17 พฤษภาคม 2562 21:41 น.

กำแพงสร้างขึ้นโดยเทพยดาเพื่อกักขังมนุษย์ปุถุชน.....

คีตากะ

ket.jpg









     ปราศรัยโดย ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
ซีหู ฟอร์โมซา 28 ธันวาคม 1991 (เดิมเป็นภาษาจีน)








     เมื่อวันก่อน ฉันได้บอกพวกเธอเกี่ยวกับเรื่องที่ว่า พวกเราทำไมจึงถูกกักกันไว้ที่นี่ได้อย่างไร ? ถูกขังไว้ที่ข้างนอกนี้และอยู่ในความดูแลของเทพยดา ทูตสวรรค์และผู้คุ้มครองจากสวรรค์ (A: จริงซิ) บางทีเธออาจจะถามฉันว่า แล้วพวกเขาจำกัดพวกเราไว้ได้อย่างไรเล่า ซึ่งสิ่งที่ว่านี้คือ ไตรภูมิ !
ระดับแรกของการกักกันนั้นเปรียบเสมือนคุกในโลกเรานั่นเอง ซึ่งก็จะมีประตูอยู่สามถึงสี่ชั้น อย่างตอนที่ฉันไปเยี่ยมนักโทษที่เรือนจำฮัวเหลี่ยนในการปาฐกถานั้น ฉันก็ต้องผ่านทางเข้า เข้าไปถึงเจ็ดประตูด้วยกัน ถึงจะเข้าไปหาพวกนักโทษได้ ภายนอกเต็มไปด้วยกำแพงที่ล้อมรอบซึ่งตามข้างบนกำแพงมีแต่ลวดหนาม พวกที่ต้องโทษหนักก็ถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนและพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะออกจากห้องคุมขังไปไหนได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าจะผ่านไปทางประตูได้เลย อย่างไรก็ดี ก็มีนักโทษบางคนที่สามารถไปไหนมาไหนได้อิสระ พวกเขาก็จะถูกให้ทำงานกวาดพื้น ปลูกต้นไม้ รดน้ำต้นไม้ บางคนก็มีอิสระมากหน่อยก็สามารถผ่านประตูออกไป และสามารถจะออกไปได้เกือบจะถึงกำแพงชั้นนอก !
สถานการณ์นั้นจะคล้ายๆ กันกับพวกเราที่เป็นผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณ บางคนก็ผ่านไปถึงประตูที่สามหรือที่สี่ และไปได้ถึงภูมิภพระดับที่สี่แต่ก็ถูกปิดกั้นไว้ด้วยกำแพง เหลือเพียงประตูและกำแพงใหญ่นี้เท่านั้นที่จะต้องผ่านไปจึงจะได้เป็นอิสระอย่างแท้จริง นั่นคือสภาพที่พวกเราถูกกักขังไว้ภายในไตรภูมิ แล้วพวกเราถูกกักขังเอาไว้อย่างไรกันบ้างในระดับที่หนึ่งเรียกว่าโลกทิพย์ ?





upload-5W4QI17.jpg





     ถูกผูกมัดไว้ด้วยความรู้สึกรักและผูกพันของโลกทิพย์

     อะไรคือสภาพภายในโลกทิพย์ ? ในโลกทิพย์นี้เขาใช้ความรักและความผูกพันมาบังตาเรา โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยการบังคับ ดุด่าหรือล่ามโซ่เลย เธอเข้าใจสภาพที่ว่านี้ไหม ? ดังนั้นมนุษย์ทั้งหลายล้วนพัวพันอยู่ในความรักความผูกพัน ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง หรือแม้กระทั่งผู้หญิงกับผู้หญิง หรือผู้ชายกับผู้ชาย
เพียงความรักความผูกพันก็ใช้เป็นเครื่องมือได้ดียิ่งกว่าการใช้กรงขังและโซ่ตรวน พวกเราทั้งหมดนี้ก็ไม่มีทางจะเล็ดลอดไปได้เมื่อเราถูกผูกมัดไว้ด้วยความผูกพัน ! มันเป็นการยากสำหรับเราที่จะจากไปเวลาที่เราต้องการ ต้องใช้พลังความตั้งใจอย่างยิ่งยวด ต้องใช้การสำนึกผิดที่แรงกล้ามากที่กำเนิดจากภายใน หรือต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมาก และหรือต้องใช้ความปรารถนาที่จริงใจอย่างมาก จึงจะได้รับการช่วยเหลือจากบุคคลที่รู้แจ้ง เช่นนั้นเขาเหล่านั้นจึงจะให้การช่วยเหลือเราจนผ่านพ้นในระดับของโลกทิพย์ไปได้
ถ้าหากพวกเรายังคงถูกผูกมัดไว้ด้วยความรักความผูกพันและเต็มไปด้วยสายสัมพันธ์ของความรักใคร่ เราก็ทราบได้ว่าเรายังคงอยู่ภายในระดับโลกทิพย์ ถึงตอนนี้เราเลิกพูดมากจะดีกว่าและมาตระหนักดูว่าเรายังคงไม่สามารถข้ามผ่านเกราะกำบังในระดับที่หนึ่งไปได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม ตั้งแต่โบราณกาลมาผู้คนมักจะให้ความนับถือผู้ทรงศีลเพราะพวกเขาคิดว่าอย่างน้อยที่สุดพวกผู้ทรงศีลสามารถผ่านพ้นไปจากระดับโลกทิพย์ที่เป็นประตูแรก
เหมือนกันกับผู้ต้องขังที่อยู่ในคุก ที่บางคนก็ก่ออาชญากรรมที่รุนแรง ดังนั้นพวกนี้จึงถูกกักกันไว้ในกรงเล็กๆ ที่เล็กกระทั่งไม่สามารถจะยืนตรงได้ บางคนก็ต้องโทษรุนแรงกว่ากระทั่งต้องล่ามโซ่ตรวน และคนเหล่านี้ไม่มีทางที่จะผ่านประตูด่านแรกออกไปได้เลย ผู้ต้องขังบางคนสามารถผ่านประตูออกไปช่วยกันทำงานในพื้นที่คุก ดังนั้นนักโทษพวกนี้จึงมีอิสระมากขึ้นและแน่นอนล่ะที่พวกลหุโทษในกรงเล็กๆ นั่นย่อมอิจฉาพวกที่ผ่านประตูเข้าออกได้ เพราะในห้องขังที่กระจิริดนั้นพวกเขาไม่ได้เห็นกระทั่งดวงตะวันหรือเห็นหน้าผู้คน กระทั่งญาติพี่น้องและเพื่อนๆ ด้วยกันก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยมกระทั่งทนายความก็ไม่ได้อนุญาตให้เข้าเยี่ยม คนเหล่านี้กำลังรอความตายจากการประหารชีวิต แน่นอนล่ะที่พวกลหุโทษเหล่านี้ย่อมริษยาพวกผู้ต้องขังที่สามารถผ่านเข้าออกประตูด่านแรก และสามารถไปไหนมาไหนได้เสรี
ก็เหมือนกันกับที่พวกเราคิดว่าพวกผู้บำเพ็ญทรงศีลทั้งหลายที่อยู่เหนือระดับของความรักความผูกพันและเป็นอิสระจากความรู้สึกต่างๆ เหล่านี้ เราก็เลยให้ความนับถือคนเหล่านี้ มิฉะนั้นแล้ว อะไรกันเล่าที่เป็นความแตกต่าง ? พวกลหุโทษไม่มีทางได้รับการยอมรับอย่างพวกผู้ทรงศีล ถ้าปราศจากการได้ก้าวข้ามระดับของความรักความผูกพันทีเป็นการคุมขังนี้ ! 
มันยากมากที่จะผ่านออกไปจากด่านแรก แต่ถ้าหากเราสามารถฝ่าออกไปได้ละก็ ด่านต่อๆ ไปก็ไม่ยากที่จะก้าวผ่านถ้าหากผู้ต้องขังประพฤติตัวดีเท่านั้น ผู้คุมก็จะอนุญาตให้เขาไปไหนมาไหนเพื่อทำงานได้ หลังจากนั้นซักระยะหนึ่งจะมีการสังเกตว่าเขาทำงานดีขึ้น ก็จะได้รับความไว้วางใจมากขึ้น ในไม่ช้าเขาก็สามารถผ่านเข้าออกไปยังประตูที่สองได้ง่ายขึ้น ถ้าหากความประพฤติของเขาพัฒนาดีขึ้นเรื่อยๆ มันก็ง่ายสำหรับเขาที่ออกไปได้ ไม่ใช่ออกจากคุก แต่คือจะได้รับอนุญาตให้ทำงานมากขึ้นและได้รับการไว้วางใจมากขึ้นจากผู้คุม เขาจึงไม่ต้องถูกกักขัง ดุด่าหรือเฆี่ยนตีสถานหนักนัก






23Angel_Kisses.jpg









    ดินแดนแห่งเหตุและผล เป็นเรื่องยากที่จะหลุดรอดไปจากกฎแห่งกรรม

     เราเรียกดินแดนด่านที่สองนี้ว่าดินแดนของกฎแห่งกรรม มันทำหน้าที่อย่างไรนะหรือ ? คือสิ่งที่พวกเทพยดาหรือทูตสวรรค์รังสรรค์มันไว้เพื่อพวกเรา แม้ว่าภายหลังจากที่เราได้ข้ามผ่านพรมแดนในระดับที่หนึ่งไปแล้ว พวกเทวดาก็ได้เตรียมด่านที่สองนี้ไว้ ดังนั้นพวกเราจึงไม่สามารถที่ผ่านไปในทันทีทันใดเพื่อก่อเหตุทะเลาะวิวาท ทำความยุ่งยากในสวรรค์ และทำลายบรรยากาศที่สงบสุขของจักรวาล เพราะฉะนั้นจึงมีพรมแดนซ้อนพรมแดนเพื่อหยุดเรา และเพื่อให้เทพยดาได้ตรวจสอบเรา ถ้าหากเราได้สิทธิ์เข้าสู่อาณาจักรของสวรรค์ภายหลังการฟันฝ่าด่านกักกันในระดับที่หนึ่งนั้นได้ ก็จะก่อความยุ่งยากขึ้น ดังนั้นจึงมีด่านต่อไปที่จะกักเราเอาไว้
แล้วที่นี้จะมีวิธีการอย่างไรที่ทูตสวรรค์จะใช้กับเราในตอนนี้นะหรือ ? เขาจะควบคุมพวกเราด้วยกฎที่ว่าด้วยเหตุและผล แต่เป็นเช่นไรนะหรือ ? วิธีการก็คืออะไรก็ตามที่เราทำไว้ในโลกนี้ ไม่ว่ากรรมดีหรือกรรมชั่ว เราจะต้องกลับมารับทุกขเวทนา ถ้าทำดีเอาไว้ก็ต้องกลับมาเสวยผลบุญ และระหว่างที่เรากำลังมีความสุขอยู่กับผลบุญอยู่นั้น ก็อาจกำลังสร้างเวรกรรมชั่วไปด้วย ในระหว่างที่กำลังหลงระเริงอยู่ เราก็จะติดกับดัก เมื่อสถานการณ์กลับกลายเป็นเลวลง เราก็จะทุกข์ทรมานและเศร้าหมอง และในที่สุดก็จะทำให้ต้องประกอบกรรมชั่ว ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไรก็อันตรายต่อเราเสมอ และนี่ก็คือหลุมพราง
พวกเราได้สร้างสถานการณ์นี้ขึ้นมาเพราะเราเคยทำไม่ดีไว้เมื่อก่อนหน้านั้น บรรดาเทพยดาในสวรรค์ต่างรู้สึกเห็นใจต่อปูมหลังของพวกเรา และสภาพที่รวดร้าวภายหลังที่ถูกตัดสินให้ลงมาเกิด พวกเขาก็เลยพูดกับพระเจ้าว่า “ให้พวกเราได้ลงมายังโลกจะได้เรียนรู้เพื่อปรับปรุงตัวอีกครั้ง หรือเพื่อเป็นการลดหย่อนผ่อนโทษ” เมื่อครั้งที่พระเจ้าได้แตะอาดัมกับอีฟลงมายังโลก นั่นก็คือการที่พระองค์ต้องการให้พวกเขามาชดใช้กรรม ! พวกเขาจะต้องทำงานหนักทุกวันเพื่อแลกขนมปัง โดยหยาดเหงื่อและแรงงานพวกเธอจึงจะได้กินขนมปัง ดังที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล พระองค์ได้ให้พรต่อพวกเขา !
ในเวลาต่อมานานแสนนาน บรรดาลูกหลานและทายาทที่ไม่ได้เป็นผู้ก่อกรรม ซึ่งสิ่งเลวร้ายต่างๆ ได้ก่อไว้โดยบรรพบุรุษ บรรดาเหล่าเทพยดาบนสวรรค์จึงได้วิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าว่า “ได้โปรดให้พวกเราเหล่าเทวดาได้ลงไปช่วยพวกเขาเถิดด้วยเห็นแก่ความดีที่พวกเขาเคยทำไว้ และเหล่านั้นเป็นเพียงลูกหลานและทายาทของพวกเขา และพวกนี้ก็ก็ไม่มีจิตใจเลวร้ายอันใดเลย ความผิดและบาปต่างๆ นั้นเป็นของบรรพบุรุษ ดังนั้นโปรดให้โอกาสพวกเขาเถิด......”
พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยเมตตาหลังจากได้สดับฟัง ดังนั้นก็ตรัสว่า “ตกลง !”
บรรดาเทพยดาทูตสวรรค์ทั้งหลายก็ได้ลงมาสั่งสอนพลังอำนาจเวทมนตร์และกรรมวิธีในการปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ด้วยเครื่องมือและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้วิถีชีวิตมีความสะดวกสบายและช่วยบรรเทาทุกข์ทรมาน นอกจากนั้นยังส่งนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งกาจลงมาสอนพวกเราในเรื่องของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งเป็นความลับของจักรวาลและสิ่งที่ไม่คาดฝันก็คือ ภายหลังจากที่พวกเราได้เรียนรู้ไปในบางส่วน เราก็ต้องการรู้มันทั้งหมด ก่อนหน้านั้นพวกเราเรียนรู้ได้ดีมาก ความคิดชั่วร้ายและความละโมบก็เกิดขึ้น พวกเรามีความภาคภูมิในการได้สร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ขึ้นมา และคิดว่าพวกเรานั้นเทียบได้ราวกับเทวดา เราจึงได้บังคับให้เขาสอนเราทุกๆ อย่าง
บรรดาเทวดาทูตสวรรค์ก็กล่าวว่า “ใจเย็นๆ ! จงจดจ่อกับสิ่งนี้ก่อน ดูซิว่าเธอทำได้ขนาดไหน แล้วสิ่งอื่นๆ จะตามมาในเวลาที่เธอได้พัฒนาในเรื่องศีลธรรมและปัญญาของเธอเรียบร้อยแล้ว มันยังไม่ถึงเวลา เราไม่สามารถสอนพลังอำนาจเวทมนตร์ที่อยู่ในระดับสูงสุดยอดให้เธอได้ในเวลานี้”
อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังคงยืนกรานและขู่เข็ญต่อเทวดาว่า “ตอนนี้เรารู้จักทำสิ่งต่างๆ มากมาย ! เราสามารถผลิตอาวุธต่างๆ ได้ แถมยังมีอำนาจเวทมนตร์มากมาย ถ้าท่านให้การปฏิเสธเราอีก เราก็จะปล้นเอาดื้อๆ เลย” มันก็เหมือนๆ กันกับที่นักเรียนวิชาการต่อสู้ป้องกันตัว ต้องการจะสู้กับคนที่เป็นอาจารย์ แม้จะยังอ่อนหัดอยู่เท่านั้นก็คิดว่าตัวเองมีพลังอำนาจมากพอจะท้าทายต่อคนที่เป็นอาจารย์ ก็แน่นอนละ ที่เทวดาจะปฏิเสธว่า “ไม่มีทางซะหรอก ! อำนาจเวทมนตร์ชั้นสูงสุดและปัญญานั้นจะต้องไปด้วยกันกับคุณธรรมที่สูงส่ง มิฉะนั้นเจ้าอาจจะทำสิ่งชั่วร้ายได้ หรือพูดง่ายๆ ว่าเจ้าจะไม่รู้จักวิธีใช้มัน” แต่พวกเขาไม่ฟัง แถมยังย้ำว่าจะปล้นเสีย พวกเขามีอาวุธต่างๆ พร้อมและโจมตีเพื่อขู่เข็ญเอากับบรรดาเทวดาที่อยู่นั่น แล้วพวกเขาก็ทำสำเร็จถึงที่นั่นได้ และแล้วผู้คุมกฎแห่งจักรวาลก็มาถึง และได้ใช้อำนาจเวทมนตร์และอาวุธที่เหนือกว่าทำลายล้างอาวุธของพวกเราลง แล้วก็ส่งคนของพวกเรากลับมายังที่เดิมที่เคยเป็นอยู่ ซึ่งบ้างก็ไม่หวนกลับมาและตายลงที่นั่น เรื่องราวก็เป็นมาเช่นนี้ ตั้งแต่นั้นมาพุทธะและโพธิสัตว์ก็ไม่ไว้วางใจพวกเราอีก และคงไม่ให้อำนาจเวทมนตร์พวกเราอีกแล้ว แต่ถึงอย่างไร อำนาจเวทมนตร์ที่ได้มีการเรียนกันมาในชาติปางก่อนบ้างก็ไม่ได้ถูกกำจัดไปซะทีเดียว ฉะนั้นก็เลยยังคงเหลือร่องรอยไว้ที่พวกเราบางคน นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมบางคนจึงสามารถร่ายเวทมนตร์คาถา ปลุกเสกสิ่งต่างๆ ได้ในทันทีแม้ว่าจะไม่อาศัยการเรียนรู้มาก่อนเลย สิ่งเหล่านี้เป็นความทรงจำที่หลงเหลือมาแต่ชาติปางก่อนนั่นเอง ซึ่งก็รวมไปถึงพวกที่สามารถทำให้เกิดการระเบิดของปรมาณู ระเบิดดำ ระเบิดขาวและอีกสารพัดระเบิดอันมาจากคนชั่วร้ายทั้งสิ้น ! (อาจารย์กับทุกคนหัวเราะ)
ภายหลังการทำลายล้างอาวุธแห่งจักรวาลของพวกเราลง พวกเทวดาก็กักขังเราไว้ที่นี่ พวกเขาจัดการขังเราไว้อย่างไรน่ะหรือ ? พวกเขาไม่ได้ใช้โซ่ตรวนหรืออำนาจเวทมนตร์ธรรดาทั่วไป เนื่องจากสิ่งเหล่านี้พวกเราเรียนรู้มาหมดแล้ว เรารู้วิธีจู่โจมและหลบหนีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นพวกเทวดาจึงวางแผนการที่แยบยลเพื่อปราบความก้าวร้าวของพวกเราด้วยการมีความรู้สึกถึงความรักความผูกพันและผลแห่งกรรม พวกเขาได้สร้างระบบกฎแห่งกรรมขึ้นเพื่อที่เราจะได้เกิดและตายลง โดยไม่จำเป็นต้องเสียแรงทำอะไรเราเลยด้วยซ้ำ เหลือเชื่อจริงๆ ! ไม่ว่าเธอจะทำสิ่งดีหรือเลวร้าย เธอก็จะต้องกลับชาติมาเกิดรับผลของมันอยู่ดี นี่คือความอัศจรรย์ ! ตั้งแต่นั้นมาพวกเราก็ถูกผูกมัดไว้จนบัดนี้ ไม่สามารถหลุดพ้นไปไหนได้ ไม่ว่าเราจะเพียรพยายามซักแค่ไหน ก็ไม่สามารถขึ้นไปได้
มันเหมือนกับประตูใหญ่ของที่คุมขัง ที่เราจะต้องออกไปโดยผ่านมันออกไป การขุดอุโมงค์หรือความพยายามหลบหนีวิธีอื่นๆ นั้น ไม่ช้าไม่นานก็จะถูกจับกุมโดยตำรวจ ถ้าหากเธอถูกจับได้หนึ่งครั้ง โทษที่ได้รับก็จะเพิ่มขึ้นอีก และเธอก็ถูกกักขังหนาแน่นขึ้น นั่นคือเหตุผลที่ทำไมผู้คนที่บำเพ็ญให้ได้รับการหลุดพ้นและฝึกสมาธิด้วยตนเองจึงล้มเหลว พวกเขาพยายามที่จะขุดอุโมงค์หรือเจาะกำแพง ซึ่งเป็นการทำให้สภาพการณ์เลวร้ายลงไปอีก ที่เรารู้กันว่าการถูกเข้าสิงหรือถูกครอบงำ ฉะนั้นกฎแห่งกรรมนั้นคือโซ่ตรวนที่ล่ามหรือประตูที่กักขังเราไว้ที่นี่ นี่คือวิธีการของกฎแห่งกรรม มันถูกสร้างขึ้นโดยบรรดาเทพยดา มิฉะนั้นแล้วจะกักขังพวกเราไว้ที่นี่ได้อย่างไรกัน ?
ว๊าว ! พวกเราเคยมีอำนาจเวทมนตร์แบบที่เวลาเราจะไปไหนใช้เวลาแค่พริบตาก็ไปถึงดาวจูปีเตอร์ ถึงดาวอังคาร หรือไปยังดวงอาทิตย์ แสวงหาด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์และอำนาจเวทมนตร์ที่เกรียงไกร ไม่มีใครจะมาหยุดยั้งเราได้ เรามีภูมิปัญญาที่ยิ่งใหญ่แต่เราเพียงได้ใช้มันไปในการทำสิ่งที่ชั่วร้าย แล้วมนุษย์ก็ยังคงอยู่ในความป่าเถื่อนและผิดศีลธรรม พวกเขาจะไม่ฟังคำสอนในเรื่องของศีลธรรมกัน !
บางทีบรรดาเทวดาบนสวรรค์คงคิดว่าพวกเรามีความเมตตากรุณาอย่างเขากระมัง ดังนั้นก็เลยไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่องของศีลธรรมกัน พวกเขาไม่สั่งสอนผู้คนให้อยู่ในศีลห้าและให้รับการประทับจิตก่อนจะบำเพ็ญเพียรด้านสมาธิกัน พวกเขาเพียงแต่สอนผู้คนถึงวิธีการทำสมาธิ การกินเนื้อสัตว์นั้นไม่ได้รับการห้าม และเรื่องของศีลก็ไม่มีการยึดถือ ดังนั้นผู้คนจึงได้ไม่พัฒนาด้านศีลธรรมและคุณลักษณะในทางความเมตตากรุณา เพราะถ้าหากบุคคลที่ไร้ศีลธรรมได้ครอบครองฐานะตำแหน่งทางการเมืองหรือมีอำนาจหน้าที่ระดับสูงแล้วล่ะก็จะยิ่งเป็นอันตรายต่อประชาชน
ในอดีตกาล พวกทูตสวรรค์ได้กระทำผิดพลาดไปโดยการละเลยต่อการพัฒนาศีลธรรมจรรยาของพวกเรา และได้เล็งเห็นแต่เรื่องการเอาใจใส่ไปในทางวัตถุแต่เพียงอย่างเดียว พวกเขาเห็นว่ามนุษย์มีความเป็นอยู่ที่ทุกข์ทนทรมานกับน้ำตาไหลรินและกับหยาดเหงื่อที่ตรากตรำตลอดวันแต่ก็ยังมีไม่พอจะกิน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการใช้ปุ๋ยในการเพาะปลูกเลย และยังคงไร้เดียงสาต่อสรรพสิ่งที่มีวิวัฒนาการ พวกเขาได้ผลตอบแทนที่เล็กน้อยมากไม่ว่าจะทำอะไร เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าได้พิพากษาไว้ว่า “ด้วยหยาดเหงื่อและแรงงานของเจ้า เจ้าจึงจะได้กินขนมปัง” พระองค์ไม่ได้กล่าวว่าเจ้าจะต้องกักตุนอะไรและเก็บมันไว้ในธนาคาร พระองค์เพียงแต่กล่าวว่า “จงกินเท่าที่จะอยู่รอด” อย่างไรก็ดียังไม่ใช่เรื่องของธนาคารอีกนั่นแหล่ะ ! พระองค์ไม่ได้คิดถึงเรื่องการกักตุนเลย พระองค์กล่าวว่ามันเป็นการดีอยู่ถ้าหากเรามีพอใช้จ่าย พระเจ้าทรงซื่อตรงและสะอาดอย่างแท้จริง พระองค์ไม่เคยสอนอะไรที่เกี่ยวข้องกับธนาคารหรือการกู้ยืม (อาจารย์หัวเราะ) ดังเช่นระบบซึ่งไม่เคยมีอยู่แต่ไรมา
ดังนั้นพอพวกทูตสวรรค์ได้มาเห็นมนุษย์อยู่ในสภาพทุกข์ยากแสนสาหัส ก็เลยให้ความสนใจไปทางที่เกี่ยวกับวัตถุและลืมเรื่องของศีลธรรมจรรยาที่มีความสำคัญยิ่งไปกว่า เพราะถ้าหากผู้คนทำผิดศีลธรรมก็จะมีแต่ความเสื่อมทราม ถ้ามีแต่การให้สิ่งต่างๆ แต่ในทางวัตถุ พวกเขาไม่เพียงแต่จะยึดถือ กอบโกยเพื่อความมั่งคั่งของตนเอง หรือไม่แบ่งปันให้กับผู้คนอื่นๆ เท่านั้น เมื่อใดที่เขามีพลังอำนาจและความมั่งคั่ง เขาก็จะใช้มันไปในทางสิ่งที่เลวร้ายต่างๆ ได้
ถ้าเธอได้ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือพิมพ์หรือหนังสื่อต่างๆ เธออาจจะพบว่าประวัติศาสตร์ของพวกเรานั้นเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่ขุนนางระดับสูงที่ทุจริต พวกนี้จะหาประโยชน์เอาจากประชาชนและปล้นชิงเอาทรัพย์สินของประชาชน ยิ่งอยู่ในตำแหน่งสูงเท่าไรก็ยิ่งกลายเป็นความเลวร้ายมากเท่านั้น ผลสุดท้ายรัฐบาลทั้งหมดก็พังทลาย ถ้าหากว่าคนชั่วเหล่านั้นไม่ใช่เจ้าหน้าที่ขุนนางระดับสูง หากแต่เป็นชาวนาที่ยากจนแทน คนเหล่านี้ก็ไม่มีโอกาสที่จะทำอันตรายอะไรได้มากนัก อย่างมากก็ทำได้แค่คดโกงพื้นที่นาของเพื่อนบ้านหรือหาเงินได้มากขึ้นจากผู้คนโดยการทำธุรกิจติดสินบน ตั้งแต่ระดับที่เป็นเจ้าหน้าที่ขึ้นไปก็สามารถคดโกงประชาชนได้มากมาย ยิ่งอยู่ในตำแหน่งสูงเท่าไรก็ยิ่งข่มขู่ประชาชนได้มากเท่านั้น ฉะนั้นจึงเป็นอันตรายอย่างยิ่งที่จะมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ไร้ศีลธรรมจรรยา
ก็คล้ายๆ กับการที่ไม่มีใครสั่งสอนบรรพบุรุษของเราในเรื่องที่เกี่ยวกับจริยธรรม พวกเทวดาเป็นผู้ที่เต็มไปด้วยความเมตตากรุณาและเป็นผู้ที่มีคุณธรรมอยู่ในตนเอง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยคิดว่าพวกเราจะไร้ศีลธรรมจรรยา และนี่ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่พระเจ้าตัดสินให้พวกเราลงมารับโทษบนโลกนี้ การขาดแคลนศีลธรรมเป็นเหตุผลที่ชัดเจนแน่นอน ไม่เช่นนั้น เราก็น่าที่จะมีสิทธิ์สมควรที่จะอยู่บนสวรรค์ได้ ! เรามาที่นี่ก็เพราะคุณสมบัติที่บกพร่องของเรา เหมือนกับเด็กนักเรียนที่ต้องเรียนซ้ำชั้นอีกหนึ่งปีนั่นเอง เมื่อเห็นว่าพวกเราขาดแคลนสิ่งของทางวัตถุ พวกเทวดาก็เกิดความรู้สึกสงสารเห็นใจพวกเราและรีบให้ความช่วยเหลือต่อพวกเรา เหมือนกันกับตอนที่เราไปช่วยผู้ประสบภัยพิบัติต่างๆ ตอนที่เราไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยในฟิลิปปินส์ เราก็ให้ความช่วยเหลือเจือจานทางด้านวัตถุก่อนอื่น เพราะเราเป็นห่วงว่าพวกเขาอาจจะอดอยาก ดังนั้นเมื่อเราไปที่ฟิลิปปินส์ เอาแลค หรือว่าจีนแผ่นดินใหญ่ เพื่อผ่อนคลายสถานการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้น เราจะไม่ค่อยพูดถึงสิ่งอื่น เราจะย้ำกับพวกเขาแต่เพียงว่า “ความช่วยเหลือที่พวกเราจัดหาให้ทางด้านวัตถุนั้นอยู่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น อย่างน้อยที่สุดก็ช่วยดูแลทางด้านจิตวิญญาณของพวกเขาและสอนให้พวกเขาสวดอธิษฐานภายในถึงพระเจ้าให้ท่านช่วย เพื่อให้พวกเขาสามารถที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานได้ตลอดกาล และหลังจากนั้นจึงค่อยแนะนำให้พวกเขาเป็นคนดี และพยายามที่จะเป็นมังสวิรัติ และจากนั้นก็แนะนำคำสอนแก่พวกเขาบ้างเพื่อช่วยให้เขาได้มีความเข้าใจ” ไม่เช่นนั้น พวกเขาก็จะคิดว่าเป็นการดีเพียงพอแล้วจะได้รับข้าวสาร อาหารและเงิน มันก็อาจจะดีอยู่ในชั่วเวลาสองสามเดือน แต่ก็ได้แค่เพียงช่วยค้ำจุนทางด้านร่างกายเท่านั้น วันนี้เราอาจจะมีร่างกายแต่ก็อาจจะสูญเสียไปในวันรุ่งขึ้น มันไม่มีทางที่จะปลอดภัยอยู่ได้ถาวร เมื่อเราช่วยเหลือผู้คน ความจริงแล้วการให้ความดูแลทางด้านร่างกายของพวกเขานั้นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ เพราะมันไม่จีรังยั่งยืน มันอาจจะเสียหายจากอุบัติเหตุบนท้องถนนพรุ่งนี้ก็ได้ หรือจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว หรืออาจจะถูกพัดพาไปพร้อมกับน้ำท่วม ไม่มีอะไรที่เราควรจะภาคภูมิใจในการช่วยเหลือกิจกรรมบรรเทาสาธารณภัย มันไม่มีอะไรเลยจริงๆ กับการช่วยประคับประคองร่างกายมนุษย์เอาไว้ชั่วเวลาสองสามเดือน !
ถ้าหากว่าคนเหล่านี้ตายลงในเวลาต่อมา พวกเขาก็ยังคงจะต้องทนทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดบางอย่างเมื่อเขากลับมาอยู่นั่นเอง ถ้าหากเขารอดพ้นจากน้ำท่วมที่นี่ได้ เขาก็อาจผจญกับเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ในอีกสถานที่หนึ่งก็ได้ หรือไม่เขาอาจจะกลับมาเกิดอีกครั้งและตกอยู่ในอันตรายจากอัคคีภัย.....ไม่มีอะไรที่แน่นอน ! ดังนั้นเราจึงใช้โอกาสนี้เพื่อบอกวิถีทางแห่งการหลุดพ้นแก่พวกเขา แนะนำให้พวกเขาหันมาทานอาหารมังสวิรัติ หรือให้สวดถึงพระเจ้า สำนึกผิดอย่างจริงใจ ให้ท่านช่วยเหลือ แล้วบางทีพวกเขาอาจจะได้พบกับอาจารย์ผู้รู้แจ้งเมื่อพวกเขากลับมาเกิดอีกในชาติต่อไป นี่จึงเป็นการช่วยบรรเทาภัยพิบัติอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้น เราก็อาจจะช่วยเหลือพวกเขาได้ในตอนนี้ แต่เขาก็ยังคงต้องพบกับภัยพิบัติอย่างอื่นอีกในไม่ช้า ใครล่ะที่จะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีวาตะภัย แผ่นดินไหว หรือภูเขาไฟระเบิดเกิดขึ้นอีก ?
นั่นเป็นครั้งแรกที่เหล่าเทวดาได้ติดต่อกับมวลมนุษย์ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้คิดใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน ! แต่ก่อนนี้ ตอนที่ลูกศิษย์ที่เป็นนักบวชของเราจัดให้มีการช่วยเหลือบรรเทาสาธารณภัย พวกเขาก็ไม่ได้นึกถึงข้าวของต่างๆ อย่างถี่ถ้วนเช่นกัน พระเจ้าเองก็ไม่ได้คิดถึงมันมากนัก เพราะท่านมัวเพลิดเพลินอยู่กับเหล้าองุ่นและสรรพสิ่งอันปราณีตงดงามบนสวรรค์ ! ถ้าพวกมนุษย์ตกอยู่ในความเจ็บปวดอย่างสาหัส นั่นมันก็เป็นเรื่องของพวกเขา พระเจ้าไม่ได้ทุกข์ทรมาน ดังนั้นท่านจึงไม่รู้เรื่อง ! ดังนั้นทำไมเธอจึงพบว่าคนรวยบางคนนั้นไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับคนยากจน พวกเขาไม่ใช่ว่าจะชั่วร้ายหรือว่าขี้เหนียว แต่เขาไม่รู้ว่าความทุกข์ทรมานแบบใดกันที่คนยากจนต้องการจะให้เขาช่วยเหลือ การที่ตนเองมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ เราจะไม่สามารถรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดของคนที่เจ็บป่วยได้ มันก็เหมือนกับคนที่พูดว่า : เราไม่อาจที่จะเข้าใจถึงความหมายของความเจ็บปวดของคนเป็นพ่อแม่ได้ ถ้าหากว่าตัวเรานั้นไม่เคยได้ให้กำเนิดทารก นี่เป็นความจริงอย่างที่สุด
ฉันเองก็มีประสบการณ์เดียวกันนี้ เฉพาะเวลาที่ฉันไม่สบายฉันจึงจะคิดถึงความเจ็บปวดของผู้ที่เจ็บป่วย ฉะนั้นเวลาที่ฉันไม่สบาย ฉันจะไม่อธิษฐานให้ตัวเองหายป่วย เพราะฉันกลัวว่าฉันอาจจะลืมความเจ็บปวดของผู้ป่วยไข้ไม่สบายในเวลาที่ฉันหายดีแล้ว ดังนั้นฉันจึงปล่อยให้มันเป็นไป และไม่สวดอธิษฐานอะไร ! เวลาที่ฉันอธิษฐาน ฉันก็จะขอกับพระเจ้าว่า “ถ้าหากว่าเป็นไปได้ ก็ปล่อยให้ฉันตกอยู่ในความเจ็บป่วยเพื่อคนอื่นๆ เถิด ถ้าเพียงแต่ความเจ็บป่วยหรือความทุกข์ทรมานของฉันจะสามารถแลกเปลี่ยนให้พวกเขาได้รับความสุขได้”
หลังจากที่พวกเทวดาสอนพลังอิทธิปาฏิหาริย์บางอย่างให้พวกเรา ความชั่วร้ายและความโหดร้ายที่อยู่ภายในของพวกเราก็ปรากฏออกมา และมันก็สายเกินไปที่จะยับยั้งพวกมันไว้ ! เราไม่ได้พัฒนาคุณธรรมของพวกเราไปด้วยในเวลาเดียวกัน พวกเทวดาสอนแต่พลังอิทธิปาฏิหาริย์ แต่ไม่ได้สอนศีลธรรมจรรยา ดังนั้นมันจึงเป็นการสายเกินไป ! พวกเราได้รับพลังอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ เรียบร้อยแล้ว และก็สายเกินไปต่อการฝึกหัดคุณธรรมให้กับพวกเรา ดังนั้นพวกเทวดาจึงต้องใช้วิธีการเหล่านี้เพื่อพันธนาการพวกเราไว้
เธออาจจะถามฉันว่า “อุปสรรคด่านแรกคือความรู้สึกเกี่ยวกับความรัก และด่านที่สองคือกรรม นั่นก็น่าจะเป็นการเพียงพอ แล้วทำไมจึงจำเป็นจะต้องมีด่านที่สามอยู่อีกและด่านที่สี่ล่ะมีไว้เพื่ออะไร มันมีไว้เพื่อประโยชน์ทางด้านความปลอดภัย ! สังเกตดูพวกนักโทษในคุก พวกเขาถูกล่ามโซ่ แล้วก็ยังมีประตูอีกหลายประตูอยู่ข้างในเสริมความมั่นคงด้วยลวดหนามและกำแพงชั้นนอกยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกมากมายคอยคุ้มกันและยังมีระบบที่สามารถหยุดยั้งการหลบหนีได้อย่างทันท่วงทีอีก อย่างเช่นรั้วไฟฟ้าเป็นตัวอย่าง เวลาที่มีคนปีนขึ้นไป เขาก็จะหมดสติและหล่นลงมา ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปตามจับเขา และยังมีเรดาห์กับสัญญาณป้องกัน ถ้ามีคนคลานออกไปข้างนอก สัญญาณก็จะร้องดังขึ้นมา ทำให้ทั่วโลกได้รับรู้







25Ange.jpg









     ไม่มีทางออกไปจากโลกที่สามได้ ก่อนที่จะขจัดทำลายอัตตาลง

     ทำนองเดียวกัน คนบนโลกนั้นทุกข์ทนกับการที่ต้องถูกปิดขังอยู่เบื้องหลังประตูทั้งสองและไม่สามารถที่จะหลบหนีออกไปได้เพียงพออยู่แล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงสร้างประตูที่สามไว้อีก ประตูที่สามมีไว้เพื่ออะไร ? นี่ก็เพื่อในกรณีที่มีคนฉลาดมากๆ และรู้ว่าการกระทำสิ่งที่เลวจะนำมาซึ่งผลกรรมที่เลว และการกระทำดีก็จะนำมาซึ่งผลกรรมที่ดี อะไรจะเกิดขึ้นถ้าหากว่าเขาจะไม่ทำทั้งความดีและความชั่วใดๆ เลย แล้วเขาไปยังโลกในอาณาจักรที่สามได้ ถ้าหากว่าที่นั่นไม่มีกำแพงอีกชั้นหนึ่งในโลกระดับที่สาม เขาก็อาจจะตรงเข้าไปสู่อาณาจักรสวรรค์ได้เลย ! ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำสิ่งที่ดีหรือสิ่งทีเลวเลย แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นผู้ที่มีความเมตตากรุณา บางทีเขาอาจจะมีแผนการดีๆ อยู่ในใจด้วยความที่เขารู้ว่า เขาจะต้องถูกผูกมัดในสิ่งใดก็ตามที่เขากระทำลงไป เขาก็เลยตัดสินใจที่จะไม่ให้เกิดความรู้สึกใดๆ เกี่ยวกับความรัก ! “เรารอได้เสมอจนกว่าเราจะได้ขึ้นไปข้างบน บนนั้นมีนางฟ้านางสวรรค์ แล้วทำไมเราจะต้องมาถูกกักขังอยู่ที่นี่ ? นับตั้งแต่วันนั้น เราปลงใจที่จะไม่ให้เกิดความรู้สึกของความรักใคร่เกิดขึ้นต่อตัวเรา ละเว้นการทำดีและทำชั่วใดๆ แล้วก็คอยดูว่าเราจะสามารถออกไปได้หรือไม่” เราก็ยังคงไม่สามารถที่จะออกไปได้เพราะพวกเทวดาได้คิดถึงสิ่งนี้ไว้แล้ว พวกเขาฉลาดกว่าพวกเรา อาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาหวาดกลัวพวกเรา เพราะพวกเรานั้น “น่ากลัว” จริงๆ
ดังนั้นจึงมีด่านที่สามถัดจากด่านที่สองอยู่อีก ด่านที่สามหยุดเราได้ด้วยวิธีใด ? เราไม่มีความรู้สึกเกี่ยวกับความรักและเราก็ไม่ได้ทำอะไรทั้งที่ดีและทั้งที่เลว ถ้าอย่างนั้นอะไรอีกล่ะที่จะสามารถกักขังหรือควบคุมเราไว้ได้ ? พวกเธอจำได้หรือไม่ว่าคุณลักษณะเฉพาะของโลกระดับที่สามนั้นคืออะไร ? มันคือพลังของการสร้างสรรค์ พระพรหมเป็นผู้สร้างภายในโลกระดับที่สาม ผู้ที่เราเรียกกันว่า พระผู้สร้างก็อยู่เพียงแค่โลกระดับที่สามเท่านั้น พระผู้สร้างที่พวกเราส่วนใหญ่รู้จักก็คือ พระพรหม นั่นเอง พวกเทวดาสามารถผูกมัดพวกเราไว้ได้อย่างไรในขณะที่มอบพลังของการเป็นผู้สร้างแก่เราไปด้วยในเวลาเดียวกัน มันเป็นเพราะว่า ถึงแม้ว่าเราจะเข้าถึงระดับนั้นแล้วก็ตาม เราก็ยังคงมีอัตตาอยู่ เรายังคงเตือนตนเองไม่ให้ทำความดีหรือความเลว ตราบเท่าที่เรายังมีพลัง มีความเฉลี่ยวฉลาดและความตั้งใจที่จะควบคุมตัวเอง เราก็ยังคงมีอัตตาอยู่ ถ้าหากว่าเรามีพลังอิทธิปาฏิหาริย์สร้างบางสิ่งบางอย่างได้ เราก็ยิ่งจะมีความหยิ่งทะนงมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าความหยิ่งทะนองจะเป็นสิ่งที่สูงส่งอย่างหนึ่ง มันก็ยังคงเป็นความหยิ่งอยู่นั่นเอง
“ว้าว ! ฉันยิ่งใหญ่ ! ตอนนี้ฉันเขียนกลอนได้ เล่นเปียโนได้ และก็ทำได้ทุกอย่าง ความสามารถต่างๆ มากมายของฉันได้เผยออกมา” ผลที่สุดก็คือ เราจะกลายเป็นหยิ่งทะนงมากขึ้น ตราบใดที่เรายังคงอยู่ภายในสามโลก เราจะไม่สามารถควบคุมอัตตาได้ เรายังไม่ได้ฝึกฝนคุณธรรมของเรา ไม่ได้ปราบปรามความมีอัตตาทุกๆ วัน และไม่เรียนรู้ที่จะถ่อมตัว ดังนั้นยิ่งเราได้รับผลหรือว่าสร้างสรรค์ได้มากขึ้นเท่าไร เราก็ยิ่งมีความหยิ่งทะนงมากยิ่งขึ้นเท่านั้น นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เราติดอยู่ที่นั่น
หรือว่าเราอาจจะภูมิใจอย่างมากถ้าหากว่าเรามีความฉลาดมากขึ้น หรือว่าสามารถโต้แย้งได้คล่องแคล่วกว่าเดิม “ฉันดีกว่าเขา เพราะเขาเถียงสู้ฉันไม่ได้ ฉันเป็นผู้มีการศึกษาแต่ว่าเขาไม่มี ฉันทำสิ่งนี้ได้ในขณะที่เขาทำไม่ได้” นี่เป็นตัวอย่างหรือว่าฉันมีความสำนึกเสียใจแต่เขาไม่มี มีคนบอกว่าอาจารย์รักคนที่มีความสำนึกผิด ! เธอก็เห็นนี่ว่าฉันเป็นผู้ที่มีความสำนึกผิด ! ฉันนี่ยิ่งใหญ่จริง ! เธอเคยนึกไหมว่าแม้กระทั่งการสำนึกผิดก็ยังสามารถทำให้คนเกิดความหยิ่งลำพองขึ้นมาได้ ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เราสร้างขึ้นมาได้ก็สามารถทำให้เรามีความรู้สึกภาคภูมิใจได้ ดังนั้นมันจึงยากเย็นอย่างที่สุดสำหรับพวกเราที่จะข้ามพ้นออกจากสามโลก ทุกๆ คนจึงได้แต่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ภายในสามโลก แล้วก็คิดว่าพวกเขายิ่งใหญ่และสูงส่งมาก
คนที่มีความถ่อมตัวอาจจะบอกว่า “ว้าว ! ฉันนี่ถ่อมตัวมาก ฉันถ่อมตัวมากกว่าเขา ยังจะมีใครถ่อมตัวมากไปกว่าฉันอีก” คนที่อยู่ใกล้ชิดอาจารย์ก็อาจจะคิดว่าเขานั้นยิ่งใหญ่ “อาจารย์ไว้ใจฉัน ! แสดงว่าฉันจะต้องมีอะไรที่พิเศษ” ส่วนคนที่ไม่สามารถอยู่ใกล้ชิดอาจารย์ได้ ก็อาจจะปลอบใจตัวเองว่า “พวกที่อยู่ใกล้ชิดอาจารย์น่ะเป็นพวกมารพวกปีศาจ (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) ฉันไม่ได้ป่วยขนาดหนัก ดังนั้นอาจารย์ก็เลยไม่เรียกให้ฉันไปอยู่ใกล้ๆ อาจารย์ (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ)
พวกเทวดานั้นช่างเจ้าความคิด ฉันยอมยกย่องพวกเขาจริงๆ นี่เป็นวิธีเดียวที่จะควบคุมมนุษย์โลกได้ เพราะพวกเรานั้นฉลาดซะเหลือเกิน ใช่หรือเปล่า ? พวกเราสร้างได้ทุกสิ่งทุกอย่าง เราสามารถลงไปได้ถึงก้นทะเล สำรวจอวกาศ แล้วก็ลงไปจอดที่ดาวอังคาร เพียงแต่ว่าเรายังไม่ได้เอาพระจันทร์มาเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็น เหลือแต่เพียงดวงอาทิตย์ที่ร้อนเกินไปเท่านั้น (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เราก็เลยไม่กล้าเข้าไปใกล้จนเกินไปนัก ไม่อย่างนั้น ดวงอาทิตย์จะต้องตัวสั่นงันงกในไม่ช้านี้กลัวว่าพวกเราอาจจะไปปล้นพลังงานความร้อนจากมัน (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) แล้วก็ปล่อยให้มันหนาวจนแข็งตาย (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เราได้เริ่มที่จะขโมยความร้อนจากมันเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่หรือ ? (ตอบ : พลังงานแสงอาทิตย์) เราทำสิ่งนี้ขึ้นมาและกำลังคิดจะทำสิ่งนั้น ดวงอาทิตย์ก็เริ่มที่จะตัวสั่นแล้ว
ว้าว ! มันช่างน่ากลัว ใครกันที่จะหยุดเราได้ ? เราทำแม้กระทั่งฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เดียวกัน แล้วใครกันที่จะมาคุกคามพวกเราได้ คนในประเทศนี้ฆ่าคนที่อยู่อีกประเทศหนึ่ง คนนี้ฆ่าคนนั้น มันคือบรรยากาศของการดิ้นรนระหว่างชีวิตและความตาย ! การต่อสู่ก็ดำเนินต่อไปทุกวัน เราไม่มีแม้กระทั่งความเวทนาสงสารต่อเผ่าพันธุ์เดียวกัน ยังมีใครอีกล่ะที่เราจะต้องกลัว พวกเทวดานั้นเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็นและพวกเขาก็ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเรา ดังนั้นเราก็แค่ขโมยจากพวกเขาหากว่าเราทำได้ ระบบที่กักขังพวกเราไว้ในสามโลกนั้นช่างเหลือเชื่อ และมีพลังมากมายยิ่งกว่าอิทธิปาฏิหาริย์ใดๆ ที่เราได้เรียนรู้มา ไม่เช่นนั้นล่ะก็ ด้วยพลังอิทธิปาฏิหาริย์ที่เราเรียนนั้น เราสามารถบุกทะลวงไปได้สามสิบโลก ไม่ต้องไปพูดถึงแค่สาม ! แต่ก่อนนี้เราสามารถทำให้ชั้นซึ่งป้องกันดวงดาวนั้นฉีกขาดแล้วก็ขึ้นไปได้
เดิมทีเดียวแต่ละดวงดาวจะมีเกราะป้องกัน คนเราจะไม่สามารถฝ่าเข้าไปได้ถ้าหากว่าไม่รู้วิธี พวกเทวดานั้นโง่เขลาที่สอนพวกเราถึงวิธีที่จะหลอมละลายสนามแม่เหล็ก และแล้วเราก็จัดการบุกทะลวงเข้าไป ไม่เช่นนั้นเราจะไม่สามารถทำได้ ก็เหมือนกับที่แต่ละประเทศจะมีศุลกากรและเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้ปกป้องพรมแดน เฉพาะเวลาที่เธอมีวีซ่าเท่านั้น พวกเขาจึงจะอนุญาตให้เธอเข้าไปและอยู่ที่นั่นในระยะเวลาที่จำกัดไว้
แรกเริ่มเดิมทีพวกเขาไม่ได้หมายมั่นที่จะโจมตีโลกของเราอย่างรุนแรง ในการที่พวกเขาต้องการจะทำลายอาวุธที่มีพลังร้ายแรงของเรา เขาจะต้องใช้พละกำลังมหาศาล ไม่เพียงแต่โลกเราเท่านั้นที่จะกระทบกระเทือน ดวงดาวใกล้เคียงอีกหลายดวงหรือดวงดาวที่อยู่ในวงโคจรเดียวกับเราก็จะได้รับอิทธิพลจากการระเบิดด้วย ผลที่สุดก็คือพืชพันธุ์บนดวงดาวบางดวงจะอันตรธานหายไป ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ที่นั่นได้ และดินก็จะกลายเป็นดินที่ไม่เหมาะสมต่อการเกษตรกรรม บนดวงดาวเหล่านั้นกลับกลายเป็นมีอันตรายอย่างมาก เพราะที่นั่นไม่มีอากาศหรือบรรยากาศที่จะปกป้อง มนุษย์อาจจะตายได้ถ้าอาศัยอยู่ที่นั่น ดังนั้นพวกเขาจึงขุดหลุมแล้วลงไปอาศัยอยู่ใต้ดิน แม้แต่ต้นไม้หรือดอกไม้ก็ถูกย้ายลงไปใต้ดินด้วย บ้านเรือนถูกปลูกสร้างไว้ที่นั่นโดยมีเกราะกำบังอยู่ด้านบน ถ้าหากว่าพวกเขาต้องการจะออกไปข้างนอก เขาจะต้องเปิดประตูอย่างรวดเร็วแล้วรีบเข้าไปในจานบิน เขาไม่สามารถที่จะเปิดเผยตนเองโดยที่ไม่มีเกราะกำบังออกสู่บรรยากาศได้ ไม่เช่นนั้นเขาก็จะถูกฆ่า บรรยากาศมีความเป็นพิษอย่างสูงซึ่งเป็นอันตรายอย่างรุนแรงต่อทั้งมนุษย์และพืช ดังเช่นเรารู้ว่ามีก๊าซบางชนิดที่มีพิษและเป็นอันตรายถึงตาย เราอาจจะทำให้ตัวเองถึงแก่ความตายได้หากว่าไม่ระมัดระวัง ดวงดาวที่ถูกผลกระทบจากการระเบิดเหล่านั้นก็สร้างบรรยากาศที่เป็นพิษซึ่งเป็นอันตรายอย่างมากต่อสภาพชีวิต แน่นอนที่สุด สถานการณ์จะปรับเปลี่ยนเป็นดีขึ้นหลังจากหลายๆ พันปี แต่ก็ไม่ได้พื้นคืนอย่างสมบูรณ์ ฉะนั้นเราจึงไม่สามารถที่จะพูดได้ว่า เวลาที่ตัวเราผู้เดียวหรือโลกของเราทำอะไรลงไป เราจะเป็นเพียงผู้เดียวที่ได้รับซึ่งผลลัพธ์นั้น บางครั้งคนอื่นๆ ก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน
ในเวลานั้นเราขึ้นไปโจมตีดวงดาวหลายต่อหลายดวง และเป็นธรรมดาอยู่เองที่พวกเขาจะต้องตอบโต้ แม้ว่าบรรดาพุทธะจะบอกพวกเขาไม่ให้ทำเช่นนั้น นั่นก็เป็นการกระทำโต้ตอบตามธรรมชาติของพวกเขาเอง ผลก็คือ พวกเขาก่อให้เกิดกรรมซึ่งเขาจะต้องชดใช้ในภายหลัง นี่เป็นความยุ่งยากจริงๆ 






micael.jpg









     โลกระดับที่สี่ เขตปลอดภัยซึ่งปกป้องดินแดนบริสุทธิ์

     ในที่สุดก็มาถึงระดับที่สี่ เขตปลอดภัยชั้นสุดท้าย เหมือนกับคุกซึ่งเราขังพวกนักโทษเอาไว้ ถึงแม้ว่าพวกเขาอาจจะได้รับอิสระมากขึ้น เรียนรู้ที่จะเป็นคนฉลาดและดูจากภายนอกแล้วดีขึ้น เราก็ไม่สามารถปล่อยพวกเขาอย่างอิสระตามท้องถนนได้ เพราะพวกเขายังเป็นนักโทษอยู่ ! เขายังไม่ได้ชดใช้ต่ออาชญากรรมที่ตนทำขึ้นหรือว่ายังไม่สมควรแก่เวลาตามที่กำหนดไว้ การมีอิสระมากขึ้นอาจจะทำให้พวกเขารู้สึกกระวนกระวายและก่อการกบฏขึ้นได้ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องมีกำแพงชั้นนอก พวกเขามีอิสระที่จะผ่านประตูได้หลายชั้นโดยที่ไม่มีผู้คุมคอยขัดขวาง แต่เขาก็ต้องกลับไปนอนที่ห้องขังของตนเองในตอนกลางคืน เพื่อควบคุมพวกเขาจากการไปทำสิ่งเลวร้าย ยังไม่อาจที่จะแน่ใจได้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ภายใน พวกเขาเพียงแต่ดูดีจากภายนอกเท่านั้น แต่เราไม่สามารถอ่านใจของพวกเขาได้ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่กำแพงเป็นสิ่งที่จำเป็น
ทำนองเดียวกัน เมื่อเราได้เข้าถึงโลกในระดับที่สาม เราได้ชื่อว่ากลายเป็นผู้มีความเมตตา อย่างเช่น เราไม่ถูกผูกมัดด้วยความรู้สึกใดๆ เกี่ยวกับความรัก เราควบคุมตัวเองได้ เรามีปัญญา พูดจาแคล่วคล่อง คารมคมคายและมีพลังแห่งการสร้างสรรค์ อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครรู้ว่าเรายังมีความเลวร้ายอยู่ภายในหรือไม่ และได้เข้าถึงสถานะของความไม่มีอัตตาหรือยัง ดังนั้นเราจึงยังไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปข้างบนได้ อะไรจะเกิดขึ้นหากเราไปเรียนรู้อะไรที่สะเพร่าเข้า แล้วก็กลับมาทำร้ายผู้คน ราอาจจะกระทั่งโจมตีพวกเทวดาเหมือนอย่างที่เราเคยทำมาก่อน ฉะนั้นมันจึงไม่ปลอดภัยเพียงพอที่จะมีอุปสรรคเพียงแค่สามด่าน! 
เราจะได้รับอิสระกลับคืนมาเมื่อถึงระดับที่สี่ เรามีอิสระมากขึ้นตั้งแต่เราไม่มีกรรมใดๆ และเรามีพลังมีปัญญาอย่างไรก็ตาม วิญญาณภายในของเรายังคงอยู่ภายใต้การสังเกตการณ์ ด้วยเหตุนี้ ยิ่งเราขึ้นไปได้สูงขึ้นเท่าใด เราก็ยิ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากมากยิ่งขึ้น ถอนหายใจ ! พระเจ้า บรรดาพุทธะไม่กล้าที่จะไว้วางใจพวกเราอีกต่อไป จะเป็นอย่างไรหากเราบุกโจมตีบัลลังก์ของพวกเขาด้วยปืนกับมีด ? (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เราอาจจะขู่เข็ญกวนอิมโพธิสัตว์ หรือว่าสั่งให้ศากยมุนีพุทธเจ้ายอมจำนน “เร็วๆ เข้า เรียกตัวลูกศิษย์ทั้งหมดของท่านมารวมกัน (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) และก็บอกให้พวกเขาเชื่อฟังคำสั่งของพวกเรา” พอเห็นศากยมุนีพุทธเจ้าถูกจับเป็นตัวประกัน พวกเขาก็คงไม่กล้าที่จะทำอะไร และพวกเทวดาทั้งหลายก็จะพากันยอมแพ้ เธอนึกภาพออกไหมว่าสถานการณ์แบบไหนที่จะเกิดขึ้น
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำไมโลกระดับที่สี่จึงทั้งกว้างและก็มืดมิด ยาวไกลและยากที่จะผ่านเข้าไปได้ มันเป็นเขตคุ้มกันด่านสุดท้ายที่ปกป้องโลกระดับสูงเอาไว้ เมื่อเราเข้าไปได้ถึงระดับที่สาม เราจะมีอะไรบางอย่างบ้างแล้ว เรามีพลังอิทธิปาฏิหาริย์เฉลี่ยวฉลาด สามารถประดิษฐ์คิดค้นหลายสิ่งหลายอย่าง และเป็นอิสระจากพันธะผูกมัดของความรู้สึกเกี่ยวกับความรัก ว้าว ! เรามีกำลังใจที่เข้มแข็งและมีพลังที่ไม่น่าเชื่อ ! ถ้าหากเราขึ้นไปปล้นสะดมโลกของพวกเขา พุทธะทั้งหลายคงต้องตกอยู่ในความลำบากอย่างวิกฤติ และจะสายเกินกว่าที่จะหยุดยั้งเราไว้ได้ !
ฉะนั้นโลกระดับที่สี่จึงได้ยากที่สุดที่จะผ่านเข้าไป ถ้าปราศจากอาจารย์ผู้รู้แจ้งเป็นผู้รับประกัน เราจะไม่มีวันทำได้เลย เราได้รับอนุญาตให้ท่องเที่ยวไปอยู่ในสามหรือกระทั่งสี่โลก เราสามารถพักอยู่ที่นั่น เราสามารถบินไปรอบๆ อย่างเสรี และเพลิดเพลินกับแสงของดวงอาทิตย์หมื่นหกพันดวง แต่ก็เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากกว่านี้ เราสามารถจะไปที่ไหนก็ได้ยกเว้นขึ้นไปข้างบน ทางเข้าที่ซ่อนอยู่จะไม่ปรากฎขึ้น นอกจากเธอจะมีอาจารย์ผู้รู้แจ้งเป็นผู้นำทาง มันก็เหมือนกับประตูลับซึ่งต้องการรหัสลับสำหรับเปิด มีเพียงคนหรือสองคนที่รู้รหัส เหมือนกับความลับเกี่ยวกับความปลอดภัยของชาติ ปุ่มกลไกหรือรหัสลับบางอย่างนั้นรู้กันเพียงเฉพาะไม่กี่คนในหน่วยงานกลาโหม ไม่มีคนอื่นอีกที่จะรู้ได้ เพราะเขาเกรงว่าอาจจะถูกสายลับของศัตรูค้นพบความลับและพวกเขาก็จะตกอยู่ในความลำบาก
คราวนี้เธอก็รู้แล้วว่าโลกระดับที่สี่มีไว้เพื่ออะไร เป็นระบบที่สมเหตุสมผลอย่างมากจริงไหม ? (ตอบ : ใช่) ไม่มีอะไรที่ลึกลับ เธอไม่ต้องสงสัยหรือว่าเดาสุ่มในคำพูดของฉัน “ทำไมมันจึงเป็นเช่นนั้น มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือ ? “ พวกเธอสงสัยอะไรอีกหรือเปล่า (ตอบ : ไม่สงสัย)






cupid.jpg&t=1





       Be Veg Go Green 2 Save the Planet

www.suprememastertv.com				
2 กันยายน 2553 12:44 น.

ความรักอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า....

คีตากะ

113.jpg     หากเรายังยึดติดสิ่งใดๆ ในโลก เช่นนี้แล้วเราก็จะอยู่ในเงาแห่งการสูญเสียทุกขณะ สิ่งที่เราจะพึ่งได้เท่านั้นคือ อาจารย์ภายใน พลังอันยิ่งใหญ่ เช่นนี้แล้วเราก็จะปราศจากความกลัว สบายใจและได้รับการหลุดพ้น




     ฉันได้เป็นบุตรสาวอันเป็นที่รักของพระเจ้าอยู่เสมอนับแต่ในวัยเด็ก เพราะว่าด้วยวิธีบางอย่างโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก ฉันก็ได้เป็นเจ้าของบางสิ่งซึ่งผู้อื่นไม่มี แม้ว่าพวกเขาจะมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าและได้ทำงานอย่างหนักเพื่อสิ่งนั้น พวกเขาบางคนก็รู้สึกอิจฉาฉันมาก แต่ฉันไม่ได้รู้สึกภูมิใจในสิ่งเหล่านี้เลย เพราะฉันรู้อยู่ลึกๆ ภายในหัวใจของฉันว่า สิ่งต่างๆ ทั้งหลายนี้มาจากพระเจ้าไม่ใช่มาจากฉัน ทุกครั้งถ้าฉันยึดติดมากเกินไปในสิ่งเหล่านั้นหรือพึ่งพาอามันมากเกินไป ไม่รู้สึกขอบคุณพระเจ้า หรือลืมความรักของพระองค์ เช่นนี้แล้วพระองค์ก็จะเอามันไปจากฉันเพื่อชำระล้างอุปสรรคทั้งหลายระหว่างพระองค์และฉัน พระองค์ได้สอนฉันครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความอดทนอันไม่สิ้นสุด แม้ว่าฉันจะร้องไห้และเศร้าโศกเสียใจเพื่อที่จะให้ฉันรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งสำคัญจริงๆ และทำให้ฉันได้เข้าใกล้พระองค์มากยิ่งขึ้น ไม่ใช่ว่าพระองค์เป็นผู้ที่มีความคิดคับแคบที่จะต้องการความขอบคุณจากฉัน แต่ถ้าฉันรักสิ่งใดมากกว่าพระองค์ มันก็จะเป็นอุปสรรคระหว่างพระองค์และฉัน ทำให้ฉันเหินห่างจากพระองค์
	      ดังนั้นทุกครั้งที่พระองค์เอาสิ่งใดๆ ไปจากมือของฉัน จะมีความกรุณาของพระองค์อยู่เสมอ มีความเมตตาและพระพรซ่อนอยู่ลึกๆ ภายในนั้น คัมภีร์ไบเบิ้ลได้กล่าวไว้ว่า “หากพระเจ้าปิดประตู พระองค์ก็จะเปิดหน้าต่างอีกบานหนึ่งให้เธอ” ท่านอาจารย์ก็ได้เคยเล่าเรื่องให้เราฟังเกี่ยวกับสุภาพสตรีและกษัตริย์ กษัตริย์บอกสุภาพสตรีนั้นว่า หล่อนสามารถเอาอะไรก็ได้ชิ้นหนึ่งจากพระราชวังของพระองค์ไปเป็นของขวัญถ้าหล่อนปรารถนา สุภาพสตรีผู้ชาญฉลาดนั้นได้เลือกที่จะเอาตัวพระราชา เพราะเมื่อหล่อนเป็นเจ้าของพระราชา หล่อนก็จะได้เป็นเจ้าของทั้งอาณาจักร ก็เหมือนกันกับถ้าเราสละทุกสิ่งทุกอย่างและพึ่งพาพระองค์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น เราก็จะมีทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ได้สร้างขึ้น
	     ครั้งหนึ่งท่านอาจารย์ได้บอกพวกเราว่า “แม้ว่าเธอบำเพ็ญความดีและความยุติธรรมก็จะมีพลังทางลบที่จะพยายามโจมตีเธออยู่เสมอ ที่จะพยายามทำให้เธอหันเหออกจากจุดมุ่งหมายของเธอ ล่อลวงเธอให้ไปในทิศทางต่างๆ ทำให้เธอไขว้เขว ดังนั้นจึงต้องใช้ความมุ่งมั่นอย่างมากและหลักการที่จะควบคุมตัวเราเอง ที่จะตรวจสอบวิธีการของเรา ที่จะตรวจสอบชีวิตของเรา เพื่อว่าเธอได้เติบโตในทิศทางที่ถูกต้องอยู่เสมอโดยไม่ต้องเสียใจและไม่ต้องมาพร่ำบ่นถ้าเธอไม่ได้รับผลที่ดีจากมัน แต่ทั้งๆ ที่มีอุปสรรคทั้งหลายเหล่านี้ และความไม่เป็นที่น่ายินดีในรูปแบบใดๆ เราก็ยังคงพัฒนาต่อไป เรายังคงพัฒนาตัวเราต่อไปที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง เพราะว่ามันถูกต้อง เพราะมันเป็นการท้าทายของโลกนี้ที่เราจะพูดในวิถีทางแห่งพระเจ้าอยู่เสมอ ที่เราพูดศีลแห่งความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอยู่เสมอ นั่นก็คือวิธีการที่เราจะขึ้นไปให้อยู่เหนือความแตกต่างทั้งหลายและคำสรรเสริญและการติเตียนทั้งหลาย เพื่อที่จะเป็นมนุษย์ผู้สูงส่ง” คัดจาก “กุญแจแห่งการรู้แจ้งในทันที” เล่มห้า ปราศรัยเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 1993)
	      ฉันเคยมีความคิดว่า ตราบใดที่เราได้รับการประทับจิตจากอาจารย์ผู้รู้แจ้ง เราก็จะปลอดภัย แต่ตอนนี้ฉันรู้ว่าถ้าเราไม่จริงจังต่อตัวเราเพียงพอในการบำเพ็ญ ถ้าเราไม่มีศรัทธาอันแรงกล้าและความจริงใจอย่างแท้จริงในหนทางการบำเพ็ญ ถ้าเราไม่มีค่าคู่ควรกับธรรมวิถีที่ท่านอาจารย์ได้ถ่ายทอดให้กับเรา เราก็จะไม่สามารถผ่านการทดสอบทั้งหลาย ฉันขอร้องพระเจ้าทั้งน้ำตาว่า “โปรดอย่าได้เข้มงวดมากนักกับสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้เพราะมันน่าเสียดายถ้าผู้นั้นต้องหลุดออกจากหนทางหลังจากประทับจิตแล้ว” แต่ฉันก็ได้รับความรักอันสูงสุดของพระองค์จากบทเรียนอันเข้มงวดและรุนแรงนี้ และด้วยน้ำตาและความโศกเศร้าฉันก็ได้รับความกล้าหาญที่จะเผชิญกับทั้งโลกถ้าฉันอยู่ในด้านที่ถูกต้อง แต่ก่อนฉันไม่คิดว่าฉันอยู่ในด้านที่ถูกต้อง แต่ก่อนฉันไม่คิดว่าฉันจะทำมันได้ ท่านอาจารย์ได้บอกพวกเราหลายครั้งว่ายุคทองกำลังใกล้เข้ามา ฉันได้เรียนรู้จากคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ว่า ผู้คนสามารถติดต่อกับพระเจ้าได้โดยตรงในยุคทอง เมื่อเราพึ่งพาพระองค์เท่านั้นจริงๆ และฟังคำสั่งจากปัญญาสูงสุดโดยตรง และเผชิญหน้ากับโลกอย่างห้าวหาญ เราก็จะอยู่ในยุคทองในขณะนี้ !



บนเส้นทางการบำเพ็ญ

โดยพี่ประทับจิตหญิง มิลินซู ฟอร์โมซา






member-%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8				
1 กันยายน 2553 01:10 น.

การเตือนที่เร่งด่วน...

คีตากะ

boxser-1276841236-124-121-27-252.gifข้อมูลเร่งด่วนจากท่าน Supreme Master Ching Hai

     สวัสดี ท่านผู้พิพากษาอันทรงเกียรติที่เคารพ ท่านผู้ช่วยที่นับถือ ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษที่สูงส่ง ฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเฉลิมฉลองในโอกาสพิเศษนี้ สำหรับโครงการใหม่ของท่านที่ชื่อ “Diploma Participation in Environmental Right” ในฐานะพลเมืองของโลกที่ให้ความใส่ใจต่อโลกใบนี้ ฉันขอแสดงความยินดีและขอบคุณสำหรับความเพียรพยายามอย่างจิรงใจนี้ ที่ท่านแสดงออกถึงความใส่ใจระดับสูงในการอุทิศตนต่อสิ่งแวดล้อมและโลกของเรา ขอให้สิ่งนี้เป็นแรงเสริมสร้างกำลังใจของท่านเพื่อนำความยุติธรรมที่สุดมาให้แก่ทุกชีวิตบนดาวเคาระห์ดวงนี้ วันนี้ ฉันรู้สึกได้รับเกียรติอย่างมาก ด้วยความถ่อมตัวของฉันต่อการปกครองด้วยปัญญาของท่านโดยการแบ่งปันข้อมูลหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใหม่ล่าสุดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและสาเหตุอย่างเร่งด่วนที่สุด 
 
ก.ผลกระทบจากภูมิอากาศและภัยคุกคาม
เราได้รับสัญญาณต่างๆ จากวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้น ปรากฏหลักฐานให้เห็นได้ทั่วทุกมุมโลก สิ่งแรกคือพายุที่มีความรุนแรงเป็นสองเท่าในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา อย่างที่เราสามารถเห็นได้ที่เกิดขึ้นในเม็กซิโกเอง เมื่อเร็วๆ นี้ พายุเฮอริเคนและน้ำท่วมที่สร้างความเสียหายให้กับครอบครัว ซึ่งต้องได้รับความเจ็บปวดและเศร้าโศก ขณะเดียวกับที่ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในระดับที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้ประเทศที่เป็นเกาะอย่างน้อย 18 แห่ง จมหายไปและบริเวณชายฝั่งที่มากกว่านั้นยังถูกคุกคามต่อไป เมื่อธารน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่มากมายได้ลดขนาดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ประชากรมากกว่า 2 พันล้านคนขาดแคลนน้ำและอาหารไปแล้ว ความทุกข์อีกมากมายมาจากการขาดแคลนน้ำและแม่น้ำนับหมื่นๆ แห่งหายไปและเหือดแห้งลง ประเทศเม็กซิโกเองเวลานี้กำลังตกอยู่ภายใต้ภัยแล้งที่รุนแรงที่สุดในรอบเกือบ 70 ปี เพื่อนมนุษย์มากกว่า 300,000 คน กำลังตายในแต่ละปีเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ มากกว่า 20 ล้านคนต้องอพยพย้ายถิ่นฐานกลายเป็น”ผู้ลี้ภัยทางภูมิอากาศ” นักวิทยาศาสตร์ยังกังวลเกี่ยวกับมีเทนเป็นพันๆ ล้านตันที่เกิดจากการละลายของชั้นดินเยือกแข็งคงตัวบริเวณอาร์กติกขั้วโลกเหนือเวลานี้ และมหาสมุทรที่กำลังร้อนขึ้นเรื่อยๆ แค่เพียงส่วนใดส่วนหนึ่งสามารถปลดปล่อยออกมาก็จะนำไปสู่การสูญพันธุ์อย่างมหาศาล

ข. สาเหตุ
อะไรคือสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงที่สร้างความเสียหายเหล่านี้ ? มันไม่ใช่รถยนต์ หรือเครื่องบิน มันไม่ใช่โรงงานถ่านหิน และมันไม่ใช่แม้กระทั่งโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยควันทั้งหมดในโลกของเรา สาเหตุอันดับหนึ่งของภาวะโลกร้อนคือการปศุสัตว์ งานวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้บอกเราว่าการเลี้ยงปศุสัตว์เป็นสาเหตุมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของการปล่อยแก็สเรือนกระจกของโลก ฟาร์มเลี้ยงสัตว์เป็นแหล่งเดียวที่ใหญ่ที่สุดของการผลิตมีเทนจากกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นแก็สเรือนกระจกที่สามารถดักความร้อนอย่างน้อย 72 เท่ามากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ โดยวัดในช่วง 20 ปี ข่าวดีเกี่ยวกับมีเทนดักความร้อนนี้คือว่าแก็สนี้มีอายุสั้นกว่าคาร์บอนไดออกไซด์และสลายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับคาร์บอนไดออกไซด์ที่อยู่ในบรรยกาศได้นานนับพันๆ ปี ขณะที่อายุของมีเทนในบรรยากาศแค่ประมาณ 12 ปี กล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่ามีเทนสร้างความเสียหายมากกว่าในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ถ้าเราหยุดมัน เราจะสามารถหันกลับจากภาวะโลกร้อนได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นการหยุดภาวะโลกร้อนอย่างรวดเร็วคือการหยุดปล่อยมีเทน เราจะต้องหยุดแหล่งอันดับหนึ่งของมันนั่นคือการทำฟาร์มปศุสัตว์

ค.การปศุสัตว์
เวลานี้ เรากล่าวเกี่ยวกับการปศุสัตว์ การทำฟาร์มปศุสัตว์เป็นสาเหตุของผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งทำให้ภาวะโลกร้อนเลวร้ายมากยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามที่องค์การสหประชาชาติและการศึกษาอื่นๆ กล่าวไว้ว่า การเลี้ยงฟาร์มปศุสัตว์เป็นที่รู้กันว่าเป็นสาเหตุผลกระทบสร้างความเสียหายดังต่อไปนี้

1.	การทำลายป่า 
การเลี้ยงฟาร์มปศุสัตว์เป็นตัวการเดียวที่มนุษย์ใช้ที่ดินมากที่สุดและเป็นสาเหตุหลักของการทำลายป่า ตั้งแต่ปี 2513 การผลิตปศุสัตว์ได้เป็นสาเหตุของการทำลายป่าในอะเมซอน 90 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นการถางป่าเพื่อใช้เป็นทุ่งหญ้าปลูกพืชอาหารเลี้ยงสัตว์ให้เจริญเติบโต บริเวณป่าเขตร้อนขนาดเท่าสนามฟุตบอลถูกทำลายไปทุกๆ หนึ่งวินาทีเพื่อผลิตแฮมเบอร์เกอร์แค่ 250 ชิ้น นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าถ้าเรายังคงเดินอยู่บนเส้นทางแห่งการทำลายนี้ ป่าของโลกจะหยุดดูดซับแก็สเรือนกระจกในไม่ช้า และจะเริ่มปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณมหาศาลออกมาแทน มากไปกว่านั้นการทำลายป่าเพื่อกิจกรรมการทำฟาร์มปศุสัตว์ก็ยังผลิตคาร์บอนดำ(Black Carbon) คาร์บอนดำเป็นส่วนหนึ่งของแก็สเรือนกระจกที่สามารถดักความร้อนได้ 680 เท่าของคาร์บอนไดออกไซด์ และเป็นสาเหตุให้แผ่นน้ำแข็งและธารน้ำแข็งทั่วโลกละลายรวดเร็วยิ่งขึ้น การปล่อยคาร์บอนดำถึง 40 เปอร์เซ็นต์มาจากการเผาป่าเพื่อการทำฟาร์มปศุสัตว์

2.	การกัดเซาะดินและกลายเป็นทะเลทราย
 มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ของการกัดเซาะหน้าดินรอบโลกมีสาเหตุมาจากการปศุสัตว์ซึ่งเกิดขึ้นมายาวนานพร้อมกับการทำลายป่า นำไปสู่การกลายเป็นทะเลทราย

3.	การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
การทำฟาร์มปศุสัตว์เป็นสาเหตุของการสูญพันธุ์ของสัตว์และพืช เนื่องจากการเสื่อมสภาพของดิน และผลกระทบที่ทำลายที่อยู่อาศัยอื่นๆ อุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์กำลังฆ่าชีวิตป่าที่สวยงามของเราให้หมดไป รวมทั้งในเม็กซิโก

4.	มลภาวะเป็นพิษ
ทุกๆ ส่วนของอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์เป็นแหล่งที่ใหญ่ที่สุดของมลภาวะทางน้ำ ของเสียจากสัตว์ที่มากเกินไปที่ไม่มีการจัดการที่ดี ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง ยาปฏิชีวนะ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปนเปื้อนจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์กีดขวางทางน้ำของเราและสร้างพื้นที่มรณะทางทะเล (Dead Zone) อย่างเช่น บริเวณที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในอ่าวเม็กซิโก

5.	เชื้อโรค
โรคติดต่อในมนุษย์มากกว่า 65 เปอร์เซ็นต์ ตามที่ทราบกันมาจากสัตว์ ความสกปรกและสภาพไร้มนุษยธรรมของฟาร์มเลี้ยงสัตว์เป็นที่อาศัยของเชื้อแบคทีเรียและไวรัส เช่น ไข้หวัดนก และไข้หวัดหมู ที่เราทั้งหมดทราบว่ามีการระบาดอย่างรวดเร็วอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นสาเหตุการตายของคนจำนวนมากทั่วโลก

6.	สูญเสียอาหาร
การทำฟาร์มปศุสัตว์ใช้เมล็ดข้าวปริมาณมากถึง 12 เท่า เพื่อผลิตโปรตีนที่เท่ากับผักในปริมาณที่เท่ากัน เมล็ดข้าวในโลกปริมาณ 730 ล้านตันที่ถูกเก็บเกี่ยวถูกใช้ไปกับการผลิตโปรตีนเนื้อสัตว์ ปริมาณนี้สามารถเลี้ยงประชากรที่หิวโหยทั้งหมดจำนวน 1 พันล้านคนของโลกหรือจำนวนหลายเท่ากว่านั้น

7.	สูญเสียน้ำ
ต้องใช้น้ำมากกว่า 1,200 แกลลอนเพื่อผลิตเนื้อวัว 1 จาน แต่ใช้น้ำเพียง 98 แกลลอนเพื่อผลิตอาหารจากผักที่มีคุณค่า 1 มื้อ ขณะที่ประชากร 1.1 พันล้านคนขาดแคลนน้ำดื่มที่สะอาดปลอดภัย เราสูญเสียน้ำสะอาดมีคุณค่าปริมาณ 3.8 ล้านล้านตันในแต่ละปีเพื่อการผลิตปศุสัตว์

8.	สูญเสียพลังงานและทรัพยากร
การผลิตเนื้อสัตว์ต้องการพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลถึง 8 เท่าในการผลิต เมื่อเทียบกับการผลิตพืชผัก จากการศึกษาพบว่าการผลิตเนื้อและนมในเม็กซิโกใช้พืชผลทางการเกษตรและทรัพยากรมากที่สุดในประเทศและมันสะท้อนให้เห็นทุกๆที่รอบโลกล้วนเป็นเช่นเดียวกันด้วย หลักฐานทั้งหมดกล่าวด้วยเสียงอันดังและชัดเจน ถ้าทรัพยากรเหล่านี้ ที่ดิน น้ำ และเมล็ดข้าวถูกเปลี่ยนไปเพื่อค้ำจุนมนุษย์แทนการปศุสัตว์ โลกจะแตกต่างออกไปอย่างที่ควรจะเป็น นักวิทยาศาสตร์ทางภูมิอากาศที่น่านับถือ ประกอบด้วย ดร.เจมส์ เฮนเซนจากนาซ่า ดร.คาร์ลอส โนบริของบราซิลจากสถาบันวิจัยอวกาศแห่งชาติ และดร.ราเจนดรา ปาเชารี ประธานคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (IPCC) ของสหประชาชาติ ทั้งหมดได้กล่าวว่าการลดการบริโภคเนื้อสัตว์หรือการเป็นมังสวิรัติคือวิธีการที่มีประสิทธิผลในการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน นั่นคือเราต้องมีวิถีชีวิตที่ปลอดเนื้อสัตว์ มีวิถีชีวิตแบบเมตตา เวลานี้ฉันจะนำเสนอบางส่วนของประโยชน์หลายอย่างของการทานอาหารจากผักปลอดสารพิษ

ง. ประโยชน์ของผัก
อย่างแรก ที่ดินเพื่อการเลี้ยงสัตว์และปลูกพืชเลี้ยงสัตว์สามารถเปลี่ยนมาเป็นป่าที่ช่วยลดภาวะโลกร้อน นอกจากนั้นผืนดินยังสามารถนำไปใช้ในการทำไร่ปลูกผักปลอดสารพิษ(เกษตรอินทรีย์) ไม่เพียงประชากรจะมีอาหารกินอย่างเต็มที่ แต่แก็สเรือนกระจกมากถึง 40 เปอร์เซ็นต์ในชั้นบรรยากาศสามารถถูกดูดซับ นอกจากนั้นยังเป็นการกำจัดของเสียมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ที่เป็นสาเหตุมาจากการทำฟาร์มปศุสัตว์อีกด้วย ดังนั้น โดยภาพรวมเรากำจัดแก็สเรือนกระจกที่มนุษย์สร้างเกือบทั้งหมดด้วยการนำวิถีอย่างเรียบง่ายจากการปลอดเนื้อสัตว์มาใช้วิถีการปลูกพืชผักแบบเกษตรอินทรีย์ นี่ยังนำไปสู่การพยายามประหยัดเงินจำนวนมากให้กับรัฐบาลในโลก จากคำนวณเมื่อเปลี่ยนไปทานอาหารจากผัก รัฐบาลในโลกจะประหยัดเงินได้ถึง 32 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (992 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2593 หรือคิดเป็น 80 เปอร์เซ็นต์ของค่าใช้จ่ายเพื่อบรรเทาด้านภูมิอากาศ ท้ายที่สุด แน่นอนว่ามันมีประโยชน์อย่างดีเลิศต่อสุขภาพในการทานอาหารจากผัก ซึ่งสามารถป้องกันโรคมะเร็ง ป้องกันและรักษาโรคหัวใจและเบาหวาน เสริมสร้างระบบภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย อายุยืนยาว และรักษาสุขภาพ สร้างความเฉลียวฉลาด และความสงบให้ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก 
	     ในท้ายที่สุด ทั้งสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีของประเทศที่ดีอย่างเม็กซิโกที่ค้นหาความเจริญก้าวหน้าทางด้านกิจกรรมสิ่งแวดล้อม และกำลังวางแผนเพื่อที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการเอาชนะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปกป้องโลก รัฐธรรมนูญของเม็กซิโกได้ระบุว่า”ทุกคนมีสิทธิ์อย่างเหมาะสมต่อการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมและการอยู่ดีกินดี ” ไชโย ในช่วงเวลาที่เร่งด่วนที่สุดนี้สำหรับดาวเคราะห์โลก ฉันขอวิงวอนต่อความปราณีอย่างมีเกียรติของท่าน ได้โปรดกรุณาช่วนเหลือประเทศของท่านและสิ่งมีชีวิตบนโลกของเราจากหายนะเนื่องจากภาวะโลกร้อนที่กำลังจะมาถึง ถ้าท่านไม่กระทำ ก็จะมีหายนะที่ยิ่งใหญ่มากเกินไป ความทุกข์ทรมาณมากเกินไปต่อประชาชน ครอบครัว และเด็กๆ ซึ่งจิตสำนึกของเราอาจจะไม่มีวันแบกรับได้ ฉันให้เกียรติท่านในการพูดความจริงซึ่งเราต้องกลายมาเป็นผู้ทานผัก(Vegan) เพื่อช่วยรักษาโลกของเรา เราไม่สามารถรอคอยพลังงานแบบยั่งยืนและเทคโนโลยี่เขียวเพื่อให้เกิดขึ้นมาและให้ทุกคนได้ใช้ มันอาจจะสายเกินไป ฉันเรียกร้องความกล้าหาญของผู้ให้การปรึกษาที่มีอยู่ทั้งหมด ผู้มีอำนาจและพลังอำนาจในตัวท่าน จงนำประชาชนของท่านไปสู่วิถีชีวิตที่สูงส่ง มีคุณธรรม รักษาชีวิต และหนทางที่ยั่งยืนบนโลก ขอบคุณสำหรับความสนใจของท่าน พระเจ้าอวยพรทุกท่าน พระเจ้าอวยพรเม็กซิโก ขอบคุณ







empty.gif				
24 สิงหาคม 2553 20:01 น.

ชุมนุมมังกรซ่อนพยัคฆ์....

คีตากะ

“     พลังจิตวิญญาณเป็นของฟ้า ร่างกายเป็นของดิน เมื่อพลังจิตวิญญาณกลับบ้านและร่างกายคืนสู่แหล่งกำเนิด ตัวตนอยู่ที่ไหน ?”.....

     หนุ่มน้อยหน้าตาผ่องใสคนหนึ่ง รูปร่างสันทัด บุคลิกลักษณะของเขาไม่คล้ายคนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ เขาสะพายกระเป๋าเป้สัมภาระอยู่บนหลัง ราวกับว่าไม่อาจปล่อยวางมันลงมาได้ตลอดชีวิตก็ปาน เขาเดินทางมาจากภาคตะวันตกของประเทศ และกำลังเดินวนเวียนด้วยจิตใจที่ว้าวุ่นอย่างหนักอยู่ภายในบริเวณสถานีรถของจังหวัดรอยต่อระหว่างภาคกลางกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป้าหมายการเดินทางครั้งนี้เป็นวัดป่าแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคอีสานตอนบน....
     เขาใส่เสื้อผ้าธรรมดา สีพื้นๆ สวมกางเกงยีนเก่าๆ ท่าทางซอมซ่อ ไม่เป็นที่สะดุดตามากนักสำหรับคนผ่านทางที่ได้พบเห็น สีหน้าของเขาฉายแววความกังวลอยู่หลายส่วน คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันเป็นปมยุ่งอยู่ตลอดเวลา คล้ายมีปัญหายิ่งใหญ่อันใดที่ไม่อาจคลี่คลายได้ แต่ความวิตกกังวลเหล่านั้นก็ไม่อาจทำลายเค้าลางความงามตามธรรมชาติของเขาลงได้แม้แต่น้อย จิตใจของเขากำลังดิ้นรนเพื่อเสาะแสวงหาบางสิ่งบางอย่างนั่นคือ “การพ้นทุกข์”....

     “ทางที่พูดถึงได้มิใช่ทางอมตะ นามที่บัญญัติได้มิใช่นามยั่งยืน สิ่งที่ถูกจดจารหรือถ่ายทอดแก่ผู้อื่นได้ก็คือกาก”…..

     เขายังตามระลึกได้ว่าชีวิตช่วงที่ผ่านมาของเขานั้นทุกข์ทรมานแสนสาหัสเพียงใด แท้ที่จริงแล้วเขาไม่มีความปรารถนาที่อยากจะอยู่บนโลกอันมีแต่ความทุกข์แบบนี้อีกต่อไปเลยด้วยซ้ำ แต่เขาก็รู้ว่าการทำร้ายตัวเองเป็นบาปมหันต์ ภาพความเลวร้ายต่างๆที่เขาได้ประสพมาโดยเฉพาะในช่วงเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมามันทำให้เขาเบื่อหน่ายต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันและสิ้นสูญความศรัทธาต่อความดีงามในจิตใจของปัจเจกชนเสียแล้ว เขาไม่ต่างอะไรกับคนที่กำลังมีเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่บนศีรษะและกำลังวิ่งไปอย่างสุดชีวิตเพื่อหาทางดับความร้อนจากมันอย่างเร่งด่วนที่สุด มันคงจะง่ายดายกว่าถ้าความร้อนนั้นมาจากเปลวไฟจริงๆ เขาก็ทำเพียงแค่หาแหล่งน้ำเย็นๆ สักแห่งแล้วกระโจนลงไปเท่านั้น ปัญหาก็คงจบสิ้น แต่น่าเสียดายที่ความร้อนอันนี้มันเกิดขึ้นที่จิตใจของเขาเอง มันเกิดจากเพลิงโทษะ ความโกรธได้ครอบงำจิตใจของเขาจนแทบหมดสิ้น จิตใจของเขาจึงจมอยู่กับความทุกข์ทรมาน ต่อให้เขากระโจนลงทะเลก็ยังคงไม่อาจดับไฟแห่งทุกข์อันนี้ได้ ทั้งจากเพื่อนร่วมงาน หัวหน้างาน และลูกน้องในบริษัทที่เขาทำงานอยู่ ผู้คนแวดล้อมรอบข้างต่างล้วนแล้วแต่ทำให้เขาผิดหวังและโกรธเกรี้ยวจนไม่อยากจะพบหน้าคนเหล่านี้อีกตลอดกาล เขาถูกกลั่นแกล้ง ถูกใส่ร้ายป้ายสี ถูกประนาม จากคนรอบข้างมายาวนานมาพอสมควรแล้ว ไม่มีใครให้เกียรติแก่เขา แม้แต่ลูกน้องของเขาเอง ก็มองเห็นเขาเป็นเพียงแค่ตัวตลกตัวหนึ่ง เป็นคนไม่ได้เรื่อง คนไม่เอาความ คนที่มีแต่ความล้มเหลว สมองของเขาท่องแต่คำว่า “เบื่อเพื่อนร่วมงาน รำคาญตัวเอง เซ็งเจ้านาย” เขาอยากจะกำจัดคนเหล่านี้ออกไปจากโลกและจากชีวิตของเขาเสียจริง แบบไม่ต้องให้เหลือเศษซากรกหูรกตาอีกต่อไป แต่เขาไม่สามารถกระทำได้พราะเขามีอาจารย์ ท่านเคยสอนสั่งให้เขารู้จักควบคุมตัวเอง ให้อภัยและมีความรักต่อเพื่อนร่วมโลก แต่เขาก็ยังไม่อาจให้อภัยใครได้ และเกิดความขัดแย้งในจิตใจอย่างรุนแรงอยู่บ่อยครั้ง มันก่อให้เกิดเพลิงความแค้นสุมแน่นอยู่ในอกจนแทบจะระเบิดออกมาได้ทุกเวลา นาที เนื่องจากอาจารย์ของเขาต้องเดินทางไปเผยแผ่ธรรมะต่างประเทศจึงไม่มีใครช่วยเขาได้ในเวลาที่เร่งด่วนเช่นนี้ นั่นอาจมีแต่เพียงพระวัดป่าที่เคร่งครัดทางวิปัสนากรรมฐานเท่านั้นที่อาจช่วยคลายความทุกข์ให้เขาได้บ้างไม่มากก็น้อย นี่คือความเห็นส่วนตัวของเขาเอง ผนวกกับเป็นช่วงเวลาที่ทางบริษัทที่เขาทำงานอยู่กำหนดให้พนักงานหยุดพักเป็นเวลา 1 เดือนตอนสิ้นฤดูการผลิตของทุกปีพอดิบพอดี เวลานี้จึงเป็นเวลาอันประเสริฐยิ่งที่เขาจะใช้มันให้คุ้มค่ากับชีวิต เพื่อค้นหาคำตอบบางอย่างและดับไฟที่กำลังเผาลนจิตใจของเขาอยู่ รวมทั้งตัดสินอนาคตของเขาด้วย

     “สำหรับตะวันและจันทรา ความสว่างเป็นที่น่าปรารถนา แต่หมู่เมฆมาบดบัง สำหรับนทีในลำน้ำ ความใสเป็นที่น่าปรารถนา แต่ทรายทำให้มันขุ่น สำหรับธรรมชาติของมนุษย์ ดุลยภาพเป็นที่น่าปรารถนา แต่นิสัยทะยานอยากกลับทำลายมัน มีแต่ปราชญ์เท่านั้นที่สามารถวางสิ่งทั้งปวงและหวนคืนสู่ตัวตนได้”......

      เขาเลือกวัดป่าแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคอีสาน และเดินทางอย่างเร่งรีบไม่ได้บอกใครจนเพื่อนพ้องและญาติพี่น้องใกล้ชิดไม่รู้ความเคลื่อนไหวของเขา เขาคล้ายอันตธานหายไป ไปจากโลกที่มีแต่ความสับสนวุ่นวาย เขาปิดโทรศัพท์มือถือ เพื่อไม่ให้ใครรบกวนเขาได้ เพราะอาจทำลายความมุ่งมั่นของเขาลง ก่อนที่ไฟแห่งความทุกข์จะเผามอดไหม้ทั้งจิตใจและร่างกายของเขาจนวอดวายลงไปกลายเป็นจุล เขากำลังจะตายทั้งเป็น เขาจำเป็นต้องได้รับคำตอบอย่างรวดเร็วที่สุด “เขาคือใคร มาทำอะไรที่นี่?”
มนุษย์ปุถุชนธรรมดาย่อมไม่อาจตอบคำถามเหล่านี้ได้ ยกเว้นเพียงพระเกจิอาจารย์ผู้มีญาณวิเศษหรือไม่ก็อาจารย์ของเขาเองเท่านั้น ตอนแรกที่เขามอบตัวเป็นศิษย์อาจารย์ของเขานานมาแล้ว ภายหลังจากที่เขาตั้งจิตอธิษฐานต่อสวรรค์ว่า “ขอให้ได้พบกับพระพุทธเจ้าที่มีชีวิต” ไม่นานจากนั้นอาจารย์ของเขาก็ปรากฏตัว ต่อมาเขาก็ขออาจารย์ออกบวชตลอดชีวิต แต่น่าเสียดาย อาจารย์ของเขาปฏิเสธและกล่าวแก่เขาว่า “เธอสามารถเรียนหนังสือหรือทำงานพร้อมกับดูแลครอบครัวของเธอไปด้วยพร้อมการปฏิบัติธรรม ไม่จำเป็นต้องออกบวช” เขาเชื่อคำของอาจารย์ของเขา หลังจากเรียนหนังสือจบก็เข้าทำงานหลายต่อหลายแห่ง แต่แทบทุกแห่งก็มักจะมีจุดจบแบบเดียวกัน นั่นคือความโกรธแค้นในทุกองค์การที่เขาเคยทำงานมาแล้วแทบทั้งสิ้น สุดท้ายเขากลายเป็นสุนัขหัวเน่าและล้มเหลวทุกอย่าง ชีวิตล้มเหลวไม่เป็นท่า ปัจจุบันไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง บางทีนี่อาจไม่ต่างอะไรกับชีวิตนักบวชที่เขาเคยเลือกอยากจะเป็นนั่นคือ “ชีวิตไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง” แต่ชีวิตนักบวชล้วนต่างเป็นผู้สละโลกแล้ว ความกังวลมีน้อย เป็นผู้ควรบูชา บางทีสิ่งที่อาจเป็นชิ้นเป็นอันที่สุดในชีวิตของเขาก็คือเศษกระดาษเก่าๆ ในกระเป๋าที่เขามักจะนำติดตัวไปด้วยเสมอๆ ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นบทกวีเพียงไม่กี่บรรทัด แต่สำหรับเขาแล้วมันกลับเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิต เพราะมันบอกเรื่องราวของเขา และใช้เป็นที่ระบายความคับข้องใจของเขาตลอดเวลายาวนานนับสิบปี...

     “โกรธมาจากไม่โกรธ กระทำมาจากไม่กระทำ หากท่านมองเมื่อไร้รูป ท่านจะพบสิ่งที่ถูกเห็นได้ หากท่านฟังเมื่อไร้เสียง ท่านจะพบสิ่งที่ถูกยินได้”

“หลวงพี่ครับ ผมมาขออาศัยวัดอยู่สักอาทิตย์สองอาทิตย์ได้หรือเปล่าครับ” เขายกมือไหว้พระหนุ่มรูปหนึ่งที่ได้เจอกันทันทีที่เดินทางมาถึงวัดป่าแห่งหนึ่ง สภาพของเขาเหนื่อยอ่อนจากการเดินทางข้ามคืนข้ามวัน ผมเผ้ายุ่งเหยิง แต่แววตายังฉายแววแห่งความหวัง

“โยมเป็นใครมาจากไหนหล่ะ ต้องการมาพักที่วัดเพื่ออะไร?” พระหนุ่มตั้งคำถามด้วยท่าทีอันสงบ

“ผมมาจากภาคตะวันตกครับ เป็นพนักงานบริษัท ช่วงนี้บริษัทหยุดพักร้อนให้กับพนักงานครับ ก็เลยอยากมาศึกษาธรรมะที่วัดนี้” เขาตอบคำถามตามความเป็นจริง พร้อมกับหอบหายใจถี่

“ใครแนะนำโยมมาหรือ รู้ได้อย่างไรว่าวัดเรามีสถานที่ปฏิบัติธรรม?” พระหนุ่มสอบถามรายละเอียด ด้วยท่าทีเป็นมิตรมากขึ้น

“เพื่อนคนหนึ่งของผมครับ เคยเรียนหนังสือมาด้วยกัน เขาเคยมานั่งสมาธิที่นี่สัปดาห์หนึ่ง บอกว่าเงียบสงบดีมากเหมาะแก่การศึกษาธรรมะ” ชายหนุ่มตอบ

“ดีนะ ยุคนี้ยังมีหนุ่มๆสาวๆ มาปฏิบัติธรรมกัน หายากยิ่ง” พระหนุ่มออกความเห็น ด้วยหน้าตายิ้มแย้ม

“จริงๆ แล้วผมอยากจะสนทนาธรรมกับท่านเจ้าอาวาสด้วยครับ เผื่อท่านจะมีอะไรแนะนำผมได้บ้าง” ชายหนุ่มแจ้งความจำนงอีกประการหนึ่งออกมา

“หลวงตาเป็นพระอริยะเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านเป็นเสมือนแพทย์รักษาโรคทางจิตวิญญาณ ธรรมะของท่านก็คือธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นเสมือนโอสถทิพย์บำบัดความทุกข์ให้แก่มวลมนุษย์ได้ แต่น่าเสียดายนะ โยมมาช้าไปหน่อย ช่วงนี้หลวงตาไม่อยู่วัดหรอก คงอีกหลายเดือนกว่าท่านจะกลับ” พระหนุ่มสาธยาย

“อ้อ เหรอครับ น่าเสียดาย ผมมาผิดจังหวะไปหน่อย” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับแสดงอาการผิดหวังทางสีหน้า

“มีกุฏิของนายแพทย์ชื่อ.........ยังว่างอยู่ ช่วงนี้ท่านยังไม่มีเวลามาปฏิบัติธรรม เนื่องจากติดภารกิจต้องดูแลคนไข้ โยมก็อาศัยไปก่อนละกัน ส่วนอาหารทางวัดเราฉันเพียงหนึ่งมื้อเวลาเช้า จะมีญาติโยมนำมาทำบุญถวายที่วัดทุกวัน โยมก็ลงมาทานร่วมกับลูกศิษย์วัดตอนเช้านะกัน ทางวัดเราไม่มีไฟฟ้าและน้ำปะปาใช้ น้ำที่ใช้ล้วนรองมาจากน้ำฝนทั้งสิ้น แต่ละกุฏิจะมีห้องน้ำอยู่ด้วย แต่ต้องระมัดระวังให้ดีพื้นที่ป่าบางแห่งห้ามเข้าเพราะเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของพระ แม่ชี และผู้ปฏิบัติธรรม ซึ่งต้องใช้ความสงบสำรวม ถ้าโยมหิวกระหายน้ำ ทางวัดเราก็มีชากาแฟเตรียมเอาไว้แล้วทางด้านโน้น เดี๋ยวอาตมาจะให้ลูกศิษย์วัดพาไปยังกุฏิที่ว่านั้น” พระหนุ่มอธิบายเสียยืดยาว จากนั้นท่านก็เรียกลูกศิษย์วัดมาคนหนึ่ง เดินนำทางชายหนุ่มไป

     “จิตวิญญาณข้ามทิวเขาโดยไม่พบอุปสรรค ชำแรกมหาสมุทรและลำน้ำโดยไม่เปียก ไม่อึดอัดสำลักในที่แคบๆ และแม้จะแผ่ไปทั่วผืนฟ้าและแผ่นดินก็ไม่เต็ม”

     ลักษณะกุฏิแต่ละหลังสร้างจากไม้ทั้งหลังแม้แต่หลังคา กุฏิเป็นห้องเดี่ยวมีนอกชานยื่นออกมา ปกติกุฏิหลังหนึ่งสามารถใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรมได้ 2 คน คนหนึ่งอยู่ภายในห้อง อีกคนอยู่นอกชาน แต่ละกุฏิอยู่ห่างกันจนแทบมองไม่เห็นกันและกัน เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นแนวป่าบดบังเอาไว้ บางบริเวณมีป้ายเขียนเอาไว้ว่าห้ามคนภายนอกเข้า และกั้นเอาไว้ด้วยเชือก คาดว่าข้างในเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมสำหรับพระ ชี และผู้ปฏิบัติธรรมที่เคร่งครัดเท่านั้น ซึ่งคนนอกห้ามเข้าเด็ดขาด ถ้าไม่ได้รับอนุญาตก่อน ชายหนุ่มก็เช่นเดียวกันไม่มีข้อยกเว้น แม้เขาจะอยากพบกับผู้บำเพ็ญระดับชั้นสูงทางธรรมเหล่านั้นภายในเขตต้องห้ามก็ตาม แต่กฎก็ต้องเป็นกฎไม่ว่าใครก็ตามที่เข้ามาบริเวณวัดก็ต้องรักษาวินัยอย่างเคร่งครัด จริงๆ แล้วก็เพื่อประโยชน์ของตัวผู้นั้นเอง การไปรบกวนพระสงฆ์องค์เจ้าขณะปฎิบัติธรรมถือเป็นกรรมหนัก ตายไปอาจเข้าถึงนรกภูมิได้เลยทีเดียว เรื่องราวเหล่านี้ชายหนุ่มย่อมทราบกระจ่าง เพราะเขาเคยศึกษามาบ้างในตำราทางศาสนาเขาล้วนทราบกฎเกณฑ์หรือศีล ข้อบัญญัติต่างๆ เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนั้นเอง ภายหลังจากที่เด็กวัดนำเขามายังกุฏิหลังหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางสุมทุมพุ่มไม้นั้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยังไม่มีใครมาปฏิบัติธรรมที่กุฏิหลังนี้พอดี ทำให้เขาต้องอาศัยอยู่เพียงลำพังผู้เดียว สำหรับเขาก็นับว่าเป็นโชคดี เพราะเขารักสันโดษมากกว่า พอมาถึงเขาก็เอาแต่นั่งสมาธิ กำหนดจิตเป็นหนึ่งเดียว และไม่ก้าวย่างออกจากกุฏิหลังนั้นเลยแม้แต่ก้าวเดียว 

     “ความเรียบง่ายอันยิ่งใหญ่นั้นไร้รูป มรรคที่มีผลไพศาลที่สุดก็มิอาจวัดได้ ด้วยเหตุนี้ ฟ้าจึงกลมโดยไม่ถูกกำหนดด้วยเข็มทิศ และดินจึงตรงโดยไม่ถูกกำหนดด้วยไม้บรรทัด”

     “ความสุขเป็นเสมือนน้ำทิพย์หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ” ภาพในอดีตอันเลวร้ายมากมายได้ผ่านเข้ามาในห้วงสมาธิของเขา ราวดั่งคลื่นน้ำถาโถมกระแทกเข้าใส่จิตใจของเขา ระลอกแล้วระลอกเล่า ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน สมาธิของเขาปั่นป่วน แม้เขาจะพยายามควบคุมบังคับขัดขืนมันอย่างไรก็ตาม แต่มันก็กลับกลายเป็นเพิ่มกำลังให้มันรุกจู่โจมหนักยิ่งขึ้น หลายต่อหลายครั้งเขาพ่ายแพ้ และล้มตัวลงนอนแผ่ราบกับพื้นกุฏิหลับใหลไปด้วยความอ่อนเพลีย แต่พอเขากลับได้สติขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็จะรีบลุกขึ้นมาเพื่อนั่งสมาธิต่อในทันที เขาจดจำคำสอนของอาจารย์ของเขาได้ว่า การนั่นสมาธิจะต้องผ่อนคลาย อย่าบังคับ แข็งขืน พยายามทำใจให้มีความสุข ความทุกข์จะทำให้เรานั่งสมาธิไม่ได้ เขาจึงพยายามกำหนดจิตเป็นหนึ่งเดียวและไม่สนใจกับภาพในอดีตต่างๆ เหล่านั้นอีกต่อไป อารมณ์ต่างๆ ที่จู่โจมเข้ามาเป็นระยะๆ ก็เริ่มอ่อนกำลังลงไปเอง ในที่สุดมันก็พ่ายแพ้ จิตของเขาจึงเข้าสู่สมาธิ สงบระงับ สมองที่เคยตึงเครียดก็เริ่มคลายความเครียดลง ความวิตกวิจารณ์ต่างๆ เริ่มทยอยกันหายลับดับสูญจนไร้ร่องรอย จิตจึงรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียว ความสุขจากความสงบเริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ เขาคิดในใจว่านี่เองที่เรียกว่า “ความปิติสุข” เมื่อปราศจากวิตกวิจารณ์ ความสุขก็บังเกิดจากภายในจิตใจเอง เมื่อพลังสมาธิมีมากขึ้นตามติดทยอยต่อเนื่องไม่ขาดสายแล้ว เขาจึงคิดในใจว่านี่เองที่เรียกว่า “เอกกัคตา” จิตใจเริ่มเข้าสู่ความละเอียดมากขึ้นเรื่อยๆ จนจิตใจเข้าสู่”ความว่างเปล่า”กลายเป็น “อุเบกขา” เขาพบว่าแม้จะใช้สมองคิดอะไรยามนี้ก็หาได้ทำให้พลังสมาธิลดน้อยถอยลงไปไม่ จิตใจเริ่มบริสุทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ พลังสมาธิก็เริ่มแก่กล้ามากขึ้น ตามลำดับ....

     “ผู้บรรลุถึงจุดที่ไม่หลงเพลินพึงใจในสิ่งใด ย่อมพบว่าบัดนี้เขาสามารถยินดีกับทุกสิ่ง เนื่องจากไม่มีสิ่งใดที่เขาไม่ยินดี ความสุขของเขาจึงสูงสุด”

     เวลาล่วงเลยไป 3 วัน โดยที่เขาไม่รู้ตัว เขาออกจากสมาธิในวันหนึ่ง ด้วยร่างกายและจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความสงบสุข ความทุกข์ต่างๆ ปลาสนาการไปสิ้น เขาพบว่าเวลาผ่านล่วงเลยไปโดยที่เขายังไม่ได้กินอะไรเลย เช้าวันนั้นเขาจึงลงจากกุฏิไปช่วยเด็กวัดกวาดลานวัด ทำความสะอาดศาลาที่พระฉันอาหารและโรงธรรม เขาพบว่าพระที่วัดแห่งนี้มีทั้งคนในประเทศและชาวต่างประเทศมากมายที่มาบวช บางส่วนอาจเป็นพระหรือแม่ชีจากวัดอื่นที่เดินทางมาเพื่อปฏิบัติธรรมเหมือนกับเขา แต่เขาไม่พบแม่ชี แสดงว่าแม่ชีคงจะอยู่คนละส่วนกับพระกระมัง รอจนพระฉันอาหารเช้าเสร็จ เขาและพวกเด็กวัดก็ร่วมกันกินข้าวที่เหลือจากก้นบาตร จากนั้นก็ช่วยกันเก็บกวาดอาสนะ ทำความสะอาดอีกครั้งก่อนจะแยกย้ายกันไป ต่างคนต่างก็ทำงานของตนไปโดยแทบไม่ได้ปริปากพูดคุยกันเลยแม้แต่สักคำเดียว....

     “เห็นชัดเจนมิใช่เห็นผู้อื่น เพียงเห็นตนเองเท่านั้น หูไวมิใช่ยินผู้อื่น เพียงได้ยินตนเองเท่านั้น เข้าใจมิใช่รู้ผู้อื่น เพียงรู้ตนเองเท่านั้น”

     เขาค้นพบว่ามนุษย์เราเป็นทุกข์ก็เพราะความคิดปรุงแต่งของตัวเองนี่เอง ถ้าดับความคิดปรุงแต่ง ซึ่งเป็นความเคยชินอย่างหนึ่งที่พระท่านมักเรียกว่า “กิเลส” ลงเสียได้ ความทุกข์ก็ย่อมดับไปเองโดยปริยาย ความคิดปรุงแต่งก่อให้เกิดอัตตาตัวตน หลงว่านี่เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นชีวิต นี่เป็นตัวเรา นั่นเป็นของเรา แล้วปัญหาต่างๆมากมาย ก็เริ่มเกิดขึ้นตามมาไม่ขาดสาย ปัญหาก็คือความคิดปรุงแต่งอันเป็นความเคยชินนี้ติดตัวมาจากอดีตชาตินับครั้งไม่ถ้วน มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะปล่อยวางมันลงได้ในคราวเดียว จำเป็นต้องใช้เวลา วิธีเดียวที่จะแก้ได้ก็คือ “เอาความเคยชินมาแก้ความเคยชิน”หรือเรียกว่า”เกลือจิ้มเกลือ” เมื่อจิตใจมีความเคยชินชอบคิดปรุงแต่ง การแก้ก็ต้องกำหนดจิตให้มันอยู่เคยชินกับการไม่ปรุงแต่งที่พระเขาเรียกว่า “สุญตา” หรือ “ความว่าง” หรือ “จิตว่าง” ทำงานด้วยจิตว่าง เดิน ยืน นั่ง นอน ด้วยจิตว่าง กุศโลบายที่มักใช้กันก็คือการท่องคำพระในใจ จดจ่ออยู่กับคำใดคำหนึ่งด้วยสติตลอดเวลา จนเกิดสมาธิ ปัญญาก็จะเกิดตามมา ความทุกข์ก็ลดน้อยบางเบาลงไปเอง การไม่ไปสนใจมันทำให้มันอ่อนกำลังลงไปเอง เพราะแท้ที่จริงแล้วมันก็ไม่มีอยู่จริง เป็นภาพลวงตาที่จิตใจสร้างขึ้นมาเองด้วยความหลงผิด แต่ถ้าจะถึงขั้นรู้แจ้งสมบูรณ์คงต้องใช้พลังสมาธิมากกว่านี้ กาย วาจา ใจ จะต้องสะอาดหมดจดบริสุทธิ์ยิ่งกว่า อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งจะต้องใช้การฝึกฝนอย่างช่ำชอง ทุกครั้งที่เขาเริ่มนั่งสมาธิความคิดปรุงแต่งเก่าๆ ต่างก็ทยอยกันตามมาเหมือนเช่นเคย ต่างกันตรงที่เขาจะใช้เวลาน้อยกว่าในการข้ามผ่านมันไปเพื่อเข้าถึงจิตอันสงบระงับ เขายังคงตั้งคำถามว่าอีกเมื่อไรหนอเขาจะสามารถรู้แจ้งแทงทะลุถึงขั้นสูงสุด เขาพบนิพพานก็จริงแต่มันเป็นเพียงนิพพานชั่วคราวเท่านั้น จึงยังไม่รู้สึกพอใจกับสิ่งที่ได้รับเท่าไรนัก เขาต้องการ”นิพพานแบบถาวร” โดยเฉพาะตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ความเคยชินเก่าๆ ยังคงติดตามหลอกหลอนเขาในยามที่เขาไม่มีเวลานั่งสมาธิและหมกมุ่นวุ่นวายอยู่กับงานทางโลกที่บริษัท สมาธิของเขายังคงเข้า-ออก ซึ่งความจริงเขาก็รู้ว่า “สมาธิที่แท้จริงไม่มีการเข้าและออก”

     “จิตไม่โศกเศร้าหรือยินดี คือการบรรลุคุณธรรมอันสูงสุด ประสบผลสำเร็จโดยไม่เปลี่ยนแปลง คือการบรรลุความสงบอันสูงสุด ไม่ถูกนิสัยอยากเทียมแอกเอา คือการบรรลุความว่างอย่างสูงสุด ไม่มีชอบไม่มีชัง คือการบรรลุอุเบกขาอันสูงสุด ไม่ติดข้องกับสรรพสิ่ง คือการบรรลุความบริสุทธิ์อย่างสูงสุด”

      วันหนึ่งมีฝนตกลงมาอย่างหนักภายในวัด อากาศในหน้าร้อนก็กลับกลายเป็นเย็นลงทันที ป่าเขียวขจีสดชื่นขึ้นมาทันตา บรรยากาศภายในวัดท่ามกลางแมกไม้แห่งนี้กลับกลายเป็นสรวงสวรรค์ในทันที เขาสัมผัสความรู้สึกแห่งดินแดนสวรรค์นี้ได้ ใต้กุฏิของเขามักมีกระต่ายป่าขนสีขาวปุย 2-3 ตัวกระโดดไปมา พวกมันมักพากันมานอนซุกตัวตรงใต้ราวบันไดของกุฏิที่เขาอยู่ ไก่หลายตัวขันประชันเสียงยามเช้ามืด นกแปลกๆมากมายบินว่อนไปมา บ้างก็ส่งเสียงทักทายกัน สัตว์ในวัดเหล่านี้คงมีความสุขในที่อาศัยดุจแดนสวรรค์แห่งนี้ แม้ชายหนุ่มเพิ่งจะมาอาศัยอยู่ได้เพียง 4 วันยังพบกับความสุขถึงขนาดนี้ แล้วสัตว์และบุคคลผู้สละโลกแล้วเหล่านี้จะมีความสุขขนาดไหนกันหนอ บางทีเขาเองก็นึกอิจฉาชีวิตอันสงบสุขเรียบง่ายของบุคคลเหล่านี้ ซึ่งครั้งหนึ่งเขาก็เคยปารถนาวิถีชีวิตแบบนี้มาก่อน ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เขาแทบไม่เคยออกไปไหนเลย จนกระทั่งมีพระชรารูปหนึ่งเดินทางมาถึงกุฏิที่ชายหนุ่มปฏิบัติธรรมอยู่ ท่านเป็นพระชาวต่างชาติ ใบหน้าเหี่ยวย่น ท่านกวักมือเรียกเขาให้ลงมาจากกุฎิและเริ่มต้นสนทนา

     “สิ่งที่ทำให้เงาโค้งงอก็คือรูปอันเป็นต้นเงา สิ่งที่ทำให้เสียงสะท้อนไม่ชัดก็คือต้นเสียง ผู้ที่ความรู้สึกรั่วไหลออกมาภายนอก ย่อมง่ายที่จะถูกหยั่งถึงภายใน”

     “เราเป็นผู้ปฏิบัติธรรมบำเพ็ญจะไปโกรธเคืองคนอื่นเขาไม่ได้ คนส่วนใหญ่เป็นพวกทุศีล พวกเขามักชอบหาเรื่องเรา เราจะต้องอดทนอดกลั้น ให้อภัย ถ้าเราไปโกรธเขาเราจะมีบาปหนัก เขาโกรธเราได้ แต่เราโกรธเขาไม่ได้ เข้าใจไหม ” พระชราเริ่มต้นเทศนา

“ครับ” ชายหนุ่มรู้สึกตกตะลึงกับถ้อยคำแรกของพระชราต่างชาติรูปนี้ เขาได้แต่ก้มศีรษะรับคำ ในใจเขาครุ่นคิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องรอพบเจ้าอาวาสแล้ว เพราะพระชรารูปนี้สามารถหยั่งรู้เรื่องราวของเขาเป็นอย่างดีโดยที่เขายังไม่ได้แนะนำตัวเลยด้วยซ้ำ ท่านต้องเป็นพระอริยะเจ้าอย่างแน่นอน โดยที่เขาไม่ต้องเสียแรงออกไปเพื่อเสาะหาให้เหนื่อยเปล่า ท่านกลับล่วงรู้ความประสงค์ของเขาอย่างกระจ่าง ท่านจึงเดินทางมาเยือนถึงกุฏิของเขาเอง แน่นอนท่านคงรู้จากญาณภายในของท่าน อีกอย่างต่อให้เขาออกไปเสาะหาก็ยังคงไม่รู้ว่าใครคือพระอริยะเจ้าที่แท้จริง ทางที่ดีรอให้ท่านมาเองแบบนี้จะง่ายกว่า เขารอคอยอยู่หลายวัน ในที่สุดท่านก็ปรากฏตัว ชายหนุ่มย่อมทราบกระจ่างว่าสถานที่เขามาอยู่แห่งนี้เป็น”แหล่งชุมนุมมังกร ซ่อนพยัคฆ์” มียอดคนแอบแฝงเร้นกายอยู่มากมายนับไม่ถ้วน เพียงแต่เขาไม่มีปัญญาจำแนกได้ว่าคือผู้ใดเท่านั้น พระชรายังกล่าวสืบต่ออีกว่า

“กามราคะทั้งหลายเป็นทุกข์ อย่าไปหลงพลอยยินดีกับมัน จงปล่อยวางมันให้ได้ แท้ที่จริงร่างกายมนุษย์มีแต่ของน่าเกลียดน่ากลัว มีแต่ของเน่าเสีย ต้องอาบน้ำทุกวันจึงจะหายเหม็น เส้นผมก็ต้องสระบ่อยๆ เสื้อผ้าสะอาดพอคนเอามาใส่ก็กลายเป็นสกปรกต้องซัก ฟันก็ต้องแปรงทุกวัน เห็นไหม ถ้าลองลอกหนังคนเราออกมาก็จะพบแต่เลือดและเนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ตับ ไต ไส้พุง น่าขยะแขยงยิ่งนัก ต้องหมักน้ำหอมเครื่องสำอางค์เท่าไรจึงจะกลบกลิ่นตัวคนเราได้ ไม่ว่าร่างกายเขาหรือร่างกายเราก็เหมือนกันสกปรกเหมือนกันหมด ทั้งโลกนั่นแหละ เราจึงไม่ควรเห็นร่างกายเป็นของน่ารักน่าใคร่ น่าทนุถนอม และหลงในรูปลักษณ์ทั้งหลาย อย่าหลงพลอยยินดีในกามตัณหาทั้งหลายทั้งปวง” พระชราหยุดหอบหายใจเล็กน้อย แววตาแฝงความเมตตาของท่าน ทำให้ชายหนุ่มแทบพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว

“อดีตชาติโยมเคยเกิดเป็นพญานาคมาก่อน ดังนั้นจึงมีความเกรี้ยวโกรธติดเป็นนิสัยมาจนถึงชาตินี้ ความมีฤทธิ์มากทำให้ไม่เคยเกรงกลัวใคร ศัตรูต่างพ่ายแพ้ไม่อาจเอาชนะได้ ในชาติที่ผ่านมาโยมเกิดเป็นเจ้าเมืองที่ยิ่งใหญ่มากมีข้าทาสบริพานมากมาย ทำให้โยมยากที่จะละทิฏฐิลงได้ง่ายๆ โยมจึงเป็นคนดื้อรั้นไม่ฟังใคร เพราะความเคยเป็นเจ้านายคนมาก่อน แต่ชาตินี้โยนหันหน้าปฏิบัติธรรมบำเพ็ญความดี จำต้องละตัวตนลงบ้าง ปล่อยวางลงบ้าง และโยมกำลังเข้าสู่กระแสแห่งการหลุดพ้น นี่อาจเป็นชาติสุดท้ายของโยม เพราะชาตินี้โยมเกิดมาก็เพื่อปฏิบัติธรรมบำเพ็ญ โยมจึงต้องพบกับศัตรูเก่ามากมาย เจ้ากรรมนายเวรต่างรีบมาทวงหนี้กรรม เขาอาจมาใส่ร้าย ป้ายสี ด่าประนาม ทำให้เสียชื่อเสียง ทำให้ได้รับความลำบากต่างๆนาๆ โยมจึงต้องอดทนให้มากและไม่ตอบโต้ มิเช่นนั้นจะเป็นการสร้างกรรมสืบต่อภพชาติต่อไปอีก.......................” พระชราเทศนาต่อไป ตั้งแต่ท่านเรียกเขาลงมา เขายังไม่มีโอกาสถามคำถามสักคำ และท่านก็ไม่เว้นช่องให้เขาพูดด้วย เขานั่งฟังท่านเทศนาเสียยืดยาว ท่านยังคงยืนพูดอยู่อย่างนั้น เหมือนท่านยังมีเรื่องรีบร้อนจะไปไหน ชายหนุ่มยังคงพยักหน้ารับคำ เขามองหน้าพระชราด้วยแววตาเป็นประกายและยิ้มออกมา พระชราก็หัวเราะ ในมือของท่านถือวัตถุสิ่งหนึ่งลักษณะยาวๆ ห่อด้วยพลาสติก ขณะที่ท่านหัวเราะท่านก็พลันยกวัตถุท่อนยาวๆนั้นฟาดลงกลางศีรษะของชายหนุ่มทันที ชายหนุ่มตกใจเล็กน้อยแต่แล้วเขาก็พลันหัวเราะออกมา เพราะวัตถุที่ท่านฟาดลงมานั้นมันนุ่มนิ่มคล้ายกับหมอนข้างใบใหญ่ใบหนึ่ง เมื่อชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง พระชรารูปนั้นก็จากไปจนไร้ร่องรอยแล้ว....

     “ปราชญ์ส่งจิตวิญญาณไปยังต้นเค้าของความตะหนักรู้ และคืนสู่จุดเริ่มของสิ่งนับหมื่น พวกท่านมองสิ่งที่ไร้รูปและฟังสิ่งที่ไร้เสียง ในท่ามกลางอันธการอันมืดมิด พวกท่านเท่านั้นที่เห็นแสง ในท่ามกลางความไพศาลอันเงียบกริบ พวกท่านเท่านั้นที่มีความแจ่มกระจ่าง”

     ภายหลังจากที่ชายหนุ่มได้สนทนากับพระชราลึกลับรูปนั้นแล้ว เขาก็กลับไปเก็บเสื้อผ้าทันที เขาเดินทางมาพบพระหนุ่มเพื่อจะบริจาคเงินให้ทางวัดและเพื่อขอลากลับ พระหนุ่มทำท่าตกใจถามว่า
 
“อ้าว โยมจะกลับแล้วเหรอ? ไหนบอกว่าจะอยู่สัก 2-3 อาทิตย์ไม่ใช่เหรอ?”

“เคลียร์แล้วครับหลวงพี่ ผมได้ยาแล้วครับ อาการทุเลาลงมาก ผมจะบริจาคเงินได้ที่ไหนครับ” ชายหนุ่มตอบพร้อมกับคำถาม
 
“ เอ้อ ก็ดีแล้ว เอาเงินไปหยอดที่ตู้ตรงโน้น” พระหนุ่มชี้มือไปที่ตู้รับบริจาคของวัดที่ตั้งอยู่ติดกับศาลาโรงธรรม ท่านยิ้มอย่างสงบคล้ายเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

      เขาหยอดเงินลงตู้รับบริจาคพร้อมกับยกมือไหว้ลาพระหนุ่มรูปนั้นและจากไปอย่างเงียบๆ ขณะที่ครุ่นคิดในใจว่านี่เราต้องไปเผชิญกับความทุกข์อีกแล้วเหรอ? เขาต้องกลับไปที่บริษัทเพื่อทำงานต่อ ขณะที่ในใจเขาก็นึกถึงคำสอนของอาจารย์ของเขาที่กล่าวว่า “ถ้าเธอไม่เคยมีความทุกข์ ไม่เคยรู้จักทุกข์ และไม่เคยหลุดพ้นจากทุกข์ แล้วเธอจะช่วยสรรพสัตว์ที่กำลังตกทุกข์ได้อย่างไร” เขาก็พลันมีกำลังใจขึ้นมาอีกหน่อย พร้อมจะเผชิญปัญหาทุกอย่างที่เข้ามา “ผู้ใดไม่เห็นทุกข์ ผู้นั้นย่อมไม่เห็นธรรม”



     “เมื่อคนเราถูกซัดไปในกระแสโลก เขาถูกผูกมัดทางวัตถุและถูกสูบจนแห้งทางจิตวิญญาณ เหตุฉะนั้น จึงต้องทนทุกข์เพราะความพร่องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

     “หากท่านรู้ความไพศาลของจักรวาล ความตายกับชีวิตย่อมมิอาจข่มขี่ท่าน หากท่านรู้ความบรรสานสอดคล้องของชีวิตที่เอื้ออาทร ท่านจะไม่ไยดีกับการครองโลก หากท่านรู้จักความสุขของภาวะไม่เกิด ความตายก็ไม่อาจทำให้ท่านกลัว”

     “จิตวิญญาณคือต้นธารแห่งการรู้ เมื่อจิตวิญญาณบริสุทธิ์ ความรู้ก็แจ่มชัด การรู้คือหลักสำคัญของหัวใจ เมื่อรู้ตามความจริงอย่างไร้อคติ หัวใจก็สงบ”

     “สิ่งที่ให้ชีวิตแก่สรรพชีพไม่มีวันตาย แม้ชีพที่มันสร้างขึ่นจะมีวันตาย สิ่งที่แปรเปลี่ยนสรรพสิ่งไปไม่เคยเปลี่ยน แม้สิ่งที่มันแปรเปลี่ยนจะมีการเปลี่ยนแปลง”

     “คุณธรรมบริสุทธิ์ดำรงอยู่ตามลำพัง แจกจ่ายออกโดยไม่รู้จักหมด ถูกใช้ไปโดยมิรู้เหือดแห้ง ดังนั้น เมื่อท่านมองจึงไม่เห็นรูปของสิ่งนี้ เมื่อฟังจึงไม่ได้ยินเสียง เมื่อติดตามจึงไม่พบตัว มันไร้รูปแต่เป็นบ่อเกิดแห่งรูป ไร้เสียงแต่เป็นบ่อเกิดแห่งเสียง ไร้กลิ่นรสแต่เป็นบ่อเกิดแห่งกลิ่นรส ไร้สีแต่เป็นบ่อเกิดแห่งสี เหตุฉะนี้ ภาวะจึงเกิดขึ้นจากอภาวะ การบรรลุผลจึงผุดขึ้นจากความว่าง”

     “เมื่อผู้คนชี้ข้อบกพร่องของท่าน ท่านขุ่นเคืองเขา แต่เมื่อกระจกเงาสะท้อนความอัปลักษณ์ของท่าน ท่านว่ามันเป็นกระจกดี หากคนเราสามารถเกี่ยวข้องกับผู้อื่นโดยไม่เอาอัตตามายุ่งด้วย เขาย่อมเลี่ยงการถูกลากลงต่ำได้”

     “เมื่อการรับของท่านเล็ก การรับรู้ของท่านก็ตื้น เมื่อการรับของท่านยิ่งใหญ่ ความตระหนักรู้ของท่านก็กว้าง”

     “ภายนอกเคลื่อนคล้อยไปตามกระแส ส่วนภายในธำรงธรรมชาติแท้ของตนไว้ แล้วตากับหูของท่านจะไม่พร่าแปร่ง ความคิดจะไม่สับสน ทั้งจิตวิญญาณภายในก็จะแผ่ขยายอย่างใหญ่หลวง เพื่อท่องไปในแดนแห่งความบริสุทธิ์สมบูรณ์”

     “เมื่อการรับรู้แจ่มชัด กอปรด้วยการหยั่งเห็นอย่างลึกซึ้งพ้นจากความปรารถนาอันเย้ายวน ทั้งพลังงานและเจตจำนงก็เปิดกว้างสงบเย็น เบิกบานอย่างแจ่มใสพ้นจากนิสัยอยาก เมื่อนั้นอวัยวะภายในย่อมสงบระงับและเต็มด้วยพลังงานที่มิรั่วไหล พลังจิตวิญญาณย่อมถนอมกายอยู่ภายในและไม่ออกไปภายนอก ดังนี้แล้ว ย่อมไม่ยากที่จะเห็นเหตุแต่อดีตและผลในอนาคต”

     “เมื่อแสงแห่งจิตวิญญาณถูกสะสมไว้ในความไร้รูป พลังชีวิตและพลังงานก็คืนสู่ความเป็นจริงอันสมบูรณ์ เมื่อนั้นนัยน์ตาจะแจ่มใสแต่ไม่ถูกใช้มอง หูจะว่องไวแต่ไม่ถูกใช้ฟัง จิตใจจะแผ่ขยายแต่ไม่ถูกใช้คิด เมื่อพลังชีวิตผ่านเข้าสู่นัยน์ตา การเห็นก็กระจ่าง เมื่อมันอยู่ในหู การได้ยินก็คมชัด เมื่อมันอยู่ในปาก คำพูดก็ถูกต้องเที่ยงตรง เมื่อมันรวมอยู่ในจิต ความคิดก็ทะลุปรุโปร่ง”

     “เมื่อคนเรามีความอยากมากย่อมส่งผลเสียต่อสำนึกในความยุติธรรม มีความกังวลมากย่อมส่งผลเสียต่อปัญญา มีความกลัวมากย่อมส่งผลเสียต่อความกล้าหาญ”

     “ความสงบอันกระจ่างคือสุดยอดของคุณธรรม ความนุ่มนวลอย่างยืดหยุ่นคือกุญแจแห่งมรรค ความไม่เห็นแก่ตัวอย่างเปิดกว้าง และความร่างเริงอย่างแจ่มใส ย่อมช่วยให้บุคคลใช้ประโยชน์จากทุกสิ่งได้”

     “พลังแห่งฟ้าคือวิญญาณส่วนบน พลังแห่งดินคือวิญญาณส่วนล่าง พึงส่งมันกลับสู่ห้องลี้ลับ เพื่อแต่ละอย่างจักอยู่ในที่ของมัน คอยเฝ้าไว้อย่าสูญเสียมันไป ท่านจะได้เชื่อมโยงกับเอกภาพอันสมบูรณ์เบื้องบน พลังชีวิตของเอกภาพอันสมบูรณ์นั้นเชื่อมโยงกับสวรรค์”

     “ทางอันยิ่งใหญ่นั้นไร้รูป ความอารีที่ยิ่งใหญ่ไร้ความคุ้นเคย คำจับใจที่ยิ่งใหญ่ไม่มีเสียง ความถ่อมที่ยิ่งใหญ่ไม่ประจบ ความกล้าที่ยิ่งใหญ่ไม่อวดดี หากท่านไม่ละเลยสิ่งทั้งห้านี้ ท่านกำลังเข้าใกล้มรรค”

     “ผู้เชื่อมั่นในตนเองย่อมไม่หวั่นไหวกับคำติชม ผู้สันโดษย่อมไม่ถูกเย้ายวนด้วยอำนาจหรือผลกำไร เหตุฉะนั้น ผู้แจ้งใจในสภาวะแท้จริงของแก่นแท้จึงไม่ตะเกียกตะกายในสิ่งที่แก่นแท้ช่วยอะไรไม่ได้ ผู้แจ้งใจในสภาวะแท้จริงของชะตากรรม จึงไม่กังวลกับสิ่งที่ชะตากรรมช่วยอะไรไม่ได้ ผู้แจ้งใจในมรรค จึงไม่ปล่อยให้ความกลมกลืนของตนวิกลไปด้วยสิ่งใดๆ”

      “ฟ้าสงบและกระจ่าง ดินมั่นคงและสันติ ผู้สูญเสียคุณสมบัติเหล่านี้ย่อมวอดวาย ผู้เอาอย่างมันย่อมมีชีวิต ความไพศาลอันสงบคือบ้านของแสงแห่งจิตวิญญาณ ความไม่เห็นแก่ตัวอย่างเปิดกว้างคือที่พำนักของเต๋า เหตุฉะนี้ จึงมีผู้แสวงหามันจากภายนอกแต่กลับสูญเสียมันอยู่ภายในและมีผู้ที่รักษามันไว้ภายในแล้วยังได้มันมาจากภายนอก มันเหมือนรากกับกิ่ง ดึงที่ราก แล้วทั้งกิ่งและใบก็จะตามมาเอง”

     “ผู้มีวาจาไม่แน่นอนและการกระทำไม่คงที่ จัดเป็นคนกระจอก
ผู้สังเกตสิ่งหนึ่งและเข้าใจศิลปะอย่างหนึ่ง จัดเป็นคนปานกลาง
ผู้เห็นกว้างขวางอย่างเข้าใจและยึดกุมสิ่งทั้งหลายได้ทั่วถึง
 ผู้ซึ่งประเมินความสามารถและใช้มันได้อย่างเหมาะเจาะ จัดเป็นปราชญ์”

     “ปราชญ์ไม่ถูกควบคุมด้วยชื่อ ไม่ถูกบังคับด้วยแผน ไม่ถูกเทียมแอกด้วยกิจ และไม่ถูกปกครองด้วยปัญญา ท่านซ่อนอยู่ในความไร้รูป กระทำอย่างไร้ร่องรอย และจรจาริกไปโดยไม่เหลือรอยทาง ท่านไม่เสาะหาโชคลาภหรือแส่นำหายนะ คงความไม่เห็นแก่ตัวอย่างเปิดกว้าง และกระทำเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วเท่านั้น”

     “ชอบกับชังคือความเกินพอดีของชีวิต ความอยากจนเป็นนิสัยคือแอกแห่งธรรมชาติของมนุษย์”

     “คนเราเปลี่ยนไปไม่สิ้นสุดในทุกทาง ท่านสึกหรอลง แล้วก็คือคงขึ้นมาใหม่ ความเบิกบานเป็นไปได้ในสภาวะที่มิอาจคิดคำนวณ ตัวอย่างเช่น ท่านฝันว่าท่านเป็นนกเหินไปในเวหา ท่านฝันว่าท่านเป็นปลาดำดิ่งสู่ห้วงลึก ขณะที่ฝันนั้นท่านไม่รู้ว่ามันคือความฝัน ครั้นตื่นขึ้นจึงตระหนักว่าตนฝันไป มีการตื่นที่ยิ่งใหญ่ประการหนึ่ง ซึ่งเมื่อตื่นแล้วท่านจะรู้ว่าชีวิตคือความฝัน เมื่อเรายังไม่เกิด เราจะรู้ความน่าพึงใจของชีวิตได้อย่างไร หากเรายังไม่ตาย เราจะรู้ได้อย่างไรว่าความตายไม่น่าพึงใจ”

     “มรรคมีสายโยงใยเป็นเอกภาพ เมื่อท่านบรรลุถึงรากเดียว มันจะเชื่อมโยงถึงกิ่งก้านนับพันและใบนับหมื่น นี้ช่วยให้ท่านสามารถเชิดชูระเบียบเมื่ออยู่ในตำแหน่งสูง ลืมความต่ำต้อยเมื่ออยู่ในตำแหน่งต่ำ เบิกบานกับงานเมื่อยากจนและเผชิญอันตรายได้เมื่อพบทางตัน เมื่อมีเหมันต์อันหนาวจัด มีทั้งน้ำคางแข็งและหิมะ เมื่อนั้นท่านจึงรู้ถึงความเข้มแข็งของไม้อันชอุ่มเขียวอยู่ตลอดทั้งปี เมื่อสถานการณ์คับขันอันตราย ได้กับเสียวางอยู่ตรงหน้า เมื่อนั้นท่านจึงรู้ว่าปราชญ์คือผู้ที่ไม่ไถลออกไปนอกมรรค”

     “ท่านอาจเห็นปลายผมเส้นหนึ่งขณะที่มิได้ยินกัมปนาทจากฟ้าร้อง หรือได้ยินทำนองเพลงขณะที่ไม่เห็นขุนเขา ทำไม? นี้ก็เพราะการจดจ่อเล็กๆ ย่อมยังผลเป็นความไม่ใส่ใจอันมหาศาล”

     “การโอ้อวดและหลอกลวงเกิดจากความทะนงตน ผู้ถึงความจริงอยู่ภายในย่อมเป็นสุขและไม่รีบร้อน ย่อมยังกิจที่ต้องทำอย่างเป็นธรรมชาติประดุจนกขับขานหรือหมีบิดขี้เกียจ ใครจะทะนงกับสิ่งนี้เล่า”

     “ถือโลกเบาๆ แล้วจิตวิญญาณของท่านจะไม่แบกภาระหนัก มองทุกอย่างเป็นเรื่องเล็ก แล้วจิตใจของท่านจะไม่สับสน เห็นความตายกับชีวิตเสมอกันแล้วหัวใจท่านจะไม่หวั่นหวาด”

     “นิสัยอยากตามความเคยชินบั่นทอนพลังงนของคนเรา ชอบกับชังทำให้ดวงจิตอ่อนล้า หากท่านไม่รีบกำจัดมัน เจตจำนงและพลังงานของท่านจะอ่อนแรงลงทุกวัน”

     “ความสูงส่งอันสมบูรณ์ไม่จำเป็นต้องมีบรรดาศักดิ์ ความมั่งคั่งอันสมบูรณ์ไม่จำเป็นต้องมีทรัพย์สมบัติ”

     “เมื่อพลังชีวิตกับจิตวิญญาณถูกใช้เกินกำลัง ย่อมพร่าไป เมื่อหูกับตาไม่สำรวม ย่อมหมดกำลัง ดังนั้น ผู้นำที่อบรมตนในมรรคจึงหยุดความฟุ้งฝันและกำจัดความดึงดัน คงดำรงอยู่ในความรู้ชัดและเปิดกว้าง”



				
12 สิงหาคม 2553 22:24 น.

ธรรมวิถีกวนอิม

คีตากะ

mt1-1.jpgธรรมวิถีกวนอิม
เป็น กฏเกณฑ์ของจักรวาล
ที่มีมาตั้งแต่โบราณกาล

ปราศรัยธรรมโดยอนุตราจารย์ชิงไห่
งานฌาน 3 ที่ลอสแอนเจลีส
รัฐคาลิโฟเนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2541
(ต้นฉบับเป็นภาษาเอาหลาก) วีดีโอเทป #640 


 ธรรม วิถีกวนอิมไม่ใช่ฉันเป็นผู้คิดประดิษฐ์ขึ้นมา ฉันเพียงแต่รู้จักธรรมวิถีนี้เท่านั้น ธรรมวิถีนี้มีมาตั้งแต่จักรวาลนี้เริ่มก่อตัวขึ้นมา และจะอยู่ต่อไปชั่วนิรันดร ความจริงธรรมวิถีกวนอิมก็ไม่ใช่ธรรมวิถี มันเป็นกรรมวิธีการโคจรของจักรวาล เป็นกฎเกณฑ์ที่ใช้ได้ทั่วจักรวาล ถ้าพวกเราคิดจะกลับไปจุดต้นกำเนิด กลับสู่ตัวเองที่แท้จริง อาณาจักรสวรรค์หรือจิตพุทธ ก็ต้องปฏิบัติตามมัน ธรรมวิถีกวนอิมเหมือนกับวิทยาศาสตร์ที่มีความแม่นยำ เหมือน 2+2 ต้องเป็น 4 ไม่มีคำตอบอื่น ! ถ้าพวกเราทราบว่า 2+2 ต้องเป็น 4 2+2 ก็ต้องเป็น 4 ไม่ว่าพวกเราจะพูดอย่างไร จะเถียงอย่างไร 2+2 ก็ต้องเป็น 4

 

ในทำนองเดียวกัน ในจักรวาลก็มีกฎเกณฑ์ที่แม่นยำอย่างนี้เช่นกัน ผู้ที่รู้จักกฎเกณฑ์เหล่านี้ พวกเขาเป็นเพียงผู้ค้นพบเท่านั้น ไม่ใช่ผู้คิดประดิษฐ์ขึ้นมา ถ้าพวกเราค้นพบกฎเกณฑ์เหล่านี้และปฏิบัติตาม ก็จะได้รับผลที่แม่นยำที่สุด

แน่นอน การทำงานสามารถมีหลายวิธีที่ต่างกัน มีวิธีที่เร็ว วิธีที่ช้า และมีวิธีที่สูงกว่า ธรรมวิถีกวนอิมเป็นวิธีที่สมบูรณ์ที่สุด แต่ฉันเป็นเพียงผู้ค้นพบเท่านั้น ฉันไม่ได้คิดประดิษฐ์ธรรมวิถีนี้ขึ้นมา ธรรมวิถีนี้เป็นของพระเจ้า และเป็นของทุกคน

ประสิทธิผลของธรรมวิถีกวนอิมเร็วมาก กรรมต่าง ๆของแต่ละภพชาติจะถูกเผาทิ้งจนหมดเกลี้ยงในชั่วพริบตา พวกเราเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สำเร็จ ผู้บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สำเร็จเป็นพุทธ เป็นไปไม่ได้ ! เหมือนกับนำเอาน้ำตาล 2 เม็ดมาวางรวมกับน้ำตาลอีก 2 เม็ด แล้วบอกว่ารวมกันแล้วไม่ใช่ 4 เม็ด มันเป็นไปไม่ได้ ในทำนองเดียวกัน บำเพ็ญธรรมวิถีแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สำเร็จ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ก้าวหน้า ไม่รู้แจ้ง ! ธรรมวิถีกวนอิมมันยอดเยี่ยมจริง ๆ!

แต่ธรรมวิถีนี้มีจุดที่แปลกประหลาดอยู่จุดหนึ่ง คือ ผู้ที่ไม่เชื่อก็สามารถบำเพ็ญได้ ขอเพียงบำเพ็ญไปให้ดี ทุกวันนั่งสมาธิ 2 ชั่วโมงครึ่ง ปัญญาก็จะพัฒนาเอง ถึงเวลาพวกเราก็จะเข้าใจ ตัวเราเป็นอาจารย์ของตัวเอง ขอเพียงบำเพ็ญธรรมวิถีนี้ก็จะเข้าใจเองอย่างแน่นอน เหมือนกับนำเอาน้ำตาล 2 เม็ดไปวางไว้ข้าง ๆ น้ำตาลอีก 2 เม็ด จะต้องเป็นน้ำตาล 4 เม็ดอย่างแน่นอน ไม่ว่าพวกเราจะเชื่อครูสอนเลขคณิตหรือไม่ แม้เขาจะบอกว่าอย่างนั้น ไม่ว่าพวกเราจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ขอเพียงนำเอาน้ำตาล 2 เม็ดไปวางไว้ข้างน้ำตาลอีก 2 เม็ด รวมขึ้นมาต้องเป็น 4 เม็ดอย่างแน่นอน 


หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
http://magazine.godsdirectcontact.net/thai/178/				
Lovers  0 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 0 คน
Lovers  4 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ