11 มกราคม 2554 14:02 น.

แนะนำหนังสือดีแห่งยุค.....

คีตากะ

key1-6.jpg      ขอแนะนำหนังสือดีแห่งยุคสำหรับผู้ที่สนใจหลักธรรมขั้นสูงอันจะเป็นเหตุให้สามารถหลุดพ้นได้เพียงในชาติเดียวหากนำไปปฏิบัติหรือสำหรับผู้ที่สนใจหลักปรัชญาทั่วไปเพื่อประดับภูมิความรู้อันจะนำไปสู่การรู้แจ้งในมหาปัญญาในที่สุด หนังสือชื่อ “กุญแจสู่การรู้แจ้งในทันที” ของท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ธรรมาจารย์ผู้รู้แจ้งแห่งเทือกเขาหิมาลัย กุญแจสู่การรู้แจ้งในทันที เป็นการรวบรวมปาฐกถาธรรมของท่านอาจารย์ในสถานที่ต่างๆ ที่ท่านเดินทางจาริกเพื่อโปรดสรรพสัตว์มีทั้งหมด ๖ เล่ม ประกอบเนื้อหาดังต่อไปนี้

กุญแจสู่การรู้แจ้งในทันที เล่มที่ ๑
๑. อาจารย์ดีกับอาจารย์ดัง
๒. สัจธรรมแท้ สัจธรรมปลอม
๓. เสียงเหนือโลก
๔. แสงเหนือโลก
๕. ความหมายของดอกไม้บานเห็นพุทธะ
๖. ประโยชน์ของการบำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม
๗. กรรมกีดขวางมาแต่ไหน
๘. ธรรมวิถีที่ใช้ทั้งปวงล้วนเป็นธรรมวิถีกวนอิม
๙. ความลึกลับมหัศจรรย์ของปัญญาจักษุ
๑๐. สรรพสัตว์ในอสุรกาย
๑๑. ที่เรียกว่ารู้แจ้งคืออะไร
๑๒. พุทธะคืออะไร
๑๓. สภาพโดยสังเขปภายในไตรภูมิ
๑๔. ทำบุญทำทานไม่อาจหลุดพ้น
๑๕. ไหว้พุทธไม่สามารถสำเร็จเป็นพุทธะได้
๑๖. เหตุใดจึงต้องกินมังสวิรัติ


กุญแจสู่การรู้แจ้งในทันที เล่มที่ ๒
๑. พุทธะไม่ใช่อนุตตรสัมมาสัมโพธิ
๒. พลังอำนาจอนุตตรสัมมาสัมโพธิอยู่ในตัวอาจารย์ที่แท้จริง(๑)
๓. พลังอำนาจอนุตตรสัมมาสัมโพธิอยู่ในตัวอาจารย์ที่แท้จริง(๒)
๔. หลุดพ้นจากการเกิดการตายต้องอาศัยธรรมวิถีกวนอิม
๕. อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการบำเพ็ญปวงโพธิสัตว์ในมหรรณพพิสุทธิ์
๖. ออกจากโลกมีแต่กรรมติดตัว
๗. รู้แจ้งคือพุทธะ อวิชชาคือสรรพสัตว์
๘. เหตุใดฌานของอินเดีย จีน ญี่ปุ่น เป็นต้นจึงไม่เหมือนกัน
๙. ธรรมวิถีกวนอิมเสียงจากภายใน
๑๐. การหลุดพ้นจากไตรภูมิมีเพียงวิถีทางเดียว
๑๑. การแปลงกายไม่มีอะไรพิสดาร
๑๒. คนประเภทไหนได้ไปโลกสุขาวดี
๑๓. กินผักก็มีกรรมกีดขวางเช่นกัน
๑๔. อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าพุทธศาสนิกชน


กุญแจสู่การรู้แจ้งในทันที เล่มที่ ๓
๑. หยินหยางสมดุจจึงเป็นพุทธ
๒. สภาพก่อนถึงแก่กรรม
๓. อิทธิปาฏิหาริย์ดำขาว
๔. หนอนงู
๕. ทำความเข้าใจกับภารกิจของมาร
๖. สนามแม่เหล็กของอาจารย์แท้ที่บรรลุธรรมมีแรงดึงดูดสุดประมาณ
๗. “กรรมกีดขวาง” กับ “กรรมลิขิต” ต่างกันอย่างไร
๘. กรรมกีดขวางแท้จริงศูนย์
๙. แรงสั่นสะเทือนสามารถขจัดกรรมกีดขวางได้
๑๐. รู้แจ้งไม่ต้องอาศัยพระพุทธรูป
๑๑. ความหมายแท้จริงของอมิตาภสรรเสริญ
๑๒. บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมมีพลานุภาพบำบัดโรคได้


กุญแจสู่การรู้แจ้งในทันที เล่มที่ ๔
๑. พุทธกลายเป็นปุถุชนได้อย่างไร
๒. ความเป็นมาของอูลัมพนะ
๓. อาจารย์สมัยอยู่ภูเขาหิมาลัย
๔. ทำประทับใจก็เป็นพุทธแล้ว
๕. คำอธิบายใหม่ของอัฐคารวะธรรม
๖. การถอดวิญญาณต่างกับสภาพของตถาคต
๗. จะเข้าใจอำนาจอธิษฐานปลุกเสกของอาจารย์อย่างไร
๘. ปัจเจกพุทธ


กุญแจสู่การรู้แจ้งในทันที เล่มที่ ๕
๑. วิชาล่องหนหายตัว
๒. เรียนรู้ความเป็นพุทธของตนเอง
๓. อาจารย์ดีมาเพื่อรื้อขนสรรพสัตว์โดยแท้
๔. จะยึดกุมบุญญานิสงส์หลีกเลี่ยงกรรมกีดขวางอย่างไร
๕. ภัยธรรมชาติภัยสังคมเกิดจากเจตสิก
๖. เรื่องราวของดวงดาวในจักรวาล
๗. เคล็ดลับของการบำเพ็ญให้รุดหน้า
๘. ธรรมวิถีมี่ ธรรมวิถีตากผ้าของธิเบต
๙. ธรรมวิถีกวนอิมต่างกับอิทธิปาฏิหาริย์อย่างไร
๑๐. เห็นอาจารย์แว่บเดียวรับรองหลุดพ้น
๑๑. ภารกิจของโพธิสัตว์มหาสัตว์


กุญแจสู่การรู้แจ้งในทันที เล่มที่ ๖
๑. การนั่งบำเพ็ญเป็นต้นกำเนิดของพลังรัก
๒. เคล็ดวิชาที่สามารถอยู่เหนือเหตุและผลแห่งกรรมกีดขวาง
๓. สัจธรรมปุณฑริกสูตรที่แท้จริง
๔. อำนาจแห่งความรักกับเหตุผลทั่วไป
๕. พลังแรงอธิษฐาน
๖. การเบิกเนตรที่แท้จริง
๗. บำเพ็ญวิถีโพธิสัตว์จะต้องทนทุกข์ได้
๘. วิธีบำเพ็ญก่อนธรรมวิถีกวนอิม
๙. ท่าไม้ตายของการโจมตีอาจารย์ดี
๑๐. ธรรมวิถีรองเท้าบู๊ต
๑๑. พึ่งตัวเองก็คือพึ่งพระเจ้าสูงสุด
๑๒. จักรวาลรวมตัวเราอยู่ในนั้นด้วย
๑๓. นิรมาณกายร้อยพันล้าน
๑๔. สมาธิชั้นสูง ความสำคัญของการค้นพบอาจารย์ดี
๑๕. ขอให้สันติภาพเริ่มจากตัวเราก่อน

หมายเหตุ : น่าเสียดายที่คนตายไม่ได้อ่าน แต่ที่น่าเสียดายยิ่งกว่าคือคนเป็นที่ยังไม่ได้อ่าน หนังสือดีแห่งยุคที่แต่ละตัวอักษรบรรจุด้วยพลังพรแห่งพุทธโพธิสัตว์ในทศทิศ

ผู้สนใจติดต่อสอบถามได้ที่
สมาคมนานาชาติอนุตราจารย์ชิงไห่
ศูนย์กรุงเทพ
537/191-192 ซอยสาธุประดิษฐ์ 37 ถนนสาธุประดิษฐ์
แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กทม. 10120
โทรศัพท์ 02-682-0015   โทรสาร 02-682-0014
รถเมล์ที่ผ่านหน้าซอย สาย 35, 62, สองแถวแดง สาย 1279 (วัดดอกไม้)
				
11 มกราคม 2554 09:09 น.

มหานครอันเรืองโรจน์...

คีตากะ

2502023f93hfldly7.gif     ยามวิกาลดึกดื่นแห่งเหมันตฤดู ฉันเดินอยู่ในซอยเปลี่ยวระหว่างทางกลับบ้าน บรรยากาศของเมืองมหานครที่ขมุกขมัวมัวซัวทำให้หัวใจฉันรู้สึกสั่นสยิวเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นสั่นสะท้าน นครแห่งความรุ่งเรืองรุ่งโรจน์ นครแห่งอาชญากรรม นครอันแปลกหน้าที่ไม่เคยเป็นมิตรไม่ว่าเวลาใด ฉันรีบสาวเท้าก้าวเดินอย่างรวดเร็วจนมาถึงกลางซอยอันมืดมิด รู้สึกถึงความเย็นเยียบตรงบริเวณไขสันหลัง เบื้องหน้าเป็นสะพานโค้งสูงสร้างจากปูนซีเมนต์ใช้สำหรับข้ามคลอง ตรงบริเวณเสาหัวสะพานทั้งสองข้างมีภูติผี ๒ ตนนั่งสถิตอยู่ รูปลักษณ์ของพวกมันน่าเกลียดน่ากลัวเป็นอย่างมาก ถึงฉันจะรู้สึกหวาดกลัวต่อพวกมัน แต่สำหรับฉันแล้ว มนุษย์ที่มีชีวิตในเมืองนี้ยังน่าหวาดหวั่นกว่าพวกมันมากนัก พวกมันกำลังนั่งกระซิบกระซาบสนทนากัน ขณะเดินผ่าน ฉันแอบได้ยินพวกมันเจรจากันด้วยถ้อยคำดังนี้...


ผีตนแรก : ดูสิ สหาย! ดูความเจริญรุ่งเรืองของเมืองที่พวกเราร่วมกันสร้างมาด้วยสองมือเปล่าของเรา เมืองที่พวกเราต้องเอาชีวิตเข้าแลก หลั่งเลือดชโลมดิน จนแผ่นดินที่เราถือกำเนิดเกิดมาต้องฝังกลบหน้าของเราเองจึงจะได้มา ดูความเสื่อมทรามของมหานครอันยิ่งใหญ่นี้ ที่ในไม่ช้าจะเหลือเพียงเศษซากก้อนอิฐ เช่นเดียวกับสังขารของพวกเราที่หลงเหลือเพียงเศษธุลีดิน!

ผีตนที่สอง : สหายเอ๋ย! ท่านจะเดือดร้อนไปไยเล่า? ในเมื่อพวกเราต่างก็มีหน้าที่เพียงเฝ้าดู จะแก้ไขอะไรได้ล่ะ? มหานครอันสวยงามนี้ยังคงงดงาม แต่จิตใจของคนต่างหากที่เสื่อมทรามอัปลักษณ์ลง หาใช่มหานครที่เราสร้างไม่!

ผีตนแรก : ในขณะที่ผู้คนกำลังเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ท่ามกลางความหลับใหลอย่างขาดสติ พวกคนเขลาเหล่านี้ไม่รู้เลยว่าวันเวลาของตนกำลังใกล้หมดลงเต็มที กาลเวลากำลังชักนำพวกเขาเข้าสู่มหาพิบัติภัยครั้งใหญ่ในเวลาอันใกล้นี้ ช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าเสียจริง !

ผีตนที่สอง : วันเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงต่างหากล่ะ เพื่อนรัก! สังขารร่างกายของพวกเขาจะมีอะไรเล่า มันเป็นเพียงอาภรณ์ที่สวมใส่เท่านั้น จากร่างเด็ก กลายเป็นร่างหนุ่มสาว กลายเป็นร่างชรา และเปลี่ยนร่างใหม่เรื่อยไป ท่านก็ทราบแล้วว่าแท้จริงความตายไม่อาจทำอะไรกับมนุษย์พวกนี้ได้ ร่างกายย่อมผุพังเสื่อมสลายไปตามกาลเวลากลายเป็นกรวดดิน แต่จิตวิญญาณยังคงอยู่ยืนยง เหมือนกับพวกเรา ซึ่งเราก็ได้พิสูจน์แล้ว มิใช่หรือ?

ผีตนแรก : มันก็จริงอยู่! แต่บทเรียนเหล่านี้ไม่มีความหมายอะไรต่อคนเขลาเหล่านี้เลยเหรอ? คนเหล่านี้ก็เหมือนเราที่ผ่านประสบการณ์การเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เหตุใดยังคงเลือกหนทางแห่งความพินาศมากกว่าการสร้างสรรค์โลกนี้ให้น่าอยู่ต่อไป อย่างน้อยก็ทำเพื่อตนเองและลูกหลานรุ่นต่อๆไป? ประสบการณ์ในอดีตไม่ได้สอนอะไรแก่พวกเขาให้ฉลาดขึ้นเลยหรือ?

ผีตนที่สอง : มหาธรรมชาตินฤมิต สร้างสรรพชีวิตขึ้นมาได้ ไฉนจะกลืนกินเอากลับคืนไปมิได้เล่า? มหาธรรมชาติให้มนุษย์เป็นเจ้าปกครองเหล่าสัตว์และพืช พร้อมกับการสร้างสรรค์ตัวตนได้ตามความปรารถนา มนุษย์มีอำนาจในการเลือกหนทางของตนอย่างไม่สิ้นสุด และต้องรับผลแห่งการเลือกนั้น ธรรมชาติผู้ให้กำเนิดมิได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว เป็นเพียงผู้เฝ้าดูอยู่ข้างๆ เท่านั้น ให้อิสระแก่ทุกชีวิต และไม่พิพากษาตัดสินใคร สัตว์โลกล้วนเป็นไปตามกรรมที่ตนเองก่อ พวกเขาสรรค์สร้างนรกและสวรรค์ขึ้นมาเอง รวมทั้งพิพากษาตัวเอง!

ผีตนแรก : แต่เหตุไฉนคนเขลาเหล่านี้จึงเลือกที่จะตั้งระเบิดเวลาเพื่อทำลายตัวเองและชีวิตอื่นด้วยเล่า? ศีลธรรมอันดีงามถูกลืมเลือนไปจากสังคม สัตว์และพืชถูกเข่นฆ่าเพื่อเสนอสนองตัณหามนุษย์ ธรรมชาติสร้างให้มนุษย์ประเสริฐเลิศกว่าสัตว์ทั้งหลาย ไฉนกลับทำตัวเยี่ยงเดียรัจฉานเสียเอง ด้วยการทำตนเป็นนักล่าเข่นฆ่าพวกเดียวกันเองแล้วยังทำลายชีวิตสัตว์และพืชอื่นอีก? คนเขลาเหล่านี้มักสร้างขุมนรกขึ้นมาในโลกอยู่เสมอๆ ตลอดทุกยุคทุกสมัย เพียงเพื่อฝังกลบตัวเอง !

ผีตนที่สอง : สหายเอ๋ย! นี่เป็นผลจากการที่มนุษย์มุ่งเน้นพัฒนาวัตถุมากกว่าจิตวิญญาณ ผลจากการมองสัตว์และพืชต้อยต่ำกว่าพวกตน และไม่เคยให้เกียรติใคร ผลแห่งการลืมเลือนธรรมชาติผู้ให้กำเนิด พวกเขาจึงต้องรับผลแห่งการเลือกนั้นในไม่ช้านี้ ถ้าหากยังไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเดิม นั่นคือการไม่เคารพชีวิตพืชและสัตว์ อันเป็นการแสดงถึงการไม่เคารพตัวเอง เพราะสรรพสิ่งเป็นองค์เดียวกัน มาจากรากเหง้าเดียวกัน!

ผีตนแรก : มันจะมีประโยชน์อะไรเล่า เพื่อนเกลอ? ไม่ว่าอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต คนเขลาเหล่านี้ก็ยังคงมีนิสัยป่าเถื่อนเหมือนเดิม ท่านดูสิ! ในท่ามกลางหมู่พวกเขามีปีศาจ เปรต สัตว์นรกเดินปะปนกันอยู่กลาดเกลื่อนล้นเมืองจนจำแนกแยกแยะไม่ออกว่าใครเป็นใคร บางคนก็เพิ่งพ้นโทษทัณฑ์ขึ้นมาหมาดๆจากขุมนรก ในแววตายังคงแฝงความอาฆาตมาดร้ายด้วยเพลิงแค้นจนแดงฉาน จับจ้องคอยเล่นงานคู่อริและพวกเดียวกัน พร้อมที่จะก่อสงครามได้ทุกเมื่อ นี่คือเหล่าเจ้ากรรมนายเวรตั้งแต่ครั้งภพชาติในอดีต รอคอยทวงถามหนี้กรรมจากพวกเขา จะเรียกมหานครที่เจริญรุ่งเรืองได้อย่างไรเล่า ในเมื่อทั้งเมืองเต็มไปด้วยสัตว์นรกอันร้ายกาจจากห้วงอเวจี?  

ผีตนที่สอง :  มนุษย์ สัตว์ พืช ต่างก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรของกันและกัน กินกันไป กินกันมา ฆ่ากันไป ฆ่ากันมา จึงเวียนว่ายตายเกิดอยู่เช่นนี้ ก็ล้วนแล้วแต่ชดใช้หนี้กรรมที่ตัวเองก่อ ในขณะเดียวกันก็สร้างกรรมใหม่ขึ้นมาจนพัวพันยุ่งเหยิงหาเบื้องปลายไม่ได้ แต่ยังดีที่มหาธรรมชาติยังมีเมตตาส่งเหล่าบรรดามหาอาจารย์และนักบุญทั้งหลายลงมาเพื่อปลุกมนุษย์ผู้โง่เขลาเหล่านี้ ในท่ามกลางทุรยุคอันเสื่อมทรามนี้ด้วยเช่นเดียวกัน!

ผีตนแรก : เพื่อนเอ๋ย! ท่านก็เห็นแล้วว่ามหาอาจารย์เหล่านี้มีสภาพเป็นเช่นใดตอนที่มีชีวิตอยู่ในอดีต พระกฤษณะ พระโมฮัมหมัด ต้องเสี่ยงตายร่วมรบกับคนเขลาเหล่านี้ในสงครามที่พวกท่านไม่ได้ก่อ เพื่อธำรงธรรมเอาไว้ มิเช่นนั้นคนชั่วก็จะครองเมือง คนเขลาเหลานี้ไม่เคยทำอะไรนอกจากการก่อสงคราม พระศากยมุณีพุทธเจ้า ถูกปาด้วยก้อนหิน ต้องเสวยหญ้ากับม้านานหลายเดือนแล้วยังถูกญาติตัวเองตามฆ่าราวีอีก ที่ร้ายกว่านั้น! พระเยซูถูกปลงพระชนม์บนไม้กางเขนอย่างน่าสยดสยอง เพียงเพราะพวกท่านพูดถึงเรื่องความรักและสันติภาพ พวกท่านต่างมีชื่อเสียงภายหลังจากเสียชีวิตไปแล้ว แต่ยามมีชีวิตอยู่ล้วนลำบากยากเข็ญ ถูกใส่ร้ายป้ายสีต่างๆ นานา พวกคนเขลาหรือจะเข้าใจ? บาปกรรมของมนุษย์หนักหนาแค่ไหนท่านต่างก็ทราบดี แล้วจะหวังอะไรได้อีกเล่า?

ผีตนที่สอง : มีข่าวดีก็คือว่าสรรพชีวิตทั้งคน สัตว์และพืช ในยุคปัจจุบันนี้ล้วนได้รับการปลดปล่อยทางจิตวิญญาณทั้งหมดภายหลังจากความตายด้วยพลังอำนาจแห่งมหาอาจารย์และนักบุญทั้งหลายที่มีชีวิตอยู่ในโลกเวลานี้ พวกเขาไม่ต้องไปทุคติรับทัณฑ์ทรมานในนรกอเวจี ล้วนไปสู่สุคติด้วยกันทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่คนที่บาปที่สุดในโลก! แต่ข่าวร้ายก็คือว่ามหาอาจารย์และเหล่านักบุญยังไม่สามารถยับยั้งวันมหาโลกาวินาศตอนสิ้นปี ๒๐๑๒ ได้ พวกท่านกำลังทำงานกันอย่างหนักต่อไปเพื่อหยุดยั้งระเบิดเวลาทำลายล้างชีวิตครั้งนี้ลงให้จงได้! 

ผีตนแรก : บาปเคราะห์อันหนักหนาสาหัสของพวกคนเขลาเหล่านี้ ต่อให้พลังมหาอาจารย์ทั้งสิบทิศก็ยังยากยิ่งที่จะต้านทานเอาไว้ได้ แม้ท่านจะเคยทำสำเร็จมาแล้วหลายครายามที่โลกยืนปริ่มอยู่ริมปากขอบเหวลึกแห่งความหายนะก็ตาม แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ในที่สุดก็คงเหลือชีวิตรอดเพียงแค่หยิบมือเดียวเท่านั้น พวกตาบอดหูหนวกเหล่านี้จะรับรู้อะไร จะสนใจก็แต่เพียงเรื่องปากท้องของตัวเอง ผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น ผู้นำก็สนใจแต่เศรษฐกิจ การเมือง เรื่องไร้สาระทั้งสิ้น โลกยังจะมีความหวังอะไรอีกเหรอ?

ผีตนที่สอง : ภายใน ๒ ปีที่เหลือนี้ถ้าหากมนุษย์หยุดการเข่นฆ่าสัตว์และพืช โดยเฉพาะเว้นขาดจากการกินเนื้อสัตว์เสียก่อน โลกก็อาจยืดอายุต่อไปได้อีก แล้วจึงค่อยไปแก้ไขปัญหาอื่นก็ยังทันท่วงที เหล่ามหาอาจารย์จึงพยายามรณรงค์เรื่องนี้ก่อนเป็นอันดับแรก ทำแม้กระทั่งร้องขอให้เหล่าทวยเทพเทวดาลงมาช่วยดลจิตดลใจมวลมนุษย์เพื่อให้กลับใจเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเสีย ถ้าหากพวกท่านสามารถกระทำได้สำเร็จ งานต่อไปของท่านก็คือการสร้างสันติภาพขึ้นในโลก พวกเราจะได้เห็นอหิงสาธรรมครองโลก ซึ่งแม้แต่บรรดาสัตว์ก็จะไม่กินกันเอง โลกจะกลายเป็นสวรรค์อย่างแน่นอน!

ผีตนแรก : มันจะเป็นไปได้หรือ? ในเมื่อมนุษย์ยังคงป่าเถื่อนเยี่ยงนี้! มองเห็นสัตว์อื่นเป็นอาหาร ทำร่างกายตัวเองเป็นหลุมฝังศพของสรรพสัตว์จนเหม็นกลิ่นสาบราวซากศพเดินได้ แม้แต่เทวดายังไม่กล้าเข้าใกล้ ทำลายพืชพันธุ์มากมายด้วยความเห็นแก่ได้ โดยไม่เคยรับรู้ความรู้สึกเจ็บปวดของพวกมัน มนุษย์อาจจำเป็นต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดจากการทำลายล้างที่จะถึงนี้ บทเรียนนี้อาจจำเป็นต่อมนุษย์ก็ได้ คงมีเพียงไฟนรกเท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงนิสัยคนพวกนี้ได้ แต่อย่างไรเสียเรื่องราวเหล่านี้ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเราที่ไม่ใช่มนุษย์ !

ผีตนที่สอง : ใช่แล้วสหาย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นล้วนแล้วแต่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเราทั้งสิ้น! 

    เมื่อพวกมันเจรจากันจนจบลง ความเงียบก็เข้าครอบคลุมบริเวณนี้อีกครั้ง พวกมันต่างก็พากันลุกเดินจากไป จากร่างภูตผีสองตนก็หลอมรวมเข้าเป็นร่างเดียวกัน ลับหายไปภายใต้แสงจันทร์ครึ่งเสี้ยวยามรัตติกาล ณ มหานครอมรฟ้าอันเรืองรุ่งที่ไม่เคยหลับใหล.....
  
				
5 ธันวาคม 2553 19:59 น.

พลังอันมืดบอด....

คีตากะ

wnews2_052010.jpg      เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง ธรรมชาติก็เจรจาด้วยลิ้นของสายน้ำและลำธารทำให้หัวใจปรีดา มันยิ้มด้วยยิ้มของดอกไม้และทำให้ดวงจิตปลื้มเปรมยินดี
       ครั้นแล้วมันกลับโกรธขึ้ง รื้อทำลายบ้านเมืองอันสวยงามและทำให้มนุษย์ลืมความหวานของถ้อยคำและความอ่อนละมุนแห่งรอยยิ้มของมันเสีย
      พลังอันมืดบอดและน่าหวาดหวั่นได้ทำลายสิ่งที่ถูกสร้างมานับกาลนานลงในชั่วนาทีเดียว ความตายอันไร้ปรานีได้บีบแน่นบนคอหอยและขย้ำมันอย่างไร้เมตตา เปลวไฟซึ่งเผาผลาญก็กลืนกินทั้งอาหารและชีวิต ราตรีมืดมิดซ่อนบังความงามแห่งชีวิตไว้ภายใต้ผ้าคลุมแห่งความมืดมัว
      สรรพสิ่งอันน่ากลัวผุดขึ้นมาจากสถานที่พักของมันเพื่อทำศึกกับมนุษย์เมื่อเขาอ่อนแอลง และทำลายที่อยู่อาศัยของเขาเสีย พัดเอาสิ่งที่เขาได้รวบรวมมาเป็นชั่วโมงกระจัดกระจายไปในชั่ววินาทีเดียว แผ่นดินไหวขนานใหญ่ซึ่งพื้นดินรู้ว่าความทุกข์ทรมานเจ็บปวดทั้งหลายจักไม่เกิดผลอันใดนอกจากความพินาศและทุกข์เข็ญ
       และมันเป็นเช่นนั้นในขณะที่ดวงจิตอันเศร้าสร้อยมองดูจากที่ไกล เฝ้าเศร้าโศกและครุ่นคิด ใคร่ครวญถึงราตรีอันจำกัดของมนุษย์เบื้องหน้าอำนาจที่มองไม่เห็น และสลดใจไปกับเหยื่อที่หนีจากไฟและความพินาศ คิดถึงศัตรูของมนุษย์ซึ่งซุกซ่อนอยู่ใต้ชั้นดินและในทุกอณูของอากาศ
       โศกเศร้าไปกับเหล่ามารดาผู้คร่ำครวญและลูกๆ ที่หิวโหย คิดถึงความโหดร้ายของสรรพสิ่งและความกระจ้อยร่อยของชีวิต แบ่งปันรับไว้ซึ่งความทุกข์โศกของผู้ที่วันวานนี้หลับอย่างปลอดภัยอยู่ในบ้านแต่วันนี้กลับยืนอยู่ห่างไกล โศกศัลย์ถึงบ้านเมืองอันสวยงามด้วยเสียงสะอื้นขาดเป็นห้วงและน้ำตาอันขมขื่น
        มันได้เห็นว่าความหวังกลายมาเป็นความหมดหวัง ความร่าเริงกลายเป็นความเศร้าโศก และความสงบกลายเป็นไม่สงบได้อย่างไรแล้วมันก็ร่ำไห้อยู่ด้วยหัวใจอันสั่นไหวอยู่ในมือแห่งความเศร้า สิ้นหวังและทรมาน
       ดังนั้นดวงจิตจึงยืนอยู่ระหว่างความสลดและครุ่นคิด ประเดี๋ยวก็สงสัยในความยุติธรรมของกฎแห่งพระเจ้าซึ่งผูกพันพลังหนึ่งเข้ากับอีกพลังหนึ่งประเดี๋ยวก็หันกลับมาและพึมพำลงในหูของความเงียบ
      “ที่แท้แล้วโพ้นการสร้างสรรค์ไปนั้นมีปัญญานิรันดรอันหนึ่งซึ่งเกิดจากความพินาศเสียหายซึ่งเราได้เห็นแต่เรามิได้เห็นผลดีของมัน ไฟแผ่นดินไหวและพายุนั้นเป็นแก่ตัวตนของโลกเช่นเดียวกับความเกลียดชังริษยาและชั่วร้ายในหัวใจของมนุษย์ มันลุกฮือกระพือโหมขึ้นแล้วก็เงียบลง จากความเกรี้ยวกราด กระพือพัดและความสงบของมันนั้นปวงเทพได้สร้างความรู้อันงดงามขึ้นมาซึ่งมนุษย์จะต้องติดตามเอาด้วยเลือดน้ำตาและผลกำไร
       “ฉันยืนอยู่ในความรำลึกถึงโศกนาฏกรรมแห่งมนุษย์นี้ทำให้โสตของฉันเต็มไปด้วยเสียงถอนใจและคร่ำครวญ และต่อหน้าสายตาของฉันปรากฏหยาดน้ำตาและเคราะห์กรรมซึ่งไหลข้ามเวทีแห่งวันวานมา
       “ฉันได้เห็นมนุษย์ทุกรุ่นทุกสมัยสร้างหอคอยปราสาทและโบสถ์วิหารลงบนทรวงอกของโลก แล้วแผ่นดินก็ได้นำมันกลับไปสู่หัวใจของมัน
       “ฉันได้แลเห็นเช่นเดียวกันว่าผู้แข็งแรงได้สร้างอาคารอันมั่นคงและช่างหินได้สร้างรูปสลักและภาพเขียนบนแผ่นหิน ช่างเขียนก็ตกแต่งผนังและประตูด้วยภาพวาดและภาพเขียน แล้วฉันก็ได้เห็นผืนธรณีนี้อ้าปากกว้างและกลืนกินงานสร้างสรรค์จากมืออันมีศิลปะและใจอันลึกซึ้งลงไปหมด ทำรูปสลักและภาพเขียนเหล่านั้นให้เปรอะเปื้อนด้วยความกระด้างของมัน ทำลายเส้นร่างและภาพวาดลงด้วยความกริ้วโกรธ ฝังกำแพงและเสาอันงดงามเสียเพราะความกราดเกรี้ยว ทำให้ที่พำนักอันงามสง่าว่างเปล่าจากสิ่งตกแต่งซึ่งมนุษย์ได้ประดับประดาไว้ แล้วก็วางเสื้อคลุมสีเขียวแห่งท้องทุ่งอันประดับด้วยสีทองแห่งเม็ดทรายและเพชรพลอยแห่งกรวดหินไว้แทนที่”
        แม้กระนั้นฉันก็ยังพบความสูงส่งของมนุษย์ยืนหยัดเสมือนยักษาท่ามกลางสิ่งผิดพลาดและเคราะห์กรรมเหล่านั้น พลางเย้ยหยันความโง่เขลาของโลกและความโกรธเกรี้ยวของธาตุต่างๆ ในท่ามกลางซากปรักหักพังแห่งบาบิโลน ไนน์เวห์ ปาล์มีรา บอมเบย์และซานฟรานซิสโก มันยืนเด่นอยู่ดังลำแสงสว่าง มันร้องเพลงแห่งอมตภาพออกมาว่า “เชิญโลกเอาทุกสิ่งที่เป็นของมันกลับไปเถิด เพราะฉันคือผู้ไม่รู้จักตาย





คาลิล ยิบราน
น้ำตาและรอยยิ้ม
กิติมา อมรทัต แปล
				
13 พฤศจิกายน 2553 11:10 น.

ศิษย์ก้นกุฏิ......

คีตากะ

guanyin.jpg      พระผู้เป็นเจ้ามักจัดการให้ผมมาพบกับบุคคลที่คาดไม่ถึงเสมอ แม้ยามปกติผมจะเป็นคนเก็บตัวไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แต่ก็ไม่วายต้องเผชิญกับบุคคลที่แปลกพิสดารหลายต่อหลายคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต บางคนก็มาเป็นเพื่อน บางคนก็มาเป็นญาติ บางคนก็มาเป็นครู บางคนก็มาเป็นคนรัก...ฯลฯ เวลา ณ ขณะนั้นอาจไม่กี่นาที กี่ชั่วโมง กี่วัน กี่เดือน กี่ปี ก็ตามแต่โอกาสจะพาไป ล้วนเป็นการจัดการของพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ เหตุก็เพื่อให้ดวงจิตเกิดการเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างที่จำเป็นต่อการรู้แจ้ง การรู้จักตัวตนที่แท้จริง หรือรู้จักพระเจ้าภายใน ถ้าหากเราปราศจากตัวตนแล้ว การพบพานบุคคลเหล่านี้ก็คงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด ที่เรียกว่าเป็นอสังขตธรรม ธรรมอันปราศจากการปรุงแต่งตามเหตุปัจจัย ปปัญจธรรม คือ ธรรมอันก่อให้เกิดความเนิ่นช้า เสียเวลาต่อการรู้แจ้งนั้น ประกอบด้วย ตัณหา มานะ ทิฐิ หรือก็คือตัวกู ของกู นั่นเอง ที่คอยปิดกั้นตัวเรา ทำให้มองไม่เห็นธรรมชาติที่แท้จริง นักบวชก็คิดว่า“ฉันเป็นนักบวช” ฆารวาสก็คิดว่า“ฉันเป็นปุถุชน” เมื่อการระบุรู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ภาระกิจมากมายล้วนก่อเกิดขึ้นตามมา พระก็ต้องศึกษาธรรม นำมาเทศนาสั่งสอนประชาชน ปุถุชน ก็ต้องศึกษาเล่าเรียน เพียรทำอาชีพการงาน ก่อร่างสร้างครอบครัว ทั้งที่หน้าที่สำคัญที่สุดเพียงหนึ่งเดียวคือ การจดจำให้ได้ว่าเราเป็นพุทธะ เราเป็นพระเจ้า  มีข้อโต้แย้งถกเถียงกันมากในเรื่องคำจำกัดความ แม้พุทธศาสนาจะมุ่งเน้นอนัตตา หรือสุญตา แต่คำว่าพระเจ้ามักจะถูกระบุให้เป็นอัตตา ซึ่งไม่เป็นความจริง ที่ถูกแล้วควรหมายถึงทั้งอัตตาและอนัตตา กล่าวคือเป็นคำเดียวกันกับอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ย่อมเป็นแหล่งก่อกำเนิดสรรพสิ่งทั้งที่เป็นอัตตา อนัตตา สุญตา ครอบคลุมถึง “ทุกสิ่งที่ดำรงอยู่ และทุกสิ่งที่ไม่ได้ดำรงอยู่” ก็ถ้ามันเป็นสิ่งที่ใหญ่ยิ่งอย่างแท้จริง จะมีอะไรที่ไม่อยู่ในมันหล่ะ ท่านพุทธทาสเป็นผู้แตกฉานในธรรมมากที่สุดท่านหนึ่ง ท่านล้วนเข้าใจโลกียธรรมและโลกุตตรธรรม พยายามที่จะนำธรรมะมาสั่งสอนให้แก่ผู้สนใจศึกษาตามแต่จะเข้าใจได้ นับเป็นการปฏิวัติวงการพระพุทธศาสนาของประเทศเลยที่เดียว อันเป็นการทำให้ความทุกข์มากมายเบาบางลงไปอีกด้วย 
       หลวงพี่บุญสมก็เป็นพระภิกษุรูปหนึ่งที่เคยเดินตามคำสอนของท่านพุทธทาสมายาวนาน หลวงพี่เป็นชาวอยุธยา บวชเรียนมานานหลายสิบปี จบนักธรรมเอก มีความแตกฉานในหลักธรรมมากมาย ญาติโยมให้ความเคารพนับถือ และเคยดำรงตำแหน่งเป็นรองเจ้าอาวาส วัดของหลวงพี่ตั้งอยู่เกาะกลางแม่น้ำป่าสัก อำเภอเมือง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จึงไม่อาจรอดพ้นอุทกภัยน้ำท่วมใหญ่ที่ผ่านมาปีนี้ด้วย น้ำท่วมวัดของหลวงพี่สูงมากกว่า ๑ เมตร หน้าวัดของหลวงพี่มีรูปปั้นของหลวงปู่ทวดขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศประดิษฐานอยู่ บางส่วนจมอยู่ในน้ำ ผมยังจำได้ที่ครั้งหนึ่งเคยติดตามหลวงพี่ไปเที่ยวที่วัด เรานั่งรถตู้สายกรุงเทพ-อยุธยา ไปลงตลาดในอำเภอเมือง ก่อนจะโดยสารเรือข้ามฟากไปยังวัดที่อยู่เกาะกลางแม่น้ำป่าสัก เมื่อถึงฝั่ง เราต้องเดินด้วยเท้าต่อไปอีกซักระยะหนึ่ง สิ่งแรกที่พบคือเมรเผาศพตั้งตระหง่านต้อนรับผู้มาเยือน ถัดไปขวามือเป็นโบสถ์ขนาดใหญ่ยกพื้นสูงขึ้นมาประมาณหนึ่งเมตร ถัดไปซ้ายมือเป็นศาลาการเปรียญสำหรับญาติโยมมาทำบุญและทำกิจของสงฆ์ ส่วนขวามือเป็นกุฎิที่อยู่ของคณะสงฆ์โดยจัดอย่างเป็นสัดเป็นส่วน ห้องของหลวงพี่แทบจะว่างเปล่า ยังดีที่มีทีวีแก้คลายเหงาอยู่เครื่องหนึ่ง ผมจึงไม่ค่อยเหงามากนักเวลามาอาศัยฝากตัวเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิของหลวงพี่ระยะหนึ่ง ต่างกันตรงที่ลูกศิษย์วัดจะต้องช่วยพระถือปิ่นโตเดินตามหลังพระเวลาบิณฑบาตตอนเช้าตรู่ แต่ผมเป็นคนนอนตื่นสาย ตื่นขึ้นมาไม่เคยทันหลวงพี่ออกบิณฑบาตซักวัน อีกอย่างหลวงพี่ก็คงมีลูกศิษย์วัดทำหน้าที่นี้ประจำอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ผมเสนอหน้า ผมก็เลยหลับสบายอย่างมีความสุข ผมไม่เคยกินข้าวก้นบาตพระมาก่อน ครั้งนั้นแหละจึงได้ลิ้มลองเป็นครั้งแรกในชีวิต นับเป็นประสบการณ์ที่วิเศษสุด อาหารเจที่ชาวบ้านใส่บาตให้หลวงพี่มานั้น อร่อยเป็นที่สุด หลวงพี่เป็นพระภิกษุรูปเดียวของวัดแห่งนี้ที่ฉันอาหารเจบริสุทธิ์เท่านั้น ญาติโยมย่านนั้นต่างรู้กันดี เวลาใส่บาตจึงไม่เคยมีใครใส่อาหารประเภทเนื้อสัตว์มาเลย หลวงพี่บุญสมนับเป็นแบบอย่างของพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบดำเนินรอยตามพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง
       ความที่เป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน ได้รับการประทับจิตจากท่านอาจารย์เหมือนกัน ผมกับหลวงพี่จึงสนิมสนมกันมากเป็นพิเศษ ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาเรามักจะพูดคุยกันผ่านทางโทรศัพท์อยู่เสมอๆ บางเวลาก็บ่อย บางเวลาก็ห่างเหินไปนานๆครั้งและเคยมีพบปะกันบ้างเป็นครั้งคราว ล่าสุดหลวงพี่ก็โทรศัพท์มารายงานข่าวสภาพน้ำท่วมบริเวณวัดของแกที่อยุธยา หลวงพี่บอกว่าน้ำเพิ่งจะลด ขณะน้ำท่วมสามารถโดยสารเรือจากท่าเรือในเขตอำเภอเมืองมาถึงหน้าห้องกุฏิของหลวงพี่ได้เลย ไม่ต้องเดินให้เหนื่อย เราก็พากันหัวเราะ หลวงพี่บอกว่าการอยู่ในสภาพยากลำบากทำให้มีสติเจริญในธรรม เกิดจิตบำเพ็ญได้ง่าย ต่างกับอยู่อย่างสะดวกสบายก็มักหลงลืมสัจธรรมไปเช่นกัน การบำเพ็ญจึงไม่ก้าวหน้า ชักช้าอยู่กับเรื่องราวไร้สาระมากมาย แต่ความถือทิฐิที่ชอบสอนพระของผมก็ตอบไปแบบไม่ทันได้คิดว่า “อาจารย์จะอยากให้เราอยู่ด้วยความยากลำบากหรือ? ผมรักที่จะอยู่อย่างสงบสุข มีความสุขกับชีวิตมากกว่า ความทุกข์ทั้งหลายเป็นตัวเราแส่หาเรื่องเอาเองทั้งนั้นแหละ” ผมพูดอย่างนี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยอยู่อย่างยากลำบากมาก่อน แต่รู้ว่าความทุกข์แม้จะปลุกจิตบำเพ็ญก็จริง แต่ความทุกข์ทำให้ยากแก่การสงบจิตสงบใจเข้าสู่ภายในได้ ความเครียดวิตกกังวลมากส่งผลเสียต่อปัญญาอย่างมาก ต่างกับความผ่อนคลายสบายๆ ปัญญาย่อมแจ่มชัด สมาธิจะมาโดยธรรมชาติหากเรามีจิตใจที่เป็นปกติสุข การติดต่อกับพระเจ้าภายในก็ง่ายกว่ากันมาก เมื่อเราสามารถติดต่อกับพระเจ้าภายในได้แล้ว ปัญหาทุกอย่างจะได้รับการคลี่คลายโดยอัตโนมัติ ปาฏิหาริย์ทั้งหลายจะบังเกิดขึ้น หรืออย่างน้อยตัวเราก็รู้ว่าควรจะจัดการกับมันอย่างไรดี การอยู่ในภาวะอย่างนี้มีความสุขมากเพราะเราจะรู้สึกเป็นอิสระไม่ต้องแบกภาระอะไรเลยในโลกนี้ ทุกอย่างพระเจ้าล้วนเป็นผู้จัดการ “จงวางใจในพระเจ้า”  ยิ่งเราดิ้นรนไปกับโลกภายนอกมากเท่าไร เราก็มีความทุกข์กับมันมากเท่านั้น เราวิพากษ์วิจารย์คนอื่นจนเหนื่อยล้า และไม่เกิดประโยชน์อันใด เราเอาเวลานั้นมาดิ้นรนเพื่อการแสวงหาพระเจ้าภายในจะประเสริฐกว่า คุ้มค่ามากกว่าสำหรับเวลาชีวิตอันน้อยนิดของเรา แม้เวลาที่ผมล้มป่วยอาการหนักสาหัสอยู่นั้น ผมก็จะไม่ขอพระเจ้าให้หายจากการเจ็บป่วย เพราะมันทำให้ผมเข้าใจคนที่กำลังเจ็บป่วยมากขึ้นว่าเขารู้สึกอย่างไร ด้วยความสงบระงับผมล้มป่วยด้วยความสงบสุขและพร้อมที่จะตายอย่างมีสติ......
       หลวงพี่เคยเล่าว่า เพื่อนคนหนึ่งของหลวงพี่สามารถระลึกชาติได้ ชายคนนี้นับถือหลวงพี่มาก กำลังศึกษาธรรมะอยู่กับหลวงพี่ในปัจจุบัน หลวงพี่เคยให้เขาดูอดีตชาติให้ ในช่วงหนึ่งที่หลวงพี่ไม่ค่อยสบายใจในฐานะความเป็นนักบวชของตัวเองนัก หลวงพี่เกิดคำถามว่า ”เวรกรรมอะไรหนอทำให้ต้องเกิดมาบวชตลอดชีวิต?” ชายคนนั้นได้ดูอดีตชาติให้หลวงพี่แล้วบอกว่า ชาติที่ผ่านมาหลวงพี่เคยเกิดในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ในสมัยพระนเรศรวร หลวงพี่เกิดเป็นนางหน้าห้องของพระองค์ ในเวลาต่อมาได้บวชเป็นแม่ชีเพื่อปฏิบัติธรรม และก่อนจะตายเคยตั้งจิตอธิษฐานเอาไว้ว่า “ไม่ว่าจะเกิดกี่ชาติก็ขอออกบวชทุกภพทุกชาติไป” ทำให้ชาติปัจจุบันหลวงพี่จึงไม่อาจหนีคำอธิษฐานนี้ได้พ้น ทั้งที่หลวงพี่เคยลาสิกขาบทสึกออกไป แต่ในที่สุดก็มีเหตุให้ต้องกลับมาบวชใหม่ นั่นเป็นครั้งหนึ่งครั้งเดียวในชีวิตของหลวงพี่ที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับสิ่งที่อาจารย์เคยสอนพวกเราว่าอย่าตั้งอธิฐานปณิธานอะไรผูกมัดตัวเอง นั่นเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก เพราะปณิธานในอดีตทำให้ปัจจุบันมีพระโพธิสัตว์หลายองค์ที่บรรลุมรรคผลแล้วแต่ไม่สามารถสำเร็จเป็นอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณได้ ล้วนถูกผูกมัดด้วยปณิธานของตัวเอง เช่น พระกษิติครรภโพธิสัตว์ ขณะบำเพ็ญท่านสามารถมองเห็นสัตว์นรกได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส จึงบังเกิดเมตตาจิต ท่านจึงตั้งสัตย์ปณิธานว่า “หากนรกไม่ว่าง จะไม่ไปนิพพาน”  ด้วยเหตุนี้ปัจจุบันท่านยังคงอยู่ในนรกเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ เพราะอย่างไรเสียนรกไม่เคยว่างเว้น ท่านสำเร็จระดับพระโพธิสัตว์ พระอมิตาภพุทธเจ้าก่อนจะสำเร็จเป็นพุทธะก็ตั้ง ๔๘ ปณิธานช่วยสรรพสัตว์ ทำให้ท่านยังคงอยู่แดนปัจฉิมทุกๆ ชาติและสำเร็จระดับชั้นพุทธะเท่านั้น พวกท่านทั้งสองไม่สามารถเป็น “อนุตตรสัมมาสัมโพธิ”   กวนอิมโพธิสัตว์ก็ตั้งจิตอธิษฐานว่า ”สรรพสัตว์ร้องขออะไร ก็จะให้สิ่งนั้น” แม้ว่าสรรพสัตว์จะขอแต่งงาน ขอบุตรธิดา ขอเรื่องราวไร้สาระมากมาย ท่านก็จะต้องให้ถ้าสรรพสัตว์นั้นขอด้วยความจริงใจและสามารถสื่อถึงท่านได้ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยุ่งยากมากในการตั้งสัตย์ปฏิญาณใดใด ซึ่งล้วนแล้วแต่ผูกมัดตัวเองแทบทั้งสิ้น
        อาจด้วยเพราะการได้เคยเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้ามาแล้วหลายพระองค์ ทำให้ชาตินี้หลวงพี่ได้พบกับอาจารย์ที่เป็นพุทธะที่มีชีวิต โอกาสอันหายากยิ่งนี้เป็นเพียงหนึ่งในหลายล้านชาติเท่านั้น เสมือนนิทานเรื่องหนึ่งที่มีเต่าทะเลตัวหนึ่งในรอบหนึ่งร้อยปีมันจะว่ายน้ำมาจากทิศเหนือจรดทิศใต้ของฝั่งคาบสมุทร และขณะเดียวกันก็มีไม้กระดานแผ่นหนึ่งมีรูอยู่ตรงกลางขนาดเท่ากับหัวเต่าพอดิบพอดี ไม้กระดานแผ่นนี้ครั้งหนึ่งในรอบร้อยปีเช่นกัน มันจะลอยน้ำจากฝั่งทะเลทิศตะวันตกไปจรดฝั่งทะเลทิศตะวันออก โอกาสที่เต่าตัวนั้นกับไม้กระดานแผ่นนั้นจะมาบรรจบพบกันพอดิบพอดีในรอบหนึ่งร้อยปีซึ่งก็ไม่รู้ว่าวันไหน ยิ่งกว่านั้นหัวของเต่าจะไปโผล่ตรงเข้ากับรู้กลางแผ่นไม้นั้นพอดิบพอดีอีกด้วย นั่นย่อมเป็นโอกาสอันหายากยิ่งจริงๆ เป็นการเปรียบเปรยคนๆหนึ่งจะได้พบกับพุทธะและปฏิบัติธรรมอันยิ่งใหญ่ อันเป็นเหตุให้สามารถหลุดพ้นได้เพียงในชาติเดียว กว่าที่หลวงพี่จะหลุดพ้นจากอดีตเก่าๆ มาได้ ก็ต้องใช้เวลานานพอสมควรทีเดียว ปัจจุบันหลวงพี่ไม่ยึดติดกับภาพลักษณ์ภายนอกอีก จะเป็นพระหรือฆารวาสก็ไม่มีความแตกต่างกัน ขอเพียงรู้จักด้วยจิตด้วยใจของตัวเองอย่างแท้จริงว่าตัวเองเป็นใคร และไม่ไถลออกไปจากหนทางแห่งการบำเพ็ญอันถูกต้องชัดเจนตราบจนชีวิตจะหาไม่ก็เพียงพอ.......




สมาคมนานาชาติอนุตราจารย์ชิงไห่
ศูนย์กรุงเทพ
537/191-192 ซอยสาธุประดิษฐ์ 37 ถนนสาธุประดิษฐ์
แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กทม. 10120
โทรศัพท์ 02-682-0015   โทรสาร 02-682-0014
รถเมล์ที่ผ่านหน้าซอย สาย 35, 62, สองแถวแดง สาย 1279 (วัดดอกไม้)
				
11 พฤศจิกายน 2553 07:06 น.

การรู้จัก ความเมตตาของพระเจ้า คือ เส้นทางสวรรค์ ของ ชีวิต....

คีตากะ

mt.jpgการรู้จัก ความเมตตาของพระเจ้า 
คือ เส้นทางสวรรค์ ของ ชีวิต


ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ 
อัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์ 9 พฤษภาคม 2542 (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ) วิดีโอเทป #647







มีสองทางที่เราสามารถใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ ทางหนึ่งเป็น เส้นทางปกติ คือเรายอมรับทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นกับเราว่าเป็นชะตากรรมของเรา แต่มีอีกทางหนึ่งคือการรู้ความเมตตาของพระเจ้า ด้วยเส้นทางนี้เราสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากขึ้น ราบรื่นมากขึ้น และสันติสุขมากขึ้น 

ผู้คนส่วนมากในโลกเลือกที่จะอยู่ในเส้นทางแรก เพราะเราไม่รู้ถึงเส้นทางที่สอง เราอยากรู้จักเส้นทางที่สอง แต่เวลาส่วนมากเราถูกซ่อนไว้ แม้ว่ามันจะง่าย ง่ายมาก เหมือนการนำบางสิ่งออกจากกระเป๋าของเรา เพียงแต่เราไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ดังนั้นส่วนใหญ่เราอยู่กับชีวิตที่ไม่น่าพึงพอใจ และเวลาส่วนมากจะหมดหวังและไม่มีความสุข แต่ในทันทีที่เรารู้จักความเมตตาของพระเจ้า ชีวิตก็เริ่มต้นเปลี่ยนแปลง ชีวิตเริ่มเป็นไปตามที่มันควรเป็น ชีวิตเริ่มเป็นเหมือนสวรรค์ 

เส้นทางที่สองจะนำเราไปสู่ทางที่มีความสุข มันจะนำสวรรค์มาให้เราและนำสันติสุขมาให้เรา ทั้งภายในและภายนอก วิธีการติดต่อกับความเมตตาของพระเจ้านี้เรียกว่าหนทางแห่งการรู้แจ้ง หนทางของพระเยซู หนทางของพระพุทธเจ้า และหนทางของโมฮัมหมัด มันเป็นหนทางของมหาอาจารย์ จากอดีต มาสู่ปัจจุบัน และไปถึงอนาคต 

ถ้าเราถูกถ่ายทอดพลังพระเจ้านี้ หรือเรามีพลังนี้กลับมาใหม่ภายในตัวเราอีกครั้งหนึ่ง แล้วเราก็สามารถมีประสบการณ์ด้านสวรรค์ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ เราสามารถมีพลังรักษาโรค เรายังสามารถมีพระพรจากพระเจ้าด้วยเช่นกัน ดังนั้นเราสามารถแบ่งปันให้แก่คนอื่น ๆ ได้ เราสามารถประสบผลสำเร็จในชีวิตด้านจิตวิญญาณได้ดีเช่นเดียวกับชีวิตด้าน วัตถุ ในเวลาเดียวกัน เราสามารถมีความสุขกับทั้งสวรรค์และโลกในเวลาเดียวกัน เพราะว่าพวกเราส่วนใหญ่มีความสุขแต่ในทางโลกและไม่รู้ว่ามีอีกโลกหนึ่งดำรง อยู่ ซึ่งก็คือสวรรค์ 

เราเคยได้ยินว่าสวรรค์มีอยู่และเราสามารถเห็นมันได้หลังจากเราตายไป แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น เราสามารถเห็นมันได้เดี๋ยวนี้ เราสามารถเห็นได้สองวิธี วิธีที่หนึ่งค่อนข้างเห็นได้ชัด ตัวอย่างเช่น หลังจากการถ่ายทอดเราจะมีความสุขมากขึ้น ฉลาดมากขึ้น มีการตอบสนองที่เร็วขึ้น มีความอดทนมากขึ้น มีความรักมากขึ้น และประสบความสำเร็จในหลาย ๆ อย่าง และบางครั้งเราสามารถเห็นอนาคตและอดีตได้ เรารู้วิธีการแก้ปัญหาในปัจจุบันของเรา ฯลฯ และผู้คนที่อยู่รอบข้างเรา ครอบครัว และเพื่อน ๆ ของเราก็กลายเป็นดีขึ้น ๆ เช่นกัน นี่คือวิธีที่เห็นได้ชัดในความเมตตาของพระเจ้า 

แต่มีอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งวิธีนี้เราสามารถเห็นสวรรค์ได้อย่างแท้จริง ด้วยดวงตาสวรรค์ของเรา นั่นคือการพูดที่แท้จริง เราสามารถเข้าไปสวรรค์เหมือนเป็นสถานที่แห่งหนึ่ง เราเข้าไปที่นั่นไม่ใช่โดยร่างกายเนื้อ แต่โดยร่างของจิตวิญญาณ แล้วเราก็สามารถกลับเข้ามาในร่างกายเนื้อของเราได้อีก และทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันต่อไปได้ และไม่มีใครระแวงสงสัยว่าเราเป็นนักบุญ นั่นปลอดภัยจากปัญหาทุก ๆ อย่าง! ผู้คนไม่แห่กันมาที่บ้านของเราและกราบไหว้บูชาฝุ่นที่เท้าของเรา และทำให้บ้านของเราต้องกลายเป็นโรงแรม 'ทุนหายกำไรหด'

มีวิธีหนึ่งที่สามารถเข้า สู่สภาวะของการอยู่ในสวรรค์ ในขณะที่เราทำงานอยู่บนโลก มีวิธีที่ทำได้ เพราะสวรรค์มีอยู่ภายในตัวเราแล้ว สวรรค์มีอยู่ตลอดเวลา เราไม่จำเป็นต้องร้องขอสวรรค์ เราไม่จำเป็นต้องทรมานตนเพื่อสวรรค์ เราไม่จำเป็นต้องภาวนาตลอดวันเพื่อสวรรค์ เราเพียงแต่ต้องรู้ว่าเราจะได้มันกลับมาอีกจากที่ใด เพราะเราเป็นลูกของพระเจ้า เราไม่จำเป็นต้องร้องขอสิ่งใด เราเป็นเจ้าชาย และเจ้าหญิงแห่งสวรรค์! ดังนั้นวิธีเดียวในการแก้ปัญหานี้ก็คือเธอต้องรู้แจ้ง (เสียงปรบมือ)





สมาคมนานาชาติอนุตราจารย์ชิงไห่
ศูนย์กรุงเทพ
537/191-192 ซอยสาธุประดิษฐ์ 37 ถนนสาธุประดิษฐ์
แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กทม. 10120
โทรศัพท์ 02-682-0015   โทรสาร 02-682-0014
รถเมล์ที่ผ่านหน้าซอย สาย 35, 62, สองแถวแดง สาย 1279 (วัดดอกไม้)
				
Lovers  0 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 0 คน
Lovers  4 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ