “ผู้ที่ทานลมจะเข้าทางจิตวิญญาณและมีอายุยืนยาว ผู้ที่ทานธัญพืชจะฉลาดในวิถีทางต่างๆ แต่จะทำให้จิตเหนื่อยจากการทำงาน ผู้ที่ทานหญ้าจะโง่ ผู้ที่ทานเนื้อสัตว์จะมีความโกรธมากมาย ผู้ที่ทานอากาศจะเข้าถึงระดับจิตวิญญาณแห่งนิรันดรและบรรลุเต๋า” เพราะอาหารมีอิทธิพลอย่างยิ่งในการสร้างชีวิตของเราและบุคลิก ความสำคัญของการปลอดอาหารถูกอธิบายไว้ในรายละอียดของพระสูตรของเต๋า “พระสูตรไทปิง (สันติสุข)” มันกล่าวว่าในตอนแรกเริ่มเมื่อมวลมนุษย์ปรากฏบนโลกครั้งแรก มนุษย์มีธาตุพลังงานเดียวกันในร่างกายเหมือนสวรรค์และโลก และไม่ต้องการอาหารใดในการดำรงชีวิต มนุษย์รุ่นแรกพึ่งพาการดูดซับของหยินและหยางโดยตรงหรือพลังจักรวาล อย่างไรก็ดี เนื่องจากการเสื่อมลงและการห่างจากหนทางของพระเจ้า หลงลืมแหล่งกำเนิดและมีแน้วโน้มสู่ภาพลวงตา ความสามารถทั้งหมดของมนุษย์ได้เสื่อม แล้วจึงเกิดความหิวโหย ดังนั้นถ้าไม่มีการทานอาหารหรือดื่มน้ำความตายจะเกิดขึ้นแน่นอน สวรรค์รู้สึกสงสารมนุษย์จึงได้รับอนุญาตให้ทานอาหารด้วยเหตุผลนี้ เต๋าจึงมีวิถีอย่างช้าๆ ที่จะปลอดอาหาร เริ่มต้นด้วยการทานอาหารปริมาณน้อยลงและมีรสชาติอ่อนลง แล้วพัฒนามาสู่ระดับที่ตนอยู่ได้ด้วยอากาศ จนกระทั่งจิตของคนหนึ่งและอวัยวะภายในเข้มแข็งขึ้นและมีความปรารถนาน้อยลง จนในที่สุดนำไปสู่การขาดความอยากอาหารโดยสิ้นเชิง ลัทธิเต๋าเน้นย้ำถึงการปลอดอาหารเพราะแม้ว่าอาหารสามารถทำให้ร่างกายมีชีวิต มันไม่มีประโยชน์ต่อการเติบโตทางจิตวิญญาณนัก และจะเป็นอุปสรรคสู่การตื่นและยกระดับของจิตวิญญาณ มันได้รับการเชื่อว่าด้วยการลดการบริโภคอาหาร ผู้บำเพ็ญเต๋าสามารถลดความอยากทางกาย การมีชีวิตที่ปลอดอาหาร สามารถช่วยผู้บำเพ็ญเต๋าอิสระจากกรอบและข้อจำกัดของร่างกาย ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตทางจิตวิญญาณในที่สุด ในตอนนี้ของรายการระหว่างอาจารย์และศิษย์ เรามาพบกับผู้บำเพ็ญจี้กง อาจารย์เหลียว ฟง เชง ผู้ที่บรรลุถึงขั้นอยู่โดยไม่ต้องกินอาหาร จี้กงคืออะไร? ตามความเห็นของเคนเน็ธ โคเฮน ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารและผู้ก่อตั้งศูนย์บำเพ็ญและการวิจัยจี้กง มันเป็นวิชาของจีนโบราณ เขากล่าวว่าจี้กงคืออุดมการณ์สำหรับชาวเต๋าให้ตระหนักถึงเป้าหมายแห่งหวูจี้ สภาวะแห่งความว่างเปล่า ตื่นตัวของจิตสำนึกที่ไร้ข้อจำกัด ซิ่ง หมิง ฉวง สิ่ว ร่างกายและจิตวิญญาณอยู่ในสมดุล” ผู้บำเพ็ญเต๋าและจี้กงทั้งคู้ล้วนแสวงหา ความกลมกลืนของหยินและหยาง ภายในและภายนอก ทางโลกและทางธรรม ความสงบนิ่งและความเคลื่อนไหว เชื่อกันว่าผลงานส่วนใหญ่ของจี้กงถูกพบในหนังสือ 1,000 เล่มในวิถีแห่งเต๋า เพื่อทำความรู้จักให้มากขึ้น ในการฝึกจี้กงและการกินอากาศ นักข่าวโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ในฟอร์โมซา(ไต้หวัน) ได้ไปสัมภาษณ์อาจารย์เหลียงฟงเชง ผู้ปฏิบัติจี้กง ที่เปลี่ยนมาเป็นผู้กินอากาศ ตั้งแต่ปีที่แล้ว (ถาม : อาจารย์เหลียวโปรดอธิบายแนวคิดของผู้ไม่กินอาหาร)
“ผู้ไม่กินอาหารเป็นเรื่องอธิบายกันยาก มันคือการปราศจากอาหาร ซึ่งคุณไม่กินเลยหรือลดการกินอาหารลง แนวคิดหลักก็คือพยายามเป็นมังสวิรัติ ธัญพืชหรือเนื้อสัตว์ควรจะหลีกเลี่ยง เราอาจเริ่มอดอาหารโดยกินผลไม้หรือซุป แล้วค่อยๆปรับการกินอาหารลดลง จนคุณหยุดกินโดยสิ้นเชิงและบรรลุถึงภาวะของการไม่ต้องกินอาหาร คำว่า อินนีเดีย มาจากศัพท์โบราณแบ่งได้เป็น 2 ประเภท อินนีเดียแบบธรรมชาติและอินนีเดียแบบวางแผน อินนีเดียแบบธรรมชาตินั้นก็เหมือนอย่างผมหลังจากที่ฝึกจี้กงไปถึงระดับหนึ่ง ผมก็เลิกกินอาหารไปโดยธรรมชาติ แต่ร่างกายผมยังคงได้รับการหล่อเลี้ยงเพื่อค้ำจุนชีวิต ส่วนคำว่าอินนีเดียแบบวางแผนหรือการใช้อาหารบางชนิดเพื่อปรับเปลี่ยนร่างกาย ขณะที่ยังต้องค้ำจุนชีวิตของคุณ แล้วค่อยๆลดการกินอาหารจนกระทั่ง คุณกลายเป็นผู้กินแต่น้ำ บางคนกระทั่งไม่กินน้ำ นี่เป็นการอดอาหารแบบวางแผน ที่จริงแล้วทั้งสองแบบก็ค่อนข้างคล้ายกัน มันเพียงแต่ขั้นตอนต่างกัน ถ้าคุณทำวิธีอดอาหารแบบวางแผนเพื่อยืดช่วงเวลาให้ยาว คุณจะเข้าสู่ภาวะของการอดอาหารแบบธรรมชาติ”
อาจารย์เหลียวเป็นผู้ที่ไม่กินอาหารเมื่อไม่นานมานี้ เขาบรรลุถึงสภาวะนั้นได้อย่างไร? อะไรทำให้เขาพร้อมที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิต? ที่แน่ๆคือเขาเผชิญอุปสรรคมากมายในการเดินทาง
“ผมเติบโตในฟาร์มในชนบท หลังจากเรียนจบ ผมก็ทำงานเป็นครู ต่อมาเนื่องจากเงินเดือนไม่พอจ่ายค่ายาจำนวนมหาศาลสำหรับผู้สูงอายุในครอบครัวของผม ผมจึงเริ่มทำธุรกิจ การทำธุรกิจต้องใช้แรงงานมากและลำบาก หลังจากทำงานหนักอยู่หลายปี ผมทรมานมากจากการเจ็บป่วยเนื่องจากอาชีพ”
หลังจากที่ป่วย อาจารย์เหลียวกลายเป็นคนไข้ประจำของคลินิกแพทย์ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะไปหาหมอกี่ครั้ง สุขภาพของเขาก็ไม่ดีขึ้น ในที่สุดขาทั้งสองข้างของเขาก็ใช้การไม่ได้เนื่องจากโรคไขข้อเสื่อม ทางเลือกเดียวสำหรับเขาคือการผ่าตัดเขาทั้งสองข้าง หลังจากการทดสอบครั้งนี้ อาจารย์เหลียวก็เริ่มปฏิบัติ “จี้กงตามธรรมชาติ” เพื่อฟื้นฟูสุขภาพและเพื่อคุณภาพของชีวิต
“ โดยทั่วไปจี้กงสอนให้คุณใช้จิตใจของคุณควบคุมชี่ ปกติแล้วเมื่อเราฝึกจี้กง ครูจะสอนเราให้เพ่งพลังชี่ของเราที่ท้องแล้วเคลื่อนมันไปยังจักระ การปฏิบัติแบบ “จี้กงตามธรรมชาติ”เราเรียกมันว่า “จี้กงตามธรรมชาติ” เพราะมันเป็นไปเองตามธรรมชาติ มันมาและไปตามที่มันเห็นว่าเหมาะสม เราไม่ต้องใช้สมองไปควบคุมมัน ดังนั้นเมื่อชี่กำลังหมุนเวียนอยู่ทั่วร่างกายของคุณ คุณไม่ต้องควบคุมมัน เมื่อคุณเห็นอากัปกิริยาของจี้กงตามธรรมชาติ บางครั้งมันเป็นการเคลื่อนไหวที่เล็กน้อย การเคลื่อนไหวที่เด่นชัด บางคนหมุนเร็วมาก”
เหตุใดอาจารย์เหลียวจึงเลือกการไม่กินอาหาร เขาเปลี่ยนมามีชีวิตอยู่โดยอาศัยเพียงพลังจักรวาลหรือพลังปราณได้อย่างไร? เรามาศึกษาดู อาจารย์เหลียวเกิดในปี 2502 ที่ผิงตง ฟอร์โมซา (ไต้หวัน) ในครอบครัวเกษตรกร หลังจากเรียนจบ เขาก็ทำงานเป็นครูอยู่ระยะหนึ่งแล้วเปลี่ยนอาชีพมาเป็นเจ้าของกิจการ หลังจากทำงานหนักหลายปี เขาทุกข์ทรมานจากโรคที่เกิดจากงานที่ทำ แล้วในที่สุดขาทั้งสองข้างก็ใช้การไม่ได้เนื่องจากโรคไขข้อเสื่อมและต้องผ่าตัด หลังจากนั้นเขาเริ่มฝึก “ชี่กงตามธรรมชาติ” แล้วสุขภาพและคุณภาพชีวิตของอาจารย์เหลียวก็พัฒนาดีขึ้นอย่างมาก
“เวลาที่คุณฝึก “ชี่กงตามธรรมชาติ” นี้มันจะเป็นไปตามลักษณะปัญหาสุขภาพของคุณ มันไปปรับระบบการหมุนเวียนในร่างกายคุณ จนกระทั่ง มันเคลียร์จุดที่ติดขัด เมื่อระบบหมุนเวียนในร่างกายราบรื่นขึ้น เราก็สามารถพูดถึงการฟื้นฟูสุขภาพของคุณ เราเริ่มต้นด้วยการฟื้นฟูสุขภาพ ตามมาด้วยการบำรุงความแข็งแกร่ง แล้วเราก็ขยับขึ้นไปที่การปฏิบัติด้านจิตวิญญาณ เราทำไปทีละขั้นตอน หลังจากจบแต่ละช่วง ร่างกายและจิตใจของคุณรู้สึกสบายอย่างมาก พิษทั้งหลายถูกชำระล้างออกไปจากร่างกายของคุณ มีการเคลื่อนไหวที่เก็บสะสมชี่และในช่วงการสะสมชี่และการล้างชี่ ร่างกายของคุณจะปรับตัวเองและล้างพิษออกไป หลังจากนั้นคุณจะรู้สึกสดชื่น ร่างกายและวิญญาณของคุณเหมือนเกิดใหม่อีกครั้ง เมื่อคุณขยันฝึกปฏิบัติ การเจ็บป่วยของคุณนั้นก็จะหายไปทีละอย่าง”
แล้วสภาวะของการอยู่โดยไม่กินอาหารเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติชี่กงตามธรรมชาตินี้อย่างไร?
“ผมไม่ได้เรียนเพื่อการไม่กินอาหาร แต่เมื่อผมปฏิบัติชี่กงตามธรรมชาตินั้น มันก็เป็นไปเองโดยธรรมชาติ มันเริ่มเมื่อประมาณเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ทีแรก มันขะเป็นช่วงๆ ประมาณ 21 วัน หลังจาก 21 วันแล้ว ผมก็กินอาหารอีก แต่สองสัปดาห์หลังจากนั้น ผมก็หยุดกินอีก แล้วค่อยๆ เข้าสู่สภาวะของการอดอาหารโดยสิ้นเชิง ดังนั้นเวลาที่ชี่ของคุณมีพลังอย่างที่เราพูดถึง เรื่องของจักรวาลหรือพิภพเล็กๆ เวลานี้คุณเป็นส่วนหนึ่งของพิภพเล็กๆ คุณสามารถค้ำจุนตัวคุณเองได้ ร่างกายของคุณสามารถเริ่มสะสมพลังงานภายนอก การกินอาหารจะลดน้อยลงและค่อยๆหยุดไปเอง ผมหยุดกินอาหารนานกว่าหกเดือนแล้ว ตอนนี้นานกว่าครึ่งปี”
เมื่อร่างกายของเขาไม่ต้องการอาหารที่เป็นวัตถุอีกแล้ว อาจารย์เหลียวยังค่อยๆหยุดการดื่มน้ำในที่สุด มันมีขั้นตอนอย่างไรของ “การกินอากาศ” มันเป็นไปได้หรือของ “การกินอากาศ” มันเป็นไปได้หรือใน “การฝึกชี่กง” อาจารย์เหลียวบอกว่าความคิดเห็นบางอย่างของเขา
“สิ่งที่เรียกว่า “การกินอากาศ” มันรวมถึงพลังในธรรมชาติและพลังงานที่มีอยู่ในบรรยากาศในต้นไม้ แสงแดด แสงจันทร์และอื่นๆ พลังงานเหล่านี้เข้ากับการฝึกปีกู (การอดอาหารในชี่กง) และ “การกินอากาศ” อาหาร 3 มื้อสามารถสามารถลดลงเป็น 2 มื้อหรือหนึ่งมื้อและแล้วไม่กินเลย ถ้าหากคุณไม่หิว วิธีนี้เราสามารถเปลี่ยนมาเป็นผู้กินอากาศและทำตามระบบใหม่ในการรับสารอาหาร”
อะไรคือกระบวนการของอินนีเดีย ในการฝึกชี่กง? มันมีสภาวะที่แตกต่างจากการไม่กินอาหารของผู้ที่ไม่ได้ฝึกชี่กงหรือไม่? มีอุปสรรคอะไรที่คนเราต้องเผชิญเพื่อการเป็นผู้กินอากาศ? อาจารย์เหลียวได้บรรยายให้แก่ผู้สื่อข่าวของโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ในรายละเอียดที่ลึกซึ้ง
“โดยทั่วไป อินนีเดียมีสภาวะที่แตกต่างกัน ทั่วไปแล้วใน 3 วันแรกของการไม่กินอาหารเป็นสภาวะที่ลำบากที่สุด เพราะคุณเปลี่ยนจากการเคยกินไปเป็นไม่กินอะไร ผมพูดจากจุดยืนของการเป็นผู้กินอากาศในระดับของชี่กงที่ไม่กินอาหาร 3 วันแรก คุณต้องต่อสู้กับนิสัยของการกินอาหาร แล้วตอนนี้คุณไม่กิน มันไม่ใช่ว่า คุณไม่ต้องการกิน แต่คุณจะรู้สึกไม่สบาย เวลาที่คุณกินและจะทิ้งมันไปหมด คุณไม่สามารถกลืนลงคอ คุณรู้สึกว่าอิ่มเหลือเกินเหมือนอาหารนั้นขึ้นมาถึงคอ ดังนั้นทั้งหมดมันทำให้คุณฟื้นฟูทุกอย่าง 3 วันแรกนั้น มันยากที่จะทนได้ เพราะเมื่อคุณเห็นคนอื่นกินอาหาร คุณก็อยากจะกินบ้าง แต่ร่างกายของคุณไม่ยอมรับ แล้วหลังจาก 3 วัน คุณจะรู้สึกดีขึ้นบ้าง แล้วจากวันที่ 10 ถึง 13 คุณจะรู้สึกเหนื่อย เพราะในสภาวะนี้ร่างกายและจิตใจของคุณต้องการพัฒนาไปสู่ระดับที่ไม่กินโดยสิ้นเชิง เวลานั้นคุณจะเหนื่อยง่ายและค่อนข้างอ่อนแอ นี่คือภาวะที่เจ็บปวด แต่พอถึงวันที่ 14 ร่างกายจะคืนสู่ปกติอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นมันก็ง่ายขึ้น คุณไม่มีปัญหาที่อยากจะกินอีกต่อไป มันมีแต่กินไม่ได้”
อาจารย์เหลียวได้เล่ารายละเอียดว่าคนเราควรคาดหวังอะไรจากการเปลี่ยนแปลงนี้ รวมทั้งการแนะนำถึงวิธีจัดการบางอย่าง
“ตั้งแต่วันที่ 1 ถึง 3 เราเรียกมันว่าช่วงล้างพิษ ในระหว่างช่วงนี้เนื่องจากคุณหยุดกินอาหาร ท้องและลำไส้ของคุณว่างเปล่าโดยสิ้นเชิงและพิษทั้งหลายจะถูกล้างออกจากร่างกายของคุณ ดังนั้นคุณอาจจะมีอาการท้องเสียบ่อย มันมีสภาวะหลายอย่างในช่วงที่ล้างพิษ เช่น ขับถ่ายหนักเป็นสีดำหรือสีน้ำตาลดำ สีของถ่ายเบาจะเป็นสีคล้ำและข้น ร่างกายของคุณมีกลิ่นแรงและไม่น่าพอใจ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะการล้างพิษและชี่ที่ไม่ดีถูกขับออกจากผิวหนังและจักระของคุณ ถ้าอยู่ใกล้ๆ ผู้คนจะได้กลิ่นและที่กระจายออกจากตัวคุณ ซึ่งคล้ายกับกลิ่นคนแก่ แต่กลิ่นตัวของคุณอาจจะแรงกว่านั้นก็ได้ บางครั้งคุณจะเห็นของเหลวข้นๆออกมาจากตัวคุณ แม้ลมหายใจของคุณก็มีกลิ่นเหม็นไม่มีทางใดจะระงับมันได้ เพียงแต่ล้างปากของคุณให้บ่อยครั้งขึ้น ช่วงของการล้างพิษตั้งแต่วันที่ 3 ถึง 7 คล้ายกับการล้างทุกสิ่งทุกอย่างออกจากโกดัง คุณต้องกำจัดทุกอย่างที่ไม่ต้องการ นี่เป็นสภาวะที่สอง เริ่มต้นในวันที่ 3 แล้วภายในสัปดาห์แรกหลังจากที่ล้างพิษแล้วซึ่งคือสิ่งที่เราเรียกว่าช่วงทำความสะอาด สิ่งที่ไม่ต้องการที่ถูกสะสมไว้ ทั้งหมดจะถูกกำจัดทิ้งไป”
เมื่อล้างพิษแล้วก็ก้าวหน้าไปสู่สภาวะของการทำความสะอาด
“ในช่วงนี้ร่างกายของคุณเริ่มเผาผลาญไขมันและสารอาหารที่เกินความจำเป็น หากคุณมีน้ำหนักมากเกินไป ไขมันส่วนเกินจะถูกเผาผลาญไปอย่างช้าๆ ภายใต้สภาวะนี้ ดังนั้น คุณอาจจะพบกับความรู้สึกร้อนและรู้สึกร่างกายอ่อนแอ ปากของคุณจะไม่รู้รสชาติ ในสภาวะตรงนี้คุณอาจจะใส่อาหารในปากของคุณได้บ้าง เช่น ผักที่มีรสเผ็ด เพียงเพื่อให้คุณรู้สึกดีขึ้น นี่คือที่เรียกว่าช่วงการทำความสะอาด”
มีสภาวะที่แตกต่างกันอย่างไรในการกลายเป็นผุ้กินอากาศ? เราเรียนรู้จากอาจารเหลียวว่าในสภาวะแรกเรียกว่าการล้างพิษ ในช่วงนี้ร่างกายของเราจะขจัดพิษที่สะสมมาตลอดชีวิตของเราจนถึงจุดนี้ มันยังเป็นสภาวะที่ เราเริ่มหมดความรู้สึกอร่อยและไม่สามารถกินอะไรได้เลย แม้ว่าเราถูกยั่วให้กิน เมื่อเราผ่านกระบวนการของการอยู่โดยไม่กินอาหาร เราควรระวังอะไรบ้างและเราจะเอาชนะความท้าทายที่เกิดขึ้น แต่ละครั้งได้อย่างไร?
“คุณอาจจะท้องเสีย มันเป็นหนึ่งในสภาวะของการล้างพิษ คุณควรดื่มน้ำมากขึ้น ในช่วงนี้และคุณต้องทำตามเหมาะสม การที่ดื่มน้ำมากขึ้นไม่ได้หมายความว่าจะดื่มไม่หยุด ให้ดื่มเพียงแค่พอเพราะคนเราเสียน้ำในร่างกายหลังจากที่ท้องเสีย แบบนี้ไม่ดี ดังนั้นระหว่างอดอาหารเราต้องดื่มน้ำตามที่จำเป็นอย่างที่ผมพูดมาแล้ว ”วิธีที่ปราศจากวิธี” ขอให้ใช้อย่างชาญฉลาด ดังนั้นคุณต้องทำตามที่เหมาะสม ระหว่างการล้างพิษ เราอาจรู้สึกเหนื่อยอย่างชัดเจน แต่อย่าไปคิดว่าคุณป่วย มันเป็นปฏิกิริยาธรรมดา เนื่องจากการล้างพิษและการเริ่มต้นใหม่ แน่นอนที่คุณจะรู้สึกเหนื่อยและอ่อนแอ ถ้าคุณพบกับสภาวะอะไรที่พิเศษในระหว่างอดอาหาร คุณอาจจะหยุดได้ชั่วขณะ ถ้าครอบครัวของคุณคิดว่าคุณป่วย คุณควรอธิบายให้พวกเขาว่านี่ไม่ใช่การที่กินไม่ได้ อินนีเดียคือวิธีที่พัฒนาศักยภาพของคนเรา คุณต้องอธิบายให้ชัดเจนแก่ครอบครัว อย่าทำให้พวกเขารู้สึกรู้สึกสับสน”
เมื่อเราผ่านขั้นตอนแรกซึ่งใช้เวลาประมาณ 3-7 วัน ร่างกายของเราเริ่มทำความสะอาด ในสภาวะทำความสะอาดนี้ร่างกายเราจะเพิกเฉยต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เกินหรือไม่จำเป็น เช่น ไขมันส่วนเกิน สภาวะต่อไปคือการปรับสภาพ
“ในระหว่างช่วงการปรับสภาพ เราปรับอะไรก็ตามที่จำเป็นเมื่อคุณอยู่ในสภาวะนี้ คุณจะรู้สึกว่าร่างกายของคุณ เบาขึ้น เพราะอะไร? เพราะคุณเพิ่งเคลียร์คลังเก็บของของคุณ และเผาผลาญไขมันส่วนเกินออก ดังนั้น คุณจะรู้สึกเบาขึ้น เมื่อคุณอยู่ในช่วงของการปรับสภาพ คุณอาจรู้สึกผิวหนังที่หย่อนขึ้นนั้น กระชับขึ้นเนื่องจากการเผาผลญไขมัน ดังนั้น ในช่วงการปรับสภาพนี้ ผิวหนังเต่งตึงขึ้น หมายถึงว่ารอยเหี่ยวย่นจะค่อยๆหายไป รอยตีนกาบางแห่งของคุณอาจหายไปในระหว่างช่วงนี้”
การเริ่มสภาวะที่ปรับสภาพร่างกายของเรายังคงแสดงออกถึงประโยชน์จากการไม่กินอาหาร
“หลังจากช่วงการปรับสภาพนี้ ในวันที่ 15 สภาวะต่อไปเรียกว่าช่วงฟื้นฟู หลังจากที่ “คลัง” เตรียมตัวเสร็จแล้วและปรับสภาพแล้ว ตอนนี้เราจะใช้งานมัน นี่เป็นการเริ่มต้นการอดอาหารที่แท้จริง เมื่อเราวางรากฐานของเราใหม่ ตอนนี้เราจะใช้งานมัน ณ จุดนี้ ไม่สำคัญว่าคุณฝึกชี่กงหรือไม่หรือคุณปฏิบัติธรรมวิถีใดก็ตาม คุณจะได้รับผลสองเท่าโดยใช้ความเพียรครึ่งเดียว พูดอีกอย่างคือคุณสามารถได้รับผลโดยใช้ความพยายามนิดเดียวเท่านั้นและสภาพร่างกายของคุณก็อยู่ในระดับที่ดีที่สุดของมัน ถ้าคุณมีปัญหาด้านสุขภาพ มันจะถูกกำจัดออกไปในช่วงการชำระล้าง การเจ็บป่วยที่เรื้อรังก็จะถูกปรับสภาพและถูกซ่อมแซมระหว่างช่วงการฟื้นฟู ดังนั้นสภาพร่างกายของคุณจะพัฒนาขึ้น คุณจะรู้สึกแข็งแรงขึ้น และมีพลัง คุณอยากนอนน้อยลง คุณเพียรพยายามเพียงนิดหน่อยแต่ได้รับผลดีมาก”
คล้ายกับคนอื่นๆที่ไม่กินอาหาร เช่น เจริโค ซันไฟร์ ,พานทันลุค,หรืออากาฮี เมื่อเราผ่านขั้นตอนของการอดอาหาร ความอยากในรสชาติอาหารจะเปลี่ยนจากเนื้อสัตว์มาเป็นพืชผัก และในที่สุดเราสามารถอยู่ด้วยพลังของจักรวาลหรือพลังปราณ ณ จุดนี้ตามที่อาจารย์เหลียวกล่าว ร่างกายของเราจะไม่อยากและจะปฏิเสธอาหารวัตถุไม่ว่าในรูปแบบใด
“โดยทั่วไป เราสามารถแบ่งเป็น 3 ประเภท ประเภทแรกคือเราลดการบริโภคอาหารและเรากินน้อยลง เรายังกินและดื่ม แต่ไม่กินเนื้อสัตว์และธัญพืช(ข้าว ข้าวเหนียว ข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ฯลฯ) จำนวนของอาหารที่กินก็เล็กน้อยมาก บางทีเป็นผักนิดหน่อยและผลไม้ก็พอแล้ว มีตัวอย่างหนึ่ง อาจารย์กวงชิน ในอดีตผู้กินแต่ผลไม้ ประเภทที่สองคือหยุดกินโดยสิ้นเชิงเพียงดื่มน้ำเท่านั้น ประเภทที่สามคือผู้กินอากาศ คนหนึ่งหยุดการกินโดยสิ้นเชิงแบบสุดท้ายนี้ดีที่สุด ไม่ว่าเป็นประเภทใด คุณจะไม่รู้สึกหิว จิตคิดของคุณจะเฉียบแหลม สภาพร่างกายของคุณก็ดีมาก คุณไม่ต้องนอนมากและร่างกายของคุณอยู่ในสภาวะที่ดีที่สุดของมัน คุณจะดูดีตามธรรมชาติ คุณจะแข็งแรงและสุขภาพดี และแล้วผลก็คือคุณอายุยืน ระหว่างที่อดอาหารอาการของโรคทางสุขภาพจะปรับดีขึ้นหลายๆ อย่าง เช่น เบาหวาน โรคอ้วนและไขมันในเลือดสูง อย่างตัวผมเองเคยเป็นโรคเก๊าท์มาก่อน ถ้าผมกินถั่ว แม้แค่เม็ดเดียว มันจะทำให้ผมทรมานทั้งคืน ในช่วงที่ผมพยายามอดอาหารขั้นที่สอง ผมบำบัดโรคเก๊าท์หายโดยสิ้นเชิง”
ด้วยการไม่กินอาหาร เราลดการพึ่งพาวัตถุในโลกนี้ ด้วยพลังของจักรวาลหล่อเลี้ยงร่างกายของเรา เราสามารถเพ่งความสนใจมากขึ้นในพระเจ้าพลังแห่งจักรวาล วิธีเช่นนี้การอดอาหารจึงสามารถมีผลต่อการบำเพ็ญของเรา
“การอดอาหารมีประโยชน์มาก สามารถช่วยยกระดับทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ ดังนั้นผู้บำเพ็ญจิตหลายๆ คนใช้การอดอาหารมาช่วยให้บรรลุถึงการรู้แจ้ง ตัวอย่างเช่น คริสเตียนใช้การอดอาหารและการภาวนามาช่วยพัฒนาจิต และรับรู้การชี้ทางของพระเจ้า เราลองมาดูนักปราชญ์ในอดีต ศาสนาพุทธ พระศากยมุนีพุทธเจ้าก็ทรงผ่านช่วงของการอดอาหาร ศาสนาคริตส์ พระเยซูคริสต์ก็ทรงมีประสบการณ์ช่วงของการไม่กินอาหาร ฮิบโปเครติส บรรพบุรุษทางการแพทย์ของกรีกโบราณเชี่ยวชาญในเรื่องการบำบัดด้วยอาหารและแนะนำคนไข้ของเขาให้รักษาการเจ็บป่วยด้วยการอดอาหาร โซเครติสก็ยังใช้การอดอาหารทำความบริสุทธิ์และยกระดับวิญญาณของเขา ดังนั้นนี่เป็นวิธีที่ดีมากที่จะแนะนำให้ทุกคน แต่คุณต้องเข้าใจให้ชัดเจนก่อนถึงกระบวนการทั้งหมด อย่าพยายามอดอาหารทันทีโดยไม่มีความเข้าใจ มันจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณ”
สำหรับผู้ที่ต้องการอยู่โดยไม่กินอาหาร แม้ว่าช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม อาจารย์เหลียวได้กรุณาให้เคล็ดลับและข้อแนะนำที่มีประโยชน์มาก สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการฝึกอดอาหารเป็นช่วงเวลายาวนาน เขาก็แนะนำอาหารพืชผักปราศจากเนื้อสัตว์
“กระบวนการเรียนรู้ในการอดอาหารจำเป็นต้องรู้บางอย่าง สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากคือ ถ้าหากคุณไม่ต้องการจะเรียนรู้การอดอาหาร คุณควรกินให้น้อยลงเพราะมันจะดีต่อสุขภาพของคุณ คุณอาจจะไม่ต้องการฝึกการอดอาหาร แต่คุณควรลดการบริโภคอาหารเพราะว่าการกินมากเกินไปจะสะสมอาหารมากเกินไปไว้ในท้องของคุณและคุณต้องย่อยทั้งหมดนั้นซึ่งจะต้องใช้ออกซิเจนจำนวนมาก นั่นคือสาเหตุที่เวลาคุณกินอิ่มเกินไป คุณรู้สึกง่วงนอน มีข้อแนะนำมากมายบอกว่า “กินอิ่มแค่ 80%” ให้ระบบย่อยของคุณมีเวลาว่างมากกว่า 10 ชั่วโมง เพื่อให้ก๊าซที่สะสมสามารถระบายออกได้ ในช่วงนี้ วิธีที่ดีที่สุดคือเป็นมังสวิรัติและเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์ เพราะการเป็นมังสวิรัติจะช่วยระบบเผาผลาญอาหารและสร้างสมดุลให้แก่ระบบประสาทอัตโนมัติของเราและช่วยให้มันอยู่ในสภาพที่ดีพร้อม ทุกคนรู้ว่าการกินเนื้อสัตว์ทำให้เรามีความรู้สึก “เลี่ยน” และก่อให้เกิดโรคไขมันอุดตัน ดังนั้นคนเป็นมังสวิรัติมีเลือดที่เป็นด่างอ่อนๆ ทำให้กล้ามเนื้อของพวกเขาและส่วนอื่นๆ ของร่างกายไม่เหนื่อยง่าย จิตใจของพวกเขาก็แจ่มใส และพวกเขาไม่มีการเซื่องซึม อีกอย่างหนึ่งคือ เนื้อสัตว์ถูกฆ่า ความเกลียดชังจะสะสมอยู่ในเนื้อนั้น เมื่อคุณบริโภคเนื้อ ความเกลียดชังก็เปลี่ยนเป็นสารพิษซึ่งมันไม่ดีเลยสำหรับร่างกายของคุณ”
ดังนั้นขั้นตอนอะไรที่จะลดการกินอาหารของเราได้ เพื่อจะพัฒนาสุขภาพ?
“เราควรลงมือ ดังนี้ คุณสามารถค่อยๆ เลื่อนเวลาอาหารค่ำ ตัวอย่างเช่น คุณเลื่อนจากสองทุ่มเป็นหนึ่งทุ่มจากนั้น 6 โมงเย็น คุณสามารถ คุณค่อยๆ เลิกหลังเที่ยง ดังนั้น คุณกินวันละ 2 มื้อ กินตอนเช้าและตอนบ่าย ไม่ใช่กลางคืน มันอาจจะยากในตอนเริ่มต้น คุณสามารถกินผลไม้หรือดื่มอะไรบางอย่างเป็นอาหารเสริมในเวลากลางคืน แล้วคุณจะค่อยๆชินกับการไม่กินอาหารค่ำ แล้วคุณจะสุขภาพดีขึ้น หลังจากคุณกินอาหารเช้าและกลางวัน คุณสามารถพักระบบย่อยของคุณ มันจึงจะสามารถฝึกการขับถ่ายของมัน วิธีนี้ร่างกายและจิตใจของคุณมีควาสมดุล มันจึงดีกว่าสำหรับคุณ”
ทำอย่างไร ถ้าเราต้องการหยุดกินอาหารและเรียนรู้วิธีอยู่โดยไม่กินเป็นเวลานานๆได้? อาจารย์เหลียวได้อธิบายกระบวนการและเคล็ดลับรายละเอียด
“ขั้นแรกก่อนลองอดอาหาร คุณต้องหาข้อมูลความรู้ของการอยู่โดยการไม่กินอาหารและทำความเข้าใจให้ชัดเจน เพื่อที่คุณจะไม่ต้องตกใจแล้วก็ให้ตัวคุณเข้าสู่สภาวะอดอาหารโดยธรรมชาติ อย่าบังคับตัวเอง เมื่อร่างกายของคุณไม่พร้อมแล้วคุณบังคับมัน คุณมีแต่จะทำร้ายตัวคุณเอง หลังจากที่คุณเข้าสู่ภาวะอดอาหารคุณต้องคอยสำรวจปฏิกิริยาของร่างกายคุณแต่ละอย่างและทำความเข้าใจสภาวะนั้น แล้วคุณจะสามารถอดอาหารได้โดยปลอดภัยและมีสุขภาพดี คุณต้องจัดการอย่างพิถีพิถันระหว่างงานของคุณ ครอบครัวและสภาพจิตใจของคุณเอง มันจำเป็นต้องมีการจัดการในทุกๆด้าน ถ้าคุณมีโอกาสอยู่โดยไม่ต้องกินอาหาร คุณต้องคว้าจับมันไว้เพราะมันดีมากสำหรับร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณของคุณ สุดท้ายที่ผมอยากพูดถึงคือการอดอาหารโดยอนุโลมและการอดอาหารโดยสิ้นเชิง การอดโดยสิ้นเชิงคือการเลิกกินอาหารโดยสิ้นเชิง การอดโดยอนุโลมคือการกินและดื่มนิดหน่อยเป็นครั้งคราว บางครั้งการอดอาหารจะมี 2 แบบผลัดกัน เราไม่ควรยืนกรานอย่างใดอย่างหนึ่ง เราควรปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ อย่าบังคับมันด้วยสมองของเรา มันจะส่งผลที่เป็นลบแก่เรา”
“เรากินเนื้อสัตว์มากเกินไป หลงใหลเคยชินกับการกินเนื้อสัตว์ ตอนนี้เราก็เห็นผลของภาวะโลกร้อนบนโลก การเลี้ยงปศุสัตว์เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของภาวะโลกร้อน รายงานล่าสุดทาฃวิทยาศาสตร์เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมปศุสัตว์ก่อให้เกิดการแพร่ก๊าซเรือนกระจกมากกว่า 50% ซึ่งมากกว่าการแพร่ก๊าซของการขนส่งทั้งหมดมารวมกัน มีการประชุมสัมนาระดับนานาชาติหลายครั้งที่ยกเรื่องภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องแรกของวาะ ตัวอย่างเช่น โปเอ้า ฟอรั่ม ฟอร์เอเชีย มีหลายคนที่ประกาศอย่างเปิดเผยถึงการลดการบริโภคเนื้อสัตว์ การลดการกินเนื้อสัตว์จะลดการแพร่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นี่เป็นทางแก้ปัญหาวิธีหนึ่งในการลดภาวะโลกร้อน เนื่องจากเราพูดคุยเรื่องนี้มามาก เราควรทำความเข้าใจว่าการอดอาหารเป็นทางที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหานี้ เพื่อนๆของโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ ในช่วงภาวะโลกร้อนนี้และวิกฤตการณ์ของโลก เราควรลดการกินเนื้อสัตว์ลงและเดินในทิศทางของการเป็นมังสวิรัติ หากคุณไม่ต้องการฝึกการอดอาหารแบบชี่กงเหมือนผม ผมอยากแนะนำว่าการลดการกินเนื้อสัตว์และหันมาเป็นมังสวิรัติและลดอาหารของคุณ จาก 3 เป็น 2 มื้อต่อวัน มันไม่เพียงแค่ดีต่อร่างกายของคุณ มันยังดีต่อสิ่งแวดล้อม ขอบคุณทุกๆคน”
ขอบคุณอาจารย์เหลียวในการสละเวลาแบ่งปันประสบการณ์ให้กับเราในเรื่องการอยู่โดยไม่กินอาหาร คำอธิบายของคุณถึงสภาวะของอินนีเดีย ทำให้ผู้ชมของเรามีความเข้าใจมากขึ้นในกระบวนการของการอยู่ด้วยพลังปราณ
28 กันยายน 2553 02:47 น.
คีตากะ
ในหลายๆ พระสูตรมักล่าวถึงเสมอว่าร่างกายมนุษย์เป็นวิหารของพระเจ้า อย่างไรก็ตามมันเป็นเอกสิทธิ์ที่หาได้ยากสำหรับแต่ละจิตวิญญาณที่จะได้รับวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งพระเจ้าพำนักอยู่นี้ เพราะมันคือพระพรโดยแท้จริงในการเกิดใหม่มาเป็นมนุษย์ มีหลายครั้งที่ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้กล่าวถึงปรากฏการณ์ที่หาได้ยากนี้ “การได้มาเกิดใหม่ในโลกมนุษย์นั้นยากลำบาก คุณต้องมีคุณสมบัติของมนุษย์เพียงพอ คุณต้องมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพ่อแม่กับสังคมกับผู้คนรอบข้างของที่ที่คุณเกิด มันยากมาก การเป็นมนุษย์คุณต้องมีบุญกุศลบางอย่าง คุณต้องทำบางอย่างที่ดีเอาไว้แล้วในอดีตเพื่อที่จะสามารถมาเกิดในร่างกายมนุษย์ได้” (อนุตราจารย์ชิงไห่)
ในฐานะวิหารมีชีวิตของพระเจ้า ร่างกายมนุษย์ประกอบขึ้นอย่างครบถ้วนพร้อมกับความมหัศจรรย์ต่างๆซึ่งสามารถตื่นขึ้นในบุคคลเหล่านั้นที่จิตวิญญาณตระหนักรู้และมีศรัทธาเต็มเปี่ยมต่อพระผู้สร้างของทุกชีวิต “อินนิเดีย” เป็นภาษาลาตินแปลว่า ”การอดอาหาร” คือความสามารถของมนุษย์ในการอยู่โดยปราศจากอาหาร ตั้งแต่สมัยโบราณกาลมักจะมีบุคคลซึ่งสามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยพลังปราณหรือพลังชีวิต ด้วยความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า อินนิดิเอทหรือผู้ที่มีชีวิตอยู่โดยไม่กินอาหารสามารถดึงเอาพลังงานจากธรรมชาติมาหล่อเลี้ยงตนเองได้ “พวกเขามีชีวิตอยู่ด้วยพลังชี่จากพื้นดินหรือจากป่า จากดวงอาทิตย์ จากอากาศ พวกเขานำทั้งหมดนั้นมาใช้เป็นประโยชน์หรือพวกเขาอยู่ด้วยความรัก ด้วยความศรัทธาเท่านั้น” (อนุตราจารย์ชิงไห่ ) บุคคลเหล่านี้ แต่ละคนเรียกว่าผู้กินอากาศ ผู้กินแสงอาทิตย์ ผู้กินแต่น้ำหรือผู้อาศัยพลังปราณ พวกเขามาจากทุกชนชั้น จากหลากหลายวัฒนธรรมและจากทุกมุมโลก ความจริงมีความเป็นไปได้และมีปาฏิหาริย์ในชาตินี้ เพราะพระผู้สร้างผู้เมตตาได้ออกแบบไว้สำหรับเราอย่างไม่สิ้นสุด เพียงแต่เราต้องเชื่อมต่อกับภายในเพื่อรู้จักความอุดมสมบูรณ์ของเราซึ่งเป็นบุตรของพระเจ้า ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ด้วยความรักได้แนะนำเรื่องราวนี้ทุกสัปดาห์ในโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์เพื่อแนะนำบุคคลเหล่านั้นทั้งในอดีตและปัจจุบัน ผู้ที่ได้เลือกใช้ชีวิตอยู่ในโลกโดยไม่กินอาหาร ขอให้เรื่องราวทางจิตวิญญาณของพวกเขาติดตรึงใจคุณ ขอให้ทุกหัวใจเปิดกว้างและขยายมุมมองออกไป เรื่องราวของ ดร.คริสโตเฟอร์ ชไนเดอร์ นักวิทยาศาสตร์ผู้กินอากาศในรายการระหว่างอาจารย์และศิษย์ รายการนี้กล่าวถึงความเป็นไปได้ของลัทธิกินอากาศหรือการอยู่โดยไม่กินอาหาร มันไม่ใช่การสอนที่สมบูรณ์ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย โปรดอย่าพยายามหยุดกินอาหารโดยไม่มีผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำ
“สวัสดีครับ คุณคือชีวิตที่เป็นแสง ผมอยากให้คุณมีโอกาสพบกับมันอีกครั้งหนึ่ง มีประสบการณ์ใหม่กับมันว่าเราจะสามารถหล่อเลี้ยงโดยพลังปราณ โดยแสง โดยชี่ได้อย่างไร? เราจะสามารถใช้มันมารักษาตัวเราเองได้อย่างไร? และเราจะกลับไปยังที่มาของเราได้อย่างไร? ซึ่งเราที่เป็นชีวิตของสวรรค์มีความคุ้นเคยกับมัน ตัวผมเองเป็นโค้ชฝึกผู้กินอากาศ ผมคอยดูแลคนที่ต้องการผ่านกระบวนการเป็นผู้กินอากาศซึ่งเป็นที่นิยมกันโดยจัสมูฮีน สุภาพสตรีชาวออสเตรเลีย ซึ่งการอยู่ด้วยลมปราณนี้ เราสามารถเรียนรู้ได้”
ดร.คริสโตเฟอร์ ชไนเดอร์ เป็นนักเคมีและนักบำบัดโรคโดยไม่ใช้ยา เขายังเป็นบริทเทเรียน ผู้ที่ไม่กินอาหารมาเป็นเวลาหลายปี การอยู่แบบกินอากาศไม่ใช่สิ่งที่เขาเคยคิดมาก่อนตั้งแต่เติบโตมา
“ผมโตที่เมืองฮาโนเวอร์ทางตอนเหนือของเยอรมันที่ซึ่งผมเรียนวิชาเคมี แล้วผมเริ่มทำงานกับสหประชาชาติเป็นเวลา 2 ปีในการทำโครงการ แต่หลังจาก 2 ปี ผมคิดว่าผมอยากเป็นนักบำบัดโดยไม่ใช้ยา แล้วครึ่งปีต่อมาผมก็เริ่มที่โรงเรียนเนเจอร์โรพาท ใช้เวลาอยู่หลายปี มันก็ตลกนะ ผมเคยสนใจในเรื่องยามาก่อน แต่เนื่องจากตอนที่เป็นเด็กเวลาที่ผมเห็นเลือดหรือเข็มแล้ว ผมเป็นลม ดังนั้นผมไม่เคยคิดจะเรียนเรื่องยา แต่ผมเรียนด้านเคมี ผมก็กลับมาหาเรื่องยาอีก คุณต้องเรียนหลายอย่างและเข้าคอร์สต่างๆ ในวิธีการแบบไม่ใช้ยา สำหรับเรื่องส่วนตัวที่คุณต้องการทำแล้วนี่คือส่วนใหญ่ที่ผมได้นำมาใช้ในเวลานี้ ในฐานะเป็นผู้รักษาโรคโดยไม่ใช้ยา ยกตัวอย่าง การฝังเข็ม ผมไปเรียนที่ศรีลังกา ผมหัด “สัมผัสเพื่อสุขภาพ” ซึ่งเป็นการทดสอบกล้ามเนื้อ ผมเรียนอยู่หลายคอร์สที่นั่น ผมก็กลายเป็นครูอยู่ที่นั่น”
นักปฏิบัติด้านสุขภาพที่ไม่ธรรมดา ผู้ที่ดูแลคนไข้อย่างประณีต ดร.ชไนเดอร์พยายามให้พวกเขาได้รับผลในทันที
“ผมรักคนไข้ของผม แต่ผมไม่อยากให้เขามาขึ้นอยู่กับผม เวลาที่คุณปวดหลัง คุณอาจจะใช้การบำบัด 10 ข้อแล้วมันก็ดีขึ้น แต่ผมไม่อยากพบพวกเขา 10 ครั้ง ทำไมหรือ? เพราะผมต้องการให้พวกเขาได้รับผลเต็มที่ตั้งแต่นาทีแรก ดังนั้นวิธีการของผมคือเวลาที่พวกเขามาหา ผมจะพูดคุยกับพวกเขาถามความต้องการก่อน แน่นอนที่ร่างกายกำลังร้องไห้อยู่เพราะว่าคุณเจ็บปวด ดังนั้น ผมจะทำบางอย่างสำหรับร่างกาย แต่ผมก็พยายามหาต้นเหตุของมันว่าอะไรผิดปกติ การทำอย่างนี้คนไข้อาการดีขึ้นเร็วมาก (ถาม : คุณอยากให้พวกเขาช่วยเหลือตนเองมากกว่า?) ครับ ถูกต้อง ผมหมายถึงผมไม่สามารถรักษาพวกเขา ไม่มีทางเลยบางทีอาจเป็นพระเจ้าผมก็ไม่รู้ แต่ว่ามีบางอย่างขาดหายไปหรือบางอย่างที่ผิดปกติ แล้วเมื่อคุณทำให้มันปกติได้หรือพวกเขาพบทางที่ถูกต้อง พลังงานทั้งหมดนั้นก็ไหลลื่นและพวกเขาก็อาการดีขึ้นหรืออย่างน้อยพวกเขารู้ว่ากำลังทำอะไร บางครั้งพวกเขาก็ไม่อยากเปลี่ยน บางคนก็ต้องการจะขึ้นอยู่กับคนอื่นหรือพวกเขาต้องการยึดติดอยู่กับเรื่องราวเก่าๆของพวกเขามันก็เป็นไปได้ ดังนั้นปล่อยพวกเขา เมื่อใดที่พวกเขาพบมัน พวกเขาก็จะไม่ยึดติดอยู่กับเรื่องพวกนี้ ซึ่งมันทำให้พวกเขาไม่ยุ่งยากอีกต่อไป พวกเขาจะเห็นว่า นั่นคืออิสรภาพพวกเขาสามารถยึดติดมันหรือไม่ยึดติดก็ได้ มันเหมือนคุณจะดื่มกาแฟหรือไม่ดื่มก็ได้ แต่คุณไม่ต้องการดื่ม”
เหมือนคนอื่นๆ ที่ไม่กินอาหาร ดร.ชไนเดอร์ค้นพบการหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ โดยบังเอิญ มีเพื่อนคนหนึ่งแนะนำเขาให้รู้จักข่าวสารของจัสมูฮีนเรื่องการอยู่ด้วยแสง (ถาม: คุณเข้ามาอยู่ในหนทางหนทางของการเป็นบริทเทเรียนได้อย่างไร?)
“ผมมีเพื่อนที่ดี เขาเป็นเจ้าของโรงพิมพ์ แต่เล็กๆ เขามีหนังสือของเขาเองและอื่นๆ อีกไม่กี่เล่ม เขาไปที่คอร์สฝึกสมาธิและก็มีบางคนที่ไม่กินอาหารซึ่งอาจจะเป็นช่วงอดอาหาร แต่เขามีความรู้สึกที่ดีกับคนอื่นๆ และเขาก็พบว่ามีบางอย่างที่แตกต่าง เขาจึงถามเธอ เธอก็เลยให้ที่อยู่ซึ่งเป็นของชาเมนฮาร์ลีย์ มันกล่าวถึงหนังสือของจัสมูฮีนและเธอก็ส่งไม่กี่หน้ามาให้ แต่ข้างในนั้นถูกซีลปิดไว้และมันก็เป็นเพียงการแนะนำบางอย่าง มีคำอธิบายที่เรารู้ว่ากระบวนการเปลี่ยนแปลงใน 21 วัน คือไม่ดื่ม 7 วัน 7 วันต่อมาดื่มแต่น้ำผลไม้เจือจางเท่านั้นและอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่แตกต่าง เขาจึงเอาให้เพื่อนคนหนึ่งดูและหลังจากนั้นหนึ่งหรือสองเดือนเพื่อนคนนั้นก็เริ่มทำในเวลาเดียวกัน เขาก็ติดต่อกับจัสมูฮีน เธอมาที่ยุโรปเพื่อให้การบรรยาย เขาพยายามหาทางติดต่อ เธอปรากฏตัวทางทีวี รายการทอร์คโชว์แล้วเขาก็จัดสัมนาและแน่นอนเพราะผมเป็นเพื่อน ผมจึงมีข้อมูลทุกอย่าง แล้ววันหนึ่งเขาก็มาและบอกว่า “คุณสามารถจัดสัมนากับเธอและผมได้ไหม?””
บางทีนั่นอาจเป็นโอกาสหรือเราอาจเรียกว่า “โชคชะตา” ตั้งแต่นั้นมา ดร.ชไนเดอร์ก็เรียนรู้เรื่องของความเป็นไปได้ในการอยู่โดยไม่กินอาหาร ทุกอย่างดูเหมือนลงตัวหมดทำให้เขาสามารถเริ่มต้นกระบวนการเปลี่ยนแปลงใน 21 วัน
“ผมไม่ได้ปฏิบัติขั้นตอนนั้น ผมไม่รู้จักใครเลย เวลานั้นและในการสัมนาที่เราจัดกันนั้นมีคนให้ข้อมูลเราจำนวนมาก พวกเขาก็ถามเหมือนกัน ดังนั้นผมต้องค้นหาทุกอย่างแล้วผมก็ไปสัมนาอีกแห่งหนึ่งเพื่อเตรียมตัวผมเองและเพื่อดูว่าผู้คนมีการสนองตอบอย่างไร แล้วในสัมนานั้น เธอพูดมากมายหลายอย่าง
“ผมก็บอกว่าโอเค นางฟ้าและผู้นำด้านจิตวิญญาณ ไม่ว่าคุณเป็นใครก็ตาม ถ้าเรื่องนี้จริงก็ให้ผมรู้และถ้าผมควรทำในกระบวนการนี้ก็บอกผมมา” แต่ผมต้องใช้เงิน เพราะ 3 สัปดาห์ผมทำงานไม่ได้ ผมหาเงินไม่ได้ และผมต้องใช้เวลาเพราะผมจัดสัมนาหลายแห่ง และผมจะต้องจัดอีกหลายแห่ง มันไม่มีเวลาเลย แต่เมื่อผมกลับมาจากเบอร์ลิน ผมเปิดดูไดอารี่ มันมีเวลา 3 สัปดาห์ ในฤดูร้อน ตอนนี้พูดได้ว่าผมมีเวลาแล้ว และวันพฤหัสต่อมามีคนไข้คนหนึ่งเธอบอกว่า ”คุณช่วยฉันมาก ฉันอยากให้ของขวัญคุณ” “ครับซื้อซีดีหรือดอกไม้ให้ผมก็ได้” แต่เธอเชิญผมไปทานอาหารและก็ให้หนังสือมาเล่มหนึ่ง เธอบอกว่า ”อย่าเพิ่งเปิดที่นี่” ผมไปเปิดดูที่บ้านมันมีเงินจำนวนมากอยู่ในนั้น นั่นก็คือที่มาของเรื่องว่าผมมีทุกอย่างแล้ว แล้วผมก็ทำตามวิธีการนั้นในฤดูร้อนนั้นเลย ผมเริ่มต้นทำ นั่นเป็นก่อนที่เราจะจัดสัมนาจัสมูฮีน ดังนั้นผมแช่อยู่ในพลังงานของการอยู่กับแสงผมหยุดไม่ได้(ถาม : นั่นเป็นเมื่อไร?) มันเป็นฤดูร้อนของปี 2541 ที่ผมฝึก ผมทำอยู่ที่บ้านเพราะไม่มีสิ่งแวดล้อมไหนที่ผมรู้จักที่มันเหมาะสมกว่า”
จากประสบการณ์ส่วนตัวของเขา ดร.ชไนเดอร์มีคำแนะนำสำหรับคนที่อาจจะสนใจในการอยู่โดยไม่กินอาหารคือฟังหัวใจของคุณเอง
“ผมรู้ว่าในการเลือกนี้หรือระเบียบการเตรียมตัวมันก็ง่ายๆแบบนี้ คือถ้าหัวใจคุณร้องเพลง ครั้งหนึ่ง จัสมูฮีนบอกว่าถ้าหัวใจคุณร้องเพลงนั่นก็คือสิ่งที่ถูกต้องสำหรับคุณถ้าคุณมีข้อสงสัยก็ทิ้งมันไปหรือรอสักหน่อย กระบวนการนี้ไม่ใช่สำหรับทุกคนคุณไม่จำเป็นต้องทำ แต่ถ้าคุณรู้สึกว่ามีเสียงเรียกร้อง คุณสามารถทำขั้นตอนที่จำเป็นและมันมีหลักฐานเสมอว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ปราณคืออะไร? ผมต้องบอกว่า ผมไม่รู้แน่ชัด ผมมีแต่รู้สึกถึงมัน ผมสามารถได้รับมัน ผมรู้ว่ามันมีอยู่ แต่ผมรู้สึกและอธิบายได้เหมือนที่ผมถามคุณว่า ไฟฟ้าคืออะไร? ปราณยังเรียกได้อีกหลายคำ เช่น ชี่ หรือออด เมื่อเร็วๆนี้ผมเห็นรายชื่อยาวเหยียดมันมีหลายคำเนื่องจากวัฒนธรรมต่างๆซึ่งชนชาติและกลุ่มวัฒนธรรมส่วนใหญ่จะรู้จักมันในชื่อของ ชี่ ปราณ ออดและมันเป็นไปได้จริงๆที่มีชีวิตอยู่ได้โดยมันและนี่ก็เป็นหัวข้อที่ผมอยากพูดถึงในวันนี้ ในเยอรมันที่นี่เราเรียกมันว่า “Lichtnahrung” (อยู่ด้วยแสง) เราเพียงแต่ใช้ภาษาเยอรมันในบรรดาคำศัพท์อื่นๆความเห็นของผมคือในวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์นานมาแล้วที่เรารู้เรื่องนี้กัน วิธีการอยู่ด้วยพลังปราณ วิธีการอยู่ด้วยแสง วิธีที่ไม่ต้องใช้อะไรเลย การอยู่ด้วยแสงหมายถึง ผมจะชี้ขึ้นไปข้างบนเสมอเพราะว่าเป็นสัญลักษณ์ ผมคิดเสมอว่าพระอาทิตย์หรือแสงอาทิตย์จากข้างบน แต่แสงมาจากทุกหนทุกแห่ง นั่นหมายความว่าในห้องที่มืดผมก็สามารถอยู่ได้ด้วยปราณเช่นกัน และถ้าเรามีวันที่ฝนตกหนักเมฆครึ้ม มันก็ยังทำงานได้ผลเหมือนกับมีแสงแดด ดังนั้นในอีกนัยหนึ่งเราไม่จำเป็นต้องอยู่ในภาคใต้ของอิตาลีเพื่อจะได้พลังปราณมากขึ้นและผมเชื่อว่าเมื่อมนุษยชาติมายังบนโลกไม่มีความจำเป็นที่ต้องกินอะไรเลย แต่บังเอิญอย่างที่กล่าวอยู่ในคัมภีร์ไบเบิ้ลคือผลไม้จากสวนอีเดนผลไม้นั้นมีอยู่และรสชาติดีซะด้วย พวกเขาสุขสบายอย่างบริสุทธิ์ มันสุขสบายอย่างบริสุทธิ์ก็เหมือนกับผมเวลานี้ผมไม่จำเป็นต้องกิน มันสะดวกสบายจริงๆ เวลาที่อยู่ด้วยแสง คนเราไม่จำเป็นต้องกิน”
ก็คล้ายๆ กับคนอื่นๆที่ไม่ต้องกินอาหาร ดร.ชไนเดอร์ได้พบประโยชน์ในทันทีจากชีวิตที่ไม่ต้องกินอาหาร
“คุณไม่จำเป็นต้องนอนมากเลยในกระบวนการนี้ สิ่งที่ผมเริ่มคือทำบางอย่างกลางดึกเวลาที่ไม่มีรถวิ่ง ผมอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ผมเล่นสเก็ต โรลเลอร์สเก็ตเพียงแค่ให้มีบางอย่างทำ ผมไปเดินเล่น ผมดูพระจันทร์ (ถาม :ดังนั้นคือคุณมีเวลามากขึ้น? ) คุณมีเวลามากขึ้นเพราะคุณไม่ต้องนึกถึงอาหารไม่ต้องเตรียมอาหาร ไม่ต้องใช้ครัวกระบวนการของการอยู่ด้วยแสงเป็นไปได้สำหรับพวกเรา ถ้าเราผ่านกระบวนการนั้นแล้วมาอยู่ด้วยแสงอีกครั้งหนึ่ง หมายความว่า ถ้าผมไม่ดื่ม 7 วันและไม่กิน 21 วันแล้ว ด้วยการปรับสภาพนี้ร่างกายของผมก็สามารถอยู่ได้ด้วยแสง คุณจะมีการเชื่อมต่อมากขึ้นมันเหมือนกับการนั่งรถ คุณหมุนกุญแจแล้วมันก็วิ่งไปธรรมดาๆ ถ้ารถนั้นวิ่งได้ ถ้าคุณมีรถเก่าๆ และรถนั้นผมไม่รู้นะอาจมีปัญหาบางอย่างนั่นก็เหมือนกับคุณจะอธิบายความแตกต่างนั้นได้อย่างไร แต่ก่อนนั้นคุณมีอะไรหลายๆอย่างอย่างเช่นวิทยุเวลาที่ปรับคลื่นไม่ดีคุณจะได้ยินเสียงต่างๆเต็มไปหมด คุณก็ยังสามารถฟังได้ ถ้าคุณต้องการ แต่ก็นั่นแหละเวลาที่คุณทำสิ่งต่างๆ คุณจะรู้สึกชัดเจนโดยเฉพาะหลังจากผ่านกระบวนการนั้นไม่นาน มันเหมือนการทำความสะอาดโดยไม่ต้องทำอะไรเลยมันเหมือนกับความคิดที่ว่า ”โอ้ ใช่แล้ว” และมันอาจเป็นความสัมพันธ์ มันอาจเป็นพื้นฐานของคุณที่เรียบร้อยดีแล้วคุณก็คิดถึงมันและคุณก็เอาสิ่งนั้นมาและโยนมันทิ้งไป มันชัดเจนมาก มันเป็นพลังที่เข้มแข็งมาก มันเหมือนเมื่อก่อนนี้ที่ใช้ท่อเล็กๆเชื่อมต่อเข้ากับตัวตนที่สูงขึ้นแล้วจากนั้นเวลานี้มันเหมือนท่อใหญ่ สิ่งแรกที่ผมสังเกตคือความชัดเจนเกิดขึ้นมากอย่างที่บอกไว้แล้ว เช่นหลายๆอย่างที่ไม่เหมาะกับผมอีกต่อไปหรือหลายๆอย่างเรียบร้อยขึ้นในวิถีทางกายภาพแล้วงานของผมก็เริ่มในทันที ผมรักษาผู้คน ผมทำการรักษาแบบไม่ใช้ยา ฉีดยาหรือการจัดกระดูกสันหลังและผมก็ชอบมากเพราะผู้คนมีความสุขมากและมันก็ชัดเจนขึ้นมากในสิ่งที่ผมได้ทำและสิ่งที่ผมทำให้พวกเขาหรือแม้กระทั่งการรักษาแบบโฮมีโอพาธิกหรืออื่นๆ (ถาม: คุณมีสัณชาตญาณชัดมากขึ้น? ) ครับ แต่ผมไม่รู้สึกว่ามันเป็นสัญชาตญาณ ผมว่าเหมือนการรับรู้มากกว่าและมันชัดมาก ผมไม่ต้องโต้เถียงในหัวของผมเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ เช่น “ฉันควรให้อันนี้หรืออันนี้สำหรับเรื่องนี้?” แต่มันชัดเจนมาก ไอเดียมีอยู่ตรงนั้นแล้ว มันเหมือนกับมันไม่ใช่บนจอภาพ ผมไม่ใช่คนที่มองด้วยภาพ มันค่อนข้างเหมือนกับชัดเจนในสิ่งที่ทำสำเร็จและอีกอย่างคือ การสื่อสารมันมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผมไม่จำเป็นต้องพูดมาก ผมจะฟังมากนี่ก็ทำให้คุณมีเวลาเหลือมากเหมือนกัน นั่นก็คือเหตุผลที่ผมมีความสุขมาก เพราะเวลานั้นผมไม่มีมันผมไม่มีเวลาก็เหมือนกับชาวตะวันตกคนอื่นๆทั้งหลาย (ถาม : ดังนั้นคุณโฟกัสได้ดีขึ้น? ) ใช่ (ถาม : และจากการโฟกัสนั้นคุณมีเวลาเหลือมากขึ้น? ) ครับ แน่นอนและมันก็ดีมากด้วย เพราะว่าเวลาที่คุณรู้ความลับหรืออะไรบางอย่างมันก็มีความสุนทรีย์อยู่ในนั้นมากมาย นี่ก็คือสิ่งที่หล่อเลี้ยงหัวใจของผม ผมสามารถเห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังได้มากขึ้นและเห็นเหตุผลที่ผู้คนทำบางอย่างที่เป็นทางกายภาพอันความสวยงาม “
นอกจากการมีความชัดเจนและสัมผัสที่สูงขึ้นของสัญชาตญาณ ดร.ชไนเดอร์ยังพบกับการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขา (ถาม : เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของคุณ? มีอะไรเกิดขึ้นกับแบคทีเรียในท้องของคุณ? )
“หลังจากอยู่ด้วยพลังปราณมาหลายปี มันอาจจะมีน้อยลงเพราะคุณไม่ยัดอะไรเข้าไปตลอดเวลา แต่มันก็ยังทำงานอยู่และมูกเมือกก็ยังมีอยู่ ดังนั้นคุณมีเซลใหม่อย่างเช่นผิวหนังและผม แน่นอนทังหมดนี้ยังคงมีอยู่ในร่างกาย”
“บางตัวอย่างของคนที่อยู่ด้วยพลังปราณต้องพบกับน้ำหนักที่ลดลง นั่นดูเหมือนว่าเหมาะกับร่างกายของพวกเขา ตอนที่ผมอยู่ในการประชุมของผู้อาศัยพลังปราณก็มีคนคนหนึ่งที่เป็นโรคไม่อยากกินอาหารแล้วตอนนี้หลังจากฝึกแล้วเธอมีอิสระมากขึ้น หลังจากกระบวนการนั้นแล้วเธอมีอิสระที่จะกินสิ่งที่เธอต้องการ ในขณะที่ไม่จำเป็นต้องกิน เธออธิบายเรื่องนี้อย่างโน้มน้าวดีมาก เธอยังบอกว่าตั้งแต่นั้นมาน้ำหนักเธอไม่ลดลงอีกแล้ว นี่เป็นผลของการอยู่ด้วยแสงนั่นคือขณะที่ไม่กิน คุณก็ไม่เสียน้ำหนัก เมื่อคุณอยู่ด้วยแสง นี่เป็นปรากฏการณ์ที่ปัจจุบันนี้ไม่สามารถอธิบายทางกายภาพได้และมันก็เป็นความจริง ผู้อาศัยพลังปราณบางคนน้ำหนักขึ้นหลังจากกระบวนการนี้ ส่วนตัวของผมนั้นผมก็มีประสบการณ์นั้น 13 กิโลภายใน 3-4 วัน แต่ผมไม่รู้สึก มันราบรื่นดีมาก สบายจริงๆ และคุณจะตกใจถ้าน้ำหนักมันลดลงแต่เวลาเดียวกันนั้นก็ตระหนักว่า คุณรู้สึกสบายดี บางคนก็รู้ว่าน้ำหนักของพวกเขาไม่ได้ลดลง ขั้นตอนของการอยู่ด้วยแสงก็คือการเข้ารับครั้งแรก เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในร่างกายและเซลมันจึงมีการเปลี่ยนแปลงในจิตสำนึกนั้นด้วย”
เมื่อเขาผ่านขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นผู้ไม่ต้องกินอาหาร ดร.ชไนเดอร์ก็ตระหนักว่าการกินเป็นเพียงแค่นิสัยอย่างหนึ่งเท่านั้น
“มันมีความหมายอะไรกับ...อาหาร? มันหมายถึงบางสิ่งที่บำรุงเลี้ยงเรา แน่นอนกระบวนการนั้นเกี่ยวกับการบำรุงเลี้ยง แต่ว่าอะไรที่บำรุงเลี้ยงเรา? อะไรที่ค้ำจุนเราอยู่? มันคือปราณหรือว่าคือของแข็งที่เราใส่เข้าไปในปากหรือว่าคือสิ่งอื่นที่อยู่ข้างนอกบางแห่ง ดังนั้นเรามาพูดถึงบางคน บางสิ่งที่ผมทำเป็นสิ่งที่สามารถรู้สึกได้ชัดเจนมากเวลาที่ผ่านกระบวนการนั้น มันอาจจะไม่สบายนักผมต้องบอกก่อน ลองนึกดูว่าถ้าคุณรู้ว่าอาหารที่คุณเคยเพลิดเพลินกับมันมาก มันไม่อาจเลี้ยงคุณได้อีกแล้ว ไม่แม้แต่ทำให้คุณสนใจอีกต่อไป ประการหนึ่งคือมันไม่ใช่ประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจนัก แต่สำหรับผมมันเป็นประสบการณ์ที่ลึกซึ้งมาก เพราะว่าปกติเราก็รู้กันว่า “ฉันทำแบบนี้ไม่ได้ มันเป็นแค่นิสัยของฉันที่ฉันคุ้นเคยในชีวิตประจำวัน” ใช่อาหารเช้าในตอนเช้า กลางวันก็กินนี่กินนั่น แล้วตอนเย็นก็กินนั่นกินนี่ บางทีในตอนเช้าคุณนั่งคุยด้วยกัน แล้วขณะที่กินคุณก็จิบกาแฟและมีโรสเต็ก แล้วบางทีกลางคืนเนื่องจากคนชอบใช้เวลาอยู่กับบางคนหรือกับครอบครัว แล้วคุณก็กินและทุกคนก็รู้ว่าไม่ว่าคุณจะหิวหรือไม่ก็ตาม คุณไม่คิดอะไรเลย อย่างน้อยผมไม่เคยคิด แล้วมันก็เป็นไปตามนั้น แล้วขณะที่เคี้ยวอยู่เต็มปากช้อนส้อมนั้นก็พร้อมที่จะตักอีกครั้งใช่ไหม? มันยากที่จะหมด ไม่หมดโดยสิ้นเชิง คุณสามารถเคี้ยวมากอีกหน่อยมันสนุกมากแบบนั้น แล้วคุณก็เอาส้อมส่งเข้าปากอีกครั้ง แล้วก็เป็นไปแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าใช่ไหม? มันเป็นนิสัยเท่านั้นผมมีประสบการณ์อย่างนี้จริงๆ หลังจากกระบวนการนั้นผมสังเกตตัวเองดูและคิดจริงๆ จังๆ “นี่เกิดอะไรขึ้น ที่นี่?” และผมก็ช็อคครั้งใหญ่เพราะผมตระหนักว่ากลไกที่น่ากลัวนี้ยังคงทำงานอยู่และมันเป็นเรื่องของการตามใจตัวเอง มันไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพหรือการเข้ากันได้ แต่มันคือ “ฉันต้องการอะไร? ” และผมก็ไม่ต้องการอาหาร”
ตามความเห็นของ ดร.ชไนเดอร์สภาวะหนึ่งที่คนเราจะไปถึงได้ในขณะที่อยู่ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงเป็นผู้ไม่ต้องกินอาหารคือการที่ค้นพบตัวเองอีกครั้ง
“ในที่สุดเราพูดได้ว่า “โอเค ฉันยอมทุกอย่างแล้ว” และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับหลายๆ คนในช่วงของขั้นตอนการอยู่ด้วยแสง เพราะว่านี่คือจุดที่เรากลับคืนสู่หัวใจของเรา เพราะถ้าเราดำเนินต่อไปภายใต้เงื่อนไขพิเศษของกระบวนการการอยู่ด้วยแสงนี้ ถ้าผมใช้เวลาอาจจะ 5 6 หรือ 7 วันกับตัวเองแล้ว ผมก็ไปถึงสภาวะที่ผมตระหนักว่า “ดูสิ จริงๆแล้วฉันคือใคร? ” สำหรับผมมันคือการจดจำธรรมชาติของแสงในตัวเราเอง เราคือตัวตนของแสง เราจำได้ว่าที่จริงเราได้รับการบำรุงเลี้ยง ไม่ใช่มาจากอาหาร ไม่ใช่มาจากคู่ของผม ไม่ใช่มาจากรถที่วิ่งเร็ว หรือจากดนตรีบางชนิดหรือหินที่มีค่าซึ่งมันก็อาจจะค้ำจุนเราได้ แต่ผมได้รับการหล่อเลี้ยงจากภายในตัวผมเอง นั่นคือจากพลังปราณ สำหรับผมนั้น การเชื่อมต่อมีความชัดเจนว่าที่จริงแล้วเราหล่อเลี้ยงตัวเราเอง ที่จริงมันคือธรรมชาติแบบพระเจ้าของเรา เราคือตัวตนของสวรรค์ แผ่กระจายโดยพระเจ้า”
สำหรับใครที่สนใจวิถีชีวิตแบบกินอากาศ ดร.ชไนเดอร์มีคำแนะนำซึ่งมีข้อหนึ่งคือการเป็นมังสวิรัติหรือเป็นฟุสเทเรียน(กินเฉพาะผลไม้)มาก่อน
“ขั้นตอนของการอยู่ด้วยแสงเป็นสิ่งที่ต้องมีจิตใจที่ค่อนข้างเข้มแข็ง เพราะบางคนนั้นพอได้ยินว่า ”ไม่ดื่ม 7 วัน” คุณต้องมีการกระทำที่เข้มแข็งเพื่อให้ผ่านพ้นมันไปได้ ทั่วไปผมจะบอกว่าทุกคนทำได้ ถ้าคนนั้นสุขภาพดีและรู้สึกถึงการเรียกร้อง แต่มันมีข้อมูลสำคัญนี้: คุณสามารถทนได้จริงหรือ? แต่ก็มีสิ่งที่ดีๆ อยู่มันคือเหมือนมีบางคนที่คอยยื่นมือเข้าคุ้มครองคุณไว้ เพราะว่าการไม่ดื่ม 7 วัน มันทำให้บางคนมีแง่มุม คนที่มีข้อสงสัยมากเกินไปและบางทีอาจจะทำไม่ได้ ไม่ว่าเป็นอะไรและสิ่งที่น่าสนใจก็คือ ตอนนี้ผมคอยชี้แนะหลายๆ คน เพื่อผ่านกระบวนการนี้ ทั่วไปผมจะทำเป็นกลุ่มในแบบของการสัมนาเราเรียกว่า ”การเข้าฌาน” เพราะมันไม่ใช่สัมนา แต่มันคือปราณ มันเป็นสภาวะของตัวตน มันเป็นอย่างนี้ซึ่งหลายคนที่ได้ฟังนี้ทำตามขั้นตอนการอยู่ด้วยแสงได้ค่อนข้างรวดเร็ว สำหรับผู้ที่รู้สึกถึงเสียงเรียก พวกนี้คือคนที่พูดว่า ”ฉันเห็นหนังสือนี้สัปดาห์ก่อน ตอนนี้ฉันต้องการทำ กระบวนการนี้อย่างแน่นอน ฉันจะทำได้ที่ไหน? ฉันจะทำได้อย่างไร? ” ยังมีกระทั่งคนที่โทรไปหาและบอกว่า “เสียงภายในของฉันบอกให้หยุดกินและดื่ม สองวันต่อมาฉันไปที่ร้านขายหนังสือ ฉันเห็นหนังสือเล่มนี้ ในที่สุดฉันก็รู้ว่ามันเป็นความจริง” เรื่องราวแบบนั้นประทับใจผมจริงๆ ประทับใจผมอย่างลึกซึ้ง เวลาที่มีคนโทรศัพท์มาและบอกผมอย่างนั้น ผมมีเวลาเตรียมตัวไว้แล้วหนึ่งหรือสองปี ผมรู้เรื่องพวกนี้มานานแล้ว แต่ก็มีคนที่รู้สึกถึงเสียงเรียกจริงๆ และนี่ก็เป็นข้อพิสูจน์สำหรับผมว่ามันได้ผล มันสัมผัสถึงหัวใจของผู้คนถึงธรรมชาติของพวกเขา ธรรมชาติของแสงของพวกเขา มันเป็นอย่างนั้น แน่นอนผมก็พยายามทำให้มันชัดเจนแก่พวกเขา ไม่ให้เป็นที่ดึงดูดความสนใจ มันไม่ใช่เรื่องของการทำให้มันดึงดูดใจเพราะถ้ามีใครที่ทำตามวิธีการนี้ แต่อาจจะไม่เตรียมตัวมาพอ มันก็ไม่ค่อยดีนัก เพราะผมพูดได้แต่ว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ไม่น่าพึงพอใจ เรื่องนี้ผมอยากจะเผื่อไว้สำหรับทุกคน”
ในการเปลี่ยนแปลงเป็นผู้ไม่ต้องกินอาหาร ดร.ชไนเดอร์แนะนำถึงการเตรียมตัวล่วงหน้า
“มันจะเกิดประโยชน์ ถ้าคุณทำตามขั้นตอนการอยู่ด้วยแสงนี้และมีการเตรียมตัวคุณเองปรับเข้าสู่ภายในและภายนอกและเตรียมร่างกายของคุณอีกสักหน่อย : “ฉันกำลังเดินทางพร้อมกับร่างกายของฉัน ฉันกำลังเดินทางที่เรียกว่าการไม่ดื่ม 7 วัน ไม่กิน 21 วัน” กินอย่างมีสุขภาพไว้ล่วงหน้าโดยพยายามเป็นมังสวิรัติอย่างน้อย 3 เดือนล่วงหน้าหรือกระทั่งรอว์ฟู๊ดก็ได้(raw food diet) คุณควรมีการอดอาหารเป็นบางครั้งเพื่อให้ร่างกายของคุณรู้ตัวไว้ว่ารู้สึกเบาสบายขึ้นอย่างไร และบางทีถ้าคุณคิดว่าสิ่งใดยังคงมีความจำเป็นต้องทำ เช่น วิธีการล้างลำไส้ หรือวิธีการล้างพิษก็ให้ทำอย่างนั้น มันไม่มีกฎตายตัว แต่มันเป็นการแนะนำและมันยังมีเหตุผลในการอดอาหารก่อนที่จะเริ่มกระบวนการนั้น เพราะว่ามันทำให้ร่างกายอ่อนแอลงบ้างสำหรับการขจัดออกไปคราวละมากๆ มันเกิดขึ้นก่อนและจุดนี้ทำให้ร่างกายทำงานหนัก มันจะเป็นการดีถ้าหากผมอยู่อย่างเรียบง่ายเป็นเวลาสักหนึ่งหรือสองสัปดาห์ล่วงหน้าหรือกินแค่ผลไม้และอาหารดิบเท่านั้น อาจจะแค่น้ำผลไม้ แต่ผมตระหนักว่าถ้าร่างกายยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง มันก็ยังไม่มีความรู้สึก แต่หลังจากนั้นคุณก็สามารถเข้าสู่กระบวนการ ผมจะบอกคุณอีกครั้งว่า ผมรู้ว่าการเตรียมตัวตามกฎเกณฑ์นี้มันก็เป็นอย่างนี้ ถ้าหัวใจของคุณร้องเพลง จัสมูฮีนเคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่ง มันเป็นเรื่องที่ถูกต้องสำหรับคุณ ถ้าคุณสงสัยก็ทิ้งมันไปหรือรอหน่อย กระบวนการนี้ไม่ใช่สำหรับทุกคน คุณไม่จำเป็นต้องทำ แต่ถ้าคุณรู้สึกถึงการเรียกนั้น คุณสามารถเริ่มต้นก้าวที่จำเป็นและมันมีข้อพิสูจน์เสมอว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง”
“มันเป็นบางอย่างที่เรามีอยู่ภายใน ผมคิดว่าเพียงแต่เราต้องจดจำได้ เราจำได้ว่า เราเป็นใคร? เราถูกสร้างขึ้นมาอย่างไรและเราทำอะไรได้บ้าง? การอยู่ด้วยแสงเป็นวิธีหนึ่งที่อธิบายได้ แต่ปราณมันคืออะไร? มันคือจิตวิญญาณ คือพลังงานของพระเจ้า คือสวรรค์ คือพลังงานของจักรวาล ถ้าพวกเขารู้สึกดึงดูดใจ พวกเขาก็ทำได้ แน่นอนจากมุมมองทางการแพทย์ ผมต้องบอกว่าคุณควรมองในเรื่องนี้ว่าคุณมีอาการอะไร เช่น ถ้าคุณมีอาการโรคหัวใจ ถ้าคุณเป็นเบาหวาน มีทางรักษาตั้งมากมายสำหรับการแพทย์ตะวันตก การแพทย์ตะวันออก หรือแพทย์ทางเลือกใหม่และก็เป็นไปได้ใน 21 วันนี้ เหมือนกัน คุณไม่สามารถพูดว่า “ทำขั้นตอนนี้เพราะคุณจะมีอะไรต่อมิอะไร” มันมีพลังอยู่ในนั้นมากมาย แต่ว่ามันก็ยังมีอันตรายอยู่มาก ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเป็นเบาหวานหรือคุณมีอาการโรคหัวใจต้องมีบางคนแนะนำคุณอย่างใกล้ชิดและต้องบอกคุณเวลาที่ต้องหยุดหรือยกเลิกมันหรือ...(ถาม :บางทีเป็นผู้ฝึกทางการแพทย์?) ใช่ ใช่ แต่ก็ยังมีการแนะนำทางด้านจิตวิญญาณโดยพระเจ้าและคนพวกนั้นจะรู้ ผมคิดว่าผลกระทบข้างเคียงมากที่สุดก็คือด้านจิตใจ รูปแบบ ความโกรธ ความต้องการที่เราเห็นมันออกมาในทุกๆเซล ทุกอย่างถูกบันทึก ความจำทั้งหมดของเราทุกอย่าง ดังนั้นในช่วงที่เปลี่ยนแปลงมันจะออกมา ดังนั้นคุณจะจำเรื่องต่างๆมากมาย ความสุขก็เหมือนกัน บางคนมีความสุขมาก พวกเขาจึงระลึกถึงว่ามันมีความสุขอย่างไรในสมัยเด็กๆ หรือกับแฟนหรือกับพ่อแม่ เมื่อตอนไปเที่ยววันหยุดกัน สิ่งที่พวกเขาบอกเรามันน่าประทับใจมากเพราะพวกเขาติดต่อกับหัวใจของพวกเขา พูดจากหัวใจและรู้สึกถึงมันได้จริงๆ ดังนั้น มันดีมากที่จะทำขั้นตอนนี้และมันก็ไม่ถูกต้องที่จะไม่ช่วยให้ผู้คนผ่านกระบวนการนี้ เพราะผมคิดว่ามันคือ การบำบัดที่เข้มข้นรวดเร็วที่สุดอย่างหนึ่งเท่าที่ผมนึกได้”
ตามความเห็นของดร.ชไนเดอร์ผลกระทบบางอย่างที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปในช่วงสัปดาห์แรกของการเปลี่ยนแปลงมาเป็นไม่กินอาหารคือเรื่องของสุขภาพ
“ปกติมักจะมีว่าความเจ็บป่วยเดิมๆนั้นมันหายไป มันจะออกมา เช่น บางคนนั้นมีการอักเสบเรื้อรังของไตและกระเพาะปัสสาวะ มันก็จะเป็นแบบนี้มันทำให้เรากลัว มันเห็นชัดเจน ถ้าผมรู้ว่า “ตายล่ะ มันเริ่มอีกแล้วฉันกำลังอยู่ในระหว่างขั้นตอน ฉันจะสามารถทำได้หรือแล้วฉันต้องหยุดมันหรือเปล่า? ” ฯลฯ มันจะดีถ้าหากมีบางคนอยู่ตรงนั้นรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันจะดีถ้าหากมีการช่วยเหลือหรือแนะนำเรื่องนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ให้กำลังใจ ให้กำลังใจก็ดีเหมือนกัน การนำพาให้บางคนกลับเข้าหาตนเอง นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด ในกระบวนการนี้กรรมวิธีคือบางสิ่งที่จะพาเราไปหาตัวเราเอง ผมจะพูดถึงสัปดาห์แรก ลำบากอยู่บ้างสำหรับบางคน แต่บางคนก็บินผ่าน ส่วนใหญ่แล้ววันที่ 4 5 หรือ 6 มักจะเป็นหนึ่งในนั้นที่ค่อนข้างลำบาก กรณีของผมนั้นผมมีน้ำลายมากจนถึงวันที่ 6 แต่บางคนนั้นจะปากแห้งในวันที่ 2 และมันทำให้ลำคาญและมันก็จะดีที่มีใครบางคนให้การช่วยเหลือและบอกว่าทำอะไรได้บ้าง คุณสามารถบ้วนปาก แต่อย่ากลืน คุณสามารถดูดน้ำแข็งและถ่มออกไปหรืออาจจะถ่มออกครั้งที่สอง เพราะว่ามีน้ำเหลืออยู่ข้างในนิดหน่อย คุณอาจจะกัดมะนาวหรือเคี้ยวก็ได้แล้วถ่มออกไป สิ่งเหล่านี้ทำให้มันราบรื่นขึ้นหน่อย”
อาการอื่นๆมักจะไม่เกี่ยวกับสุขภาพและมีความท้าทายจิตใจน้อยลง
“โดยทั่วไปเหมือนกับไม่มีอาการอะไรหรือลำบากอะไร ปกติแล้วร่างกายอยู่ภายใต้ความเครียดถาวร ทำให้มันปรากฎออกมาโดยอุณหภูมิสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น หลายๆคนต้องแช่อ่างน้ำเย็น มีคนหนึ่งบอกว่าเขาต้องใช้ก้อนน้ำแข็งใส่ในน้ำที่จะอาบ ร้อนมากของเก่าๆ นั้นถูกเผาซึ่งเรียกว่า ”ความร้อนที่ละเอียดอ่อน” หรือ “ไข้ที่ไม่มีตัวตน” และที่จริงแล้วผมเป็นคนที่ชอบน้ำอุ่นและไม่ชอบเลยกับน้ำเย็นๆ ผมต้องอาบน้ำที่ค่อนข้างเย็น ดังนั้นผมเกือบจะแช่แข็งเนื่องจากนิสัย แต่มันสบายมากความเย็นอันนั้น ดังนั้นผมเพียงอยากบอกว่าร่างกายกำลังเอาของออกให้มากที่สุดและมันก็จำเป็นที่ต้องระวังร่างกาย ร่างกายของเราที่ต้องผูกพันไปกับการเดินทางของเรา”
อาการของการเปลี่ยนแปลงปกติแล้วจะหายไปหลังจากสัปดาห์แรก สัปดาห์ที่สองร่างกายก็จะเริ่มฟื้นตัว
“สัปดาห์ที่สองผมเรียกมันว่า ”ระยะพักฟื้น” ระยะพักฟื้นก็เหมือนกับยาต้นตำหรับเมื่อระบบนั้นปฏิรูปตัวมันเองใหม่ ส่วนนี้อยู่ภายใต้ความตึงเครียด กรณีนี้ร่างกายจะกลับสู่ภาวะปกติ ขณะที่ร่างกายความรู้สึกซึ่งเคยทรมานนั้นก็กลับคืนสู่ภาวะปกติอีกครั้งและสภาวะนี้น่าสนใจมาก เพราะว่านั่นคือภาวะที่มีการบำบัดรักษา คุณนอนลง ผมสังเกตว่ามันเหมือนกับพลังหลับ แต่เป็นพลังหลับที่มีการฝันกลางวัน สามชั่วโมงถ้าคุณชอบ แล้วในบางสภาวะ ผมตระหนักว่า “พอแล้ว” นี่คือที่ผมเรียกว่าการบำบัดเพราะว่าหลังจากนั้นผมรู้สึกแตกต่าง ผมรู้สึกเหมือนว่าผมได้รับ มันไม่ใช่ประสาทหลอนเพราะผมสังเกตว่าผมมีสติสัมปชัญญะทุกอย่างปกติ ไม่ใช่ว่าผมดูอะไรด้วยวิธีแปลกๆ ผมรู้ตัวจริงๆ ว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไปในร่างกายของผม มันน่ามหัศจรรย์ น่าสนใจ มันเกิดขึ้นอยู่เสมอเวลาที่ผมเงียบ เวลาที่ผมสัมผัสกับตัวเอง มันเป็นเวลาที่ดีมาก ผมก็ชอบด้วย ดังนั้น คุณควรที่จะมีเวลาอยู่กับตัวเองให้ได้จริงๆ “
กระบวนการเปลี่ยนแปลง เราจะเริ่มตระหนักถึงความเป็นอิสระจากการอยู่ด้วยอาหาร
“สัปดาห์ที่สาม ผมจะเรียกว่า ”ช่วงของการจัดการใหม่” ที่นี่ความคิดอาจเกิดขึ้นมา “มันจะเป็นอย่างไรหลังจากนั้น? ฉันจะทำอะไรเกี่ยวกับอาหารล่ะ? ครอบครัวฉันล่ะจะทำอย่างไร? ฉันจะทำอย่างไรกับเรื่องนั้น?” แล้วตอนนี้สิ่งที่น่าสนใจเกิดขึ้น ทันใดนั้นผมก็รู้ว่า ผมต้องการอะไร ผมมองเห็นทุกอย่างชัดมาก “โอเค นี่คือสิ่งที่ฉันจะทำ ฉันทำอันนี้หรือจะทำนั่นๆ” สิ่งต่างๆเหล่านี้จะเกิดขึ้นมาหมด นี่เป็นสัปดาห์ที่สาม และตรงนี้ คุณสามารถจัดการกับเรื่องทางโลกได้มากขึ้น บางทีฉันไม่ต้องโทรศัพท์มากหรือไม่ต้องเขียนจดหมายหรืออะไรพวกนั้น ในกรณีของผม สิ่งเหล่านั้นเลื่อนออกไป แต่คุณสามารถสร้างตัวคุณเองขึ้นมาใหม่ นี่คือสิ่งที่เราทุกคนเฝ้ารอคอยอย่างมาก มีกี่คนไม่เคยพูดว่า “โอเค ปีนี้หลังจากคริสต์มาส ฉันจะนั่งลงและวางแผนสำหรับปีหน้าหรือเพื่อชีวิตที่เหลือของฉัน” คุณก็รู้กันทุกคน ความตั้งใจดีเหล่านี้ ใช่แล้วในวันที่ 21 ทุกอย่างเรียบร้อยทั้งหมด พวกเขาสามารถอยู่ได้ด้วยปราณ ร่างกายของพวกเขาถูกจัดการใหม่ มันเป็นวิธีการเปลี่ยนแปลง แล้วพวกเขาก็ถูกปลดปล่อยเป็นอิสระและสามารถใช้มันได้อย่างที่พวกเขาต้องการ”
สำหรับ ดร.ชไนเดอร์การผ่านขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงมาเป็นไม่ต้องกินอาหารและมีชีวิตอย่างบริสุทธิ์ด้วยปราณได้ช่วยให้เขาปรับเข้าหาตัวเองได้มากขึ้นและมองโลกด้วยมุมมองใหม่
“สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้ในกระบวนการนี้คือการเห็นคุณค่าอะไรต่อมิอะไรมากขึ้น หลังจากผ่านกระบวนการนี้ ตอนที่ผมทำเป็นกลุ่มแรก ผมเหมือนกับกลัว ช็อคว่าผมไม่เห็นคุณค่าสิ่งต่างๆ เลย เมื่อก่อนนี้ผมหมายถึง คุณไม่สามารถเปรียบเทียบ แต่มันรู้สึกเห็นคุณค่าของธรรมชาติ ของผู้คน ของพลังงาน ของจิตวิญญาณ ของวัตถุที่ผมวางไว้บนแท่นบูชาและผมเฝ้าดูตัวเอง วางสิ่งต่างๆ ไว้ตรงนั้นซึ่งผมไม่เคยทำมาก่อน สำหรับผมมันรู้สึกว่า มันมีคุณค่าอย่างมากเพราะมองเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ตรงนั้น มันสอนให้คุณรู้จักถ่อมตัวด้วยเหมือนกัน มันสอนคุณให้มีความเมตตา มันสอนคุณมาก มีความสุขด้วย”
ติดต่อ ดร.คริสต์โตเฟอร์ ชไนเดอร์ ได้ที่อีเมลล์ : govind@web.de
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมกรุณารับชมที่ www.SupremeMasterTv.com/BMD