11 พฤษภาคม 2558 00:45 น.

ท่องดาวอังคาร....

คีตากะ

0_mars_banner_show.jpg













“มีคุณธรรม”
“รักษาบ้านของคุณก่อนที่มันจะสาย”

           ผมควรจะเก็บความรู้อันนี้เอาไว้เพื่อจะได้บอกญาติมิตร เพื่อนพ้องและคนสนิทเท่านั้น อย่างน้อยก็รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้พร้อมวิธีเอาตัวรอด หรือบางทีผมน่าจะเผยแพร่มันไปให้กว้างขวางที่สุด ให้เป็นเหมือนสิ่งเตือนใจ สนับสนุนให้คนรณรงค์เพื่อช่วยกันปกป้องโลก เราจะได้หลีกเลี่ยงสถานการณ์เลวร้ายก่อนสายเกินไปซึ่งแน่นอนจะต้องมีคนบอกว่าผมเป็นคนบ้าหรือเสียสติไปแล้ว เห็นๆ อยู่แล้วว่าผมเลือกทางที่สองซึ่งเป็นการมองโลกในแง่ดีมากกว่า.....
ข้อความ 2 ข้อความข้างต้นนี้ไม่ได้ถูกส่งมาจากองค์การระดับโลกหรือจากประเทศไหนๆ อย่างนาซ่า สหประชาชาติ หรือไอพีซีซี ไม่ได้ถูกส่งมาจากประธานาธิบดีหรือนายกรัฐมนตรีของประเทศใด และมันไม่ได้ถูกส่งมาจากผู้นำทางจิตวิญญาณ ผู้นำศาสนา หรือนักบวชของศาสนาใดๆ บนโลก นอกจากนั้นมันยังไม่ได้มาจากฟอร์เวิร์ดเมลล์ ที่ปลิวว่อนอยู่ในอินเทอร์เนต แต่ใครจะเชื่อว่า มันถูกส่งมาจากมนุษย์ดาวอังคาร !
          ตลอดระยะเวลายาวนานมาแล้ว ที่มนุษย์พยายามมองหาชีวิตจากนอกโลก ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยที่สุด ไฮเทคที่สุด พยายามส่งสัญญาณต่างๆ ออกไปแล้วเฝ้าสังเกตฟากฟ้าและดวงดาวอยู่ตลอดเวลาเพื่อรอคอยสิ่งมีชีวิตจากนอกโลกจะตอบรับกลับมา แต่ก็ยังคงผิดหวัง พวกเขาไม่เคยพบสิ่งมีชีวิตแม้เล็กที่สุดอย่างแบคทีเรียจากนอกโลกเลย ยานอวกาศถูกส่งออกไปสำรวจดวงดาวต่างๆ แต่คงยังว่างเปล่าหรือว่าการค้นหายังไม่ดีพอ ยังไม่ครอบคลุมพอ หรืออาจเป็นเพราะว่าในห้วงอวกาศไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นอาศัยอยู่ โลกเป็นเพียงดาวดวงเดียวที่มีสิ่งมีชีวิตกระนั้นหรือ ?
มนุษย์กลับมามีความหวังอีกครั้งจากการสำรวจดาวอังคาร ภายหลังจากการส่งยานอวกาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ.2508 ชื่อ ยานมารีเนอร์ 4 ของสหรัฐอเมริกา ภาพที่ถ่ายทอดกลับมาจำนวน 22 ภาพแสดงให้เห็นว่าพื้นผิวดาวอังคารมีหลุมและบ่อมากมาย ยานอวกาศมารีเนอร์อีกหลายลำต่อมา สามารถถ่ายภาพพื้นผิวรวมกันแล้วได้ครบทั่วทุกบริเวณ โดยเห็นภาพละเอียดถึง 1 กิโลเมตร ภาพถ่ายเหล่านี้ช่วยให้นักภูมิศาสตร์ทำแผนที่ของดาวอังคารได้ทั้งดวง บนพื้นผิวของดาวอังคารพบการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทางธรณีวิทยา เช่น ปล่องภูเขาไฟ หุบเหวกว้างและร่องลึกที่เหมือนกับร่องน้ำที่เคยเป็นทางน้ำไหลมาก่อน ยานที่สำรวจดาวอังคารต่อจากยานมารีเนอร์ คือ ยานไวกิง 2 ลำ แต่ละลำประกอบด้วยยานลำแม่ที่เคลื่อนรอบดาวอังคาร ในขณะที่ส่งยานลูกลงสัมผัสพื้นผิวดาวอังคาร ยานไวกิง 1 ลงที่ไครส์ พลาทิเนีย (Chryse Planitia) ซึ่งแปลว่า ที่ราบแห่งทองคำ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2519 เป็นเวลา 7 ปีหลังจากที่ นีล อาร์มสตรอง เหยียบดวงจันทร์ ต่อจากนั้นอีก 2 เดือน ยานไวกิง 2 ก็ลงในที่ราบทางเหนือชื่อที่ราบยูโทเปีย (Utopia) ยานทั้งสองมีแขนกลยื่นออกไปตักดินบนดาวอังคารมาวิเคราะห์ภายในยาน เพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิต หรือซากของสิ่งมีชีวิต แต่การวิเคราะห์ไม่ยืนยันว่ามีหรือเคยมีสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร ต่อจากยานไวกิงคือ ยานมาร์สพาธไฟเดอร์ ที่นำรถโซเจนเนอร์ไปด้วย ยานได้ลงบนพื้นผิวดาวอังคารเมื่อเดือนกรกฏาคม พ.ศ. 2540 ภาพที่น่าตื่นเต้นคือการติดตามรถคันเล็กๆ เคลื่อนที่สำรวจก้อนหินใกล้ฐานซึ่ง ต่อมาได้รับชื่อว่า ฐานเซแกน ภาพก้อนหินที่เรียงในทิศทางเดียวกันชี้ให้เห็นว่าบนดาวอังคารเคยมีน้ำไหลมาก่อน ต่อมายานมาร์สโกลบอล เซอร์เวเยอร์ ซึ่งกำลังเคลื่อนรอบดาวอังคารได้ส่งภาพหุบเหวที่เป็นร่องลึกหรือที่เรียกว่า แคนยอน ซึ่งคดเคี้ยวไปมา
         8 มีนาคม พ.ศ. 2550  นายเจฟเฟรย์ แอนดรูวส์-แฮนนาและเพื่อนร่วมงาน แห่งสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ พบหลักฐานสำคัญว่า ครั้งหนึ่งดาวอังคารเคยมีโครงสร้างของระบบน้ำซึม ซึ่งถือเป็นข้อพิสูจน์ชี้ให้เห็นว่าดาวอังคารเคยมีความสัมพันธ์อันสลับซับซ้อนกับองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิตมาเป็นเวลานาน  22 กันยายน พ.ศ. 2550  ยาน 2001 มาร์สโอดิสซีย์ พบสิ่งที่ดูเหมือนถ้ำ 7 แห่ง บริเวณเนินลาดของภูเขาไฟบนดาวอังคาร โดยทางยานได้ส่งภาพของพื้นบริเวณหนึ่งซึ่งมืดและมีลักษณะเป็นทรงกลมที่เชื่อ ว่าเป็นปากถ้ำ เชื่อว่าภายในเป็นพื้นที่กว้างใต้ดินและน่าจะมีอากาศเย็นกว่าพื้นที่โดยรอบ ในเวลากลางวัน และอุ่นกว่าในเวลากลางคืน ถ้ำทั้ง 7 นี้ทางนาซาได้ตั้งชื่อให้ว่า "น้องสาวทั้ง 7” 
จากการรวบรวมข้อมูลการสำรวจดาวอังคารอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายปี โดยทั้งจากกล้อง ไอทีเอฟ (Infrared Telescope Facility) ของนาซา กล้องโทรทัศน์เคกในฮาวาย และจากกล้องเจมิไนใต้ในชิลี นักดาราศาสตร์พบมีเทนจำนวนหนึ่งเกาะกลุ่มกันอยู่ในบรรยากาศของดาวอังคาร มีเทน บางก้อนมีปริมาณถึง 21,000 ตัน ปริมาณนี้มีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล แสงอาทิตย์ทำให้มีเทนสลายไป แต่แล้วจำนวนมีเทนก็เพิ่มขึ้นมาอีก นั่นแสดงว่ามีกระบวนการบางอย่างบนนั้นคอยเติมมีเทนตลอดเวลา การค้นพบนี้จุดประกายความหวังว่าอาจมีสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอยู่บนดาวอังคาร เพราะสิ่งมีชีวิตหลายอย่างคายแก๊สมีเทน อย่างไรก็ตาม มีเทนไม่ได้เกิดจากสิ่งมีชีวิตเสมอไป เพราะอาจเกิดจากกระบวนการทางธรณีวิทยาอย่างเดียวก็ได้ เช่นน้ำทำปฏิกิริยากับหินเหลวในภูเขาไฟ ก็ทำให้เกิดมีเทนได้เช่นกัน ไม่ว่ามีเทนที่พบนี้จะเกิดจากกระบวนการทางชีววิทยาหรือธรณี วิทยา แต่การค้นพบนี้ย่อมแสดงว่าดาวอังคารยังคงมีกระบวนการต่าง ๆ ดำเนินอยู่ แตกต่างจากภาพลักษณ์เดิมที่เคยมองว่าดาวอังคารเป็นดาวที่ตายแล้วอย่างสิ้นเชิง
          นักวิจัยระบุว่าถ้ามีเทนมาจากจุลินทรีย์ จุลินทรีย์เหล่านั้นคงต้องอาศัยอยู่ใต้ดินห่างไกลจากพื้นดินอันหนาวเย็น ซึ่งเป็นบริเวณที่อุ่นพอสำหรับของเหลวอย่างน้ำจะยังคงมีอยู่ ของเหลวเช่นน้ำจัดเป็นหนึ่งในสิ่งจำเป็นของส่วนประกอบสิ่งมีชีวิต น้ำนั้นรู้ว่ามีอยู่บนดาวอังคาร เนื่องจากหุ่นยนต์ได้เก็บตัวอย่างน้ำแข็งได้จากพื้นดิน นักวิจัยได้พบกลุ่มของมีเทนบริเวณเสี้ยวหนึ่งของทางขั้วโลกเหนือของดาวอังคารในปี พ.ศ. 2546  และเรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ค้นพบกลุ่มก๊าซที่มากเช่นนี้บนดาวอังคาร ทางนาซ่าได้ระบุว่ามี 3 บริเวณที่ปล่อยมีเทนปริมาณมหาศาลอย่างช้า ๆ ซึ่งบริเวณเหล่านั้นแสดงหลักฐานของแหล่งน้ำใต้ดินโบราณ ซึ่งไม่มีสัญญาณว่าก๊าซอื่นที่คาดว่าถ้ามีเทนถูกผลิตจากภูเขาไฟ อย่างเช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ในอดีตเคยมีการพบกลุ่มของจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ใต้ดินลึกลงไป 2-3 กิโลเมตรที่แอฟริกาใต้มาแล้ว ซึ่งนักวิจัยคาดว่าน่าจะมีแบคทีเรียที่คล้ายคลึงกันเช่นนี้อาศัยบนดาวอังคาร เช่นกัน
            ปริมาณมีเทนที่พบนี้น้อยมากเพียงสิบโมเลกุลในอากาศหนึ่งพันล้านโมเลกุล เท่านั้น แม้จะน้อยนิดแต่ก็เป็นการค้นพบที่สำคัญเพราะมีเทนบ่งบอกถึงกลไกลึกลับที่ซ่อนเร้นอยู่บนดาวอังคาร โดยปรกติมีเทนจะทำปฏิกิริยากับไอออนไฮดรอกซีล (OH) ในบรรยากาศกลายเป็นน้ำและคาร์บอนไดออกไซด์ ปฏิกิริยานี้ทำให้มีเทนในบรรยากาศหมดไปภายในไม่กี่ร้อยปี แต่การที่ยังพบมีเทนอยู่แสดงว่ามีกลไกบางอย่างที่ผลิตมีเทนออกมาอย่างต่อเนื่อง นักวิทยาศาสตร์ได้เสนอทฤษฎีออกมาหลายทฤษฎีเพื่ออธิบายกระบวนการผลิตมีเทนออกสู่บรรยากาศ ทฤษฎีที่โดดเด่นและน่าเป็นไปได้มากที่สุดเกี่ยวข้องกับภูเขาไฟและกัมมันตภาพ ความร้อนใต้พิภพอย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมายานอวกาศที่สำรวจดาวอังคารจากวงโคจรหลายลำไม่เคยพบกัมมันตภาพลักษณะนี้ที่เกิดขึ้นในเวลาใกล้ ๆ นี้เลย อีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าตื่นเต้นกว่าแม้จะมีความเป็นไปได้น้อยกว่าก็คือ เกิดจากสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่อยู่ใต้พื้นดินคายก๊าซมีเทนออกมา กระบวนการนี้เกิดขึ้นบนโลกตลอดเวลา สัตว์ แบคทีเรีย และการย่อยสลายของสารอินทรีย์ล้วนคายก๊าซมีเทนสู่บรรยากาศ มีเทนในบรรยากาศโลกเกือบทั้งหมดเกิดจากกระบวนการนี้
            แม้ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์จะคงยังสำรวจดาวอังคารอย่างต่อเนื่องและมีโครงการจะอพยพมนุษย์ขึ้นไปอาศัยอยู่บนนั้น ถ้าหากในอนาคตโลกไม่สามารถอาศัยอยู่ได้อีกต่อไป ดาวอังคารบางทีก็เรียกกันว่า”ดาวแดง “ เพราะผิวพื้นเป็นหินสีแดง หินบนดาวอังคารที่มีสีแดงก็เพราะเกิดสนิม ท้องฟ้าของดาวดังคารเป็นสีชมพู เพราะฝุ่นจากหินแดงที่ว่านี้   ผิวของดาวอังคารเหมือนกับทะเลหินแดง มีก้องหินใหญ่และหลุมลึก ภูเขาสูง หุบ เหว และเนินมากมาย หนึ่งปีบนดาวอังคารเกือบเท่าสองปีโลก  แต่หนึ่งวันบนดาวอังคารจะนานกว่าครึ่งชั่วโมงโลกเพียงเล็กน้อย ดาวอังคารมีอากาศห่อหุ้มอยู่ไม่มากและเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลมพัดแรงจัดทำให้ฝุ่นฟุ้งไปทั้งดวงดาว ดาวอังคารมีขนาดโตประมาณครึ่งหนึ่งของโลก ดาวอังคารอยูไกลดวงอาทิตย์มากกว่าโลกจึงทำให้มีบรรยากาศหนาวเย็น อุณหภูมิบนดาวดวงนี้จะต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง
        ปัจจุบันมีข้อมูลเกี่ยวกับดาวอังคารค่อนข้างมาก แม้ว่าดูจากภาพถ่ายแล้ว พื้นผิวดาวอังคารมองดูคล้ายกับทะเลทราย หรือคล้ายกับภูเขาไฟบนโลก แต่สภาพบรรยากาศนั้นแตกต่างกัน เราลองสัมผัสบรรยากาศดูจะพบกับความกดดันที่ต่ำกว่าโลกเล็กน้อย ประมาณ 1% รอบๆตัว ขณะยืนอยู่บนดาวอังคาร สูดหายใจได้บ้างแต่อึดอัดเพราะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากถึง 95% ที่เหลือเป็นอาร์กอนและก๊าซไนโตรเจน เหตุขาดแคลนก๊าซออกซิเจนเพราะไม่มีชั้นบรรยากาศโอโซน (Ozone layer) ด้วยผลกระทบจากรังสีอุตตร้าไวโอเลทของดวงอาทิตย์ ทำให้ชั้นโอโซนของดาวอังคารเสียหายมีความผิดปกติมานาน หนึ่งวันของดาวอังคารมี 24.6 ชั่วโมง ถือว่าใกล้เคียงกับโลก ถ้าเราอยากจะสัมผัสฤดูกาลทั้ง 2 ฤดู บนดาวอังคารต้องใช้เวลา 20 เดือน ซึ่งเท่ากับโลก 1 ปี เมื่อเทียบกับเวลาโลก เพราะดาวอังคารหมุนรอบดวงอาทิตย์ช้ากว่าโลก ทำให้ทุกฤดูกาลยาวนานกว่าโลก เนื่องด้วยวงโคจรลักษณะเป็นรูปไข่และแกนเอียง 25 องศา ทำให้เกิดฤดูแตกต่างกันสองแบบ ระหว่างขั้วเหนือและขั้วใต้ โดยขณะที่ดาวอังคารเริ่มมีระยะห่างจากดวงอาทิตย์จะโคจรช้าลง ด้านขั้วเหนือเกิดฤดูร้อนที่ยาวนานมีลมเย็น -5 องศาเซลเซียส ส่วนด้านขั้วใต้ เกิดฤดูหนาวยาวนานที่จุดเหยือกแข็ง  – 87 องศาเซลเซียส มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลักษณะเป็นน้ำแข็งแห้ง (Dry ice) ปกคลุมเหมือนหมวกครอบบนขั้วมีความหนา เรียกว่า Polar caps (บริเวณปกคลุมขั้วน้ำแข็ง) โดยรวมแล้ว ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 1 ใน 3 บนดาวอังคารจะเคลื่อนตัวไปมาตามกลไกอากาศระหว่างด้านขั้วเหนือและขั้วใต้ ปรากฎการณ์ดังกล่าวบางครั้งเกิดพายุฝุ่นขนาดใหญ่เข้ามาสมทบ พัดพาสิ่งต่างๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงของเนินทรายขนาดใหญ่บนพื้นผิวมีสีสันต่างกัน  เพราะฉะนั้นในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา การสำรวจด้วยกล้องที่นักดาราศาสตร์โบราณมองจากโลกจึงเข้าใจผิดว่าเป็นการเปลี่ยนของพืชพันธ์ไม้และมีคลองชลประทานบนดาวอังคาร ขณะยืนอยู่ที่โล่งแจ้งบนดาวอังคารเหมือนกับทะเลทรายอันว่างเปล่าแล้ว หากเป็นเวลาเดียวกับการเกิดพายุก็มีโอกาสได้รับบาดเจ็บได้ เพราะลักษณะพายุเป็นลมหมุนแบบโทนาโด มาพร้อมกับก้อนหินมากมาย คล้ายกับพายุลูกเห็บบนโลกเรียกว่า Dust devils บนดาวอังคารเรียกว่า Wind vanes (ลมพายุใบจักร) ทั้งนี้เกิดการก่อตัวพราะความร้อนสะสมจากดวงอาทิตย์บริเวณพื้นผิว ส่วนมีลักษณะหมุนก็เพราะกระแสลมแรงพัดแบบสลับทิศทางกัน
             ตลอดทั้งปีบนดาวอังคารบนพื้นผิวเราจะพบแต่ลมพายุฝุ่นเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้สภาพอากาศ สะเก็ดเล็กๆของฝุ่นผงกระจัดกระจายทั่วไป เมื่อมองผ่านแสงแดดจะเห็นเป็นแสงสีฟ้ามากกว่าแสงสีแดงเหมือนบนโลก หากบริเวณที่มีแสงน้อยมองเห็นสภาพบรรยากาศเป็นสีน้ำเงินเข้มจนออกสีเทาดำ แต่ในชั้นบรรยากาศกลับตรงกันข้าม กลุ่มฝุ่นหมอกจะดูดกลืนแสงสีฟ้า เราเงยหน้ามองฟ้าบนดาวอังคารจะเห็นท้องฟ้าเป็นสีน้ำตาล ความจริงสิ่งที่เห็นเป็นการสะท้อนผงฝุ่นในอากาศ เป็นสภาพที่เราพบเห็นเหมือนท้องฟ้าในเมืองใหญ่ที่มีเขม่าพิษ จากควันไอเสีย อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับฤดูกาลของดาวอังคารด้วย โดยทั่วไปถ้าเราตื่นตอนเช้าบนดาวอังคารจะ เห็นท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินอมเขียวถึงเวลากลางวัน บรรยากาศท้องฟ้าอาจจะมีสีเหลืองอมสีน้ำตาล หรือบางครั้งก็มีสีที่ต่างๆออกไปอีก ส่วนตกเย็นบรรยากาศเป็นสีน้ำเงินอมเขียวเช่นเดียวกับตอนเช้า การสำรวจพื้นผิวทางธรณีวิทยาดาวอังคาร พบเห็นร่องรอยหลุมจากการชนปะทะของอุกกาบาตเช่นกัน ข้อแตกต่างกันของด้านขั้วเหนือและขั้วใต้ แนวด้านขั้วใต้มีลัษณะเป็นที่ราบสูงพบหลุมอุกกาบาตมีความลึกและใหญ่มากมาย ส่วนด้านขั้วเหนือเป็นที่ราบต่ำหลุมไม่ใหญ่นักพบจำนวนไม่มากรวมทั้งภูเขาไฟจำนวนน้อยกว่าด้านขั้วใต้ แผ่นเปลือกดาวอังคารมีเหมือนแผ่นเปลือกโลกเช่นกัน เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของภูเขาไฟโดยมีหุบเขาที่ยาว และลึกมากกว่าของโลกโดยเฉพาะ ภูเขาไฟ Olympus Mons มีโครงสร้างคล้ายคลึงกับภูเขาไฟฮาวาย และ Valles Marineris มีหน้าผาคล้ายเช่น Grand Canyon ในอเมริกา บนดาวอังคารนั้นพบหลักฐานบ่งชี้ชัดว่ามีจุลชีพขนาด เล็กมากอาศัยอยู่ทำให้เชื่อได้ว่าบนดาวอังคารต้องมีแหล่งน้ำ การค้นหาแหล่งน้ำในอดีตพบถึงแนวไหลของน้ำเหมือนคลองที่แห้ง รอยกัดเซาะจากปริมาณน้ำที่ล้นฝั่ง แต่ก็ยังอธิบายไม่ได้ว่า น้ำเกิดขึ้นบนดาวอังคารด้วยสภาพอากาศแบบใด หรือเกิดจากน้ำใต้ดิน การใช้เครื่องมือพิเศษทำการตรวจสอบ มีความแน่ใจว่าพื้นผิวดาวอังคารเต็มไปด้วยร่องรอยรูปแบบการกัดเซาะของน้ำเหมือนบนโลก เชื่อว่าบริเวณขั้วที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งแห้ง น่าจะเก็บร่องรอยอดีตนับพันล้านปีเอาไว้ ถ้าเช่นนั้นน้ำเหล่านั้นหายไปไหน ประการแรก ปกติน้ำมีการระเหยตัวสู่อากาศได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว ส่วนประการที่สอง บางส่วนที่ยังคงอยู่ หากมีการเปลี่ยนแปลงสถานะเป็นน้ำแข็งจมอยู่ใต้ผิวดิน แต่ถ้าน้ำแข็งเหล่านั้นยังคงมีอยู่ ความร้อนของภูเขาไฟจะทำให้ละลายไหลออกมาได้
            เหล่านักวิทยาศาสตร์ยังคงถกเถียงกันเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารมาจนถึงทุกวันนี้ ท่านอาจารย์ (Supreme Master Ching Hai) ได้กรุณานำข้อมูลบางส่วนของดาวอังคารมาเปิดเผยในรายการทีวีสุพรีมมาสเตอร์(www.SupremeMasterTV.com) ซึ่งแพร่ภาพไปทั่วโลก ท่านอาจารย์กล่าวว่าข้อมูลนี้ได้จากการจดบันทึกระหว่างที่ท่านนั่งสมาธิในยามดึกดื่นคืนหนึ่ง โดยผมคัดและเรียบเรียงมาจากการถาม-ตอบระหว่างท่านอาจารย์และลูกศิษย์ เนื้อความคร่าวๆ มีดังต่อไปนี้
           เมื่อ 40 ล้านปีที่แล้ว ดาวอังคารยังเป็นดวงดาวที่มีสภาพเหมือนกับโลก กล่าวคือมีอากาศ น้ำ ป่า แผ่นดิน มหาสมุทร ฯลฯ ดาวอังคารมีสิ่งมีชีวิตทั้ง คน พืช และสัตว์ ทุกสิ่งใกล้เคียงกับโลกมาก ต่างกันตรงที่มนุษย์ดาวอังคารได้พัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปไกลล้ำหน้ากว่าโลกมากเท่านั้น ดาวอังคารขณะนั้นมีจำนวนประชากรประมาณ 1,000 ล้านคน ลักษณะของมนุษย์ดาวอังคารก็มีความคล้ายคลึงกับมนุษย์โลก แม้จะมีวงโคจรที่อยู่ห่างดวงอาทิตย์มากกว่าโลก แต่ก็มีชั้นบรรยากาศที่คอยรักษาความอบอุ่นให้แก่ดวงดาว การพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่รวดเร็วเกินไปไม่สมดุลกับการพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณนำความหายนะมาสู่ดวงดาว ในที่สุดดาวอังคารเกิด”ภาวะเรือนกระจก” แก๊สเรือนกระจกจากภาคการปศุสัตว์และการเผาป่าเป็นสาเหตุหลักที่ถูกปล่อยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศจนหนาแน่นเกินกว่าที่ธรรมชาติอย่างมหาสมุทรและป่าไม้จะกำจัดส่วนเกินออกไปได้ ผลก็คืออุณหภูมิดวงดาวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 5 ปีก่อนหน้านั้นมีการเตือนเรื่องภัยพิบัติจากกูรูโดยเฉพาะผู้นำทางจิตวิญญาณที่รู้แจ้ง ซึ่ง ณ ขณะนั้นมีเพียงท่านเดียว(เป็นผู้ชาย) และบางคนที่สามารถล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าหรือล่วงรู้กฎแห่งกรรมบนดาวอังคาร แต่มนุษย์ดาวอังคารส่วนใหญ่ตอนนั้นยังคงเพิกเฉยและไม่เชื่อว่าดวงดาวของตนจะถึงจุดสิ้นสุด จึงไม่มีการเตรียมพร้อมหรือแก้ไขอะไร เมื่อภาวะเรือนกระจกขึ้นไปถึงจุดวิกฤตเข้าขั้นหายนะ  การทำลายล้างครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้นภายในช่วงเวลาแค่ 2 เดือน อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ชั้นดินเยือกแข็งหรือเพอร์มาฟรอสต์ (permafrost) ละลายปล่อยแก็สมีเทนและคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นแก็สเรือนกระจกสะสมในบรรยากาศมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้อุณหภูมิของดวงดาวเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถควบคุมได้ ส่งผลให้อุณหภูมิน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น ความร้อนแพร่ลงสู่ก้นมหาสมุทรกระตุ้นให้เกิดการปล่อยแก็สไฮโดรเจนซัลไฟด์ (แก็สไข่เน่า : H2S) และแก็สไนโตรเจนออกไซด์ (NO2) ในช่วงแรกและตามมาด้วยแก็สมีเทน (CH4)ในช่วงหลัง ซึ่งส่วนใหญ่สะสมอยู่ที่ใต้พื้นมหาสมุทรและทะเลสาบต่างๆ ผลก็คือมนุษย์ดาวอังคารได้รับแก็สพิษและเกิดภาวะขาดออกซิเจน ตายอย่างช้าๆ ด้วยความทุกข์ทรมานภายในเวลา 4 วัน
การที่ไม่มีการเตรียมพร้อมทำให้สิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารถึง 90 เปอร์เซ็นต์สูญพันธุ์ทันทีรวมทั้งมนุษย์ในช่วงเวลาเพียง 2 เดือน ต่อมาอีก 1 เดือนสูญพันธุ์อีก 5 เปอร์เซ็นต์ 3.8 เปอร์เซ็นต์อีกหนึ่งเดือนถัดมาและอีก 1 เปอร์เซ็นต์ในเวลาต่อมา ทำให้มนุษย์ดาวอังคารเหลือเพียง 0.2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่รอดชีวิตซึ่งมีประมาณ 2 ล้านคน พวกที่รอดชีวิตกลุ่มแรกเป็นพวกที่สามารถหลบหนีลงสู่ใต้ดิน หลุมลึก อุโมงค์ หรือถ้ำได้ทัน โดยพวกเขาได้มีการเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อน ด้วยการขุดอุโมงค์หรือถ้ำใต้ดินเอาไว้และบางส่วนเป็นถ้ำตามธรรมชาติ มีการกักตุนอาหาร นำอุปกรณ์เทคโนโลยี่ และนำสัตว์เลี้ยงบางส่วนลงสู่ใต้ดิน ด้วยพื้นที่แออัดคับแคบทำให้คนที่เหลือรอดพวกแรกๆ เริ่มทำการขุดอุโมงค์ขยายออกไปเรื่อยๆ เดิมทีภายหลังจากหายนะครั้งใหญ่มนุษย์ที่ลงสู่ใต้ดินมีอยู่กระจัดกระจายกันไปตามแต่ภูมิประเทศทั่วดวงดาว พวกเขาสามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้ทางโทรจิต เพราะอุปกรณ์สื่อสารทั้งหมดใช้งานไม่ได้ ระบบสาธารณูปโภคต่างๆล้มเหลว มนุษย์ดาวอังคารที่เหลือรอดจำนวนหนึ่งในสี่มีความสามารถในการใช้โทรจิตเพื่อการติดต่อสื่อสาร พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นมังสวิรัติหรือวีแกนและเป็นผู้ปฏิบัติธรรมวิถีกวนอิมแทบทั้งสิ้น อาจารย์ยังกล่าวว่าไม่เพียงที่ดาวอังคารเท่านั้นที่บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม แทบทุกดวงดาวที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ในจักรวาลล้วนบำเพ็ญวิถีนี้ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงรอดพ้นจากภัยพิบัติต่างๆ ได้ นั่นก็เป็นเพราะกฎแห่งกรรม “ทำดีย่อมได้รับผลดี” นั่นเอง  
ในเวลา 20 ปีต่อมา การมีความสามารถในด้านโทรจิตของมนุษย์ดาวอังคารบางส่วนนี้เอง ทำให้กลุ่มคนต่างๆ ที่เคยอยู่กระจัดกระจายกันไปในใต้ดินกลับมารวมกันได้อีกครั้งกลายเป็นประเทศเดียว ช่วงแรกๆ ที่มีการขุดขยายอาณาบริเวณภายในใต้ดินนั้นมีความยากลำบากและต้องพบกับอุปสรรคมากมาย บางส่วนก็ต้องตายไประหว่างนั้นเพราะเกิดจากการถล่มของดินทับบ้าง แก็สพิษจากข้างบนรั่วซึมลงมาได้บ้าง ขาดอากาศ อาหารและน้ำดื่มบ้าง สำหรับมนุษย์กลุ่มที่ฉลาดกว่าได้ทำการขุดถ้ำบริเวณที่อยู่ใกล้กับแหล่งน้ำใต้ดินหรือน้ำบาดาล จะขุดลึกลงไปโดยมีเพดานสูงประมาณ 10 เมตรระหว่างพื้นดิน บ้านยกพื้นเป็นอาคาร 4-5 ชั้นสร้างจากดินโคลนทั้งหลัง (เพราะไม่มีซีเมนต์) เพื่อการอยู่อาศัยและป้องกันน้ำรั่วซึมชั้นล่าง สำหรับอากาศที่ใช้ในการหายใจ พวกเขาใช้เทคนิกพิเศษในการแยกแก็สออกซิเจนจากแหล่งน้ำใต้ดินหรือแม่น้ำบริเวณใกล้เคียง นอกจากนั้นยังมีการรีไซเคิ้ลน้ำและอากาศที่ใช้แล้วซึ่งมีอยู่อย่างจำกัดนำกลับมาใช้ใหม่อีกด้วย สำหรับแก็สไอเสียต่างๆ ก็ใช้การปั๊มปล่อยออกสู่ผิวดินด้านบนและมีการกรองอากาศ นั่นอาจเป็นสาเหตุที่นักวิทยาศาสตร์โลกพบแก็สมีเทนในชั้นบรรยากาศของดาวอังคารเมื่อไม่นานมานี้ มีการควบคุมสภาพอากาศให้คงที่เพื่อให้อุณหภูมิพอเหมาะกับสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ใต้ดิน เมื่อมีการรวมกลุ่มกันก็เริ่มมีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีมากขึ้น เกิดอารยธรรมใหม่ที่มุ่งเน้นชีวิตแบบพอเพียงและเรียบง่าย โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณเป็นหลัก นั่นเพราะพวกเขาล้วนมีประสบการณ์ที่เลวร้ายมาก่อน ทานอาหารจำพวกธัญพืช ผัก ผลไม้หรือมังสวิรัติเพียง 1-2 มื้อต่อวัน คิดเป็นปริมาณหนึ่งในสี่ของอาหารของเราบนโลกต่อคนต่อวัน พวกเขาสามารถผลิตดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เทียมขึ้นเองเพื่อใช้ในการทำการเกษตร เพาะปลูกธัญพืชเพื่อใช้เป็นอาหารเส่วนใหญ่เป็นแบบไฮโดรโปนิก(ปลูกพืชในน้ำ) และให้แสงสว่างในการดำรงชีวิตภายในใต้ดิน โดยสามารถจะเปิด-ปิดมันเวลาใดก็ได้ตามต้องการ สำหรับสัตว์เลี้ยงส่วนหนึ่งเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ใต้ดินซึ่งไม่มีบนโลกเรา และบางส่วนถูกนำลงมาพร้อมกับเจ้าของเวลาเกิดภัยพิบัติ พวกเขาไม่ทานเนื้อสัตว์จึงไม่ทำการขยายพันธุ์ของพวกมัน หากแต่จะควบคุมจำนวนเอาไว้ โดยเลี้ยงเอาไว้เป็นสัตว์เลี้ยงหรือเพื่อน โดยปัจจุบันมีวัวจำนวน 32 ตัว และสุนัขอีกจำนวนหนึ่ง สัตว์ส่วนใหญ่สูญพันธุ์ไปตั้งแต่แรก ไม่มีสัตว์จำพวกนกหรือแมว สัตว์ทั้งหมดที่เหลืออยู่ถือเป็นสมบัติของชาติ หากมองไปจะพบพืช ดอกไม้ หรือต้นไม้มีความสูงไม่เกิน 3 เมตรเกือบทั้งหมด เนื่องจากพื้นที่มีจำกัดเพราะความสูงระหว่างพื้นและเพดานสูงเพียง 10 เมตร จึงมีการควบคุมการเจริญเติบโตของพวกมันเป็นอย่างดี
              เวลาผ่านมา 40 ล้านปี ปัจจุบันประชากรดาวอังคารมีประมาณ 5.8 ล้านคนล้วนอาศัยอยู่ใต้ดิน         ประชากรมนุษย์จะอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนและเลือกผู้นำโดยใช้ระดับสติปัญญา คุณธรรมหรือระดับชั้นทางจิตวิญญาณเป็นเกณฑ์วัด ไม่ใช่ความอาวุโส และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ คนทุกสาขาอาชีพสามารถถูกเลือกมาเป็นผู้นำได้ โดยไม่ได้จำกัดอายุ การศึกษา หรือวงค์ตระกูล สำหรับคู่ครองที่อยู่ร่วมกันจะมีความรับผิดชอบและให้เกียรติกัน มีการคุมกำเนิดโดยใช้วิธีแบบธรรมชาติ ควบคุมจำนวนประชากรไม่ให้หนาแน่นเกินไปเพราะข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ เนื่องจากการเป็นวีแกนหรือมังสวิรัตินี้เองทำให้พวกเขามีสุขภาพแข็งแรงมากและแก่ช้า การไม่มีมลพิษ ไม่มีความเครียด ไม่เจ็บป่วยหรือเป็นโรคต่างๆนาๆ ทำให้เมืองใต้ดินของดาวอังคารไม่มีแพทย์ พยาบาลหรือโรงพยายาบาล มนุษย์ดาวอังคารจึงมีอายุยืนถึง 200 ปี ระบบการปกครองที่เรียบง่ายแบบรัฐสภาแตกต่างจากโลกเราอย่างสิ้นเชิง รัฐบาลจะมีผู้นำมาจากการเลือกตั้งซึ่งปัจจุบันเป็นราชินี (บางครั้งก็เป็นราชา) จะเพียงคอยให้คำปรึกษาหรือตอบคำถามเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ไม่มีการเก็บภาษี ไม่มีการควบคุมบังคับหรือบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เพราะมนุษย์ดาวอังคารมีวินัยเป็นอย่างยิ่ง ทุกคนปรองดองกัน ไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีการปฏิวัติ ไม่มีการฉ้อโกงหรือติดสินบน ไม่มีการลักขโมย ไม่มีโจรหรือผู้ร้าย ไม่ทำลายกัน จึงไม่จำเป็นต้องมีกองทัพ ไม่มีอาวุธ ไม่มีคุกหรือเรือนจำ ไม่มีเงิน ทุกครอบครัวต่างทำงานตามความสมัครใจ ตามพรสวรรค์และความถนัดของตนแบบอิสระไม่มีนายจ้าง ไม่มีค่าจ้าง จากนั้นจะนำผลผลิตที่ได้เหล่านั้นมาแบ่งปันกัน ไม่มีตลาดค้าขาย ทุกคนต่างช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกันอย่างดีจึงไม่มีคนจนและคนรวย ทุกคนต่างเท่าเทียมกันเคารพซึ่งกันและกัน 
            ประวัติศาสตร์การทำลายล้างดวงดาวอันแสนเจ็บปวด ทำให้ชาวดาวอังคารที่เหลือรอดตระหนักดีว่าการพัฒนาที่มุ่งเน้นด้านวัตถุจนละเลยด้านจิตวิญญาณนำพาดวงดาวไปสู่ทิศทางใด บรรพบุรุษรุ่นแรกๆที่เหลือรอดมาได้บันทึกเรื่องราวของประวัติศาสตร์เอาไว้อย่างละเอียด ทั้งยังมีการสร้างรูปปฏิมากรรมต่างๆไว้เพื่อเตือนใจให้แก่อนุชนรุ่นหลัง เป็นการส่งถ่ายบทเรียนอันมีค่าจากรุ่นสู่รุ่นมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ บางครั้งพวกเขาก็ขึ้นมาบนพื้นผิวดวงดาวพร้อมถังบรรจุแก็สออกซิเจน โดยสวมหน้ากากป้องกันแก็สพิษ และใช้รถหุ้มฉนวน เพื่อทำภารกิจบางอย่าง เช่นการขนส่ง เมืองใต้ดินของดาวอังคารจะมีประตูลับซ่อนเอาไว้มิดชิดและซับซ้อน เพื่อป้องกันผู้บุกรุก พวกเขาจะเข้าและออกอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้มนุษย์จากดวงดาวอื่นจะทันสังเกตเห็น รถยนต์และยานพาหนะส่วนใหญ่ของดาวอังคารมีลักษณะกลมแบนคล้ายจาน ซึ่งมีส่วนคล้ายกับยูเอฟโอ รถยนต์ที่หุ้มฉนวนเหล่านี้เอนกประสงค์มาก เพราะมันสามารถบินได้เหมือนเครื่องบินและวิ่งได้บนท้องถนน เหตุผลที่ยานพาหนะส่วนใหญ่ของดาวอังคารมีลักษณะกลมแบนก็เพราะมันสามารถลดแรงเสียดทานจากอากาศได้มากทำให้ประหยัดพลังงาน นอกจากนั้นยังสะดวกในการเลี้ยวเปลี่ยนทิศได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลาเดินหน้าถอยหลังเหมือนกับยานพาหนะบนโลกที่ส่วนใหญ่เป็นทรงเหลี่ยม  สำหรับรถขนส่งสาธารณะจะใช้ไฟฟ้าทั้งหมด เป็นรถที่ใช้เคเบิ้ลไฟฟ้า ไม่ใช้แก็ส รถที่มีลักษณะกลมคล้ายจานมีความเร็วตั้งแต่ 100 ไมล์ต่อชั่วโมงขึ้นไป บางคันวิ่งได้ 300 ไมล์ต่อชั่วโมง สำหรับสูงสุดวิ่งได้ถึง 500 ไมล์ต่อชั่วโมง รถขนส่งสาธาณณะ รถยนต์ และจักรยานเป็นของส่วนรวมทุกคนเป็นเจ้าของสามารถนำไปใช้ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เช่นเดียวกับไฟฟ้าและน้ำ ล้วนเป็นของฟรีทั้งสิ้น มนุษย์ดาวอังคารไม่ต้องการติดต่อกับโลกของเราตลอดระยะเวลายาวนานที่ผ่านมา สาเหตุเพราะว่ากลัวเชื้อโรคจากมนุษย์ ทั้งเชื้อโรคทางกายภาพซึ่งพวกเขาไม่มี และเชื้อโรคทางจิตวิญญาณ (โลภ โกรธ หลง) พวกเขาพอใจในสิ่งที่เป็นและเรียนรู้อยู่อย่างพอเพียง ดังนั้นจะซ่อนตัวเสมอมา และรู้สึกเป็นกังวลเมื่อยานอวกาศที่สำรวจดาวอังคารจากมนุษย์โลกเข้ามาใกล้ดวงดาว แต่ด้วยเทคโนโลยี่ที่สูงส่งของพวกเขาทำให้มนุษย์เราไม่เคยรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของพวกเขา ซึ่งปัจจุบันมนุษย์โลกเริ่มสงสัยดาวอังคารมากขึ้นจากการค้นพบทางวิทยาศาสตร์มากมายในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ พวกเขาจึงยิ่งวิตกกังวลมากยิ่งขึ้น
            มนุษย์ดาวอังคารไม่ต้องทำงานหนัก ไม่มีทำงานล่วงเวลา (O.T.) ทำให้พวกเขามีความสุขและผ่อนคลายกว่ามาก พวกเขาปลูกหญ้าและสร้างสวนดอกไม้เพื่อความเพลิดเพลิน มีความบันเทิงในรูปแบบต่างๆ มากมาย มีโรงละคร(ไม่มีละครสัตว์) โรงภาพยนต์ ทีวี วิทยุ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ มีเกมกีฬามากมาย (ไม่มีกีฬาที่ใช้ความรุนแรง เช่น มวย ชนสัตว์) เช่นว่ายน้ำ แอโรบิค มีภาพยนต์ และตลก ส่วนใหญ่เล่นเพื่อความสนุก ไม่มีการแข่งขันเพื่อเอาชนะ เทคโนโลยี่ต่างๆ มีความทันสมัยล้ำหน้ากว่าบนโลกอย่างเช่น อินเตอร์เนตที่มีความเร็วสูง สามารถดาวน์โหลดหรืออัพโหลดได้ทันทีเหมือนกับการส่งแฟกซ์หรือถ่ายเอกสาร ไม่เสียเวลาเป็นชั่วโมงเหมือนอินเตอร์เนตบนโลก ทั้งยังไม่มีไวรัส ไม่เสียบ่อย เช่นเดียวกับเครื่องจักรกลทุกชนิดบนดาวอังคารที่มีคุณภาพสูง แทบจะไม่เคยเสียต้องซ่อมเลย นอกจากนั้นยังสามารถดูทีวีและเล่นอินเตอร์เนตระหว่างดวงดาวที่ห่างไกลนับล้านๆไมล์ได้อีกด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ความเป็นไปของโลกเราอย่างต่อเนื่องและกำลังเฝ้ามองดูเราอย่างเงียบๆ ตลอดมา แน่นอนการที่มนุษย์บางส่วนของดาวอังคารสามารถสื่อสารทางโทรจิตและบางส่วนล่องหนหายตัวได้ พวกเขาจึงไม่มีความจำเป็นต้องเดินทางมายังโลกหรือดวงดาวอื่นๆ โดยใช้ร่างกาย ซึ่งในความเป็นจริงพวกเขาก็แทบไม่เคยเดินทางมายังโลกเราเลยด้วยซ้ำ นอกจากการติดต่อทางโทรจิตสำหรับคนพิเศษบางคนเท่านั้น ดังนั้นเรื่องราวที่มนุษย์เข้าใจไปเองว่ามนุษย์ต่างดาวจะมายึดครองโลกจึงไม่มีมูลความจริงแม้แต่น้อย เพราะถ้าพวกเขาต้องการจริงๆ ก็คงทำไปนานแล้ว และด้วยเทคโนโลยี่ที่พวกเขามีอยู่ มนุษย์โลกคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาอย่างแน่นอน 
           ด้วยระดับทางจิตวิญญาณที่สูงส่ง ทำให้มนุษย์ดาวอังคารไม่มีความปรารถนาจะยึดครองโลกหรือดาวดวงใดก็ตาม ถึงแม้พวกเขาจะมีความสามารถที่จะกระทำได้ ลักษณะภายนอกของพวกเขาคล้ายคลึงกับมนุษย์ของโลกเราอยู่มาก หากแต่ดูสง่างามกว่า ดูสุขภาพดีกว่า แข็งแรงกว่า มีแสงสว่างมากกว่า เยือกเย็นกว่า และดูมีเมตตามากกว่า นอกจากนั้นหากได้พบพวกเขาเราจะไม่สามารถคาดคะเนอายุของพวกเขาได้เลย เพราะพวกเขาจะดูอ่อนเยาว์กว่าอายุอยู่มาก บางคนอายุมากแล้ว แต่ยังดูเยาวัยมากเหมือนเด็กๆ การไม่มีความเครียดทำให้มนุษย์ดาวอังคารมีอายุยืนยาวถึง 200 ปี ร่างกายมีภูมิคุ้มกันสูง ดาวอังคารปัจจุบันไม่มีศาสนาพวกเขาล้วนบำเพ็ญวิถีธรรมเดียวกัน  เรียบง่าย ทำสมาธิ คิดถึงพระเจ้าภายในตัวเอง บำเพ็ญวิถีแห่งแรงสั่นสะเทือนซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งก็คือธรรมวิถีกวนอิมและเกือบทั้งหมดล้วนเป็นมังสวิรัติ ในปัจจุบันมีอาจารย์ผู้รู้แจ้งระดับสูงถึง 2 ท่านซึ่งเป็นผู้นำทางด้านจิตวิญญาณ มนุษย์ดาวอังคารเรียนรู้จากหายนะที่เกิดขึ้นกับดวงดาวของตนในอดีต ซึ่งกำลังเกิดขึ้นกับโลกของเราในปัจจุบันนี้ นั่นคือ “ภาวะโลกร้อน (Global Warming)” พวกเขารู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับโลกของเราซึ่งมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตของพวกเขาเมื่อ 40 ล้านปีก่อน และรู้ว่ามนุษย์โลกสามารถจะเปลี่ยนแปลงอนาคตของตัวเองได้ มนุษย์อ่อนแอเกินไปที่จะสามารถอาศัยอยู่ใต้ดินเหมือนมนุษย์ดาวอังคาร ประกอบกับเทคโนโลยี่ที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอและไม่สามารถเทียบได้กับดาวอังคาร ทำให้โลกตกอยู่ในอันตรายหากยังไม่สามารถลดแก็สเรือนกระจกลงได้ อุณหภูมิของโลกก็อาจเพิ่มสูงขึ้นไปถึงจุดวิกฤตในเวลาอันใกล้นี้ เร็วกว่าที่นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายได้คาดการณ์กัน นั่นเองเป็นเหตุผลให้มนุษย์ดาวอังคารที่เฝ้ามองโลกอยู่รู้สึกห่วงใยต่ออนาคตของโลกโดยที่พวกเขาไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เพราะนี่เป็นกฎแห่งกรรมซึ่งมนุษย์โลกจะต้องเป็นผู้เลือกเองและได้ส่งผ่านข้อความอันเป็นเสมือนคำเตือนโดยผ่านท่านอาจารย์มา โดยข้อความแรกมาจากวุฒิสภามีความว่า “มีคุณธรรม” ส่วนข้อความที่สองมาจากประธานพลเมืองมีความว่า “รักษาบ้านของคุณก่อนที่มันจะสาย” อาจารย์ยังกล่าวอีกว่ามันเป็นเรื่องง่ายที่จะหยุดยั้งหายนะของโลกครั้งนี้นั่นคือ โยนเนื้อสัตว์ทิ้งไปทันที ปล่อยให้สัตว์อยู่ของมันอย่างนั้น เปลี่ยนมาเป็นมังสวิรัติหรือวีแกน โลกก็จะเปลี่ยนแปลงทันทีไปสู่ความสงบสันติ หากมนุษย์โลกยังเพิกเฉยเหมือนที่เป็นอยู่ ก็จะไม่มีใครรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับโลกนี้ต่อไป ซึ่งอาจจะมีจุดจบเหมือนดาวอังคารเมื่อครั้งในอดีต “ตื่นขึ้น ตื่นขึ้น ก่อนจะสาย”.........





3_mars_young.jpg

1_mars_ascraeus.jpg

2_mars_landscape.jpg

3_mars_aram_chaos.jpg

2_mars_winter.jpg

4_mars_3-5-year.jpg

4_polar_caps.jpg

16_mars_tonado.jpg

5_layered_sand.jpg

6_layered_sand.jpg

7_sunrise.jpg

8_mars_light.jpg

9_mars_light.jpg

10_mars_vulcanoes.jpg

11_mars_oval.jpg

12_mars_crater.jpg

13_mars_olympus.jpg

14_mars_ancient_icy.jpg

15_mars_marineris.jpg


ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
http://www.suprememastertv.com/bbs/board.php?bo_table=environment&wr_id=28&goto_url=				
31 กรกฎาคม 2553 14:24 น.

Innocent heart of a pure soul

คีตากะ

This happened between a boy who is now 16 year and a mother. The little boy has been vegetarian since he was born.
When the boy was 5 year old at supermarket, his mother asked, “how do you know what is vegetarian and what is not?” the little boy said, “it depends on if they have eyes, nose, and mouth. Do you see the eyes on vegetable?”
When the boy was age 10, the mother asked, “why cannot you eat the living meat?” the boy held his mother’s hand tightly and innocently said, “mom, do you love me?” “of course I do.” Mother replied. The little boy continued and said. “what if there is someone who want to bite me? What would you do?” mom said, “I will not allow them.”
Later on, the mother cannot help but ask, “So then, why cannot you eat the dead meat?” the boy looks lovely with his clean face and said, “mom, do you still love me?” “Of course I do,” mom replied. “What if I dead, and you bury my body and someone dug it up and ate it; what would you do?” the boy asked. “I am going to fight with them,” the mother replied.
At age 16, the boy now already grown up strong, tall, well-built and intelligent-remain a committed vegetarian. He wants to be lawyer; after many discussions, the boy said, “The universal law is that if there is life, the laws between one or another among living creatures, including animals, are all the same. Yet, we human beings are selfish; we only obey our own laws and disregard the universal law-the law of the one, the law of unity.”

The mother asked: “how do you distinguish people and how do you tell if they have an open-mind?” the boy said, “people’s hearts are like doors. Some have swing doors,easily coming and easily going. Some doors have locks and they need the right keys to get in them. Some doors have keys, but the locks will run around all the time. The key has to chase after the locks. Some doors have big mouths on the top. When someone approaches the door, the mouth will attack. Some doors have no locks, no keys, but at the right time both keys and locks appear all together.”				
29 กรกฎาคม 2553 14:26 น.

ติช นัท ฮันท์...

คีตากะ

thay_016.jpgถึงครอบครัวทางธรรมที่รัก

       พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในพระสูตรว่าด้วยเนื้อแห่งบุตรชาย ที่มีคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งได้ออกเดินทางพร้อมลูกชายที่ยังเล็ก ข้ามทะเลทรายเพื่ออพยพไปยังดินแดนใหม่ที่ปลอดภัย เนื่องจากไม่มีความรู้ทางด้านภูมิศาสตร์ เมื่อเดินทางไปในทะเลทรายได้เพียงครึ่งทางอาหารก็หมดเสียแล้ว พวกเขาตระหนักว่าทั้งสามคนจะต้องตายในทะเลทราย และไม่มีหวังที่จะอพยพไปถึงประเทศที่อยู่ อีกฟากหนึ่งของทะเลทรายได้ ในที่สุดพ่อและแม่ตัดสินใจที่จะฆ่าลูกชายเสีย ทุกๆ วันทั้งพ่อและแม่ กินชิ้นเนื้อเล็กๆ ของลูกชายเพื่อให้พอประทังชีวิตเดินต่อไปได้ และได้แบกชิ้นเนื้อส่วนที่เหลือของลูกชายไว้บนบ่า เพื่อตากแดดให้แห้ง ทุกครั้งที่พ่อและแม่เสร็จจากการกินชิ้นเนื้อเสี้ยวเล็กๆ ของลูกชาย ทั้งคู่จะมองหน้ากันแล้วถามว่า "ลูกชายที่รักของเราอยู่ที่ไหนในตอนนี้"
        เมื่อเล่าเรื่องเศร้านี้ให้กับบรรดาภิกษุทั้งหลาย พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสถามว่า "พวกท่านคิดว่า สามีภรรยาคู่นี้มีความสุขหรือไม่ที่ได้กินเนื้อของลูกชาย" เหล่าภิกษุทูลตอบว่า "หามิได้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทั้งคู่ต้องทนทุกข์เมื่อต้องกินเนื้อของลูกชาย" พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนว่า "เพื่อนที่รักทั้งหลาย พวกเราต้องฝึกปฏิบัติรับประทานอาหาร ในแบบที่เรายังมีความรักความกรุณาในหัวใจ เราต้องรับประทานอย่างมีสติ มิเช่นนั้น เราอาจจะกำลังรับประทานเนื้อลูกหลานของเราเอง"
         องค์การยูเนสโกรายงานว่า ทุกๆ วันมีเด็กๆ ประมาณ 40,000 คนเสียชีวิตเพราะความหิวโหย หรือขาดสารอาหาร ในขณะเดียวกันมีการปลูกข้าวโพดและข้าวสาลี ส่วนใหญ่เพื่อเอาไปเลี้ยงปศุสัตว์ (วัว หมู ไก่ เป็นต้น) หรือเอาไปผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ข้าวโพดมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ และข้าวโอ๊ตมากกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ ที่ผลิตในสหรัฐนั้นเอาไปเลี้ยงปศุสัตว์ ฝูงสัตว์ของทั้งโลกเพียงอย่างเดียว ได้บริโภคอาหารที่มีปริมาณเท่ากับจำนวนแคลอรี่ที่พอเพียงกับความต้องการ สำหรับคนมากถึง 8,700 ล้านคน มากกว่าจำนวนประชากร ทั้งหมดบนโลกใบนี้ 

"เมื่อรับประทานอาหารเนื้อสัตว์ และดื่มแอลกอฮอล์อย่างมีสติ
เรา จะตระหนักรู้ว่า เรากำลังกินเนื้อลูกหลานของเราอยู่"

          ชาวพุทธได้ถือปฏิบัติโดยการรับประทานมังสวิรัติมามากกว่า 2,000 ปีแล้ว พวกเราเป็นมังสวิรัติด้วยความตั้งใจที่จะหล่อเลี้ยง ความเมตตากรุณาที่มีต่อสัตว์ทั้งหลาย เดี๋ยวนี้เรายังรู้ด้วยว่า เรารับประทานมังสวิรัติเพื่อปกป้องโลก ป้องกันผลกระทบภาวะเรือนกระจก ที่จะทำให้เกิดความเสียหายที่รุนแรง และไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขในอนาคตอันใกล้ เมื่อผลกระทบภาวะเรือนกระจกมีความรุนแรง สิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะต้องได้รับทุกข์ ผู้คนเป็นล้านๆ จะล้มตาย และระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นท่วมเมืองและผืนแผ่นดิน จะส่งผลให้เกิดโรคร้ายมากมายที่เป็นอันตรายถึงชีวิต และจะทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดทุกสายพันธุ์จะต้องเป็นทุกข์จากผลที่เกิดขึ้น
          ทั้งภิกษุ ภิกษุณี และฆราวาสต่างฝึกปฏิบัติรับประทานมังสวิรัติ แม้ว่าจำนวนฆราวาสผู้เป็นมังสวิรัติร้อยเปอร์เซ็นต์มีไม่มากเท่าจำนวน ภิกษุภิกษุณี แต่พวกเขาก็ฝึกปฏิบัติรับประทานมังสวิรัติ ไม่ 4 วันก็ 10 วันทุกเดือน หลวงปู่เชื่อว่าการหยุดรับประทานเนื้อสัตว์ไม่ใช่เรื่องยาก เมื่อเรารู้ว่าเรากำลังช่วยโลกด้วยการกระทำนั้น ชุมชนฆราวาสควรกล้าหาญและริเริ่มให้เกิดความมุ่งมั่นที่จะเป็นมังสวิรัติ อย่างน้อย 15 วันทุกเดือน หากเราทำได้ เราจะรู้สึกถึงความเป็นอยู่ที่ดี เราจะมีความสงบ เบิกบาน และมีความสุข ตั้งแต่ขณะที่เราให้คำปฏิญาณ และดำเนินความมุ่งมั่นนี้ ระหว่างงานภาวนาที่จัดขึ้นในสหรัฐในปีนี้ มีชาวพุทธอเมริกันหลายคนที่ได้ตั้งใจมุ่งมั่นที่จะงดรับประทานเนื้อสัตว์ หรือลดการรับประทานเนื้อลง 50 เปอร์เซ็นต์
          นี่คือผลลัพธ์ของการตื่นรู้ หลังจากที่ได้รับฟังการบรรยายธรรมหลายครั้ง ในเรื่องผลกระทบ ภาวะเรือนกระจก ขอให้เรามาช่วยกันดูแลโลกของเรา ขอให้ช่วยกันดูแลสรรพชีวิต รวมไปถึงลูกหลานของเรา เพียงแค่เราเป็นมังสวิรัติ เราก็สามารถช่วยโลกได้แล้ว การเป็นมังสวิรัติในที่นี้หมายความถึงการที่เราไม่บริโภคผลิตภัณฑ์จากนมและไข่ เพราะทั้งสองเป็นผลผลิตจากอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ หากเราหยุดบริโภค เขาก็จะหยุดผลิต มีเพียงการตื่นรู้ของกลุ่มคนเท่านั้น ที่จะสร้างให้เกิดความตั้งมั่นอย่างเพียงพอที่จะทำให้เกิดการกระทำขึ้นได้
           เดือนธันวาคม 2550 นี้ วัดเดียร์พาร์คจะมีไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ สำหรับใช้ในกิจการของวัด ทุกๆ วัดที่อยู่ในวิถีหมู่บ้านพลัมในยุโรปและอเมริกาเหนือ ก็ได้ฝึกปฏิบัติวันงดใช้รถสัปดาห์ละครั้ง และเพื่อนๆ ของเราอีกหลายพันคน ก็ได้ฝึกปฏิบัติด้วยกันกับเรา เราเริ่มใช้รถน้อยลง และมาใช้รถพลังไฟฟ้าและรถที่ใช้น้ำมันพืชแทน รถยนต์เหล่านี้สามารถลดการปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ลงได้ 50 เปอร์เซ็นต์ การเลือกซื้อรถโตโยต้าพริอุสซึ่งใช้น้ำมันและไฟฟ้าอย่างละครึ่ง เราสามารถป้องกันไม่ให้ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์เข้าสู่ชั้นบรรยากาศประมาณ 1 ตันทุกปี
            อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยแห่งชิคาโก รายงานว่า "การเป็นมังสวิรัตินั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน ผู้รับประทานมังสวิรัติหนึ่งคน สามารถป้องกันไม่ให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์เกือบๆ 1 ตันเข้าสู่ชั้นบรรยากาศในทุกปี มากกว่าผู้ที่รับประทานเนื้อสัตว์ เธออาจจ่ายเงินมากกว่า 7 แสนบาท เพื่อซื้อรถพริอุสหนึ่งคัน และก็ยังปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ออกมา 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมากกว่าการที่เธอเพียงแต่เลิกรับประทานเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ อื่นๆ
            เธอเห็นหรือยัง ครอบครัวทางธรรมที่รัก การเป็นมังสวิรัตินั้นเพียงพอแล้วที่จะช่วยโลกได้ มีพวกเราคนไหนบ้างที่ยังไม่เคยได้รับ ประสบการณ์อันแสนอร่อยจากอาหารมังสวิรัติ เราจะมองไม่เห็นความจริงข้อนี้เลยหากเรามัวยึดติดกับ การกินเนื้อสัตว์
            บ่ายวันนี้เมื่อเราเริ่มงานภาวนา ทุกคนได้รับข้อมูลว่าเราจะไม่ใช้ผลิตภัณฑ์นมและไข่ ตลอดช่วงการภาวนา จากนี้ไปในงานภาวนา ทั้งหมดของเรา และแน่นอนว่าในศูนย์ปฏิบัติธรรมทั้งหมดของเรา ในเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือก็จะทำเช่นนั้นด้วย หลวงปู่เชื่อมั่นว่า ฆราวาสทั้งหลายจะเข้าใจและสนับสนุนอย่างเต็มหัวใจ การฝึกปฏิบัติของเราในทุกวันนี้คือการช่วยให้ทุกคนได้ตระหนักรู้ถึง อันตรายของ ภาวะโลกร้อน เพื่อที่จะช่วยให้โลกและสรรพชีวิตปลอดภัย เรารู้ว่าหากไม่มีการตื่นรู้ของทั้งกลุ่มชน โลกและสรรพชีวิตจะไม่มีโอกาส อยู่รอด วิถีชีวิตประจำวันของพวกเราต้องแสดงให้เห็นว่าเรานั้นได้ตื่นรู้แล้ว...
  
ด้วยรักและไว้วางใจ
หลวงปู่

วัดบลูคลิฟฟ์ ประเทศสหรัฐอเมริกา วันที่ 12 ตุลาคม 2550

				
19 กรกฎาคม 2553 03:22 น.

การเป็นมังสวิรัติในศาสนาต่างๆ......

คีตากะ

การเป็นมังสวิรัติในศาสนาต่างๆ 




บาไฮ
“ในเรื่องของการทานเนื้อสัตว์และงดเว้นการทานเนื้อสัตว์ คุณทราบอย่างแน่ชัดว่า ในตอนเริ่มต้นของการสร้าง พระเจ้าได้กำหนดอาหารให้กับทุกสรรพชีวิต และการทานอาหารที่ขัดต่อข้อกำหนดนั้น ไม่ได้รับอนุญาต”
                               ~ คัดเลือกจากงานเขียนของบาไฮบาง 
                    ประเด็นที่เกี่ยวกับสุขภาพและการรักษาโรค หน้า 7-8
                                                         

เคาได
“....สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการยุติการฆ่า....เพราะสัตว์ก็มีจิตวิญญาณและมีความเข้าใจเช่นเดียวกับมนุษย์....ถ้าเราฆ่าและทานพวกเขา แล้วเราจะติดหนี้เลือดพวกเขา”
                                ~คำสอนของนักบุญ เกี่ยวกับการ 
                     รักษาศีลสิบประการ-การละเว้นจากการฆ่า ตอนที่ 2
                                                       



ศาสนาคริสต์
อาหารมีไว้สำหรับท้อง และท้องก็สำหรับอาหาร แต่พระเจ้าจะทรงให้ทั้งท้องและอาหารสิ้นสูญไป
                            ~คอรินเธียนส์ 1 6:13 ไบเบิ้ลอันศักดิ์สิทธิ์

“และเมื่อเนื้อยังติดฟันเขาทั้งหลายอยู่ ยังรับประทานไม่ทันหมด พระเจ้าทรงกริ้วประชาชนยิ่งนัก และพระเจ้าก็ทรงทำโทษประชาชนด้วยภัยพิบัติอย่างร้ายแรง”
                             ~นัมเบอร์ 11:33 ไบเบิ้ลอันศักดิ์สิทธิ์
                                                       

ลัทธิคำสอนของขงจื้อ
“มนุษย์ทุกคนมีจิตใจ ซึ่งไม่สามารถทนเห็นความทุกข์ทรมาณของผู้อื่น มนุษย์ที่สูงส่งกว่า เมื่อได้เห็นสัตว์ที่มีชีวิตไม่สามารถทนเห็นพวกเขาตาย เมื่อได้ฟังเสียงร้องโอดครวญเจียนตายของพวกมัน พวกเขาไม่สามารถทนที่จะทานเนื้อของพวกมันได้”
                              ~เม่งจื้อ กษัตริย์ฮุยแห่งเหลียง บทที่ 4
                                                      

ฮินดู
“เนื่องจากคุณ....ไม่สามารถทำให้สัตว์ที่ถูกฆ่ากลับมามีชีวิตได้ คุณต้องรับผิดชอบต่อการฆ่าพวกเขา ดังนั้น คุณจะลงนรก ไม่มีหนทางที่คุณจะหนีไปได้”
                               ~อาดิ-ลิลา บทที่ 17 โคลงที่ 159-165

“เขาผู้ปรารถนาที่จะพอกพูนเนื้อของตนเอง ด้วยการทานเนื้อของสิ่งมีชีวิตอื่น จะใช้ชีวิตในความทุกข์ตรม ในสายพันธุ์ชีวิตที่เขาจะไปเกิด”
                              ~มหาภารตะ อานุ 115.47.FS หน้าที่ 90
                                                       

ศาสนายิว
“ถ้าผู้ใดก็ตามในวงศ์วานอิสราเอลหรือในพวกคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ท่ามกลางเจ้ารับประทานเลือด* ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง เราจะตั้งหน้าของเราต่อสู้ผู้รับประทานเลือด*นั้น และจะตัดเขาออกเสียจากชนชาติของตน”
*เลือดหมายถึง “เนื้อ”
                                 ~เลวินิติ 17:10 ไบเบิ้ลอันศักดิ์สิทธิ์
                                                     

ลัทธิเต๋า
“อย่าไปที่ภูเขาเพื่อจับนกด้วยตาข่าย หรือลงไปในน้ำเพื่อวางยาปลาและลูกปลา อย่าฆ่าวัวที่ไถพรวนท้องทุ่งของคุณ”
                                  ~บันทึกแห่งหนทางเงียบ
                                                       

ศาสนาโซโรอัสเตอร์
“พืชเหล่านั้น ฉัน อาหุรมาสดา (พระเจ้า) โปรยฝนลงมาสู่โลก เพื่อนำอาหารให้กับผู้ที่ศรัทธา และเป็นอาหารให้กับวัวผู้มีพระคุณ”
                                ~อเวสตา เวนิแดด ฟาร์การ์ด 5-20
                                                      

ศาสนาพุทธ
“.....เนื้อทุกอย่างที่ถูกทานโดยสิ่งมีชีวิต เป็นเนื้อของญาติๆ ของพวกเขาเอง
                        ~ลังกาวตารสูตร (พระไตรปิฎก หมายเลข 671)

“หลังจากเด็กทารกถือกำเนิด ต้องระวังไม่ฆ่าสัตว์ใดก็ตาม เพื่อเลี้ยงมารดาด้วยอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ และไม่รวมญาติมิตร มาดื่มสุรา หรือทานเนื้อสัตว์....เพราะในช่วงเวลาให้กำเนิดบุตรอันแสนลำบากนี้ มีภูตผีปีศาจ และสัตว์ร้าย นับไม่ถ้วน ต้องการที่จะบริโภคเลือดที่มีกลิ่นคาว....ด้วยการหันไปฆ่าสัตว์อย่างอวิชชาและโหดร้าย....พวกเขาได้นำคำสาปแช่งมาสู่ตนเอง ซึ่งเป็นอันตรายต่อทั้งมารดาและบุตร”
                         ~พระกษิติครรภ์สูตร บทที่ 8

“จงระวังในช่วงหลังจากที่คนหนึ่งเพิ่งจะเสียชีวิต ไม่ฆ่า หรือทำลาย หรือสร้างกรรมเลว ด้วยการถวายของบูชาให้กับภูตผีหรือเทพเจ้า .....เนื่องจากการฆ่าสัตว์ หรือการบวงสรวงหรือการบูชายัญเช่นนี้ จะไม่เกิดคุณประโยชน์ต่อคนตายแม้แต่น้อยนิด แต่จะยิ่งก่อให้เกิดกรรมเลวพอกพูนทับถมกรรมที่มีอยู่เดิมมากยิ่งขึ้น ทำให้มันยิ่งฝังลึกและรุนแรง....ส่งผลให้ เลื่อนการเกิดใหม่ สู่สถานะที่ดีของเขาออกไป”
                           ~พระกษิติครรภ์สูตร บทที่ 7
                                                       

เอสซีน
“ฉันมาเพื่อยุติการบูชายัญและการฉลองเลือดเนื้อ และถ้าคุณไม่หยุดการบวงสรวงและทานเนื้อและเลือด พระพิโรธของพระเจ้าจะไม่ละเว้นคุณ”
                            ~คำสอนของสิบสองผู้ศักดิ์สิทธิ์
                                                      

อิสลาม
“พระอัลเลาะห์จะไม่เมตตาต่อใครก็ตาม เว้นแต่ผู้ซึ่งมีเมตตาต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ”
                                    ~พระศาสดา โมฮัมหมัด ฮาดิธ

“อย่าให้ท้องของคุณกลายเป็นสุสานของสัตว์!”
                                    ~พระศาสดา โมฮัมหมัด ฮาดิธ
                                                       

ศาสนาเชน
“พระที่แท้จริงไม่ควรรับอาหารและเครื่องดื่มที่ถูกเตรียมไว้เป็นพิเศษให้แก่เขา ที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าสิ่งมีชีวิต”
                                    ~กรีตังกาสูตร
                                                       

ศาสนาซิก
“มนุษย์ที่เสพกัญชา เนื้อสัตว์ และไวน์ – ไม่ว่าการแสวงบุญ การอดอาหาร และพิธีกรรมใดก็ตามที่พวกเขากระทำ พวกเขาจะลงนรกทุกคน”
                                    ~กูรู แกรนธ์ซาฮิบ หน้าที่ 1377
                                                      

ศาสนาพุทธทิเบต
“การบวงสรวงเทพเจ้า ด้วยเนื้อจากการฆ่าสิ่งมีชีวิตเหมือนการบูชามารดา ด้วยลูกของหล่อนเอง และสิ่งนี้เป็นความล้มเหลวอันร้ายแรง”
                           ~หนทางสูงสุดแห่งการเป็นศิษย์ ศีลแห่งกูรู
             ความล้มเหลวอันร้ายแรงสิบสามประการ กูรู กัมโปปาผู้ยิ่งใหญ่
                                                      


“ทุกๆ คนรู้ว่า การทานมังสวิรัตินั้นดีต่อสุขภาพและรักษาโลกนี้ไว้ได้ พวกเขาจะถูกทำให้รู้สึกตัวถึงธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ความเมตตา ความรัก ธรรมชาติของตัวพวกเขาเอง แล้วระดับจิตสำนึกของพวกเขาจะสูงขึ้นโดยอัตโนมัติและพวกเขาจะเข้าใจมากกว่าที่พวกเขาเคยเป็น และจะเข้าใกล้สวรรค์มากขึ้นกว่าสิ่งที่พวกเขาเป็นอยู่ในขณะนี้”

             ~อนตราจารย์ชิงไห่
              สัมนาวิดิโอกับศูนย์ซิดนีย์ ออสเตรเลีย – 17 สิงหาคม 2551


             www.SupremeMasterTV.com/Be-Veg				
11 พฤษภาคม 2558 00:49 น.

ซากฟอสซิลคืนชีพ....

คีตากะ

dinonychus2.jpg
















          แบคทีเรีย คือ สิ่งมีชีวิตเซลเดียว ไม่มีผนังห่อหุ้มนิวเคลียส มีรูปร่างกลมเป็นท่อน โค้ง หรือเป็นเกลียว บางทีก็เรียกว่า บัคเตรี...

         เมื่อประมาณ 4,600 ล้านปี โลกเพิ่งถือกำเนิดเกิดมา กล่าวกันว่าโลกยุคแรกเต็มไปด้วยภูเขาไฟ เป็นเวลาหลายล้านปีที่ภูเขาไฟพ่นก๊าซปริมาณมหาศาลออกมา ก๊าซเหล่านี้รวมตัวกันและเกิดเป็นชั้นบรรยากาศ แต่มันต่างจากบรรยากาศในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง มันคือส่วนผสมที่มีพิษของคาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน และไอหมอกของไฮโดรเจนซัลไฟด์ ไม่มีร่องรอยของก๊าซที่เราพึ่งพาอยู่ในทุกวันนี่อย่างออกซิเจน ส่วนผสมอันตรายนี้คงอยู่นานกว่า 2,000 ล้านปี จนกระทั่งเกิดสิ่งที่คาดไม่ถึงที่เข้ามาเปลี่ยนสภาพชั้นบรรยากาศ นั่นคือชีวิตในยุคแรกเริ่ม จากหลักฐานทางชีววิทยานักวิทยาศาสตร์ได้พบ ” สโตรมาโทไลต์ ” ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตพวกอินทรีย์สารที่ครองโลกของเรามานานกว่า 3,000 ล้านปี ก่อนที่สิ่งมีชีวิตทุกอย่างจะเกิดขึ้น มันเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตธรรมดาที่เป็นแบคทีเรีย เมื่อพวกมันซึมซับแสงอาทิตย์และสังเคราะห์แสงมันก็แยกพันธะเคมีในน้ำและปล่อยก๊าซออกซิเจนปริมาณมหาศาลออกมา ประมาณ 2,500 ล้านปีที่แล้ว สโตรมาโทไลต์ปกคลุมมหาสมุทรน้ำตื้นอยู่ทั่วโลกแล้วพวกมันทั้งหมดก็ผลิตออกซิเจนออกมา สิ่งนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก ในที่สุดดาวดวงนี้ก็มีบรรยากาศที่เต็มไปด้วยออกซิเจน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดต่อการกำเนิดชีวิตบนโลก เมื่อออกซิเจนลอยผ่านชั้นบรรยากาศขึ้นไปยังชั้นสตาร์โตสเฟียร์ มันก็ก่อตัวขึ้นเป็นชั้นโอโซนที่ช่วยปกป้องโลกจากรังสีอุลตราไวโอเล็ตที่เป็นอันตรายจากดวงอาทิตย์ ทำให้สิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนเจริญเติบโตขึ้นบนผิวโลกของเรา เมื่อสโตรมาโทไลต์ ปล่อยออกซิเจนขึ้นสู่บรรยากาศมันไม่เพียงแค่ปกป้องโลกเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้ชีวิตรูปแบบใหม่กำเนิดขึ้น ออกซิเจนเป็นก๊าซที่เกิดปฏิกิริยาได้ไว มันจึงเป็นประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตที่ต้องการพลังงานมากกว่าที่แบคทีเรียต้องการ เมื่อบรรยากาศอุดมไปด้วยออกซิเจน โลกค่อยๆ กลายเป็นบ้านให้แก่สิ่งมีชีวิตสุดพิเศษหลากหลายชนิดที่มีความซับซ้อน และกลายเป็นบ้านให้เราในที่สุด ซึ่งไม่มีอินทรีย์สารชนิดไหนบนโลกที่มีอิทธิพลต่อโลกได้มากขนาดนี้ ออกซิเจนได้สร้างขีดจำกัดในการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์ของเรา ชีวิตสร้างออกซิเจนและออกซิเจนก็ขยายโอกาสให้แก่ชีวิต สามารถสรุปได้อย่างง่ายดายว่า ไม่มีก๊าซใดในบรรยากาศจะมีความสำคัญมากไปกว่านี้อีกแล้ว...

          แบคทีเรียไม่เพียงเป็นต้นกำเนิดของก๊าซออกซิเจนในยุคเริ่มแรกเท่านั้น ในวัฏจักรของคาร์บอนพวกมันเป็นกลไกในการขับเคลื่อนระบบที่สำคัญนี้ด้วย ภายหลังจากที่โลกมีพืชและสัตว์ต่างๆเกิดขึ้นมากมายจากออกซิเจนที่มันผลิต พืชที่มีหน้าที่ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อใช้ในการสังเคราะห์แสงและคายออกซิเจนออกมาให้แก่สิ่งมีชีวิตบนโลกในเวลาต่อมา โดยเฉพาะพืชจำพวกแพลงก์ตอน สาหร่าย ที่อาศัยอยู่ในมหาสมุทรทั่วโลก พวกมันจะทำหน้าที่ในการดึงคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากบรรยากาศนำมาสร้างเปลือกแข็งเพื่อห่อหุ้มร่างกาย สังเคราะห์แสง และคายก๊าซออกซิเจน พืชและสัตว์ที่ตายลงกลายเป็นซากพืชซากสัตว์ พวกมันจะเก็บคาร์บอนเอาไว้ในรูปสารอินทรีย์ มีซากพืชซากสัตว์สะสมอยู่ทุกหนทุกแห่งทั้งบนบกและในทะเล เช่นเดียวกับที่มีแบคทีเรียในทุกหนทุกแห่ง เวลาผ่านไปนับล้านๆปี  แบคทีเรียจะค่อยๆกินซากพืชซากสัตว์เหล่านั้นผลิตก๊าซมีเทนและคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการย่อยของมัน แบคทีเรียผลิตมีเทนได้โดยไม่ต้องใช้ออกซิเจนมักจะอยู่ในส่วนลึกของพื้นดินหรือมหาสมุทร ในลักษณะระบบปิดทางธรณีวิทยา การตกตะกอนของซากพืชซากสัตว์ที่ล้มตายทับถมกันจนหนากลายเป็นชั้นตะกอนที่ความดันและอุณหภูมิที่เหมาะสม จะเกิดการปรุงตามกระบวนการทางธรณีวิทยา  ก่อให้เกิดสารไฮโดรคาร์บอนขึ้น เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ที่รู้จักกันในชื่อเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์หรือเชื้อเพลิงฟอสซิล(Fossil fuel) น้ำมันและก๊าซธรรมชาติมักจะเรียกกันว่า “ปิโตรเลียม” นอกจากนั้นการตกตะกอนทับถมของซากสิ่งมีชีวิตบริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำ ก้นทะเลสาบ แม่น้ำลำคลอง ใต้ชั้นดินเยือกแข็ง(Permafrost)ที่มีหิมะปกคลุม และพื้นมหาสมุทร แบคทีเรียที่ชื่อ “Archaea “ จะเปลี่ยนซากสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นไปเป็นน้ำแข็งแห้งมีเทนหรือมีเทนก้อนที่เรียกว่า “มีเทนไฮเดรต(Methane Hydrate)” น้ำแข็งแห้งมีเทนถูกปิดล็อกด้วยชั้นตะกอนหนา แผ่นดินหรือชั้นดินเยือกแข็งที่อยู่ด้านบนตามลักษณะทางธรณีวิทยา  พวกมันเกิดจากก๊าซมีเทนที่รวมตัวกับน้ำ โดยมีโมเลกุลของน้ำล้อมรอบโมเลกุลของมีเทน มีลักษณะเป็นของแข็งคล้ายน้ำแข็ง จะเกิดในที่บริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำและความดันที่สูง สำหรับใต้ชั้นเพอร์มาฟอสต์ที่มีหิมะปกคลุมตลอดปี น้ำแข็งแห้งมีเทนอาจอยู่บริเวณที่ตื้นกว่า ประมาณ 200 เมตร แต่สำหรับแนวตะกอนใต้พื้นมหาสมุทรมันจะอยู่ที่ระดับความลึกประมาณ 300-500 เมตรจากผิวน้ำทะเลหรือมากกว่า นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบปริมาณที่แน่ชัดของน้ำแข็งแห้งมีเทนที่สะสมอยู่ตามมหาสมุทรทั่วโลก แต่คาดการณ์ว่าจะมีปริมาณถึง 2-20 ล้านล้านตัน พวกมันเสมือนยักษ์ใหญ่ที่กำลังนอนหลับอยู่ใต้ก้นทะเลลึกและบางส่วนกำลังตื่นขึ้นมาแล้ว...

         วัฏจักรของคาร์บอนมีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก คาร์บอนส่วนหนึ่งสะสมอยู่ในต้นไม้และชั้นบรรยากาศ มนุษย์เคยคิดว่าคาร์บอนส่วนใหญ่อยู่ในต้นไม้บนพื้นแผ่นดิน แต่นั่นคือความคิดที่ผิด เพราะความจริงแล้วคาร์บอนถึง 93% ถูกสะสมอยู่ในมหาสมุทร สำหรับชั้นบรรยากาศคาร์บอนโดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซมีเทนเป็นก๊าซเรือนกระจกทำหน้าที่ช่วยดูดซับคลื่นรังสีความร้อนหรือรังสีอินฟราเรดจากดวงอาทิตย์เอาไว้ ทำให้อุณหภูมิพื้นผิวโลกอบอุ่นพอเหมาะพอดี หรือกล่าวง่ายๆว่ามันช่วยกักเก็บความร้อนบางส่วนไว้ในโลก ไม่ให้สะท้อนกลับสู่บรรยากาศทั้งหมด แล้วค่อยๆแผ่รังสีความร้อนออกมาในตอนกลางคืน ทำให้อุณหภูมิของโลกมีความคงที่ เช่นเดียวกับก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ เช่น ไอน้ำ ก๊าซไนตรัสออกไซด์ และโอโซน ตามธรรมชาติก๊าซเรือนกระจกจะมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 33 องศาเซลเซียส ก๊าซเหล่านี้ควบคุณอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้อยู่ที่ 15 องศาเซลเซียส แต่ถ้าหากปราศจากก๊าซเรือนกระจกที่ทำหน้าที่เสมือนผ้าห่มผืนบางๆเหล่านี้แล้ว พื้นผิวโลกจะมีอุณหภูมิเพียง -18 องศาเซลเซียสเท่านั้น ซึ่งนั่นก็หมายความว่า น้ำทั้งหมดบนโลกนี้จะกลายเป็นน้ำแข็งทั้งหมด ถ้ามีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศมากขึ้น ธรรมชาติจะปรับสมดุลด้วยการทำให้พืชดูดซับมันมากขึ้นและเร่งการเจริญเติบโตให้รวดเร็วขึ้น แต่ถ้ามีคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลง คาร์บอนจากซากฟอสซิลที่อยู่ใต้พื้นทวีปที่ถูกหลอมละลายตามกระบวนการทางธรณีวิทยาจะถูกปลดปล่อยคืนสู่บรรยากาศอีกครั้งจากก๊าซที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟและกระบวนการย่อยสลายตามธรรมชาติ ชั้นบรรยากาศของโลกบางมาก จนเราสามารถเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของมันได้อย่างเป็นรูปธรรม... 

        ยุคน้ำแข็งหรือช่วงที่มีน้ำแข็งปกคลุมถาวรจำนวนมาก โดยเฉพาะในบริเวณขั้วโลกและภูเขาสูง อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกจะเย็นต่ำกว่าในปัจจุบันประมาณ 8-12 องศาเซลเซียส ระดับน้ำทะเลอยู่ในระดับต่ำกว่าในปัจจุบันประมาณ 100-130 เมตร แต่เมื่อเข้าสู่ยุคโลกร้อนหรือช่วงที่น้ำแข็งบริเวณต่างๆ เช่น ที่ขั้วโลกและภูเขาสูงมีการละลายอย่างถาวร ทำให้อุณหภูมิโดยเฉลี่ยและระดับน้ำทะเลค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น ยุคโลกร้อนที่ผ่านมาแต่ละครั้งอุณหภูมิสูงกว่าปัจจุบันประมาณ 2-6 องศาเซลเซียส และระดับน้ำทะเลสูงกว่าปัจจุบันประมาณ 2-5 เมตร จากการศึกษาของนักธรณีวิทยาควอเทอร์นารี พบว่าในช่วง 1,000,000 ปีที่ผ่านมา เราผ่านช่วงยุคโลกร้อนกับยุคน้ำแข็งสลับกันไม่ต่ำกว่า 7-8 ครั้งที่ผ่านมา ดังนั้นอุณหภูมิโลกมีการเปลี่ยนแปลงลดลงต่ำสุด เมื่อโลกเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง และอุณหภูมิจะเพิ่มสูงสุดเมื่อโลกเข้าสู่ยุคโลกร้อนอีกครั้ง โดยรอบการเกิดแต่ละรอบกินเวลาประมาณ 100,000-150,000 ปีทุกครั้ง เหตุที่ทำให้โลกเข้าสู่ยุคน้ำแข็งกับยุคโลกร้อนเกิดจากแกนโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ แกนหมุนของโลกส่ายเป็นวงคล้ายลูกข่างทำให้ระยะห่างระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และลักษณะการหมุนรอบของวงโครจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ สภาวะโลกร้อนเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นมีวัฏจักรแน่นอนและเคยเกิดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน พร้อมกับวิวัฒนาการของโลกซึ่งมีมาแล้วไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านปีที่ผ่านมา....

        ในช่วงอดีตเมื่อประมาณ 635 ล้านปีที่ผ่านมา การปลดปล่อยก๊าซมีเทนเป็นผลทำให้เกิดภาวะโลกร้อนอย่างรวดเร็ว นำไปสู่การสูญพันธุ์จำนวนมากของสิ่งมีชีวิต การพังทลายของระบบภูมิอากาศกินเวลายาวนานกว่า 100,000 ปี(เป็นการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตหลายเซลครั้งแรกจากโลกร้อน)  การสะสมก๊าซเรือนกระจกนับสิบๆล้านปีจนความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศมากกว่า 4 เท่าของปัจจุบัน ตอนสิ้นยุคเพอร์เมียน เมื่อ 251 ล้านปีก่อนทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น กระแสน้ำในมหาสมุทรหยุดไหลเวียนจนเกิดการขาดออกซิเจนและร้อนขึ้นอย่างรวดเร็วผลักดันให้เกิดการปะทุของก๊าซมีเทนจากน้ำแข็งแห้งมีเทนใต้พื้นมหาสมุทรน้ำนิ่ง เป็นสาเหตุของการสูญพันธุ์ 90% ของสิ่งมีชีวิตทางทะเล และ 75% ของสิ่งมีชีวิตบนบก นับเป็นการสูญพันธุ์ครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ในยุคจูราสสิก เมื่อ 183 ล้านปีมาแล้ว แมกม่าร้อนของภูเขาไฟแทรกตัวขึ้นระหว่างรอยตะเข็บถ่านหินที่พาดผ่านแอฟริกาใต้เป็นระยะทางนับพันๆกิโลเมตร ลาวาร้อนอบถ่านหินจนกลายเป็นก๊าซมีเทนและคาร์บอนไดออกไซด์เติมเข้าไปในบรรยากาศ ทำให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นสูงสุดจนมหาสมุทรขาดออกซิเจน กระตุ้นให้น้ำแข็งแห้งมีเทนจากชั้นใต้มหาสมุทรปลดปล่อยก๊าซที่อาจมากถึง 9 ล้านล้านตันจากใต้ทะเล ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์จากการออกซิไดซ์ของก๊าซมีเทนในชั้นบรรยากาศพุ่งขึ้นไปอีก 1,000 ppm ทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นราวๆ 6 องศาเซลเซียส เท่ากับสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่คาดการณ์ไว้ในแบบจำลองของ IPCC ผลกระทบเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง เกิดการสูญพันธุ์ขนานใหญ่ครั้งรุนแรงที่สุดตลอดยุคจูราสสิก และครีเทเชียส (กินเวลา 140 ล้านปี) ในยุคครีเทเชียส อยู่ระหว่าง 144-65 ล้านปีที่ผ่านมา เกิดภาวะเรือนกระจกสุดขั้วอันยาวนานที่สุด ขณะที่กลางมหาทวีปแพนเจียกำลังฉีกขาด แยกอเมริกาใต้กับแอฟริกาออกจากกัน ช่องแคบเล็กๆระหว่างสองทวีป คือมหาสมุทรแอตแลนติกวัยเยาว์ ไม่ได้กว้างไปกว่าทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในปัจจุบัน เมื่อแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนห่างจากกันราวสองสามมิลลิเมตรในแต่ละปีนั้น จะเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ของภูเขาไฟที่สั่นสะเทือนไปทั้งโลก ในเขตซีกโลกใต้ซึ่งอินเดียยังอยู่ไกลจากตำแหน่งปัจจุบันลงไปทางใต้นั้น ค่อยๆเลื่อนอย่างสงบเงียบออกจากชายฝั่งตะวันออกของมาดากัสการ์ พื้นทวีปส่วนใหญ่ก็ดูแตกต่างมากด้วย ระดับน้ำทะเลสูงกว่าปัจจุบัน 200 เมตรหรือมากกว่า ทำให้ตอนกลางของทวีปจำนวนมากจมอยู่ใต้มหาสมุทร อเมริกาเหนือแยกออกเป็นเกาะห่างกันสามเกาะด้วยการรุกล้ำของมหาสมุทร ขณะที่หลายส่วนของแอฟริกาเหนือ ยุโรป และอเมริกาใต้ จมอยู่ใต้ทะเลตื้นๆ การรุกล้ำของทะเลดังกล่าวนี้ก่อให้เกิดฐานหินปูนซึ่งยังหลงเหลือให้เห็นได้จนทุกวันนี้ ตั้งแต่เมดิเตอร์เรเนียนไปจนถึงจีน และยังทำให้เกิดหินชอล์ก ซึ่งในภาษาละตินเรียกว่า ครีตา(creta) อันเป็นที่มาของยุคครีเทเชียส หน้าผาขาวโพลน และทุ่งหินชอล์ก อันมีชื่อเสียงของอังกฤษทั้งหมดมีอายุย้อนหลังไปได้ถึงยุคครีเทเชียส โลกก็ยังเป็นพื้นราบกว่านี้มาก ภูเขาก่อตัวขึ้นเมื่อแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนเข้าชนกัน แต่ทวีปต่างๆ ในครีเทเชียสกำลังฉีกออกจากกันไม่ได้เข้าชนกัน ด้วยระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นและทวีปมีขนาดเล็กลง พื้นแผ่นดินยุคนี้จึงปรากฏให้เห็นเพียง 80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือจมอยู่ในทะเลสีคราม ความแตกต่างทางภูมิศาสตร์เหล่านี้มากมายพอๆกับภูมิอากาศระดับอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกในยุคครีเทเชียสมากกว่าปัจจุบันประมาณ 10 ถึง 15 องศาเซลเซียส ซึ่งไม่ใช่เพียงสอดแทรกเข้ามาในช่วงสั้นๆเท่านั้น ทว่ากินเวลานับล้านๆปี ในยุคกลางของครีเทเชียส เมื่อระดับคาร์บอนไดออกไซด์และอุณหภูมิสูงสุด และภาวะเรือนกระจกถึงจุดสุดยอดของมันนั้น หย่อมลึกก้นทะเลอันเกิดจากคลื่นพายุในช่วงนี้มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาหย่อมกันทะเลทั้งหมด วัฏจักรของน้ำเข้มข้นกว่าทำให้ฝนตกหนักมากขึ้น เขตน้ำท่วมภายในของอเมริกาเหนือ ซึ่งอยู่ในภูมิอากาศเขตร้อน อัตราฝนตกสูงขึ้นไปได้ถึง 4,000 มิลลิเมตรต่อปี อุณหภูมิของมหาสมุทรอันเป็นตัวขับเคลื่อนพายุฝนเหล่านี้สูงกว่ปัจจุบันมาก ในแอตแลนติกเขตร้อนอาจจะสูงขึ้นไปถึง 42 องศาเซลเซียส เหมือนกับอ่างน้ำร้อนมากกว่าจะเป็นมหาสมุทร ส่วนบริเวณแอตแลนติกใต้ใกล้เกาะฟอล์กแลนด์ซึ่งอยู่ในภูมิอากาศกึ่งขั้วโลกนั้น อุณหภูมิปรกติที่ผิวน้ำทะเลอยู่ที่ 32 องศาเซลเซียสโดยเฉลี่ย ร้อนกว่าส่วนใหญ่ของเขตร้อนจัดของทุกวันนี้ มันเป็นชวงเวลาที่โลกปราศจากน้ำแข็งปกคลุมไม่ว่าจะขั้วโลกไหน ที่ขั้วโลกเหนือ อุณหภูมิมหาสมุทรอาจจะขึ้นไปถึง 20 องศาเซลเซียส ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมดคาดว่าจะอยู่ระหว่าง 3 ถึง 6 เท่าของระดับปัจจุบัน คาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นนี้ส่วนใหญ่มาจากภูเขาไฟ ในขณะที่ทุกวันนี้ภูเขาไฟมีส่วนในการสร้างคาร์บอนไดออกไซด์เข้ามาในชั้นบรรยากาศโลกคิดเป็นสัดส่วนเพียง 2 เปอร์เซนต์ต่อปี แต่ยุคครีเทเชียสนั้นการระเบิดของภูเขาไฟเป็นแบบขนานใหญ่อย่างแท้จริงและเป็นเช่นนั้นอยู่ตลอดหลายพันปี คาร์บอนจำนวนมากถูกกักไว้ในตะกอนมหาสมุทรเมื่อซากย่อยสลายของแพลงก์ตอนลงไปกองทับถมเป็นชั้นๆ ที่ก้นมหาสมุทรกลายเป็นโคลนชีวภาพอันอุดมสมบูรณ์ บางส่วนของคาร์บอนดังกล่าวนี้ถูก “ปรุง” ด้วยกระบวนการทางธรณีวิทยา บีบคั้นผ่านรูในหินเข้าไปอยู่ในแอ่งสะสมกลายเป็นสสารที่คุ้นเคยกันดีสำหรับมนุษย์สมัยใหม่คือ “น้ำมัน” นั่นเอง เห็นได้จัดเจนว่าสิ่งมีชีวิตในโลกต้องออกแรงเป็นเวลานับล้านๆปีเพื่อกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศที่อยู่ในระดับสูงเข้าขั้นอันตรายจึงรักษาอุณหภูมิของโลกไว้ให้จำกัดอยู่ภายในขอบเขตที่ยอมรับได้ คาร์บอนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคาร์บอนเดียวกันกับที่มนุษย์ในปัจจุบันกำลังออกแรงเอามันคืนกลับไปใส่ชั้นบรรยากาศ นอกจากนั้นมนุษย์ยังสร้างคาร์บอนได้เก่งกว่าบรรดาหอยแมลงภู่ หอยนางรม และแพลงก์ตอน พวกเราปลดปล่อยคาร์บอนได้รวดเร็วกว่าที่สิ่งมีชีวิตยุคครีเทเชียสใช้เวลาทำมาตลอดบรมยุคราวๆ 1 ล้านเท่า จากหลักฐานทางธรณีวิทยา การพุ่งชนโลกของอุกกาบาตขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางกว่า 15 กิโลเมตรช่วงรอยต่อยุคครีเทเชียส-เทอร์เทียรี ประมาณ 65 ล้านปีก่อน ก่อให้เกิดเขม่าฝุ่นปริมาณมหาศาลจากการระเบิดปกคลุมชั้นบรรยากาศเร่งให้เกิดภาวะโลกร้อนขั้นรุนแรง น้ำในมหาสมุทรร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว ขาดออกซิเจนผลักดันให้น้ำแข็งแห้งมีเทนปลดปล่อยก๊าซมีเทนปริมาณมหาศาลออกมา เป็นสาเหตุของการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ในยุคนั้น การเกิดภาวะโลกร้อนฉับพลันในช่วงรอยต่อระหว่างยุคพาเลโอซีนกับอีโอซีน เมื่อ 55 ล้านปีมาแล้ว เกิดจากการเคลื่อนตัวของแผ่นทวีป เช่น อนุทวีปอินเดียซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการปลดปล่อยมีเทนซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์การเกิดภาวะโลกร้อนเรียกว่า Late Paleocene Thermal Maximum (LPTM) กินเวลายาวนานกว่า 100,000 ปี เมื่ออนุทวีปอินเดียเคลื่อนตัวไปยังแผ่นทวีปยูเรเชีย ภูเขาหิมาลัยกำลังก่อตัวเกิดการยกตัวก่อสร้างแผ่นเปลือกโลกซึ่งจะเป็นการลดความดันในพื้นมหาสมุทรลงและอาจเป็นผลให้ก๊าซมีเทนปริมาณมหาศาลถูกปลดปล่อย เป็นไปไดว่าจะประกอบด้วยคาร์บอนมากถึง 2.8 ล้านล้านตัน มากเกินพอสำหรับการเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศอย่างรวดเร็ว ทั้งบรรยากาศและมหาสมุทรจึงเริ่มอุ่นขึ้น อุณหภูมิน้ำทะเลบริเวณใกล้ขั้วโลกพุ่งขึ้นไปถึง 23 องศาเซลเซียส สูงกว่าส่วนใหญ่ของแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในปัจจุบัน ส่วนอุณหภูมิในอากาศอาจจะขึ้นไปถึง 25 องศาเซลเซียส นี่คือโลกซึ่งคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศมีระดับสูงขึ้นจนถึงขีดอันตราย อุณหภูมิโดยเฉลี่ยสูงขึ้น 5 องศาเซลเซียส เป็นโลกซึ่งมหาสมุทรเป็นกรด ระบบนิเวศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ขั้วโลกทั้งสองปราศจากน้ำแข็ง และเป็นโลกซึ่งทั้งชุ่มชื้นและแห้งแล้งอย่างสุดขั้วไปพร้อมๆกัน กล่าวโดยสรุป มันคือโลกที่เหมือนกันมากกับโลกที่เรากำลังมุ่งหน้าไปหาในศตวรรษนี้นี่เอง....

         การเกิดการลัดวงจรของวัฏจักรคาร์บอนก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนจนนำไปสู่การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตบนโลกหลายครั้งในอดีตดังที่กล่าวมา โลกร้อนที่เกิดในขณะนั้นพบว่าเกิดจาก น้ำแข็งแห้งมีเทนหรือมีเทนไฮเดรต ที่อยู่ในชั้นตะกอนในมหาสมุทรและแผ่นน้ำแข็งใต้ชั้นตะกอนบนแผ่นดิน โดยปกติแล้วมีเทนไฮเดรตจะคงสภาพเป็นของแข็งอยู่ใต้บริเวณพื้นท้องทะเลในมหาสมุทรซึ่งมีอุณหภูมิที่เย็นหรือความดันสูง หากมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิเฉลี่ยของน้ำทะเลมากกว่าระดับหนึ่งเมื่อไร มีเทนไฮเดรตจะเปลี่ยนสถานะจากของแข็งกลายเป็นก๊าซมีเทนลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศทันที ซึ่งก๊าซมีเทนถือว่าเป็นก๊าซเรือนกระจกที่รุนแรงตัวหนึ่ง แต่คุณสมบัติของก๊าซมีเทนหนึ่งตัวนั้นมีความพิเศษ ที่สามารถดูดกลืนรังสีอินฟราเรดได้มากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึงประมาณ 72 เท่าในช่วงระยะเวลา 20 ปี (เวลาเพียง 11 ปีก๊าซมีเทนในบรรยากาศจะถูกออกซิไดซ์กลายเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จนหมด ยกเว้นกรณีที่มีความเข้มข้นของก๊าซมีเทนมากจนเกินไปจนไม่สามารถออกซิไดซ์กับออกซิเจนและไฮโดรเจนได้หมด จะเหลือส่วนเกินซึ่งเร่งให้เกิดภาวะโลกร้อนอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น) ดังนั้นประวัติศาสตร์ธรรมชาติของโลกก่อนที่จะมีอารยธรรมมนุษย์ การปลดปล่อยก๊าซมีเทนตามธรรมชาติมีผลให้เกิดโลกร้อน ทำให้อุณหภูมิและการละลายของน้ำแข็งจะเพิ่มขึ้น มีผลต่อระดับน้ำทะเลสูงขึ้นทั่วโลกอย่างรวดเร็ว และนำมาสู่การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต...

         นับตั้งแต่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมเมื่อประมาณ 200 ปีที่ผ่านมา กิจกรรมของมนุษย์ได้เติมก๊าซมีเทน คาร์บอนไดออกไซด์ และไนตรัสออกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศอันเป็นตัวการก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนในช่วงเวลาอย่างรวดเร็วกว่ายุคใดๆในอดีตที่ผ่านมา โดยมาจากการทำการเกษตรและปศุสัตว์ การเผาป่าเพื่อการใช้ที่ดิน การถมขยะ การเผาขยะ การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล การทำเหมืองถ่านหิน การผลิตก๊าซ การคมนาคม โรงงานอุตสาหกรรม การรั่วไหลของก๊าซ ฯลฯ นักวิทยาศาสตร์ได้ข้อสรุปที่มากกว่าความสงสัยอย่างมีเหตุผลว่าโลกที่ร้อนขึ้นประมาณ 1 องศาเซลเซียสในศตวรรษที่ผ่านมาทำให้อุณหภูมิของโลกสูงถึงระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ รายงานของ IPCC เมื่อ ค.ศ. 2007 ยืนยันว่าไม่มี “ข้อมูลแวดล้อม” ใดๆไม่ว่าจากวงปีต้นไม้ แกนน้ำแข็ง แถบปะการัง หรือแหล่งอื่นๆที่แสดงว่ามีช่วงเวลาใดในช่วง 1,300 ปีหลังที่อากาศอุ่นเท่าตอนนี้ แท้จริงแล้วบันทึกจากทะเลลึกบ่งชี้ว่าอุณหภูมิขณะนี้อยู่ในระดับสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้านปีด้วยซ้ำ พื้นที่บนโลกซึ่งอ่อนไหวต่ออุณหภูมิที่สูงขึ้นฉับพลันนี้มากที่สุดและเป็นบริเวณที่น่าจะได้เห็นการผ่าน “จุดพลิกผัน” ที่สำคัญครั้งแรกคือ ทวีปอาร์กติก ที่นี่ อุณหภูมิปัจจุบันสูงขึ้นกว่าอัตราเฉลี่ยทั่วโลกถึงสองเท่า อลาสก้าและไซบีเรียร้อนขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ ในบริเวณเหล่านี้ปรอทสูงขึ้นแล้ว 3-4 องศาเซลเซียสในช่วงห้าสิบปีหลัง บางทีสัญญาณแรกที่ชัดเจนที่สุดของการเปลี่ยนแปลงอาจพบได้ที่ทะเล พืดน้ำแข็งที่อาร์กติกลดขนาดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ประมาณ ค.ศ. 1980 เมื่อฤดูร้อนแต่ละครั้งทำให้ปริมาณน้ำแข็งถาวรหายไปมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ละปีผิวมหาสมุทรเปิดโล่งมากขึ้นเฉลี่ย 100,000 ตารางกิโลเมตร เมื่อน้ำแข็งซึ่งเคยปกคลุมอยู่ละลายไป ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2005 เพียงเดือนเดียว บริเวณที่เป็นน้ำแข็งทะเลของอาร์กติกขนาดเท่าอลาสก้าหายไปโดยไร้ร่องรอย แม้แต่ในคืนมืดมนของเดือนในฤดูหนาว น้ำแข็งทะเลที่ปกคลุมอยู่ก็ลดลง ทั้ง ค.ศ. 2005 และ 2006 บริเวณที่เป็นน้ำแข็งลดต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมากจนถึงปี ค.ศ. 2010 น้ำแข็งทวีปอาร์กติกหายไปมากกว่า 50% แล้ว ซึ่งคาดกันว่าพืดน้ำแข็งในทะเลอาร์กติกจะหายไปแบบไม่หวนคืนมาอีกภายในฤดูร้อนปี ค.ศ. 2012 ตรงนี้เองที่จุดผลิกผันเข้ามามีบทบาท ขณะที่น้ำแข็งสีขาวเจิดจ้าที่มีหิมะปกคลุมสะท้อนความร้อนของดวงอาทิตย์กลับไปกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ มหาสมุทรสีเข้มที่เปิดโล่งกลับดูดซับรังสีจากดวงอาทิตย์ไว้ถึง 95 เปอร์เซ็นต์ หรืออาจสรุปได้ว่าเมื่อน้ำแข็งทะเลเริ่มละลาย กระบวนการนี้ก็เสริมแรงตัวมันเองอย่างรวดเร็ว ยิ่งพื้นผิวมหาสมุทรเปิดโล่งดูดซับความร้อนจากดวงอาทิตย์มากขึ้น ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น น้ำแข็งก็ยากจะก่อตัวกลับมาได้อีกในฤดูหนาวครั้งต่อไป....

          นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในฐานะที่มันเป็นก๊าซเรือนกระจกอันเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน จากการเก็บข้อมูลทางสถิติจากแท่งแกนน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกพบว่าความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ที่สะสมในชั้นบรรยากาศแปรตามค่าอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกตั้งแต่ 600,000 ปีที่ผ่านมาและสรุปว่าคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกปล่อยมาจากกิจกรรมของมนุษย์เป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน โดยมุ่งเน้นไปที่การเผาไหม้เชื้อเพลิงจากซากดึกดำบรรพ์หรือซากฟอสซิลคือ ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ การแก้ปัญหาโลกร้อนจึงมุ่งเน้นไปที่การลดหรือจำกัดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลดังกล่าวลง โดยเฉพาะจากโรงงานอุตสาหกรรม  โรงไฟฟ้า การขนส่ง และอุตสหกรรมที่ใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลอื่นๆ การให้น้ำหนักไปที่การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและมองข้ามสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา ทำให้ไม่เพียงจะไม่สามารถแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงในช่วงเวลาสั้นๆนี้ได้ทันแล้วยังเป็นการใช้ต้นทุนจำนวนมหาศาลไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพอีกด้วย เหตุผลก็เนื่องมาจากแบบจำลองคอมพิวเตอร์ซึ่งตั้งอยู่บนกฎฟิสิกส์ยังไม่สามารถอธิบายอย่างแน่ชัดว่า”ละอองของเหลวซัลเฟอร์” หรือ”แอโรซอล” ซึ่งเป็นอนุภาคเล็กจิ๋วที่เกิดจากมลภาวะและถูกกล่าวหาว่าเป็นสาเหตุของ “ภาวะโลกมืด” นั้นคืออะไร? ยังมีการถกเถียงกันอยู่ในวงกว้างของเหล่านักวิทยาศาสตร์ ดร.เจมส์ ฮันเซ่นน์ สุดยอดนักวิทยาศาสตร์ทางภูมิอากาศของนาซ่าและคณะได้เสนอว่า”ผลของการเผาไหม้เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์คือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และละอองลอยซัลเฟตจะหักล้างกันเป็นส่วนใหญ่ ทำให้การร้อนขึ้นในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาเกิดจากก๊าซเรือนกระจกที่ไม่ใช่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์” การปลดปล่อยมลพิษจากการกระทำของมนุษย์ที่เด่นชัดคือ “ละอองลอย” ซัลเฟต ซึ่งสามารถลดอุณหภูมิโดยการสะท้อนแสงอาทิตย์กลับออกไปจากโลกมีผลทำให้โลกเย็นลง สังเกตได้จากการบันทึกอุณหภูมิที่เย็นลงในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 (ประมาณตั้งแต่ พ.ศ. 2490) ส่วนภาวะโลกมืดเกิดจากการเผาไหม้น้ำมัน ทำให้เกิดอนุภาคลอยขึ้นไปจับตัวกับไอน้ำในอากาศ แต่ไม่ตกลงมาเป็นฝน กลับกลายเป็นกระจกคอยสะท้อนความร้อนและแสงไม่ให้มาถึงผิวโลก ผลคือ คนเป็นโรคระบบทางเดินหายใจมากขึ้น พืชสังเคราะห์แสงไม่ได้ และนักวิทยาศาสตร์คำนวณระยะเวลาและอุณหภูมิของภาวะโลกร้อนผิดพลาดไป 1 เท่าตัว นอกจากนั้นในช่วงที่อุณหภูมิต่ำสุดของยุคน้ำแข็งสุดท้าย สารมลพิษในปัจจุบันอย่าง แอโรซอล(ส่วนใหญ่คือซัลเฟอร์ไดออกไซด์และอนุภาคที่ปลดปล่อยมาจากไฟ) ยังอาจทำให้เกิดการเย็นตัวลง สิ่งนี้เรียกว่า “เมฆสีน้ำตาลของเอเชีย (Asian Brown Cloud)” คือกลุ่มหมอกควันมลพิษที่ปกคลุมภูมิภาคเอเชียใต้ ตัดแสงแดดที่ส่องสู่พื้นดินลง 10-15% เปลี่ยนสภาพอากาศของภูมิภาคโดยทำให้พื้นดินเย็นในขณะที่อากาศร้อน เกิดน้ำท่วมฉับพลันในบังกลาเทศ เนปาล และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย แต่เกิดความแห้งแล้งในปากีสถาน และภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย...

          ความจริงในปี ค.ศ. 2006 องค์การเกษตรและอาหารแห่งสหประชาชาติ (FOA) ได้ประมาณการณ์ว่าการเลี้ยงสัตว์เพื่อผลิตเนื้อและผลิตภัณฑ์นม มีผลเพียง 18 เปอร์เซ็นต์ของภาวะโลกร้อน มากกว่าที่เกิดจากการขนส่งทั้งโลกรวมกัน ดร.ราเจนดรา ปาชาอุร ประธานองค์การระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) กล่าวว่า “ผมได้รับอีเมลล์จำนวนหนึ่งจากผู้คนที่ผมนับถือ โครงสร้าง 18% นั้นประมาณการต่ำไป ซึ่งความจริงมันสูงกว่ามาก” ดร.ที.คอเลน จากมหาวิทยาลัยคอเนล สหรัฐอเมริกา ยังกล่าวว่า “ผมมีข้อมูลบางอย่างเมื่อเร็วๆนี้ มีโครงสร้างใหม่ตอนนี้ระบุว่าอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของก๊าซเรือนกระจกที่อยู่ที่นั่น ไม่ใช่แค่ 15% หรือ 20% อย่างน้อยครึ่งหนึ่งและบางทีมากพอใช้มาจากผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์” ก๊าซเรือนกระจกถูกปลดปล่อยอยู่ระหว่างแต่ละขั้นตอนของกระบวนการผลิตของอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์อย่างแท้จริง ซึ่งประกอบด้วย 3 ก๊าซหลัก คือ คาร์บอนไดออกไซด์ ไนตรัสออกไซด์และมีเทน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แปลกนั่นคือความจริงที่กลับกันของตัวเลข 23 เท่าที่ใช้ในรายงานส่วนใหญ่ รวมทั้งของสหประชาชาติด้วย ที่จริงแล้ว มีเทนมีศักยภาพเป็น 72-100 เท่าของคาร์บอนไดออกไซด์ในการทำให้โลกร้อนขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกันในช่วงระยะเวลา 20 ปี นอกจากนั้น ศาสตราจารย์แบรี่ บรุค แห่งมหาวิทยาลัยอดิเทรด ออสเตรเลีย ยังกล่าวว่า” ถ้าคุณมองที่รายงานเหล่านี้ พวกเขาจะแนะนำมัน(มีเทน)มีประมาณ 25 เท่าของผลกระทบของ CO2 แต่จริงๆ แล้วเมื่อมันขึ้นไปอยู่บนนั้นในบรรยากาศ การทำงานของมันเป็น 72 เท่าของผลกระทบและนั่นทำให้เกิดความแตกต่างอย่างใหญ่หลวง” Noam Mohr นักฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า “มีเทนอยู่ได้นาน 12 ปีและเก็บกักความร้อนได้ 25 เท่าของความร้อนที่คาร์บอนไดออกไซด์ทำใน 100 ปี ถ้าคุณดูในช่วงเวลาที่สั้นกว่า และว่าความร้อนมากเท่าไรในช่วง20 ปีข้างหน้าที่ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์นี้กำลังจะเป็นเหตุให้เกิดความร้อนเทียบกับปริมาณของมีเทนนี้ แล้วจะพบว่ามีเทนเป็นสาเหตุถึง 72 เท่าของความร้อนจากคาร์บอนไดออกไซด์ในช่วง 20 ปี” ดร. เคิร์ท สมิธ จาก IPCC กล่าวว่า “การปลดปล่อยก๊าซมีเทนเป็น 37 เปอร์เซ็นต์ของโลก การปศุสัตว์เป็นแหล่งใหญ่ที่สุดหนึ่งเดียวของมีเทนที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ แน่นอนเราต้องจัดการกับคาร์บอนไดออกไซด์ในระยะยาว แต่ถ้าคุณต้องการที่จะสร้างผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศในอีก 20 ปีข้างหน้า สิ่งที่สำคัญคือจัดการกับก๊าซเรือนกระจกที่มีอายุสั้นกว่า ตัวที่สำคัญที่สุดคือมีเทน” นอกจากนั้น Noam Mohr ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “ ดังนั้น ถ้าคิดคำนวณในช่วงเวลา 20 ปี การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ของปีนี้เป็นเพียง 40% ของความร้อนทั้งหมด อีก 60% หรือมากกว่าจะมาจากก๊าซที่มีอายุสั้นกว่า ก๊าซที่สำคัญที่สุดคือ มีเทน และยังมีส่วนแบ่งด้วยอัตราที่มากกว่าอีก เมื่อยังมีตัวแปรที่ยังไม่ได้นับรวมเข้าไปด้วยที่รู้จักกันในชื่อ แอโรซอล (aerosol) หรืออนุภาคที่ปล่อยออกมาพร้อมกับคาร์บอนไดออกไซด์ จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล นอกเหนือจากการที่มันมีความสามารถในการทำลายสุขภาพของเราแล้ว มันยังมีผลในการทำความเย็นด้วย ดังนั้น เมื่อคุณเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล คุณจะได้คาร์บอนไดออกไซด์ออกมาซึ่งมีผลทำให้โลกร้อน และแอโรซอลซึ่งมีผลทำให้โลกเย็น คุณสามารถคำนวนโดยคร่าวๆ ผลกระทบอุณหภูมิสมบูรณ์ออกมา ปรากฏว่าพวกมันหักล้างกันเกือบเป็นศูนย์ ดังนั้นความร้อนที่เราได้เห็นและมีทีท่าว่าจะได้เห็นในอนาคตอันใกล้นี้เป็นผลพวงหลักมาจากแหล่งอื่น ตัวการหลักอันหนึ่งคือ มีเทน เรามีวิกฤตการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ร้ายแรงมากในตอนนี้ ผลที่เกิดขึ้นสามารถพบเห็นได้ทั่วโลก และถ้าเราต้องการกล่าวถึงก๊าซเรือนกระจกที่มาแรงที่สุด ที่ทำให้เกิดความร้อนในตอนนี้นอกจากก๊าซอื่นๆแล้ว ส่วนใหญ่มาจากมีเทน แหล่งผลิตอันดับหนึ่งของมันมาจากการปศุสัตว์” เพราะว่าการผลิตเนื้อสัตว์เป็นสาเหตุถึง 80% ในการทำให้เกิดภาวะโลกร้อน เนื่องจากมันก่อมลภาวะที่เกี่ยวเนื่องกับหลายแหล่ง คือ การขนส่ง น้ำ การตัดไม้ทำลายป่า การแช่แข็ง การดูแลรักษาสัตว์ มนุษย์และอื่นๆ มลภาวะทั้งหมดมาจากการผลิตเนื้อสัตว์ มันไม่ใช่เพียงผืนดิน ถ้าพวกเขาใช้ มันไม่ใช่เพียงก๊าซมีเทนหรือก๊าซไนตรัสออกไซด์ที่พวกเขาทำให้มันเกิดขึ้น ทั้งหมดเป็นผลพลอยได้จากการผลิตไม่มีที่สิ้นสุดที่จะเอ่ยถึง ดังนั้น เราไม่สามารถพึ่งพาเพียงเทคโนโลยีสะอาดเพื่อที่จะช่วยชีวิตโลก เพราะว่าสาเหตุที่แย่ของมันมาจากอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ ทุกคนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย ต่างได้รายงานให้เรารู้แล้ว เป็นมังสวิรัติ รักษาสิ่งแวดล้อม ช่วยชีวิตโลก คือวิธีการที่ทรงพลังที่สุดในการช่วยลดภาวะโลกร้อนในขณะนี้ รวมทั้งยังยังใช้ต้นทุนต่ำที่สุดในการแก้ไขปัญหาวิกฤตโลกร้อนอีกด้วย
				
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ