1 ธันวาคม 2561 14:13 น.

ธรณีพิโรธ...

คีตากะ

854.jpg









               ตามตำนานในพุทธศาสนาเรื่อง ทศชาติชาดก ถูกจารึกไว้ในคัมภีร์ว่า ครั้งหนึ่งพระศากยมุนีพุทธเจ้าเคยเสวยพระชาติเป็นพญานาคานามว่า ภูริทัต อาศัยอยู่ในเมืองบาดาล ซึ่งเป็นภพชาติที่ทรงบำเพ็ญ ขันติบารมีธรรม นอกจากนั้นภายหลังจากที่ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้เคยส่งศิษย์ผู้เป็นธรรมทายาทมีนามว่า พระมัญชูศรีโพธิสัตว์ ลงไปยังเมืองบาดาลเพื่อโปรดธิดานาคา อายุ 8 ขวบ จนสำเร็จเป็นพุทธะ เรื่องราวเหล่านี้พระพุทธองค์ได้ให้ข้อคิดสอนใจว่า แม้แต่สัตว์เดียรฉานอมนุษย์ สตรี และเด็กอายุเพียง 8 ขวบ ก็สามารถรู้แจ้งในธรรมะสำเร็จระดับชั้นสูงสุดเป็นพุทธะได้เพียงในชาติเดียว ตำนานที่เกี่ยวกับพญานาคหรือนาคายังมีอีกมากมายในนิทานปรัมปราพื้นบ้านหลายเรื่องเช่น เมืองโยนกนคร ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นบรรพบุรุษของชนชาติไทยในยุคแรกที่อพยพเดินทางมาจากจีนตอนใต้เพื่อมาตั้งถิ่นฐานในบริเวณสุวรรณภูมิเมื่อกว่าพันปีที่ผ่านมา .....

เวียงหนองหล่ม ตั้งอยู่ที่เขตติดต่อระหว่างตำบลโยนก อำเภอเชียงแสน กับตำบลจันจว้าอำเภอแม่จัน จากหลักฐานที่ได้จากการสำรวจ สันนิษฐานว่าอยู่ระหว่างยุคหินใหม่ ถึงไม่เกินพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ตำนานและพงศาวดารหลายเล่มกล่าวตรงกันว่า เจ้าชายสิงหนวัติ พาผู้คนมาหาที่ตั้งเมือง พอมาถึงแม่น้ำโขง ก็พบนาคจำแลงเป็นชายมาบอกสถานที่สร้างเมือง จึงตั้งเมืองโยนกนาคพันสิงหนวัติ โดยเอาชื่อองค์ผู้สร้างเมืองรวมกับชื่อนาค หรือโยนกนครหลวง

มีกษัตริย์ปกครองสืบจนถึงสมัยพระเจ้ามหาไชยชนะ ผู้คนจับปลาไหลเผือกได้ที่แม่น้ำกก บ้างก็ว่าลักษณะคล้ายงูใหญ่ จึงนำมาแบ่งกันกินทั่วเมือง เว้นแต่เพียงหญิงม่ายคนหนึ่ง ที่อาศัยอยู่คนเดียวในบ้านกลางเมือง ในขณะที่ชาวเมืองกำลังมีงานเฉลิมฉลองที่จัดขึ้นจากพระราชาซึ่งตรงกับวันพระพอดีนั้น พลันมีชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่ง ลักษณะมีสง่าราศรีและงดงาม ซึ่งไม่ใช่ชาวเมืองโยนกนคร เดินทางมาแวะยังบ้านอันโดดเดี่ยวของหญิงหม่ายผู้นั้นและสอบถามว่าทำไมเธอถึงไม่ไปร่วมงานเฉลิมฉลองรื่นเริงกับชาวเมืองส่วนใหญ่ หญิงหม่ายตอบว่าเนื่องจากเธอไม่มีญาติสักคนเหลืออยู่จึงไม่ได้รับส่วนแบ่งของเนื้อปลานั้นเหมือนกับบ้านอื่นที่เขามีญาติพี่น้องพร้อมหน้ากัน เธออยู่คนเดียว ไม่มีญาติ และไม่รู้ข่าว เลยไม่มีใครนำเนื้อปลามาแบ่งให้เธอ ก่อนจากไปชายหนุ่มแปลกหน้าได้กำชับกับหญิงหม่ายเอาไว้ว่าในคืนนี้ขอให้เธออยู่ในบ้านอย่าออกไปไหน ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรก็ตามอย่าออกมาจากบ้านเด็ดขาด ถึงแม้หญิงหม่ายจะทำหน้างุนงงสงสัยกับคำพูดของชายแปลกหน้าแต่ก็ได้ตกปากรับคำ นี่อาจเป็นคำให้การของเธอถึงเหตุการณ์ในคืนนั้นที่ภายหลังถูกจารึกในประชุมพงศาวดารภาคที่ 61 เรื่อง พงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสน เล่าถึงเหตุการณ์คล้ายๆกับการเกิดแผ่นดินไหว โดยอ้างอิงว่าเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ.1003 ดังนี้....

               สุริยอาทิตย์ก็ตกไปแล้ว ก็ได้ยินเสียงเหมือนดั่งแผ่นดินดังสนั่นหวั่นไหวประดุจดังว่าเวียงโยนกนครหลวงที่นี้จักเกลื่อนจักพังไปนั้นแล แล้วก็หายไปครั้งหนึ่ง ครั้นถึงมัชฌิมยามก็ซ้ำดังมาเป็นคำรบสองแล้วก็หายนั้นแล ถึงปัจฉิมยามก็ซ้ำดังมาอีกเป็นคำรบสาม หนที่สามนี้ดังยิ่งกว่าทุกครั้งทุกคราวที่ได้ยินมาแล้ว กาลนั้นเวียงโยนกนครหลวงที่นั้นก็ยุบจมลงเกิดเป็นหนองอันใหญ่.....

               เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อหญิงหม่ายชะโงกหน้าออกมาจากประตูบ้าน เธอถึงกับต้องตกตะลึงตัวสั่นงันงก เมื่อพบว่าเมืองทั้งเมืองพลันอันตธานหายไปเพียงในชั่วข้ามคืนราวกับความฝัน กลับกลายเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่รายล้อมรอบเป็นบริเวณกว้างเหมือนทะเลสาบ ปราศจากสิ่งก่อสร้างและสิ่งมีชีวิต ไม่มีแม้เงาร่างของชาวเมืองที่เคยเอะอะจอแจ คงหลงเหลือเพียงบ้านของเธอหลังเดียวที่ตั้งอยู่บนเกาะกลางน้ำอันเวิ้งว้างว่างเปล่านั้น บริเวณบ้านของหญิงม่ายจึงเรียกน้ำนั้นว่า     เกาะแม่ม่าย

เมืองเชียงแสน จังหวัดเชียงราย มีหนองน้ำขนาดใหญ่ มีชื่อเรียกว่า เวียงหนอง ชาวบ้านบางคนเรียกว่า เวียงหนองหล่ม เข้าใจกันว่าบริเวณนี้เคยเป็นที่ตั้งของเมืองโยนกนคร แต่ต้องล่มสลายไปด้วยแผ่นดินไหวตามที่เล่ากันในตำนาน จนเมื่อปี 2546 สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ(องค์การมหาชน) ได้จัดพิมพ์หนังสือ จากห้วงอวกาศสู่พื้นแผ่นดินไทย และได้ใช้ภาพถ่ายดาวเทียมศึกษาถึงเวียงหนอง ปรากฏว่าพบแนวรอยเลื่อน เป็นหลักฐานทางธรณีวิทยา แสดงถึงการเคลื่อนไหวของเปลือกโลก ถึงแม้ว่าทั้งตำนานและภาพถ่ายดาวเทียมแสดงถึงร่องรอยของการเกิดแผ่นดินไหว แต่ยังเป็นปริศนาต่อไปว่า เมืองโยนกนครดังกล่าวคือเวียงหนองจริงหรือไม่?

ทุกวันนี้ยังมีเรื่องเล่าปากต่อปากจากชาวบ้านแถวนั้นว่าหากใครอยากเห็นมหานครโยนกซึ่งเคยรุ่งเรืองในอดีต คืนวันพระให้ไปตั้งแคมป์นอนบริเวณเวียงหนอง ตกดึกเวลาเที่ยงคืนให้ออกมาบริเวณริมทะเลสาบ มองออกไปจะเห็นภาพเมืองโยนกนครปรากฏ...

ครั้งหนึ่งคณะครูและนักเรียนชั้นมัธยมปลายกลุ่มหนึ่งจากโรงเรียนในภาคเหนือได้มีการออกค่ายพุทธธรรมเพื่อปฏิบัติธรรม โดยตั้งแค้มป์ค้างแรมบริเวณไม่ไกลจากเวียงหนองดังกล่าว ตกค่ำขณะที่คณะครูพากันไปเลี้ยงฉลองกัน มีนักเรียนทั้งหญิงกลุ่มหนึ่งราว 5 คนนึกสนุกอยากจะพิสูจน์ความเชื่อของชาวบ้านที่ต่างก็เคยได้ยินได้ฟังมานมนาน คืนนั้นเวลาประมาณ 2 ทุ่มจึงแอบหนีครูไปหลบอยู่ที่ศาลาริมทะเลสาบเพื่อรอดูภาพเมืองโยนกนครตามตำนาน แต่ปรากฏว่ายังไม่ทันถึงเที่ยงคืนทุกคนกลับผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว มารู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนเช้าแล้ว ทำให้คืนนั้นนักเรียนกลุ่มนี้ไม่ได้กลับไปนอนที่แคมป์แม้แต่คนเดียว ทุกคนต่างเผลอหลับไปภายในศาลาริมทะเลสาบ สร้างความงุนงงสงสัยกันถ้วนหน้า นักเรียนหญิงคนหนึ่งในกลุ่มบอกว่าเคยได้ยินแม่ของเธอบอกว่าทุกคนที่คิดพิสูจน์ความเชื่อของอาถรรพ์เวียงหนองหล่มนี้ ก่อนเที่ยงคืนจะถูกมนต์จากพญานาคสะกดให้ง่วงจนหลับไปทุกราย ซึ่งเธอก็เชื่อว่ามันเกิดขึ้นกับเธอและเพื่อนๆของเธอแล้ว...

จากหลักฐานที่ได้ค้นพบชั้นตะกอนที่เป็นป่าชายเลนและซากไม้โบราณเก่า ซึ่งมีการนำไปหาค่าอายุโดยวิธีคาร์บอน 14 พบว่า ชายฝั่งทะเลเดิมที่เคยอยู่บริเวณที่เป็น จ.อ่างทอง อายุประมาณ 6,000 ปี แสดงให้เห็นว่าในขณะที่น้ำทะเลขึ้นสูงสุดนั้น พื้นที่ส่วนใหญ่ของลุ่มน้ำเจ้าพระยา รวมทั้งพื้นที่กรุงเทพมหานครเคยเป็นทะเลมาแล้วทั้งนั้น ระดับน้ำทะเลช่วงดังกล่าวสูงกว่าปัจจุบัน 2-3 เมตร และอุณหภูมิสูงกว่าปัจจุบัน 2-4 องศาเซลเซียส ซึ่งเราเรียกช่วงนี้ว่า ช่วงร้อนที่สุดของยุคโลกร้อนปัจจุบัน

ประเทศไทยซึ่งมีแนวชายฝั่งทะเลยาวประมาณ 2,667 กิโลเมตร มีพื้นที่ตามแนวชายฝั่งทะเลเป็นที่อยู่อาศัยของชุมชนและใช้ประโยชน์ในกิจกรรมต่างๆ ทั้งหมด 23 จังหวัด ชายฝั่งทะเลมี 136 อำเภอที่อยู่ตามแนวชายฝั่ง หรือมี 807 ตำบทติดชายฝั่งทะเล ลักษณะของชายฝั่งทะเลมีความหลากหลายของชนิดพันธุ์พืช สัตว์ และสิ่งมีชีวิต ทั้งในน้ำกร่อยและในน้ำทะเลจำนวนมากมาย อีกทั้งยังมีความสลับซับซ้อนของสภาพกายภาพ และลักษณะธรณีสัณฐานชายฝั่งทะเลหลายอย่างที่ปรากฏ เช่น ชายฝั่งทะเลที่เป็นหิน ชายหาดทราย ชะวากทะเล ดินดอนสามเหลี่ยมแม่น้ำ ที่ลุ่มน้ำเค็มหรือพรุน้ำเค็มและป่าชายเลน สภาพสิ่งแวดล้อมชายฝั่งทะเลเหล่านี้มักถูกเปลี่ยนแปลงเป็นประจำ อันเนื่องมาจากอิทธิพลของคลื่นกระแสน้ำตามแนวชายฝั่ง การขึ้นลงของระดับน้ำทะเล ตลอดจนสภาพการพัดพาตะกอนจากบริเวณต้นแม่น้ำลงสู่แนวชายฝั่งทะเล

แนวชายฝั่งทะเลของประเทศไทยในบริเวณใดๆก็ตาม มักจะได้รับอิทธิพลจากขบวนการธรรมชาติเหล่านี้ และกิจกรรมของมนุษย์ก็มีส่วนเป็นตัวเร่งทำให้ชายฝั่งทะเลมีการเปลี่ยนแปลงในอัตราที่เร็วมาก ปัจจุบันเราพบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลด้านอ่าวไทย ซึ่งมีความยาวชายฝั่งทั้งสิ้น 1,652.5 กิโลเมตร เริ่มตั้งแต่ชายฝั่งทะเลของ จ.ตราด จนถึงบริเวณชายแดนภาคใต้ของ จ.นราธิวาส พื้นที่ถูกกัดเซาะรุนแรงมากกว่า 5 เมตรต่อปี จนถึง 20 เมตรต่อปี เป็นความยาวประมาณ 485 กิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 18 ของพื้นที่ชายฝั่งทะเลทั้งประเทศ
ในขณะที่ชายฝั่งทะเลด้านอันดามัน ซึ่งมีความยาวชายฝั่ง 1,014 กิโลเมตร พบว่ามีพื้นที่ถูกกัดเซาะรุนแรงมากกว่า 5 เมตรต่อปีมีทั้งสิ้น 113.5 กิโลเมตร คิดเป็นประมาณ 4% ของพื้นที่ชายฝั่งทะเลทั้งประเทศ(ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล:2550) 

                  เช้านั้น (26 ธ.ค. 47) เป็นวันพระ กำลังจะปีใหม่ ส่วนใหญ่พวกเราก็เริ่มเตรียมหยุดงานกันแล้ว มีคนออกทะเลบ้างแต่ไม่มากนัก ฟ้าโปร่งลมเงียบนิ่งเหมือนไม่ไหวติง ใครๆก็ไม่ทันสังเกตอะไร จนกระทั่งสิบโมงกว่า เห็นน้ำทะเลแห้งลงไปไกล สักพักเห็นกำแพงคลื่นขาวมาแต่ไกล เมื่อคลื่นมาถึงใกล้หาดเรือทยอยจมลำแล้วลำเล่า แล้วจู่ๆ คลื่นก็ยกตัวขึ้นสูงเทียมยอดสน มีคนตะโกนว่า คลื่นยักษ์ ! เท่านั้นแหละก็พากันวิ่งหนี...

                 จากคำบอกเล่าของชาวบ้านผู้อยู่ในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ที่คลื่นยักษ์สึนามิถล่มชายฝั่งอันดามันกินพื้นที่ 6 จังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย และอีกหลายประเทศ ยังความสูญเสียมากมายมหาศาล กลายเป็นกรณีที่ทำให้ทั่วโลกเกิดการตื่นตัว แม้ในประวัติศาสตร์ชาติไทยจะยังไม่เคยพบบันทึกปรากฏการณ์การเกิดคลื่นยักษ์สึนามิมาก่อน แต่จากคำบอกเล่าแบบปากต่อปากจากบรรพบุรุษของชาวมอแกน อันเป็นชนเผ่าดั้งเดิมของ ชุมชนบ้านน้ำเค็มว่าเมื่อใดก็ตาม ที่เห็นขอบทะเลร่นถอยออกจากชายฝั่งไปไกลผิดปกติให้รีบหนีขึ้นที่สูงหรือออกไปให้ไกลจากชายฝั่งทะเลมากที่สุด นั่นแสดงว่าชาวมอแกนดั้งเดิมย่อมเคยประสพกับคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อนานมาแล้วในครั้งบรรพกาล พวกเขาจึงสามารถบอกต่อมาสู่รุ่นลูกรุ่นหลานในปัจจุบันได้ ทำให้ชาวมอแกนรอดพ้นจากหายนะครั้งนี้ได้พ้น...

ชุมชนบ้านน้ำเค็ม ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบชายทะเล หมู่ 2 ตำบลบางม่วง อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา แต่เดิมที่แห่งนี้เคยเป็นป่าชายเลน คนดั้งเดิมคือชาวมอแกน เมื่อหลายสิบปีก่อนพังงาเป็นแหล่งเหมืองแร่ที่แรงงานทั่วทุกภาคนิยมเข้ามาขุดทอง แต่เมื่อวันหนึ่งแร่หมด คนจึงหันเหอาชีพมาทำประมง บ้านน้ำเค็มจึงกลายเป็นหมู่บ้านชาวประมงขนาดใหญ่ แม้บ้านน้ำเค็มจะเป็นหมู่บ้านชาวประมง แต่ก็มีรากเป็นทุนนิยม จากช่วงแรกๆที่สามารถทำรายได้สูง ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างทำมาหากิน ในชุมชนเต็มไปด้วยซอกซอย มีการพนัน มีอาชญากรรม แต่แล้วสึนามิ ก็พัดพาไปหมด

คลื่นยักษ์สึนามิสูง 10 เมตร เคลื่อนที่ด้วยความเร็วลม 500-700 กิโลเมตร/ชั่วโมง พัดเข้าถล่ม 6 จังหวัดภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามัน กวาดเอาบ้านเรือน ทรัพย์สิน และชีวิตผู้คนในจังหวัดภูเก็ต กระบี่ พังงา ระนอง สตูล และตรัง รวมถึงหมู่เกาะน้อยใหญ่ต่างๆในทะเลอันดามันลงสู่ท้องทะเล สาเหตุของคลื่นสึนามิเกิดจากแผ่นดินไหวใต้ทะเลซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย บริเวณด้านตะวันตกของหัวเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย วัดขนาดความแรงได้ 9.3 ริคเตอร์ ว่ากันว่าแผ่นดินไหวครั้งนี้เป็นแผ่นดินไหวที่มีความแรงสูงสุดในโลกนับตั้งแต่แผ่นดินไหวในมลรัฐอลาสก้าเมื่อปี 2507 และมีความแรงสูงสุดเป็นอันดับ 4 นับตั้งแต่ปี 2443 เลยทีเดียว ผลกระทบจากสึนามิครั้งนั้นเป็นความสูญเสียที่มิอาจประเมินค่าได้ ประชาชนต้องไร้ที่อยู่อาศัย ตึกรามบ้านเรือนต้องได้รับความเสียหาย แหล่งท่องเที่ยวถูกทำลาย และที่น่าเศร้าสลดที่สุดคือชีวิตผู้บริสุทธิ์ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ถูกคลื่นยักษ์คร่าชีวิตไป ประมาณว่ามีผู้เสียชีวิต 5,395 คน และผู้สูญหายเกือบ 1,000 คน โดยประเทศเพื่อนบ้านนั้นได้รับผลกระทบอย่างแสนสาหัส เช่นกัน เช่น จังหวัดอะเจะห์ ประเทศอินโดนีเซีย ชายฝั่งของประเทศศรีลังกา ชายฝั่งของรัฐทมิฬนาฑู ประเทศอินเดีย รวมถึงชายฝั่งของประเทศโซมาเลียในแอฟริกา ซึ่งห่างจากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวถึง 4,100 กิโลเมตรก็ยังได้รับผลกระทบด้วย ดาดว่ามีผู้เสียชีวิตจากแผ่นดินไหวครั้งนี้ทั่วโลกไม่ต่ำกว่า 228,000 ถึง 310,000 คน รวมมูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ....

เหตุการณ์แผ่นดินไหวถูกมองว่าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับภาวะโลกร้อนที่กำลังเกิดขึ้นและกำลังทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นในปัจจุบัน แต่จากการค้นพบของ Dr. Bill McGuire หัวหน้านักภูเขาไฟวิทยาแห่งอังกฤษ รายงานเมื่อเร็วๆนี้ว่ามันเป็นสิ่งชัดเจนแล้วว่าเมื่ออุณหภูมิของบรรยากาศเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยสามารถกระตุ้นให้เกิดการระเบิดของภูเขาไฟและแผ่นดินไหวจากแผ่นเปลือกโลกได้ เพราะว่าการละลายอย่างรวดเร็วของธารน้ำแข็งเหมือนที่อาร์กติกและกรีนแลนด์จะสามารถปลดปล่อยความดันจากพื้นผิวโลกก่อให้เกิดปฏิกิริยาสะท้อนกลับ แรงสะท้อนกลับของแผ่นเปลือกโลกในพื้นที่เหล่านี้ง่ายต่อการเปลี่ยนแปลงความเค้นซึ่งส่งผลให้เกิดแผ่นดินไหวและการระเบิดของภูเขาไฟในปัจจุบัน ตามความคิดเห็นนี้มีความเป็นไปได้ของสภาวะที่จะก่อให้เกิดการสั่นไหวของโลกบ่อยครั้งขึ้น Dr. Bill McGuire แถลงว่า นั่นคือสิ่งชัดเจนถ้าคุณใส่แรงกระทำเข้าไปและเอาออกอย่างผิดปกติ คุณมีแน้วโน้มที่จะไปกระตุ้นให้เกิดแผ่นดินไหว เขายังได้กล่าวว่าเช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาในอดีตมันก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิจำนวนมากตามมาในระหว่างที่มีการละลายเมื่อตอนปลายยุคน้ำแข็งครั้งล่าสุด...

ธารน้ำแข็งที่สามารถมองเห็นได้เป็นเพียงส่วนน้อยของทั้งหมด เรื่องราวตำนานของการจมลงของเรือไททานิก ที่ไปชนเข้ากับภูเขาน้ำแข็งในในมหาสมุทรแอตแลนด์ติกเป็นตัวอย่างที่ดี เมื่อกับตันผู้ควบคุมเรือมองข้ามยอดของภูเขาน้ำแข็งที่โผล่พ้นทะเลเพียงเล็กน้อยจนไม่สามารถหลบหลีกได้ทันท่วงทีท่ามกลางทัศนะวิสัยที่เลวร้ายของคืนฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ ทำให้เรือจมลงเกิดโศกนาฏกรรมตามมา ฐานของภูเขาน้ำแข็งที่กดทับแผ่นเปลือกโลกอยู่ไม่อาจมองข้ามพละกำลังของมันได้ ทั้งอาร์กติกขั้วโลกเหนือและแอนตาร์กติกขั้วโลกใต้รวมแล้วมีปริมาณน้ำแข็งมากกว่า 90% ของธารน้ำแข็งทั้งหมดบนโลก ฐานของมันล้วนแล้วแต่จมอยู่ในท้องมหาสมุทรเกือบแทบทั้งสิ้น นั่นเองมันจึงอ่อนไหวเป็นอย่างมาก และพร้อมที่จะละลายไปได้ทุกเมื่อ ถ้าหากอุณหภูมิของน้ำทะเลสีเข้มที่มีความสามารถในการดูดกลืนรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์เป็นอย่างดีจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยและปลดปล่อยแรงดันอันมหาศาลที่กระทำต่อเปลือกโลกออกมา นอกจากนั้นน้ำแข็งส่วนที่จมนี้ยังยากสำหรับนักวิทยาศาสตร์ที่จะคำนวณระดับน้ำทะเลที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นจากการละลายของพวกมันในอนาคตอีกด้วย...

ภาวะโลกร้อนกำลังทำให้สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น ไม่เคยพบเห็น สำหรับมนุษย์ยุคนี้กำลังเผยโฉมหน้าของมันออกมา น้ำแข็งอายุกว่า 150,000 ปีกำลังละลายหายไป พายุเฮอริเคนในบริเวณที่ไม่เคยเกิดได้เกิดขึ้น แผ่นดินไหวในจุดที่ไม่คาดคิด หิมะตกในเมืองที่ไม่เคยตกมาก่อน พายุไซโคลนที่รุนแรงและถี่ขึ้น น้ำท่วมและภัยแล้งในบริเวณเดิมที่รุนแรงขึ้นและบริเวณที่เปลี่ยนไป คลื่นความร้อนและไฟป่าที่รุนแรง ทะเลทรายที่ขยายอาณาจักรขึ้นเรื่อยๆ ฝนฟ้าที่ยากคาดการณ์ ทะเลที่เป็นกรด แผ่นดินที่จมน้ำ พืชและสัตว์เร่งสูญพันธุ์ทุกขณะ ภาวะขาดแคลนอาหารและน้ำดื่ม สงครามจราจล ภูเขาไฟระเบิด น้ำป่าไหลหลากและโคลนถล่ม การอพยพโยกย้ายถิ่นฐาน เชื้อโรคใหม่ระเบิดเวลาของน้ำแข็งแห้งมีเทนและก๊าซไข่เน่าจากใต้ท้องมหาสมุทร การสูญพันธุ์ครั้งที่ 6....

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าโลกกำลังเปลี่ยนไปทุกคนสัมผัสได้ ถ้าคิดจะแก้ไขผลกระทบภายใน 20 ปีคาร์บอนไดออกไซด์ไม่ใช้สาเหตุ แต่มันคือมีเทนจากกิจกรรมของมนุษย์ซึ่งมีความรุนแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 72 เท่าเทียบกันในระยะเวลา 20 ปี และ 20 เท่าเทียบในเวลา 100 ปี แต่ถ้าเราไม่มีเวลา 100 ปีให้แก้ไข ต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีอายุสั้นกว่าแต่มีผลกระทบทำให้โลกร้อนกว่านั่นคือ มีเทน แหล่งใหญ่ที่สุดของมันคือปศุสัตว์ เช่น วัว ควาย แพะ แกะ อูฐ สัตว์เคี้ยวเอื้องทั้งหลาย เพื่อซื้อเวลา 20 ปี ก่อนจะมีเวลาไปลดคาร์บอนไดออกไซด์ที่รุนแรงน้อยกว่า อายุอยู่ในบรรยากาศนานกว่า 100 ปี ข้อแนะนำง่ายๆและมีประสิทธิภาพสูงสุด ทานมังสวิรัติ ใช้พลังงานแบบยั่งยืน และปลูกต้นไม้ การลดมีเทนใช้ต้นทุนต่ำกว่าการลดคาร์บอนไดออกไซด์หลายเท่านัก ใครจะยอมปิดโรงงานเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีประสิทธิภาพสูงในการผลิต ใครจะยอมขี่จักรยานเพื่อไม่ใช้น้ำมัน ใครจะยอมปิดโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินซึ่งต้นทุนต่ำ ใครจะไม่บุกรุกป่าเมื่อไร้ทีทำกินและประชากรล้นโลก การลดคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยวิธีการเหล่านี้ต้องใช้ต้นทุนมหาศาล ทำไมไม่ทำเรื่องที่ง่ายกว่านั้น?....ทานมังสวิรัติ ใช้พลังงานแบบยั่งยืน และปลูกป่า...Be Vag Go Green Save The Platnet...







naga.jpg				
12 มิถุนายน 2553 00:27 น.

4.5 พันล้านคนจะเสียชีวิตภายในปี 2012...

คีตากะ

ประชากรมากกว่า 4.5 พันล้านคนจะเสียชีวิตจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับภาวะโลกร้อนปี ค.ศ. 2012

สมมติฐานไฮเดรตชี้ให้เห็นสัญญาณเตือนภัยการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสภาพภูมิอากาศ

รวบรวมโดย จอห์น สโตก

                เมื่อเร็วๆนี้ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า สมมติฐานไฮเดรต(hydrate hypothesis)  กล่าวว่าวัฏจักรของภาวะโลกร้อนในประวัติศาสตร์ได้เป็นสาเหตุของการเกิดวงจรสะท้อนกลับ บริเวณที่มีการละลายของชั้นดินเยือกแข็ง(permafrost) ที่กักเก็บน้ำแข็งแห้งมีเทน(methane clathrates) เอาไว้ (รู้จักกันในชื่อ ไฮเดรต)กระตุ้นให้ภาวะโลกร้อนรุนแรงยิ่งขึ้น นำไปสู่การเพิ่มการละลายของน้ำแข็งแห้งและการเติบโตของแบคทีเรีย

                 กล่าวง่ายๆ เช่น ทางด้านตะวันตกของไซบีเรีย น้ำแข็งแห้งมีเทนปริมาณ 400 พันล้านตันในชั้นดินเยือกแข็งจะละลายอย่างช้าๆ และปลดปล่อยก๊าซมีเทนซึ่งยิ่งเร่งการละลายให้มากยิ่งขึ้น ผลกระทบจากการที่ก๊าซทีเทนปริมาณสองเท่าของพันล้านตันถูกแพร่ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศในแต่ละปีจะก่อให้เกิดหายนะ  

                 สมมติฐานไฮเดรต (ถ้าถูกต้อง) เป็นผลให้เกิดหายนะที่ควบคุมไม่ได้ของภาวะโลกร้อนเป็นไปอย่างรวดเร็ว จริงๆแล้ว คุณควรจดจำโอกาศอันสำคัญนี้ เมื่อคุณเรียนรู้เกี่ยวกับวงจรสะท้อนกลับนี้ มันเป็นความอยู่รอดจากจุดวิกฤตในชีวิตคุณ

                  อีกอย่างหนึ่ง สมมติฐานไฮเดรต เป็นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และกำลังเป็นที่ถถเถียงของเหล่านักวิทยาศาสตร์ด้านภาวะโลกร้อน ผมแนะนำให้คุณค้นหาใน Google

                 เดี๋ยวนี้ นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยอมรับว่ากิจกรรมของมนุษย์เป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน ช่วงกลางศตวรรษที่จะถึงเป็นเวลาที่เรากำลังจะผ่านจุดปลายสุดและหมดหนทางที่จะหยุดภาวะโลกร้อนที่ควบคุมไม่ได้
 
                มีมีเทนที่ถูกกักเก็บภายใต้ชั้นดินเยือกแข็งเป็นปริมาณมหาศาล และในโครงสร้างคล้ายน้ำแข็งใต้มหาสมุทรที่เรียกว่า คลาเทรท ในชั้นดินเยือกแข็งของอาร์กติกประมาณว่ามีมีเทนปริมาณ 400 พันล้านตัน

                 มีเทนเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีความรุนแรงมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 20 เท่า และชั้นบรรยากาศปัจจุบันประกอบด้วยก๊าซมีเทน 3.5 พันล้านตัน 
                
                 อุณหภูมิสูงสุดเพิ่มขึ้นจากภาวะโลกร้อนกำลังเกิดขึ้นบริเวณอาร์กติก ซึ่งเป็นบริเวณที่เต็มไปด้วยโครงสร้างน้ำแข็งที่ไม่เสถียร แบบจำลองจากศูนย์วิจัยบรรยากาศนานชาติ (NCAR) แสดงให้เห็นว่าครึ่งหนึ่งของชั้นดินเยือกแข็งจะถูกปลดปล่อยภายใน ค.ศ. 2050 และอีกมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ใน ค.ศ.2100
         
                   การทับถมของถ่านหินเลน(เกิดจากต้นไม้ในหนองที่ทับถมกัน) อาจจะเทียบได้กับแหล่งกำเนิดมีเทนจากชั้นดินเยือกแข็งที่กำลังละลาย เมื่อถ่านหินเลนที่ถูกแช่แข็งนับพันปีละลาย มันยังคงประกอบด้วยประชากรของแบคทีเรียที่ยังมีชีวิต ซึ่งจะเริ่มเปลี่ยนถ่านหินเลนให้เป็นมีเทนและคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)
ทางด้านตะวันตกของไซบีเรีย กำลังร้อนขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าที่ใดๆในโลก จากประสบการณ์มันเพิ่มสูงขึ้นถึง 3 องศาเซลเซียสในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา ถ่านหินเลนทางทิศตะวันตกของไซบีเรียกักเก็บมีเทนเอาไว้ประมาณ 70 พันล้านตัน ระดับของก๊าซมีเทนในชั้นบรรยากาศที่ไซบีเรียตอนนี้มีความเข้มข้น 25 เท่าสูงกว่าทั่วโลก
อีกอย่างหนึ่ง อุณหภูมิที่ร้อนขึ้น และฤดูกาลที่ยาวนานขึ้นเป็นผลให้การทำงานของจุลินทรีย์เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจในพื้นดินบริเวณรอบโลก เหตุการณ์นี้เป็นไปตามลำดับขั้น กระบวนการซึ่งแหล่งเก็บคาร์บอนยาวนานปริมาณมากในดินกำลังถูกปลดปล่อยสู่บรรยากาศในขณะนี้

                  การปลดปล่อยมีเทนจากการละลายของโครงสร้างน้ำแข็งในมหาสมุทร เป็นสาเหตุความรุนแรงที่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมเมื่อครั้งในอดีต มีเทนจากโครงสร้างน้ำแข็งในมหาสมุทรคาดว่ามีปริมาณ 10,000 พันล้านตันหรือ 10 ล้านล้านตัน

                  55 ล้านปีก่อน ภาวะโลกร้อนเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ (มีความเป็นไปได้ว่าเริ่มจากการระเบิดของภูเขาไฟ) ทำให้โครงสร้างน้ำแข็งในมหาสมุทรละลาย มันทำให้สิ่งต่างๆเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นเหตุการณ์ภาวะโลกร้อนร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ทางธรณีวิทยา

                  มนุษย์ดูเหมือนจะสามารถแพร่คาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณที่เทียบเท่ากับการระเบิดของภูเขาไฟซึ่งเป็นการเริ่มต้นปฏิกิริยาแบบลูกโซ่นี้ จากการสำรวจทางธรณีวิทยาของสหรัฐอเมริกาพบกว่าการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณถึง 150 เท่าจากคาร์บอนไดออกไซด์ที่แพร่โดยภูเขาไฟ

                   มีเทนในบรรยากาศไม่คงตัวอยู่ได้นาน ซึ่งจะคงอยู่ประมาณ 10 ปี ก่อนที่จะถูกออกซิไดซ์ (รวมตัวกับออกซิเจน) กลายเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ (ก๊าซเรือนกระจกที่อยู่ได้ 100-1,000 ปี) มีเทนที่ถูกออกซิไดซ์กลายเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ มีส่วนอย่างมากทำให้โลกร้อนเท่ากับมีเทนเข้มข้นที่คงอยู่เพียงชั่วขณะ 
        
                  สรุปได้ว่า กิจกรรมของมนุษย์ กำลังเป็นสาเหตุของการทำให้โลกร้อนขึ้น แบคทีเรียเปลี่ยนคาร์บอนในดินไปเป็นก๊าซเรือนกระจก และก๊าซเรือนกระจกปริมาณมหาศาลถูกกักไว้ในโครงสร้างน้ำแข็งที่ไม่เสถียร ขณะที่โลกร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่อง โครงสร้างน้ำแข็งใต้ชั้นดินเยือกแข็งคงตัว(permafrost) จะถูกปลดปล่อย ถ่านหินเลนและการทำงานของจุลินทรีย์ในดินจะเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ และ ในท้ายที่สุด โครงสร้างน้ำแข็งขนาดใหญ่ในมหาสมุทรจะละลาย ปฏิกิริยาแบบลูกโซ่ของภาวะโลกร้อนนี้เคยเกิดขึ้นแล้วเมื่อในอดีต

                 ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้นจากการสะสมมากกว่าในปีที่ผ่านมา มันเป็นเวลาสามปีติดต่อกันซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน นักวิทยาศาสตร์ยังไม่มีคำอธิบายว่าทำไมการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึงเกิดขึ้น แต่กลัวว่าแนวโน้มนี้จะเป็นสัญญาณแรกของการเกิดภาวะโลกร้อนที่ไม่สามารถควบคุมได้

                  ภาวะโลกร้อนที่ไม่สามารถควบคุมได้ จะทำให้พื้นที่ทางการเกษตรได้รับความเสียหายจากความร้อนอย่างแท้จริงจนกลายเป็นฝุ่นธุลีไปทั่วโลกใน ค.ศ. 2012 ก่อให้เกิดการขาดแคลนอาหาร สถานการณ์ที่สับสน โรคภัยไข้เจ็บ และสงครามในระดับโลกโดยกองกำลังทางทหารประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา รัสซีย และจีน จะต่อสู้เพื่อควบคุมแหล่งทรัพยากรที่ยังเหลืออยู่ของโลก

                  ประชากรมากกว่า 4.5 พันล้านคนจะเสียชีวิตจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับภาวะโลกร้อนใน ปีค.ศ. 2012 ขณะที่ดาวเคราะห์โลกเร่งจากการขับเคลื่อนของความละโมบเข้าสู่หายนะขั้นรุนแรงอันน่ากลัว





				
19 พฤษภาคม 2553 16:45 น.

ศาสตร์แห่งดวงดาว....

คีตากะ

galaxyM101.jpg               ศาสตร์เรื่อง การดูดาว มีมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว นักการทหารอย่าง ขงเบ้ง ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น ผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน ในประวัติศาสตร์จีน สมัยเลี๊ยดก๊ก ถือว่าเป็นผู้หนึ่งที่ใช้ความรู้เรื่องดาราศาสตร์ในการประเมินสถานการณ์ต่างๆเพื่อใช้สู้รบในสงครามมาตลอดชีวิต ศาสตร์อันเร้นลับนี้ ชาวจีนโบราณได้ค้นพบมานานแล้วนับพันปี และได้มีการบอกกล่าวสืบทอดกันมายาวนานผ่านการเรียนรู้ลองถูกลองผิดมาจนแน่แก่ใจและจดบันทึกเอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ดวงดาวบนท้องฟ้ายามราตรีที่เปล่งแสงเจิดจ้าเป็นประกายมีความสำคัญในศาสตร์หลายๆแขนงด้วยกัน เช่น โหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ วิทยาศาสตร์  ในมุมมองที่แตกต่างกันออกไป ความงดงามของดวงดาวต่างๆในฟากฟ้าถูกพร่ำพรรณนาถ่ายทอดออกมาเป็นบทกวี สื่อภาษาอันไพเราะงดงามมาตลอดทุกยุคทุกสมัยในอารยธรรมของมนุษย์ บ้างแสดงออกถึงความคิดถึงคนรักที่อยู่แดนไกล ความเงียบเหงาว้าเหว่ ตลอดจนความสุขเมื่อยามอยู่เคียงคู่นับดาวพราวฟ้ากับบุคคลอันเป็นที่รัก...
                
                การใช้วงโคจรและตำแหน่งของดวงดาวต่างๆบนท้องฟ้าตามจักราศี มาทำนายอนาคต ทำให้นักทำนายเข้าใจความเป็นไปและความสัมพันธ์ระหว่างดวงดาวกับชีวิตในจักราศีต่างๆ มาช้านานแล้ว ขณะที่ชาวมายาซึ่งได้ชื่อว่าเป็นชนเผ่าที่มีความแตกฉานลึกซึ้งเกี่ยวกับเรื่องดวงดาวและใช้ในการกำหนดปฏิทินระบุวันเวลาอย่างถูกต้องแม่นยำมายาวนานนับพันปีก่อนใครๆบนโลก แม้การล่มสลายของอารยธรรมมายาจะยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดนักถึงสาเหตุต้นตอจากนักประวัติศาสตร์ในยุคปัจจุบันก็ตามที แต่ชาวมายาก็กลับกลายมาเป็นที่สนใจของคนทั่วโลกในไม่กี่ปีที่ผ่านมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อปฏิทินของชนเผ่ามายาได้ระบุวันสุดท้ายของโลกเอาไว้คือวันที่ 21 ธันวาคม 2012 ผู้คนต่างตั้งคำถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? หรือวันเวลาดังกล่าวจะเป็นวันสุดท้ายของโลกที่เรียกว่า วันสิ้นโลก ผู้ที่ตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุดจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากชนเผ่ามายาเองซึ่งปัจจุบันก็ได้หายสาบสูญไปจนหมดแล้วโดยไม่ทราบสาเหตุมากว่าหลายพันปี หลงเหลือเพียงเศษซากของก้อนอิฐเก่าๆ กำแพงผุพังกลางป่าร้าง ในอเมริกากลาง พร้อมกับเครื่องหมายคำถามมาจนตราบเท่าทุกวันนี้....
                
                แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ศาสตร์แห่งดวงดาวบนท้องฟ้ายังคงกลายเป็นปริศนาที่กำลังได้รับการเปิดเผยอย่างช้าๆจากองค์การนาซ่า สหรัฐอเมริกา พวกเขาจับจ้องมองดวงดาวทุกดวงทั้งในและนอกระบบสุริยะจักรวาลตลอดมาอย่างต่อเนื่อง ค้นหาความสัมพันธ์ต่างๆที่มีต่อชีวิตและโลก พยายามที่จะไขความลับของจักรวาลมาตลอดเวลา ด้วยเทคโนโลยี่ที่ทันสมัยที่สุดเท่าที่มีอยู่ ข้อมูลใหม่ๆหลายอย่างที่ถูกตีพิมพ์เป็นข่าวภายหลังจากการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์และการสำรวจอวกาศทั้งจากดาวเทียมและยานอวกาศ เช่น จักรวาลกำลังขยายตัวอย่างช้าๆ ดวงจันทร์กำลังถอยห่างโลกออกไปทุกทีจนวันหนึ่งมันจะหลุดออกไปและโลกจะไม่มีดวงจันทร์อีก ดวงอาทิตย์มีจุดดับเพิ่มขึ้นและอาจมอดดับไปในวันหนึ่ง ดาวอังคารเคยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ เหล่านี้เป็นต้น ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะนำศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่งที่เกี่ยวข้องกับดวงดาวมาอธิบายความเป็นไปของโลกและอนาคต โดยเฉพาะถ้ามนุษย์ต้องการความถูกต้องแม่นยำ 100% เพื่อการตัดสินใจ นั่นคือปัญหาที่นักทำนาย โหราจารย์  นักดาราศาสตร์ หรือนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตผิดพลาดในหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะในสถานการณ์ของโลกในปัจจุบันที่มีความอ่อนไหวเป็นอย่างยิ่ง แต่มนุษย์ก็จำเป็นต้องใช้ข้อมูลการพยากรณ์ต่างๆเหล่านี้เพื่อใช้ในการการดำเนินชีวิต เช่น การพยากรณ์อากาศ การพยากรณ์ด้านเศรษฐกิจ การพยากรณ์ยอดขาย จีดีพี การตลาด การเมือง สังคม การพยากรณ์ชีวิต จนถึงการพยากรณ์ภัยพิบัติต่างๆบนโลก อย่างน้อยก็เพื่อใช้ในการวางแผนการดำเนินชีวิต การตัดสินใจและเพื่อความสบายใจในส่วนของปัจเจกบุคคลเอง แน่นอนความผิดพลาดก็มักเกิดขึ้นได้และมีให้เห็นอยู่เสมอๆ เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่ยากแก่การทำนาย เนื่องจากขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่างมาประกอบเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะเรื่องที่คาดการณ์ไม่ได้อย่างเรื่อง กรรม หรือจิตสำนึกร่วมของประเทศ ชุมชนหรือเมืองนั้นๆ และที่สำคัญจิตสำนึกของมนุษย์โลกทั้งมวลหรือจิตสำนึกหมู่ นั่นก็ย่อมก่อให้เกิดผลระดับโลกตามมา นักวิทยาศาสตร์ย่อมทำนายตามข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ นักโหราศาสตร์ย่อมทำนายตามจักราศรีในแนวทางของตน นักอุตุนิยมวิทยาย่อมทำนายตามตัวเลขจากเครื่องมือวัด ในขณะที่อนาคตคือสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นและเป็นผลพวงมาจากปัจจุบันขณะ ดังนั้นย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา สรรพสิ่งล้วนไม่เที่ยง การคาดการณ์ไม่ว่าจะผิดหรือถูกจึงไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้เกิดความตื่นกลัวจนเกินเหตุ แต่ควรใช้เป็นข้อมูลในการเตรียมพร้อมหากมันเกิดขึ้นจริงต่างหาก เป็นความจริงเสียเหลือเกินที่อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ในอนาคตสำหรับห้วงจักรวาลอันแปรปรวนนี้...

                 เมื่อไม่นานมานี้ก่อเกิดนักทำนายมากมายเกี่ยวกับอนาคตของโลก คำทำนายต่างๆถูกเปิดเผยสู่สายตาของสาธารณะชนครั้งแล้วครั้งเล่า สร้างความหวาดกลัวไปตามๆกัน แต่อะไรล่ะคือความจริง? หลายคนไม่เชื่ออนาคตและมักกล่าวว่า จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด หากปัจจุบันดี อนาคตก็ย่อมดีไปด้วย หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่กำลังมีชื่อเสียงขณะนี้คือ ดร.ก้องภพ อยู่เย็น วิศวกรชาวไทยซึ่งมีอายุน้อยที่สุดที่ทำงานอยู่ในองค์การนาซ่าในปัจจุบัน ท่านเรียนจบปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าจากจุฬาฯ (เกียรตินิยมอันดับ2) และเรียนต่อทางด้านวิศวกรรมไฟฟ้าระดับปริญญาโทและเอกจากสหรัฐฯ ในปัจจุบันท่านทำงานอยู่องค์การนาซ่าตำแหน่งวิศวกรอาวุโสด้วยวัยเพียง 29 ปี องค์การนาซ่ามักให้ท่านเป็นตัวแทนไปเข้าร่วมประชุมระดับโลกเสมอๆในสายงานของท่าน ท่านเคยมาบรรยายที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ประเทศไทยเมื่อต้นปี 2553 ที่ผ่านมาและเคยมีผลงานวิจัยรวมทั้งการสร้างอุปกรณ์ช่วยเหลือคนพิการจนมีชื่อเสียงโด่งดังในประเทศ เมื่อครั้งเรียนระดับปริญญาตรีอยู่จุฬาฯ เนื่องจากชีวิตส่วนใหญ่ของท่านอาศัยอยู่ต่างประเทศ คนไทยจึงไม่ค่อยรู้จักท่านมากนัก ท่านมาเป็นที่รู้จักอีกครั้งเมื่อคุณสรยุทธ์ พิธีกรชื่อดัง นำคำคาดการณ์ของท่านร่วมกับ ดร.สมิทธ อดีตผอ.ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติเกี่ยวกับภัยพิบัติโลกมาออกรายการเรื่องเด่นเย็นนี้ทางช่อง 3 เมื่อต้นเดือน พฤษภาคม 2553 ที่ผ่านมาคำทำนายของท่านมีดังนี้...

วันที่ 12 มิถุนายน 2553 จะเกิดแผ่นดินไหว(ไม่ระบุสถานที่) เวลา 18.30 น. (เวลาในประเทศไทย)และ วันที่ 13 มิถุนายน เวลา 06.00 น.
8 กรกฎาคม 2553 จะเกิดแผ่นดินไหว(ไม่ระบุสถานที่) ขนาด 7-8 ริกเตอร์ เวลา 05.00 น.
9 กันยายน 2553 จะเกิดแผ่นดินไหว(ไม่ระบุสถานที่) ขนาด 7.5-8.5 ริกเตอร์ เวลา 01.00 น.  
21 กันยายน 2553 จะเกิดแผ่นดินไหว(ไม่ระบุสถานที่) ขนาด 7-7.5 ริกเตอร์ เวลา 17.00 น.
7 ตุลาคม 2553 จะเกิดแผ่นดินไหว(ไม่ระบุสถานที่) ขนาด 8-9 ริกเตอร์ เวลา 11.00 น.

และจากนั้นแผ่นดินไหวจะเกิดบ่อยขึ้นและเพิ่มความรุนแรงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆจนถึงปี ค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556 ซึ่งอาจเป็นปีจุดจบของโลก?)

                 พื้นฐานความรู้ของ ดร.ก้องภพ ที่เป็นวิศวกรไฟฟ้าเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งที่มองไม่เห็นยากแก่การคำนวณและจับต้องได้ ประกอบกับการทำงานด้านที่เกี่ยวกับคลื่น(ไมโคเวฟ)และทำงานอยู่องค์การระดับโลกอย่างนาซ่า ทำให้ท่านมีความรู้อย่างกว้างขวางเกี่ยวกับจักรวาลและระบบสุริยะจักรวาล รวมทั้งดวงดาวต่างๆในแง่วิทยาศาสตร์ การค้นพบใหม่ของท่านที่เกิดจากการสังเกตเหตุการณ์การเรียงตัวของดวงดาวต่างๆในระบบสุริยะจักรวาลของเรา เช่น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวพุธ ดาวพฤหัส ดาวอังคาร ดาวศุกร์ ดาวเสาร์และโลก เป็นต้น จะส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ต่างๆขึ้นบนโลก โดยเฉพาะ แผ่นดินไหว ปกติดวงอาทิตย์จะส่งคลื่นพลังงานมาสู่โลกเป็นระยะๆในรูปของรังสีคอสมิกซึ่งมีผลต่อดีเอ็นเอของสิ่งมีชีวิตจากการประทุของจุดดับบนดวงอาทิตย์(เรียกว่าจุดดับ แท้จริงไม่ได้ดับมืดจริงๆ แต่เป็นจุดที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดอื่นๆเท่านั้น) เมื่อมันมาปะทะเข้ากับอนุภาคต่างๆในชั้นบรรยากาศของโลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นรังสีแกมม่า ปรากฏการณ์ที่ดวงอาทิตย์ส่งคลื่นรังสีคอสมิกมาสู่โลกรู้จักกันในชื่อ กระแสลมสุริยะ หรือ พายุสุริยะ แต่จากข้อมูลในอดีตที่ผ่านมาที่มีการบันทึกเอาไว้ได้พบว่า พายุสุริยะสร้างความเสียหายต่อโลกเพียงแค่ทำให้ไฟฟ้าดับทั้งเมืองจากการที่หม้อแปลงเสียหาย เช่น เคยเกิดที่แคนนาดา อาเจนติน่า ในอดีต นอกจากนั้นยังทำให้ระบบการสื่อสารล้มเหลว เนื่องจากโลกมีระบบป้องกันภัยอยู่แล้วนั่นคือขั้วแม่เหล็กของโลกทั้งเหนือและใต้จะทำหน้าที่เป็นสนามแม่เหล็กเหนี่ยวนำพายุสุริยะจากดวงอาทิตย์ให้หักเหไปตกบริเวณขั้วโลกและทำให้เกิดปรากฏการณ์แสงสวยงามบริเวณขั้วโลกที่รู้จักกันในชื่อ แสงออโรล่าหรือ แสงเหนือ แสงใต้ นั่นเอง แต่ยังไม่มีใครศึกษาการเรียงตัวของดวงดาวในขณะที่มีการเกิดพายุสุริยะ ดร.ก้องพบเป็นคนแรกๆที่พยายามตั้งข้อสังเกตว่า การเรียงตัวกันของดวงดาวจะเหนี่ยวนำให้พายุสุริยะมีความรุนแรงยิ่งขึ้น ถ้าหากในการเรียงตัวครั้งนั้นมีโลกของเราเข้าไปอยู่ด้วย เงื่อนไขก็คือว่าดาวทุกดวงที่มาเรียงตัวกันจะต้องมีสนามแม่เหล็กที่ขั้วโลกของตัวเอง (ซึ่งส่วนใหญ่ก็มียกเว้นดาวบางดวงเท่านั้น) มันจะสามารถเหนี่ยวนำรังสีจากดวงอาทิตย์เข้ามาอย่างรุนแรง คล้ายเป็นแรงเสริม(เหมือนสายล่อฟ้า) และก่อให้เกิดการเคลื่อนตัวของชั้นเปลือกโลกหรือเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงขึ้นได้ในจุดที่เกิดการปะทะ (เป็นลมพายุสุริยะที่มีความเข้มข้นมากจนสามารถเอาชนะแรงเหนี่ยวนำจากสนามแม่เหล็กของโลกได้ ไม่ใช่แบบปกติที่เกิดขึ้นเป็นประจำ) นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยังคัดค้านปรากฏการณ์ที่ยังไม่สามารถหาข้อพิสูจน์นี้ได้ แม้แต่ ดร.ก้องภพ เองก็ยังไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้อย่างชัดเจน เพียงตั้งไว้เป็นข้อสังเกตเท่านั้น ดร.ก้องภพ ใช้การเก็บสถิติจากการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ๆที่เคยเกิดขึ้นบนโลกย้อนหลังกลับไปพบว่ามีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างเห็นได้ชัด ระหว่างการเกิดแผ่นดินไหว การเรียงตัวของดวงดาว และพลังงานจากดวงอาทิตย์ ไม่เว้นแม้แต่เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 9 ริกเตอร์ที่เกาะสุมาตรา อินโดนีเซีย เมื่อปลายปี พ.ศ. 2547 ซึ่งเกิดคลื่นยักษ์สึนามิถล่มภาคใต้ของไทยและประเทศใกล้เคียงทำให้คนนับแสนชีวิตต้องตายลง รวมทั้งการเกิดแผ่นดินไหวหลายครั้งที่อินโดนีเซียเมื่อปี พ.ศ. 2552 และล่าสุดคนที่เคยเข้าไปฟังการบรรยายของ ดร.ก้องภพ เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2553 เมื่อต้นปี คงจะจดจำกันได้ว่า ในการบรรยายซึ่งมี ดร.สมิทธ ธรรมสโรช นั่งฟังอยู่ด้วย ท่านบอกว่าในปัจจุบันจะเกิดการเรียงตัวของดวงดาวขึ้นอีกครั้งหนึ่งประมาณวันที่ 12-13 มกราคมนี้ ส่วนใหญ่ผู้ฟังก็มักจะลืมกันไปแล้ว ถ้าไม่ได้ย้อนกลับไปดูเทปย้อนหลังอีกครั้ง เพราะหลังจากนั้นหนึ่งวันก็เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งประวัติศาสตร์ในรอบ 100 ปีขึ้นที่กรุงเปอร์โตแปง ประเทศเฮติ คนตายนับแสนรายอีกครั้งอย่างเหลือเชื่อ นอกจากนั้นท่านยังได้ทำนายการเกิดเหตุแผ่นดินไหวที่ชิลีได้อย่างถูกต้องอีกด้วย ท่านระบุเพียงวันที่ เวลา และขนาดแรงสั่นสะเทือนเท่านั้น ไม่ได้ระบุสถานที่ ท่านให้เหตุผลว่า มันขึ้นอยู่กับการหมุนของโลกว่าจุดไหนจะหันเข้าหาทิศทางของรังสีที่ปล่อยออกมาจากดวงอาทิตย์พอดี ณ เวลา นั้น นอกจากนั้นยังอาจมีแรงเสริมจากรังสีที่เคลื่อนมาจากดวงอาทิตย์จากนอกระบบสุริยะจักรวาลของเราอันไกลโพ้นซึ่งมีจำนวนนับ 10 ดวงอีกด้วย เหมือนกับการคาดการณ์ เหตุแผ่นดินไหววันที่ 12 มิถุนายน ที่จะเกิดการเรียงตัวของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ โลก และดางดวงอื่นอีก วันนั้นจะเกิดเหตุการณ์สุริยุปราคาด้วย ซึ่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บ้านเราก็มีโอกาสโดนเข้าอย่างจังๆเช่นกัน ดร.สมิทธ กล่าวกับคุณสรยุทธ์ว่า ขอให้ประชาชนอย่าพึ่งตื่นตระหนกไปให้รอดูวันที่ 12 มิถุนายนนี้ก่อน ถ้าแผ่นดินไหวจริงๆ การคาดการณ์ที่เหลือของ ดร.ก้องภพ ก็จำต้องระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น ดร.สมิทธ ยังกล่าวอีกว่า ขณะนี้ทุ่นตรวจวัดสึนามิในทะเลทั้งในฝั่งอันดามันและอ่าวไทยยังไม่ได้ติดตั้งให้ครบ เพราะมีแผนการติดตั้งในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งอาจจะสายจนเกินไป ส่วนที่ติดตั้งไปแล้วบางส่วนในฝั่งทะเลอันดามันส่วนใหญ่ถ่านหมดยังไม่มีใครไปเปลี่ยน สิ่งที่ทำได้คือ หากเกิดแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิในระหว่างนี้ขึ้น ก็ให้ประชาชนตามแนวชายฝั่งหนีเอาตัวรอดกันเองก่อน เรียกว่า หนีแบบตัวใครตัวมัน เพราะไม่มีใครเตือนใครได้เวลานี้ ดร.สมิทธ ยังบอกอีกว่าถ้าเกิดคลื่นยักษ์สึนามิ จริงๆ คาดว่าคนไทยตามแนวชายฝั่งจะตายมากกว่าในอดีตเพราะจะรุนแรงยิ่งกว่าอดีตมากนัก เนื่องจากแนวรอยเรื่อยขยับเข้าใกล้ชายฝั่งประเทศไทยมากขึ้นคือประมาณ 300-400 กิโลเมตร ภายหลังจากเกิดกระแสการคาดการณ์การเกิดแผ่นดินไหวในประเทศไทยจากข้อมูลของดร.ก้องภพ ส่งผลให้คนไทยจำนวนมากเกิดความหวาดวิตกต่อเหตุการณ์ที่จะเกิดในเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้ ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล ผู้ทรงคุณวุฒิด้านธรณีวิทยา ได้ออกมาค้านว่า เป็นเรื่องยากที่จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่บริเวณเกาะสุมาตราเพราะพลังงานที่เคยสะสมมานับร้อยปีในบริเวณดังกล่าวได้ถูกปลดปล่อยไปแล้วจากการเกิดแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 รวมทั้งการเกิดแผ่นดินไหวในปี 2552 และต้นปี 2553 บริเวณเกาะสุมาตราที่ผ่านมา อีกอย่างแผ่นรอยเลื่อนดังกล่าวอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของเกาะสุมาตรา หากเกิดแผ่นดินไหวจริงจะทำให้แนวเกิดคลื่นยักษ์สึนามิถูกบดบังจากลักษณะทางภูมิประเทศดังกล่าว คลื่นจึงไม่สามารถเดินทางมาถึงประเทศไทยได้และยังกล่าวว่าลมสุริยะอย่างมากก็ทำให้ไฟฟ้าดับและการสื่อสารขัดข้อง ไม่สามารถก่อให้เกิดการเคลื่อนตัวของชั้นเปลือกโลกได้ นอกจากนั้นยังมีดร.อานนท์ และนักวิชาการบางส่วนออกมาคัดค้านทฤษฎีนี้ของ ดร.ก้องภพ อีกด้วย...
	
                อย่างไรก็ตาม ในอดีตที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถคาดการณ์การเกิดแผ่นดินไหวได้ ถ้าทฤษฎีของดร.ก้องภพ ถูกต้อง ก็จะนับเป็นทฤษฎีใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลก และคนไทยก็จะสร้างชื่อเสียงโด่งดังอีกครั้ง ในขณะที่ความวิตกกังวลต่อการเกิดแผ่นดินไหวของประชาชนทั่วโลกก็คงมีมากขึ้นจนถึงปี 2013 เป็นแน่ ซึ่งเชื่อว่าโลกจะคงยังไม่แตก แต่โลกอาจจะไม่มีมนุษย์อาศัยอีกต่อไปหากไม่สามารถปรับตัวได้ทัน ในขณะที่บ้านเราความขัดแย้งทางการเมืองยังคงรุนแรงอยู่นี้ เดือนมิถุนายนจะเป็นเดือนที่ย่างเข้าสู่ฤดูฝน ขั้วโลกเหนือจะเป็นฤดูร้อน ขณะที่ขั้วโลกใต้เป็นฤดูหนาว ฝนเริ่มตกลงมาในบางวัน เดือนมิถุนายนมีความสำคัญหลายอย่าง เราต่างทราบกันดีว่า โลกไม่อยู่นิ่งๆ แต่มีการเคลื่อนที่สำคัญ 2 ประการ คือ หมุนรอบตัวเองรอบละ 1 วัน และเคลื่อนรอบดวงอาทิตย์รอบละ 1 ปี โดยพาดวงจันทร์ซึ่งเคลื่อนที่รอบโลกรอบละ 1 เดือนไปด้วย เนื่องจากแกนโลกเอียงทำมุม 23.5 องศากับแนวดิ่ง ทำให้ช่วงระยะเวลาหนึ่งที่บริเวณซีกโลกเหนือหันเข้าหาดวงอาทิตย์และซีกโลกใต้หันห่างจากดวงอาทิตย์ ส่วนอีกช่วงเวลาหนึ่งของปี ลักษณะจะกลับตรงข้ามตำแหน่งที่ขั้วโลกเหนือหันเข้าหาดวงอาทิตย์ ตรงกับ วันที่ 21 มิถุนายน ในวันนี้ประเทศไทยจะเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นเฉียงไปทางเหนือจากทิศตะวันออกมากที่สุด และตกไปทางทิศตะวันตกเฉียงไปทางเหนือ 23.5 องศา ทำให้ดวงอาทิตย์อยู่บนฟ้านานที่สุด วันที่ 21 มิถุนายนจึงเป็นวันที่กลางวันยาวที่สุด ดวงอาทิตย์จะขึ้นเร็วและตกช้าทำให้สิ้นเปลืองไฟฟ้าเพื่อแสงสว่างน้อยกว่าวันอื่นๆ ที่โลกจะหันด้านข้างเข้าหาดวงอาทิตย์ในเดือนกันยายน ซึ่งตรงกับวันที่ 21 กันยายน ประเทศไทยในวันนี้จะเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นตรงจุดทางทิศตะวันออกพอดี และตกตรงจุดทางทิศตะวันตกพอดี เส้นทางขึ้นและตกของดวงอาทิตย์ในวันนี้ เรียกว่า เส้นศูนย์สูตรฟ้า นอกจากนี้ ละติจูดหรือตำแหน่งบนผิวโลกยังเป็นตัวแปรที่ทำให้กลางวันยาวกว่ากลางคืน สรุปได้ว่าเมื่อประเทศไทยเคลื่อนมาอยู่ตำแหน่งนี้ ในวันที่ 21 กันยายน ประเทศไทยจะมีเวลากลางวันยาวกว่ากลางคืน 7 นาที ตำแหน่งที่โลกหันขั้วโลกเหนือออกจากดวงอาทิตย์ ตรงกับวันที่ 21 ธันวาคม ประเทศไทยในวันนี้จะเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออกเฉียงไปทางใต้มากที่สุด คือ เฉียงไปทางใต้ 23.5 องศา และตกทางทิศตะวันตกเฉียงไปทางใต้ 23.5 องศา ดวงอาทิตย์ขึ้นสายและตกเร็ว กลางวันจึงสั้นขณะที่กลางคืนจะยาวทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายสำหรับไฟฟ้าเพื่อแสงสว่างมากกว่าเดือนอื่นๆ นอกจากกลางวันจะสั้นแล้ว แสงแดดที่ส่องมายังประเทศในซีกโลกเหนือยังเฉียงทั้งวัน ทำให้ความร้อนแผ่กระจายเป็นบริเวณกว้าง อุณหภูมิต่อพื้นที่จึงต่ำ ตำแหน่งที่โลกหันด้านข้างเข้าหาดวงอาทิตย์ในเดือนมีนาคมตรงกับวันที่ 21 มีนาคม เส้นแบ่งกลางวันและกลางคืนจะผ่านทั้งขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ กลางวันและกลางคืนจะยาวเท่ากันทั่วโลก ทำให้ดวงอาทิตย์ขึ้นตรงจุดทิศตะวันออกพอดี และตกตรงจุดทิศตะวันตกพอดี แต่เพราะดวงอาทิตย์มีขนาดใหญ่และการหักเหของแสงเนื่องจากบรรยากาศของโลกรวมทั้งละติจูดที่แตกต่างกัน จึงทำให้กลางวันยาวกว่ากลางคืนทั่วโลก การเปลี่ยนแปลงสูงสุดมีที่ขั้วโลก คือในบริเวณอาร์กติกและแอนตาร์กติก เพราะเมื่อขั้วโลกหนึ่งหันเข้าหาดวงอาทิตย์ บริเวณภายในประมาณ 2,400 กิโลเมตรจากขั้วโลก จะเป็นเวลากลางวันตลอดเวลาประมาณ 3 เดือน บริเวณของโลกที่ดวงอาทิตย์ไม่ตกเป็นเวลานานเช่นนี้เรียกว่า แผ่นดินแห่งดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงคืน บริเวณเดียวกันนี้ในฤดูหนาวจะเป็นตรงข้ามกล่าวคือ มีช่วงเวลา 3 เดือนที่คงมืดอยู่ตลอดเวลา นั่นคือ กลางคืนยาว 3 เดือน (ธนวัฒน์,2550)

                นายโสรัจจะ นวลอยู่ โหราจารย์ชื่อดังของเมืองไทย เจ้าของฉายา "นอสตราดามุสเมืองไทย ได้พยากรณ์ว่า
.
...ปี 2553 ดวงดาวยังคงเดินในสภาพไม่ปกติ เป็นปีเสือดุสุดหฤโหดมหาวิปโยคอย่างแท้จริง
"พระเสาร์ยังสถิตอยู่ในราศีกันย์ตลอดทั้งปี และพระราหูสถิตราศีธนูทั้งปี เช่นกัน"
"ดาวอังคาร ดาวสีเลือดย้ายเข้าสู่ราศีตุล ในวันที่ 4 กันยายน 2553 เล็งลัคนาเมือง"
"26 เมษายน 2553 ดาวพฤหัสบดี อันเป็นดาวฝ่ายคุณธรรม ฝ่ายศาสนาและเป็นดาวแห่งความดีเดินเข้าสู่ราศีมีน เป็นวินาศกับดวงเมือง สถิตร่วมกับดาวพุธและมฤตยู 
ปีนี้ดาวเสาร์เล็งกับมฤตยู ซึ่งเป็นบาปเคราะห์ล้วนร้ายแรงทั้งสิ้น เป็นสิ่งน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง ในการเดินของบาปเคราะห์ล้วนร้ายแรงทั้งสิ้น เป็นสิ่งน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง ในการเดินของบาปเคราะห์ใหญ่ทั้งสองดวงพร้อมด้วยอังคารโยคหลัง อนึ่งตั้งแต่ต้นปีถึงเดือนเมษายน 2553 ดาวอังคารบาปเคราะห์ที่รุนแรงแบบทะลุทะลวงได้เข้าสู่ราศีกรกฎ ทำมุมฉากหรือมุมข้อพับกับราศีเมษ"

 @ เกิดปฏิวัติรัฐประหาร" ครั้งใหญ่อีกครั้ง
 เมื่อร่วมผนึกกำลังกันเข้าตรึงลัคนาราศีเมษกรุงสยามเช่นนี้ ทำให้เห็นชัดว่าถึงคราวชะตาเมืองกำลังตกต่ำ การแตกแยกโกรธแค้นชิงชังของผู้คน เสนาบดีมีเหตุอาเพศต่างๆ เกิดการจลาจล รัฐประหาร ยึดอำนาจ คว่ำกระดาน บุคคลในเครื่องแบบแตกแยกแบ่งเป็นสองฝ่าย เกิดสงครามกลางเมือง ซึ่งเลือดไทยต้องไหลรินนองแผ่นดิน เป็นหนทางไปสู่ "การปฏิวัติรัฐประหาร" ครั้งใหญ่อีกครั้ง

 เป็นปีแห่งการทุกข์ทรมานของนักการเมืองที่ต้องก้มหน้าก้มตารับกรรมที่ก่อไว้ ถูกประจานตีแผ่ความเลวร้าย ชั่วช้าสามานย์ ที่แอบแฝงซ่อนเร้นต่อผู้คนที่คอยตักตวงผลประโยชน์ของบ้านเมืองมาเป็นเวลาช้านาน จะต้องถูกคิดบัญชีจากวัฏจักรของดวงดาว ซึ่งส่อถึงความล่มสบายของอาณาจักร เกรงกลัวหรือไม่ก้แล้วแต่ท่านทั้งหลาย เพราะจุดจบของประเทศจะเกิดขึ้นโดยน้ำมือของนักการเมืองชั่ว และบุคคลที่เข้ามาบริหารประเทศอย่างไร้คุณธรรมอย่างทุกวันนี้ แต่ถ้าจะให้ผ่านจุดนั้นไปให้ได้และจะไปให้ถึงเวลาฟ้าใสของประเทศ 

 ตามดวงดาวบ่งบอกว่าอาจจะต้องใช้เวลาให้ผ่านช่วงเคราะห์กรรมไปอีกสักระยะหนึ่ง

 แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ก่อกรรมไม่ดี จะถูกลงโทษจากสรวงสวรรค์ จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดูแลประเทศเพราะสยามประเทศนั้นไม่มีอะไรที่จะมาทำลายร้างให้สูญสิ้นไปได้

 ซึ่งที่ทำนายมานี้ไม่มีอคติต่อใครๆ ทั้งสิ้น หรือสาปแช่งบุคคลใด แต่ไปเป็นไปตามดวงดาวลิขิตจริงๆ สิ่งที่จะลบร้างคำทำนายให้เบาลง ทุกๆ คนต้องสร้างแต่ความดีถือศีล 5 ทำจากใจจริงไม่ใช่เฉพาะภายนอก หรือชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น

 พรรคการเมืองทั้งเล็กและใหญ่ทั้งหลาย ซึ่งเป็นอยู่ในปัจจุบันถึงกาลอวสาน สิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันจะแตกสลายไปเองตามอิทธิพลของดวงดาว และจะเกิดสิ่งใหม่หรือมิติใหม่ซึ่งพัฒนาขึ้นมาเองยากแก่การคาดการณ์ได้

 ดาวมฤตยูเจ้าแห่งการปฏิรูปเปลี่ยนแปลง ได้เดินเข้าทำมุมตรีโกณกับราศีมิถุน ประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย และจะทำมุมอยู่อย่างนั้นเกือบถึง 7 ปี ระหว่างนี้จะมีบาปเคราะห์มาเข้าร่วมมุม ทั้งมุมกากบาท ทั้งมุมสามเหลี่ยม บ่งถึงไทยเรายังมีรัฐบาลที่ดันทุรังและไม่ฉลาดไม่เห็นการณ์ไกล 

 ความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ ย่อมจะกระทบกระเทือนต่อคุณภาพของการพัฒนาประชาธิปไตย และนำมาซึ่งความขัดแย้งทางสังคม 

 เกิดจลาจลในกรุงเทพฯ ทุกหมู่เหล่าแตกแยกเคียดแค้น ปิดร้านค้ายึดเป็นที่มั่นยิงต่อสู้กัน ทั่วทุกแถบในกรุงเทพฯ มีการขว้างระเบิดสนั่นเมืองไปหลายวัน จะก่อความยุ่งยากทีละน้อย และค่อยๆ รุนแรงขึ้นจนระงับไม่อยู่ ผู้มีอำนาจหรือคนสำคัญบางคนจักหมดอำนาจวาสนา 

 ข้อสังเกตเหตุการณ์รับกันนองเลือดครั้งนี้เกิดที่กรุงเทพฯ เมื่อดาวอังคารแห่งสงครามโคจรเข้าทับลัคนาแห่งดวงเมืองประชาธิปไตย จึงรบกันนองเลือดระหว่างผู้มีอำนาจกับประชาชน ครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่ตั้งกรุงเทพฯ มา

 อาจต้องใช้กำลังทหารเข้าแก้ปัญหา เป็นหนทางไปสู่ "การปฏิวัติรัฐประหาร" ต้องรบราฆ่าฟันกัน สูญเสียชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก ตอนต้นปีบุคคลสำคัญและมีชื่อเสียงของประเทศจะถึงแก่กรรมจากการลอบทำร้าย ผู้คนระส่ำระสาย

   @  ประเทศไทยกำลังคอยวีรบุรุษผู้กล้าหาญ

 ภายใต้อิทธิฤทธิ์ของพระเคราะห์ แห่งสุริยะระบบ จึงไม่มีอะไรไม่ว่าสิ่งอันมีชีวิตหรือสิ่งอันเป็นนามธรรม กับสิ่งอันอุบัติขึ้นจากการก่อตัวของเหตุการณ์หนึ่งๆ จะต้องถูกครอบงำด้วยพระเคราะห์ทั้งสิ้น 

 เราคนไทยกำลังดิ้นรน เพื่อการคงอยู่ อนาคตนั้นก็ย่อมจะเป็นไปตามอำนาจของดวงดาวและกาลเวลา

 พยายามดื้อรั้นฝืนดวงดาว เอาแต่ใจตนเอง โดยถือประเทศชาติเป็นสนามทดลองความดื้อของตนเอง ประเทศไทยกำลังคอยวีรบุรุษผู้กล้าหาญ ผู้เห็นประโยชน์แก่ประเทศชาติมาแก้ไขสถานการณ์นี้

 บ้านเมืองเมื่อไรจะสงบเสียที เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า ความมืดมนเหล่านี้จะเบาลง ซึ่งต้องใช้เวลายาวนานมาก มันเกี่ยวพันกับภูมิภาค เกี่ยวพันกับดวงชะตาของโลก เพียงแต่ขอตอบว่ายังไม่มีวันสงบ อีกหลายปีจึงจะเบาบางลง

 กรุงเทพฯ บางส่วนเริ่มถูกน้ำทะเลท่วมเข้ามาถึง อาจจะจมน้ำหายไปและจะเป็นเช่นนี้ต่อเนื่องไปอีกหลายปี และอาจจะจมหายไปจากแผนที่โลกหรือแผนที่ประเทศไทย อาจจะต้องเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นภาครับต้องตระหนักถึงเรื่องนี้ ควรหาทางป้องกันไว้ก่อน

 เดือนเมษายนเป็นที่สังเกตว่าดาวพระพฤหัสบดี แห่งไทยสยามกำลังโคจรร่วมกับพระพุธและดาวมฤตยูเป็นสัญญาณบ่งถึงการแทรกแซง ในราศีมีนเป็นวินาศกับลัคนาเมือง จะมีเหตุยุ่งยากเกิดขึ้น ผู้รักษาอำนาจการปกครองจะต้องระมัดระวัง อย่าได้หลวมตัว ตัดรอนอำนาจพิษสงของตนเองตามคำเรียกร้องต่างๆ ซึ่งวางกลลวง ในการแสวงหาลู่ทาง ให้ฝ่ายของพวกพ้องตนเองได้มีโอกาสเอาสถานการณ์บังหน้า ก่อเหตุวุ่นวายขึ้น 

ขอย้ำว่าในปีนี้เหตุการณ์ไม่สู่สงบ จำเป็นต้องมีความรักและสามัคคีต่อกันและกันและมีเสถียรภาพด้วย 

  @  ปีแห่งการก่อการร้าย
    ส่วนปัญหาทางภาคใต้ อิทธิพลของดาวเสาร์และดาวอังคารทำให้ยังเป็นปีแห่งการก่อการร้าย และการก่อวินาศกรรมทั้งปี เหมือนปี 2552 ที่แล้วมาแต่ยังแก้ไม่ตก จะทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมหาศาล อาจเสียอำนาจทางภาคใต้ของประเทศประกาสแบ่งแยกเดินแดนแล้วทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างขาดลอยไป เนื่องจากดาวอังคารคงเดินแบบวิกล เพราะดวงผู้นำประเทศ ทำให้การก่อการร้ายปานกลายเป็นสงครามระหว่างภาค ขยายวงกว้าง ออกไปทางภาคใต้การฆ่าผู้บริสุทธิ์รายวันยังคงดำเนินต่อไป มิมีอะไรมาหยุดยั้งได้ ผู้ก่อการร้ายกระทำครั้งนี้เป็นกลุ่ม ศาสนาถูกนำเข้ามาเกี่ยวข้อง ยังเอาโรงเรียน สถานที่ราชการ วัดวาอาราม ใช้อาวุธที่มีอานุภาพรุนแรงระเบิดพลีชีพ ประหนึ่งเป็นสงคราม จนทำให้องค์กรสหประชาชาติยื่นมือเข้ามา 

       ประเทศไทยจึงเป็นที่กล่าวขวัญในทางที่น่าสะพรึงกลัวไปทั่วโลก สื่อต่างประเทศมาทำข่าว ชาวต่างชาติไม่กล้าเดินทางมาท่องเที่ยว ผู้คนบริสุทธิ์ ทั้งพ่อค้า นักธุรกิจ นักปกครอง เด็กและสตรีต้องอพยพหนีไปยังที่ปลอดภัยกว่าในดินแดนแห่งใหม่ ผู้ที่จะมาชำระสะสางความมืดมน ความเคลือบแคลงให้กระจ่างออกมา ทุกคนทุกวันนี้ก็รู้กันดีอยู่ว่าการกระทำอันอุกอาจครั้งนี้ ย่อมจะต้องใช้กำลังผู้คนจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ฝ่ายคุ้มครองบ้านเมือง ย่อมจะไม่หย่อนสมรรถภาพถึงขนาดไม่รู้เบาะแสอะไรเลย เพียงแต่ว่าความจริงบางอย่างเปิดเผยออกมา จะต้องมีจังหวะเวลาอันสมควรด้วย ย่อมกระทบกระเทือนต่ออะไรมากมาย รวมทั้งสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศกับบ้านใกล้เรือนเคียง 

 เนื่องจากในกลุ่มชาติอาหรับผู้เป็นเจ้าของน้ำมันส่วนใหญ่ของโลก ยังมีปัญหาข้อพิพาทและรบราฆ่าฟันกันยังไม่จบสิ้น ยังคุกคามความสงบสุขของประชากรโลกต้องเดือดร้อนยิ่งขึ้นไปกว่าปีที่แล้วเพราะอาจขาดแคลนน้ำมัน ซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ ได้รวมหัวกันขึ้นราคาน้ำมันโดยไม่หยุดยั้ง บางช่วงก็ใช้น้ำมันเป็นเครื่องต่อรองกับประเทศมหาอำนาจทางตะวันตก ส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำลง ทำให้ข้าวของแพง ผู้คนลำบากไปทั่ว

 ส่วนในบ้านเรานอกจากน้ำมันเชื้อเพลิงจะขึ้นราคาไม่หยุดแล้ว แก๊สหุงต้มก็ขึ้นราคาอย่างหนักเช่นกัน สร้างความปั่นป่วนเดือดร้อน 

    @  การปลุกระดมม็อบใดๆ ควรละเว้น

 อีกนัยหนึ่งปี 2553 นี้ เมื่อว่ากันในแง่โหราศาสตร์ฮินดูก็เห็นว่า การวู่วามใด ๆ รังแต่จะทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ การปลุกระดมม็อบใดๆ ควรละเว้น บ่งถึงว่าถ้าดื้อรั้นจะเอาแต่ฝ่ายตนท่าเดียวโดยมิได้ผ่อนปรนใดๆ บ้านเมืองก็คงฉิบหายและจะเป็นการปลุกให้ผู้ถืออาวุธทนไม่ไหวคิดเข้ามาแก้ไขสถานการณ์อันไม่สงบ มันจะไปกันใหญ่ นอกจากทุพภิกขภัยจะเล่นงานเอาอย่างอ่วมอรทัยแล้ว น้ำผึ้งหยดเดียวก็จักบันดาลให้เกิดอะไรต่ออะไรที่เลวร้ายอย่างใหย่หลวงได้

 ผู้มีอำนาจวาสนา อย่าได้นิ่งนอนใจ ระวังสุขภาพ ความยุ่งยาก ความเดือดร้อนอย่างรุนแรง จักสำแดงโทษ ผู้เป็นใหญ่ ผู้เป็นหลักต่างๆ จะประมาทต่อสถานการณ์ใดๆ ไม่ได้ทั้งสิ้น ระวังกว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ อย่าวางใจในสิ่งที่ตนคิดว่าตัดรากถอนโคนแล้วคงไม่มีเขี้ยวเล็บ ประวัติศาสตร์ที่ยุ่งยากมาเป็นร้อยเป็นพันปี สอนไว้ได้ดีว่า ในโลกนี้หามีความเที่ยงแท้อะไรไม่ 

 ความผันผวนยุ่งยาก เป็นการแสดงให้เห็นว่าสิ่งต่างๆ ยังคงดำเนินสานต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดยั้ง และโดยทั่วไปสภาวะในประเทศเปรียบเสมือนน้ำเดือดพล่านบนหม้อที่มีเชื้อไฟข้างใต้โหมอย่างรุนแรง ประชาชนพลเมืองอาจจะประสบปัญหาที่ไม่เคยประสบมาก่อน คือ คนว่างงานจำนวนมาก มีการเดินขบวน วุ่นวาย ต่างๆ นานา และอาจถูกปราบปรามจนต้องสูญเสียชีวิตไปมิใช่น้อย มีสงครามเบ็ดเสร็จในแต่ละท้องที่ผู้คนจะตายหมู่กันมาก 

   @ปีแห่งความหายนะทางเศรษฐกิจถึงขั้นล้มละลาย 

 เศรษฐกิจภายในประเทศยังไม่สามารถแก้ไขได้พร้อมกับเศรษฐกิจทั่วโลกก็ประสบปัญหาเศรษฐกิจเช่นกัน ประชาชนคนไทยเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ยิ่งกว่าปีก่อน เป็นปีแห่งความหายนะทางเศรษฐกิจถึงขั้นล้มละลาย ธนาคารของรัฐไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจฟื้นขึ้นมาได้ ธนาคารทั้งเล็กและใหญ่ปิดตัวลงอย่างสนิท ตลาดหุ้นถูกกระทบอย่างรุนแรง ร่วงหล่นต่ำสุด และปิดตัวเองลง มีคนฆ่าตัวตายเป็นเบือ พลเมืองประสบความยากจนข้นแค้นมากขึ้น แต่องค์ประกอบของรัฐได้ซ้ำเติมประชาชนด้วยการขึ้นค่าสาธารณูปโภคทุกรูปแบบ

 ปี 2553 นี้มีภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างรุนแรงทั้งปัญหาภัยแล้งและอุทกภัยน้ำท่วม ปัญหาภัยแล้งทำให้ขาดแคลน ทางภาคตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนืออย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน สัตว์เลี้ยง และผู้คนเดือดร้อน บางจังหวัดและบางอำเภอดินแตกระแหงไม่สามารถปลูกพืชธัญญาหารได้เลย ทำให้ผู้คนอดอยากแต่ขาดความเหลียวแลเอาใจใส่ของภาครัฐ หลายครอบครัวถึงขั้นขุดรากไม้และดินกินเป็นอาหารเพื่อประทังชีวิตให้รอดไปก่อน 

 เกิดพื้นดินถล่มและทรุดตัวไปทั่วประเทศ ไม่เว้นแม้กระทั่งกรุงเทพมหานคร เราอาจจะต้องสูญเสียแผ่นดินทางภาคใต้ ฝั่งทะเลอันดามัน ตั้งแต่จังหวัดระนองลงมา และจมลงสู่ใต้ทะเลไปทีละน้อย 

 ราวปลายปีแถบชายฝั่งทะเลอันดามันรวมทั้งเกาะภูเก็ต กระบี่ พังงา ถูกคลื่นยักษ์สึนามิพุ่งเข้าถล่มครั้งใหญ่ กวาดผู้คนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติบ้านเรือนลงทะเลจำนวนมาก 

 และยังต้องระวังกับวาตภัย ทำให้เกิดความเสียหายแก่เรือกสวนไร่นามหาศาล เกิดน้ำท่วมใหญ่ทั่วประเทศอีกครั้ง กรุงเทพฯจะจมอยู่ใต้บาดาลเป็นเวลานาน เป็นที่น่าทุกขเวทนายิ่งนัก มีผู้เสียชีวิตมากกว่าครั้งใดๆ ที่ผ่านมา

 เกิดไต้ฝุ่นเข้าถล่มภาคใต้ ที่ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ และสุราษฎร์ธานี ผลเสียหายมาก เป็นมหาวาตภัยเรือประมงจมร่วม 100 ลำ ลูกเรือสูยหายไปเป็นพัน และปลายปีพายุถล่มรอบสองรุนแรงมาก คนตายเรือนพัน จังหวัดชุมพรเสียหายร่วม 100 เปอร์เซ็นต์

 @อาเพศสุดๆ  จะเกิด "หิมะตกในกรุงเทพฯ

 ประเทศไทย ปีขาล 2553 นี้ จะเป็นปีแห่งความอาเพศพิสดารสุดๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยในสยามประเทศจะเกิด "หิมะตกในกรุงเทพฯ" และปริมณฑล คนไทยทั่วประเทศตกตะลึงและพูดกันไปต่างๆ นานา ในความอาถรรพณ์วิปริตผิดธรรมชาติประโคมข่าวไปทั่วโลก เป็นลางร้ายแก่คนกรุงเทพฯ และประชาชนชาวไทย ทั้งภยันตรายจากโรคติดต่อที่ร้ายแรงใหม่ๆ และคร่าชีวิตทั้งเด็ก ผู้หญิง และคนชรา ไปเป็นจำนวนมาก และเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในหลายๆ ด้าน ทั้งวัฒนธรรม-ประเพณีดั้งเดิม และการปกครองการเมืองที่สุดคาดเดา 
  
@ เกิด "เขื่อนยักษ์แตก"
 ที่เคยเกิดรอยร้าวสะสมมานาน ได้พังทลายลง เกิดคลื่นน้ำขนาดมหึมา พุ่งตรงลงสู่เบื้องล่าง เข้าท่วมไร่นา ที่อยู่อาศัย สิ่งก่อสร้างของผู้คน อย่างไม่รู้ตัวมาก่อน ทำให้สูญเสียชีวิตผู้คน สัตว์เลี้ยง และทำลายสิ่งก่อสร้าง รวมถึงพืชผลการเกษตรเสียหายทั้งหมดหลายจังหวัดต่อเนื่องมาถึงกรุงเทพฯ

 น้ำแข็งขั้วโลกละลายอย่างรวดเร็ว ทำให้ระดับน้ำในทะเลสูงขึ้นและมหาสมุทรสูงขึ้น เกิดสภาวะน้ำท่วมใหญ่ บางส่วนของโลกถูกน้ำท่วมใหญ่จมหมายลงไปในทะเล 

 กรุงเทพฯ ไข้หวัดนกจะเข้ามาทำลายล้างชีวิตมนุษย์และสัตว์หรือเป็นเชื้อไข้หวัดนกที่กลายพันธุ์ติดต่อมาถึงคน ทำให้สูญเสียชีวิตมนุษย์มากมายเป็นที่สยดสยองต่อวงการแพทย์ 

 ภูเขาไฟในเกาะสุมาตราระเบิดอย่างรุนแรง มีการปะทุอย่างต่อเนื่องทั้งกลางวันและกลางคืน พ่นแก๊สร้อนขี้เถ้าแผ่กระจายเป็นรัศมีกว้างไกล ทำให้ท้องฟ้ามืดมิดบดบังแสงแดดกลายเป็นกลางคืน 

 เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงที่เกาะสุมาตรา ทำให้เกิดคลื่นสึนามิขนาดใหญ่ในหลายแห่งทั่วโลก ประเทศไทยได้รับผลอย่างจัง จมเรือหลายลำ พุ่งตรงเข้าไปตามชายฝั่งที่อยู่ติดกับทะเลด้านอันดามัน กวาดเอาหมู่บ้านจำนวนมากหายตกทะเลไป ทำให้ประชาชนจำนวนมากที่อาศัยอยู่คาดไม่ถึง ไม่ทันตั้งรับ เสียชีวิตอย่างอนาถ

 เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ กวาดและทำลายสิ่งก่อสร้างและชีวิตคนจำนวนมาก นับเป็นเหตุการณ์วิปโยคต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง คลื่นทะเลยักษ์เริ่มปะทะและโจมตีดินแดนชายฝั่งอย่างต่อเนื่อง ทำให้ได้รับความเสียหายมากมายอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน 

 ความผันผวนต่างๆ จะแผ่ซ่นไปทั่ว ทุกประเทศจะต้องประสบ ดังเช่นญี่ปุ่น เยอรมนี ตะวันออกไกล ส่วนประเทศในยุโรปนั้น จะเข้าสู่สภาวะมิคสัญญีจะประสบภาวะเดือดร้อนและเดือดพล่านโดยทั่วกัน

 นาวาของปวงประเทศทั้งหลายจะต้องเผชิญต่อมหันภัยของมรสุมอีกหลายลูก ประมุขของประเทศต่างๆ ใครจะมีฝีมือ จะเป็นรัฐบุรุษของโลกขนาดไหน ก็ต้องดูความสามารถกันในช่วงปีนี้แหละ 

 ถึงคราวแล้วที่ประเทศไทยจะเข้าสู่สงครามที่เราไม่เคยมีมาเลยกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นเวลาช้านานแล้ว เป็นการรบอย่างแท้จริง อิทธิพลของดาวงดาวคือพระราหูทำมุมเสียกับลัคนาประเทศ ถ้าประเทศไทยยังเฉยเมยไม่ตระหนักต่อปัญหาที่รุมเร้าหนักข้อขึ้นทุกที เสมือนดูหมิ่นสยามประเทศมาโดยตลอด 
    
ดังนั้นปี 2553 จะเกิดการรบนองเลือดถึงขั้นเสียชีวิตผู้คนมาก ถึงจะได้คืนมาซึ่งแผ่นดิน อาจจะถึงขั้นประกาศสงครามกับเพื่อนบ้าน 

   @   ช่วงปลายปี′53 โลกจะเข้าสู่ยุคเข็ญ

 ประเทศในอ่าวเปอร์เซียกับตะวันออกกลาง อยู่ในเกณฑ์ของความอดทนอย่างถึงที่สุดของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย การเคลื่อนกำลังอาวุธอาจจำเป็นต้องกระทำสงครามยุทธนาวีหลีกเลี่ยงไม่ได้

 ดาวของประเทศมหาอำนาจ (สหรัฐ) กับตะวันออกกลาง และอ่าวเปอร์เซียเป็นแนวทางการเคร่งเครียด การขัดแย้ง การวิบัติ ที่ฉายเงารางๆ ให้เห็น 

 ประเทศที่กุมอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก ปีนี้จะมีเหตุไม่ราบรื่นในการสัมพันธ์กับนานาชาติ และภายในประเทศของตนเริ่มมีสัญญาณแห่งการขัดข้อง ความไม่ราบรื่นดังเคย จะมีผลยืดเยื้อที่จะกระทบต่ออนาคตอย่างแน่นอน เงาของความขัดแย้งทางอุดมการณ์ระหว่างประเทศกับความไม่ทัดเทียมกันทางด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ เห็นเหตุให้ชาติที่กำลังรีบเร่งไปสู่อนาคตที่แจ่มจรัสเบื้องหน้า เริ่มเห็นทางตัน มนุษยชาติกำลังเผชิญต่อภาวะความสับสนกับความเดือดร้อนต่อชาติอันยากจนข้นแค้นของประชากรโลกส่วนใหญ่ ความมืดมนกำลังเตรียมปักหลักเป็นแกนนำ บัดนี้โลกจะต้องระวังการหวังพึ่งพิงพลังงานใหม่ๆ เข้ามารับใช้มนุษยชาติในด้านอุตสาหกรรม ในด้านธุรกิจซึ่งกำลังตะบึงไปข้างหน้าอันเต็มไปด้วยหมอกหนาแห่งความไม่แน่ใจ 

 ดาวบาปเคราะห์ใหญ่ จะกระจายกันเข้าตรึง 4 ทวาร 4 มุม โดยมีดาวเสาร์เดินนำหน้า มันเป็นจุดคับขันที่สุดของโลก เป็นปีที่จะเกิดสงครามล้างผลาญโลกครั้งใหญ่ ทำลายล้างกันอย่างย่อยยับยิ่งกว่าครั้งใดๆ ที่เป็นมาในประวัติศาสตร์ของชาติมนุษย์ 

 ช่วงปลายปี′53 โลกจะเข้าสู่ยุคเข็ญ และตะวันออกกลางเริ่มเปิดฉากแข็งกร้าวขึ้น อาวุธปรมาณู อาวุธนิวเคลียร์ อาวุธเคมีร้ายแรง อาวุธมหาประลัย นำมาใช้กัน ทำให้เกิดจุดวิกฤตการณ์ของดลกที่เขม็งเกลียวที่สุดนับตั้งแต่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา และเมื่อนั้น ปีขาลหฤโหดจะสำแดงฤทธิ์ อาณาบริเวณที่จะเกิดจุดฆาตคือ สหรัฐ อังกฤษ อิสราเอล กลุ่มประเทศปาเลสไตน์ และจีน ส่วนสหรัฐแน่นอนละ ฐานทัพนอกประเทศจะถูกทำลายสิ้นไม่มีเหลือ ส่วนประเทศไทยเราจะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามครั้งนี้ด้วย สงครามยืดเยื้อไปถึงปี 2554 จนอาจจะกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ 
	
                เกือบทุกปีในฤดูฝนมักจะเกิดน้ำท่วม ดินถล่ม น้ำป่าไหลหลากในแต่ละภูมิภาคของประเทศ เนื่องจากภาวะโลกร้อนทำให้ฤดูกาลของประเทศไทยแปรปรวนอย่างเห็นได้ชัด เริ่มต้นที่ฤดูฝนของบ้านเรา ซึ่งปกติจะเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนกันยายน ในอดีตฝนจะค่อยๆตกไปเรื่อยๆซึ่งเป็นผลมาจากอิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พาความชื้นจากแถบทะเลอันดามันขึ้นมา ทำให้ฝนตกมากผนวกกับบางช่วงทางทะเลจีนใต้เกิดพายุโซนร้อนพัดผ่านประเทศเวียดนาม ลาว เข้าสู่ประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่จะอ่อนกำลังลงกลายเป็นพายุดีเปรสชั่น โดยเฉพาะช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายน จากอิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และพายุโซนร้อนทำให้ประเทศไทยมีฝนตกตลอดฤดูฝน โดยจะตกแบบค่อยๆตกเฉลี่ยกันไป จึงทำให้ฤดูฝนบ้านเราเย็นสบาย แต่ผลของสภาวะโลกร้อนทำให้รูปแบบการตกของฝนเปลี่ยนแปลงไปมาก พบว่าฝนตกค่อนข้างจะหนักขึ้นและตกมาครั้งละมากๆบางทีตกมาครั้งหนึ่งมากกว่า 20% ของปริมาณที่ตกทั้งปีเสียอีก เมื่อฝนตกแล้วพบว่าจะมีการทิ้งช่วงค่อนข้างยาว ส่งผลให้ฤดูฝนช่วงหลังๆอากาศจะร้อนอบอ้าวมาก ลักษณะฝนที่แปรปรวนไปทำให้ประเทศไทยช่วง 10 ปีหลังมีพิบัติภัยเกิดขึ้นอย่างมากมาย ทั้งแผ่นดินถล่ม น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วม ภัยแล้ง ฤดูฝนในอนาคตจะเป็นอย่างที่ว่าคือ จะมีฝนตกหนักและมาครั้งละมากจนแทบจะกางร่มไม่ได้ แล้วทิ้งช่วงเป็นเวลานาน ทำให้หน้าฝนในอนาคตจะร้อนมาก เป็นลักษณะร้อนอบอ้าว ช่วงไหนมีฝนตกก็ดีหน่อย แต่พอไม่มีฝนตก ก็จะร้อนสุดขั้ว รูปแบบนี้คือฤดูฝนในอนาคต ส่วนฤดูร้อนที่ผ่านมา ปกติหน้าร้อนเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคมและเมษายน เราพบว่าฤดูร้อนมีอากาศร้อนขึ้น และร้อนยาวนาน และนอกจากนั้นยังเกิดพายุฤดูร้อนบ่อยขึ้นรุนแรงยิ่งขึ้นอีกด้วย ส่วนมากเกิดทางภาคเหนือและอีสานซึ่งสร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนไปเป็นจำนวนมาก โดยปีนี้จะเห็นได้อย่างชัดเจน นอกจากภาวะแห้งแล้งจากปรากฏการณ์เอลนิโญที่กระแสน้ำอุ่นเปลี่ยนทิศจนแหล่งน้ำเกิดการระเหยอย่างรวดเร็วจากอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นแล้ว บางวันอุณหภูมิขึ้นไปสูงมากกว่า 40 องศาเซลเซียส สิ่งที่ไม่ค่อยพบเห็นในประเทศไทยก็คือมีคนตายเพราะโรคลมแดดจากคลื่นความร้อนในปีนี้แล้วหลายราย ส่วนในหน้าหนาวจากเดือนพฤศจิกายน ธันวาคม มกราคม อาจล่าไปถึงกุมภาพันธ์ เราพบว่าบางปีอาจมีอากาศหนาวเย็นผิดปกติ เนื่องจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือมีกำลังแรงกว่าเดิม บ้านเราโดยเฉพาะภาคเหนือกับภาคอีสานจะเจอภัยหนาวมากขึ้น ซึ่งอนาคตข้างหน้าอาจมีหิมะตกแถบภูเขาสูงในประเทศไทยได้ ส่วนภาคใต้จะมีน้ำท่วมมากขึ้นในฤดูหนาว ที่ผ่านมาการที่ภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้นกลไกธรรมชาติจะพยายามปรับตัวเพื่อเข้าหาสมดุลใหม่ ทำให้เกิดหิมะตกหนักอย่างไม่เคยมีมาก่อนทั้งในแถบอเมริกาเหนือ ยุโรป และจีน สัตว์เลี้ยงมากมายถูกแช่แข็งในกองหิมะ การจราจรใช้การไม่ได้ สนามบินถูกปิด ในขณะที่อเมริกาใต้เกิดน้ำท่วมหนักและดินถล่ม เช่น อาเจนติน่า เปรู บราซิล เป็นต้น ล้วนมาจากการที่ลมมรสุมที่พัดมาจากทางเหนือทวีความรุนแรงมากขึ้นนั่นเอง....
	
                ภาพรวมของประเทศไทยหากพิจารณาตามเหตุปัจจัยจากหลายๆด้านเข้าประกอบกัน ฤดูฝนที่จะถึงนี้คงไม่พ้นภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับน้ำอย่างแน่นอนเหมือนทุกปีที่ผ่านมาแต่อาจจะรุนแรงกว่า สิ่งที่ควรพิจารณาเข้ามาประกอบด้วยก็คือการเกิดแผ่นดินไหว เพราะมีสัญญาณเตือนมาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาว่ามีการเคลื่อนตัวของชั้นเปลือกโลกไปทั่วโลกถี่ขึ้นอย่างผิดปกติเห็นได้ชัดโดยเฉพาะในโซนที่เรียกว่า วงแหวนไฟ หรือบริเวณโดยรอบมหาสมุทรแปซิฟิก รวมทั้งการระเบิดของภูเขาไฟที่มีให้เห็นบ่อยขึ้นแม้สาเหตุที่แท้จริงจะยังคลุมเคลืออยู่มาก แต่สามารถคาดเดาได้จากในหลายสาเหตุเช่น ภาวะโลกร้อนจากกิจกรรมการบริโภคของมนุษย์ส่งผลให้เกิดการละลายของน้ำแข็งขั้วโลก น้ำแข็งในทะเล ธารน้ำแข็งบนเทือกเขาทั่วโลก ธารน้ำแข็งเหล่านี้มีมวลมหาศาลที่เคยกดทับแผ่นเปลือกโลกเอาไว้ เมื่อมันละลายหายไปจึงก่อให้เกิดการเคลื่อนตัวของชั้นเปลือกโลกส่งพลังงานไปยังส่วนต่างๆที่เชื่อมโยงถึงกันแบบเครือข่ายและการขยับตัวของเปลือกโลกยังก่อให้เกิดการระเบิดของภูเขาไฟตามมา ประการต่อมาปริมาณน้ำแข็งที่ละลายกลายเป็นน้ำจืดไหลลงสู่ทะเลอย่างรวดเร็วในเวลาที่ผ่านมา ทำให้มวลของน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะจุดที่อ่อนไหวอย่างบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกที่ถือว่าเป็นแอ่งที่ลึกที่สุดของท้องทะเลส่งผลให้การหมุนของโลกเสียสมดุลและโลกพยายามปรับตัวเข้าสู่สมดุลใหม่ผลที่ตามมาคือการเคลื่อนตัวของชั้นเปลือกโลกในบริเวณดังกล่าว เหตุการณ์แผ่นดินไหวคือการปรับตัวเข้าหาสมดุลตามธรรมชาติและอาจเกิดการเปลี่ยนมุมองศาของแกนโลกเพื่อปรับสมดุลใหม่อีกด้วย ประการสุดท้ายอาจมาจากวงโคจรของโลกและการเรียงตัวของดวงดาวทำให้เกิดการเหนี่ยวนำคลื่นรังสีจากดวงอาทิตย์เข้าโจมตีโลก เพราะฉะนั้นการเกิดน้ำท่วมแบบฉับพลันช่วงปีนี้ในประเทศไทยอาจสามารถเกิดขึ้นได้จากสาเหตุดังต่อไปนี้

1)	ภาวะโลกร้อนทำให้ฝนตกหนัก ในขณะที่เขื่อนพยายามเก็บน้ำเอาไว้หลังจากภัยแล้งที่ผ่านมา จึงไม่มีการระบายน้ำออก เวลาฝนตกซ้ำอีก น้ำในเขื่อนจึงเต็มหรือเกินพิกัด จึงทำการเร่งระบายน้ำอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดน้ำท่วมแบบฉับพลันบริเวณแม่น้ำสายต่างๆ ตอนล่าง เป็นการบริหารจัดการน้ำที่ยากขึ้น
2)	ภาวะโลกร้อนก่อให้เกิดพายุโซนร้อนจากทะเลจีนใต้พัดเข้าสู่ประเทศไทยอย่างหนักถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้น ทำให้การระบายน้ำไม่สามารถทำได้ทันเกิดน้ำท่วมฉับพลัน หรือข้อ 1) และข้อ 2) รวมกัน
3)	เกิดแผ่นดินไหวในทะเลบริเวณใกล้/ในประเทศไทย ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิเข้าถล่มชายฝั่งประเทศไทย อาจเกิดได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามัน ก่อให้เกิดน้ำท่วมตามมา
4)	เกิดแผ่นดินไหวบนบกบริเวณรอยเลื่อนทางทิศตะวันตกของไทยหรือบริเวณอื่นๆใกล้กับเขื่อนขนาดใหญ่ ทำให้เขื่อนแตกหรือรอยรั่วเกิดน้ำท่วมบริเวณท้ายเขื่อนอย่างฉับพลัน เช่น เขื่อนศรีนครินทร์ เขื่อนวชิราลงกรณ์ จ.กาญฯ
5)	เกิดฝนตกหนักไม่ว่ามาจากสาเหตุใด(ฝนตกตามฤดูหรือพายุโซนร้อน)ในช่วงเวลาขณะที่น้ำทะเลหนุนขึ้นสูง ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันบริเวณปากแม่น้ำสายหลัก เช่น เจ้าพระยา แม่กลอง บางประกง ท่าจีน ฯลฯ

การเตรียมตัว
-	สำรวจภูมิประเทศบริเวณที่เราอาศัยอยู่ว่าสามารถเกิดภัยพิบัติอะไรได้บ้าง โดยศึกษาจากอดีตและความน่าจะเป็นที่เคยเกิดขึ้นและคาดว่าน่าจะเกิดขึ้นได้
-	เตรียมกระเป๋ายังชีพที่มีเครื่องใช้ที่จำเป็นทุกอย่างรวมทั้งอาหารแห้ง น้ำดื่ม ถุงนอนและเต้นสำหรับการอพยพอย่างเร่งด่วนรวมทั้งศึกษาเส้นทางไปสู่จุดที่ปลอดภัยหลายๆเส้นทางในกรณีที่ต้องมีการอพยพ
-	สำรวจที่อยู่อาศัยว่าสามารถดัดแปลงสภาพแวดล้อมเพื่อสามารถตั้งรับต่อภัยพิบัติที่คาดว่าจะเกิดขึ้น เช่น เตรียมกระสอบทราย ตัดต้นไม้ใกล้บ้าน กักตุนอาหารแห้งและน้ำดื่ม เครื่องใช้ที่จำเป็นที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้เป็นเดือนโดยไม่ต้องออกไปนอกบ้าน ในกรณีที่ไม่ต้องอพยพ
-	ติดตามข่าวสารจากสื่อต่างๆและบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติหรือหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้องไว้กับตัวในกรณีขอความช่วยเหลือหรือสอบถามข้อมูลต่างๆ
-	สวดอธิฐานหรือภาวนาให้โลกเกิดสันติภาพรอดพ้นจากภัยพิบัติต่างๆ รักษาศีล 5 ทานมังสวิรัติหรือเจ และนั่งสมาธิ ตามความเชื่อหรือศาสนาที่ตัวเองนับถือเพื่อหลีกเลี่ยงผลกรรมที่เลวร้ายและการทานมังสวิรัติยังเป็นการช่วยลดโลกร้อนถึง 80% อีกด้วย

ท่านที่มีความสนใจเกี่ยวกับการนั่งสมาธิแบบธรรมวิถีกวนอิมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่
สมาคมนานาชาติอนุตราจารย์ชิงไห่
ศูนย์กรุงเทพ
537/191-192 ซอยสาธุประดิษฐ์ 37 ถนนสาธุประดิษฐ์
แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กทม. 10120
โทรศัพท์ 02-682-0015   โทรสาร 02-682-0014
รถเมล์ที่ผ่านหน้าซอย สาย 35, 62, สองแถวแดง สาย 1279 (วัดดอกไม้) 




                        Be Vegan Go Green Save The Plane				
8 พฤษภาคม 2553 02:28 น.

การกลับมาของลูกชายที่สุรุ่ยสุร่าย....

คีตากะ

233-1191.jpgเฉพาะเมื่อเธอได้กลายเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่งแล้วเท่านั้น เธอจึงจะสามารถเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้าได้

               เมื่อพระเยซูคริสต์เติบโตขึ้น ท่านได้ออกไปเทศนาสั่งสอนและสรรเสริญพระเจ้า ท่านได้เดินทางไปยังที่หลายแห่งเพื่อแนะนำคำสอนอันแท้จริงให้กับผู้คน นี่คือเรื่องราวที่เล่าโดยท่านเมื่อท่านได้ออกไปเทศนา ณ ดินแดนแห่งหนึ่ง เรื่องราวนั้นเกี่ยวกับลูกชายสองคน พระเยซูคริสต์ไม่เลือกที่รักมักที่ชังและท่านปฏิบัติต่อทุกคนเป็นอย่างดีมาก ไม่สำคัญว่าเขาผู้นั้นจะเป็นใคร ท่านมักจะคลุกคลีกับผู้คนต่างๆกัน คนจน คนเจ็บ คนชรา คนที่น่าเกลียด คนที่สวยงามและเด็กๆ ท่านรักพวกเขาเหล่านั้นทั้งหมด และมีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับพวกเขา ผู้คนก็รักท่านและเคารพท่านเป็นอย่างมากเช่นกัน พระเยซูคริสต์ตามใจพวกเขาจริงๆโดยเฉพาะพวกเด็กๆ
	                ผู้คนจากทุกแง่มุมของชีวิตพาเด็กๆของพวกเขามาหาพระเยซูคริสต์ และขอให้ท่านแตะศีรษะของพวกเขาเพื่อให้พร พระเยซูคริสต์มีสานุศิษย์ที่สำคัญมากมายหรือเธออาจจะเรียกว่าเพื่อนที่ดีของท่านก็ได้ ซึ่งพวกนี้จะกันไม่ให้เด็กๆได้พบท่านถ้าเด็กๆมาหาท่านมากเกินไป ได้โปรดเถิด! อย่าได้รบกวนท่าน! ทำไมพวกเธอถึงได้มารบกวนท่านแบบนี้?
	                แล้วพระเยซูคริสต์จะพูดว่า อย่า อย่า อย่า อย่า! ยับยั้งพวกเขา ปล่อยให้พวกเด็กๆเข้ามา อาณาจักรของพระเจ้าเป็นของเด็กๆหรือคนที่มีจิตใจอันบริสุทธิ์เหมือนจิตใจของเด็ก หากเราต้องการกลับคืนไปสู่อาณาจักรแห่งสวรรค์ เราจะต้องไร้เดียงสาเหมือนเด็ก พระเยซูคริสต์ได้ถือโอกาสนี้บอกพวกเราว่าเราจะต้องกลายเป็นเหมือนเด็กเพื่อจะกลับคืนไปยังอาณาจักรแห่งสวรรค์ เราไม่ควรที่จะซับซ้อนเกินไป เราจะต้องไม่ใส่ใจมากไปนักในเรื่องต่างๆ แม้เมื่อเราได้เติบโตขึ้น เราก็ยังควรที่จะรักษาจิตใจที่เหมือนกับเด็กไว้
	                 เพื่อทำหน้าที่ของเราในสังคมให้ประสบความสำเร็จ ตามธรรมชาติเราควรที่จะไปทำงานเมื่อเราเติบโตขึ้น แต่งงานหรือเรียนอย่างขยันขันแข็ง อย่างไรก็ตามเราควรที่จะรักษาจิตใจเราให้บริสุทธิ์เหมือนกับตอนที่เราเป็นเด็ก อย่าไปแข่งขันกับผู้อื่น อย่าไปใฝ่กระหายในผลกำไรและชื่อเสียง อย่าใจแคบและมุ่งคิดแต่ประโยชน์ของตนเอง ให้รู้จักให้อภัย ผู้คนอาจปฏิบัติไม่ดีต่อเรา แต่เราควรที่จะปฏิบัติดีต่อพวกเขาและรักพวกเขา เช่นนั้นจึงนับว่าเป็นจิตใจของเด็ก หากเราสามารถรักษาจิตใจของเด็กนี้ไว้ได้ ไม่สำคัญว่าเราจะมีอายุมากขึ้นเท่าไร เราก็ยังคงเป็นบุตรของพระเจ้า
	                  เราจะไม่ตกนรกหรือตกอยู่ในสภาพการณ์ที่ไม่เป็นที่ปรารถนา ชีวิตของเราจะราบรื่น อย่างน้อยที่สุดจิตใจของเราก็จะมีความสุขอยู่เสมอ เราจะเผชิญปัญหาใดๆอย่างร่าเริง ไม่มีอุปสรรคใดที่จะทำให้เรารู้สึกไม่สมหวังหรือเป็นกังวล เพราะเราสามารถเอาชนะมันได้ เราจะให้อภัยผู้อื่นได้ง่ายและเราจะรู้สึกเป็นอิสระมาก เราอาจจะรวยหรือยากจน ตำแหน่งของเราอาจจะสูงหรือต่ำ และไม่ว่าเราจะอาศัยอยู่ที่ไหนหรือเรากำลังอาศัยอยู่กับใคร เราก็จะไม่ใส่ใจ เช่นนี้จึงจะนับว่าเป็นจิตใจของเด็ก มันไม่ใช่กำหนดไว้ตายตัวว่าเราไม่สามารถเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่เราได้โตขึ้นมาแล้ว

เด็กๆสามารถให้อภัยผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย

                  พระเยซูคริสต์เป็นเด็กโตและพระศากยมุนีพระพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน ทั้งสองท่านเต็มไปด้วยความรักและบริสุทธิ์มาก จิตใจไม่สลับซับซ้อนยุ่งยาก ดังนั้นทั้งสองจึงไม่ใส่ใจว่าผู้คนได้ทำอะไรไว้กับท่าน ท่านจะไม่ไปวุ่นวายหรือจดจำความอาฆาต หรือพยายามที่จะแก้แค้น ตลอดชีวิตของท่านพระเยซูคริสต์ทำแต่สิ่งที่ดีเท่านั้น และเคารพบูชาพระเจ้า ท่านไม่เคยทำอะไรที่เป็นพิษเป็นภัยหรือแข่งขันกับผู้อื่นเพื่ออำนาจ ความร่ำรวยหรือชื่อเสียง ท่านสอนให้คนทำความดี ท่านแผ่ความรักของพระเจ้าไปทั่วทั้งโลกและช่วยเหลือดวงวิญญาณมากมาย
	                    แม้กระนั้นก็ตามบางคนก็ยังอิจฉาท่าน เพราะท่านมีชื่อเสียงมากเกินไปและมีคนมากมายเกินไปที่รักท่าน ด้วยความรักที่ผู้คนมีต่อท่าน พวกเขาจึงเคารพท่านเหมือนเป็นกษัตริย์ กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ คนในโลกคิดว่าการเป็นกษัตริย์เป็นตำแหน่งที่สูงที่สุดในโลก ดังนั้นเราจึงเคารพใครก็ตามที่เรารักเฉกเช่นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่
	                   ผลที่เกิดขึ้นก็คือ กษัตริย์ตัวจริงจึงเกิดความอิจฉาและกลัวว่าพระเยซูคริสต์จะท้าพระองค์และยึดพระราชบัลลังก์ของพระองค์ไป พระเยซูคริสต์ถูกตรึงกางเขนก็เนื่องด้วยความริษยานี้ อย่างไรก็ตามท่านก็รักษาจิตใจอันเหมือนเด็กของท่านไว้ แม้เมื่อท่านถูกตรึงกางเขน ท่านขอร้องพระเจ้าให้ยกโทษให้กับผู้คนที่โง่เขลาเหล่านั้นซึ่งไม่รู้ในสัจธรรม เด็กสามารถให้อภัยผู้อื่นอย่างง่ายดายและจะไม่ฝังใจอาฆาตพวกเขา
	                    เนื่องจากพระเยซูมักจะคลุกคลีเสมอๆกับผู้คนทุกชนิด ผู้ที่เรียกว่าพระสงฆ์หรือนักบวชในเวลานั้นจึงวิพากษ์วิจารณ์ท่าน แต่ละศาสนาก็มีนักบวชของศาสนานั้น ยกตัวอย่างบาทหลวงและแม่ชีของศาสนาคริสต์นิกายโรมันแคทอลิคและศาสนาคริสต์ก็คือนักบวช ดังนั้นคนจึงเคารพพวกเขา มีพระสงฆ์ทางศาสนาพุทธด้วยเช่นกัน ภิกษุและภิกษุณี พระสงฆ์ในศาสนาฮินดูเรียกว่าสวามี ศาสนาอื่นๆก็มีนักบวชของศาสนานั้นเหมือนกัน แม้ว่าพวกเขาจะสวมใส่เสื้อผ้าที่แตกต่างออกไป และมีชีวิตที่แตกต่างออกไป พวกเขาก็ถือว่าเป็นนักบวช
	                   การเป็นนักบวชหมายความว่าพวกเขาได้สละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพระเจ้า เพื่อรับใช้พระเจ้าและเผยแพร่สัจธรรมของพระเจ้าไปยังมวลชน พวกเขาปล่อยวางอารมณ์แบบมนุษย์ของพวกเขาและความรักที่มีต่อครอบครัวของพวกเขา ถือว่าทั่วโลกเสมือนครอบครัวและเห็นคนทั้งหลายเสมือนพี่น้องของพวกเขา อุดมการณ์ของพวกเขาสูงส่งและยิ่งใหญ่จริงๆ ดังนั้นพวกเขาจึงสมควรที่จะได้รับความเคารพจากพวกเรา
	                   เราไม่ควรที่เคารพนักบวชของศาสนาของเราเท่านั้น และไม่เคารพนักบวชศาสนาอื่นๆ นี่เป็นสิ่งที่ผิด! แน่นอนในทุกศาสนามีนักบวชบางคนที่ไม่เข้าใจอุดมการณ์นี้แต่ใฝ่หาเงินและชื่อเสียงโดยใช้ชื่อของศาสนาของเขา พวกเขาไม่ใช่นักบวชที่แท้จริง พวกเขาสวมใส่เสื้อผ้าแบบเดียวกัน แต่จิตใจของพวกเขานั้นไม่เหมือนกัน โชคดีที่มีคนเช่นนี้แค่หยิบมือหนึ่งเท่านั้น

นักบวชที่แท้จริง

                   นักบวชที่แท้จริงสมควรที่จะได้รับคำชมจากคนอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพราะลักษณะภายนอกของพวกเขา แต่เพราะอุดมการณ์ภายในของพวกเขา พวกเขากระตือรือร้นจริงๆที่จะรับใช้มวลชนและจิตใจของพวกเขาแผ่ขยายไปทั่วทั้งโลก ด้วยเหตุนี้เราจึงชื่นชมและเคารพพวกเขา ไม่ใช่เป็นเพราะเครื่องแต่งตัว ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะสวมใส่เสื้อผ้าอะไร เพราะพวกเขามีอุดมการณ์อันสูงส่งและมีจิตใจที่เปิดกว้าง พวกเขาใส่ใจเพียงเล็กน้อยในเรื่องความรู้สึกส่วนตัวและเห็นทั้งโลกเป็นภาพลวงตาภาพหนึ่ง สรรพสัตว์ทั้งหลายเป็นหนึ่งเดียวกัน มีพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น มีสัจธรรมหนึ่งเดียวและเต๋าหนึ่งเดียว พวกเขาต้องการเผยแพร่เต๋านี้ไปยังทุกๆคนและย้ำเตือนพวกเราว่าเต๋านี้เป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่เราควรแสวงหา
	                     เราเรียกคนเหล่านี้ที่ตัดความรู้สึกรักชอบส่วนตัวของพวกเขาว่านักบวช ถือบวชหรือ ละทิ้งครอบครัว หมายถึงละทิ้งความรักชอบที่ผูกมัดไว้ต่อครอบครัว ศาสนาทุกศาสนามีอุดมการณ์อย่างเดียวกันที่จะแผ่ขยายจิตใจออกไปและให้พ้นจากการเกิดและการตาย
	                   เมื่อพระเยซูคริสต์มีชีวิตอยู่ ผู้ที่เรียกว่าเป็นนักบวชบางคนของศาสนายิว (แรบไบ) บ่นเกี่ยวกับท่าน พวกเขาวิจารณ์ท่านที่ไปคลุกคลีกับหญิงโสเภณี ขอทานหรือคนที่ยากจนข้นแค้นซึ่งเป็นผู้ที่ต่ำที่สุดของสังคม ท่านคลุกคลีกับพวกเขาเป็นเพื่อนกับพวกเขาและสอนคำสอนให้กับพวกเขา แรบไบคิดว่านั่นเป็นเรื่องน่าละอายและไม่เหมาะสมที่จะทำ
	                   พวกเขาคิดว่าชาวยิวเป็นผู้ที่ดีที่สุด ดังนั้นชาวยิวหรือคนที่อยู่ในชั้นที่สูงกว่าจึงควรได้รับการถ่ายทอดคำสอนเท่านั้น ไม่ใช่คนที่ต่ำๆซึ่งสังคมรังเกียจ
	                   ในความเห็นของพวกเขาโสเภณีเป็นพวกที่แตะต้องไม่ได้และพวกเขาเลวทรามเกินไปจนชีวิตของเขาไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงได้ อย่างไรก็ตามพระเยซูคริสต์สามารถเปลี่ยนแปลงพวกเขาได้ ท่านจะทำและท่านมีพลัง คนที่เลวใดๆจะเปลี่ยนแปลงเป็นดีขึ้นหลังจากที่ได้เป็นลูกศิษย์ของท่าน หรือหลังจากที่ได้มองดูท่านเพียงครั้งเดียว

ไม่มีใครที่ดีหรือเลว

                     คนที่ดีหรือเลวถูกสร้างขึ้นโดยสภาพการณ์ทางสังคม บางคนอาจจะป็นคนดีมาหลายชาติ ในทันใดถ้าเขาถูกโกงในชีวิตนี้หรือครอบครัวของเขาถูกพลัดพรากเพราะมีสงครามในประเทศของเขา บางครั้งเขาได้สูญเสียพ่อแม่ของเขาไปอย่างฉับพลัน รวมทั้งความมั่นคงปลอดภัยของเขา ตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก เขาจึงกลายเป็นที่เรียกกันว่าคนเลว พวกคนเหล่านี้อาจจะกลายเป็นโสเภณี ตัวโกงหรือแม้กระทั่งขโมย กระนั้นพวกเขาอาจจะไม่มีสันดานที่เลว
	                   ถ้าจิตใจของเราบริสุทธิ์มันก็จะส่องเป็นเงาเหมือนทองคำ ทองคำก็คือทองคำแม้จะมีดินหลายตันฝังมันไว้ เมื่อตอนแรกที่เราขุดเพชรมันถูกปกคลุมด้วยฝุ่นหนาหลายชั้น หลังจากที่ได้ทำความสะอาดและเจียรไนมันแล้ว เพชรก็ยังคงเป็นเพชรและค่าของมันก็จะไม่ลดลงเพราะฝุ่น
	                     ในทำนองเดียวกัน อาณาจักรสวรรค์ของเราหรือธรรมชาติแห่งพระเจ้าอันไร้เดียงสาที่อยู่ภายในจะไม่มีวันมัวหมองด้วยฝุ่นหรือกรรม มันเป็นเพียงความเข้าใจผิดของเราเท่านั้น! ดังนั้นฉันจึงบอกพวกเธออยู่บ่อยๆว่าสำหรับฉันแล้วไม่มีใครที่เป็นคนบาป เป็นเพียงเพราะสมองของเราไม่เข้าใจ ดังนั้นเราจึงไม่สามารถให้อภัยตัวเราและทำให้เกิดเรื่องวุ่นวาย ถ้าหากมีใครบางคนมาย้ำเตือนเราหรือบอกสัจธรรมให้แก่เรา เราก็จะรู้ว่าจะกำจัดกรรมออกไปได้อย่างไร จะลืมหรือเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เรียกว่าเป็นนิสัยของเราได้อย่างไรแล้วเราก็จะเป็นเหมือนเช่นพระโพธิสัตว์หรือนักบุญ
	                    ด้วยเหตุนี้พระเยซูคริสต์จึงได้กล่าวว่าเราทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า อย่างไรก็ตามเราจะต้องทำให้จิตใจของเราคืนสู่สภาพเป็นเด็กไร้เดียงสา และมุ่งมั่นที่จะไม่ยอมจำนนต่อนิสัยเลวๆอีก

บุตรชายสองคน

                     นักบวชก็ได้วิจารณ์พระเยซูคริสต์ที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสมต่อวินัยเนื่องจากพระองค์คลุกคลีกับผู้คนทุกชนิด ดังนั้นวันหนึ่งพระเยซูคริสต์จึงได้เล่าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้ให้พวกเขาฟัง เรื่องราวเป็นเช่นนี้
	                     มีคนๆหนึ่งมีบุตรชายสองคน ลูกชายคนเล็กเรียกร้องให้พ่อของเขาให้ส่วนแบ่งในความร่ำรวยของครอบครัวแก่เขา ซึ่งพ่อของเขาก็ยอมทำตามนั้น เมื่อได้รับทรัพย์สมบัติแล้ว ลูกชายคนเล็กก็ออกไปหาความสนุกสนาน ท่องเที่ยวไปทั่วโลกและใช้เงินทั้งหมดของเขาอย่างโง่เขลา ในที่สุดเขาก็ไม่มีเงินเหลือสักแดงเดียว! ประจวบเหมาะกับพอดีที่มีความอดอยากในประเทศของเขาในขณะนั้น ดังนั้นทุกคนจึงอดอยาก เขาได้ไปทำงานในฟาร์มแห่งหนึ่งที่เลี้ยงลูกหมูไว้มากมาย เขาหิวมากจนกระทั่งเมื่อเขาเห็นลูกหมูกำลังกินอาหารในราง เขาก็อยากไปแย่งลูกหมูกิน เขาหิวมากและคิดถึงบ้าน
	                     วันหนึ่งเขาพูดกับตัวเขาเองว่า โอ ฉันช่างมีชีวิตที่เหลวไหลสิ้นดีที่นี่ แม้กระทั่งคนงานของพ่อฉันก็ยังมีกินมากกว่าที่ฉันมาอยู่ขณะนี้ พวกเขามีกินมากเกินพอในขณะที่ฉันกำลังอดอยากอยู่ที่นี่ เรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผลเลย ถึงเวลาแล้วที่ฉันจะต้องกลับบ้าน ฉันจะขอโทษพ่อของฉันและบอกเขาว่าฉันเสียใจ รู้สึกสำนึกผิดเพียงใดในความประพฤติอันโง่เขลาในอดีตของฉันและฉันยังเด็กและโง่เขลา ฉันจะยอมรับว่าฉันไม่เหมาะสมที่จะเป็นลูกของเขา บางทีเขาอาจจะรับฉันเป็นคนงานคนหนึ่งของเขาก็ได้ นั่นก็จะเป็นการดีเหมือนกัน! อย่างน้อยที่สุดก็จะมีพอกิน เขาเฝ้าพูดเรื่องนี้กับตัวเขาตลอดทางที่กลับบ้านของเขา
	                  ผู้เป็นพ่อเมื่อได้เห็นว่าลูกชายของเขาได้กลับมา ก็วิ่งไปสวมกอด ทักทายและจูบเขา เขาดีใจมากที่ได้เห็นลูกของเขากลับบ้านอีกครั้ง เขาบอกคนใช้ว่า รีบไปหาเสื้อผ้าใหม่ๆมาให้ลูกชายของฉัน และนำอาหารที่ดีๆและเครื่องดื่มมาให้เขา ผู้เป็นพ่อยุ่งอยู่กับการบอกคนให้หาอาหารมา แล้วเขาก็พูดว่า มานี่แน่ะ! เราควรที่จะฉลอง เขาบอกคนใช้และครอบครัวของเขาว่า เราควรที่จะฉลองการกลับมาของลูกชายของฉัน ลูกชายคนเล็กของฉันได้กลับมาบ้าน!
	                   ด้วยความรื่นเริงใจ เขาได้จัดเตรียมงานฉลองใหญ่โตและเชิญทุกๆคน เมื่อลูกชายคนโตกลับมาที่บ้าน เขาก็โกรธและอิจฉา เขาบ่นกับพ่อของเขาว่า ฉันได้ทำงานให้กับท่านเป็นเวลาหลายปี แต่ท่านก็ไม่เคยจัดงานเลี้ยงฉลองใหญ่โตเพื่อฉลองการกลับมาของเขา ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องอะไรกัน?
	                 ลูกชายคนโตรุกเร้าขอคำตอบด้วยความโกรธ ดังนั้นพ่อจึงพูดว่า อย่าโกรธไปเลย เธอก็รู้เป็นอย่างดีว่า ทรัพย์สมบัติทั้งหลายของฉันนั้นเป็นของเธอ ไม่มีความจำเป็นต้องจัดงานฉลองให้เธอ เพราะทุกสิ่งนั้นเป็นของเธออยู่แล้ว! สำหรับเรื่องที่ว่าทำไมเราจึงต้องจัดงานฉลองในวันนี้ ก็เป็นเพราะเดิมทีแล้วเราคิดว่า ได้สูญเสียน้องชายของเธอไปแล้ว ตอนนี้เขาได้ถูกค้นพบขึ้นมา เราจึงมีเหตุผลที่จะยินดี
	                  ผู้เป็นพ่อไม่มีการเลือกที่รักมักที่ชัง สำหรับเขาทรัพย์สินของเขาไม่ได้มีค่าเท่ากับบุตรชายของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจที่จะต้องใช้จ่ายเงินมากมาย เรื่องที่แล้วก็แล้วกันไป เขามีความสุขที่ได้เห็นลูกชายคนเล็กของเขากลับมาบ้านอย่างปลอดภัยฃ
	                 พระเจ้าก็เหมือนกัน ท่านไม่สนใจว่าเราได้ทำบาปมามากมายเพียงไร เนื่องจากทั้งหมดนั้นเป็นอดีต ถ้าเราจริงใจที่จะสำนึกผิดและเป็นเด็กที่ดีอีกครั้งหนึ่ง พระองค์ก็จะต้อนรับเรากลับสู่บ้าน นี่ก็เป็นแบบเดียวกันกับเรื่องที่ฉันได้ย้ำเตือนเธอตลอดเวลา ดังนั้นเธอจึงนอนใจได้และอย่าได้กระวนกระวายใจ การบำเพ็ญทางจิตวิญญาณของเราอาจจะดีหรือเลวในบางครั้ง บางครั้งเราเห็นแสงดวงโตและได้ยินเสียงของระเจ้าที่ดังจนหนวกหู แต่บางครั้งก็ดูคล้ายกับว่าเราไม่ได้เห็นและไม่ได้ยินอะไรเลย เป็นเพราะเราถูกปิดตัวโดยสิ่งที่เรียกว่าความคิดเก่าๆหรือจิตใจอันบริสุทธิ์ของเราถูกกระทบโดยอิทธิพลของสังคม เช่นนี้แล้วความรู้สึกผิดของเราก็จะปรากฏออกมาอีกครั้ง และเราจะคิดว่าบาปของเรานั้นหนักหนาเกินไปที่จะได้รับพระกรุณาและความรักของพระเจ้า

เราสมควรที่จะได้รับพระกรุณาและความรักของพระเจ้าเสมอ

                  ความจริงก็คือเรามีค่าเสมอ พระเจ้าจะไปสนใจได้อย่างไร ว่าเธอได้ผลาญทรัพย์สินของท่านไปมากเท่าไร ท่านเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ท่านสามารถสร้างโลกหรือจักรวาลที่น่าอัศจรรย์และกว้างใหญ่ไพศาลได้เสมอ ท่านจะไม่สนใจใยดีหรอก เมื่อเราทำลายท่านก็สร้างขึ้นมาอีก ไม่มีปัญหา ยกตัวอย่างเราได้ฆ่ามนุษย์หรือสัตว์มาก่อน หรือได้ทำผิดกฎของโลก ตอนนี้เราได้สำนึกอย่างจริงใจและขอให้พระเจ้ายกโทษให้ เราได้กลายเป็นทาสหรือคนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของท่านอย่างถ่อมตัวและนั่งสมาธิทุกวัน
	                   ถ้าเรายอมรับได้ว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า เราก็ไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิ ถ้าเราคิดว่าเรามีค่ามากเราก็จะเย่อหยิ่ง ภูมิใจในตัวเราและจะไม่สำนึกผิด ไม่นั่งสมาธิหรือตรวจสอบตัวเราทุกวัน อย่างไรก็ตามเพราะเรายังคงถ่อมตนและสำนึกผิดในกรรมในอดีตของเรา พระเจ้าก็จะยกโทษให้เรา เรามีฐานะเช่นเดียวกันกับเด็กๆชาวสวรรค์เหล่านั้นซึ่งไม่ได้ทำผิดศีล ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย
	                 เป็นเพราะเรายังไม่ได้กลับถึงบ้าน ดังนั้นเราจึงยังคงสำนึกผิดอยู่ที่นี่ เมื่อเราได้กลับถึงบ้านและได้พบพระบิดา เราทั้งหลายก็เป็นเหมือนกัน ท่านจะให้เสื้อผ้าที่ดีที่สุดให้เราสวมใส่ ที่อยู่อาศัยที่ดีที่สุดในสวรรค์ สิ่งที่ดีที่สุดทั้งหลายให้สนุกสนานและชีวิตนิรันดรเหมือนอย่างท่าน ดังนั้นเธอจึงไม่จำเป็นต้องรีบเร่ง เตรียมตัวไว้ให้ดีในขณะที่เธออยู่ที่นี่ เธอจะสนุกเพลิดเพลินได้ทันทีที่เธอได้กลับถึงบ้านแล้ว
	




ปราศรัยโดยท่าน Suma Ching Hai ศูนย์ซีหู ฟอร์โมซา
23 กรกฏาคม 1990 (เดิมเป็นภาษาจีน)
				
8 มีนาคม 2558 00:21 น.

ตาอันสูงส่ง(The Supreme Eye).....

คีตากะ

1123084390.jpg











                 หากเราอยากจะเห็นคุณลักษณะของเราเอง
หรือเห็นลักษณะอันเป็นผู้รู้แจ้งของเราเองนั้น เราจะต้องมองด้วยตาดวงอื่น
ด้วยมโนทัศน์ที่แตกต่างออกไป ตาดวงนี้คือ สิ่งที่เรียกว่าตาปัญญา หรือตา
ผู้รู้แจ้ง ตาสวรรค์ หรือสิ่งที่ชาวคริสเตียนเรียกกันว่าตาเดี่ยว พระเยซูตรัสว่า
"หากตากลายเป็นเดี่ยว กายเจ้าทั้งกายนั้นจะเต็มไปด้วยแสง" นั่นหมายความ
ว่าอะไร? เราควรเอาตามารวมกัน แล้วทำให้มันเป็นหนึ่งเหมือนคนตาเหล่
หรือ? เปล่า ถึงทำอย่างนั้น เราก็จะไม่เห็นแสง ดังนั้นตาที่มีเอ่ยอยู่ในพระสูตร
พุทธ ในคัมภีร์คริสต์ หรือคัมภีร์อื่นๆ นั้น ไม่ใช่ตาเนื้อ แต่เป็นตาเดี่ยวใน
ปัญญาของเรา ในมหาสมุทรแห่งจิตสำนึกของเรา จริงๆแล้ว มันไม่ได้มีตาอะไร
แต่เนื่องจากเราสามารถเห็นได้ทุกอย่างตั้งแต่สวรรค์ลงไปถึงนรก ตั้งแต่
โลกนี้ไปจนถึงแดนพุทธะ เราจึงเรียกมันว่าเป็นตา ทีนี้เพื่อที่จะเปิดตาดวงนี้
จะต้องมีใครคนหนึ่งมาแสดงให้ดูวิธี ก็เหมือนเมื่อเราอยากขับรถ จะต้องมีใคร
คนหนึ่งที่ขับรถเป็นแล้ว มาช่วยเรา





ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
14 ตุลาคม 2542 (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)







au2.jpg				
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ