11 พฤษภาคม 2558 00:47 น.
คีตากะ
ปราศรัยโดยท่าน Suma Ching Hai, ฟอร์โมซา
๑๙ กุมภาพันธ์ ๑๙๙๕ (เดิมเป็นภาษาจีน)
ครั้งหนึ่ง ขณะที่ขโมยคนหนึ่งกำลังพยายามจะขโมยของในพระราชวัง เขาก็แอบได้ยินการสนทนากันระหว่างขันทีสองคนว่า “พระราชาของเราอยากจะให้เจ้าหญิงแต่งงานกับนักบวชที่กำลังบำเพ็ญอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา เรื่องนี้เธอคิดว่าอย่างไร?”
ขันทีอีกคนก็พูดว่า “ก็ดีนี่! ดีแล้ว! เจ้าหญิงเป็นบุคคลที่มีค่ามากที่สุดในประเทศนี้ และพวกนักบวชที่กำลังบำเพ็ญอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาก็เป็นบุคคลที่หาได้ยาก, มีคุณธรรม และประเสริฐสูงส่งในโลกนี้เช่นกัน ฉันก็ย่อมจะยินดีและเห็นด้วยกับความคิดนี้เป็นธรรมดา!” พอได้ยินคำพูดเหล่านี้เข้า ขโมยคนนั้นก็เลิกล้มความคิดที่จะลักขโมย แล้วก็แอบหลบกลับไปเป็นนักบวชแทน (มีเสียงหัวเราะ)
เขารีบโกนผมแล้วก็ใส่ชุดนักบวชแล้วก็ไปนั่งสมาธิปะปนกับนักบวชเหล่านั้น หวังใจว่าเจ้าหญิงจะกลายมาเป็นภรรยาของตน
หลายวันต่อมา พระราชาก็ส่งขันทีไปยังชายฝั่งแม่น้ำคงคาจริงๆ เพื่อถามนักบวชเหล่านั้นว่าอยากแต่งงานกับเจ้าหญิงหรือไม่ โดยถามไปทีละคน พอได้รับคำตอบปฏิเสธก็ถามคนต่อไปเรื่อยๆ
พวกนักบวชเป็นผู้บำเพ็ญที่ดี และไม่สนใจอะไรในตัวเจ้าหญิง ดังนั้นทุกคนจึงปฏิเสธกันหมด มีขโมยคนนั้นคนเดียวที่ยังไม่ได้ถูกถาม กำลังนั่งใจเต้นตุ้บๆ แทบจะบ้าอยู่แล้ว ในใจเขาส่งเสียงร้องโหวกเหวกอยู่ว่า ฉันอยู่ที่นี่! มาถามฉันเร็วๆ เข้าซี (มีเสียงหัวเราะ) ในที่สุดขันทีก็เข้าไปถามเขา พอขันทีคนนั้นถามเขา เขาก็นั่งเงียบเฉยอยู่ (มีเสียงหัวเราะ) ไม่พูดอะไรเลยสักคำ คนอื่นๆ ทุกคนบอกว่าเขาไม่ต้องการจะแต่งงานกับเจ้าหญิง แต่เขาไม่พูดอะไรเลย มันก็แตกต่างกันมากอยู่แล้ว
ขันทีก็ดีใจมากไปรายงานให้พระราชาทราบว่า “มีนักบวชที่บำเพ็ญอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาคนหนึ่งดูเหมือนกับคิดว่าจะแต่งงานกับเจ้าหญิงเหมือนกัน คือเราถามเขาแล้วเขาไม่ได้ปฏิเสธ ซึ่งก็หมายความว่าเขายินยอมถึง ๙๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว เพียงแต่ว่าเขายังไม่ได้ตัดสินใจพูดออกมาว่ายินยอมด้วยจริงๆ เท่านั้นเอง ในระหว่างนักบวชทั้งหมดที่เราถามดูแล้ว มีเขาคนเดียวที่ไม่ได้ตอบปฏิเสธ”
ด้วยความยินดีกับข่าวดีนี้มาก พระราชาก็คิดว่าพระองค์ควรจะไปด้วยตัวเองและก็เอาของขวัญบรรณาการไปให้เยอะๆ แล้วนักบวชนั้นก็จะยอมแต่งงานกับเจ้าหญิงแน่นอน
พระราชาจึงพาแม่ทัพนายกองและเสนาบดีทั้งหมดของพระองค์รวมทั้งขันทีด้วย เดินทางไปยังแม่น้ำคงคาที่ขโมยกำลังนั่งสมาธิอยู่ แล้วพระองค์ก็ขอร้อง “นักบวช” นั้นด้วยความเคารพยกย่องมากให้แต่งงานกับเจ้าหญิง เนื่องจากพระราชาก็บำเพ็ญปฏิบัติเช่นเดียวกัน ดังนั้นพระราชาจึงไม่อยากให้เจ้าหญิงแต่งงานกับคนธรรมดาทั่วไป พระราชาอยากให้พระธิดา แต่งงานกับผู้บำเพ็ญมากกว่า เพื่อที่เธอจะได้บำเพ็ญไปด้วยพร้อมกับสามีที่ดี, ครูที่ดี พระราชาจะพอใจมากที่ได้ลูกเขยที่สามารถสอนวิธีทำสมาธิและวิธีเป็นคนที่มีคุณธรรมแก่เจ้าหญิงได้ ดังนั้นพอได้ยินว่ามีผู้บำเพ็ญคนหนึ่งที่กำลังบำเพ็ญสมาธิอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาจะยอมแต่งงานกับเจ้าหญิงพระองค์จึงดีใจมาก ก้มกราบแสดงความเคารพเขาอย่างยกย่องมาก และขอให้เขาแต่งงานกับพระธิดา
ขโมยคนนั้นรู้สึกพึงพอใจมากแต่แล้วเขาก็คิดขึ้นมาว่า ฉันเพิ่งจะโกนผมแล้วก็แต่งตัวชุดนักบวชปลอมตัวเป็นนักบวชผู้บำเพ็ญมาไม่นานเอง แต่พระราชากับเสนาบดีของพระองค์ทุกคนยังปฏิบัติต่อฉันอย่างเคารพนับถือมากขนาดนี้ แล้วก็เสนอทรัพย์สมบัติมีค่ามากมายให้แก่ฉันด้วย ฉันนึกไม่ออกเลยว่ามันจะเป็นไปได้ขนาดไหนถ้าฉันจะกลายเป็นนักบวชจริงๆ เป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่งจริงๆ! ”
หลังจากนั่งคิดพิจารณาดูแล้ว เขาก็ไม่อยากจะแต่งงานกับเจ้าหญิงอีกต่อไป! (มีเสียงหัวเราะ) เขากลับเริ่มต้นบำเพ็ญอย่างเอาจริงเอาจังแทน ตอนแรกเป็นการแกล้งทำ แต่ตอนนี้เขากลายเป็นนักบวชจริงๆ คนหนึ่งไปแล้วเพราะเขาได้รู้ได้เข้าใจถึงประโยชน์ของการบำเพ็ญแล้ว นับแต่นั้นมา ขโมยคนนั้นก็นั่งสมาธิและบำเพ็ญอย่างจริงใจมาก จนในที่สุดเขาก็ได้รู้แจ้งและกลายเป็นพุทธะ เป็นผู้บำเพ็ญที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง...
ฺBe Veg, Go Green 2 Save The Plane
16 เมษายน 2554 02:43 น.
คีตากะ
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ที่ซีหู ฟอร์โมซา
วันที่ ๒๑/๗/๒๕๓๔ (ต้นฉบับเป็นภาษาจีน รหัสวีดีโอ# !๑๘๓
ที่อินเดียมีนิทานเรื่องหนึ่ง มีมหาอาจารย์ท่านหนึ่งบอกให้ลูกศิษย์ปล่อยวางทางโลกเพื่อมาออกบวชกับท่าน แต่ว่าลูกศิษย์กล่าวว่าภรรยา มารดากับบิดา รวมทั้งพี่น้อง ต่างก็รักเขามาก เขาไม่สามารถปล่อยวางได้ ถ้าหากเขาจากไป คนในครอบครัวจะต้องทุกข์ทรมานมาก ทนไม่ไหว อาจารย์ของเขาจึงกล่าวว่า “ดีแล้ว อาจารย์จะทำให้เจ้าทราบว่า คนในครอบครัวของเจ้ารักเจ้ามากแค่ไหน”
ทั้งสองพากันมาถึงที่บ้านลูกศิษย์ อาจารย์ให้ยาเม็ดลูกศิษย์เม็ดหนึ่ง แล้วตนเองทำเป็นคนอื่น แอบอยู่ข้างนอก ลูกศิษย์หลังจากรับประทานยาเม็ดเข้าไปแล้ว ก็เหมือนกับคนที่ตายแล้ว ลมหายใจไม่มี หัวใจก็หยุดเต้น ทั้งตัวเย็นเฉียบแข็งทื่อ คนในครอบครัวเห็นแล้วต่างร้องไห้โวยวายและขอให้พระโพธิสัตว์ช่วยให้เขาคืนชีพ แต่ก็ไม่มีประโยชน์
ทันใดนั้น อาจารย์ท่านนั้นเดินเข้ามาในบ้านและพูดกับพวกเขาว่า “ข้าพเจ้าสามารถช่วยญาติของท่านได้” พวกเขาฟังแล้วก็ดีใจ ต่างก้มกราบอาจารย์ ขอให้อาจารย์ช่วยชีวิตเขา อาจารย์ท่านนั้นจึงกล่าวว่า “แต่ต้องมีเงื่อนไข ขณะที่ข้าพเจ้าช่วยเขา ต้องมีคนคนหนึ่งมาตายแทนเขา เพราะกฎแห่งกรรมเป็นเช่นนี้ ถ้าข้าพเจ้าช่วยชีวิตเขา ข้าพเจ้าก็ต้องตายแทนเขา แต่ว่า ข้าพเจ้าไม่มีความสัมพันธ์กับเขาเลย! เขาเป็นญาติของพวกท่าน พวกท่านรักเขาเช่นนี้ จะต้องยินดีที่จะตายแทนเขาได้! ข้าพเจ้าเป็นเพียงผู้คนที่ผ่านมาข้าพเจ้าจะตายแทนเขาได้อย่างไร? ดังนั้น ขณะนี้พวกท่านมีใครจะตายแทนเขาได้ ข้าพเจ้าก็จะเรียกวิญญาณของเขากลับมาทันที เพราะเราไม่สามารถอยู่เหนือกฎแห่งกรรมได้ จะต้องมีการแลกเปลี่ยนจึงจะได้”
ขณะนั้นญาติของเขาไม่มีใครยอมตายแทนเขา ทุกคนต่างมีข้ออ้างดีๆ ทุกคน เป็นต้นว่า “ข้าพเจ้าตายแล้ว ใครจะดูแลบ้านนี้?” “ข้าพเจ้าตายแล้ว ใครจะดูแลการค้า?” ภรรยาของลูกศิษย์ แม้จะรักเขามาก เมื่อเห็นเขาตาย ร้องไห้เหมือนจะขาดใจ กลิ้งอยู่กับพื้น แต่ก็พูดว่า “ไม่ได้ ไม่ได้! ถ้าข้าพเจ้าตาย ก็ไม่มีใครดูแลลูกสาวและลูกชาย ๒ คน” แล้วทุกคนก็พูดว่า “เอาละ! ถ้าเช่นนั้นคนเมื่อตายไปแล้วก็แล้วกันไป! พวกเราเอาเขาไปเผาก็แล้วกัน” ลูกศิษย์ได้ยินแล้ว รีบลุกขึ้นมาทันทีและพูดว่า “ข้าพเจ้ายังไม่ตาย!” และเขาก็กล่าวอำลาคนในครอบครัวแล้วไปกับอาจารย์ของเขา
นิทานชนิดนี้มีมากมาย บางครั้งเรารักใครคนหนึ่งหรือว่า ใครจะรักใคร ต่างมีจุดบกพร่อง ปกติเราจะไม่รักใครจนลืมตนเองถึงกับยอมตายแทนคนคนนั้น ดังนั้นมีบางเรื่องถ้าหากเรามิได้ประสบด้วยตนเอง ก็จะไม่ทราบความจริง พวกเราดูแต่ภายนอก มันไม่ถูกต้อง
ถ้าเรายังอาลัยอะไรที่อยู่ในโลกนี้ มันล้วนแต่ไม่จีรังยั่งยืนทั้งสิ้น ทางที่ดีเราอย่ากลับมาใหม่ เพราะไม่ว่าเราจะอาลัยเพียงใด อีกไม่นานก็ต้องจากไปเช่นกัน ดังนั้นทางที่ดีก่อนจะจากไป เราควรเตรียมตัวไว้ก่อน เมื่อจากไปแล้วก็ไปเลย มิเช่นนั้น กลับมาอีกครั้งก็ต้องมาอาลัยอีก ต้องมาผูกมัดกันอีก อีกสักครู่ก็ต้องจากไปอีก แล้วเมื่อนั้นญาติของเราก็ต้องมาทุกข์ทรมานมาก ดังนั้นเราจงจากไปเพียงครั้งเดียวก็พอ แล้วไม่ต้องกลับมาสร้างความยุ่งยากให้กับผู้อื่น มันก็เป็นการกตัญญูอีกแบบหนึ่ง พวกเธอเห็นด้วยหรือเปล่า? (ทุกคนตอบ : เห็นด้วย)
ระหว่างสามีภรรยาก็เช่นกัน อีกสักครู่ต่างคนก็ต่างไป ในเมื่อเวลาจากกัน ต่างก็อาลัยต่อกันและทุกข์ทรมานมาก ก็ไม่ต้องมาซ้ำอีก ดังนั้นเราควรจะมีจิตใจที่เตรียมพร้อมและพร้อมที่จะจากไปเลย อย่ากลับมาแสดงเรื่องที่กลุ้มใจ มิฉะนั้นเราจะเป็นทุกข์ ฝ่ายตรงข้ามก็จะเป็นทุกข์ มีประโยชน์อะไรหรือ?
ฺBe Veg , Go Green 2 Save The Plane
15 เมษายน 2554 09:41 น.
คีตากะ
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
ผิงตง, ฟอร์โมซา
๑๑ เมษายน ๒๕๓๒
(ต้นฉบับเป็นภาษาจีน)
คนเป็นจำนวนมากมีศรัทธาแรงกล้าในตัวฉัน พวกเขาบูชาฉัน พวกเขาเข้าใจคำสอนของฉันเข้าไปถึงหัวใจ พวกเขารู้และเชื่อในสิ่งที่ฉันพูด พวกเขาคิดว่ามันเป็นการดีพอแล้วในการนำรูปถ่ายของฉันกลับไปบ้านและบูชามัน หรือนำหนังสือ ๓ เล่มของฉันกลับไปบ้านและอ่านภายใน ๒ คืน แล้วพวกเขาก็หยิ่งยโสและถือว่าเป็นลูกศิษย์ของฉัน มันจะง่ายดายอย่างนั้นได้หรือ? เมื่อคนขอให้พวกเขารับการประทับจิต พวกเขาก็พูดว่า “เพื่ออะไรกัน? ฉันมีความจริงใจมากกว่าเธอเสียอีก! ฉันมีศรัทธาในตัวท่านอาจารย์มากกว่าเธอเสียอีก! “ พวกเขาคิดว่ามันพอแล้ว
มันไม่เหมือนกันหรอก พวกเขาเหมือนกับเด็กๆ ที่ไม่เคยแต่งงาน พวกเขารู้ทฤษฎีแต่ไม่มีประสบการณ์จริง แม้กระทั่งผู้ใหญ่รุ่นเยาว์ซึ่งรู้มากกว่าเด็กๆ ก็ยังไม่เข้าใจว่าความสุขและความทุกข์ในการแต่งงานนั้นเป็นอย่างไร เพราะพวกเขายังเป็นโสดอยู่ ในทำนองเดียวกัน เราได้อ่านจากคัมภีร์ต่างๆ ถึงเรื่องที่ว่าสาวกของพระศากยมุนีพุทธเจ้าและพระเยซูคริสต์ได้เห็นแสงได้ยินเสียงดนตรี ได้เห็นพุทธะหรือพระเจ้าและมีประสบการณ์ในสวรรค์ชั้นที่ ๓, ดุสิต สวรรค์ชั้นที่ ๔ , และสรวงสวรรค์ที่พิเศษอื่นๆ อีกมากมาย เราเคยได้ยินเกี่ยวกับโพธิสัตว์ระดับ ๘, พระอรหันต์, พระโสดาบัน แต่เราไม่รู้ว่าพระโสดาบันคืออะไร หรือบุคคลคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไรหลังจากที่ได้บรรลุระดับโสดาบันหรือระดับอรหันต์ เขาได้รับอะไรข้างใน? เขาคิดอย่างไรและเขาได้เห็นอะไร? เขามีพลังหรือมีปัญญาที่แตกต่างจากพวกเราหรือซึ่งทำให้พวกเขาได้รับการเคารพยกย่องว่าเป็นพระอรหันต์?
สมมุติว่าในโลกนี้มีบุคคล ๒ คนซึ่งดูแล้วเหมือนๆ กัน แต่คนหนึ่งเรียนวิทยาศาสตร์ และอีกคนหนึ่งเรียนวิชาช่างไม้ แน่นอน พวกเขาแตกต่างกัน ช่างไม้รู้ว่าหมอนั้นมีอาชีพที่ดีมากและมีสติปัญญาฉลาดเฉลียวและสามารถช่วยชีวิตคนได้และอื่นๆ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำหน้าที่หมอได้อย่างไร เขาไม่รู้ว่าภายในของหมอนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ว่าหมอนั้นช่วยชีวิตคนได้อย่างไร ว่าหมอนั้นวินิจฉัยคนไข้ของเขาได้อย่างไรโดยเพียงแค่มองดูคนไข้ หรือว่าหมอรู้ว่าคนไข้นั้นป่วยหนักได้อย่างไรโดยเพียงแค่คลำชีพจรของคนไข้ ช่างไม้ทำแบบนั้นไม่ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะเรียกหมอว่าหมอทำไม? เขามีความเชี่ยวชาญและมีความรู้ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากความรู้ของช่างไม้ เราไม่สามารถพูดว่าการตัดต้นไม้ก็เหมือนกับการผ่าตัดช่องท้อง เพียงเพราะว่าการกระทำทั้ง ๒ อย่างนั้นใช้เครื่องมือที่มีคม มันไม่เหมือนกัน! งานหนึ่งเกี่ยวข้องกับต้นไม้ อีกงานหนึ่งเกี่ยวข้องกับมนุษย์ ต้นไม้นั้นไม่ซับซ้อน แต่ภายในร่างกายมนุษย์มีอวัยวะมากมายที่จะต้องจัดการอย่างระมัดระวัง การผ่าตัดศัลยกรรมไม่ใช่เป็นเพียงการผ่าง่ายๆ ด้วยมีด!
ในทำนองเดียวกัน คนเป็นจำนวนมากที่สามารถอ่าน ท่อง และอธิบายคัมภีร์ต่างๆ ได้ พวกเขาสามารถบอกได้ว่าคัมภีร์นั้นได้ถูกเขียนขึ้นเมื่อไร ได้ถูกเขียนขึ้นโดยใครและความหมายที่อยู่ในคัมภีร์นั้น อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้เข้าใจอย่างแท้จริง เพราะพวกเขาไม่มีประสบการณ์ พวกเขาไม่มีประสบการณ์ในการเป็นพระอรหันต์, เป็นโพธิสัตว์ระดับ ๘, เป็นโพธิสัตว์ระดับ ๑๐ , เป็นพุทธะ, หรือแม้กระทั่งระดับเบื้องต้นที่สุดคือระดับโสดาบัน, สาวกหรือปัจเจกพุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องบำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม มิฉะนั้นแล้วเราจะต้องมาลำบากฝึกฝนทางด้านจิตวิญญาณทำไม?
ผู้คนดีใจที่ได้ยินว่าทุกคนมีธรรมชาติพุทธะ พวกเขาคิดว่าแค่นี้ก็พอแล้ว ไม่ใช่เลย! เราไม่รู้ว่าธรรมชาติแห่งพุทธะนั้นคืออะไร เราจะต้องบำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมเพื่อที่จะตระหนักถึงธรรมชาติแห่งพุทธะหรืออรหันตผล เพื่อที่จะรู้ว่าเรารู้สึกอย่างไร เราจะได้รับพลังหรืออำนาจอะไร หรือเราจะช่วยคนได้ถึงจุดไหนเมื่อเราได้บรรลุระดับของโพธิสัตว์ระดับ ๘ เป็นแบบเดียวกันสำหรับการเป็นหมอ ยิ่งเขาเรียนมากเท่าไร เขาก็จะยิ่งสามารถช่วยชีวิตคนได้มากเท่านั้นและยิ่งเขาฝึกฝนมากเท่าไร เขาก็จะมีประสบการณ์มากขึ้นเท่านั้น หมอบางคนไม่จำเป็นต้องสัมผัสชีพจรของเธอเลยด้วยซ้ำ เขาสามารถบอกได้ว่าเธอป่วยเป็นอะไรเพียงแค่มองดูเธอ
อาจารย์ผู้รู้แจ้งช่วยจัดการกรรมให้เรา
การฝึกฝนทางด้านจิตวิญญาณก็เป็นแบบเดียวกัน ผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณมากมายไม่จำเป็นต้องตรวจสอบชะตากรรมของเราเพื่อที่จะช่วยเรา เราไม่จำเป็นต้องแสดงประวัติบรรพบุรุษของเราให้พวกเขาทราบ หรือบอกพวกเขาว่าเราเคยบำเพ็ญวิถีอะไรมาก่อน หรือเล่าให้พวกเขาฟังว่าเราเคยทำความดีความชั่วอะไรมา เราไม่จำเป็นต้องพูดอะไรสักคำ พวกเขาจะทราบทุกสิ่งทุกอย่างโดยเพียงแค่ชำเลืองมองดูเรา พวกเขาจะทราบทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเรา นับตั้งแต่ตอนที่เราลงมายังโลกนี้เป็นครั้งแรก ทราบการกระทำทุกอย่างของเราในชาติก่อนๆ และเราเคยเป็นสัตว์ป่า, พระราชา, มนุษย์, ข้าราชการ, ผู้ชาย, หรือผู้หญิงมาหรือเปล่า แบบนี้พวกเขาจึงจะสามารถจัดการกับตาข่ายกรรมอันซับซ้อนนั้นให้กับเราได้ คนที่สามารถทำนายโชคชะตาก็นับว่าเก่งแล้ว แต่พวกเขาสามารถบอกให้เราทราบเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมาเท่านั้น หรืออย่างมากที่สุดอดีตที่ผ่านมา ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ ปี นั่นไม่เห็นมีอะไรเลย พวกเขาไม่สามารถอ่านกรรมที่ได้สะสมในอดีตชาติทั้งหมดของเรา
ในเวลาประทับจิต ฉันได้แนะนำเธอว่าเราควรละเว้นจากการใช้พลังอิทธิปาฏิหาริย์ เพราะมันไม่สำคัญแม้แต่นิดเดียวและมันมีขีดจำกัดมาก คนที่สามารถอ่านอดีตชาติ สามารถย้อนรอยกรรมที่คนได้สะสมในอดีตอย่างมากที่สุดก็ ๒๐๐-๓๐๐ ปีหรือ ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ ปี พวกเขาไม่สามารถมองเห็นไปถึงเวลาแรกเริ่มสุดเมื่ออะตอมถูกแปรเปลี่ยนเป็นสรรพสัตว์ และเขาหรือหล่อนได้ผ่านการเวียนว่ายตายเกิดนับพันๆ ล้านปีอย่างไร มีเพียงพุทธะหรืออาจารย์ผู้รู้แจ้งเท่านั้นที่สามารถอ่านประวัติบุคคลเช่นนั้นได้ อาจารย์เช่นว่านี้เท่านั้นที่มีอำนาจ(เสียงปรบมือ) บันทึกกรรมถูกเก็บไว้ในสถานที่พิเศษแห่งหนึ่งซึ่งมนุษย์ธรรมดา หมอดูระดับปานกลาง และคนที่มีความสามารถอ่านอดีตชาติเข้าไปไม่ได้ คนเหล่านี้ไม่มีบัตรประจำตัว! อาจารย์ผู้รู้แจ้งชั้นสูงที่เกี่ยวข้องกับสถานที่เหล่านี้เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้ หมอดูไม่สามารถบอกสิ่งที่อยู่ในบันทึกเหล่านี้ได้ แม้ว่าถ้าพวกเขารู้ พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้
ยกตัวอย่าง หมอดูบางคนอาจจะช่วยเปลี่ยนแปลงกรรมปัจจุบันของเราได้บ้างนิดหน่อย พวกเขาอาจจะบอกเราว่า “โอ! คุณนายหวัง เธอกำลังถูกครอบงำด้วยพลังทางลบ! มีบางอย่างที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับฮวงจุ้ยในบ้านของเธอ ให้รีบจัดการย้ายตำแหน่งทิศทางบ้านของเธอ แล้วทุกอย่างก็จะดีเอง! เธอควรที่จะทำบุญด้วยเพื่อที่จะได้รับพระพรหรือผลประโยชน์ในอนาคต” บางครั้งก็ทำแบบนั้นได้ เพราะบุคคลคนนั้นสามารถอ่านกรรมที่เราได้ก่อขึ้นในชาติก่อนของเรา ซึ่งทำให้เราตกอยู่ในมุมมืดในขณะนี้ เขาสามารถมองเห็นมันได้ และเขาสามารถช่วยเราคลายปมกรรมที่หลงเหลือมาจากชาติก่อน อย่างไรก็ตาม บางครั้งกรรมของเราอาจจะได้ก่อขึ้นเมื่อนานมาแล้วหลายพันปีก่อน และผลแห่งกรรมนั้นยังไม่สุกงอม ดังนั้นแม้ถ้าหมอดูจะทราบเรื่องนี้ พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ที่จะช่วยเราให้หลุดพ้นจากกฎแห่งกรรมอันไม่พึงปรารถนานี้ พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้
มีเพียงอาจารย์ผู้รู้แจ้งเท่านั้นที่สามารถเข้าไปยังสถานที่เหล่านี้ซึ่งบันทึกที่สมบูรณ์ได้ถูกเก็บรักษาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มันเป็นงานของอาจารย์เหล่านี้ที่จะล้างกรรมเก่าๆ ให้หมดไปอย่างสิ้นเชิง มิฉะนั้นแล้วก็จะเป็นการไร้ประโยชน์ที่เราจะบำเพ็ญทางจิตวิญญาณเพื่อการหลุดพ้น จะต้องใช้เวลาเป็นพันกัปพันกัลป์ที่จะลบล้างกรรมทั้งหมด! กระนั้นก็ดี มันก็ยังไม่ถูกลบล้างไปโดยสมบูรณ์ ทำไม? เพราะแต่ละครั้งที่เรากลับมา เราก็จะสร้างกรรมใหม่ขึ้นมาและถูกผูกมัดอีก ก่อนที่เราจะสามารถล้างกรรมที่เราได้สะสมมาออกไปอย่างสมบูณณ์ เราก็จะรับเอากรรมใหม่ๆ เข้ามามากขึ้น ไม่มีหมอดูหรือบุคคลใดที่มีพลังเหนือธรรมชาติหรือมีความสามารถที่จะอ่านอดีตชาติจะสามารถเข้าไปยังสถานที่เหล่านี้ เพราะเขาไม่มีพลัง เขาไม่สามารถทำอะไรที่จะช่วยลูกค้าของเขาให้จัดการกับกรรมที่มีอายุเก่าแก่นี้ได้ เนื่องจากว่าอาจารย์ผู้รู้แจ้งมีพลังสุดประมาณจึงสามารถชำระล้างกรรมทั้งหมดในชาติก่อนๆ ของเราได้ในชั่วพริบตา พลังของพวกท่านนั้นเหลือเชื่อ! ถ้าเราไม่มีโอกาสที่จะได้พบอาจารย์เหล่านี้ ไม่ว่าเราจะได้รางวัลพระพรมากเท่าไร ก็จะไม่เพียงพอ เพราะกรรมของเรานั้นหนักหนาเกินไปและผลกรรมชั่วของเราก็มีมากมายเกินไป! ไม่ว่าเราจะขยันบูชาพุทธะเพียงไร ก็จะไม่มีวันพอ เราอาจจะศึกษาคัมภีร์ทั้งหมด แต่มันก็ยังไม่สามารถเปิดปัญญาของเราได้ เพราะเราถูกห่อหุ้มไปด้วยเมฆอันดำมืดแห่งกรรมจากชาติก่อนๆ ของเรา เราอาจจะอ่านคัมภีร์ต่างๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่เราก็จะยังคงเป็นเหมือนคนตาบอด! แม้ว่าคัมภีร์เหล่านี้จะเขียนไว้อย่างชัดเจนมาก เราก็ไม่อาจที่จะเข้าใจความหมายได้ เพราะเราตาบอดด้วยขยะและกรรม
ความแตกต่างระหว่างผู้ประทับจิตและผู้ไม่ประทับจิต
มีคนเป็นจำนวนมากคิดว่าเป็นการดีพอแล้วเพียงแค่เชื่อในตัวอาจารย์ แต่ไม่ใช่เลย! เธอจะต้องเต็มใจให้ฉันชำระล้างเธอให้สะอาด ฉันทำไม่ได้ถ้าเธอไม่เต็มใจ เพราะว่ามันเป็นบ้านของเธอ ถ้าหากเธอตั้งใจที่เกาะติดกับขยะของเธออย่างเหนียวแน่น ก็ไม่มีใครสามารถเอามันไปจากเธอได้ นับว่ามีประโยชน์ในระดับหนึ่งสำหรับคนที่มีศรัทธาในตัวฉัน อ่านหนังสือของฉันหรือบูชารูปถ่ายของฉัน มันชำระล้างพวกเขาจากภายนอก แต่ไม่ใช่จากภายใน ผู้ที่รับการประทับจิตได้ยอมให้ฉันทำความสะอาดพวกเขาจากภายในออกสู่ภายนอก ในขณะที่ผู้ที่ไม่ได้รับการประทับจิต ซึ่งมีศรัทธาและอ่านหนังสือ จะได้รับการชำระล้างเพียงแค่ภายนอกเท่านั้น ตัวเราคนเดียวไม่สามารถจัดการกับกรรมที่เราได้สะสมมาเป็นเวลาหลายชาติ มีขยะมากเกินไปและเป็นเวลายาวนานมาแล้วที่มันไม่ได้ถูกกำจัดออกไป ชีวิตแล้วชีวิตเล่า เราได้เก็บรวบรวมฝุ่นที่ไม่เป็นที่ปรารถนาไว้มากเกินไป จะต้องให้คนที่มีประสบการณ์มากกว่าซึ่งรู้ว่าจะจัดการกับขยะอย่างไรให้เข้าไปในบ้านของเราและกำจัดฝุ่นออกไปให้หมดจด บ้านบางหลังก็เก่ามากจนถึงกับจำเป็นที่จะต้องทำเพดานใหม่ ทาสีผนังใหม่และเอาพรมออกเพื่อทำความสะอาด จะต้องทำความสะอาดทุกซอกทุกมุม ทำพื้นใหม่ และทาสีผนังใหม่ ก่อนที่บ้านนั้นจะใช้อยู่อาศัยได้ ในทำนองเดียวกัน บ้านที่อยู่ข้างในของเรา จิตตัวนี้ของเราก็เต็มไปด้วยฝุ่นเช่นกัน พื้นก็พังแล้ว ความคิดทางด้านคุณธรรมของเราและอุดมการณ์อันสูงส่งของเราก็ได้เสื่อมถอยลง เหลือแต่ความคิดทางโลกเท่านั้น และความโลภ โกรธ หลงที่ติดเป็นนิสัย เราไม่สามารถจัดการมันด้วยตัวเราคนเดียวได้ สำหรับผู้ที่ได้รับการประทับจิต อาจารย์จะเข้าไปทำความสะอาดข้างในอย่างหมดจด
มีคนเป็นจำนวนมากที่มีความคิดผิดๆ ว่าเป็นการพอเพียงแล้วในการนำรูปถ่ายของฉันกลับไปบูชาที่บ้าน นิสัยในการบูชาของพวกเขานั้นฝั่งรากลึก เขาบูชาพระแม่ธรณีและแม้กระทั่งรุกขเทวดา เมื่อพวกเขาทราบถึงพลังของฉัน พวกเขาก็นำรูปถ่ายของฉันกลับไปบูชาที่บ้านด้วยเหมือนกัน แบบนั้นก็มีประโยชน์ แต่เป็นเพียงแค่ภายนอกเท่านั้น ฉันได้ทำการเปรียบเทียบให้ฟังอย่างชัดเจนมากแล้วเมื่อสักครู่นี้ เพราะฉะนั้นถ้าเราปรารถนาการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดจริงๆ และต้องการที่จะกำจัดจุดที่สกปรกของเราออกไปแล้วละก็ มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น นั่นก็คือการรับการประทับจิต เพราะฉะนั้นขออย่าได้ถูกชักจูงไปผิดๆ ในเรื่องนี้ ฉันได้พบว่ามีคนเป็นจำนวนมากที่มีความคิดผิดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ นับว่าน่าเสียดายมาก ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่มีศรัทธาในตัวฉัน แต่เพราะพวกเขาเข้าใจผิด
เพราะฉะนั้นในวันนี้ฉันจึงได้เน้นเป็นพิเศษในจุดนี้ เพื่อให้ความกระจ่างแก่พวกเธอ (เสียงปรบมือ) ฉันไม่ได้พยายามที่จะบังคับเธอให้รับการประทับจิต ฉันเพียงแค่ต้องการให้พวกเธอที่ถูกชักนำไปผิดๆ ให้เข้าใจถึงความแตกต่างที่สำคัญระหว่างการประทับจิตและการไม่ประทับจิต!
แม้กระทั่งคนที่ไม่มีศรัทธาแรงกล้าในตัวฉัน หลังจากที่ได้รับการประทับจิตไปแล้วก็ยังดีกว่าผู้ที่เชื่อฉันแต่ไม่รับการประทับจิต มันก็เหมือนกับการรักคนคนหนึ่งอย่างมากโดยที่ไม่ได้แต่งงานกับเขา จะมีประโยชน์อะไรกัน? เรื่องนี้แตกต่างกับเรื่องที่การไม่รักคนคนหนึ่งเท่าไรนัก แต่ใช้ชีวิตอยู่กับเขาหรือหล่อนทุกๆ วัน มีประสบการณ์ของการแต่งงานและมีความสุขด้วยกัน นับว่ามีความแตกต่างอย่างมาก! จริงหรือเปล่า? ถ้าหากเธอรักผู้หญิงคนหนึ่ง เธอจะอยากที่จะรักเขาจากข้างนอกประตูของเขาทุกๆ วันหรืออยากที่จะแต่งงานกับเขา? (แต่งงานกับเขา) ใช่แล้ว! เพราะฉะนั้นอย่ามาบอกฉันว่าแค่รักผู้หญิงก็ดีพอแล้วว่า เธอรักหล่อนมากกว่าคู่รักของหล่อน จะมีประโยชน์อะไรในการรักหล่อนมากกว่าคู่รักของหล่อน จะมีประโยชน์อะไรในการรักหล่อนมาก ถ้าเธออยู่ไกลจากกัน? ถ้าหากเธอต้องการหล่อนจริงๆ แล้วละก็แต่งงานกับหล่อนเสีย เธอควรที่จะรับการประทับจิตถ้าหากเธอต้องการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ต้องการได้รับความช่วยเหลืออย่างแท้จริงจากอาจารย์และได้รับประโยชน์จากพลังพระพรอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่มีอยู่!
ท่านที่มีความสนใจประทับจิตเข้าสู่ธรรมวิถีกวนอิมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่
สมาคมนานาชาติอนุตราจารย์ชิงไห่
ศูนย์กรุงเทพ
537/191-192 ซอยสาธุประดิษฐ์ 37 ถนนสาธุประดิษฐ์
แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กทม. 10120
โทรศัพท์ 02-682-0015 โทรสาร 02-682-0014
รถเมล์ที่ผ่านหน้าซอย สาย 35, 62, สองแถวแดง สาย 1279 (วัดดอกไม้)
www.SupremeMasterTV.com
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
เป็นมังสวิรัติเพื่อช่วยโลกของเรา
13 เมษายน 2554 15:38 น.
คีตากะ
การเตือนภัยในครั้งนี้เกิดจากเจตนาดีของผู้ปฏิบัติธรรมกลุ่มหนึ่ง โปรดใช้วิจารณะญาณในการรับชมรับฟังและไม่ควรเกิดความตื่นตระหนก แต่ควรเตรียมพร้อมเท่าที่จะทำได้ ควรรอดูสถานการณ์ ติดตามข่าวสารให้แจ้งชัดก่อนเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจต่อไปด้วยความรอบคอบและไม่ประมาท....
สำนักสงฆ์ป่าถ้ำธารน้ำลอด หมู่ที่ ๙
ตำบลทุ่งระยะ อำเภอสวี จังหวัดชุมพร
๑๖ มีนาคม ๒๕๕๔
เรื่อง แจ้งเตือนเตรียมรับมือภัยพิบัติแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์ซึนามิ
เจริญพร ท่านผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ
อาตมาภาพ พระภิกษุกัมมัฏฐาน ปวตฺตโน มีความประสงค์จะแจ้งเตือนภัยพิบัติอันเป็นผลกระทบจากแผ่นดินไหวที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดของท่าน เนื่องด้วยแหล่งข่าวไกล้ชิดของอาตมาภาพที่มีความแม่นยำและความน่าเชื่อถือสูงในวงของผู้ปฏิบัติสมาธิภาวนา ได้แจ้งเตือนภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ ทั้งในและต่างประเทศ
กับอาตมาภาพไว้ตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ไว้คือ
- จะเกิดแผ่นดินไหวแถบเทือกเขาตะนาวศรี จังหวัดราชบุรี ราว ๆ กลางปี ๒๕๕๔ จะส่งผลต่อชีวิตและทรัพย์สิน ของประชาชนในจังหวัดราชบุรีเป็นวงกว้าง
- จะเกิดแผ่นดินไหวที่กรุงเวียงจันทร์ ประเทศลาว (เกิดขึ้นจริงแล้ว)
- จะเกิดแผ่นไหว และเกิดซึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น (เกิดขึ้นจริงแล้ว)
- จะเกิดแผ่นดินไหวและแผ่นดินยุบตัวที่จังหวัดเชียงใหม่ (จะเกิดก่อนเดือนมิถุนายน และจะเป็นข่าวใหญ่)
- *** จะเกิดแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์ซึนามิ ส่งผลกระทบในพื้นที่ภาคใต้ ๓ ระลอก ภายในปี ๒๕๕๔ นี้ คือ
ระลอกที่ ๑ ช่วงวันที่ ๔ - ๑๕ มิถุนายน ๕๔
โดยจะเกิดแผ่นดินไหวแถบทะเลอันดามันประเทศอินโดนีเซีย ประมาณ ๕ ทุ่ม และเกิดคลื่นยักษ์ซึนามิที่มีความรุนแรงมากกว่าปี ๔๗ คลื่นเดินทางถึงชายฝั่งประเทศไทย เวลา ตี ๒ ๕๐ นาที จังหวัดที่ได้รับการปะทะโดยตรงจากคลื่นซึนามิ ในระลอกแรก
๑.กระบี่
๒.ตรัง
๓.สตูล
๔.ภูเก็ต
๕.พังงา
๖.ระนอง
จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวโดยเกิดแผ่นดินถล่ม,ยุบตัวและน้ำที่ดันขึ้นมาจากโพรงใต้ดิน (โพรงหรืออุโมงค์ใต้ดินขนาดใหญ่เกิดจากแรงแผ่นดินไหว และการเคลื่อนของแผ่นเปลือกโลก ซึ่งปัจจุบันแหล่งข่าวกล่าวว่าเกิดขึ้นแล้วเป็นแนวยาวผ่านตั้งแต่ภาคใต้จนถึงภาคกลางของประเทศไทย) โดยมีความเสียหายหลายจังหวัด คือ
๑. นครศรีธรรมราช
๒. สงขลา (หนักที่หาดใหญ่)
๓. พัทลุง
๔. ชุมพร
แผ่นดินไหวครั้งนี้จะส่งผล กระทบอย่างรุนแรง สู่หลาย ๆ ประเทศ ทั้งอินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย พม่า รวมถึงประเทศรอบ ๆ ทะเลอันดามัน ประเทศไทยจะเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินมาก เนื่องจากความประมาทของเจ้าหน้าที่และประชาชน แต่บางประเทศเช่นอินเดียสามารถอพยพได้ทันเพราะมีเวลาเตรียมตัวหลังจากทราบเหตุการแผ่นดินไหว และคลื่นยักษ์ซึนามิ
***แหล่งข่าวบอกว่าระบบแจ้งเตือนภัยซึนามิที่ติดตั้งไว้ในทะเลอันดามัน ถึงเวลาจริง ๆ ไม่ได้แจ้งเตือนเพราะระบบขัดข้อง
ระลอกที่ ๒ จะเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ครั้งแรก
ประมาณ ๑ เดือนโดยแหล่งข่าวบอกว่า เก็บกู้ความเสียหายยังไม่ทันเสร็จระลอกใหม่ก็เกิดขึ้นอีก
***เหตุการณ์จะรุนแรงกว่าระลอกแรกโดยมีความรุนแรงมากที่สุดในสามระลอก จะเกิดเหตุการณ์ขึ้นทั้งสองฝั่งคือทั้งอ่าวไทยและอันดามัน ผลกระทบเกิดขึ้นทุกจังหวัดในภาคใต้
ระลอกที่ ๓ จะเกิดขึ้นระหว่างปลายเดือนพฤศจิกายนจนถึงต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ มีความรุนแรงน้อยกว่าระลอกที่สอง ทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน
*** แหล่งข่าวระบุว่า ผลกระทบของแผ่นดินไหวจะส่งผลเป็นลูก โซ่ (สู่เหตุการณ์ต่าง ๆ ) และจะมีข่าวปรากฏในสื่อว่า พายุ...-..เซิร์ส (อาตมาไม่เข้าใจ แต่ได้ยินมาว่าเคยเกิดขึ้นแถบ ๆ อเมริกา มีความรุนแรงมาก กรุณาศึกษาเพิ่มเติม)
ขออนุญาติแจ้งเหตุการณ์ปี ๒๕๕๔ ที่สำคัญ ๆ ไว้เพียงเท่านี้ แต่ที่ได้รับแจ้งมาจากแหล่งข่าวนั้น ในปีหน้า ๒๕๕๕ มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับภัยธรรมชาติซึ่งส่งผลกระทบต่อมนุษย์อย่างรุนแรงและแปลกประหลาดอีกหลายเหตุการณ์ ซึ่งจะแจ้งเตือนในคราวต่อไป
ในการทำหนังสือแจ้งเตือนมาในครั้งนี้ อาตมาภาพทราบดีว่าจะเกิดความตื่นตระหนก และความลังเลสงสัยต่อท่านและผู้ที่รับทราบเพราะเป็นเหตุการณ์ในอนาคต พ้นวิสัยการรู้เห็นโดยทั่วไปของมนุษย์เรา การแจ้งเตือนครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลดีต่อตัวอาตมาภาพเองเลย ซ้ำอาจจะเกิดโทษดังเช่นกรณีของคุณสมิทธ ธรรมสโรช ที่ออกมาเตือนเรื่องโอกาสที่จะเกิดซึนามิในฝั่งทะเลอันดามัน ก่อนปี พ.ศ.๒๕๔๗ ซึ่งในครั้งนั้นมีผู้โจมตีการแจ้งเตือนของคุณสมิทธอย่างมาก ซึ่งท้ายที่สุดเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นจริง ๆ โดยไม่ได้เตรียมการรับมือ เกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ซึ่งขณะนั้นอาตมาภาพยังเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ ๓ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เดินทางร่วมกับคณะเพื่อนนักศึกษาไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่จังหวัดพังงา เดินทางถึงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๔๗ และอยู่เป็นอาสาสมัครอยู่ในทีมพิสูจน์ศพของทีมแพทย์ศิริราชและแพทย์รามาที่วัดบางม่วงและวัดย่านยาว
ได้เกิดความสังเวชที่ได้เห็นพี่น้องชาวไทยและต่างประเทศลูกเด็กเล็กแดงล้มตายเป็นจำนวนมาก แต่ในการเพียรพยายามทำหนังสือแจ้งเตือนมายังท่านและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมการป้องกันและรับมือภัยพิบัติในครั้งนี้ เป็นความเมตตาสงสารเพื่อนร่วมโลกไม่ว่าจะเป็นชาวไทยหรือประเทศไหน ๆ ของอาตมาภาพที่ไม่อยากให้มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น และอาตมาภาพและแหล่งข่าวไม่ได้ต้องการชื่อเสียงอันเป็นเรื่องของโลก และไม่ต้องการเป็นข่าวใด ๆ ทั้งสิ้น นอกจากต้องการความสงบวิเวกในการปฏิบัติธรรม อาตมาภาพได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวซึ่งเป็นเพื่อนสหธรรมมิกโยคาวจรของอาตมาภาพ
ราว ๆ ต้นเดือนมีนาคม ๕๔ ที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อได้รับแจ้งแล้วก็เกิดความตระหนกเกิดขึ้นและเกิดความสงสารในชะตากรรมเพื่อนร่วมโลก แต่ก็คิดว่าจะวางอุเบกขาเพราะเราช่วยอะไรไม่ได้มากเพราะไม่ได้มีอำนาจหน้าที่และเครื่องไม้เครื่องมืออุปกรณ์ใดๆ และเรื่องประเภทนี้พูดไป จะเป็นโทษกับตนคือคนจะหาว่าบ้า ดังนั้นจึงไม่ได้ทำอะไรมาก นอกจากบอกบุคคลไกล้ชิด
แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่นิวซีแลน เวียงจันทร์และที่ญี่ปุ่นซึ่งเกิดขึ้นจริงดังคำแจ้งเตือนของแหล่งข่าวเพื่อนสหธรรมมิก เมื่อเห็นความสูญเสียในชีวิตที่เกิดขึ้นเป็นหมื่น ๆ คน เกิดความรู้สึกสงสารเป็นอย่างมาก จึงใคร่ครวญและปรึกษากับแหล่งข่าวที่เป็นเพื่อนสหธรรมมิก ว่าจะตัดสินใจทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อปกป้องชีวิตของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน คิดอย่างหนึ่งว่า ถ้าเหตุการณ์เกิดขึ้นมีคนเสียชีวิตมาก ๆ โดยที่เรารู้ล่วงหน้ามาก่อนแต่ไม่ได้ทำอะไร ต่อไปคงจะรู้สึกเสียใจมาก และไม่สามารถให้อภัยกับตนเองได้ แต่ถ้าได้ทำเท่าที่ทำได้ให้ดีที่สุดแล้ว ถึงแม้เหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่เสียใจมากเพราะได้ทำเต็มที่แล้ว ดังนั้น จึงเป็นที่มาสำหรับการทำหนังสือแจ้งเตือนในครั้งนี้
อาตมาภาพหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านจะรับฟังและพิจจารณาในคำเตือนในสิ่งที่อาตมาภาพและเพื่อนสหธรรมมิกแจ้งเตือนมานี้ เพื่อความไม่ประมาทและทำทุกอย่างเพื่อปกป้องชีวิตเพื่อนมนุษย์และรับมือกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น
*** สิ่งหนึ่งที่จะยืนยันว่าสิ่งที่แจ้งเตือนเป็นจริงหรือไม่ในภาคใต้คือ ก่อนเกิดเหตุการณ์ที่ภาคใต้ จะเกิดแผ่นดินไหวและแผ่นดินถล่มที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งได้ยินว่าจะเป็นข่าวใหญ่ทางสื่อ ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง ก็จะเป็นเครื่องยันยันได้ว่าเหตุการณ์ที่ภาคใต้จะเกิดขึ้นจริง และให้เตรียมรับมือเหตุการณ์ที่จะ เกิดขึ้น
แต่สำหรับตัวอาตมาภาพนั้น หมดความสงสัยไปนานแล้ว และยากที่จะอธิบาย นอกจากจะพิสูจน์ด้วยตนเอง สำหรับรายละเอียดของเหตุการณ์นั้น แหล่งข่าวเพื่อนสหธรรมมิกท่านทราบละเอียดอีกมากที่ได้แจ้งให้อาตมาภาพได้ทราบ และปัจจุบันพำนักปฏิบัติธรรมอยู่ที่เดียวกัน อาตมาภาพและเพื่อนสหธรรมิกพร้อมจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมและร่วมดำเนินการรับมือกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นร่วมกับท่านและหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง ตามกำลังและวิธีการที่จะช่วยได้ โดยสามารถติดต่อมายังอาตมาภาพ หรือเดินทางมาสอบถามด้วยตนเอง ที่สำนักสงฆ์ป่าถ้ำธารน้ำลอดโดยอาตมาภาพไม่ต้องการให้จดหมายแจ้งเตือนนี้ปรากฏสู่สาธารณะ อันจะปรากฏเป็นข่าวในสื่อต่าง ๆ
ประเทศไทยโชคดีอยู่อย่างหนึ่งคือเป็นดินแดนที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง มีผู้มีบุญบารมีลงมาเกิดเพื่อบำเพ็ญเพียรหรือสะสมบุญบารมีอยู่มากและมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครองดูแลรักษาชาวพุทธและประเทศไทย เพื่อให้พระศาสนาดำรงอยู่จนตลอดอายุพระศาสนาคือ ๕,๐๐๐ ปี และการแจ้งเตือนครั้งนี้ก็มาจากวิธีพิเศษ ที่มีปรากฏขึ้นจริงในผู้ปฏิบัติตามหลักธรรมคำสั่งสอนของพระบรมศาสดา เพื่อช่วยประชาชนชาวสยามบนถิ่นแหลมทองแห่งนี้
ด้วยอำนาจของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยะสงฆ์สาวก และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ปกปักรักษาสยามประเทศ ได้โปรดอำนวยพรให้ท่าน และผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องนำไปพิจารณา และประสบความสำเร็จในการเตรียมการรับมือกับมหาภัยพิบัติ อันจะเป็นเครื่องป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องเพื่อนร่วมโลกที่หวังความช่วยเหลือจากท่านเป็นจำนวนมาก และเหลือระยะเวลาเตรียมการเพี
ยงแค่ประมาณ ๓ เดือน ในครั้งนี้ด้วยเทอญ
ขอเจริญพร
กัมมัฏฐาน ปวตฺตโน
พระกัมมัฎฐาน ปวตฺตโน
สำนักสงฆ์ป่าถ้ำธารน้ำลอด หมู่ที่ ๙ ตำบลทุ่งระยะ อำเภอสวี จังหวัดชุมพร
__________________
ที่มาข้อมูล
http://board.palungjit.com/f2/%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%8B%E0%B9%88-%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3-286722.html
ฺ Be Veg, Go Green 2 Save The Plane
12 เมษายน 2554 19:20 น.
คีตากะ
“เขา” เป็นเด็กหนุ่มจากต่างจังหวัด ที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ประจำฝ่ายการตลาดของบริษัทแห่งหนึ่ง ภายหลังจากถูกชักชวนหลายต่อหลายครั้งจากเพื่อนของเขาคนหนึ่งที่รู้จักกันมานาน ในที่สุดเมื่อเขาตอบตกลงอย่างไม่ค่อยเต็มใจซักเท่าไรนักเนื่องจากเหตุผลเรื่องเสรีภาพส่วนบุคคล เขาก็จำต้องย้ายที่อยู่จากท้องทุ่งอันสงบเงียบ ที่ที่เขาเคยเที่ยวเล่นไปตามริมแม่น้ำลำคลองและคันนาเพื่อทักทายกับสายลมแห่งท้องทุ่งที่เป็นมิตรไม่ว่ายามใด ที่ที่เขามักกระซิบด้วยถ้อยคำแห่งความรักกับต้นข้าวที่กำลังพลิ้วไสวในท้องทุ่งที่ถูกลืม ที่ที่เขามักเจรจากับต้นตาลสูงลิบลิ่วที่ท้าทายแรงลมอย่างห้าวหาญมาชั่วนาตาปี ราวกับว่ามันจะเป็นอมตะอยู่เหนือกาลเวลาและความเสื่อมสลาย ที่ที่เขามักนั่งรำพึงรำพันกับเหล่าดอกบัวสีขาวที่กำลังเบ่งบานท่ามกลางบึงน้ำใสแจ๋วราวกระจก ที่ที่เขามองเห็นความงามของธรรมชาติดุจดังภาพวาด ที่ที่เขาสัมผัสได้ถึงหัวใจของพระผู้เป็นเจ้าที่กำลังแย้มยิ้มให้แก่ทุกสรรพสิ่ง ที่ที่พระองค์โอบอุ้มชีวิตแม้ต่ำต้อยที่สุด เฉกเช่นเดียวกับสิ่งที่สูงค่าที่สุด ที่ที่เขากับท้องทุ่งหลอมหลวมกันจนแยกไม่ออก
อิสระภาพของเขาถูกแลกเปลี่ยนแทนที่ด้วยทุ่งป่าคอนกรีตที่ไร้ชีวิตชีวา การจราจรที่ติดขัดบนท้องถนนในเมืองใหญ่ การแก่งแย่งแข่งขันชิงดีชิงเด่นของผู้คนที่จิตวิญญาณกำลังตายลงทุกขณะ แลกเปลี่ยนกับเงินและผลประโยชน์ที่ตามหลอกหลอนผู้คนราวภูตผีก่อนที่พวกมันจะไร้ค่าลงไป เมื่อพวกเขากลับกลายเป็นภูติผีเสียเอง ความซับซ้อนของเมืองใหญ่ ตั้งแต่ถนนหนทาง ตรอกซอกซอยต่างๆ ไปจนถึงภาวะจิตใจของผู้คนทำให้เขารู้สึกถึงความทุกข์อย่างแสนสาหัส การที่เขาต้องเทียวไปในสถานที่อันน่าเบื่อหน่ายเหล่านั้น เช่น ตลาด ห้าง ร้านรวงต่างๆ โรงแรม โรงพยาบาล แทบทุกแห่ง ทุกตรอกซอกซอยของกรุงเทพและปริมณฑลเพื่อนำเสนอขายสินค้าผลิตภัณฑ์ของบริษัท บางครั้งบริษัทก็ส่งเขาและเพื่อนของเขาไปทำการตลาดในต่างจังหวัด ช่วงเวลาที่เขาทำงานอยู่ในบริษัทแห่งนี้ เขาได้เดินทางไปจังหวัดต่างๆ ของประเทศเกินกว่าครึ่งหนึ่งและเป็นช่วงเดียวกันของชีวิตที่เขาเดินทางมากกว่าปกติ ถ้าหากเขาไม่ลาออกเสียก่อน คาดว่าเขาอาจได้เดินทางไปจนครบทุกจังหวัดของประเทศ
ในแง่ของประสบการณ์ เขาได้เรียนรู้มากมายจนเกินกว่าจะพร่ำพรรณา ความเป็นคนไม่ค่อยพูดของเขา เป็นอุปสรรคอย่างมากในการทำงานตอนเริ่มต้น เขาถูกฝึกฝนชั้นเชิงการเจรจาในทางธุรกิจและเพิ่มพูนประสบการณ์มากขึ้นเรื่อยๆเมื่อวันเวลาผ่านไป เขาทราบดีว่านี่คือบทเรียนที่เขาจำเป็นต้องเรียน แต่สำหรับเขาแล้วค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายออกไปมันสูงเกินกว่าจะประมาณค่าได้ ความทุกข์ที่เขาต้องประสบมันมากเกินกว่าสรวงสวรรค์ชั้นใดจะแบกรับเอาไว้ เงินนับแสนนับล้านหรือแม้แต่พระราชวังในสวรรค์สำหรับเขาแล้วมันไม่มีความหมายอะไรเลยเมื่อเทียบกับเวลาแม้เพียงเสี้ยวที่ได้อยู่ท่ามกลางท้องทุ่งอันกันดารและปราศจากมนุษย์ผู้ซับซ้อนเหล่านี้
เมื่อความอดทนมาถึงจุดสิ้นสุด หัวใจที่โหยหาธรรมชาติของเขาก็มีชัยชนะเหนือลาภยศตำแหน่งใดๆในโลก เขายินยอมที่จะตายเหมือนสุนัขเถื่อนในท้องทุ่งดีกว่าที่จะใส่สูทผูกเนคไท้นั่งอยู่บนตึกสูง รายล้อมด้วยกำแพงอิฐอันแข็งกระด้างที่ไม่ต่างอะไรกับคุกคุมขังนักโทษ ราวกับนกในกรงทองที่กำลังใกล้ตาย เขาตัดสินใจเขียนจดหมายลาออก แต่ก่อนที่เขาจะส่งมันให้กับผู้จัดการซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทและเป็นเสมือนญาติของเขาคนหนึ่ง เขาได้เดินทางเพื่อไปพักผ่อนตากอากาศในต่างจังหวัด เพื่อให้เขามีเวลามากขึ้นเพื่อพิจารณาและทบทวนเรื่องราวต่างๆ อีกสักครั้งหนึ่ง
เจ้าของบริษัทที่เป็นเหมือนญาติ และหัวหน้าที่เป็นเพื่อนที่ดีของเขาทำให้เขาตัดสินใจลำบากในการลาออกจากงานที่วิเศษสุดนี้ เขาเดินทางมาถึงน้ำตกแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรีเวลาพลบค่ำพอดี มีเวลาเพียงน้อยนิดที่เขาจะนั่งเหม่อมองธารน้ำตกที่ไหลลงจากผาสูง ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่อายุนับร้อยปี ความมืดเริ่มเข้าปกคลุมอาณาบริเวณป่าและเขตน้ำตก นักท่องเที่ยวเริ่มทยอยกันกลับจนหลงเหลือเพียงตัวเขาและแม่ค้าขายของบางส่วนที่มีบ้านอยู่ระแวกแถวนี้ เขาลุกขึ้นและเดินสำรวจบริเวณแหล่งท่องเที่ยวจนทั่ว ค่ำคืนนั้นเขาพักค้างแรมที่ห้องเช่าแห่งหนึ่งใกล้ๆ กับธารน้ำตกแห่งนั้น
มันเป็นห้องแถวที่เจ้าของสร้างไว้สำหรับนักท่องเที่ยวเพื่อมาเช่าค้างคืน มันตั้งอยู่ริมเชิงเขา ท่ามกลางป่ารกทึบ อาคารมีสภาพเก่าและเริ่มทรุดโทรมไปตามกาลเวลา เขาสังเกตเห็นว่าค่ำคืนนี้ห้องเช่าทุกห้องว่างเปล่า มีเพียงเขาคนเดียวที่มาเช่าในช่วงเวลาที่ไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ ห้องของเขาจึงเป็นเพียงห้องเดียวที่เปิดไฟ ปกติเขาเป็นคนรักสันโดษไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใคร บรรยากาศเงียบสงบแบบนี้น่าจะเหมาะกับเขาอย่างมาก แต่บางทีมันอาจจะเงียบเกินไปจนเข้าขั้น “วังเวง” ภายหลังจากที่เขาล้มตัวลงนอนบนเตียง เขาก็ผล็อยหลับไปเพราะความอ่อนเพลีย แต่แล้วมีบางสิ่งบางอย่างปลุกเขาให้ลุกขึ้นมากลางดึก เขาสัมผัสถึงบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติ แต่ไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เขากำลังถูกท้าทายจากบางสิ่งที่ไร้ตัวตน เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร
เขาลุกขึ้นนั่งและเข้าสมาธิเพื่อตรวจดู ระหว่างที่เขากำหนดจิตเพื่อดิ่งลงสู่สมาธิอยู่นั้น คล้ายกับว่าสิ่งไร้รูปสิ่งนั้นพยายามสำแดงตัวตนให้ปรากฏ เจตนาอาจเพียงเพื่อขับไล่เขาออกไป ด้วยการสำแดงกลิ่นเน่าเหม็นดุจซากศพออกมา ทันทีที่เขาสูดได้กลิ่นดุจซากศพนั้นแล้ว เขาครุ่นคิดว่าคืนนี้คงต้องเผชิญกับบททดสอบกำลังแห่งสมาธิเป็นแน่แท้ และสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่คือสัตว์ไร้รูปผู้มีฤทธิ์เดช แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาบอกกับตัวเองว่า”จะไม่ยอมหวาดหวั่นและลืมตาออกจากสมาธิจนกว่ามันจะยอมพ่ายแพ้ศิโรราบไปเอง เจตนาของมันเพียงต้องการให้เรายอมจำนนเท่านั้น” เมื่อสัตว์ไร้รูปตนนั้นเห็นว่ากลิ่นเน่าเหม็นไม่อาจทำอะไรเขาได้ มันจึงเนรมิตด้วยกำลังแห่งอิทธิบันดาลให้ไฟในห้องดับสนิท เขายังคงสงบแน่วนิ่งไม่ไหวติง นั่งหลับตาขัดสมาธิอยู่บนเตียงนอนอยู่เช่นนั้น โดยไม่มีความหวาดหวั่นพรั่นพรึงใดๆ แม้แต่น้อย แม้ภายในห้องจะมืดสนิทและเงียบวังเวง หากแต่เขาสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของสัตว์ไร้รูปตนนั้น มันยังคงวนเวียนอยู่รอบๆกายของเขา แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ ไม่นานหลังจากนั้นไฟฟ้าแสงสว่างก็พลันสว่างขึ้นมาเองอีกครั้ง เขาพลันลืมตาและลุกขึ้นบิดขี้เกียจคราหนึ่ง พลันครุ่นคิดว่าหากค่ำคืนนี้เขาเผลอนอนหลับคงจะได้ประสบกับสัตว์ไร้รูปตนนั้นเป็นแน่แท้ เขาจึงตั้งใจว่าคืนนั้นจะไม่นอนและนั่งสมาธิไปจนเช้า แต่แล้วความง่วงจากความอ่อนเพลียจากการเดินทางก็ทำให้เขาเผลอหลับไปในที่สุด
มันมีรูปลักษณ์น่าขยะแขยงที่สุด ลำตัวของมันคล้ายปลาหมึกขนาดใหญ่เท่ามนุษย์ มีสีขาว โปร่งแสง มันเนรมิตตัวตนเป็นปีศาจที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน มันนอนทับอยู่บนตัวของเขาและบันดาลให้เขาไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ เขาพยามดิ้นรนอย่างสุดกำลังแต่ก็ไม่สามารถดิ้นหลุดจากการกดทับของมันได้ เขาได้เห็นมันอย่างชัดเจนในนิมิตขณะหลับและได้ยินเสียงหัวเราะเยอะเย้ยของมันเสียงดัง “ฮี้ ฮี้ ฮี้ !” ยาวนานดุจดังเสียงของปีศาจจากห้วงอเวจี เมื่อเขาเห็นว่ากำลังแห่งกายทิพย์ไม่อาจต่อสู้กับมันได้ เนื่องเพราะมันมีฤทธิ์มากกว่า เขาจึงสงบจิตเข้าสู่สมาธิในท่านอนทันทีเพราะไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป ไม่นานจากนั้น เขาพลันสะดุ้งตื่นหลุดรอดจากเวทย์มนต์ของสัตว์ไร้รูปตนนั้น เขาลุกขึ้นนั่งได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง การนอนหลับทำให้เขาเข้าสู่โลกทิพย์หรือโลกแห่งอสุรกายอันเป็นภูมิภพของสัตว์ไร้รูปตนนั้น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเผชิญหน้ากับมันอย่างจัง การถูกรบกวนจากสัตว์ไร้รูปสำหรับเขาแล้วนับเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเขาเคยเผชิญมาแล้วแทบทุกรูปแบบ ทำให้เขาไม่ค่อยหวาดกลัวมากนัก เพียงแต่ทำให้เขานอนหลับไม่ค่อยเต็มอิ่มและเกิดความรำคาญบ้างเท่านั้น เขานั่งลงบนเตียงและพริ้มตาลงหยั่งเข้าสู่สมาธิอีกครั้งจวบจนใกล้รุ่งสาง เขาก็พลันผล็อยหลับไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นการหลับในสมาธิ สัตว์ไร้รูปตนนั้นยังคงมาปรากฏตัว หากแต่ในรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไป มันแปลงกายเป็นชายชราที่เปี่ยมเมตตาและน่าเคารพ ส่งเสียงหัวเราะอย่างเป็นมิตร น่าอบอุ่น ทำให้เขาผ่อนคลายและมีความสุขมากกว่าตอนแรกที่เผชิญหน้า ราวกับว่ามันยอมศิโรราบไม่คิดรังควาญเขาเวลานอนหลับอีก
เช้าวันรุ่งขึ้น เขาตื่นขึ้นมาคล้ายกับผ่านทั้งฝันร้ายและฝันดีมาเพียงในค่ำคืนเดียว พลังสมาธิทำให้เขาเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตที่จะสู้ชีวิตต่อไป เขาจ่ายค่าห้องพักกับเจ้าของห้องพักและเดินทางจากไปเหมือนไม่มีเรื่องราวใดเกิดขึ้น บททดสอบที่มีคุณค่าครั้งนี้ทำให้เขามีจิตใจที่เข้มแข็งขึ้น หากแต่กล่าวกันว่าทุกสถานการณ์ที่เราต้องประสบในท่ามกลางชีวิตล้วนแล้วแต่ตัวเราเป็นผู้ดึงดูดเข้ามาด้วยความไม่รู้หรือรู้ผิดแทบทั้งสิ้น การตรวจสอบตัวเองทุกขณะจิตจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก การมองเห็นข้อบกพร่องของคนอื่น นั่นก็คือความบกพร่องของตัวเราเอง สำหรับผู้ที่มีอิสระภาพทางจิตวิญญาณย่อมปราศจากการทดสอบใดๆ และไม่ควรมีปัญหาหรือข้อสงสัยใดๆ อีก การคอยสอดส่องจิตใจของตัวเองไม่ปล่อยให้ตกอยู่ในอำนาจของความเคยชินในอดีต ความเคยชินต่างๆ ที่ไม่ดีโดยเฉพาะ “ความกลัว” จึงอาจสามารถแก้ไขลุล่วงไปได้ หนทางข้างหน้าก็จะเตียนโล่ง จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอนก็พบแต่ความสงบสุข ซึ่งเป็นความสุขสูงสุดที่มีต้นทุนต่ำที่สุด แต่เพราะเหตุใด?มนุษย์เราจึงแสวงหาความสุข ที่ต้องจ่ายต้นทุนค่าตอบแทนมากมายขนาดนั้น บางครั้งอาจต้องแลกด้วยชีวิตเพียงเพื่อวัตถุเพียงเล็กน้อยที่ได้มา พร้อมดอกเบี้ยแห่งความทุกข์ที่เพิ่มมากขึ้น หาใช่ความสุขที่เคยวาดหวังไม่ !
ภายหลังจากที่เขากลับมาจากการท่องเที่ยวน้ำตก เขาทำงานได้อีกไม่นานก็ลาออกและเก็บตัวบำเพ็ญสมาธิในห้องเช่าบริเวณชานเมืองเป็นเวลา ๔๐ กว่าวันจนลืมเลือนกาลเวลา ความสงบสุขที่เขาได้รับเกินกว่าจะใช้ภาษาใดๆ บนโลกบรรยายร้อยเรียงเป็นถ้อยคำออกมาได้ พร้อมกับประสบการณ์ชีวิตที่ยากจะลืมเลือน.....
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet