12 สิงหาคม 2553 22:12 น.

จดจำพระเจ้า ใน ทุกแง่มุม ของ ชีวิต

คีตากะ

ms-2.jpg


อาจารย์กล่าว

 

ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
22 ตุลาคม 2549 ปารีส ฝรั่งเศส(ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ และ ฝรั่งเศส)

เราควรปรับตัวในทุก ๆ สถานที่ที่เราอยู่ มิฉะนั้นเธอก็จะไม่รู้ว่าเธออยู่ตรงไหน และไม่รู้ว่าอะไรเธอควรจะทำในขณะที่มีชีวิตอยู่และหลังจากเราจบชีวิตลง ไม่มีข้อแก้ตัว เรามีชีวิตเพื่อติดต่อกับพระเจ้าเท่านั้น นั่นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เราทำงาน เรากิน เรานอนหลับ แต่นั่นเป็นสิ่งสำคัญรองลงมา เพราะถ้าเธอยังไม่เข้มแข็ง เธอยังต้องทำงาน กิน และหาเลี้ยงชีพ แต่นั่นก็ยังไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การมีชีวิตเพื่อการทำสมาธิ สมาธิมีความหมายว่าการภาวนา มันก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่รู้วิธีทำสมาธิ เราก็สวดภาวนา มันเหมือน ๆ กัน หลังจากผู้เป็นอาจารย์ เช่น พระพุทธเจ้า หรือพระเยซู ไปสู่สวรรค์ ผู้คนเลยไม่รู้วิธีการทำสมาธิ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องสวดภาวนา แต่พวกเราควรทำอย่างถูกต้อง นั่นหมายถึงการทำสมาธิ นั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการสวดภาวนา ถ้าเราสวดภาวนาแบบนั้น เราก็จะไม่รู้จักพระเจ้าของเรา ตัวตนของเรา แล้วเธอก็จะหลงทาง เธออาจจะหาเงินได้มากมาย มีลูกหลานมากมาย หรือกิน couscous(แป้งกรอบที่ทำจากแป้งหมี่หยาบ) มากมาย แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร หลังจากที่เธอตายไป มันก็จบหมด ทั้ง couscous ลูกหลานทั้งหมด และภรรยาทั้งหมด ไม่มีความหมาย พวกเขาไม่สามารถช่วยเธอได้ในเวลาที่เธอไป เวลาที่เธอจากดาวดวงนี้ หรือจากชีวิตนี้ไป ไม่ช่วยอะไรได้เลย ที่ฉันพูดนี้เป็นพื้นฐานที่สุด ที่ฉันพูดแล้วพูดอีก และเธอก็ยังไม่เข้าใจ

แต่เธอต้องทำสมาธิ นั่นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต มันสำคัญมากกว่าทุก ๆ สิ่งในชีวิต มิฉะนั้นแล้วเธอก็จะไม่ทำ เธอคิดว่าเธอใช้เวลาหนึ่งหรือสองชั่วโมงฟังเสียง-ข้างใน หรือข้างนอก (อาจารย์หัวเราะ)ขึ้นกับว่าเธอหลับลึกแค่ไหน แต่ว่ามันก็ไม่พอ นั่นคือเหตุที่ถึงแม้ฉันยกเธอขึ้นไปถึงระดับที่ห้า เธอก็จะหล่นลงไปทันทีเกือบจะเร็วยิ่งกว่าตอนเธอขึ้นไป เมื่อเรามีเพียงใจเดียวและมุ่งที่จุดเดียวเท่านั้นเราจึงจะไปถึงระดับที่ห้า ได้เร็วมาก แต่ถ้าใจของเรากระจัดกระจาย หมายถึงความคิดของเรากระจัดกระจาย แล้วเราก็จะหล่นลงไป-Zip!(เสียงหวิวในอากาศ)อย่างนั้น

เพราะเหตุนี้ พระเยซูกล่าวว่า "ถ้าเราไม่กลายเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่ง เธอจะไม่สามารถไปสู่อาณาจักรของพระเจ้าได้เลย" มันยากมากในการบังคับจิตใจ มันยากมากกว่าช้างนับร้อย ๆ เชือก เมื่อเธอเห็นแสงนิดหน่อยหรือได้ยินเสียงเพียงเล็กน้อย เธอก็คิดว่ามันดีแล้ว แต่นั่นมันไม่ใช่ เพราะว่าเธอยังอยู่ที่นี่ เธอยังคงรู้สึกมันอยู่-เธอยังรู้สึกทางข้างนอกและเธอก็ยังรู้สึกว่ามันดี เพียงแค่ตรงนั้นตรงนี้นิดหน่อยและเธอก็รู้สึก แต่มันไม่ใช่สิ่งนี้ ถ้าเธอได้ยินเสียงนั้นจริง ๆ เธอจะถูกดึงขึ้นรวดเร็วมากยิ่งกว่าจานบินหรือจรวดไปดวงจันทร์ และไม่มีอะไรในโลกนี้ที่สามารถหันเหเธอได้ ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เธอต้องการ เธออาจจะยอมตายด้วยซ้ำถ้ามีใครมาฆ่าเธอ เวลานั้นเธออาจจะพูดว่า "เชิญ ยินดีต้อนรับ" เธอไม่มีความคิดในเรื่องใด ๆ ว่าเธอต้องการอะไรในโลกนี้อีกแล้ว:ไม่มีอะไรอีกแล้ว นั่นคือเวลาที่เธอทำสมาธิจริง ๆ และที่เหลือก็มีเพียงการปฏิบัติ ปฏิบัติ และปฏิบัติ

 

การพัฒนาทางจิตวิญญาณ เราต้องทำมันด้วยตัวของเราเอง

เพราะ ฉะนั้นทำไมฉันจึงพูดว่า "ได้โปรดปฏิบัติสมาธิ" นั่นคือที่เราเรียกตัวเราเองว่าผู้ปฏิบัติธรรม หมายถึงเราต้องพยายาม พยายามและพยายาม บางครั้งเธอพยายามและเธอก็ไปถึง บางครั้งเธอพยายามและเธอก็ไปไม่ถึง แต่ถ้าเธอไม่มั่นคง แม้ว่าเธอไปถึงเนื่องจากพระกรุณาธิคุณของพระเจ้า เธอก็จะต้องกลับมาอีกโดยเร็ว! แต่ถ้าเธอมั่นคงเธอก็จะไม่หล่นลงมา แม้ว่าเธอทำงานทางโลก แต่ถ้าเธอไม่มั่นคง ถึงแม้เธออยู่ในวัด ถึงแม้เธอไปอยู่ภูเขา ถึงแม้เธอพักอยู่ในศูนย์สมาธิ มันก็ไม่มีประโยชน์ แม้ว่าเธออยู่ตรงหน้าอาจารย์ด้วยซ้ำ อาจารย์ไม่สามารถกินแทนเธอ อย่างเวลานี้ฉันให้ช็อกโกแลตแก่เธอ แต่เธอต้องเป็นคนที่กินมันเอง ฉันกินมันแทนเธอไม่ได้ ฉันซื้อช็อกโกแลตมามากมาย แต่ไม่ใช่เพื่อให้ฉันกินเองทั้งหมด ถ้าฉันกินมันทั้งหมด เธอจะรู้สึกอะไรหรือเปล่า? ถ้าฉันซื้อช็อกโกแลตและกินเองทั้งหมด เธอจะมองดูฉันและพูดว่า "อ้ำ-ม-ม ช็อกโกแลตอร่อยเหลือเกิน!" อย่างนี้หรือเปล่า? (เสียงหัวเราะ) มีเรื่องแบบนั้นหรือ? ไม่ เป็นไปไม่ได้

ดังนั้นฉันให้ช็อคโกแลตแก่เธอ แต่ถ้าเธอไม่กินมัน เธอก็ไม่สามารถรู้สึกอะไรได้เลย ก็เหมือนกับหากเธออยู่ตรงหน้าอาจารย์แต่เธอไม่รวมความสนใจอยู่ที่อาจารย์ แล้วพระพรยิ่งใหญ่นั้นก็ไม่สามารถเข้าถึงเธอได้มากนัก อาจจะได้บ้างบางส่วน แต่ไม่มาก อีกกรณีถ้าเธอมีข้อจำกัดให้ตัวเองอย่างเช่น การคาดคิดไว้ล่วงหน้าเกี่ยวกับว่า อาจารย์ควรทำอะไรหรืออาจารย์ควรดูเหมือนอะไรแล้วล่ะก็ เท่ากับเธอสร้างกำแพงกักตัวเองไว้ ซึ่งเป็นการแยกตัวเธอเองออกจากพระพรของอาจารย์ แล้วเธอก็ยิ่งมีมันน้อยลง

 

การยกระดับเป็นเรื่องเฉพาะตัวที่ต้องทำเอง

เธอ คงจำเรื่องของพระพุทธเจ้าได้: ท่านมีผู้รับใช้ใกล้ชิดคนหนึ่งที่ท่านรักมาก และอยู่กับท่านทั้งวันทั้งคืน เขาชื่อพระอานนท์ เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพาน เขาสามารถจำคำพูดของพระพุทธเจ้าได้ทุกถ้อยคำ ดังนั้น พระสูตรทั้งหมดของพระพุทธเจ้าล้วนเขียนขึ้นตามความทรงจำของพระอานนท์ แต่พระอานนท์ไม่ได้บรรลุชั้นสูงนัก:ท่านยังไปไม่ถึงระดับที่สามด้วยซ้ำ นั่นเป็นเหตุที่หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว เหล่าพระสงฆ์ทั้งหมดไม่ยินยอมให้เขาเข้าร่วมประชุมในคณะ พวกพระสงฆ์นั้นไม่ให้เขาเข้าร่วมสังคายนากับพระสงฆ์ระดับสูง ดังนั้น ด้วยความละอายเขาจึงไปที่ถ้ำแห่งหนึ่งและปลีกตัวอยู่ที่นั่นระยะเวลาหนึ่ง จนกระทั่งเขาบรรลุถึงระดับสูง และแล้วพระสงฆ์เหล่านั้นจึงได้เชิญเขาเข้าการประชุม

แต่ทำไมพระสงฆ์จึงทำเช่นนั้นต่อคนใกล้ชิดที่สุดและรักที่สุดของพระพุทธเจ้า? มันหมายความว่าเหล่าพระสงฆ์นั้นใจร้าย ใจดำและเกรี้ยวกราดต่อพระอานนท์หรือไม่?

ผู้ปฏิบัติคนที่หนึ่ง ฉันคิดว่ามันคือการกระตุ้นและปลุกให้เขาตื่นขึ้น

อ: ใช่

ผู้ปฏิบัติคนที่สอง เพื่อบังคับให้เขาทำงานด้านจิตวิญญาณใช่ไหม?

อ: ใช่ นั่นก็มีส่วนจริง มีใครอีกไหม?

ผู้ปฏิบัติคนที่สาม เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ใช่ไหม?

อ: ใช่ นั่นก็ถูก เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์! นั่นก็ถูกต้อง ถ้าใครที่หัวใจไม่บริสุทธิ์และระดับการพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณยังไม่สูง เขาก็จะไปปนเปื้อนต่อที่ประชุม นั่นถูกต้องที่สุด และก็ถูกเช่นกันที่ว่าเพื่อกระตุ้นให้เขารู้ว่าเขาต้องทำงาน ใช่แล้ว มันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าช่วงเวลาที่เขาอยู่กับพระพุทธเจ้า เขาไม่ได้ปฏิบัติ เขาอยู่ใกล้ชิดเกินไป เขาเป็นเพียงผู้เดียวที่รับใช้พระพุทธเจ้า นั่นคือเหตุที่เขาไม่พัฒนาระดับของเขา เป็นสาเหตุเดียวเท่านั้น เหตุผลของพี่สาวคนนั้นที่ว่า เขาควรจะทำงานเพื่อการพัฒนาด้านจิตวิญญาณของเขา นั่นก็ถูกเหมือนกัน เพราะว่าตลอดเวลาที่เขาอยู่กับพระพุทธเจ้า เขาภาคภูมิใจตัวเองเกินไปว่าเป็นคนใกล้ชิดของพระพุทธเจ้า และเขาก็ไม่คิดว่าเขาจำเป็นต้องปฏิบัติอะไร นั่นคือสาเหตุที่เขาไปไม่สูง

อีกอย่างหนึ่ง เขามีความจำที่พิเศษเหนือมนุษย์ เขาสามารถท่องจำทุกสิ่งที่พระพุทธเจ้าพูดได้ทั้งหมดจาก ก-ฮ และยังทวนซ้ำได้อีก เขาจำได้ทั้งหมดคำต่อคำ ไม่ลืมอะไรเลยแม้กระทั่งเมื่อพระพุทธเจ้าพูดผิดไป อย่างเช่นพูดซ้ำบางอย่างหรือขากบ้วนเสลด พระอานนท์ก็จำได้หมด นั่นคือเหตุที่พระสูตรทางพุทธไม่ได้รับการแก้ไขให้ดีจนถึงปัจจุบันนี้ เพียงแต่เขียนตรง ๆ ทุกคำตามที่พระพุทธเจ้าพูด ดังนั้นบางครั้งเธออ่านแล้วเธอก็รู้สึกเหนื่อยหน่ายบ้าง เหมือนกับว่าพระพุทธเจ้าเอาแต่พูดซ้ำประโยคเดิม หรืออธิบายในแบบที่มีรายละเอียดมากเพื่อให้ลูกศิษย์เข้าใจตรงตามที่พระองค์ กำลังพูด

ในพระสูตรทางพุทธทั้งหมดจะต้องเริ่มด้วย"ดังนั้น ฉันได้ยินมาว่า..." นั่นเพราะมันถูกเขียนขึ้นตามที่พระอานนท์ได้ยินมา กระทั่งคนสำคัญขนาดพระอานนท์ก็ยังเกือบเหมือนเครื่องบันทึกเทป ความจำของเขาพิเศษจริง ๆ มันเหมือนกับเครื่องคอมพิวเตอร์หรือเครื่องบันทึกเทปในปัจจุบัน แต่คนที่สำคัญมากขนาดพระอานนท์ เหล่าคณะสงฆ์ของที่ประชุมหรือพระสงฆ์ของพระพุทธเจ้าก็ยังไม่ยอมให้เขาเข้า ร่วมประชุมด้วย เพราะว่าเขายังไม่ได้ยกระดับเพียงพอ ถึงแม้เขาจะเป็นคนสำคัญ มันก็ยังไม่มีประโยชน์

ดังนั้นเธอสามารถเห็นความสำคัญของการยกจิตวิญญาณให้สูงขึ้น ไม่จำเป็นว่าเธอเป็นใคร มันอยู่ที่ว่าเธอเป็นอะไร และไม่ใช่แค่ว่าเธอเป็นอะไร แต่มันอยู่ที่เธอเป็นอะไรข้างใน ซึ่งนั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตก็คือภายในของเธอเป็นอะไร ตอนนี้เธอคงเข้าใจแล้วว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต ไม่ใช่เนื่องจากพระอานนท์และไม่ใช่เนื่องจากพระพุทธเจ้า แต่เนื่องจากตัวเธอเอง เพราะหลังจากที่เราตาย เราก็ไม่มีอะไร! มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ฉันไม่จำเป็นต้องบอกเธอเพราะเธอก็รู้ทั้งหมดแล้ว แต่เธอไม่ตระหนักรู้มันให้ลึกซึ้ง นั่นคือสาเหตุที่เธอเพิกเฉยต่อภาระหน้าที่ที่สำคัญที่สุดในชีวิตเธอ

ดังนั้นจากกรณีของพระอานนท์ เราสามารถเรียนรู้บางอย่าง: บทเรียนของการถ่อมตน เราต้องพิจารณาทบทวนทุก ๆ วันว่าเรามีความถ่อมตนพอหรือไม่ เราจึงจะสามารถพัฒนาได้มากขึ้น เพราะมีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้นที่เราสามารถใส่อะไรลงไปได้ ถ้าแก้วนั้นว่างเปล่า เธอก็สามารถใส่น้ำเข้าไปได้ แต่ถ้าแก้วนั้นเต็มอยู่ มันก็ใส่อะไรไม่ได้ แก้วนั้นอาจจะมีน้ำอยู่เต็มหรือมีขยะอยู่เต็มก็ได้ ถ้าหากแก้วนั้นมีขยะอยู่เต็มแล้ว เราก็ไม่ใส่น้ำเข้าไปอีก มันน่าจะดีกว่าถ้าหากเรามีสิ่งที่เราต้องการอยู่ในแก้วใบนั้น แทนที่จะเป็นขยะทั้งหมด ทำนองเดียวกันนี้ เราควรเติมชีวิตของเรา ตัวตนของเรา และความเข้าใจของเราด้วยสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ด้วยคุณค่าทางจิตวิญญาณ เพราะว่าเราอาจจะเติมมันด้วยสิ่งไร้สาระก็ได้เหมือนกัน หรือสิ่งที่ไม่จำเป็น สิ่งที่บ่อนทำลายชีวิตของเรา หรือการพัฒนาของเรา

 

ชีวิตประจำวันก็เป็นการปฏิบัติธรรม

ทุก ๆ วันเราควรมั่นใจว่าเราได้เติมตัวเองด้วยสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็เหมือนเช่นทุก ๆ วันเราพยายามเลือกสรรอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทุกครั้งที่เรากินของดี ๆ เธอควรต้องระลึกว่า "ฉันต้องให้อาหารดี ๆ แก่จิตวิญญาณของฉัน แก่การพัฒนาด้านจิตวิญญาณของฉันด้วย" ดังนั้น แม้ในเวลาที่เธอกำลังกิน เธอก็สามารถปฏิบัติได้ด้วย เวลาที่เธอสวมใส่เสื้อผ้าที่ดี ๆ เธอก็ควรจดจำว่า "ฉันต้องตกแต่งตัวฉันเองด้วยความงดงามทางจิตวิญญาณเช่นกัน" ทุกครั้งที่เธอเห็นดอกไม้ที่สวยงาม เธอก็บอกว่า "ฉันต้องเพาะปลูกสวนแห่งจิตวิญญาณของฉันด้วย" ให้เตือนตัวเธอเองไว้เสมอด้วยสิ่งที่คล้าย ๆ กัน เวลาที่เราได้ยินเสียงนกร้องเพลงเรารู้สึกมีความสุขและสบายใจ เราก็ต้องระลึกถึงว่าเราไม่ควรลืมเสียงของพระเจ้า และเมื่อเวลาที่เธอดื่มด่ำอยู่ในความรัก ในความสัมพันธ์อันโรแมนติกและเธอก็มีความสุขมาก เธอก็ควรรู้ว่า "ฉันต้องจดจำความรักของพระเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งนิรันดร ซึ่งเป็นความรักแท้จริง" แต่ถ้าเธอไม่สามารถแยกแยะได้ เธอก็ต้องเตือนสติตัวเองว่า "ใช่ ฉันจะพยายามจดจำ ฉันจะทำบางอย่างเพื่อว่าฉันจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ระหว่างฉันและพระเจ้า ให้เจริญงอกงามขึ้น โรแมนติกมากขึ้น และสนิทสนมมากขึ้น"

ทุกครั้งที่เรารักลูกของเรา เราต้องจำไว้ว่าพระเจ้ารักเราจริง ๆ และลูกของเราเช่นกัน นี่เป็นความรักที่แท้จริงที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับทุก ๆ คน และทุกครั้งที่สัตว์เลี้ยงของเธอรักเธอและเธอรักมัน หรือเธอปลอบประโลมสัตว์เลี้ยงของเธอหรือพวกมันปลอบประโลมเธอ เธอก็ควรเตือนใจตนเองเช่นกันว่านี่คือส่วนหนึ่งของความรักของพระเจ้า และมีแต่ความรักของพระเจ้าเท่านั้นที่จริงแท้และแผ่กระจายอยู่ทั่วไป ดังนั้นเธอก็เห็นแล้วว่าเราสามารถใช้ทุก ๆ สถานการณ์มาเตือนใจตนเองไม่ให้ลืมวิถีทางแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งเราได้เลือกเดิน ด้วยวิธีนี้เราจะเสริมกำลังให้ตัวเองเข้มแข็งอยู่เสมอในขณะที่เราอยู่ในโลก มนุษย์นี้ และเราอยู่ในความทรงจำของพระเจ้าตลอดเวลา มันเป็นอย่างนี้เสมอ

แต่การปฏิบัตินั้น ก็ไม่มีใครกลายเป็นอาจารย์ในชั่วข้ามคืน แม้แต่พระอานนท์ ดังนั้นอย่าเพิ่งรู้สึกหมดกำลังใจ เราเพียงแต่ต้องมีความจริงใจและปฏิบัติตลอดเวลา ในขณะที่มีอาจารย์อยู่ เธออาจจะพัฒนาได้เร็วมากกว่า แต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเธอรับรู้ได้เพียงไร และเธอบริสุทธิ์เพียงไร มันก็เหมือนกับแก้วใบนั้น ถ้ามันเต็มไปด้วยขยะ ก็ไม่มีอะไรสามารถใส่เข้าไปได้ หรืออาจจะใส่ได้นิดหน่อย



หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
http://magazine.godsdirectcontact.net/thai/179/				
12 สิงหาคม 2553 21:37 น.

ให้ตัวเราและอนุชนรุ่นต่อไป...

คีตากะ

ms-1.jpgให้ตัวเราและอนุชนรุ่นต่อไป

 

    ปราศรัยโดยอนุตราจารย์ชิงไห่ สิงคโปร์ วันที่ 3 มีนาคม 2535
    (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ) วีดีโอเทป #223

     

หากทุกคนมีชีวิตตามแบบ ที่ไบเบิ้ลกล่าวเอาไว้ และทุกคนเห็นพระเจ้าภายใน เห็นแสงของพระเจ้า อาณาจักรของพระเจ้า ได้ยินเสียงพระวจนะของพระเจ้า หรือธรรมชาติแห่งพุทธะ โลกของเราก็จะกลายเป็นสวรรค์ เพราะแสงและเสียงนี้ทำให้เรากลายเป็นนักบุญ ทำให้เรากลายเป็นพุทธะ และโลกที่พุทธะอาศัยอยู่ก็คือนิพพาน โลกที่นักบุญอยู่อาศัยก็คือ สวรรค์หรืออาณาจักรแห่งพระเจ้า
ปรับเข้าหาพลังพระเจ้า

ดาวเคราะห์อื่น ๆ มากมายมีบรรยากาศแบบสวรรค์นี้ เพราะสรรพสัตว์ทั้งหลายบนดาวเคราะห์เหล่านั้นฝึกการปรับเข้าหาพลังพระเจ้า และความปรารถนาของเขาก็สมหวัง มีพลังในมือของพวกเขาและมีความสงบสุขในตัวของพวกเขาภายในหมู่เพื่อนบ้านของ พวกเขา บนดาวเคราะห์เหล่านั้นมีแต่การทำความดีเท่านั้น โดยไม่มีด้านที่เป็นลบเหมือนอย่างบนโลกของเรา บางดวงมีความเจริญมากกว่า ในขณะที่บางดวงล้าหลังกว่า เราไม่มีเวลาที่จะมาคุยกันในเรื่องเหล่านี้ เราพูดเรื่องโลกของเราก่อนได้ นั่นเป็นเรื่องที่เหมาะสมในทางปฏิบัติและจำเป็นที่สุด

ถ้าเธอเข้าใจถึงบรรยากาศ เมื่อสิ่งที่เป็นวัตถุนั้นเบา มันก็จะลอยขึ้น มันขึ้นไปในบรรยากาศที่สูงขึ้น เหมือนความร้อนหรืออะไรแบบนั้น และสิ่งใดที่หนักหรือเย็นจะอยู่ในส่วนที่ต่ำกว่าของบรรยากาศหรืออยู่ต่ำกว่า เนื่องจากแรงโน้มถ่วง

รักษาความถี่ของแรงสั่นสะเทือนที่สูงเอาไว้

ในทำนองเดียวกัน ความดีจะอยู่เหนือความเป็นลบไม่มากก็น้อย ในโลกแห่งความดีและความชั่วของเรา แน่นอน ความดีจะอยู่ข้างบน แต่ไม่ใช่ว่าเราจะเป็นอิสระจากความเป็นลบ เรามีมันติดอยู่กับเพื่อนบ้านของเรา หรือติดกับสภาพที่ต่ำกว่าของเรา โลกอื่น ๆ มีแต่ความดีเท่านั้น เราเรียกสถานที่เหล่านี้ว่า สวรรค์หรืออาณาจักรพระเจ้า เราสามารถไปถึงดาวเคราะห์เหล่านี้ หรือเราตอนนี้จะไปเยี่ยมก็ได้ ถ้าเรามีคุณสมบัติแบบเดียวกัน หรือมีความถี่ของแรงสั่นสะเทือนเหมือนสรรพสัตว์บนดาวเคราะห์เหล่านี้

ดังนั้น การบำเพ็ญในอาณาจักรของพระเจ้าหรือการบรรลุนิพพาน จึงไม่ใช่เรื่องโกหก แต่มันเป็นวิถีชีวิตที่เห็นได้แจ่มชัดมาก และเป็นวิทยาศาสตร์มาก หากเราต้องการมีชีวิตแบบนั้น มันก็ไม่ยาก มันเป็นเพียงวิถีชีวิตที่เราเลือก
ได้มาซึ่งสวรรค์แบบชั่วคราวทุก ๆ วัน

พระเจ้าไม่ได้ให้ความยากจนแก่ โลกนี้ พระเจ้าไม่ได้สร้างนรก มันเป็นตัวเรา-ด้วยความผิดพลาดของเรา ด้วยปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน ด้วยการเลือกการกระทำที่ผิดในเวลาที่เด็ดขาด เราจึงได้สร้างนรกขึ้นมา เพราะฉะนั้น ตอนนี้เราสามารถคิดทบทวนและสร้างสวรรค์ อย่างน้อยก็สวรรค์แบบชั่วคราว เราจะได้พักผ่อนชั่วครู่ แล้วเราก็จะได้เป็นอิสระจากภาระของโลกนี้ชั่วครู่ และเราสามารถคิดว่าเราต้องการทำอะไรต่อไป ว่าเราต้องการกลับไปยังโลกอีกหรือไปสู่ขั้นที่สูงสุดของสวรรค์ เราสามารถตัดสินใจได้ เพราะฉะนั้น สวรรค์ชั่วคราวสามารถได้มาด้วยการกระทำความดี ด้วยการมีศรัทธาในพระเจ้า ด้วยการสวดภาวนา ด้วยการสำนึกผิดอย่างจริงใจในความผิดของเรา ด้วยการพยายามทำสิ่งที่ดีที่สุดเสมอสำหรับสังคมและตัวเรา และด้วยการพยายามเป็นมังสวิรัติให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ฉันสามารถเสนอสิ่งทดแทนด้วยก้อนเต้าหู้ในบางครั้งบางคราว มันถูกกว่า ย่อยง่ายกว่า และมีความรู้สึกผิดน้อยกว่า บาปน้อยกว่า และกรรมน้อยกว่า กรรมหมายถึง หว่านพืชอะไรก็ได้ผลอย่างนั้น หรือก็คือกฎแห่งเหตุและผล เพราะฉะนั้น นี่ก็คือสวรรค์ชนิดหนึ่ง ซึ่งเธอจะสร้างให้ตัวเธอเองในตอนนี้
การเป็นมังสวิรัติคือการช่วยเหลือโลกจริง ๆ

เราพยายามเป็นมังสวิรัติให้มาก ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การเป็นมังสวิรัติไม่ใช่เป็นวิถีชีวิตตามหลักศาสนาเท่านั้น แต่มันเป็นวิธีที่จะช่วยโลกให้รอดพ้นจากความอดอยากและความยากจน เรามีงานวิจัยมากมายที่จะพิสูจน์ในเรื่องนั้น เราสูญเสียผลิตภัณฑ์ของมนุษย์และของโลก และทรัพยากรไปมากมาย เพื่อจะเลี้ยงวัวและหมูเป็นเวลาหลาย ๆ ปี สูญเสียยา โปรตีน ถั่ว และผักสารพัดชนิดเป็นปริมาณมาก เพื่อจะเลี้ยงหมู 1 ตัว และเรากินมันภายในเวลาอันรวดเร็วมาก 5 นาที ถ้าเธอกินช้าแบบนั้น บางคนอาจกินภายใน 1 นาที!

ดังนั้นถ้าเราเป็นมังสวิรัติ ไม่เพียงแต่เพราะว่าเราเป็นคนธรรมะธรรมโมเท่านั้น แต่เพื่อเป็นการช่วยเหลือโลกจริง ๆ โลกของเราตกอยู่ในความยากจน ในบางส่วนของโลก และมีความอดอยาก เพราะเราไม่ทำงานร่วมกันที่จะช่วยเหลือกันและกัน มีงานการกุศลและงานบรรเทาทุกข์มากมาย ไม่ต้องสงสัย แต่นั่นไม่ใช่รากเหง้าของปัญหา การขาดแคลนอาหาร ไม่ได้มีต้นตออยู่ในแอฟริกาเท่านั้น หรืออยู่ในประเทศเอเชียบางประเทศ มันมีต้นตอมาจากอาหารที่มีการกินเนื้อสัตว์ จากพลังงานทั้งหลาย จากเทคโนโลยีทั้งหลาย และกิจกรรมที่มีไหวพริบอื่น ๆ มากมาย ซึ่งทุ่มให้กับการเลี้ยงเนื้อสัตว์ แทนที่จะนำไปวิเคราะห์เพื่อช่วยเหลือประชากรโลกให้ดีกว่านี้ หรือเพื่อโภชนาการที่ดีกว่านี้ สำหรับผู้คนทั้งมวล

ตามที่เธอรู้กันดีในขณะนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า อาหารมังสวิรัตินั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพมาก โรงพยาบาลทั้งหลายถูกสร้างให้ใครกัน? คนกินเนื้อสัตว์ไงล่ะ! คนส่วนใหญ่ที่นั่นเป็นคนที่ไม่ใช่มังสวิรัติ เพราะฉะนั้น ถ้าเราให้อาหารตัวเราด้วยยาพิษ เราก็จะต้องรักษาตัวเราด้วยอุปกรณ์ของโรงพยาบาล เราสร้างความเดือดร้อนเป็น 2 เท่าให้ตัวเรา
สร้างยุคทองด้วยการใช้ชีวิตแบบนักบุญ

เราจะต้องรักษาที่รากเหง้าไม่ ใช่ที่กิ่ง การช่วยเหลืองานบรรเทาทุกข์หรือบริจาคอาหารให้คนยากจน ไม่ใช่ทางแก้ของปัญหาความอดอยากของโลก รากเหง้าอยู่ที่ตัวเราแต่ละคน ซึ่งเราจะต้องช่วยเหลือ เราจะต้องประหยัดพลังงานบางอย่างของเรา และทรัพยากรของโลกเพื่อพี่ ๆ น้อง ๆ ของเรา ยกตัวอย่าง ประเทศด้อยพัฒนาอาจจะขายผลิตภัณฑ์ของเขาให้แก่ประเทศที่พัฒนาแล้วเพื่อเป็น อาหารของวัว แต่แล้วประเทศด้อยพัฒนากลับอดอยาก เราจะต้องแก้ด้วยการแบ่งปัน เราจะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

แน่นอน ฉันไม่ใช่นักการเมือง ฉันพยายามได้แค่บอกให้เธอช่วยด้วยวิธีการของฉัน ด้วยความสามารถอันน้อยนิดของฉัน ผู้นำของโลกจะต้องทำงานร่วมกัน หากพวกเขาสนใจในความผาสุกของทุกชาติ ไม่เพียงแค่ชาติของเราเท่านั้น แต่ก็นับว่าเป็นการดีพอแล้วที่เราเอาใจใส่ประเทศของเรากันอยู่แล้ว ฉันรู้สึกขอบคุณและสุขใจ เมื่อได้เห็นชาติใด ๆ มีความเจริญรุ่งเรือง ใช้ชีวิตในความสะอาด มีความเป็นนักบุญ และสามัคคีกัน ยกตัวอย่างเช่น ประเทศสิงคโปร์

เราสามารถทำให้มันเป็นยุคทองได้อีกครั้งหนึ่ง โดยการใช้ชีวิตแบบชาวคริสต์ ใช้ชีวิตแบบชาวพุทธ หรือชาวฮินดูที่แท้จริง ฯลฯ เอาใจใส่ดูแลในความรับผิดชอบทางคุณธรรมของเรา ช่วยเหลือเพื่อนบ้านของเราเท่าที่เราสามารถทำได้ สละทรัพย์ของเราบ้าง และความอยากในรสชาติบางอย่างของเรา เพื่อช่วยในการพัฒนาโลกให้ก้าวหน้า และช่วยเหลือพี่ชายพี่สาวคนอื่น ๆ ที่ยากไร้
การสร้างเพื่ออนุชนรุ่นหลัง

ในลักษณะนี้ เราได้ใช้ความพยายามของเราช่วยสร้างชาติให้ดีขึ้นสำหรับอนุชนรุ่นหลัง มันไม่ถือว่าสูญเปล่า มันจะเป็นประโยชน์ต่อลูกหลานเหลนของเรา มันจะไม่สูญเปล่า เราไม่จำเป็นต้องดูแลอนุชนในปัจจุบันอย่างเดียว และเราไม่จำเป็นต้องคิดว่า “โลกดีขึ้น แต่เราจะตายไป และเราจะไม่ได้รับประโยชน์จากมัน” ลูก ๆ ของเราจะได้รับประโยชน์ แม้ถ้าเราไม่มีลูก เราก็ไม่ควรคิดแคบ ๆ เช่นนี้ แต่ขอให้คิดถึงความสุขของผู้อื่นซึ่งเกิดหลังเรา ที่จะมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขสมานฉันท์ และอยู่ในโลกที่อุดมสมบูรณ์ สิ่งนั้นควรทำให้เราดีใจเพียงพอแล้ว โดยปราศจากการได้มาซึ่งวัตถุใด ๆ และนี่คือหนทางของสุภาพบุรุษ! นี่คือวิธีการที่เล่าจื้อ ขงจื้อ พระพุทธเจ้า และพระเยซูคริสต์ได้เพียรพยายามที่จะสั่งสอนมนุษย์เมื่อหลายพันปีมาแล้ว

สิ่งที่ฉันบอกเธอไม่ใช่เรื่องใหม่ เพียงแต่เราได้ลืมไป และพวกเราบางคนไม่ได้พยายามที่จะใช้ชีวิตแบบนั้น เราจึงไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ตอนนี้เราสามารถลองดูได้แล้ว เราสามารถทดลองดูในวันพรุ่งนี้ และดูว่ามันเป็นอย่างไร ดูว่าเรารู้สึกดีขึ้นแค่ไหน ดูว่ามันให้ประโยชน์แก่ประเทศของเราและแก่โลกโดยรวมอย่างไร 


หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
http://magazine.godsdirectcontact.net/thai/174/				
10 สิงหาคม 2553 05:50 น.

อันตรายจากเนื้อสัตว์....

คีตากะ

ก า ร กิ น เ จ อาหารธรรมชาติของมนุษย์ 
อันตรายจากการกินเนื้อสัตว์ 
________________________________________

        จากการสำรวจอายุเฉลี่ยและสุขถาพอนา มัยของประชากรในแต่ละส่วยของโลกพบว่า ในกลุ่มประชากรที่กินเนื้อเป็นอาหารหลัก ไม่พบผักเลยหรือกินแต่น้อย จะมีอายุสั้นมากแก่เร็วและเต็มไปด้วยโรคภัยร้ายแรงคุกคามอยู่ตลอดเวลา ซึ่งแตกต่างอย่างมากกับกลุ่มประชากรที่กินแต่อาหารพืชผักเป็นหลัก พบว่ามีอายุยืนร่างกายแข็งแรง และปราศจากโรคภัยร้ายแรงใดๆ ฉะนั้นจึงสามารถกล่าวได้ว่า " การกินเนื้อสัตว์เป็นเหตุบั่นทอนอายุให้สั้นลง ทำลายสุขภาพให้เสื่อมโทรม และก่อให้เกิดโรคภัยต่างๆขึ้น " จากผลการวิเคราะห์เนื้อสัตว์ของสถาบันโภชนาการพบอันตรายที่สำคัญยิ่ง 5 ประการดังนี้คือ 

1. เลือดและเนื้อของสัตว์เป็นพิษ ก่อนที่สัตว์จะถูกฆ่าโดยเฉพาะสัตว์ใหญ่ๆ ซึ่งมีจิตสำนึกค่อนข้างสูงเช่น วัว ควาย หมู สัตว์เหล่านี้จะเกิดความกลัวสุดขีดและพยายามต่อสู้ดิ้นรนอย่างสุดชีวิต ในช่วงเวลานั้นชีวะเคมีในตัวสัตว์จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายเกิดขึ้น ฮอร์โมนที่เป็นพิษจำนวนมากจะถูกขับออกมาโดยเฉพาะ สารแอดรีนาลิน พิษของฮอร์โมนนี้จะแพร่กระจายแทรกซึมเข้าไปในเส้นเลือดและเนื้อทุกส่วน แม้ว่าสัตว์นั้นจะตายไปแล้ว แต่ว่าพิษนั้นยังคงอยู่ต่อไป สารแอดรีนาลินนี้สามารถพบได้ในร่างกายของคนเราด้วยเช่นกัน มันจะหลั่งออกมามากในขณะที่บุคคลผู้นั้นเกิดอารมณ์โกรธเกลียด เครียดแค้น หรือตกใจกลัวสุดขีด เพราะฉะนั้นคนที่อารมณ์รุนแรงและตึงเครียด โมโหร้าย เจ้าอารมณ์ มักมีสุขภาพร่างกายไม่ดี ใบหน้าหมองคล้ำ ป่วยเป็นโรคต่างๆเสมอ แก่เกินวัยและตายเร็ว ตรงกันข้ามกับคนที่มีจิตใจดี อารมณ์ดี จะมีใบหน้าสดใส ร่าเริง แก่ช้า อายุยืน และสุขภาพอนามัยดี สถาบันโภชนาการประเทศสหรัฐอเมริกา ระบุว่า " เนื้อสัตว์ที่ถูกฆ่าตาย เต็มไปด้วยเลือดที่เป็นพิษและสารพิษอื่นๆมากมาย " พบว่าหลังจากที่สัตว์ตายไป 2 - 3 ชั่วโมงเนื้อสัตว์จะเป็นกรดมากขึ้นทุกขณะ กรดนี้คือน้ำเนื้อซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นประสาทรับรสอยู่ที่บนลิ้น ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าเนื้อมีรสชาดอร่อย ฉะนั้นผู้ที่ปรุงอาหารเนื้อจึงไม่นิยมนำเนื้อไปล้างน้ำ เพราะจะทำให้มีรสจืด แต่กรดในน้ำเนื้อมีฤทธิ์กระตุ้นสมอง กระตุ้นจิตใจ และอารมณ์ ให้มีความรุนแรงฉะนั้นชนชาติที่ นิยมกินแต่เนื้อสัตว์จะมีความก้าวร้าวรุนแรง จ้องประหัตประหารล้างผลาญ คิดสร้างสรรอาวุธขึ้นมาทำลายล้างซึ่งกันและกัน นับวันยิ่งทวีความโหดร้ายรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้วิจัยพบว่าในเนื้อสัน 1 กิโลกรัมจะมีกรดยูริคอยู่ถึง 30 กรัม กรดยูริคในเนื้อมีสารยูเรียซึ่งเข้าไปสะสมในร่างกาย สารนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว ยากแก่การขับถ่ายและไม่สามารถสลายตัวได้ง่าย ส่วนที่ตกค้างก็ถูกส่งไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย โดยจับเป็นผลึกอยู่ตามกล้ามเนื้อไขข้อและกระดูกทำให้เป็นโรคไต โรคเก๊า โรคไขข้ออักเสบ ฯลฯ แพทย์พบว่าไตของคนกินเนื้อ ต้องทำงานมากกว่าคนกินผักถึง 3 เท่า เพื่อขับสิ่งสกปรกและสารพิษในเนื้อที่กินเข้าไป แม้ว่าขณะอยู่ในวัยหนุ่มสาวจะไม่แสดงอาการผิดปกติ แต่พออายุมากขึ้น ไตที่ต้องทำงานหนักติดต่อกันเป็นเวลานานๆย่อมไม่อาจจะทนไหว อาการเจ็บป่วยจึงเริ่มปรากฏให้เห็น เช่น โรคไตพิการ ไตวาย นิ่วในไต โรคเก๊า และโรคไขข้อ ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากการจับเป็นผลึกของกรดยูริค ภายในส่วนต่างๆของร่างกายนั่นเอง ทุกวันนี้คนเราตกอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ กินอาหารประเภทเนื้อสัตว์และอาหารดัดแปลงต่างๆ เมื่อร่างกายสะสมพิษเข้าไว้มากๆในที่สุดก็ต้องเจ็บป่วย ครั้นแล้วก็กลับพากันกินยาซึ่งสกัดจากสารเคมีเข้าไปรักษาความเจ็บป่วยนั้น บางครั้งยาที่คิดว่าจะช่วยรักษาความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น กลับให้ผลแทรกซ้อนข้างเคียง ทำให้อาการของโรคย่ำแย่ลงไปอีก บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องหันมาปฎิบัติตนกันใหม่ก่อนที่ทุกอย่างจะสาย เกินไป 

2. สารเคมีในเนื้อสัตว์ นับตั้งแต่สัตว์ถูกฆ่า ตัดชำแหละเป็นชิ้นๆ แยกประเภทนำบรรจุเข้าตู้แช่แล้วขนส่งไปยังตลาดจำหน่าย เนื้อสัตว์ต้องตกค้างอยู่เป็นเวลาหลายวัน เพื่อรอผู้บริโภคมาซื้อไป กว่าจะถูกปรุงเสร็จเป็นอาหารก็เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ตามธรรมดาเนื้อสัตว์จะคงความสดอยู่ได้ไม่นานก็จะแปรสภาพ สีจะกลายเป็นสีเทาอมเขียว ดังนั้นในอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์จึงมีการใช้สารเคมีช่วยยืดอายุการเน่าเสีย และเจือสารรักษาสีให้เนื้อมีสีแดงดูสดนาน สารเคมีเหล่านี้ทางการแพทย์พบว่าเป็นตัวการทำให้เกิดโรคมะเร็งขึ้นได้ ปัจจุบัน ในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ใช้สารเคมีและฮอร์โมนผสมลงในอาหารสัตว์เพื่อเร่งการเจริญ เติบโต ทำให้สัตว์อ้วนท้วนโตเร็ว เนื้อสัตว์ที่ได้จะมีสีสรรน่าซื้อแต่การกระทำดังกล่าวทำให้ผู้บริโภคได้รับ สารพิษต่างๆมากมาย เมื่อบริโภคเนื้อนั้นเข้าไปเป็นประจำ มีการฉีดเซรุ่มและยาปฎิชีวนะต่างๆ เพื่อป้องกันโรคระบาดสัตว์ ผู้ที่รับประทานเนื้อเป็นประจำร่างกายมักมีการต้านยา เมื่อเจ็บป่วยยาที่กินจึงไม่ค่อยได้ผล เช่นเดียวกับการใช้ยาฆ่าแมลงศัตรูพืชมากๆ แมลงเหล่านั้นก็จะมีความต้านยามากขึ้นเรื่อยๆ ยาที่มีความรุนแรงในขนาดเดิมจะใช้ไม่ได้ผล แมลงกลับจะทวีจำนวนมากขึ้นๆ ปัจจุบันได้พบข้อผิดพลาดนี้จึงมีการเสนอให้ป้องกันและกำจัดศัตรูพืช โดยวิธีการรักษาสมดุลย์ของสัตว์ที่กินแมลงศัตรูพืชนั้นๆ เป็นอาหาร นักวิทยาศาสตร์อังกฤษและอเมริกาพบว่า คนกินเนื้อเป็นประจำทำให้แบคทีเรียในลำไส้เล็กจะทำปฎิกริยากับน้ำย่อยของ ร่างกายทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งในลำไส้ โรคนี้พบมากในกลุ่มคนที่กินเนื้อสัตว์เป็นประจำ เช่นแถบอเมริกาเหนือและยุโรปตะวันตก แต่แพทย์ไม่พบเลยในกลุ่มคนที่รับประทานแต่อาหารพืชผักผลไม้ หรืออาหารมังสวิรัติ เช่น ในประเทศอินเดีย เป็นต้น ในอเมริกาคนเป็นมะเร็งลำไส้มาก เพราะต่างนิยมบริโภคเนื้อสัตว์เป็นอาหารหลัก ส่วนคนใน สก๊อตแลนด์กินเนื้อมากกว่าคนประเทศอังกฤษ 20 % สถิติการป่วยเป็นโรคมะเร็งในลำไส้ของคนในสก๊อตแลนด์ก็มากกว่าคนในอังกฤษเป็น อัตราส่วน 20% เช่นกัน แม้แต่น้ำมันจากสัตว์ เมื่อได้รับความร้อนจะเกิดสารแมททิลคอลเรนทีน สารนี้ทำให้เกิดโรคมะเร็งในคน แต่ไม่พบสารนี้ในน้ำมันพืชเลย ปัจจุบันจึงไม่นิยมเอาน้ำมันจากสัตว์มาปรุงอาหารรับประทาน ในเนื้อย่าง 1 กิโลกรัมจะมีสารโซไพรินเทียบเท่ากับการสูบบุหรี่ถึง 600 มวน ซึ่งทำให้คนเป็นมะเร็งได้เช่นเดียวกัน มีการพิสูจน์พบว่าในเนื้อวัวที่เลี้ยงด้วยหญ้าที่ฉีดพ่นด้วย ดี.ดี.ที ก็จะพบสาร ดี.ดี.ที อยู่ด้วยในเนื้อวัวนั้นเป็นปริมาณที่ก่อให้เกิดอันตราย ซึ่งสาร ดี.ดี.ที นี้สามารถทำให้เป็นหมัน มะเร็ง และโรคตับ จากการทดลองของมหาวิทยาลัยไอโอวายืนยันว่า "สาร ดี.ดี.ที ในร่างกายของคนส่วนใหญ่ได้รับมาจากเนื้อสัตว์ นักวิทยาศาสตร์พบว่าเนื้อสัตว์สามารถเก็บกักสาร ดี.ดี.ที ไว้ได้ในปริมาณมากกว่าพืชผักผลไม้ ใบหญ้าถึง 13 เท่า" ปัจจุบันเกษตรกรใช้ยาฆ่าแมลงในปริมาณที่มาก ฉะนั้นผักที่มีใบห่อหุ้มเป็นชั้นๆ เช่น ผักกาดขาว ผู้ปรุงควรดึงเปลือกชั้นนอกออกทิ้งไปสัก 2 - 3 ใบ ส่วนกระหล่ำปลีดอกควรนำไปล้างในน้ำที่ละลายด้วยเกลือป่นเล็กน้อย ผักที่เก็บกักปริมาณยาฆ่าแมลงไว้มาก ควรล้างให้นาน โดยปล่อยน้ำให้ไหลตลอดเวลา เพื่อล้างยาฆ่าแมลงออกให้หมดก่อนนำไปปรุงอาหาร ขอแนะนำว่าควรเลือกซื้อผักที่ปลูกโดยวิธีธรรมชาติและปลอดสารพิษมาปรุงอาหาร (Organized Grown And Non-Pesticide) หนังสือพิมพ์ชิคาโคทรีบูน (Chicago Tribune) ได้ตีพิมพ์เรื่องการเลี้ยงดูอย่งผิดธรรมชาติใน อุตสาหกรรมปศุสัตว์ว่า "เป็นการทำทำลายสมดุลย์ชีวเคมีในร่างกายของสัตว์ เช่นอุตสาหกรรมเลี้ยงไก่ ลูกไก่ที่เกิดใหม่จะถูกฉีดกระตุ้นด้วยยาอาหารและสารเคมีต่างๆ เพื่อเร่งการเจริญเติบโต สัตว์จำนวนนับหมื่นๆ ชีวิตถูกจำกัดให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่คับแคบ ชีวิตที่น่าสงสารทั้งหมดอยู่ในกรงขนาดจิ๋ว เป็นการเลี้ยงในระบบขั้นบันได เมื่อสัตว์มีขนาดโตขึ้นก็จะเลื่อนลงมาตามชั้นที่จัดวาง สัตว์ถูกเลี้ยงให้อยู่ในพื้นที่จำกัด เพื่อให้ตัวโตไขมันมากมีเนื้อเยอะ ทุกชีวิตไม่มีโอกาสได้เห็นแสงอาทิตย์แสงจันทร์ ไม่ได้รับอากาศบริสุทธิ์หรือการออกกำลังกายเลย ไก่จึงขาดความแข็งแรงตามธรรมชาติ จะพบว่าไก่จำนวนมากที่เลี้ยงโดยวิธีดังกล่าวมีรูปร่างวิปริตผิดธรรมดามี เนื้องอกขั้นร้ายแรงเกิดขึ้นตามส่วนต่างๆ การเลี้ยงสัตว์ในลักษณะเช่นนี้เป็นการเลี้ยงดูที่ผิดธรรมชาติอย่างยิ่ง เนื้อสัตว์ที่ได้จึงเต็มไปด้วย สารเคมีที่เป็นพิษเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อผู้บริโภค" 

3. โรคจากสัตว์ มนุษย์มีความรู้เรื่องสุขอนามัย แต่ยังคงเจ็บป่วยเป็นโรคได้ สัตว์เลี้ยงต่างๆ หากินคลุกคลีอยู่กับพื้นดินกินอาหารไม่เลือกจึงมักติดเชื้อและโรคต่างๆ เสมอ ในชนบทเมื่อหมู ไก่ วัว สัตว์เลี้ยงตายลงก็ยังนำไปปรุงอาหารโดยไม่อาจรู้ได้เลยว่าสัตว์นั้นตายด้วย โรคอะไร เชื้อโรคบางชนิดไม่อาจถูกทำลายด้วยความร้อน ผู้บริโภคจึงได้รับเชื้อโรคจากสัตว์ที่ป่วยนั้นเข้าไปโดยตรง ในโรงงานอุสาหกรรมชำแหละเนื้อสัตว์ จะพบสัตว์ที่มีเนื้องอกผิดรูปร่างอยู่เป็นจำนวนมาก เนื้อสัตว์สำเร็จรูปบางประเภททำมาจากส่วนต่างๆของสัตว์ โดยนำมาบดรวมกันแล้วผสมสีเจือกลิ่นเครื่องเทศแล้วบรรจุเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร ปรากฎว่านักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองเอาตับของสัตว์ที่เป็นโรคไปเลี้ยงปลา ปลาเหล่านั้นก็เกิดเป็นโรคเช่นกัน ชาวอเมริกาบริโภคเนื้อสัตว์มากเป็นอันดับหนึ่งของโลก พบว่าประชากร 1 คนในจำนวนทุกๆ 2 คนจะต้องเสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจและที่สำคัญไขมันคลอเลสเตอรอลจากสัตว์ ไม่สามารถสลายตัวในร่างกายของมนุษย์ เมื่อสะสมมากขึ้นจะจับเป็นก้อนแข็งตัวในหลอดเลือดทำให้หลอดเลือดแคบลง เป็นเหตุให้เส้นเลือดตีบ หัวใจจึงทำงานหนักในการสูบฉีดโลหิต หากมีไขมันอุดตันในเส้นเลือดเมื่อเส้นเลือดสูบฉีดแรงจะทำให้เส้นเลือดในสมอง แตก และเป็นอัมพาต ในปี พ.ศ. 2504 วารสารทางการแพทย์อเมริการายงานว่า อาหารธัญญพืชทั้งหมดสามารถป้องกันโรคหัวใจได้ 90 ถึง 97% นักวิทยาศาสตร์และนักโภชนาการกล่าวว่ากากและเส้นใยของอาหารพืช ช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลในเส้นเลือดลงได้ ด๊อกเตอร์ยูดี รีจีสเตอร์ หัวหน้าภาควิชาโภชนาการแห่งมหาวิทยาลัยโรมาลินดา ในรัฐแคลิฟอเนียร์ได้ทดลองให้ผู้ป่วยรับประทานแต่อาหารประเภทถั่วและธัญญพืช ต่างๆ ปรากฏว่าระดับไขมันคลอเรสเตอรอลลดลงทั้งๆที่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังกินเนยใน ปริมาณมากอยู่ก็ตาม การบริโภคเนื้อซึ่งไขมันสูงก็มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจสูงขึ้นด้วย นักวิจัยท่านหนึ่งได้พบว่า หากจำนวนคลอเรสเตอรอลในเนื้อสัตว์ลดลง 1 % อัตราการเป็นโรคหัวใจในประชากรจะลดลงถึง 2 % คลอเรสเตอรอลในไขมันสัตว์ไม่สามารถละลายได้ง่ายในร่างกายของมนุษย์ มันจะสะสมอยู่ตามผนังของเส้นเลือดนานๆเข้าจะทำให้ภายในเส้รเลือดเล็กแคบ เป็นเหตุให้เลือดไหลผ่านได้น้อย ภาวะอันตรายคือ เส้นโลหิตอุดตัน หรือ เส้นโลหิตเกิดแข็งตัว หัวใจต้องทำงานหนักในการสูบฉีดเลือดเป็นเหตุให้ความดันโลหิตสูง ป่วยเป็นโรคหัวใจ และหัวใจวายได้ อาหารและไขมันจากพืชไม่มีสารคลอเรสเตอรอลอยู่เลย ปัจจุบันจึงนิยมประกอบอาหารด้วยน้ำมันพืชเทานั้น ในเนื้อสัตว์ยังมีธาตุโซเดียมสูง ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อผู้ที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคไต โรคหัวใจ โรคหมดกำลังวังชา โรคกระเพาะ โรคเบาหวาน ผัก ผลไม้สดๆ ซึ่งเก็บมาใหม่ๆ เป็นอาวุธที่มีอานุภาพ จะต่อสู้โรคต่างๆได้หลายชนิด การออกกำลังกายประกอบกับการหายใจ การนอนหลับพักผ่อน ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ ดื่มน้ำสะอาดและรับแสงแดดดีๆ สิ่งเหล่านี้ประกอบกันทั้งหมดจะทำให้สุขภาพดีขึ้นได้ 

4. การเน่าเสียเร็ว ในทันทีที่สัตว์ตายลง ร่างกายจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย สารโปรตีนในตัวสัตว์จะจับกันเป็นก้อนพร้อมกับปล่อยเอ็มไซม์ที่มีพิษออกมาทำ ให้เนื้อเน่าเสียอย่างรวดเร็ว ต่างไปจากพวกพืชผักซึ่งมีโครงสร้างของผนังเซลล์ ไม่สลับซับซ้อนมีความมั่นคงทำให้ขบวนการเน่าเสียเป็นไปอย่างช้ามาก หากนำเนื้อสัตว์มา 1 จานและผักสด 1 ต้น นำมาตั้งวางไว้ ภายในวันเดียวเนื้อจะเริ่มบูดเน่า แต่ผักแม้จะทิ้งเป็นเวลาหลายวันก็จะเพียงเฉาลง ผักเหล่านี้เมื่อนำไปแช่น้ำก็จะกลับฟื้นสดขึ้นดังเดิม เนื้อสัตว์ใหญ่หากทิ้งไว้จะพบตัวพยาธิและมันจะโตขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้าไปอยู่ในร่างกายของคนพร้อมกับแพร่พันธุ์ทวีจำนวนมากขึ้นจนน่ากลัว เช่น พยาธิไส้เดือน พยาธิตัวตืด พยาธิใบไม้ พยาธิตัวจี๊ด พยาธิปากขอ ฯลฯ ส่วนผักผลไม้เราจะพบตัวหนอนที่เป็นศัตรูพืชบ้าง แต่ตัวหนอนเหล่านี้เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่ ก็จะกลายเป็นผีเสื้อ แมลงวันทองหรือแมลงอื่นๆ ไม่ใช่พยาธิอย่างในเนื้อสัตว์ เนื้อสัตว์ต้องผ่านขั้นตอนที่ยาวนานเริ่มจากสัตว์ถูกฆ่าที่โรงฆ่าสัตว์ แล้วนำไปชำแหละแยกประเภทส่วนต่างๆ นำเข้าแช่ในห้องเย็นเพื่อจัดลำเลียงส่งไปยังตลาด ตามห้างร้าน ขณะที่วางขายก็จะต้องอยู่ในตู้แช่แข็งตลอดเวลาเพื่อยืดอายุการเน่าเสียให้ นานที่สุด เมื่อแม่บ้านซื้อไปแล้วใช้ไม่หมดก็ต้องเก็บเข้าตู้เย็นไว้อีก ลองนึกดูว่าเนื้อสัตว์ที่ปรุงอาหารให้เรารับประทานเข้าไปในแต่ละมื้อจะอยู่ ในสภาพเช่นไร แน่นอนที่สุดทันทีหลังจากที่เรารับประทานอาหารเข้าไปแล้ว แน่นอนที่สุดทันทีหลังจากรับประทานอาหารเข้าไปแล้ว เนื้อก็จะเริ่มบูดเน่าอยู่ภายในร่างกายของเรา ร่างกายต้องใช้เวลา 3 - 5 วันเนื้อสัตว์ที่กินเข้าไปจึงจะถูกขับถ่ายออกมาได้หมด ซึ่งต่างจากกากใยของพืชที่จะถูกขับออกจากร่างกายได้ภายในเวลาครึ่งวัน ในระหว่างที่เนื้อสัตว์ตกค้างในลำไส้ เนื้อซึ่งกำลังบูดเน่าได้สัมผัสกับอวัยวะย่อยอาหารของเราอยู่ตลอดเวลา ทำให้ลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็กทำงานผิดปกติเป็นสาเหตุให้เกิดโรคลำไส้และโรค อื่นๆติดตามมา นายแพทย์ท่านหนึ่งได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับอาหารเนื้อสัตว์ว่า " เป็นการดีที่จะรับประทานอาหารผักด้วยความโล่งใจ สบายใจ โดยไม่ต้องเป็นกังวลว่าอาหารนั้น ปรุงมาจากเนื้อสัตว์ประเภทไหน " 

5. การขับถ่ายไม่สะดวก เนื้อสัตว์เป็นอาหารที่ไม่ค่อยมีกากหรือเส้นใย ทำให้เคลื่อนตัวไปตามทางเดินอาหารได้ช้ากว่าอาหารประเภทพืชผักถึง 4 เท่า อาหารเนื้อใช้เวลายาวนานมากกว่าจะถึงระบบขับถ่าย ในระหว่างการย่อยที่ยาวนาน กากอาหารจะถูกดูดเอาน้ำไปมากทำให้ผู้ที่นิยมรับประทานแต่อาหารเนื้อมี อุจจาระแข็ง แห้ง ถ่ายลำบาก มักป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับระบบขับถ่ายหลายอย่างเช่น โรคท้องผูกเรื้อรัง โรคริดสีดวงทวารเป็นต้น ดังกล่าวมาทั้งหมดจะเห็นว่าเนื้อสัตว์เป็นบ่อเกิดของโรคในทุกระบบของร่างกาย เริ่มตั้งแต่ระบบย่อยอาหาร ระบบทางเดินอาหารรวมไปถึงระบบขับถ่าย ล้วนมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆมากมาย เมื่อกินเนื้อทุกๆวัน ก็เสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้ทุกๆวัน อาหารพืชผักผลไม้มีกากและเส้นใยมาก เมื่อรับประทานเป็นประจำก็จะช่วยป้องกัน และยับยั้งโรคริดสีดวง โรคมะเร็งลำไส้ โรคไส้ติ่ง โรคอ้วน โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ไม่ให้เกิดขึ้น จากการสำรวจเราจะไม่เจอโรคเหล่านี้ในประชากรที่รับประทานอาหารที่มีกากใยกัน มากๆเลย ในปัจจุบันนี้ชาวตะวันตกทั้งหลาย หันมารับประทานอาหารพืชผักผลไม้กันมาก ก็เพราะเหตุผลของสุขภาพอนามัยร่างกายมากกว่าเรื่องศีลธรรมความเชื่อและจิตใจ ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์แพทย์พบวิธีรักษาที่เป็นธรรมชาติที่สุดในการรักษาโรค ทั้งหลายคือ เลิกกินเนื้อสัตว์โดยเด็ดขาด ท่านเคยคิดบ้างไหมว่า การรักษาเมื่อเจ็บป่วยแล้วเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ เป็นการสูญเสียเงินทองที่หามาด้วยความยากลำบากไปอย่างน่าเสียดาย ไม่ว่าใครก็อยากมีสุขภาพแข็งแรง อายุยืน เพราะสิ่งเหล่านี้เงินทองซื้อไม่ได้ คนเราทุกคนสร้างบ้านเรือนของเราด้วยไม้ ด้วยวัสดุอย่างดี ก็เพื่อให้มีความคงทนแข็งแรง จะได้อาศัยอยู่อย่างมีความสุข ฉะนั้นเราก็ควรสร้างร่างกายของเราด้วยอาหารที่เป็นธรรมชาติอันแท้จริงของ มนุษย์ เพื่อให้ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ได้มีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขเช่นเดียวกัน 

				
11 พฤษภาคม 2558 00:45 น.

ท่องดาวอังคาร....

คีตากะ

0_mars_banner_show.jpg













“มีคุณธรรม”
“รักษาบ้านของคุณก่อนที่มันจะสาย”

           ผมควรจะเก็บความรู้อันนี้เอาไว้เพื่อจะได้บอกญาติมิตร เพื่อนพ้องและคนสนิทเท่านั้น อย่างน้อยก็รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้พร้อมวิธีเอาตัวรอด หรือบางทีผมน่าจะเผยแพร่มันไปให้กว้างขวางที่สุด ให้เป็นเหมือนสิ่งเตือนใจ สนับสนุนให้คนรณรงค์เพื่อช่วยกันปกป้องโลก เราจะได้หลีกเลี่ยงสถานการณ์เลวร้ายก่อนสายเกินไปซึ่งแน่นอนจะต้องมีคนบอกว่าผมเป็นคนบ้าหรือเสียสติไปแล้ว เห็นๆ อยู่แล้วว่าผมเลือกทางที่สองซึ่งเป็นการมองโลกในแง่ดีมากกว่า.....
ข้อความ 2 ข้อความข้างต้นนี้ไม่ได้ถูกส่งมาจากองค์การระดับโลกหรือจากประเทศไหนๆ อย่างนาซ่า สหประชาชาติ หรือไอพีซีซี ไม่ได้ถูกส่งมาจากประธานาธิบดีหรือนายกรัฐมนตรีของประเทศใด และมันไม่ได้ถูกส่งมาจากผู้นำทางจิตวิญญาณ ผู้นำศาสนา หรือนักบวชของศาสนาใดๆ บนโลก นอกจากนั้นมันยังไม่ได้มาจากฟอร์เวิร์ดเมลล์ ที่ปลิวว่อนอยู่ในอินเทอร์เนต แต่ใครจะเชื่อว่า มันถูกส่งมาจากมนุษย์ดาวอังคาร !
          ตลอดระยะเวลายาวนานมาแล้ว ที่มนุษย์พยายามมองหาชีวิตจากนอกโลก ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยที่สุด ไฮเทคที่สุด พยายามส่งสัญญาณต่างๆ ออกไปแล้วเฝ้าสังเกตฟากฟ้าและดวงดาวอยู่ตลอดเวลาเพื่อรอคอยสิ่งมีชีวิตจากนอกโลกจะตอบรับกลับมา แต่ก็ยังคงผิดหวัง พวกเขาไม่เคยพบสิ่งมีชีวิตแม้เล็กที่สุดอย่างแบคทีเรียจากนอกโลกเลย ยานอวกาศถูกส่งออกไปสำรวจดวงดาวต่างๆ แต่คงยังว่างเปล่าหรือว่าการค้นหายังไม่ดีพอ ยังไม่ครอบคลุมพอ หรืออาจเป็นเพราะว่าในห้วงอวกาศไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นอาศัยอยู่ โลกเป็นเพียงดาวดวงเดียวที่มีสิ่งมีชีวิตกระนั้นหรือ ?
มนุษย์กลับมามีความหวังอีกครั้งจากการสำรวจดาวอังคาร ภายหลังจากการส่งยานอวกาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ.2508 ชื่อ ยานมารีเนอร์ 4 ของสหรัฐอเมริกา ภาพที่ถ่ายทอดกลับมาจำนวน 22 ภาพแสดงให้เห็นว่าพื้นผิวดาวอังคารมีหลุมและบ่อมากมาย ยานอวกาศมารีเนอร์อีกหลายลำต่อมา สามารถถ่ายภาพพื้นผิวรวมกันแล้วได้ครบทั่วทุกบริเวณ โดยเห็นภาพละเอียดถึง 1 กิโลเมตร ภาพถ่ายเหล่านี้ช่วยให้นักภูมิศาสตร์ทำแผนที่ของดาวอังคารได้ทั้งดวง บนพื้นผิวของดาวอังคารพบการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทางธรณีวิทยา เช่น ปล่องภูเขาไฟ หุบเหวกว้างและร่องลึกที่เหมือนกับร่องน้ำที่เคยเป็นทางน้ำไหลมาก่อน ยานที่สำรวจดาวอังคารต่อจากยานมารีเนอร์ คือ ยานไวกิง 2 ลำ แต่ละลำประกอบด้วยยานลำแม่ที่เคลื่อนรอบดาวอังคาร ในขณะที่ส่งยานลูกลงสัมผัสพื้นผิวดาวอังคาร ยานไวกิง 1 ลงที่ไครส์ พลาทิเนีย (Chryse Planitia) ซึ่งแปลว่า ที่ราบแห่งทองคำ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2519 เป็นเวลา 7 ปีหลังจากที่ นีล อาร์มสตรอง เหยียบดวงจันทร์ ต่อจากนั้นอีก 2 เดือน ยานไวกิง 2 ก็ลงในที่ราบทางเหนือชื่อที่ราบยูโทเปีย (Utopia) ยานทั้งสองมีแขนกลยื่นออกไปตักดินบนดาวอังคารมาวิเคราะห์ภายในยาน เพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิต หรือซากของสิ่งมีชีวิต แต่การวิเคราะห์ไม่ยืนยันว่ามีหรือเคยมีสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร ต่อจากยานไวกิงคือ ยานมาร์สพาธไฟเดอร์ ที่นำรถโซเจนเนอร์ไปด้วย ยานได้ลงบนพื้นผิวดาวอังคารเมื่อเดือนกรกฏาคม พ.ศ. 2540 ภาพที่น่าตื่นเต้นคือการติดตามรถคันเล็กๆ เคลื่อนที่สำรวจก้อนหินใกล้ฐานซึ่ง ต่อมาได้รับชื่อว่า ฐานเซแกน ภาพก้อนหินที่เรียงในทิศทางเดียวกันชี้ให้เห็นว่าบนดาวอังคารเคยมีน้ำไหลมาก่อน ต่อมายานมาร์สโกลบอล เซอร์เวเยอร์ ซึ่งกำลังเคลื่อนรอบดาวอังคารได้ส่งภาพหุบเหวที่เป็นร่องลึกหรือที่เรียกว่า แคนยอน ซึ่งคดเคี้ยวไปมา
         8 มีนาคม พ.ศ. 2550  นายเจฟเฟรย์ แอนดรูวส์-แฮนนาและเพื่อนร่วมงาน แห่งสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ พบหลักฐานสำคัญว่า ครั้งหนึ่งดาวอังคารเคยมีโครงสร้างของระบบน้ำซึม ซึ่งถือเป็นข้อพิสูจน์ชี้ให้เห็นว่าดาวอังคารเคยมีความสัมพันธ์อันสลับซับซ้อนกับองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิตมาเป็นเวลานาน  22 กันยายน พ.ศ. 2550  ยาน 2001 มาร์สโอดิสซีย์ พบสิ่งที่ดูเหมือนถ้ำ 7 แห่ง บริเวณเนินลาดของภูเขาไฟบนดาวอังคาร โดยทางยานได้ส่งภาพของพื้นบริเวณหนึ่งซึ่งมืดและมีลักษณะเป็นทรงกลมที่เชื่อ ว่าเป็นปากถ้ำ เชื่อว่าภายในเป็นพื้นที่กว้างใต้ดินและน่าจะมีอากาศเย็นกว่าพื้นที่โดยรอบ ในเวลากลางวัน และอุ่นกว่าในเวลากลางคืน ถ้ำทั้ง 7 นี้ทางนาซาได้ตั้งชื่อให้ว่า "น้องสาวทั้ง 7” 
จากการรวบรวมข้อมูลการสำรวจดาวอังคารอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายปี โดยทั้งจากกล้อง ไอทีเอฟ (Infrared Telescope Facility) ของนาซา กล้องโทรทัศน์เคกในฮาวาย และจากกล้องเจมิไนใต้ในชิลี นักดาราศาสตร์พบมีเทนจำนวนหนึ่งเกาะกลุ่มกันอยู่ในบรรยากาศของดาวอังคาร มีเทน บางก้อนมีปริมาณถึง 21,000 ตัน ปริมาณนี้มีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล แสงอาทิตย์ทำให้มีเทนสลายไป แต่แล้วจำนวนมีเทนก็เพิ่มขึ้นมาอีก นั่นแสดงว่ามีกระบวนการบางอย่างบนนั้นคอยเติมมีเทนตลอดเวลา การค้นพบนี้จุดประกายความหวังว่าอาจมีสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอยู่บนดาวอังคาร เพราะสิ่งมีชีวิตหลายอย่างคายแก๊สมีเทน อย่างไรก็ตาม มีเทนไม่ได้เกิดจากสิ่งมีชีวิตเสมอไป เพราะอาจเกิดจากกระบวนการทางธรณีวิทยาอย่างเดียวก็ได้ เช่นน้ำทำปฏิกิริยากับหินเหลวในภูเขาไฟ ก็ทำให้เกิดมีเทนได้เช่นกัน ไม่ว่ามีเทนที่พบนี้จะเกิดจากกระบวนการทางชีววิทยาหรือธรณี วิทยา แต่การค้นพบนี้ย่อมแสดงว่าดาวอังคารยังคงมีกระบวนการต่าง ๆ ดำเนินอยู่ แตกต่างจากภาพลักษณ์เดิมที่เคยมองว่าดาวอังคารเป็นดาวที่ตายแล้วอย่างสิ้นเชิง
          นักวิจัยระบุว่าถ้ามีเทนมาจากจุลินทรีย์ จุลินทรีย์เหล่านั้นคงต้องอาศัยอยู่ใต้ดินห่างไกลจากพื้นดินอันหนาวเย็น ซึ่งเป็นบริเวณที่อุ่นพอสำหรับของเหลวอย่างน้ำจะยังคงมีอยู่ ของเหลวเช่นน้ำจัดเป็นหนึ่งในสิ่งจำเป็นของส่วนประกอบสิ่งมีชีวิต น้ำนั้นรู้ว่ามีอยู่บนดาวอังคาร เนื่องจากหุ่นยนต์ได้เก็บตัวอย่างน้ำแข็งได้จากพื้นดิน นักวิจัยได้พบกลุ่มของมีเทนบริเวณเสี้ยวหนึ่งของทางขั้วโลกเหนือของดาวอังคารในปี พ.ศ. 2546  และเรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ค้นพบกลุ่มก๊าซที่มากเช่นนี้บนดาวอังคาร ทางนาซ่าได้ระบุว่ามี 3 บริเวณที่ปล่อยมีเทนปริมาณมหาศาลอย่างช้า ๆ ซึ่งบริเวณเหล่านั้นแสดงหลักฐานของแหล่งน้ำใต้ดินโบราณ ซึ่งไม่มีสัญญาณว่าก๊าซอื่นที่คาดว่าถ้ามีเทนถูกผลิตจากภูเขาไฟ อย่างเช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ในอดีตเคยมีการพบกลุ่มของจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ใต้ดินลึกลงไป 2-3 กิโลเมตรที่แอฟริกาใต้มาแล้ว ซึ่งนักวิจัยคาดว่าน่าจะมีแบคทีเรียที่คล้ายคลึงกันเช่นนี้อาศัยบนดาวอังคาร เช่นกัน
            ปริมาณมีเทนที่พบนี้น้อยมากเพียงสิบโมเลกุลในอากาศหนึ่งพันล้านโมเลกุล เท่านั้น แม้จะน้อยนิดแต่ก็เป็นการค้นพบที่สำคัญเพราะมีเทนบ่งบอกถึงกลไกลึกลับที่ซ่อนเร้นอยู่บนดาวอังคาร โดยปรกติมีเทนจะทำปฏิกิริยากับไอออนไฮดรอกซีล (OH) ในบรรยากาศกลายเป็นน้ำและคาร์บอนไดออกไซด์ ปฏิกิริยานี้ทำให้มีเทนในบรรยากาศหมดไปภายในไม่กี่ร้อยปี แต่การที่ยังพบมีเทนอยู่แสดงว่ามีกลไกบางอย่างที่ผลิตมีเทนออกมาอย่างต่อเนื่อง นักวิทยาศาสตร์ได้เสนอทฤษฎีออกมาหลายทฤษฎีเพื่ออธิบายกระบวนการผลิตมีเทนออกสู่บรรยากาศ ทฤษฎีที่โดดเด่นและน่าเป็นไปได้มากที่สุดเกี่ยวข้องกับภูเขาไฟและกัมมันตภาพ ความร้อนใต้พิภพอย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมายานอวกาศที่สำรวจดาวอังคารจากวงโคจรหลายลำไม่เคยพบกัมมันตภาพลักษณะนี้ที่เกิดขึ้นในเวลาใกล้ ๆ นี้เลย อีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าตื่นเต้นกว่าแม้จะมีความเป็นไปได้น้อยกว่าก็คือ เกิดจากสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่อยู่ใต้พื้นดินคายก๊าซมีเทนออกมา กระบวนการนี้เกิดขึ้นบนโลกตลอดเวลา สัตว์ แบคทีเรีย และการย่อยสลายของสารอินทรีย์ล้วนคายก๊าซมีเทนสู่บรรยากาศ มีเทนในบรรยากาศโลกเกือบทั้งหมดเกิดจากกระบวนการนี้
            แม้ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์จะคงยังสำรวจดาวอังคารอย่างต่อเนื่องและมีโครงการจะอพยพมนุษย์ขึ้นไปอาศัยอยู่บนนั้น ถ้าหากในอนาคตโลกไม่สามารถอาศัยอยู่ได้อีกต่อไป ดาวอังคารบางทีก็เรียกกันว่า”ดาวแดง “ เพราะผิวพื้นเป็นหินสีแดง หินบนดาวอังคารที่มีสีแดงก็เพราะเกิดสนิม ท้องฟ้าของดาวดังคารเป็นสีชมพู เพราะฝุ่นจากหินแดงที่ว่านี้   ผิวของดาวอังคารเหมือนกับทะเลหินแดง มีก้องหินใหญ่และหลุมลึก ภูเขาสูง หุบ เหว และเนินมากมาย หนึ่งปีบนดาวอังคารเกือบเท่าสองปีโลก  แต่หนึ่งวันบนดาวอังคารจะนานกว่าครึ่งชั่วโมงโลกเพียงเล็กน้อย ดาวอังคารมีอากาศห่อหุ้มอยู่ไม่มากและเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลมพัดแรงจัดทำให้ฝุ่นฟุ้งไปทั้งดวงดาว ดาวอังคารมีขนาดโตประมาณครึ่งหนึ่งของโลก ดาวอังคารอยูไกลดวงอาทิตย์มากกว่าโลกจึงทำให้มีบรรยากาศหนาวเย็น อุณหภูมิบนดาวดวงนี้จะต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง
        ปัจจุบันมีข้อมูลเกี่ยวกับดาวอังคารค่อนข้างมาก แม้ว่าดูจากภาพถ่ายแล้ว พื้นผิวดาวอังคารมองดูคล้ายกับทะเลทราย หรือคล้ายกับภูเขาไฟบนโลก แต่สภาพบรรยากาศนั้นแตกต่างกัน เราลองสัมผัสบรรยากาศดูจะพบกับความกดดันที่ต่ำกว่าโลกเล็กน้อย ประมาณ 1% รอบๆตัว ขณะยืนอยู่บนดาวอังคาร สูดหายใจได้บ้างแต่อึดอัดเพราะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากถึง 95% ที่เหลือเป็นอาร์กอนและก๊าซไนโตรเจน เหตุขาดแคลนก๊าซออกซิเจนเพราะไม่มีชั้นบรรยากาศโอโซน (Ozone layer) ด้วยผลกระทบจากรังสีอุตตร้าไวโอเลทของดวงอาทิตย์ ทำให้ชั้นโอโซนของดาวอังคารเสียหายมีความผิดปกติมานาน หนึ่งวันของดาวอังคารมี 24.6 ชั่วโมง ถือว่าใกล้เคียงกับโลก ถ้าเราอยากจะสัมผัสฤดูกาลทั้ง 2 ฤดู บนดาวอังคารต้องใช้เวลา 20 เดือน ซึ่งเท่ากับโลก 1 ปี เมื่อเทียบกับเวลาโลก เพราะดาวอังคารหมุนรอบดวงอาทิตย์ช้ากว่าโลก ทำให้ทุกฤดูกาลยาวนานกว่าโลก เนื่องด้วยวงโคจรลักษณะเป็นรูปไข่และแกนเอียง 25 องศา ทำให้เกิดฤดูแตกต่างกันสองแบบ ระหว่างขั้วเหนือและขั้วใต้ โดยขณะที่ดาวอังคารเริ่มมีระยะห่างจากดวงอาทิตย์จะโคจรช้าลง ด้านขั้วเหนือเกิดฤดูร้อนที่ยาวนานมีลมเย็น -5 องศาเซลเซียส ส่วนด้านขั้วใต้ เกิดฤดูหนาวยาวนานที่จุดเหยือกแข็ง  – 87 องศาเซลเซียส มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลักษณะเป็นน้ำแข็งแห้ง (Dry ice) ปกคลุมเหมือนหมวกครอบบนขั้วมีความหนา เรียกว่า Polar caps (บริเวณปกคลุมขั้วน้ำแข็ง) โดยรวมแล้ว ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 1 ใน 3 บนดาวอังคารจะเคลื่อนตัวไปมาตามกลไกอากาศระหว่างด้านขั้วเหนือและขั้วใต้ ปรากฎการณ์ดังกล่าวบางครั้งเกิดพายุฝุ่นขนาดใหญ่เข้ามาสมทบ พัดพาสิ่งต่างๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงของเนินทรายขนาดใหญ่บนพื้นผิวมีสีสันต่างกัน  เพราะฉะนั้นในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา การสำรวจด้วยกล้องที่นักดาราศาสตร์โบราณมองจากโลกจึงเข้าใจผิดว่าเป็นการเปลี่ยนของพืชพันธ์ไม้และมีคลองชลประทานบนดาวอังคาร ขณะยืนอยู่ที่โล่งแจ้งบนดาวอังคารเหมือนกับทะเลทรายอันว่างเปล่าแล้ว หากเป็นเวลาเดียวกับการเกิดพายุก็มีโอกาสได้รับบาดเจ็บได้ เพราะลักษณะพายุเป็นลมหมุนแบบโทนาโด มาพร้อมกับก้อนหินมากมาย คล้ายกับพายุลูกเห็บบนโลกเรียกว่า Dust devils บนดาวอังคารเรียกว่า Wind vanes (ลมพายุใบจักร) ทั้งนี้เกิดการก่อตัวพราะความร้อนสะสมจากดวงอาทิตย์บริเวณพื้นผิว ส่วนมีลักษณะหมุนก็เพราะกระแสลมแรงพัดแบบสลับทิศทางกัน
             ตลอดทั้งปีบนดาวอังคารบนพื้นผิวเราจะพบแต่ลมพายุฝุ่นเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้สภาพอากาศ สะเก็ดเล็กๆของฝุ่นผงกระจัดกระจายทั่วไป เมื่อมองผ่านแสงแดดจะเห็นเป็นแสงสีฟ้ามากกว่าแสงสีแดงเหมือนบนโลก หากบริเวณที่มีแสงน้อยมองเห็นสภาพบรรยากาศเป็นสีน้ำเงินเข้มจนออกสีเทาดำ แต่ในชั้นบรรยากาศกลับตรงกันข้าม กลุ่มฝุ่นหมอกจะดูดกลืนแสงสีฟ้า เราเงยหน้ามองฟ้าบนดาวอังคารจะเห็นท้องฟ้าเป็นสีน้ำตาล ความจริงสิ่งที่เห็นเป็นการสะท้อนผงฝุ่นในอากาศ เป็นสภาพที่เราพบเห็นเหมือนท้องฟ้าในเมืองใหญ่ที่มีเขม่าพิษ จากควันไอเสีย อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับฤดูกาลของดาวอังคารด้วย โดยทั่วไปถ้าเราตื่นตอนเช้าบนดาวอังคารจะ เห็นท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินอมเขียวถึงเวลากลางวัน บรรยากาศท้องฟ้าอาจจะมีสีเหลืองอมสีน้ำตาล หรือบางครั้งก็มีสีที่ต่างๆออกไปอีก ส่วนตกเย็นบรรยากาศเป็นสีน้ำเงินอมเขียวเช่นเดียวกับตอนเช้า การสำรวจพื้นผิวทางธรณีวิทยาดาวอังคาร พบเห็นร่องรอยหลุมจากการชนปะทะของอุกกาบาตเช่นกัน ข้อแตกต่างกันของด้านขั้วเหนือและขั้วใต้ แนวด้านขั้วใต้มีลัษณะเป็นที่ราบสูงพบหลุมอุกกาบาตมีความลึกและใหญ่มากมาย ส่วนด้านขั้วเหนือเป็นที่ราบต่ำหลุมไม่ใหญ่นักพบจำนวนไม่มากรวมทั้งภูเขาไฟจำนวนน้อยกว่าด้านขั้วใต้ แผ่นเปลือกดาวอังคารมีเหมือนแผ่นเปลือกโลกเช่นกัน เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของภูเขาไฟโดยมีหุบเขาที่ยาว และลึกมากกว่าของโลกโดยเฉพาะ ภูเขาไฟ Olympus Mons มีโครงสร้างคล้ายคลึงกับภูเขาไฟฮาวาย และ Valles Marineris มีหน้าผาคล้ายเช่น Grand Canyon ในอเมริกา บนดาวอังคารนั้นพบหลักฐานบ่งชี้ชัดว่ามีจุลชีพขนาด เล็กมากอาศัยอยู่ทำให้เชื่อได้ว่าบนดาวอังคารต้องมีแหล่งน้ำ การค้นหาแหล่งน้ำในอดีตพบถึงแนวไหลของน้ำเหมือนคลองที่แห้ง รอยกัดเซาะจากปริมาณน้ำที่ล้นฝั่ง แต่ก็ยังอธิบายไม่ได้ว่า น้ำเกิดขึ้นบนดาวอังคารด้วยสภาพอากาศแบบใด หรือเกิดจากน้ำใต้ดิน การใช้เครื่องมือพิเศษทำการตรวจสอบ มีความแน่ใจว่าพื้นผิวดาวอังคารเต็มไปด้วยร่องรอยรูปแบบการกัดเซาะของน้ำเหมือนบนโลก เชื่อว่าบริเวณขั้วที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งแห้ง น่าจะเก็บร่องรอยอดีตนับพันล้านปีเอาไว้ ถ้าเช่นนั้นน้ำเหล่านั้นหายไปไหน ประการแรก ปกติน้ำมีการระเหยตัวสู่อากาศได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว ส่วนประการที่สอง บางส่วนที่ยังคงอยู่ หากมีการเปลี่ยนแปลงสถานะเป็นน้ำแข็งจมอยู่ใต้ผิวดิน แต่ถ้าน้ำแข็งเหล่านั้นยังคงมีอยู่ ความร้อนของภูเขาไฟจะทำให้ละลายไหลออกมาได้
            เหล่านักวิทยาศาสตร์ยังคงถกเถียงกันเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารมาจนถึงทุกวันนี้ ท่านอาจารย์ (Supreme Master Ching Hai) ได้กรุณานำข้อมูลบางส่วนของดาวอังคารมาเปิดเผยในรายการทีวีสุพรีมมาสเตอร์(www.SupremeMasterTV.com) ซึ่งแพร่ภาพไปทั่วโลก ท่านอาจารย์กล่าวว่าข้อมูลนี้ได้จากการจดบันทึกระหว่างที่ท่านนั่งสมาธิในยามดึกดื่นคืนหนึ่ง โดยผมคัดและเรียบเรียงมาจากการถาม-ตอบระหว่างท่านอาจารย์และลูกศิษย์ เนื้อความคร่าวๆ มีดังต่อไปนี้
           เมื่อ 40 ล้านปีที่แล้ว ดาวอังคารยังเป็นดวงดาวที่มีสภาพเหมือนกับโลก กล่าวคือมีอากาศ น้ำ ป่า แผ่นดิน มหาสมุทร ฯลฯ ดาวอังคารมีสิ่งมีชีวิตทั้ง คน พืช และสัตว์ ทุกสิ่งใกล้เคียงกับโลกมาก ต่างกันตรงที่มนุษย์ดาวอังคารได้พัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปไกลล้ำหน้ากว่าโลกมากเท่านั้น ดาวอังคารขณะนั้นมีจำนวนประชากรประมาณ 1,000 ล้านคน ลักษณะของมนุษย์ดาวอังคารก็มีความคล้ายคลึงกับมนุษย์โลก แม้จะมีวงโคจรที่อยู่ห่างดวงอาทิตย์มากกว่าโลก แต่ก็มีชั้นบรรยากาศที่คอยรักษาความอบอุ่นให้แก่ดวงดาว การพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่รวดเร็วเกินไปไม่สมดุลกับการพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณนำความหายนะมาสู่ดวงดาว ในที่สุดดาวอังคารเกิด”ภาวะเรือนกระจก” แก๊สเรือนกระจกจากภาคการปศุสัตว์และการเผาป่าเป็นสาเหตุหลักที่ถูกปล่อยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศจนหนาแน่นเกินกว่าที่ธรรมชาติอย่างมหาสมุทรและป่าไม้จะกำจัดส่วนเกินออกไปได้ ผลก็คืออุณหภูมิดวงดาวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 5 ปีก่อนหน้านั้นมีการเตือนเรื่องภัยพิบัติจากกูรูโดยเฉพาะผู้นำทางจิตวิญญาณที่รู้แจ้ง ซึ่ง ณ ขณะนั้นมีเพียงท่านเดียว(เป็นผู้ชาย) และบางคนที่สามารถล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าหรือล่วงรู้กฎแห่งกรรมบนดาวอังคาร แต่มนุษย์ดาวอังคารส่วนใหญ่ตอนนั้นยังคงเพิกเฉยและไม่เชื่อว่าดวงดาวของตนจะถึงจุดสิ้นสุด จึงไม่มีการเตรียมพร้อมหรือแก้ไขอะไร เมื่อภาวะเรือนกระจกขึ้นไปถึงจุดวิกฤตเข้าขั้นหายนะ  การทำลายล้างครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้นภายในช่วงเวลาแค่ 2 เดือน อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ชั้นดินเยือกแข็งหรือเพอร์มาฟรอสต์ (permafrost) ละลายปล่อยแก็สมีเทนและคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นแก็สเรือนกระจกสะสมในบรรยากาศมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้อุณหภูมิของดวงดาวเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถควบคุมได้ ส่งผลให้อุณหภูมิน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น ความร้อนแพร่ลงสู่ก้นมหาสมุทรกระตุ้นให้เกิดการปล่อยแก็สไฮโดรเจนซัลไฟด์ (แก็สไข่เน่า : H2S) และแก็สไนโตรเจนออกไซด์ (NO2) ในช่วงแรกและตามมาด้วยแก็สมีเทน (CH4)ในช่วงหลัง ซึ่งส่วนใหญ่สะสมอยู่ที่ใต้พื้นมหาสมุทรและทะเลสาบต่างๆ ผลก็คือมนุษย์ดาวอังคารได้รับแก็สพิษและเกิดภาวะขาดออกซิเจน ตายอย่างช้าๆ ด้วยความทุกข์ทรมานภายในเวลา 4 วัน
การที่ไม่มีการเตรียมพร้อมทำให้สิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารถึง 90 เปอร์เซ็นต์สูญพันธุ์ทันทีรวมทั้งมนุษย์ในช่วงเวลาเพียง 2 เดือน ต่อมาอีก 1 เดือนสูญพันธุ์อีก 5 เปอร์เซ็นต์ 3.8 เปอร์เซ็นต์อีกหนึ่งเดือนถัดมาและอีก 1 เปอร์เซ็นต์ในเวลาต่อมา ทำให้มนุษย์ดาวอังคารเหลือเพียง 0.2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่รอดชีวิตซึ่งมีประมาณ 2 ล้านคน พวกที่รอดชีวิตกลุ่มแรกเป็นพวกที่สามารถหลบหนีลงสู่ใต้ดิน หลุมลึก อุโมงค์ หรือถ้ำได้ทัน โดยพวกเขาได้มีการเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อน ด้วยการขุดอุโมงค์หรือถ้ำใต้ดินเอาไว้และบางส่วนเป็นถ้ำตามธรรมชาติ มีการกักตุนอาหาร นำอุปกรณ์เทคโนโลยี่ และนำสัตว์เลี้ยงบางส่วนลงสู่ใต้ดิน ด้วยพื้นที่แออัดคับแคบทำให้คนที่เหลือรอดพวกแรกๆ เริ่มทำการขุดอุโมงค์ขยายออกไปเรื่อยๆ เดิมทีภายหลังจากหายนะครั้งใหญ่มนุษย์ที่ลงสู่ใต้ดินมีอยู่กระจัดกระจายกันไปตามแต่ภูมิประเทศทั่วดวงดาว พวกเขาสามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้ทางโทรจิต เพราะอุปกรณ์สื่อสารทั้งหมดใช้งานไม่ได้ ระบบสาธารณูปโภคต่างๆล้มเหลว มนุษย์ดาวอังคารที่เหลือรอดจำนวนหนึ่งในสี่มีความสามารถในการใช้โทรจิตเพื่อการติดต่อสื่อสาร พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นมังสวิรัติหรือวีแกนและเป็นผู้ปฏิบัติธรรมวิถีกวนอิมแทบทั้งสิ้น อาจารย์ยังกล่าวว่าไม่เพียงที่ดาวอังคารเท่านั้นที่บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม แทบทุกดวงดาวที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ในจักรวาลล้วนบำเพ็ญวิถีนี้ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงรอดพ้นจากภัยพิบัติต่างๆ ได้ นั่นก็เป็นเพราะกฎแห่งกรรม “ทำดีย่อมได้รับผลดี” นั่นเอง  
ในเวลา 20 ปีต่อมา การมีความสามารถในด้านโทรจิตของมนุษย์ดาวอังคารบางส่วนนี้เอง ทำให้กลุ่มคนต่างๆ ที่เคยอยู่กระจัดกระจายกันไปในใต้ดินกลับมารวมกันได้อีกครั้งกลายเป็นประเทศเดียว ช่วงแรกๆ ที่มีการขุดขยายอาณาบริเวณภายในใต้ดินนั้นมีความยากลำบากและต้องพบกับอุปสรรคมากมาย บางส่วนก็ต้องตายไประหว่างนั้นเพราะเกิดจากการถล่มของดินทับบ้าง แก็สพิษจากข้างบนรั่วซึมลงมาได้บ้าง ขาดอากาศ อาหารและน้ำดื่มบ้าง สำหรับมนุษย์กลุ่มที่ฉลาดกว่าได้ทำการขุดถ้ำบริเวณที่อยู่ใกล้กับแหล่งน้ำใต้ดินหรือน้ำบาดาล จะขุดลึกลงไปโดยมีเพดานสูงประมาณ 10 เมตรระหว่างพื้นดิน บ้านยกพื้นเป็นอาคาร 4-5 ชั้นสร้างจากดินโคลนทั้งหลัง (เพราะไม่มีซีเมนต์) เพื่อการอยู่อาศัยและป้องกันน้ำรั่วซึมชั้นล่าง สำหรับอากาศที่ใช้ในการหายใจ พวกเขาใช้เทคนิกพิเศษในการแยกแก็สออกซิเจนจากแหล่งน้ำใต้ดินหรือแม่น้ำบริเวณใกล้เคียง นอกจากนั้นยังมีการรีไซเคิ้ลน้ำและอากาศที่ใช้แล้วซึ่งมีอยู่อย่างจำกัดนำกลับมาใช้ใหม่อีกด้วย สำหรับแก็สไอเสียต่างๆ ก็ใช้การปั๊มปล่อยออกสู่ผิวดินด้านบนและมีการกรองอากาศ นั่นอาจเป็นสาเหตุที่นักวิทยาศาสตร์โลกพบแก็สมีเทนในชั้นบรรยากาศของดาวอังคารเมื่อไม่นานมานี้ มีการควบคุมสภาพอากาศให้คงที่เพื่อให้อุณหภูมิพอเหมาะกับสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ใต้ดิน เมื่อมีการรวมกลุ่มกันก็เริ่มมีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีมากขึ้น เกิดอารยธรรมใหม่ที่มุ่งเน้นชีวิตแบบพอเพียงและเรียบง่าย โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณเป็นหลัก นั่นเพราะพวกเขาล้วนมีประสบการณ์ที่เลวร้ายมาก่อน ทานอาหารจำพวกธัญพืช ผัก ผลไม้หรือมังสวิรัติเพียง 1-2 มื้อต่อวัน คิดเป็นปริมาณหนึ่งในสี่ของอาหารของเราบนโลกต่อคนต่อวัน พวกเขาสามารถผลิตดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เทียมขึ้นเองเพื่อใช้ในการทำการเกษตร เพาะปลูกธัญพืชเพื่อใช้เป็นอาหารเส่วนใหญ่เป็นแบบไฮโดรโปนิก(ปลูกพืชในน้ำ) และให้แสงสว่างในการดำรงชีวิตภายในใต้ดิน โดยสามารถจะเปิด-ปิดมันเวลาใดก็ได้ตามต้องการ สำหรับสัตว์เลี้ยงส่วนหนึ่งเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ใต้ดินซึ่งไม่มีบนโลกเรา และบางส่วนถูกนำลงมาพร้อมกับเจ้าของเวลาเกิดภัยพิบัติ พวกเขาไม่ทานเนื้อสัตว์จึงไม่ทำการขยายพันธุ์ของพวกมัน หากแต่จะควบคุมจำนวนเอาไว้ โดยเลี้ยงเอาไว้เป็นสัตว์เลี้ยงหรือเพื่อน โดยปัจจุบันมีวัวจำนวน 32 ตัว และสุนัขอีกจำนวนหนึ่ง สัตว์ส่วนใหญ่สูญพันธุ์ไปตั้งแต่แรก ไม่มีสัตว์จำพวกนกหรือแมว สัตว์ทั้งหมดที่เหลืออยู่ถือเป็นสมบัติของชาติ หากมองไปจะพบพืช ดอกไม้ หรือต้นไม้มีความสูงไม่เกิน 3 เมตรเกือบทั้งหมด เนื่องจากพื้นที่มีจำกัดเพราะความสูงระหว่างพื้นและเพดานสูงเพียง 10 เมตร จึงมีการควบคุมการเจริญเติบโตของพวกมันเป็นอย่างดี
              เวลาผ่านมา 40 ล้านปี ปัจจุบันประชากรดาวอังคารมีประมาณ 5.8 ล้านคนล้วนอาศัยอยู่ใต้ดิน         ประชากรมนุษย์จะอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนและเลือกผู้นำโดยใช้ระดับสติปัญญา คุณธรรมหรือระดับชั้นทางจิตวิญญาณเป็นเกณฑ์วัด ไม่ใช่ความอาวุโส และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ คนทุกสาขาอาชีพสามารถถูกเลือกมาเป็นผู้นำได้ โดยไม่ได้จำกัดอายุ การศึกษา หรือวงค์ตระกูล สำหรับคู่ครองที่อยู่ร่วมกันจะมีความรับผิดชอบและให้เกียรติกัน มีการคุมกำเนิดโดยใช้วิธีแบบธรรมชาติ ควบคุมจำนวนประชากรไม่ให้หนาแน่นเกินไปเพราะข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ เนื่องจากการเป็นวีแกนหรือมังสวิรัตินี้เองทำให้พวกเขามีสุขภาพแข็งแรงมากและแก่ช้า การไม่มีมลพิษ ไม่มีความเครียด ไม่เจ็บป่วยหรือเป็นโรคต่างๆนาๆ ทำให้เมืองใต้ดินของดาวอังคารไม่มีแพทย์ พยาบาลหรือโรงพยายาบาล มนุษย์ดาวอังคารจึงมีอายุยืนถึง 200 ปี ระบบการปกครองที่เรียบง่ายแบบรัฐสภาแตกต่างจากโลกเราอย่างสิ้นเชิง รัฐบาลจะมีผู้นำมาจากการเลือกตั้งซึ่งปัจจุบันเป็นราชินี (บางครั้งก็เป็นราชา) จะเพียงคอยให้คำปรึกษาหรือตอบคำถามเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ไม่มีการเก็บภาษี ไม่มีการควบคุมบังคับหรือบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เพราะมนุษย์ดาวอังคารมีวินัยเป็นอย่างยิ่ง ทุกคนปรองดองกัน ไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีการปฏิวัติ ไม่มีการฉ้อโกงหรือติดสินบน ไม่มีการลักขโมย ไม่มีโจรหรือผู้ร้าย ไม่ทำลายกัน จึงไม่จำเป็นต้องมีกองทัพ ไม่มีอาวุธ ไม่มีคุกหรือเรือนจำ ไม่มีเงิน ทุกครอบครัวต่างทำงานตามความสมัครใจ ตามพรสวรรค์และความถนัดของตนแบบอิสระไม่มีนายจ้าง ไม่มีค่าจ้าง จากนั้นจะนำผลผลิตที่ได้เหล่านั้นมาแบ่งปันกัน ไม่มีตลาดค้าขาย ทุกคนต่างช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกันอย่างดีจึงไม่มีคนจนและคนรวย ทุกคนต่างเท่าเทียมกันเคารพซึ่งกันและกัน 
            ประวัติศาสตร์การทำลายล้างดวงดาวอันแสนเจ็บปวด ทำให้ชาวดาวอังคารที่เหลือรอดตระหนักดีว่าการพัฒนาที่มุ่งเน้นด้านวัตถุจนละเลยด้านจิตวิญญาณนำพาดวงดาวไปสู่ทิศทางใด บรรพบุรุษรุ่นแรกๆที่เหลือรอดมาได้บันทึกเรื่องราวของประวัติศาสตร์เอาไว้อย่างละเอียด ทั้งยังมีการสร้างรูปปฏิมากรรมต่างๆไว้เพื่อเตือนใจให้แก่อนุชนรุ่นหลัง เป็นการส่งถ่ายบทเรียนอันมีค่าจากรุ่นสู่รุ่นมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ บางครั้งพวกเขาก็ขึ้นมาบนพื้นผิวดวงดาวพร้อมถังบรรจุแก็สออกซิเจน โดยสวมหน้ากากป้องกันแก็สพิษ และใช้รถหุ้มฉนวน เพื่อทำภารกิจบางอย่าง เช่นการขนส่ง เมืองใต้ดินของดาวอังคารจะมีประตูลับซ่อนเอาไว้มิดชิดและซับซ้อน เพื่อป้องกันผู้บุกรุก พวกเขาจะเข้าและออกอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้มนุษย์จากดวงดาวอื่นจะทันสังเกตเห็น รถยนต์และยานพาหนะส่วนใหญ่ของดาวอังคารมีลักษณะกลมแบนคล้ายจาน ซึ่งมีส่วนคล้ายกับยูเอฟโอ รถยนต์ที่หุ้มฉนวนเหล่านี้เอนกประสงค์มาก เพราะมันสามารถบินได้เหมือนเครื่องบินและวิ่งได้บนท้องถนน เหตุผลที่ยานพาหนะส่วนใหญ่ของดาวอังคารมีลักษณะกลมแบนก็เพราะมันสามารถลดแรงเสียดทานจากอากาศได้มากทำให้ประหยัดพลังงาน นอกจากนั้นยังสะดวกในการเลี้ยวเปลี่ยนทิศได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลาเดินหน้าถอยหลังเหมือนกับยานพาหนะบนโลกที่ส่วนใหญ่เป็นทรงเหลี่ยม  สำหรับรถขนส่งสาธารณะจะใช้ไฟฟ้าทั้งหมด เป็นรถที่ใช้เคเบิ้ลไฟฟ้า ไม่ใช้แก็ส รถที่มีลักษณะกลมคล้ายจานมีความเร็วตั้งแต่ 100 ไมล์ต่อชั่วโมงขึ้นไป บางคันวิ่งได้ 300 ไมล์ต่อชั่วโมง สำหรับสูงสุดวิ่งได้ถึง 500 ไมล์ต่อชั่วโมง รถขนส่งสาธาณณะ รถยนต์ และจักรยานเป็นของส่วนรวมทุกคนเป็นเจ้าของสามารถนำไปใช้ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เช่นเดียวกับไฟฟ้าและน้ำ ล้วนเป็นของฟรีทั้งสิ้น มนุษย์ดาวอังคารไม่ต้องการติดต่อกับโลกของเราตลอดระยะเวลายาวนานที่ผ่านมา สาเหตุเพราะว่ากลัวเชื้อโรคจากมนุษย์ ทั้งเชื้อโรคทางกายภาพซึ่งพวกเขาไม่มี และเชื้อโรคทางจิตวิญญาณ (โลภ โกรธ หลง) พวกเขาพอใจในสิ่งที่เป็นและเรียนรู้อยู่อย่างพอเพียง ดังนั้นจะซ่อนตัวเสมอมา และรู้สึกเป็นกังวลเมื่อยานอวกาศที่สำรวจดาวอังคารจากมนุษย์โลกเข้ามาใกล้ดวงดาว แต่ด้วยเทคโนโลยี่ที่สูงส่งของพวกเขาทำให้มนุษย์เราไม่เคยรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของพวกเขา ซึ่งปัจจุบันมนุษย์โลกเริ่มสงสัยดาวอังคารมากขึ้นจากการค้นพบทางวิทยาศาสตร์มากมายในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ พวกเขาจึงยิ่งวิตกกังวลมากยิ่งขึ้น
            มนุษย์ดาวอังคารไม่ต้องทำงานหนัก ไม่มีทำงานล่วงเวลา (O.T.) ทำให้พวกเขามีความสุขและผ่อนคลายกว่ามาก พวกเขาปลูกหญ้าและสร้างสวนดอกไม้เพื่อความเพลิดเพลิน มีความบันเทิงในรูปแบบต่างๆ มากมาย มีโรงละคร(ไม่มีละครสัตว์) โรงภาพยนต์ ทีวี วิทยุ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ มีเกมกีฬามากมาย (ไม่มีกีฬาที่ใช้ความรุนแรง เช่น มวย ชนสัตว์) เช่นว่ายน้ำ แอโรบิค มีภาพยนต์ และตลก ส่วนใหญ่เล่นเพื่อความสนุก ไม่มีการแข่งขันเพื่อเอาชนะ เทคโนโลยี่ต่างๆ มีความทันสมัยล้ำหน้ากว่าบนโลกอย่างเช่น อินเตอร์เนตที่มีความเร็วสูง สามารถดาวน์โหลดหรืออัพโหลดได้ทันทีเหมือนกับการส่งแฟกซ์หรือถ่ายเอกสาร ไม่เสียเวลาเป็นชั่วโมงเหมือนอินเตอร์เนตบนโลก ทั้งยังไม่มีไวรัส ไม่เสียบ่อย เช่นเดียวกับเครื่องจักรกลทุกชนิดบนดาวอังคารที่มีคุณภาพสูง แทบจะไม่เคยเสียต้องซ่อมเลย นอกจากนั้นยังสามารถดูทีวีและเล่นอินเตอร์เนตระหว่างดวงดาวที่ห่างไกลนับล้านๆไมล์ได้อีกด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ความเป็นไปของโลกเราอย่างต่อเนื่องและกำลังเฝ้ามองดูเราอย่างเงียบๆ ตลอดมา แน่นอนการที่มนุษย์บางส่วนของดาวอังคารสามารถสื่อสารทางโทรจิตและบางส่วนล่องหนหายตัวได้ พวกเขาจึงไม่มีความจำเป็นต้องเดินทางมายังโลกหรือดวงดาวอื่นๆ โดยใช้ร่างกาย ซึ่งในความเป็นจริงพวกเขาก็แทบไม่เคยเดินทางมายังโลกเราเลยด้วยซ้ำ นอกจากการติดต่อทางโทรจิตสำหรับคนพิเศษบางคนเท่านั้น ดังนั้นเรื่องราวที่มนุษย์เข้าใจไปเองว่ามนุษย์ต่างดาวจะมายึดครองโลกจึงไม่มีมูลความจริงแม้แต่น้อย เพราะถ้าพวกเขาต้องการจริงๆ ก็คงทำไปนานแล้ว และด้วยเทคโนโลยี่ที่พวกเขามีอยู่ มนุษย์โลกคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาอย่างแน่นอน 
           ด้วยระดับทางจิตวิญญาณที่สูงส่ง ทำให้มนุษย์ดาวอังคารไม่มีความปรารถนาจะยึดครองโลกหรือดาวดวงใดก็ตาม ถึงแม้พวกเขาจะมีความสามารถที่จะกระทำได้ ลักษณะภายนอกของพวกเขาคล้ายคลึงกับมนุษย์ของโลกเราอยู่มาก หากแต่ดูสง่างามกว่า ดูสุขภาพดีกว่า แข็งแรงกว่า มีแสงสว่างมากกว่า เยือกเย็นกว่า และดูมีเมตตามากกว่า นอกจากนั้นหากได้พบพวกเขาเราจะไม่สามารถคาดคะเนอายุของพวกเขาได้เลย เพราะพวกเขาจะดูอ่อนเยาว์กว่าอายุอยู่มาก บางคนอายุมากแล้ว แต่ยังดูเยาวัยมากเหมือนเด็กๆ การไม่มีความเครียดทำให้มนุษย์ดาวอังคารมีอายุยืนยาวถึง 200 ปี ร่างกายมีภูมิคุ้มกันสูง ดาวอังคารปัจจุบันไม่มีศาสนาพวกเขาล้วนบำเพ็ญวิถีธรรมเดียวกัน  เรียบง่าย ทำสมาธิ คิดถึงพระเจ้าภายในตัวเอง บำเพ็ญวิถีแห่งแรงสั่นสะเทือนซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งก็คือธรรมวิถีกวนอิมและเกือบทั้งหมดล้วนเป็นมังสวิรัติ ในปัจจุบันมีอาจารย์ผู้รู้แจ้งระดับสูงถึง 2 ท่านซึ่งเป็นผู้นำทางด้านจิตวิญญาณ มนุษย์ดาวอังคารเรียนรู้จากหายนะที่เกิดขึ้นกับดวงดาวของตนในอดีต ซึ่งกำลังเกิดขึ้นกับโลกของเราในปัจจุบันนี้ นั่นคือ “ภาวะโลกร้อน (Global Warming)” พวกเขารู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับโลกของเราซึ่งมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตของพวกเขาเมื่อ 40 ล้านปีก่อน และรู้ว่ามนุษย์โลกสามารถจะเปลี่ยนแปลงอนาคตของตัวเองได้ มนุษย์อ่อนแอเกินไปที่จะสามารถอาศัยอยู่ใต้ดินเหมือนมนุษย์ดาวอังคาร ประกอบกับเทคโนโลยี่ที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอและไม่สามารถเทียบได้กับดาวอังคาร ทำให้โลกตกอยู่ในอันตรายหากยังไม่สามารถลดแก็สเรือนกระจกลงได้ อุณหภูมิของโลกก็อาจเพิ่มสูงขึ้นไปถึงจุดวิกฤตในเวลาอันใกล้นี้ เร็วกว่าที่นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายได้คาดการณ์กัน นั่นเองเป็นเหตุผลให้มนุษย์ดาวอังคารที่เฝ้ามองโลกอยู่รู้สึกห่วงใยต่ออนาคตของโลกโดยที่พวกเขาไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เพราะนี่เป็นกฎแห่งกรรมซึ่งมนุษย์โลกจะต้องเป็นผู้เลือกเองและได้ส่งผ่านข้อความอันเป็นเสมือนคำเตือนโดยผ่านท่านอาจารย์มา โดยข้อความแรกมาจากวุฒิสภามีความว่า “มีคุณธรรม” ส่วนข้อความที่สองมาจากประธานพลเมืองมีความว่า “รักษาบ้านของคุณก่อนที่มันจะสาย” อาจารย์ยังกล่าวอีกว่ามันเป็นเรื่องง่ายที่จะหยุดยั้งหายนะของโลกครั้งนี้นั่นคือ โยนเนื้อสัตว์ทิ้งไปทันที ปล่อยให้สัตว์อยู่ของมันอย่างนั้น เปลี่ยนมาเป็นมังสวิรัติหรือวีแกน โลกก็จะเปลี่ยนแปลงทันทีไปสู่ความสงบสันติ หากมนุษย์โลกยังเพิกเฉยเหมือนที่เป็นอยู่ ก็จะไม่มีใครรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับโลกนี้ต่อไป ซึ่งอาจจะมีจุดจบเหมือนดาวอังคารเมื่อครั้งในอดีต “ตื่นขึ้น ตื่นขึ้น ก่อนจะสาย”.........





3_mars_young.jpg

1_mars_ascraeus.jpg

2_mars_landscape.jpg

3_mars_aram_chaos.jpg

2_mars_winter.jpg

4_mars_3-5-year.jpg

4_polar_caps.jpg

16_mars_tonado.jpg

5_layered_sand.jpg

6_layered_sand.jpg

7_sunrise.jpg

8_mars_light.jpg

9_mars_light.jpg

10_mars_vulcanoes.jpg

11_mars_oval.jpg

12_mars_crater.jpg

13_mars_olympus.jpg

14_mars_ancient_icy.jpg

15_mars_marineris.jpg


ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
http://www.suprememastertv.com/bbs/board.php?bo_table=environment&wr_id=28&goto_url=				
31 กรกฎาคม 2553 14:24 น.

Innocent heart of a pure soul

คีตากะ

This happened between a boy who is now 16 year and a mother. The little boy has been vegetarian since he was born.
When the boy was 5 year old at supermarket, his mother asked, “how do you know what is vegetarian and what is not?” the little boy said, “it depends on if they have eyes, nose, and mouth. Do you see the eyes on vegetable?”
When the boy was age 10, the mother asked, “why cannot you eat the living meat?” the boy held his mother’s hand tightly and innocently said, “mom, do you love me?” “of course I do.” Mother replied. The little boy continued and said. “what if there is someone who want to bite me? What would you do?” mom said, “I will not allow them.”
Later on, the mother cannot help but ask, “So then, why cannot you eat the dead meat?” the boy looks lovely with his clean face and said, “mom, do you still love me?” “Of course I do,” mom replied. “What if I dead, and you bury my body and someone dug it up and ate it; what would you do?” the boy asked. “I am going to fight with them,” the mother replied.
At age 16, the boy now already grown up strong, tall, well-built and intelligent-remain a committed vegetarian. He wants to be lawyer; after many discussions, the boy said, “The universal law is that if there is life, the laws between one or another among living creatures, including animals, are all the same. Yet, we human beings are selfish; we only obey our own laws and disregard the universal law-the law of the one, the law of unity.”

The mother asked: “how do you distinguish people and how do you tell if they have an open-mind?” the boy said, “people’s hearts are like doors. Some have swing doors,easily coming and easily going. Some doors have locks and they need the right keys to get in them. Some doors have keys, but the locks will run around all the time. The key has to chase after the locks. Some doors have big mouths on the top. When someone approaches the door, the mouth will attack. Some doors have no locks, no keys, but at the right time both keys and locks appear all together.”				
Lovers  0 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 0 คน
Lovers  4 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ