10 มีนาคม 2554 14:03 น.

จะเป็นเศรษฐีเงินล้านได้อย่างไร?....

คีตากะ

1686744f1h2ve1yeo.gifปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
     ประเทศนิวซีแลนด์ 27 เมษายน 2543 (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)




      เมื่อเธอบำเพ็ญทางจิตวิญญาณ เธอจะมีทุกสิ่งทุกอย่าง ตัวอย่างเช่น บัดนี้เธอจะมีเพื่อนมากกว่าที่เธอเคยนึกฝันมาก่อน เธออาจจะมีบุตรมากกว่าและทำงานหนักกว่าแต่ก่อน และมีเงินมากกว่า พวกเธอบางคนอาจเป็นเช่นนี้ และอาจจะมีหน้าที่การงานที่ดีกว่า หรือกระทั่งหากเธอมีจำนวนเงินเท่าเดิม เธอก็จะทราบวิธีที่จะจัดการกับมันได้ดีกว่า และดังนั้นเธอจึงมีมากกว่าแต่ก่อน เธอจะเดินทางมากกว่าที่เคยเดินทางมาก่อนด้วยเงินจำนวนเท่าเดิม เพราะเธอทราบว่าจะทำสิ่งต่างๆ ให้ดีกว่าได้อย่างไร และด้วยเหตุนี้เธอจึงมีความสุขมากกว่า เธอมีมากกว่าแต่ก่อน ถึงแม้ว่าบางทีรายได้ของเธอจะเท่าเดิม

ผู้บำเพ็ญวิถีกวนอิมเป็นประตูสู่สวรรค์
    ฉันอ่านบทความในวารสารเรื่อง “จะเป็นเศรษฐีเงินล้านได้อยางไร” เธออยากฟังเรื่องนี้ไหม? (อยาก) มันกล่าวไว้อย่างเป็นเหตุเป็นผลยิ่งนัก ถ้าเรามอบเงินออกไปเป็นจำนวนมาก จำนวนมันไม่มาก แต่สำหรับเรา มันมาก แท้จริงแล้วมันก็มากเช่นกัน เงินจำนวนล้านๆ ดอลลาร์มิใช่เงินจำนวนเล็กน้อยสำหรับโลกนี้ ถึงแม้เราไม่สามารถเปรียบเทียบตัวเรากับบิล เกทส์ (ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัทไมโครซอฟท์ หนึ่งในผู้ร่ำรวยที่สุดในโลก ซึ่งมอบเงินไปเป็นจำนวนมาก) เราเป็น “เกทส์ (แปลว่าประตู) ที่แตกต่างไป แต่เราก็เป็นประตูเช่นกัน (เสียงหัวเราะ) “กวนอิมฝ่าเหมิน” แปลว่า “ประตูสู่สวรรค์ ประตูสู่โลกของพระเจ้า” เราก็บริจาคเงินจำนวนมากเช่นเดียวกัน เมื่อเทียบกับปริมาณที่เรามีอยู่ ผู้อื่นก็คิดว่ามันมากเช่นเดียวกัน! มันไม่มากหรอกเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ หรือธนาคารโลก แต่มันมากเมื่อเทียบกับรายได้ของเรา เมื่อเทียบกับการกระทำทั่วๆ ไปของคน คนส่วนใหญ่มักจะไม่ให้มากมายเช่นนั้น
    ดังนั้นฉันจะให้ และคนจำนวนมากก็จะคิดว่า ฉันร่ำรวยมาก ฉันรวยเช่นกัน แต่ไม่มากเท่าที่พวกเขาคิด ซึ่งก็ดีอยู่ แต่หากพวกเขามาหาเรา สมมุติว่า หากเขาเป็นฉันและมีเงินจำนวนขนาดนั้น พวกเขาจะไม่ดูร่ำรวยแบบนั้น พวกเขาจะไม่สามารถให้ได้มากขนาดนั้น มิใช่เพราะว่า พวกเขาไม่ต้องการให้ เป็นเพียงเพราะว่าพวกเขาไม่ทราบว่าจะจัดการได้อย่างไรจึงจะได้ให้ประโยชน์มากขนาดนั้น
    ดังนั้นเมื่อฉันอ่านบทความ ฉันจึงคิดว่า มันเข้าท่าไม่เบา ฉันก็ทำเช่นนั้นมาหมดแล้ว วิธีการว่า “ทำอย่างไรจึงจะกลายเป็นเศรษฐีเงินล้าน” ฉันทราบมาหมดแล้ว แต่เมื่อฉันอ่านบทความ มันดูราวกับว่า ฉันเขียนมันขึ้นมาด้วยตนเองเพราะมันช่างเป็นธรรมชาติ คือบางคนทำเช่นนี้ได้โดยธรรมชาติ แต่ก็เป็นเพราะเรารู้แจ้งด้วย เราบำเพ็ญวิถีแห่งการรู้แจ้ง และวิถีแห่งรัก และเรามีความต้องการเพียงน้อยนิดยิ่งนักในโลกนี้
    เช่นเดียวกับที่เธอเป็นอยู่ขณะนี้ เมื่อก่อนเธอมีสิ่งของมากมาย แต่เธอยังคงคิดว่าเธอมีไม่เพียงพอ แต่บัดนี้ไม่ว่าเธอจะมีมากน้อยเพียงใด มันก็เพียงพอสำหรับเธอ เธอยังคงสามารถมานิวซีแลนด์ ประเทศไทย หรือฌานใดๆ ก็ตาม ขึ้นอยู่กับว่า เธอได้วันหยุดหรือไม่ เธอสามารถจัดการให้เพียงพอได้เสมอ และนั่นเป็นสิ่งมหัศจรรย์ และเธอจะรู้สึกว่าเธอมีเพียงพออยู่เสมอ และเธอจะรู้สึกว่าได้รับความรักตลอดเวลา ฉันเป็นเพียงคนผู้หนึ่ง แต่พวกเธอจะรู้สึกว่า ฉันรักเพียงคนเดียว จะรู้สึกว่าฉันมีความรักเพียงพอให้กับทุกๆ คน นั่นเป็นเพราะเราบำเพ็ญวิถีแห่งรัก
    เราจะทราบวิธีที่จะรู้สึกเพียงพอ คล้ายกับทราบวิธีที่จะเก็บเงินเพื่อให้ร่ำรวยขึ้น ไม่จำเป็นต้องเป็นเพราะว่าเธอมีรายได้มากขึ้น แต่เป็นเธอเก็บสะสมมากขึ้นและประสงค์สิ่งซึ่งไร้ความจำเป็นน้อยลง และเมื่อนั้นเธอจะเก็บเงินได้มากขึ้น! ดังนั้นเมื่อเธอเก็บเงินได้ 1 ดอลลาร์ ก็เสมือนเธอมีรายได้มากขึ้นอีก 1 ดอลลาร์ และมันยิ่งดีกว่าการมีรายได้มากขึ้น 1 ดอลลาร์ เพราะเมื่อเธอเก็บเงินได้ 1 ดอลลาร์ เธอไม่จำเป็นต้องทำงานเพื่อหามันมา เธอเพียงตัดสิ่งซึ่งไร้ความจำเป็นออกไปบางอย่าง เมื่อก่อน เธอออกไปซื้อทุกสิ่งทุกอย่าง แต่บัดนี้เธอจะต้องคิดอย่างระมัดระวัง เมื่อก่อนเธอออกไปแล้วซื้อทุกสิ่ง แต่บัดนี้เธอมุ่งตรงไปหาเต้าหู้ เธอประหยัดเงิน เวลา และความคิด
    เมื่อก่อนเธอปรุงอาหารมากมายหลายประเภท แต่บัดนี้มีเพียงเต้าหู้และช๊อบชอย และพรุ่งนี้ก็ช๊อบชอยและเต้าหู้ เป็นชีวิตที่เรียบง่าย เมื่อก่อนเธอไปทุกหนทุกแห่งและบางทีเธอจำเป็นต้องจองห้องของโรงแรมให้กับตนเองและสามี และเสียเงินไปเป็นจำนวนมาก แต่บัดนี้เธอเพียงเตรียมเต็นท์แล้วก็ไปตั้งแคมป์อยู่ข้างนอกในอากาศบริสุทธิ์ มันเป็นธรรมชาติ ออกซิเจน...มีอยู่มากมายรอบๆ ตัวเธอเพราะเธอตั้งแคมป์อยู่ใต้ต้นไม้และบนหญ้า เธอจะรู้สึกดีเบาสบายและประหยัดด้วย
    เราอาศัยอยู่ด้วยกันและเรามีความสุข เราไม่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ในโรงแรมใหญ่โตเพื่อให้มีความสุข ความจริงแล้ว เรามีความสุขมากกว่าที่จะไปอาศัยอยู่ในโรงแรมใหญ่โตเสียอีก เพราะเรามีความคิดและความสนใจแบบเดียวกัน เรารักซึ่งกันและกัน และเราช่างรู้สึกดีอะไรเสียอย่างนั้น และอากาศ อาหาร และบรรยากาศอันเสริมสุข ภาพทำให้เราช่างรู้สึกดี
    เธอไม่จำเป็นต้องหาเงินเพิ่มขึ้น เธอเพียงต้องทราบวิธีที่จะใช้ชีวิตของเธอ เพราะเธอมีเพียงชีวิตเดียว ชีวิตนี้ ไม่ว่าฉันจะกล่าวความจริงหรือไม่ ไม่ว่าเธอจะไปสู่สวรรค์หรือไม่ หรือเธอต้องกลับมาเกิดอีกหรือไม่ ชีวิตนี้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เธอรู้จัก ถ้าเธอจัดการกับมันไม่ดี เธอจะไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระ และเธอจะไม่สามารถสุขใจกับมันได้ เธอจะต้องทำในสิ่งที่เธอต้องการทำจริงๆ และในสิ่งที่ดีกับเธอ
    แน่นอน เธอก็จะมาบอกฉันว่า ถ้าเช่นนั้นเธอก็สามารถทำสิ่งใดก็ได้ที่เธอต้องการ แต่นั่นไม่เป็นความจริง สิ่งที่ดีกับเธอคือสิ่งที่เธอควรทำ การรับประทานอาหารมังสวิรัตทำให้สุขภาพดี และการทำสมาธิจะสงบระบบประสาทของเธอ ทำให้สมองเธอแจ่มใสขึ้น เฉลียวฉลาดขึ้น และมีความรักมากขึ้น นั่นดีสำหรับเธอ มิใช่ว่าเธอไปทำอะไรก็ได้ที่เธอต้องการ แน่นอน เราจะทำอะไรก็ได้ที่เราต้องการ แต่สิ่งที่ดีกับเรานั้น...คือสิ่งที่คนฉลาดจะเลือกทำ การประหยัดเงินดีกว่าการหาเงิน สิ่งใดก็ตามที่เธอประหยัด ก็เป็นเสมือนเธอหามันมาได้ ต่างกันเพียงว่าเธอไม่ต้องออกไปทำงานหามันมา หรือกระทั่งเสียภาษีสำหรับจำนวนนี้ ทุกสิ่งที่เธอหามาได้เป็นของเธอ และเธอจะเอามันไปทำอะไรก็ได้ เธออาจให้อะไรบางอย่างที่เธอชอบกับตนเอง หรือมอบให้กับคนยากไร้ นั่นคือสิ่งที่เราทำกันอยู่ตลอดเวลา ฉันก็ทำเช่นกัน อะไรที่ฉันบอกให้เธอทำ ฉันก็ทำเช่นกัน




532236fo1y55rfbl.gifจงปฏิบัติตัวอย่างอันสมบูรณ์แบบของท่านอาจารย์
    ฉันมิได้จัดการให้เรื่องราวที่ฉันทำ ลงในวารสารข่าวทุกครั้งเสมอไป สิ่งส่วนใหญ่ที่ฉันทำมิได้เขียนไว้ในวารสาร มันอาจเขียนไว้ เพราะมีบางคนบังเอิญอยู่ที่นั่นและทราบเรื่องนี้ และเขียนรายงานในเรื่องนี้ หรือมันเป็นเรื่องทางการเช่น งานคอนเสิร์ตและทุกๆ คนจะต้องทราบ มันก็เป็นเช่นนั้นเอง มิฉะนั้นแล้ว ฉันบริจาคทุกๆ วัน ตลอดเวลา ทุกโอกาสที่ฉันมี
    มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผู้ช่วยคนหนึ่งหัวเราะและกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ เหตุไฉนอาหารร้านแมคโดนัลด์จึงราคาแพงเช่นนี้? เป็นร้านอาหารที่แพงที่สุดที่ฉันเคยเห็นมา! “ ทราบไหมว่าทำไม? เป็นเพราะว่าเมื่อเราไปที่นั่น เราเห็นคนไร้ที่อยู่อาศัยมองหาขยะอยู่ ฉันจึงให้เงินพวกเขาไปประมาณ 500 ดอลลาร์สหรัฐ นั่นคือสาเหตุที่เขากล่าวว่า “โอ พระเจ้า ท่านรับประทานเพียงมันฝรั่งทอดแล้วโค้ก 2 ถ้วยก็ราคาตั้ง 500 ดอลลาร์สหรัฐ(เสียงหัวเราะ) เราจะแบ่งปันเสมอ เมื่อใดก็ตามที่เราทำได้ เราจะเห็นผู้ไร้ที่อยู่อาศัยป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้นหรือมองหาขยะอยู่แทบตลอดเวลา และฉันก็จะทนไม่ได้ ดังนั้นฉันจึงจะให้อะไรกับพวกเขาไปบางอย่าง ฉันจะให้เท่าที่ฉันมีอยู่ ดังนั้นเขาจึงพูดเป็นเรื่องตลกไปว่า “ผมไม่เคยทราบว่าร้านแมคโดนัลด์เป็นร้านอาหารที่แพงที่สุดในเมือง” เขากล่าวว่า “เรารับประทานมันฝรั่งทอดเพียง 2 ที่และดื่มโค้กขนาดกลางเพียง 2 ถ้วย ทั้งเรายังต้องบริการตนเองแล้วยืนรออยู่ในคิว แล้วมันก็แพงเช่นนี้” เพราะในภัตตาคารชั้นหนึ่ง ท่านจะนั่งอยู่ตรงนั้น แล้วจะมีผ้าเช็ดปากและทุกๆ อย่าง แล้วบริกรก็จะมา แล้วบริการท่านราวกับเป็นพระราชาจากนั้นท่านอาจจ่ายเงินสอง สามหรือห้าร้อยดอลลาร์ แล้วแต่ แต่สำหรับเพียง 2 คน สองหรือสามร้อยดอลลาร์(6,000หรือ9,000 บาท)ก็นับว่าแพงมากแล้ว แต่เขากล่าวว่าเขาไม่สามารถจินตนาการได้ว่าร้านแมคโดนัลด์ยังแพงกว่านั้นอีก เขาเอามาเล่าให้เป็นเรื่องตลก
    ดังนั้นเรื่องราวเหล่านี้เราทำเพราะเรารักผู้อื่น เพราะพวกเขาก็คือเราอยู่แล้วนั่นเอง ดังนั้นไม่มีอะไรจะต้องมากล่าวถึง แต่บางครั้ง แน่นอน เราเขียนเรื่องเหล่านี้ในวารสารข่าว เพราะลูกศิษย์อื่นๆ ก็จำเป็นต้องเรียนรู้จากตัวอย่าง รวมทั้งเรื่องราวส่วนใหญ่ที่ฉันทำเป็นเรื่องเปิดเผย จึงสามารถให้คนอื่นรับทราบได้ เพียงเพื่อให้เราได้รับทราบในสิ่งที่เราทำ เช่นเดียวกับเธอเล่าให้ฉันฟังในเรื่องที่เธอทำและข่าวก็รายงานให้เธอทราบในเรื่องที่ฉันทำ ดังนั้นเราจึงคอยติดต่อกัน คล้ายว่าเราทราบวิถีชีวิตของกันและกันเหมือนว่าเรารู้จักกันและกัน มิใช่เพราะเราต้องการโอ้อวดต่อใครๆ ให้ทราบว่าเราทำอะไร
    หากเราประสงค์จะโอ้อวดให้ใครๆ ทราบในเรื่องเหล่านี้ เราจะเอาเรื่องเหล่านี้ลงในข่าวใน “ศูนย์ข่าวรอยเตอร์” หรือบริษัทข่าวขนาดใหญ่แห่งอื่น มิใช่เพียงเขียนเรื่องเหล่านี้ในวารสารเล็กๆ ของเรา แต่นี่ก็คือวิถีชีวิตที่เราใช้กันอยู่ตลอดเวลา มันควรเป็นวิถีชีวิตที่เราเลือก ทุกๆ คนควรทำเช่นนี้ ฉันภูมิใจในตัวเธอเป็นอย่างยิ่ง ที่พวกเธอทำเช่นนี้ตลอดเวลา ฉันทราบว่าเธอกระทำกันเป็นรายบุคคล และกระนั้นเธอก็ยังมีเงินเพียงพอเก็บกันไว้เพื่อจะมาที่นี่ มาฌานมาพบฉันเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้ เห็นไหมว่า ชีวิตของเธอร่ำรวยขึ้น มิใช่หรอกหรือ? (ใช่!) (เสียงปรบมือ)
    ฉันบริจาคตลอดเวลา แต่ฉันก็ยังมีเงินอยู่มากมาย ฉันหมายความว่าสำหรับฉันมันมาก ฉันต้องใช้อะไรเล่า? เมื่อฉันมาพบเธอ แน่นอนฉันแต่งตัวเช่นนี้ นี่ฉันออกแบบเอง ดังนั้นมันเป็นเพียงเพื่อสนุก เมื่อฉันมิได้อยู่กับเธอ ฉันถอดมันทิ้งไปอย่างรวดเร็ว เพราะมันหนักและฉันไม่ชอบมันสักเท่าใดหรอก และฉันก็รับประทาน อาจจะสักครั้งหรือ 2 ครั้ง/วัน ทานอะไรก็ตามที่เหลืออยู่หรืออะไรก็ได้ที่ทำมาใหม่ หากเป็นของใหม่ ฉันก็จะทานไป หากเป็นของเหลือฉันก็จะทาน ฉันต้องใช้อะไรเล่า? นั่นคือสาเหตุที่ฉันยังคงมีเงินจำนวนมากมาย เพราะฉันไม่ใช้จ่าย มิใช่เพราะฉันมีรายได้มากขึ้น เช่นเดียวกับเธอ เธอมีรายได้มากเท่าเดิม และเธออาจมีลูกหลานมากกว่าเดิมในขณะนี้เมื่อเทียบกับแต่ก่อน แต่เธอก็ยังคงมีเงินมากกว่าเดิม เธอยังรู้สึกว่าชีวิตร่ำรวยกว่าเดิม และเธอจะรู้สึกพึงพอใจมากกว่า เนื่องจากเธอมีมากเกินพอใช่ไหม? กลเม็ดของมันอยู่ตรงนี้




5235_1.jpgจงจัดการด้วยปัญญาเพื่อกลายเป็นเศรษฐีเงินล้าน
    คนจำนวนมากเป็นเศรษฐีเงินล้าน แต่ไม่มีใครทราบ ทุกๆ คนคิดว่าการเป็นเศรษฐีเงินล้านเป็นเรื่องยาก แต่จริงๆ แล้วมิได้เป็นเช่นนั้น และโดยเฉพาะคนที่เป็นเศรษฐีเงินล้านเรียบร้อยแล้ว เป็นเช่นนั้นอยู่ เพราะพวกเขาเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง พวกเขาประหยัดมัธยัสถ์ กระทั่งไม่ขับรถใหม่ราคาแพงๆ พวกเขาเพียงซื้อรถมือ 2 จะได้ไม่ต้องเสียภาษีของฟุ่มเฟือย เป็นต้น พวกเขาเพียงขับรถธรรมดาๆ เศรษฐีเงินล้านส่วนใหญ่ไม่ขับรถราคาแพง เขาขับรถที่สมเหตุสมผล ปลอดภัย เช่น รถฟอร์ด หรือกระทั่งรถจี๊ป ดังนั้นพวกเขาจะขับอะไรก็ตามที่ปลอดภัย พวกเขาไม่ค่อยได้ดำเนินชีวิตดังที่เราคิดว่าเศรษฐีควรจะเป็น มิฉะนั้นแล้ว เงินของเธอจะสลายไปเร็วถึงแม้ว่าเธอจะเป็นเศรษฐี ดังนั้นพวกเขาจะประหยัดเงินได้มาก! พวกเขาหาวิธีที่จะประหยัด เช่น พวกเขาจะขับรถประเภทที่ใช้น้ำมันน้อย และอาศัยอยู่ในถิ่นและบ้านที่เขาสามารถจ่ายไหว ดังนั้นพวกเขาจะไม่ใช้เงินเก็บของเขาหมดไป ดูไปดูมาแล้ว พวกเขาเพียงประหยัดตรงนั้นและตรงนี้ แล้วจากนั้นเงินของเขาก็จะมั่นคงอยู่ตลอดเวลา
    และบางคนซึ่งมีรายได้ไม่มาก แต่จ่ายเงินออกไปมากแล้วขับรถซึ่งวิ่งได้เร็วๆ และอะไรทำนองนั้น จริงๆ แล้วพวกเขามีมาก แต่ก็มีติดหนี้เครดิตอยู่มาก มีจำนองอยู่มาก และมีหนี้มาก ส่วนบรรดาเศรษฐีจะขับรถธรรมดาๆ เพราะพวกเขาทราบว่า จะจัดแจงชีวิตของเขาให้ไม่ต้องเป็นหนี้ได้อย่างไร มีเศรษฐีหลายคนอาศัยอยู่ข้างบ้านเธอ และเธอก็หาได้ทราบไม่ เพราะพวกเขาไม่เอาเงินออกมาโอ้อวด พวกเขาทราบว่าเขากำลังทำอะไร พวกเขารู้จักคุณค่าของเงิน พวกเขาไม่จ่ายเกินความสามารถ พวกเขาเป็นเช่นนั้นโดยธรรมชาติ นั่นคือสาเหตุที่พวกเขากลายเป็นร่ำรวย พวกเขารวยโดยธรรมชาติ โดยธรรมชาติพวกเขาทราบวิธีที่จะบริหารเงิน
    และแน่นอน บางครั้งพวกเขาก็ถูกสลากกินแบ่ง(เสียงหัวเราะ) แต่เขาก็นำเงินไปลงทุน ตัวอย่างเช่น หากเขามีรายได้ 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ปี(1.2 ล้านบาท) พวกเขาจะนำ 15% หรือ 20% แยกไว้ นำไปลงทุนในธนาคารใดก็ตาม ดังนั้นบางทีใน 15 หรือ 20 ปี พวกเขาก็จะมีเงินเป็นแสนๆ ดอลลาร์จากจำนวนเงิน 5,000 หรือ 10,000 ดอลลาร์ที่พวกเขานำไปลงทุนในแต่ละเดือน ที่พวกเขาได้นำไปฝากไว้ในธนาคาร พวกเขาทราบวิธีจัดการกับเงินของเขา พวกเขาจะไม่จ่ายรายได้ออกไปทั้งหมด เขาจะเหลือบางส่วนไว้ลงทุน
    แล้วเมื่อนั้น ในไม่ช้าเธอก็จะร่ำรวย ตัวอย่างเช่นหากเธอแบ่งไว้ 10,000 ดอลลาร์(300,000 บาท)วันนี้ 10 ปีต่อมามันจะกลายเป็น 50,000 ดอลลาร์(1.5 ล้านบาท)ถ้าเอาไปฝากไว้ในธนาคาร แต่นั่นใช้เวลานาน มิฉะนั้นคนที่รวยก็สามารถตั้งกิจการของตนเอง นั่นคือวิธีที่เขาร่ำรวยขึ้นรวดเร็วกว่า มันเสี่ยงกว่า แต่นั่นก็คือชีวิต ถ้าไม่เสี่ยง เธอก็ต้องใช้ชีวิตธรรมดา ช้าๆ วันต่อวันและมีรายได้ไม่มาก แต่กระนั้น ถ้าหากเธอจัดการได้ดี เธอก็จะอยู่รอดได้ เพราะชีวิตเรียบง่ายกว่าเดิมแล้ว เต้าหู้นั้นราคาถูกกว่าสเต๊ก เพียงแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย ใช้เต้าหู้ชิ้นหนึ่งแทนเนื้อชิ้นหนึ่ง เราก็ยังสุขภาพดี เราก็ยังโอเค ดูฉันสิ!




%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%จงดูดีทั้งภายในและภายนอก
    พวกเธอทุกคนยังดูดีด้วย ฉันภูมิใจในตัวเธอ และพวกเธอต่างก็ภูมิใจในตัวเองและก้าวออกมากล่าวได้ว่า “ฉันรับประทานอาหารมังสวิรัติ ดูฉันสิ” นั่นเป็นเรื่องดี พวกเธอสวยงามยิ่งนัก เพียงเธอไม่ได้แต่งหน้าขณะนี้ ดังนั้นเธอจึงดูสวยน้อยกว่าหน่อย แต่กระนั้นเธอก็ดูสวยงามเกินไปแล้ว หากเธอแต่งหน้าเข้าไป ทุกๆ คนจะตายไป(เสียงหัวเราะ) สามีทั้งหลายของเธอกำลังชื่นใจตายอยู่แล้ว เธอจะสวยเกินไปแล้ว แล้วพวกเขาไม่อยากจะจากเธอไป นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาบางคนกลัวเหลือเกิน พวกเธอประทับจิต แล้วเขาก็กลัวเหลือเกินว่าเธออาจกลายเป็นแม่ชีหรืออะไรสักอย่าง พวกเขารักเธอเกินไป เธอดูสวยงามเหลือเกิน สวยยิ่งขึ้นและยิ่งขึ้นทุกๆ วัน
    สามีบางคนได้ทิ้งภรรยาของเขาไปเรียบร้อยแล้วและหลังจากที่เธอประทับจิต เขาก็กลับมาและกล่าวว่า “โอ้เหตุไฉนเธอจึงสวยงามเช่นนี้?” และย้ายกลับมา เป็นเช่นเดียวกันกับภรรยาบางคน ซึ่งได้ทิ้งสามีของตนไปเรียบร้อยแล้วและไม่ต้องการพวกเขากลับมา แต่หลังจากประทับจิตพวกเขาก็กลับมาและกล่าวว่า “โอ้ พระเจ้าท่าน เขาเปลี่ยนไปแล้ว! เขาเป็นชายคนใหม่” แล้วก็ย้ายกลับมาใหม่ ไม่มีปัญหา พวกเขาทิ้งแฟนหนุ่มหรือแฟนใหม่ หรืออะไรก็ตามแล้วมาอยู่กับสามี เพราะในขณะนั้นพวกเขามีจิตวิญญาณที่งดงามขึ้น
    ครั้นเธองดงามภายใน ผู้คนก็จะเห็นเธอสวยงามภายนอกเช่นกัน ปกติจะเป็นเช่นนั้น ดังนั้นจงพยายามป้องกันตนเองจากชายชู้ทั้งหลาย แล้วก็บำเพ็ญของเธอต่อไป ชีวิตของเธอจะดีขึ้นและดีขึ้น ฉันไม่จำเป็นต้องบอกเธอ ฉันเพียงบอกเธอในกรณีว่า ใครยังไม่ทราบ เขาจะได้มาตรวจสอบกับเธอ ชีวิตของเธอเป็นตัวอย่างแห่งรักและพรทางจิตวิญญาณ ไม่มีความจำเป็นกระทั่งที่จะเทศนาให้ใครฟัง เขาเพียงมองชีวิตของเธอ ดูวิถีชีวิตที่เธอก้าวเดิน วิธีที่เธอเสนอตนเองสู่โลก นั่นดีกว่าหนังสือเป็นพันๆ เล่มที่กล่าวถึงเรื่องราวทางจิตวิญญาณ เธอคือหนังสือ เธอคือตัวอย่างที่ดีที่สุด เป็นคำสอนที่ดีที่สุด เป็นทฤษฎีทางศาสนาที่ดีที่สุดที่เคยถูกเสนอให้กับใครๆ 
    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเรื่องราวเรื่องหนึ่งในเม็กซิโกเกี่ยวกับอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านมีชื่อเสียงยิ่งนัก ชื่อเชทซัลโคทล์ ท่านได้เล่าเรื่องนี้ให้กับศิษย์ของท่านฟังว่า มีชาย 2 คนอยู่ในกลุ่มเดียวกัน คนหนึ่งขยันขันแข็งยิ่ง และดูเหมือนว่าจะเคร่งศาสนาเป็นยิ่งนัก เขาไปโบสถ์ทุกๆ วันอาทิตย์และจะเป็นคนแรกที่เข้าแถวร่วมกิจกรรมศักดิ์สิทธิ์ใดๆ และเป็นคนสุดท้ายที่จะจากไป เขาไม่เคยพลาดโอกาสใดๆ ที่จะไปโบสถ์ เขาไม่เคยกระทำสิ่งใดอื่นเลย และมีอีกคนหนึ่งไม่เคยไปโบสถ์ แต่เขาไปทำงานทุกๆ วัน เขาทำสิ่งใดก็ตามที่เป็นหน้าที่ของเขา และรายได้ใดๆ ที่เขาหามาได้ก็จะนำมาเพื่อดูแลครอบครัวของเขา และทั้งยังนำมาบริจาคให้คนยากจน เขากระทั่งยังนำมาบริจาคให้กับโบสถ์ด้วย เพื่อนำมาซ่อมแซมโบสถ์
    ดังนั้นเชทซัลโคทล์จึงกล่าวว่า ชายผู้นั้นซึ่งไม่เคยไปโบสถ์นั้น ศักดิ์สิทธิ์และเป็น “โบสถ์” ด้วยตนเองอยู่แล้ว แต่ชายซึ่งไปโบสถ์ทุกวัน ได้แต่เพียงไปที่นั่น ทุกๆ คนยำเกรงชายซึ่งไปโบสถ์เป็นอย่างยิ่ง คิดว่าเขาศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก เขาพูดจาดูถูกชายซึ่งไม่เคยไปโบสถ์ แต่แท้จริงแล้ว เขาได้ออกไปดูแล “โบสถ์” ทั้งหลายในบริเวณของเขา อะไรก็ตามที่เขาสามารถทำได้ เขาก็จะทำ บางครั้งก็ทำงานพิเศษเพื่อจะได้หาเงินเพิ่มอีกสักเล็กน้อยเพื่อให้ใครก็ตามแต่ นั่นคือสิ่งที่เขาทำทุกๆ วัน ดังนั้นท่านอาจารย์จึงกล่าวว่า ชายคนแรกซึ่งไปโบสถ์นั้นก็ดีอยู่หรอก แต่ชายคนที่ 2 เป็นโบสถ์เอง ดังนั้นเราสามารถเป็น “ผู้ไปโบสถ์” หรือ “โบสถ์” ด้วยตนเอง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเรา ฉันคิดว่าพวกเธอทุกคนต่างก็เป็นโบสถ์ ฉันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสร้างโบสถ์ใดๆ 

โบสถ์ของท่านอาจารย์
    บางคนถามฉันว่า ทำไมฉันจึงไม่มีโบสถ์หรือวัดใดๆ และฉันก็จะกล่าวว่า “ฉันไม่มีความจำเป็นใดๆ ฉันมีโบสถ์อยู่เป็นล้านๆ วิ่งไปวิ่งมาอยู่รายรอบ” (เสียงปรบมือ) ฉันกล่าวว่า “ทุกวันนี้ในสมัยใหม่ด้วยเทคโนโลยีอันรวดเร็ว ทุกสิ่งก็เคลื่อนที่ มีโทรศัพท์เคลื่อนที่ บ้านเคลื่อนที่ รถเคลื่อนที่ ก็มีวัดเคลื่อนที่” เธอเป็นวัดเคลื่อนที่ของฉัน เราสามารถติดต่อกันเมื่อใดก็ได้ ไปที่ใดก็ได้ เรายืดหยุ่นเป็นอย่างยิ่ง ตึกที่สร้างด้วยอิฐติดอยู่เพียง ณ แห่งเดียว แต่เราสามารถวิ่งไปรอบๆ เราเป็น “วัดวิ่งไปรอบๆ” เข้าท่ามากเลย!
    การพูดจา ใครๆ ก็ทำได้ แต่การใช้ชีวิตโดยกระทำในสิ่งที่เธอพูดจาไว้นั้นยากยิ่งกว่า พวกเธอทำทั้งหมดนั้นได้ พวกเธอพูดจาได้ และก็กระทำได้ด้วยเช่นกัน นั่นคือสิ่งที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับเธอ ฉันบอกเธอว่า ฉันมาเพื่อทำให้เธอยิ่งใหญ่ ฉันยิ่งใหญ่หรือไม่นั้น ไม่ใช่เรื่องราวอันใด ฉันเป็นเพียงคนเดียว อาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ ครูที่ยิ่งใหญ่ มิใช่ผู้ที่ทำให้ตนเองยิ่งใหญ่ หากแต่เป็นผู้ที่ทำให้คนอื่นทุกๆ คนยิ่งใหญ่ หากลูกศิษย์ของเธอดี ก็หมายความว่า เธอดี มิฉะนั้นแล้ว เธอก็หาได้ดีไม่ ดังนั้น ไม่ว่าฉันจะยิ่งใหญ่หรือไม่ ก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่เธอยิ่งใหญ่ ก็ดีแล้ว และด้วยความเมตตาของเธอ ฉันก็จะยิ่งใหญ่ไปด้วย เมื่อนั้น “ขอบคุณมากเลย” ฉันก็ชอบเช่นกัน แต่ถ้าจะให้บอกเธอตามตรง หากทั้งโลกรู้แจ้งแล้ว จะไม่มีใครต้องการฉันด้วยซ้ำไป ฉันจะดีใจที่จะได้เป็นเพียงคนธรรมดา
    ทุกๆ ครั้ง เป็นการยากยิ่งนักที่จะจากเธอ ฉันอยากบอกให้เธอทราบ ฉันอยากให้เธอทราบเรื่องนี้ เพราะเธอคิดว่ามีเพียงเธอที่ไม่อยากจากไป แต่ฉันก็ไม่อยากจากไปเช่นกัน แต่ฉันต้องทำงานของฉัน ดังนั้นฉันจึงแยกความรู้สึกส่วนตัวของฉันออกไป เป็นเพียงเพราะเหตุนี้ มิฉะนั้นแล้ว ฉันสามารถอยู่กับเธอได้ตลอดไป เชื่อฉันสิ เธอเป็นคนที่ดีที่สุด จะให้ฉันไปที่ไหนเล่? คนเรามักอยากจะอยู่กับเพื่อนดีๆ ทุกๆ คนอยาก ฉันก็เช่นกัน แต่ก็ไม่เป็นไร เราอยู่ด้วยกันที่ตรงนี้ (ท่านอาจารย์ชี้ไปที่หัวใจของท่าน) ขอบคุณ ฉันรักเธอ




member-deneta-albums-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%				
7 มีนาคม 2554 20:53 น.

ตารางเปรียบเทียบสารอาหาร....

คีตากะ

1285_1.jpgเปรียบเทียบโปรตีนในอาหารประเภทเนื้อสัตว์กับอาหารมังสวิรัติ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อาหารประเภท     ปริมาณ 100 กรัม   อาหารมังสวิรัติ   ปริมาณ 100 กรัม
 เนื้อสัตว์                           (อาหารเพื่อสุขภาพ)   
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ไข่                  10.0 กรัม         ถั่วดำ            37.1 กรัม
กุ้ง                  18.4 กรัม   ถั่วเหลือง        36.8 กรัม
เนื้อหมู(ไม่ติดมัน)      12.3 กรัม      ฟองเต้าหู้สด   51.7 กรัม
เนื้อวัว               16.7 กรัม       สาหร่ายทะเล        28.4 กรัม
นมวัว                3.0 กรัม         ถั่วลิสง           24.7 กรัม
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------




เปรียบเทียบธาตุเหล็กในอาหารประเภทเนื้อสัตว์กับอาหารมังสวิรัติ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อาหารประเภท    ปริมาณ 100 กรัม   อาหารมังสวิรัติ    ปริมาณ 100 กรัม
 เนื้อสัตว์                           (อาหารเพื่อสุขภาพ)   
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตับไก่        11.2 กรัม   กลุ่มผักกะหล่ำที่มีสีเขียวจัด  20.0 กรัม
ตับหมู            10.2 กรัม           งาดำ              13.0 กรัม
ปลาแซลมอน       8.2 กรัม           งาขาว              11.7 กรัม
เนื้อวัว            3.6 กรัม       สาหร่ายทะเล     98.9 กรัม
เนื้อหมู(ไม่ติดมัน)    1.5 กรัม         ถั่วเหลือง              7.0 กรัม
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------




เปรียบเทียบแคลเซี่ยมในอาหารประเภทเนื้อสัตว์กับอาหารมังสวิรัติ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อาหารประเภท    ปริมาณ 100 กรัม   อาหารมังสวิรัติ    ปริมาณ 100 กรัม
 เนื้อสัตว์                         (อาหารเพื่อสุขภาพ) 
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

นมวัว         110 มิลลิกรัม       ผักจำพวกผักโขม      300 มิลลิกรัม
นมแพะ      124 มิลลิกรัม       งาดำ         1,241 มิลลิกรัม
ปลาทั่วไป      35 มิลลิกรัม          กะหล่ำปลี          300 มิลลิกรัม
เนื้อวัว        10 มิลลิกรัม    กลุ่มผักกะหล่ำที่มีสีเขียวจัด   850 มิลลิกรัม
เนื้อหมู        12 มิลลิกรัม           ถั่วเหลือง         216 มิลลิกรัม
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



อ้างอิงจาก The Department of Nutrition Physiology of Max Planck Institutes in Germamy





1916901vbohlg7p01.gif				
7 มีนาคม 2554 00:13 น.

ทำไมเราจึงอยู่ที่นี่(Why Are We Here?)

คีตากะ

qa1.jpgปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
โอ๊กแลนด์ นิวซีแลนด์ 27 เมษายน 2543
(ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ) วีดิทัศน์#686





      คัมภีร์พุทธกล่าวว่า เธอคือพุทธะ และธรรมชาติแห่งพุทธะอยู่ภายในตัวเธอ ไบเบิ้ลกล่าวว่า พระเจ้าอาศัยอยู่ภายในโบสถ์หลังนี้ ถ้าเช่นนั้น จะมีใครอื่นล่ะ ที่อยู่ในนั้น นอกจากพระเจ้า? ถ้าเราคือโบสถ์และพระเจ้าคือผู้เดียวเท่านั้นที่อาศัยอยู่ในนั้น ถ้าเช่นนั้นเราคือใครกันนอกจากพระเจ้า? ถ้าเราจำไม่ได้ก็ดี แต่เราก็ยังคงเป็นพระเจ้า
      ดังนั้นไม่ว่าเราจะเลือกทำอะไรในฐานะที่เป็นพระเจ้าของพระเจ้าทั้งหลาย เราก็ควรที่จะให้ความเคารพในฐานะที่เราเป็นบิดา/มารดาของสรรพสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ เราควรเคารพความปรารถนาของเราและทางเลือกของเราที่จะมีชีวิตและแสดงตัวตนความเป็นพระเจ้าของเราในแบบใดก็ตามที่เราต้องการ
      เหตุฉะนี้ พระเยซูจึงบอกเราว่าเราไม่ควรตัดสินผู้อื่น เพราะเราไม่ทราบทางเดินที่สรรพสัตว์อื่นได้เลือกที่จะเดิน เขาหรือหล่อนทำสิ่งต่างๆ ของเขา/หล่อน เพื่อว่าเขา/หล่อนอาจจะได้รู้จักพระเจ้าด้วยวิธีการที่แตกต่างออกไป เขาหรือหล่อนอาจเลือกที่จะเป็นคนที่ดูเหมือนชั่วร้าย เป็นคนที่ต่ำมากๆ หรือที่เรียกว่าคนไม่มีคุณธรรม แต่นั่นก็เป็นวิธีการของเขา/หล่อนในการรู้จักพระเจ้าด้วยการเลือกที่จะไม่มีลักษณะแบบพระเจ้า วันหนึ่งบุคคลผู้นั้นก็จะทราบว่านั่นไม่ใช่ตัวเขา/หล่อน แต่พวกเขาก็ต้องกลับมาและเรียนรู้การเป็นมนุษย์ใหม่อีกครั้ง เพราะถ้าเราอยู่ในสวรรค์ตลอดเวลาและเป็นพระเจ้าตลอดเวลา เราก็จะจำไม่ได้ว่าเราเป็นพระเจ้า ดังนั้นเราจึงต้องลดตัวเองลงมาและลงมาอยู่ที่ระดับทางโลกนี้ เพื่อเราจะได้จดจำได้อีกครั้งหนึ่งถึงความยิ่งใหญ่ของเราเอง นั่นคือทางเลือกของเรา และนั่นคือสาเหตุที่เรามาที่นี่
      ดังนั้น คำตอบของคำถามของเราที่ว่าทำไมเราเจึงอยู่ที่นี่ก็คือเพราะเราต้องการรู้จักพระเจ้า เมื่อเรารู้สึกว่าเวลาหมดลงแล้ว นั่นก็คือเวลาที่เราเลือกที่จะจดจำตัวเราเองอีกครั้งหนึ่ง นั่นคือเวลาที่เราเสาะแสวงหาเพื่อนทางจิตวิญญาณ เพื่อเราจะสามารถจำได้อย่างรวดเร็ว เพราะเราได้ลืมไปแล้วว่าจะจำได้อย่างไรและจะหาจากที่ไหน ดังนั้นเพื่อนบางคนที่จำตัวของเขา/หล่อนได้แล้ว ก็อาจจะช่วยเหลือเราได้ แล้วเราก็จะตระหนักว่า เราไม่ใช่ใครอื่นใด นอกจากสรรพสัตว์ผู้สูงสุด นอกจากพระเจ้า เราตระหนักรู้ถึงสรรพสัตว์ผู้สูงสุดที่อาศัยอยู่ภายในร่างกายนี้
      แต่อันที่จริง ท่านไม่ได้อาศัยอยู่ภายในร่างกาย ท่านครอบครองกายของเรา แต่เนื่องจากคำศัพท์ทางจิตวิญญาณไม่ได้เป็นวิทยาศาสตร์ที่ตรงตัวๆ ดังนั้นไม่ว่าครูจะบอกเรามากมายเพียงใดเกี่ยวกับพระเจ้าหรือเพื่อนทางจิตวิญญาณ อาจจะพูดได้คล่องแคล่วเพียงใดเกี่ยวกับพระเจ้าที่อยู่ภายในตัวเรา เราก็ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยการฟังเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้นครูทางจิตวิญญาณผู้ชี้ทางจิตวิญญาณหรือเพื่อนทางจิตวิญญาณ จึงต้องแสดงให้เราทราบโดยทางปฏิบัติ ไม่ใช่โดยทางทฤษฎีอย่างเดียวเท่านั้น
      ตัวอย่างเช่น เมื่อพระเยซูเสด็จมายังโลกของเรา พระองค์ได้สอนลูกศิษย์ของพระองค์ทั้ง 2 วิธี คือทฤษฎีและปฏิบัติ ด้วยเหตุนี้ต่อมาลูกศิษย์โดยตรงของพระองค์จึงสามารถแสดงปาฏิหาริย์ต่างๆ ได้ สามารถเห็นสวรรค์ได้ด้วย สามารถได้ยินเสียงของพระเจ้าที่เป็นพระวจนะของพระผู้สร้างด้วย สามารถเห็นแสงของสวรรค์ด้วย สามารถขึ้นไปสวรรค์และแม้กระทั่งได้เห็นเทวดา นางฟ้า หรือเห็นพระบิดา พระบิดาตรัสกับพวกเขา เหมือนกับที่พระองค์ตรัสกับโมเสส และเทวดานางฟ้าก็พูดกับพวกเขาด้วยเช่นกัน
      ในทำนองเดียวกัน เราก็สามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะเราก็ยิ่งใหญ่เหมือนกับลูกศิษย์ที่ยิ่งใหญ่ของพระเยซู เรากับลูกศิษย์ของพระเยซูก็เหมือนๆ กัน เพราะพระเยซูได้ตรัสกับพวกเราว่า พวกเราทั้งหมดเป็นบุตรของพระเจ้า แต่เนื่องจากเราได้ลืมไปแล้ว ดังนั้นบางครั้งเพื่อน 1 คนหรือ 2 คนจึงต้องมาย้ำเตือนความจำของเรา แต่ก็เฉพาะเมื่อเราพร้อมแล้วเท่านั้น เพราะถ้าเรายังไม่พร้อม ก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรให้กับเราได้มากนัก....






ChingHai.jpg


ฺBe Veg ,Go Green 2 Save The Planet
www.suprememastertv.com				
27 กุมภาพันธ์ 2554 02:32 น.

ภัยร้ายจากเนื้อสัตว์และสิ่งเสพติด....

คีตากะ

2066347wvy54pci61.gifโรคบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคเนื้อสัตว์ :
● โรคบลูทังจ์
● โรคติดเชื้อ อี โค ไล
● โรคไข้ไทฟอยด์
● โรคไข้หวัดนก
● โรควัวบ้า
● โรคจากเซอร์โคไวรัสใรสุกร(PMWS)
● โรคลิสตีไรโอซิส
● โรคอาหารทะเลเป็นพิษ
● โรคความดันโลหิตสูงในสตรีที่ตั้งครรภ์
● โรคท้องร่วงเฉียบพลัน

ความสูญเสียบางอย่างจากการทานเนื้อสัตว์ :
โรคหัวใจ
● มากกว่า ๑๗ ล้านคนโดยรวมเสียชีวิตในแต่ละปี
● ค่าใช้จ่ายสำหรับโรคหลอดเลือดหัวใจอย่างน้อย ๑ แสนล้านเหรียญขึ้นไปต่อปี

โรคมะเร็ง
● แต่ละปีมีผู้ป่วยใหม่มากกว่า ๑ ล้านคน ที่ตรวจพบว่าเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
● คนมากกว่า ๖๐๐,๐๐๐ คน ตายเนื่องจากกลุ่มโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ในแต่ละปี
● ในสหรัฐอเมริกาที่เดียว ค่าใช้จ่ายในการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่สูงประมาณ ๖.๕ พันล้านดอลล่าร์(๑.๙๕ แสนล้านบาท)
● ทุกๆ ปีคนนับล้านถูกตรวจพบใหม่ว่าเป็นโรคมะเร็งที่เกี่ยวเนื่องกับเนื้อสัตว์

โรคเบาหวาน
● คน ๒๔๖ ล้านคนทั่วโลกถูกผลกระทบจากโรคนี้
● มีการประมาณว่าค่าใช้จ่ายในการรักษาแต่ละปีสูงถึง ๑๗๔ พันล้านดอลล่า(๕.๒๒ ล้านล้านบาท)

โรคอ้วน
● ผู้ใหญ่ ๑.๖ พันล้านคนทั่วโลก มีน้ำหนักมากเกินไปและมากกว่า ๔๐๐ ล้านคนที่เป็นโรคอ้วน
● แต่ละปีค่าใช้จ่ายสำหรับเวชภัณฑ์ในสหรัฐอเมริกาที่เดียวสูงถึง ๙๓ พันล้านดอลลาร์(๒.๗๙ ล้านล้านบาท)
● คนตายอย่างน้อย ๒.๖ ล้านคนแต่ละปีเนื่องจากปัญหาเกี่ยวกับโรคอ้วนหรือน้ำหนักตัวเกิน

เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
● ใช้น้ำสะอาดหมดไปถึง ๗๐%
● สร้างมลภาวะให้แก่แหล่งน้ำ
● ทำลายป่าไม้ซึ่งเป็นปอดของโลก
● ใช้ธัญพืช(พืชตระกูลข้าว)ทั้งหมดของโลกไปถึง ๔๓%
● ใช้ผืนดินถึง ๘๕% เพื่อถั่วเหลืองของโลก(อาหารสัตว์)
● ก่อให้เกิดความอดอยากหิวโหยและสงครามบนโลก
● เป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะโลกร้อนถึง ๘๐%
และมากกว่านั้น...

ความสูญเสียบางอย่างจากการบริโภคนม :
● มะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก อันเกิดจากฮอร์โมนที่อยู่ในนม
● เชื้อแบคทีเรียลีสทีเรียและโรคลำไส้อักเสบ
● ฮอร์โมนและไขมันอิ่มตัวที่นำไปสู่โรคกระดูกพรุน โรคอ้วน เบาหวาน และ

โรคหัวใจ
● เป็นสาเหตุให้เกิดโรคการแข็งตัวของเนื้อเยื่อหลายชนิดอัตราสูงขึ้น
● จัดเป็นสารทำให้เกิดภูมิแพ้สำคัญ
● แพ้น้ำตาลแล็คโตส
และมากกว่านั้น...

ประโยชน์บางอย่างของการทานอาหารมังสวิรัติ :
● ช่วยลดความดันโลหิต
● ลดระดับคอเลสเตอรอล
● ลดการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ ๒
● ป้องกันอาหารเป็นลมชัก
● ป้องกันโรคหลอดเลือดแดงแข็งตัว
● ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ ๕๐%
● ลดความเสี่ยงในการผ่าตัดหัวใจ ๘๐%
● ป้องกันโรคมะเร็งหลายรูปแบบ
● ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น
● อายุยืนยาวกว่าที่คาดหมายถึง ๑๕ ปี
● ไอคิวสูงขึ้น
● อนุรักษ์น้ำสะอาดไว้ได้ถึง ๗๐%
● รักษาป่าฝนในอะเมซอนได้มากกว่า ๗๐% จากการแผ้วถางทำลายเพื่อทำทุ่งเลี้ยงสัตว์
● วิธีแก้ปัญหาผู้อดอยากหิวโหยของโลก :
    - สงวนผืนดินให้เป็นอิสระได้ปีละ ๓,๔๓๓ ล้านเฮกต้าร์
    - สงวธัญพืชได้ถึง ๗๖๐ ล้านตันต่อปี (เป็นครึ่งหนึ่งของผลผลิตธัญพืชของโลก)
● ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลน้อยกว่าถึง ๒/๓ จากที่ใช้ในการผลิตเนื้อสัตว์
● ลดมลพิษของเสียจากสัตว์ที่ไม่ได้รับการบำบัด
● รักษาสภาพอากาศบริสุทธิ์
● ลดจำนวนการแพร่ก๊าซได้ ๔.๕ ตัน ต่อหนึ่งครัวเรือนต่อปีในสหรัฐอเมริกา
● หยุดสภาวะโลกร้อนได้ถึง ๘๐%
และมากกว่านั้น...

การสูญเสียอย่างน่าเศร้าบางอย่างจากแอลกอฮอล์
แต่ละปีมีคน ๑.๘ ล้านคนทั่วโลก เสียชีวิตเนื่องจากแอลกอฮอล์

สูญเสียจากโรคที่เนื่องจากแอลกอฮอล์
● ๑๘๖.๔ พันล้านดอลล่าร์(๕.๕๙๒ ล้านล้านบาท) ในอเมริกา
● สูงถึง ๒๑๐-๖๖๕ พันล้านดอลล่าร์(๖.๓-๑๙.๙๕ ล้านล้านบาท) ทั่วโลก

โรคภัย
● มะเร็ง
● โรคตับ
● โรคหัวใจและหลอดเลือด

สมองเสียหาย
● โรคหลงลืมและโรคสมองเสื่อม
● โรคสมองฝ่อ

อวัยวะล้มเหลว
● หัวใจ
● ตับ
● ไต
● ท้อง
● ตับอ่อน
● ตา

ผลต่อการตั้งครรภ์
● สภาวะจิตถดถอย
● ผลแอลกอฮอล์ต่อเด็กในครรภ์ :
    - การเติบโตชะงัก
    - ใบหน้าพิการ
● การตายเฉียบพลันของทารก
● การแท้งบุตร

ความรุนแรงอันเนื่องมาจากแอลกอฮอล์
● การทารุณเด็ก        ๕๐% ของคดี
● กระทำรุนแรงต่อคนรัก        ๓๐% ของคดี
● การกระทำรุนแรง        ๔๐-๘๐% ของคดี
● ฆ่าตัวตาย            ๒๐-๕๐% ของคดี
และมากกว่านั้น...

ประโยชน์ของการห้ามแอลกอฮอล์ :

ประหยัดด้านการเงิน การวิจัยของแคนาดา คาดการว่าโครงการห้ามแอลกอฮอล์ สามารถรักษาชีวิตคน ๘๘๐ คน และ ๑ พันล้านดอลลาร์ ได้ในทุกๆ ปี

ด้านศีลธรรม
-    การลดการขายเหล้าว็อดก้า ๑๐% เป็นผลให้การตายที่มีสาเหตุจากแอลกอฮอล์มีอัตราลดลงอย่างมากในรัสเซียในหนึ่งปี
-    การออกกำลังกาย การดื่มแอลกอฮอล์ลดลง การรับประทานผลไม้และผัก และการที่ไม่สูบบุหรี่ ทำให้ยืดอายุยืนขึ้น ๑๔ ปี
-    องค์การอนามัยโลกพบว่านโยบายด้านแอลกอฮอล์ซึ่งรวมทั้งการเพิ่มภาษี การลดจำนวนวันและชั่วโมงที่อนุญาตจำหน่ายแอลกอฮอล์และการเพิ่มอายุของผู้ที่ดื่ม ทั้งหมดล้วนเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการลดพิษภัยอันเกิดจากแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง :
•    การเพิ่มภาษีแอลกอฮอล์ ๑๐% ในสหภาพยุโรป ช่วยรักษาชีวิตคนได้ ๙,๐๐๐ คนภายในหนึ่งปี
•    ถ้าการขายแอลกอฮอล์ถูกสั่งห้ามสัปดาห์ละหนึ่งวัน สามารถลดความพิการและการตายก่อนวัยอันควร ได้ถึง ๑๒๓,๐๐๐ ปี

โรงมะเร็ง สถาบันวิจัยโรคมะเร็งของโลกค้นพบว่าการลดการบริโภคเนื้อสัตว์และแอลกอฮอล์ ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็งและโรคอื่นๆ

โรคภัยอื่นๆ
-    การฟื้นฟูสภาพและประสิทธิภาพของสมอง จะเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นทันทีที่เลิกดื่มแอลกอฮอล์
-    ผู้ป่วยตับอักเสบจากแอลกอฮอล์ สามารถมีสุขภาพดีกลับมาได้อย่างสมบูรณ์ ถ้าผู้ป่วยเลิกดื่มแอลกอฮอล์และรับประทานอาหารที่ดี
-    เว็ปไซต์ Bodybuilding.com กล่าวว่านักเพาะกายที่หลีกเลี่ยงการบริโภคแอลกอฮอล์ จะได้รับประโยชน์มากมายในการบริหารกล้ามเนื้อ มีความชุ่มชื้นมากขึ้น กระบวนการเผาผลาญอาหารฟื้นฟูขึ้น และจิตใจมีสมาธิมากขึ้น
-    การสั่งห้ามแอลกอฮอล์ในบาร์โรว์ อลาสก้า สหรัฐอเมริกา ทำให้การดื่มแอลกอฮอล์ก่อนคลอดมีอัตราลดลงมากกว่า ๓๐%
-    เว็บไซต์สุขภาพ health.com รายงานถึงประโยชน์ของชีวิตที่ไม่ดื่ม
แอลกอฮอล์ :
● มีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับเพื่อนและครอบครัว
● มีอิสระในการใช้จ่ายเงินและเวลาสำหรับเรื่องอื่นๆ
● ทำให้สถานภาพการทำงานและความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานดีขึ้น
● มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น
● สร้างมิตรภาพกับผู้ที่เกี่ยวข้องในกิจกรรมที่เป็นที่ยอมรับในชีวิต
- กลุ่มผู้ที่ดื่มสุราในอดีตได้เล่าในที่ชุมนุมทางออนไลน์ถึงข้อสังเกตในผลดีในชีวิตที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ :
- วิถีทางการดำเนินชีวิต :
● สุขภาพดีขึ้น
● มีเวลาว่างที่มีคุณภาพมากขึ้น
● มีเงินมากขึ้น
● มีเวลาสนุกกับลูกๆ มากขึ้น
● มีความมั่นใจและเคารพตนเองมากขึ้น
● เห็นคุณค่าของชีวิตมากขึ้น

สิ่งที่เกี่ยวข้องกับสังคม
● การสั่งห้ามเครื่องดื่มในนิวซีแลนด์ มีผลให้เครื่องดื่มที่ไม่เหมาะสม มีจำนวนลดลง ๙๘% เช่นเดียวกับคดีอาชญากรรมอื่นๆ ก็ลดจำนวนลง
● เมื่อพื้นที่สงวนชนพื้นเมืองอเมริกัน แบล็คฟีท สั่งห้ามขายแอลกอฮอล์ในระหว่างงานประจำปีของชาวอเมริกันอินเดียเหนือ พวกเขาพบว่ามีการพัฒนาตามมาสี่สัปดาห์หลังจากนั้น :
    - ไม่มีตัวเลขอุบัติเหตุการจราจรที่เกี่ยวข้องกับชาวแบล็คฟีทเกิดขึ้นเลย
    - ไม่มีตัวเลขการจับกุมการขับขี่ภายใต้อิทธิพลกับแอลกอฮอล์
    - คดีก่อกวนที่รายงานต่อตำรวจลดน้อยลง ๖๔%
    - คดีทำร้ายร่างกายลดลง ๔๔% 
    - จำนวนผู้คนที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลลดลง ๗๕%
    - การฟ้องร้องคดีความประพฤติไม่เรียบร้อย มึนเมาในที่สาธารณะ หรือการยึดตู้บรรจุแอลกอฮอล์เปิด มีลดน้อยลง ๒๕%
● การวิจัยในนิวเม็กซิโก อเมริกา ชี้ให้เห็นว่าการห้ามขายแอลกอฮอล์วันอาทิตย์ มีผลให้การปะทะกันและการบาดเจ็บล้มตายจากการจราจร ลดน้อยลง
● คดีเกี่ยวกับแอลกอฮอล์ลดลง ๑๕% เมื่อมีการสั่งห้ามแอลกอฮอล์ในอะแบริสทวิธ สหราชอาณาจักรอังกฤษ
● การสั่งห้ามแอลกอฮอล์อย่างถาวรในพื้นที่ท่าน้ำเมือง คอฟฟ์ ฮาร์เบอร์ ออสเตรเลีย อันเนื่องมาจากประสบความสำเร็จในการลดคดีอาชญากรรม
● การสั่งห้ามแอลกอฮอล์ที่ ทะเลสาบคินเคด สหรัฐอเมริกา ทำให้ไม่มีการเสียชีวิตจากการว่ายน้ำ อุบัติเหตุรุนแรงจากการพายเรือน้อยลง และคดีลดลง

เยาวชน
● เจ้าพนักงานรายงานถึงการทำลายทรัพย์สินของรัฐลดน้อยลง จากการที่สั่งห้ามแอลกอฮอล์ในมหาวิทยาลัยโอกลาโฮม่า สหรัฐอเมริกา
● ในรัฐฟลอริด้าสหรัฐอเมริกา การเพิ่มอายุผู้ดื่มที่ถูกกฎหมาย จากอายุ ๑๘ ปี เป็น ๒๑ ปี ทำให้ลดจำนวนอุบัติเหตุถึงขั้นเสียชีวิต อย่างเห็นได้ชัด
● การสมัครใจเลิกขายแอลกอฮอล์ให้แก่เยาวชนอายุต่ำกว่า ๒๑ ปี ในหมู่บ้านมาร์สค์ ของอังกฤษ ได้เลิกขายโดยถาวรในเวลาต่อมา เนื่องมาจากผลดีที่จำนวนของคดีอาชญากรรมและความประพฤติที่ต่อต้านสังคมได้ลดน้อยลง

การสูญเสียน่าเศร้าบางอย่างของการเสพยา
-    แต่ละปีมีคนตาย ๒๐๐,๐๐๐ คนทั่วโลก
-    ค่าใช้จ่าย แต่ละปีในสหรัฐอเมริกาเป็นเงิน ๑๘๑ พันล้านดอลลาร์(๕.๔๓ ล้านล้านบาท) ในอังกฤษเป็นเงิน ๓๓ พันล้านดอลลาร์(๙.๙ แสนล้านบาท)
-    ค่าใช้จ่ายตลอดชีวิตของการติดยาในอังกฤษ จำนวนสูงถึง ๕๗๕ พันล้านดอลลาร์(๑๗.๒๕ ล้านล้านบาท)

ผลกระทบที่อันตราย
● ทำลายสมอง
● ลมชัก
● โรคหัวใจ
● โรคตับ
● วัณโรค
● โรคถุงลมโป่งพอง
● มะเร็ง
● โรคหดหู่ ท้อแท้
● ฆ่าตัวตาย
● สูญเสียความทรงจำถาวร
● โรคจิต
● อัตราการตายเด็กทารกสูงขึ้น
● อาชญากรรมและความรุนแรงเพิ่มขึ้น
● การไร้สมรรถภาพทางเพศ
อาชญากรรมและความรุนแรง
● ยาผิดกฎหมายเป็นปัจจัยหนึ่งใน ๕๐% ของการโจรกรรมในอังกฤษแต่ละปี
● ในอังกฤษ ๖๐% ของผู้ถูกจับกุมแต่ละปี เป็นผู้เสพยาผิดกฎหมาย
● ผู้ติดเฮโรอีน ๖๕๐ คนในสหรัฐอเมริกา ก่อคดีอาชญากรรมถึง ๗๐,๐๐๐ คดี ภายในสามเดือน

ความสูญเสียต่อสังคม
● ธุรกิจในสหรัฐอเมริกาสูญเสีย ๑๐๐ พันล้านดอลลาร์ต่อปี(๓ ล้านล้านบาท) เนื่องจากลูกจ้างติดยาและแอลกอฮอล์
● ชาวออสเตรเลียจ่ายเงิน ๕๓ พันล้านดอลลาร์ต่อปี(๑.๕๙ ล้านล้านบาท) เพื่อดูแลรักษา บังคับใช้กฎหมาย และสูญเสียประสิทธิภาพการทำงานของผู้เสพยา
การตาย
● ในสหรัฐอเมริกา มีคนตาย ๕๒ คนต่อวัน เนื่องจากการเสพยา
● ในแคนาดา การใช้สารที่เป็นโทษ เชื่อว่ามีถึง ๒๑ เปอร์เซ็นต์ของการตายทั้งหมด และ ๒๓ เปอร์เซ็นต์สูญเสียศักยภาพชีวิต เนื่องมาจากการตายก่อนเวลาอันควร
และมากกว่านั้น...

ประโยชน์ของการหลีกเลี่ยงการเสพยาและการบำบัด :
-    ในสหรัฐอเมริกา การบำบัดรักษาการติดยาแสดงให้เห็นถึงการช่วยรักษาชีวิต ลดคดีอาชญากรรมและฟื้นฟูครอบครัว พร้อมกันด้วย :
● ๖๙% ของผู้ที่ได้รับการบำบัดสามารถใช้ชีวิตที่ปราศจากยาหลังจากได้รับการบำบัดหนึ่งปี
● การจับกุมคดีต่างๆ ลดลง ๖๔% หลังจากการบำบัดหนึ่งปี
     - การวิจัยของแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา พบว่าทุกๆ ๑ ดอลลาร์ที่ลงทุนในการบำบัดยาเสพติด สามารถประหยัดได้ถึง ๗ ดอลลาร์จากการที่คดีต่างๆ ลดลง ลดค่าใช้จ่ายสำหรับสุขภาพและความอยู่ดีกินดี และเพิ่มรายได้ที่มั่นคง
       -    การวิจัยยี่สิบปีในสหรัฐอเมริกาได้แสดงให้เห็นว่าโครงการบำบัดรักษาผู้ติดยา มีผลต่อการลดคดีอาชญากรรม เช่นเดียวกันกับการพัฒนาสุขภาพและการร่วมมือกันทางสังคม
        -  การวิจัยของสถาบันเพื่อนโยบายสาธารณะ รัฐวอชิงตัน ในสหรัฐอเมริกา พบว่าโครงการการบำบัดเยาวชนที่ใช้ยา เป็นโครงการที่มีประสิทธิภาพและสามารถประหยัดเงินของรัฐได้ ๑,๙๐๐ ดอลล่าร์(๕๗,๐๐๐ บาท) ถึง ๓๑,๒๐๐ ดอลลาร์(๙๓๖,๐๐๐ บาท) ต่อเด็กหนึ่งคน
        -    โครงการของที่ทำงานปลอดยาเสพติด ได้รับผลดี :
    ● การขาดงานบ่อยๆ ลดน้อยลง
    ● อุบัติเหตุมีน้อยลง
    ● ประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้น
    ● ขวัญและกำลังใจดีขึ้น
    ● สุขภาพของลูกจ้างดีขึ้น
    ● มีการใช้ยาลดน้อยลงเพื่อรักษาสุขภาพ
    ● ค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ด้านสุขภาพลดลง
    ● ค่าเบี้ยประกันลดน้อยลง

ต่อไปนี้คือคำตอบที่ถือว่าดีที่สุดต่อคำถามทางออนไลน์ “คำถามในเว็ปไซต์ของยาฮู” ถึงประโยชน์ของการไม่เสพยา
    ● ไม่ต้องกลัวตำรวจจับ
    ● ไม่ต้องกลัวการติดเชื้อทางเข็มที่ฉีดเข้าร่างกาย
    ● ไม่ต้องกลัวสมองยุ่งเหยิง
    ● ไม่ต้องกลัวการขับขี่อันตราย และอุบัติเหตุ
    ● มีความสุขและเป็นอิสระในการมองโลก (ทางรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส) โดยปราศจากความรู้สึกที่เป็นครึ่งๆ กลางๆ 
    ● เป็นสุขกับการทำหน้าที่อย่างเต็มที่ในยามวิกฤตหรือคับขัน
    ● สามารถบอกคนอื่นๆ เกี่ยวกับความสุขของชีวิตที่ปราศจากยาเสพติด

ความสูญเสียน่าเศร้าบางอย่างของการสูบบุหรี่ :
-    ในแต่ละปี คน ๕.๔ ล้านคนทั่วโลกตายเนื่องจากการสูบบุหรี่
-    เฉพาะในสหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายของการเจ็บป่วยที่เนื่องมาจากการสูบบุหรี่สูงถึง ๙๔ พันล้านดอลลาร์(๒.๘๒ ล้านล้านบาท)
● โรคหัวใจ : เส้นโลหิตแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจและสมองตีบตัน ไตวาย
● มะเร็ง : มะเร็งปอด มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งไต มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
● อาการเรื้อรังของโรคที่เกี่ยวกับปอด : ถุงลมโป่งพอง หลอดลมอักเสบ
● เส้นเลือดสมองอุดตัน
● การไร้สมรรถภาพทางเพศ
● อันตรายเพิ่มเติมของการสูบบุหรี่มือสอง : อาการที่ทารกตายเฉียบพลัน การคลอดก่อนกำหนด โรคหืดในเด็ก หลอดลมอักเสบ โรคหูติดเชื้อ
และมากกว่านั้น...

การสั่งห้ามสูบบุหรี่เพื่อรักษาชีวิต :
-    การวิจัยโดยสถาบัน PIRE กล่าวว่ากฎหมายห้ามสูบบุหรี่ที่เข้มงวดในปัจจุบันของแคลิฟอร์เนียจะช่วยเหลือชีวิตคนได้มากกว่า ๕๐,๐๐๐ คนภายในปี ๒๐๑๐
-    การห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะของอังกฤษ ได้ลดผลกระทบจากภัยเงียบของบุหรี่ ซึ่งเกี่ยวพันไปถึงการเสียชีวิตของผู้คนมากกว่า ๑๑,๐๐๐ คนในแต่ละปี
-    ขอบคุณการห้ามสูบบุหรี่ของประเทศ แคว้นเวลส์คาดว่าสามารถปกป้องผู้ไม่สูบบุหรี่จากการตายก่อนวัยอันควร ได้ปีละประมาณ ๔๐๐ คน
-    แม้แต่คนอายุ ๖๕ ปีขึ้นไปก็มีความสุขกับสุขภาพที่ดีขึ้น เมื่อพวกเขาเลิกสูบบุหรี่ ด้วยความเสี่ยงทั้งหมดต่อการเสียชีวิตลดลงเกือบ ๒๐% และจากมะเร็งปอด ๔๒%
-    นายกเทศมนตรีนิงยอร์ค มิเชล บลูมเบิร์ก ของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศว่าอัตราการสูบบุหรี่ของวัยรุ่นได้ลดลง ๕๐% ในหกปีที่ผ่านมา ซึ่งสามารถป้องกันการตายก่อนถึงวัยอันควรได้ ๘,๐๐๐ คน

การห้ามการสูบบุหรี่หมายถึงการลดโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
-    รายงานการวิจัยโดยสมาคม โรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นว่าโรคหัวใจวาย ในเมือง พูอีโบล์ โคโลราโด สหรัฐอเมริกา มีอัตราลดลง ๒๗% หลังจากการห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะมีผลใช้บังคับ ในขณะที่เมืองที่อยู่ใกล้ๆ ที่ไม่มีการสั่งห้ามสูบบุหรี่ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของโรคหัวใจวาย
-    เพียงหนึ่งปีหลังจากการห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะมีผลใช้บังคับในไอร์แลนด์ อัตราการเกิดอาการเส้นเลือดตีบฉับพลัน ลดลง ๑๑%
-    นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัย กลาสโกว์ รายงานว่า โรคหัวใจวายมีอัตราลดลง ๑๗% ในสก็อตแลนด์ นับตั้งแต่การสั่งห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะเมื่อปีที่แล้ว
-    สถาบันอนามัยแห่งชาติในฝรั่งเศส ประกาศถึงอัตราการลดลงอย่างชัดเจนของโรคหัวใจวาย เมื่อประเทศสั่งห้ามสูบบุหรี่ และยังเป็นประโยชน์ในการลดผลกระทบจากการหายใจควันบุหรี่เข้าไปของผู้สูบบุหรี่มือสอง
-    นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา พบว่าอัตราการเข้าโรงพยาบาลอันเนื่องจากกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ลดลง ๘% หลังจากการสั่งห้ามสูบบุหรี่ ซึ่งลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพปีละ ๕๖ ล้านดอลลาร์(๑.๖๘ พันล้านบาท)
-    ในแคว้นพีดมอนต์ ของอิตาลี การเข้าโรงพยาบาลเนื่องจากโรคหัวใจวายเฉียบพลันของคนอายุน้อยกว่า ๖๐ ปี ได้ลดลง ๑๑% หลังจากมีการห้ามสูบบุหรี่ในอาคารของที่สาธารณะ

การห้ามสูบบุหรี่หมายถึงสุขภาพที่ดีขึ้น
-    ข้อมูลจากการสำรวจสุขภาพอนามัยประชากรแห่งชาติ แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่สูบบุหรี่มีอันตรายของการเป็นโรคเรื้อรังสูง เช่น ถุงลมอักเสบ โรคหืด และความดันโลหิตสูง
-    การวิจัยโดยสถาบันยูโรเปี้ยนเกี่ยวกับเนื้องอกวิทยาในมิลาน อิตาลี แสดงให้เห็นว่าผู้สูบบุหรี่มีแนวโน้มการขยายตัวของเนื้องอกในลำไส้ใหญ่ มากขึ้นสองเท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีแนวโน้มการเป็นมะเร็ง
-    ผู้สูบบุหรี่และผู้ที่อ่อนแอเนื่องจากเป็นผู้สูบบุหรี่มือสอง มีการเติบโตของมะเร็งลำไส้ใหญ่เร็วกว่าประมาณ ๗ ปี เทียบกับผู้ไม่สูบ
-    ผู้หญิงที่สูบบุหรี่ และมีลักษณะพันธุกรรมที่พิเศษ มีความเสี่ยงสูงต่อการพัฒนาของมะเร็งเต้านม ตามการวิจัยที่ตีพิมพ์โดยวารสาร ระบาดวิทยามะเร็ง ตัวบ่งชี้ทางชีววิทยาและการป้องกัน
-    ผู้ที่ไม่สูบบุหรี่มีโอกาสเก็บรักษาฟันของพวกเขาไว้ได้จนถึงวัยชรา มากกว่าผู้สูบบุหรี่

การห้ามสูบบุหรี่หมายถึงเด็กๆ มีสุขภาพดีขึ้น
-    การวิจัยของทางราชการ ที่ตีพิมพ์โดยสถาบันชีวิตและสุขภาพเด็กของมหาวิทยาลัย บริสโตล กล่าวว่าทารกของหญิงที่สูบบุหรี่ขณะตั้งครรภ์ เด็กทารกจะมีแนวโน้มทรมานจากอาการตายเฉียบพลันสูงถึง ๔ เท่า
-    การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ สามารถทำลายเชื้ออสุจิ ซึ่งจะถ่ายทอดยีนส์ที่เปลี่ยนแปลงไปสู่ทารก
-    ดร.ชากิรา ฟรังโก ซุเกลีย แห่งคณะสาธารณสุขศาสตร์แห่งฮาวาร์ด รายงานว่าเด็กๆ ที่อยู่ในบริเวณที่อากาศมีมลพิษสูง หรือถูกผลกระทบจากการสูบบุหรี่ของพ่อแม่ มีคะแนนทดสอบความจำและความฉลาดอยู่ในระดับต่ำกว่าเด็กๆ ที่อยู่ในสถานที่อากาศบริสุทธิ์
-    เด็กๆ ที่อ่อนแอจากผลการเป็นผู้สูบบุหรี่มือสอง มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปอดถึงสามเท่า และมีความเสี่ยงสูงต่อปัญหาระบบการหายใจอื่นๆ ในช่วงชีวิตต่อมา

การห้ามสูบบุหรี่หมายถึงสิ่งแวดล้อมในการทำงานดีขึ้น
-    ภายในสองเดือนของการห้ามสูบบุหรี่ในสก็อตแลนด์ คนทำงานในสถานที่ขายเครื่องดื่ม รายงานว่าการเจ็บป่วยในระบบทางเดินการหายใจและอื่นๆ ลดลงเกือบ ๓๓%
-    ผู้ไม่สูบบุหรี่ที่กลายเป็นผู้สูบบุหรี่มือสอง มีความเสี่ยงสูง ๒๐% ในการเป็นมะเร็งปอด
-    การห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะของไอร์แลนด์ เห็นว่าการลดมลพิษทางอากาศในผับได้ถึง ๘๓%
การห้ามสูบบุหรี่มีผลดีต่อธุรกิจ
-    ๕ ปีนับตั้งแต่มีการห้ามสูบบุหรี่ ผู้โดยสารของสายการบินแอร์โร่ฟล็อท มีจำนวนมากขึ้น ๑๕% และมีเที่ยวบินที่ไปสหรัฐอเมริกามากขึ้น ๒๕% 
-    ในรายงานของหัวหน้าแพทย์ของอังกฤษ ดร.เลียม โดนัลสัน กล่าวว่าการห้ามสูบบุหรี่ ช่วยประหยัดเงินได้ประมาณ ๒.๗ พันล้านปอนด์ : ๖๘๐ ล้านปอนด์ ประหยัดโดยการที่แรงงานมีสุขภาพดีขึ้นและแรงงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และ ๑๔๐ ล้านปอนด์ ประหยัดโดยการที่มีวันลาป่วยน้อยลง และ ๔๓๐ ล้านปอนด์ ประหยัดจากการสูญเสียผลผลิตอันเนื่องมาจากการสูบบุหรี่ในขณะทำงาน และ ๑๐๐ ล้านปอนด์ ประหยัดจากต้นทุนค่าทำความสะอาดที่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเข้าชมที่ www.SupremeMasterTV.com


				
14 กุมภาพันธ์ 2554 19:35 น.

เฮนรี่ มอนฟอร์ต ชาวชามานผู้กินอากาศ...

คีตากะ

henrimonfort.jpgเฮนรี่ มอนฟอร์ต(Henri Monfort) ชาวชามานผู้กินอากาศ



เราตื่นเต้นที่จะแนะนำคุณให้รู้จักบุคคลที่พิเศษอีกคนหนึ่งที่เลิกกินอาหารและมีชีวิตอยู่ด้วยพลังปราณหรือพลังแห่งจักรวาลเท่านั้น เราจะเดินทางไปยังเมืองที่สวยงามของนองต์ทางตอนเหนือของฝรั่งเศสเพื่อพบกับเฮนรี่ มอนฟอร์ต ชาวชามานผู้กินอากาศและนักประพันธ์ เฮนรี่อยู่โดยปราศจากอาหารมานานกว่า ๗ ปีและไม่มีความอยากที่จะกลับไปกินอาหารวัตถุอีกเลย

ต : ผมพบว่าความรู้สึกที่ผมมีคือมันได้รับการหล่อเลี้ยงเหมือนกับเด็ก เด็กทารกที่อยู่ในท้องของแม่ ยิ่งกว่านั้นพลังชีวิตนี้ก็ยังเป็นพลังแห่งความรัก คุณจะไม่รู้สึกว่าถูกตัดขาดจากจักรวาลเลย เนื่องจากคุณได้รับการเลี้ยงดูด้วยความรักของจักรวาล ดังนั้นมันจะมีมิติของการรวมตัวกันเข้ามาแทนที่และเราจะพ้นจากระบบของสิ่งที่เป็นคู่ เช่นความสุขและความทุกข์

เฮนรี่ มอนฟอร์ตได้อุทิศตนช่วยเหลือผู้อื่นให้ใช้ความสามารถของตนเองและแผ่ขยายความรักโดยอาหารที่มีความเมตตาที่ไม่ทำอันตรายสิ่งมีชีวิตไม่ว่าพืชหรือสัตว์ เฮนรี่ได้เมตตาแบ่งปันเรื่องราวของเขาและชีวิตที่ไม่ต้องกินอาหารกับโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ทีวี นับเป็นวิถีชีวิตทางเลือกใหม่และมีประโยชน์ต่อผู้ที่แสวงหาอิสระให้แก่ตนเอง พ้นจากความต้องการอาหาร

ต : ผมเกิดที่ปลายดินแดนของบริททานี่ที่ซึ่งแผ่นดินติดกับทะเล ดังนั้นผมมีการติดต่อกับธาตุต่างๆ ทั้งหมด ผืนดิน, ทะเล, อากาศ ฯลฯ ตั้งแต่ผมเล็กๆ ผมเป็นชาวชามาน ผมเกิดมาอย่างนั้น มันเป็นความสามารถพิเศษที่คนเรามีมาแต่เกิดและผมก็โชคดีที่มีปู่ของผม ผู้ที่มีสัมผัสไวมากต่อจิตวิญญาณในธรรมชาติ ผมสามารถพูดได้อย่างนั้น ผมจึงได้อาบอยู่ในมัน ขอบคุณปู่ของผม

ด้วยความสามารถอันไม่ธรรมดาตั้งแต่วัยเด็ก มันจึงยากสำหรับเฮนรี่ที่จะพบใครที่เข้าใจเขาได้นอกจากปู่ของเขา

ต : เหมือนชาวชามานทั่วไป ผมเกิดในครอบครัวที่ค่อนข้างตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผมเป็น ดังนั้นปีแรกๆ ของชีวิตผมไม่ค่อยจะดีนัก เพราะผมมีประสบการณ์ทางจิตวิญญาณอะไรแบบนั้น แต่ผมไม่สามารถเล่าให้พ่อแม่, พี่น้อง ฯลฯ ของผมฟังได้มากนัก มันจึงมีช่องว่างเกิดขึ้น


henri_monfort.jpg


เมื่ออายุ ๑๘ ปีเฮนรี่ตัดสินใจเดินทางค้นหาตนเอง สิ่งที่เขาได้เรียนรู้และประสบภายหลังได้กลายเป็นพื้นฐานของชีวิตที่ปราศจากอาหาร วิถีชีวิตที่เขาเลือกในเวลาต่อมา

ต : ผมเริ่มสนใจอย่างมากในวิถีที่ไม่รุนแรงในโรงเรียนคานธีและโดยเฉพาะ ลานซา เดล วาสโต ผู้ที่สร้างชุมชนแห่งอาร์คและเป็นผู้ที่ไปเยี่ยมคานธีและได้รับนามว่าชานติดาสจากท่านคานธี นั่นเป็นชื่อที่ผมตั้งให้ลูกคนเล็กผม คนที่อยู่ในภาพนั้น ดังนั้นเขาเป็นคนที่สำคัญมากเพราะเขาคือผู้ที่อดอาหารอย่างมากเพื่อชำระล้างตนเอง ชีวิตของเขาค่อนข้างสมถะเกือบจะเป็นพระ เราพูดแบบนั้นเพราะว่าเขาเป็นคนที่มีความเป็นอยู่ค่อนข้างสันโดษ แต่ในเวลาเดียวกันก็มีเมตตามาก เคารพความเป็นมนุษย์มาก แล้วหลังจากนั้นผมก็เริ่มเดินทางด้านจิตวิญญาณมากขึ้น ผมเกือบจะบวชในคณะเบเนดิค ชีวิตนักบวชดึงดูดใจผมมาก มีการนั่งสมาธิ, สวดภาวนา ผมคิดว่าศาสนาสามารถนำทางผมสู่การรู้แจ้งด้านจิตวิญญาณ แล้วหลังจากนั้นผมก็พบการทำสมาธิแบบทรานเซนเดนทัล ผมได้รับการประทับจิตเข้าสู่วิถีทรานเซนเดนทัลโดยผู้หญิงคนหนึ่งพร้อมกับกลุ่มเพื่อนๆ จากกองทัพ และผู้หญิงคนนั้นในที่สุดคือภรรยาของผม มันเป็นช่วงแรกๆ ของการปฏิบัติสมาธิแบบทรานเซนเดนทัลและมันเป็นเทคนิคซึ่งให้ประโยชน์แก่ผมมากมายในระดับของการทำสมาธิ

เมื่อเข้าสู่วิถีการทำสมาธิแบบทรานเซนเดนทัล เฮนรี่ได้ใช้ชีวิตที่มีเมตตามากขึ้น, ทานอาหารมังสวิรัติซึ่งอยู่ในแนวทางของ “อหิงสา” หรือไม่รุนแรง

ต : ผมเป็นมังสวิรัติตั้งแต่ผมเริ่มทำสมาธิแบบทรานเซนเดนทัล นั่นคือตั้งแต่อายุ ผมอายุเท่าไร? ประมาณ ๒๕ ปี ตอนที่ผมเริ่มและมันก็เป็นคำถามของปรัชญาชีวิตของผม...เพราะผมเติบโตมาในบริททานี่ ผู้คนกินเนื้อสัตว์กันมาก พวกเขากินเนื้อสัตว์ที่ปรุงแต่งกันมาก ดังนั้นปัญหาคือผมมีปัญหาตับอ่อนแอ ดังนั้นผมจึงป่วยอยู่เสมอ แม้ตัวผมเองก็ไม่ชอบกินเนื้อสัตว์ ผมอยู่ในครอบครัวที่พ่อแม่ของผมขาดแคลนเรื่องอาหารและพวกเราต้องกินเนื้อสัตว์ นอกจากนั้นผมเห็นสิ่งที่พวกเราได้กระทำต่อโลกและสิ่งแวดล้อมในบริททานี่...เกี่ยวกับการทำฟาร์มวัวและฟาร์มหมู เราสร้างมลพิษให้แก่น้ำ เราสร้างมลพิษ...ตอนนี้เราเห็นเห็ดราสีเขียวซึ่งพัฒนาด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อไนเตรท, ฯลฯ ในบริททานี่เรามีน้ำที่ดีที่สุดของฝรั่งเศส(ถ : ใช่ฉันจำได้...) สวยงามที่สุด, ร่ำรวยที่สุด, ยากจนที่สุด, และตอนนี้...มันสกปรกที่สุด มันยอมรับไม่ได้โดยสิ้นเชิงสำหรับชาวชามานที่พวกเราทำลายโลกนี้ สำหรับเราแล้วมันเกือบเหมือนอาชญากรรม มันเหมือนอาชญากรรมจริงๆ ดังนั้น ผมพูดได้เลยว่าผมเป็นมังสวิรัติโดยธรรมชาติในทันทีที่เป็นไปได้และจากนั้นโดยบังเอิญผมพบภรรยาคนแรกของผมที่เป็นมังสวิรัติ ดังนั้นมันเป็นไปเองและมันก็จริงที่ในวงจรของการทำสมาธิ คนเรามักจะพบกับคนที่ส่วนใหญ่เป็นมังสวิรัติ



27061534:jpeg_preview_medium.jpg?2010121



หลังจากที่เขาแต่งงานและมีลูก ในไม่ช้าเฮนรี่ก็ลืมเรื่องที่เขาปรารถนาแต่เดิมในการปฏิบัติด้านจิตวิญญาณ ๑๘ ปีที่เขาใช้ชีวิตธรรมดาๆ ทำงานอยู่ที่ธนาคารในเมืองนองต์ เมื่อสิ้นสุด ๑๘ ปีนั้นเฮนรี่ก็มีน้ำหนักมากถึง ๑๒๐ กิโลกรัมเป็นผลลัพธ์จากการที่เขาพึ่งพาอาหารเพื่อลดความเครียดในการทำงานของเขา เมื่อลูกๆ ของเขาเติบโตขึ้น เฮนรี่ก็ตัดสินใจลดน้ำหนักเพื่อฟื้นเป้าหมายในชีวิตด้านจิตวิญญาณ เหมือนสุภาษิตที่ว่า “เมื่อนักเรียนพร้อมครูก็มา” เมื่อเฮนรี่มีความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงชีวิต “ครู” ของเขาก็ปรากฏขึ้นและนำเขาเข้าสู่หนทางของการอยู่ด้วยพลังปราณที่อาศัยพลังความรักของจักรวาลในการค้ำจุนร่างกายเนื้อได้อย่างสมบูรณ์

ต : เมื่อลูกของผมโตขึ้น พวกเขาเรียนจบ ผมรู้สึกว่าชีวิตของผมเปลี่ยนทิศทางโดยสิ้นเชิงกลับคืนสู่แก่นแท้ พูดอีกอย่างคือหนทางด้านจิตวิญญาณ สุดท้ายผมพบกับคนคนหนึ่งที่กลายมาเป็นน้องเขยของผมตั้งแต่ผมแต่งงานครั้งที่สอง เขาบอกผมว่า “นี่ผมพบหนังสือเล่มหนึ่ง ในเมื่อคุณก็ฝึกอดอาหาร หนังสือนี้จะทำให้คุณสนใจแน่นอน” มันเป็นหนังสือของจัสมูฮีนที่ชื่อว่า “อยู่ด้วยแสง” ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ในหนึ่งคืนและหนึ่งวันต่อมาผมก็ตัดสินใจฝึกการอยู่ด้วยพลังปราณ ผมบอกกับร่างกายของผมว่า “ฉันคิดว่าการที่ฉันได้ฝึกอดอาหารมาก่อนนี้เป็นการเตรียมตัวฉันแน่นอน” หนังสือเล่นนี้เหมือนกับการเผยความจริงให้แก่ผม

เฮนรี่ มอนฟอร์ตเป็นชาวชามานผู้กินอากาศและให้คำแนะนำแก่ผู้ที่สนใจในวิถีชีวิตแบบไม่ต้องกินอาหาร ปัจจุบันนี้เขาอยู่ในเมืองนองต์ที่สวยงามทางตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส เขายังใช้ความสามารถในการเป็นชาวชามานช่วยเหลือคนอื่นๆ ให้มีสุขภาพที่ดีขึ้นและมีวิถีชีวิตที่เติมเต็มขึ้น หากมองดูปรัชญาของชามาน เฮนรี่ได้อธิบายแนวคิดของเอกภาพในลัทธิของชามาน



Henri-Monfort-2.JPG



ต : ลัทธิของชามานไม่ใช่ปรัชญา ไม่ใช่ศาสนา ชาวชามานมีอยู่ก่อนตั้งแต่เริ่มมีมนุษย์คนที่วาดภาพในถ้ำลาสโกก็เป็นชาวชามาน เรามีอยู่ก่อนศาสนาและปรัชญา ทั้งคู่นั้นรับสิ่งต่างๆ ไปจากลัทธิชามาน ดังนั้น มีชาวชามานอยู่ทั่วโลกทุกทวีป แต่ละที่ก็มีประเพณีของตัวเอง เราพูดได้อย่างนั้น แต่เวลาเดียวกันเราทั้งหมดก็เชื่อมต่อกันด้วยสิ่งหนึ่งที่เรามีอยู่แล้ว ทุกอย่างที่มีอยู่นั้นมีความศักดิ์สิทธิ์สำหรับเรา ดังนั้นมันไม่ใช่เพียงแค่มนุษย์ มันยังคือ สัตว์, พืช, ก้อนหิน, น้ำ, แผ่นดิน, อากาศ, ไฟ, โลก, ดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์, ฯลฯ สำหรับเราแล้วทุกสิ่งคือหนทางที่ให้เราไปถึงสิ่งที่เรียกว่าจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ หนึ่งเดียวที่ยิ่งใหญ่และสามารถติดต่อกับเอกภาพพื้นฐานนั้น ถ้าใช้ภาพเราพูดได้อย่างนั้นว่าที่จริง ชาวชามานสร้างวงเวียนชั้นนอกของเอกภาพนี้ในหมู่พวกเรา ปกติแล้วไม่มีชาวชามานคนใดที่จะพูดว่าเขาเหนือกว่าคนอื่น เราเคารพประเพณีทั้งหมด แม้ว่าไม่ใช่ของเราเอง

ตั้งแต่วัยเด็ก เฮนรี่ก็ได้เชื่อมต่อกับธรรมชาติและโลกรอบตัวเขาในฐานะที่เขาเป็นชาวชามานแต่กำเนิด

ต : เมื่อคุณเป็นชาวชามาน คุณเกิดมาพร้อมกับความสามารถพิเศษ คุณสามารถเห็นสิ่งต่างๆ ที่คนอื่นไม่เห็น คุณได้ยินสิ่งที่คนอื่นไม่ได้ยิน และตั้งแต่ผมยังเล็กๆ ผมสามารถเห็นพลังปราณในชั้นบรรยากาศอนุภาคเล็กๆ สีขาวที่เคลื่อนที่รวดเร็วมากและเราก็ใช้พลังปราณนั้นในการบำบัดรักษาซึ่งเราเรียกว่าพลังแม่เหล็ก มันเป็นความสามารถที่ยินยอมให้พลังปราณไหลผ่านคนนั้น เพื่อบำบัดรักษาผู้คน บำบัดรักษาสัตว์, พืช, โลก ฯลฯ แต่มันไม่เคยปรากฏแก่ผมว่าเราสามารถใช้มันมาหล่อเลี้ยงตัวเองโดยตรง ดังนั้น สำหรับผมนั่นเป็นการเผยที่แท้จริง ผมจึงเริ่มต้นโดยไม่ได้ตัดสินใจว่าจะอยู่อย่างนั้นจริงๆ สำหรับผมมันคือการตัดสินใจวันต่อวัน ทุกวันผมพูดกับตัวเองว่า “ถ้ามันได้ผล ฉันก็ทำต่อ” ผมไม่มีเหตุผลอันใดที่จะกลับไปอยู่ในสถานะที่ผมพอใจน้อยกว่าทุกวันนี้

หลายปีให้หลัง หลังจากที่ลูกๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เฮนรี่ตัดสินใจกลับสู่เส้นทางจิตวิญญาณที่เขากระหายมาตั้งแต่เขาอายุ ๑๘ ปี แล้วเฮนรี่ก็บังเอิญค้นพบวิถีชีวิตที่ไม่ต้องกินอาหาร เมื่อเขาได้รับหนังสือของจัสมูฮีน “อยู่ด้วยแสง” และอ่านจบภายในคืนเดียว เฮนรี่ตัดสินใจในวันต่อมาลงมือเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เขารู้สึกว่าทำให้เขาเข้าสู่จักรวาลทั้งหมด



pic.php?oid=AQCh2ZVsS4nBxEDFuDwqOuPRKlr-




ต : และจากเวลานั้นมา เมื่อเราอยู่ในความสุขตลอด ๒๔ ชั่วโมงนี้ มันมีความรู้สึกอย่างหนึ่งเป็นจิตสำนึกที่เข้ามาในชีวิต จิตสำนึกของความเป็นเอกภาพ พูดอีกอย่างคือผมอยู่โดยเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่ดำรงอยู่ทั้งหมด และด้วยเหตุผลนี้ เราสามารถเลี้ยงตัวเราเองด้วยสิ่งที่ดำรงอยู่ทั้งหมด ทั้งหมดมันหล่อเลี้ยงผมในเวลานี้ คุณหล่อเลี้ยงผม ผมหล่อเลี้ยงคุณ แต่คุณก็หล่อเลี้ยงตัวคุณเอง คุณหล่อเลี้ยงผมด้วย พื้นที่นี้ก็หล่อเลี้ยงผม แสงหล่อเลี้ยงผม ความรู้สึกรอบตัวผมหล่อเลี้ยงผม ทั้งหมดทุกสิ่งหล่อเลี้ยงผม ผมไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลยและนั่นคือสิ่งที่พิเศษ

การใช้หนังสือของจัสมูฮีนเป็นคู่มือนำทางเฮนรี่ก็ผ่านกระบวนการ ๒๑ วัน การเดินทางครั้งนี้เป็นอย่างไร ในการมาเป็นผู้ไม่กินอาหาร?

ต : มันเป็นเวลา ๗ ปีและสองเดือนที่ผมทดลองในการอยู่ด้วยพลังปราณ “หล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ” คือการเลี้ยงตัวเองโดยพลังปราณ อะไรคือปราณ? มันคือสิ่งที่เราเรียกว่าพลังแห่งชีวิต... คนเราสามารถหยุดดื่มได้ถ้าคนนั้นต้องการ คนเราสามารถเลี้ยงตัวเองด้วยพลังปราณอย่างเดียว

แม้ว่าตัวเขาเองตัดสินใจชั่วข้ามคืนในการไม่กินอาหาร เฮนรี่ก็มีประสบการณ์ของการอดอาหารมาสองปีแล้ว ทำให้กระบวนการนี้ง่ายขึ้น

ต : เราไม่สามารถเริ่มต้นอยู่โดยพลังปราณได้ในชั่วข้ามคืน มันจำเป็นต้องมีการเตรียมตัวไว้ก่อน การเตรียมตัวนั้นอาจจะนาน เพราะว่าจำเป็นต้องมีความสมดุลที่ดีระหว่างร่างกาย, อารมณ์, จิตใจ และจิตวิญญาณซึ่งเป็นระดับทั้ง ๔ ของชีวิต



0.jpg



นอกจากนั้นความเข้าใจอย่างระเอียดระหว่างการอดอาหารและการอยู่ด้วยพลังปราณก็จำเป็นต้องมีก่อนที่จะพยายามอยู่โดยไม่กินอาหาร

ต : สิ่งแรกที่ต้องทำคือการแยกแยะให้ชัดเจนระหว่างการอดอาหารและการหล่อเลี้ยงด้วยปราณ สำหรับผมคำว่า “หล่อเลี้ยงด้วยปราณ” มีคำว่า “อาหาร” ผมไม่คิดว่าคนเราจะสามารถอยู่โดยไม่เลี้ยงตนเอง นี่ก็ชัดเจนเหมือนกัน แต่ละคนหล่อเลี้ยงตัวเองด้วยวิธีต่างๆ กันแบบเดียวกัน เวลาที่คุณกินเนื้อสัตว์แล้วคุณตัดสินใจเปลี่ยนมาเป็นมังสวิรัติ เวลาที่คุณเป็นมังสวิรัติ คุณสามารถกลายเป็นวีแก้น ซึ่งหมายถึงกินเฉพาะที่เป็นพืชผัก คุณสามารถกลายเป็นกินอาหารแบบรอว์(raw food diet) หรือแบบอินสติงโต้(instincto) คุณสามารถตัดสินใจได้ในห้วงเวลาหนึ่ง การเริ่มต้นอยู่ด้วยพลังปราณ มันอาจเป็นขั้นตอนที่ดี ทำไมจะไม่ได้ล่ะ แต่มันไม่จำเป็น เราสามารถมีอาหารของเราโดยไม่ต้องเลือก หรือเปลี่ยนชนิดอาหารเป็นพิเศษ ดังนั้นอะไรคือความแตกต่างระหว่างการอดอาหารและการหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ? คือว่าการอดอาหารมีเวลาที่จำกัด มันไม่สามารถทำตลอดไป การอดอาหาร คุณจะเริ่มในวันที่กำหนดและสิ้นสุดในวันที่กำหนด ระยะเวลาที่นานที่สุดสำหรับการอดอาหารคือ ๔ เดือน คุณจะเห็นคนที่ตอนท้ายของ ๔ เดือน มันเกิดขึ้นกับหลายคน เช่น คานธีหรือคนที่ประท้วงด้วยการอดอาหารเป็นเวลานานๆ พวกเขาจบลงด้วยนอนลงกับพื้นให้น้ำเกลือ หมดแรง และถ้าคุณทำต่อไป น้ำหนักคุณลดลงถึงจุดที่น้ำหนักของคุณไม่สามารถคืนกลับมาได้ หมายความว่าน้ำหนักคุณจะลดลงไปเรื่อยๆ  แม้ว่าคุณเริ่มกินอีกและคุณจะเป็นอย่างนั้นจนกระทั่งตาย ยกตัวอย่างคนที่ไม่อยากอาหารจะผ่านกระบวนการทำลายตัวเองนี้ การอดอาหารคือเมื่อคนคนนั้นได้ใช้ของที่มีสำรองไว้ แต่เมื่อไม่มีอะไรเหลือคนนั้นก็ตาย มันเป็นทัศนะแบบเป็นคู่ หมายถึง “มีฉัน มีจักรวาล ฉันใช้ส่วนสำรองของฉันและฉันตัดขาดตัวเองจากจักรวาล”  แต่การหล่อเลี้ยงด้วยปราณ เราจะได้รับพลังงานจากจักรวาล ดังนั้นมันเป็นหนึ่งเดียวกัน ฉันจะรวมตัวฉันเองกับจักรวาลและจักรวาลจะหล่อเลี้ยงฉันโดยตรง มันสำคัญมากทีเดียว คุณจะเห็นภายหลังว่านี่คือการตัดสินมุมมองของการเริ่มต้นวิธีหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ

การอดอาหารอาจเป็นขั้นตอนในการมาเป็นผู้กินอากาศ ความเห็นของเฮนรี่ มันมีความสำคัญอย่างมากในระดับของเซล

ต : ดังนั้นเราจะมั่นใจในวิธีการอดอาหาร คนที่ตัดสินใจอยู่ด้วยพลังปราณ เราจะใช้มันมาเป็นประโยชน์ในการชำระล้างตัวเอง เราจะอดอาหารแต่ไม่นานเกินไปอาจจะหนึ่งวัน หรือสองวัน สามวัน หนึ่งสัปดาห์ ไม่ต้องหลายเดือน แล้วหลังจากนั้นร่างกายที่บริสุทธิ์แล้ว การชำระล้างร่างกาย ซึ่งเราเรียกว่าการล้างพิษจะเข้ามาแทนที่ ต้องขอบคุณกระบวนการอดอาหาร ดังนั้นถ้าตอนนี้กระบวนการนี้ทำให้คุณสนใจ ผมก็ขอเชิญคุณอดอาหารเป็นระยะๆ เพราะการอดอาหารน่าสนใจมาก เพื่อดูว่าตัวคุณจะมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อไม่มีอาหาร ดังนั้นมันจำเป็นที่ในระดับของร่างกาย พูดได้ว่าการอดอาหารจะเผยความจำของเซลล์ อะไรคือความจำของเซลล์? ความจำของเซลล์คือโรคทั้งหลายที่คุณมี, ความเครียดทั้งหลายที่คุณสะสมในช่วงชีวิตของคุณ ถึงแม้ว่ามันได้รับการรักษาแล้ว ถึงแม้ว่ามันหายแล้ว มันก็จะทิ้งร่องรอยไว้บนเซลล์ ร่องรอยเล็กๆ เหล่านี้คือรอยแตกที่ยินยอมให้โรคทั้งหลายแพร่พันธุ์กระจายออกไป หรือปรากฏขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นการอดอาหารและการอยู่ด้วยพลังปราณจะทำให้เราลบรอยทรงจำเหล่านี้ มันจะเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์แรกของกระบวนการ



thumb_onlyphotosY_aa_listffssdf563413442



เพื่อมีประสบการณ์ความสำเร็จในการอยู่โดยไม่กินอาหาร เฮนรี่ได้อธิบายถึงขั้นตอนเฉพาะที่ต้องปฏิบัติตาม

ต : ในระดับของร่างกาย เราต้องมีสุขภาพที่ดี เราควรเตรียมโดยอาหารที่กิน, โดยการอดอาหารและโดยการล้างพิษ การชำระล้างร่างกาย เราต้องตระหนักว่า เมื่อเรากินวันละ ๓ หรือ ๔ มื้อ เราจะไม่สามารถไปถึงขั้นตอนการล้างพิษ เราสะสมพิษต่างๆ ไว้ในร่างกาย ในไขมัน, ในข้อต่อและนั่นก็คือสาเหตุของโรคภัย ดังนั้นการอดอาหารจึงจำเป็นและการล้างพิษอย่างถูกต้องจะได้ผลหลังจากที่อดอาหาร ๓ เดือน ดังนั้นถ้าเราทำเป็นระยะๆ ร่างกายของเราจะสะอาด แล้วในระดับอารมณ์ เราจะเป็นอิสระจากความสัมพันธ์เชิงบังคับที่เรามีกับอาหารและการชดเชยทางอารมณ์ที่เราพบในนั้น ดังนั้นมันจำเป็นต้องตรวจดูระดับเหล่านั้นก่อนจะเริ่มอยู่ด้วยพลังปราณ



default.jpg



เฮนรี่ มอนฟอร์ต เป็นชาวชามานฝรั่งเศสเป็นผู้ไม่กินอาหารมาเป็นเวลา ๗ ปี เขาอยู่โดยอาศัยพลังปราณในการดำรงชีวิต พลังปราณคืออะไร? แฮรี่ได้อธิบายถึงรูปแบบต่างๆ ของมันในระหว่างการบรรยายเรื่อง “อาหารพลังปราณ : อีกวิถีหนึ่งด้านจิตวิญญาณ” 

ต : ตั้งแต่ผมยังเล็กๆ ผมก็เห็นอนุภาคเล็กๆ เหล่านี้ของแสง เมื่อคุณอยู่ในที่ที่บริสุทธิ์มาก อาจจะเป็นในป่าหรือในภูเขา คุณจะเห็นอนุภาคเหล่านี้ ซึ่งมีความเร็วสูงนั่นคือปราณ นั่นคือเหตุที่เราเรียกมันว่าการหายใจ เพราะมันคือปราณของอากาศ ความจริงแล้วเราต้องพูดว่ามีระดับต่างๆ ของปราณถ้าอยู่ในอากาศ มันเรียกว่า “ปราณ” ถ้าในระดับของเหลวมันเรียกว่า “โซมา” ถ้าผมวางมือไว้ตรงนี้ (ทำท่าวางมือสองข้างช้อนไว้ใต้คาง)และเงยหน้าไปข้างหลัง น้ำลายของผมกลายเป็นของเหลวที่เรียกว่า “โซมา” ซึ่งลงไปอยู่ในอวัยวะย่อยอาหาร มันเป็นของเหลวที่หวานเหมือนน้ำผึ้งและจะนำแสงสว่างไปยังอวัยวะต่างๆ บางคนอาจบอกว่านั่นคือน้ำลายที่บริสุทธิ์ขึ้น แล้วในระดับของของแข็งมันเรียกว่า “วิภูติ” คุณเคยได้ยินคำว่า “วิภูติ” หรือเปล่า? มีอาจารย์ด้านจิตวิญญาณหลายๆ ท่านรวมทั้งท่านสัตยา ไส บาบา ที่นำปราณแบบแข็งหรือวิภูติออกมาจากอากาศ พวกเขานำมันมาพิสูจน์ด้วยมือของพวกเขา มันออกมาอย่างนั้น มันเหมือนขี้เถ้า บางคนอาจบอกว่านั่นคือปราณในระดับของแข็ง แล้วพวกเขายังสามารถสร้างวัตถุเอาเพชรพลอยออกมา อะไรแบบนั้น ดังนั้นปราณไม่เพียงแต่อยู่ในอากาศ มันมีอยู่ในทุกระดับของการสร้าง มันสำคัญมากที่ต้องเข้าใจเรื่องนี้ด้วย เพราะมันจะช่วยให้เรารู้ว่าเราจะไปถึงระดับหล่อเลี้ยงด้วยตัวเองอย่างไร

ตามความเห็นของเฮนรี่ ขั้นตอนแรกในการอยู่โดยไม่กินอาหารคือการเตรียมตัว ซึ่งอาจใช้เวลาหนึ่งปีขึ้นอยู่กับแต่ละคน เขาแนะนำว่าก่อนเริ่มกระบวนการของการอยู่ด้วยพลังปราณหรือพลังจักรวาลจะต้องมีหลักการที่ชัดเจน

ต : ข้อแรกคือเราจะกำหนดเรื่องน้ำหนักในตอนแรก เรากำหนดว่าน้ำหนักแค่ไหนจะดีที่สุดสำหรับร่างกายของเรา และเราก็ไม่ควรให้ต่ำกว่านั้น แต่ในระหว่างที่อดอาหาร เรามีน้ำหนักลดไปเรื่อยๆ สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือทัศนะคติ เราจะบอกเซลล์ของเรา เราบอกว่าเรากำลังทำอาหารในระดับของเซลล์ซึ่งเราจะเลี้ยงตัวเองได้อย่างอุดมสมบูรณ์ ข้อสองคือเราจะมีพลังงานอย่างไม่มีขีดจำกัด เมื่อเราได้เชื่อมต่อเข้ากับพลังงานของจักรวาล เราอาจบอกอย่างนั้น มันไม่มีความเหนื่อยอ่อน ไม่มีการสึกหรอ ดังนั้นยิ่งเรากระตือรือร้น เราก็ยิ่งจะมีพลังงานมากขึ้น ข้อที่สามคือเราจะแบ่งเวลานอนเป็นสองช่วง ถ้าเรานอน ๘ ชั่วโมง เราจะไม่นอนนานกว่า ๔ ชั่วโมง ตอนนี้ผมนอนสองชั่วโมง แต่เวลาที่เรานอนหลับสองชั่วโมง เราตื่นขึ้นเหมือนกับว่าเรานอน ๗-๘ ชั่วโมง ดังนั้นเหลือเวลามากมายให้ทำอย่างอื่น

เมื่อการเตรียมตัวเรียบร้อย กระบวนการเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงเป็นผู้กินอากาศใช้เวลาประมาณ ๒๑ วัน ขั้นแรกของกระบวนการเปลี่ยนแปลงคือการอดอาหาร ซึ่งจำเป็นต้องชำระล้างร่างกายเนื้อในระดับของเซลล์ การอดอาหารใช้เวลาอย่างมากหนึ่งสัปดาห์ ผลของการอดอาหารตลอดสัปดาห์ ร่างกายจะเริ่มพบกับการล้างพิษ หลังจากชำระล้างแล้ว ร่างกายก็จะเริ่มลบเซลล์ความจำ



default.jpg



ต : ความจำของเซลล์คือโรคทั้งหลายที่คุณมี, ความเครียดทั้งหลายที่คุณสะสมในช่วงชีวิตของคุณ ถึงแม้ว่ามันได้รับการรักษาแล้ว ถึงแม้ว่ามันหายแล้ว มันก็จะทิ้งร่องรอยไว้บนเซลล์ เราจะลบความทรงจำในเซลล์เหมือนกับเวลาที่เราล้างแผ่นดิสก์ ถ้าแผ่นดิสก์เป็นรอยมันจะเล่นซ้ำอยู่ที่เดิม ดังนั้นถ้าคุณค่อยๆ ลบรอยตำหนิพวกนี้ออก คุณก็จะราบรื่น ซึ่งคุณจะไม่ต้องพบกับเรื่องเดิมๆ อีก ความทรงจำในเซลล์มันเข้าลึกมาก มันคือสิ่งที่เราเรียกว่า “ความจำแบบครอบครัว” ซึ่งหมายถึงว่ามีผู้คนที่อยู่ในวัยเดียวกันจะถ่ายทอดโรคภัยที่พ่อแม่ของพวกเขาหรือปู่ย่าตายายเคยมีมาก่อน ดังนั้นเราจะขจัดสิ่งเหล่านั้นออก แล้วกระทั่งความจำที่ลึกมากขึ้น ซึ่งเป็นความจำที่เชื่อมโยงกับมนุษยชาติและพวกที่อยู่ตรงนี้ (ทำท่าชี้ที่บริเวณก้านสมอง) ในสมองของเรา พวกนี้คือความจำที่มาจากช่วงเวลาที่เมื่อผู้คนรู้สึกหิว มันคือความจำตามประวัติศาสตร์เวลาที่เกิดภัยแล้งและอาหารขาดแคลน, แล้วความจำเหล่านี้ทำปฏิกิริยาขึ้นมาใหม่ เพราะเวลาที่มีผู้คนกำลังตายด้วยความหิวโหย ดังนั้นการอดอาหารจะทำให้เราปรับตัวเองทางร่างกายซึ่งเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ที่กำลังเกิดขึ้น

ในระดับของจิตใจ อะไรที่เราคาดว่าจะพบในช่วงสัปดาห์นี้ของการอดอาหาร?

ต : ถึงจุดหนึ่ง คุณจะพบกับความจริงที่ว่าไม่มีอาหารอีกแล้ว แล้วเกิดอะไรขึ้น? ความกลัวจะเกิดขึ้นมั๊ย? จะมีความกังวลหรือไม่? “ฉันจะถูกบังคับให้เป็นอย่างที่จะเกิดขึ้นหรือ? ฉันจะต้องหาร้านค้าเพื่อซื้ออาหารหรือไม่?” แล้วเกิดอะไรขึ้น? ในระดับของจิตใจ เราจำเป็นต้องขึ้นไปเหนือระดับความกลัวและข้อจำกัด

สิ่งสำคัญอีกอย่างที่เราต้องมีเพื่อความสำเร็จในการจะอยู่โดยไม่กินอาหารคือความเชื่อมั่นไม่สั่นคลอนว่ามันเป็นไปได้สำหรับมนุษย์ที่จะอยู่รอดได้โดยไม่จำเป็นต้องกินอาหารวัตถุ เราสามารถไปถึงสภาวะนี้โดยกระบวนการอดอาหาร ซึ่งก็จะช่วยเราสร้างความเชื่อมโยงในระดับจิตวิญญาณ ช่วงสัปดาห์แรกของการอดอาหารและการล้างพิษร่างกายจะพบกับการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ที่เห็นได้ชัดเจนมากขึ้นในระดับกายภาพ

ต : มันไม่ค่อยน่าพึงพอใจนักในสัปดาห์แรกโดยเฉพาะ ๓ วันแรก คุณจะมีลิ้นขาว คุณจะมีลมหายใจเหมือนสุนัข-เหม็นมาก แต่ว่ามันจำเป็นที่ต้องผ่านพ้นการชำระล้างร่างกายนี้ก่อน



154x114_iLyROoafJK_K_2.jpg



เมื่อร่างกายผ่านการล้างพิษในสัปดาห์แรกแล้วก็ต้องชำระล้างลึกมากขึ้น นั่นจะเกิดในระดับของเซลล์ กระบวนการถอนรากเหง้าความทรงจำในเซลล์จะเกิดขึ้นในสัปดาห์ที่สองของการเปลี่ยนแปลง เมื่อร่างกายได้ล้างและ “ตั้งต้นใหม่” ร่างกายเข้าสู่สภาวะใหม่ของกระบวนการไม่กินอาหาร

ต : เราจะหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณเข้ามาแทนที่ในสัปดาห์ที่สาม พูดอีกอย่างคือเราจะเริ่มต้นอยู่ในระดับที่เปลี่ยนไป ดังนั้นมันเป็นอย่างไร? ตอนแรกเราจะทำงานที่มองเห็นได้ เมื่อถึงเวลาอาหารร่างกายของคุณคุ้นเคยกับการเริ่มตามระเบียบในเวลานั้น คุณจะหิวหรือพูดอีกอย่าง เราเรียกว่าระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งหมายถึงท้องของคุณเริ่มร้อง คุณมีความรู้สึกท้องว่างและรู้สึกหิว เวลานี้มีผู้คนที่ไม่รู้สึกหิวเลยด้วยซ้ำ เพราะพวกเขากินมากจนพวกเขาไม่รู้สึก แต่ถ้าคุณอดอาหารคุณรู้ว่ามันคืออะไร มันคือความรู้สึกท้องว่างหรือตาลาย ซึ่งทำให้เราต้องการกินในทันที ดังนั้นระบบประสาทอัตโนมัติรู้ว่ามันคืออะไร ดังนั้นเราใช้เวลานี้ที่เป็นมื้ออาหาร เราจะพิจารณาอย่างมีสติในตอนเริ่มต้นโดยทำให้แสงเข้าไปอย่างลึกล้ำเข้าถึงเซลล์ทั้งหมดของเรา เมื่อเราทำแบบนี้ ๓ หรือ ๔ วัน ปกติแล้วความรู้สึกของการรับรู้มันจะกระจายไป, ขยายออกไปและกลายเป็นละเอียดอ่อนมากขึ้นเรื่อยๆ ผมจะยกตัวอย่างว่าการทำให้ความรู้สึกละเอียดบริสุทธิ์คืออะไร เมื่อผมทำขั้นตอนนี้มันเป็นเดือนพฤศจิกายน ผมออกไปข้างนอกในช่วงสัปดาห์แรกและขึ้นรถราง ผมอยู่ตรงท้ายรถราง มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมาพร้อมกับแซนวิชที่ต้นขบวนรถ คุณคงมองเห็นความยาวของรางรถ ผมสามารถรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในแซนวิชของเธอ ไม่เพียงรู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน แต่ผมได้กลิ่นและรสชาติ (เพราะกลิ่นและรสชาติมันเชื่อมโยงกัน) เมื่อคุณได้กลิ่นคุณก็รู้รสชาติ ดังนั้นผมได้รับกลิ่นและรสชาติของสิ่งที่เธอกำลังกิน เมื่อผมอยู่ในปารีสเมื่อเร็วๆ นี้ มันเป็นวันแม่ มีเด็กๆ ทำขนมเค้กขนาดยักษ์สำหรับแม่ของพวกเขาด้วยครีม, สตรอเบอร์รี่และอะไรเหล่านั้น แล้วต่อมาพวกเขาก็กินขนมเค้กนั้นและผมก็ได้รับรสชาติของสิ่งที่พวกเขากำลังกินทั้งครีมและรสสตรอเบอร์รี่ ฯลฯ นี่หมายถึงว่าเราป้อนตัวเองด้วยวิธีที่แตกต่างไป ถ้าคุณมีโอกาสเห็นพระอาทิตย์ตกดินในภูมิทัศน์ที่สวยงาม คุณอยู่ตรงนั้น คุณรู้สึกดี คุณมองดูมันและคุณก็อิ่ม คุณไม่หิวในเวลานั้น นั่นคือการหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ มันหมายความว่าคุณจะหล่อเลี้ยงตัวเองในแบบที่เปลี่ยนไปและความรู้สึกในการรับรู้ของคุณจะได้รับพลังที่ละเอียดอ่อนที่สุดของชีวิต



Henri_Monfort2.png



เฮนรี่ มอนฟอร์ต ชาวชามานฝรั่งเศสเป็นผู้ที่ไม่กินอาหารมาเป็นเวลา ๗ ปี เขาอยู่โดยอาศัยพลังปราณเท่านั้น เราได้เรียนรู้จากเฮนรี่ว่าขั้นตอนการเปลี่ยนมาเป็นผู้กินอากาศใช้เวลาประมาณ ๒๑ วัน สัปดาห์แรกร่างกายจะต้องพบกับการล้างพิษโดยการอดอาหาร แล้วสัปดาห์ที่สองร่างกายจะทำการลบเซลล์ความทรงจำของเชื้อโรคและความเครียดเพื่อให้ร่างกายบำบัดด้วยตัวเอง แล้วสุดท้ายในสัปดาห์ที่สามเป็นการหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ ในช่วงนี้ร่างกายปรับการรับรู้ของมันให้ละเอียดขึ้นและค่อยๆ กลับมาสู่สภาวะที่บริสุทธิ์ดั้งเดิม ซึ่งมันมความพร้อมและสามารถหล่อเลี้ยงชีวิตและปรับเข้ากับสิ่งแวดล้อมทุกชนิดได้

ต : เวลาที่ผมทำสมาธิในป่า ผมวางมือไว้บนพื้นดิน ผมได้ยินเสียงเมล็ดพืชงอก ได้ยินเสียงแมลงเดิน ได้ยินเสียงของใบไม้ผลิ ผมออกไปข้างนอก มันเกิดขึ้นในปีแรกเมื่อผมมาถึงในเดือนมกราคมมันมีอุณหภูมิติดลบสิบองศา ผมออกไปข้างนอกมันมีอากาศสองแบบระหว่างร้อนและหนาว ซึ่งมันยากจะทนได้ ในตอนแรกมันลำบากมาก มีวันหนึ่งผมพูดว่า “ไม่ มันก็คู่กัน” ปกติแล้วอากาศหนาวไม่มีผลต่อผม ดังนั้นผมออกไปข้างนอก มันติดลบสิบองศา แล้วทันทีมันเหมือนกับว่าความหนาวกลายเป็นไม่มีอะไร ผมไม่รู้สึกหนาวอีกแล้ว ปีแรกนั้นผมรู้สึกถึงความหนาว พอปีที่สองเมื่ออุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์ร่างกายของผมหนักเพิ่มสามกิโลในช่วงกลางคืน และเมื่อผมไปที่อิตาลีพบภรรยาและลูกชายของผม มันร้อน ๔๐ องศาเซลเซียส น้ำหนักผมลดสามกิโลในช่วงกลางคืน ตอนแรกผมบอกตัวเองว่ามันคือน้ำที่ผมดื่ม มันจะต้องเป็นเพราะการกักเก็บน้ำ แต่เมื่อสองปีที่แล้วผมก็เข้าใจ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคือ ร่างกายหดตัวลงหรือผ่อนคลาย น้ำหนักจึงเพิ่มขึ้น ร่างกายแน่นขึ้น หรือในทางตรงกันข้ามมันผ่อนคลาย มันไม่เกี่ยวกับน้ำอะไรเลย น่าทึ่งมาก ร่างกายมีความสามารถที่จะปรับตัวเองเข้ากับทุกๆ สิ่ง ดังนั้นเราจะหล่อเลี้ยงตัวเองโดยการรับรู้ความรู้สึก ซึ่งจะเกิดขึ้นในมิติหนึ่งซึ่งเราไม่สามารถจินตนาการได้



default.jpg



เมื่อร่างกายได้รับเอกราชกลับคืนมาจากอาหารวัตถุ การอยู่ด้วยพลังปราณจะเป็นไปเองตามธรรมชาติ

ต : ทีนี้เมื่อเราไปถึงสภาวะนั้น ความรู้สึกของการรับรู้มันจะเหลือเชื่อและสิ่งที่จะเกิดขึ้น หลังจากนั้นคืออะไร? คุณก็จะอยู่ในแสงออร่าของคุณ แล้วอะไรคือแสงออร่า? มันก็คือสนามพลังงานของคุณ สนามพลังงานที่อยู่ล้อมรอบตัวคุณ ดังนั้น ก่อนอื่นแสงออร่าจะมีขนาดที่น่าพิศวง คุณสามารถปรับมันให้ไกลเท่าที่คุณต้องการ ขนาดเท่ากับห้อง ขนาดเท่ากับบ้าน ขนาดเท่ากับสถานที่ ฯลฯ และหลังจากนั้น คุณจะเพ่งอยู่ที่ปราณซึ่งในแสงออร่า แล้วปราณนั้นก็จะมีความหนาแน่นมากขึ้น จนคุณจะได้รับการหล่อเลี้ยงจากทุกรูขุมขนของผิวหนังคุณวันละ ๒๔ ชั่วโมง แล้วคุณจะไม่ต้องทำอะไรเลย คุณได้รับอาหารอย่างต่อเนื่อง เมื่อคุณไปถึงสภาวะนั้น คุณพูดได้เลยว่าคุณอยู่ได้ด้วยพลังปราณ เพราะคุณไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องกังวลถึงเรื่องอะไรแล้ว เซลล์ต่างๆ จะรับเอาสิ่งที่ต้องการจากปราณนั้น

ตามทัศนะของเฮนรี่ เมื่อเราไปถึงสภาวะไม่ต้องกินอาหาร สามารถอยู่ได้ด้วยพลังจักรวาลอย่างเดียว จิตสำนึกและการรับรู้ความรู้สึกจะขยายออกไปเหนือการแบ่งแยก “ตัวเอง” และ “ผู้อื่น” 

ต : เมื่อเราอยู่ด้วยพลังปราณ เราจะไปถึงระดับที่เราเรียกว่าความปิติ คำว่าปราณมาจากประเพณีของฮินดู ชาวจีนเรียกว่าชี่, ชี่กง, ไท่ชี่ฉวน, ชาวโพลีนีเซียเรียกมันว่า มานาส ซึ่งรู้จักกันมาแต่ครั้งโบราณในประเพณีต่างๆ  ความปิติไม่มีการแบ่งแยก ไม่มีด้านตรงกันข้าม หมายถึงเราจะมีความรู้สึกเต็มและเต็มอยู่เสมอ ไม่มีขณะใดที่เราจะรู้สึกว่าว่างเปล่า ความรู้สึกที่เต็มและเต็มไปด้วยความรัก ทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว อีกทั้งความโดดเดี่ยวนั้นก็สลายไป ถ้าจักรวาลทั้งหมดเป็นภาพพิศวงขนาดมหึมา เรารู้สึกเหมือนเป็นชิ้นหนึ่ง ซึ่งอยู่ตรงมุมใดมุมหนึ่ง และมีอยู่ในที่ของมัน ไม่มาก ไม่น้อย แต่อยู่ตรงที่ของมันและในเวลาของมัน ในเวลาที่เหมาะสมนั้น แล้วจากจุดนั้นจะมีความรู้สึกของความเต็มอิ่มและปิติสุข ที่มาในชีวิต ที่ทำให้เราไม่รู้สึกว่าเศร้าอีกต่อไป ไม่ถูกทอดทิ้ง...

นอกจากการเชื่อมต่อทางจิตวิญญาณด้วยพลังงานของจักรวาล การอยู่โดยไม่กินอาหารมีประโยชน์ทางกายภาพอย่างมากมายมหาศาล (ถ : ตอนนี้คุณไม่ป่วยอีกแล้ว?)

ต : นั่นแหละ เราไม่รู้จักความเจ็บป่วยอีกต่อไป เราจะไม่รู้จักแก่ ไม่รู้จักเหนื่อยอ่อน ไม่รู้จักอิดโรย เราสามารถพูดได้หลายชั่วโมง เราทำงานได้นานหลายชั่วโมง สามารถทำสิ่งต่างๆ มากมาย (ถ : คุณรู้สึกว่าแข็งแรงขึ้น มีความต้านทานมากขึ้น?) ผมรู้สึกเป็นหนุ่ม(หัวเราะ) กระชุ่มกระชวยขึ้น และมีสัญญาณภายนอกของความกระปรี้กระเปร่า ผมของผมเป็นสีดำ ผิวหนังตึงขึ้น สายตาของผม ผมเคยใส่แว่น แต่ตอนนี้แทบจะไม่ต้องใส่แว่นเลย ผิวหนังของผม เนื่องจากตับก่อนนี้ไม่แข็งแรง ผิวหนังก็แห้งมาก ผมมีผิวแบบที่เรียกว่า “หนังงู” คือลายเหมือนกับเกล็ด เหมือนเป็นแผลและเป็นลมพิษอยู่เสมอ อะไรพวกนั้น นี่เป็นสัญญาณว่าตับทำงานไม่ปกติ แล้วมันก็หายไปโดยสิ้นเชิง และในอีกระดับหนึ่งผมปรับตัวได้ง่ายมาก เพราะว่าเมื่อก่อนผมมีอาการโรคปวดข้อ มันมาจากปู่ของผม มันเป็นกรรมพันธุ์ เราพูดได้ว่ามันมาจากยีน เมื่อผมอายุ ๓๕ ผมมักเป็นตะคริวหรือที่เรียกว่ารูมาติซึ่มหรือรูมาตอย(rheumatism) คือคุณไม่สามารถจับอะไรได้ ไม่มีกำลัง แล้วคุณก็ทำของหล่น มันเป็นอาการที่ทำอะไรไม่ได้เลย มันเริ่มเมื่อผมอายุ ๓๕ แล้วตอนนี้ผมไม่มีปัญหานั้นแล้ว ผมเคยมีปัญหาเรื่องปวดหลัง ปวดมาก ผมเป็นหมอนรองกระดูเลื่อน การแทรกซึมในข้อสันหลัง ฯลฯ ผมคิดว่าถ้าผมไม่มีประสบการณ์นี้ทั้งหมดนั้นก็คงต้องเป็นอยู่และยิ่งเลวร้ายลงไป มันเกี่ยวข้องกับพิษต่างๆ ที่สะสมไว้ในข้อ ดังนั้นเราจะเห็นผลของมันได้รวดเร็วในการหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ ปัญหาทั้งหลายนั้นหมดไปเลย



27061635:jpeg_preview_medium.jpg?2010121



ประโยชน์อันมหาศาลครอบคลุมถึงด้านอื่นๆ ของชีวิตประจำวัน (ถ : ในระดับของพลังงาน มันคงจะเกินบรรยาย?)

ต : ใช่ แน่นอน พลังงานนั้นมันเหมือนกับเราเชื่อมต่อกับพลังแห่งชีวิต พลังที่ไร้ขีดจำกัดไม่มีวันหมด เรายิ่งกระทำ พลังงานก็ยิ่งมีมากขึ้น เราสามารถเดินได้หลายชั่วโมง ขับรถได้หลายชั่วโมง ทำงานหลายชั่วโมง อ่านหนังสือได้เร็วขึ้นโดยมีความสามารถในการจดจ่อมากขึ้นและเรานอนหลับคืนละ ๒-๓ ชั่วโมงเท่านั้น เราสามารถใช้เวลานี้ทำงานทางอินเตอร์เนตหรืออ่านหนังสือ ผมอ่านหนังสือเยอะแยะมากมายโดยใช้เวลาที่เราได้จากการนอนน้อยลง เราจะสามารถใช้มันมาสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ มากขึ้น (ถ : เมื่อเราคิดถึงเวลาทั้งหมดที่เราใช้ในการช๊อบปิ้ง ทำอาหาร ทำความสะอาด ซักล้าง มันเป็นสวรรค์จริงๆ?) เราลองนับเวลาที่เราใช้ในการทำเรื่องนั้นๆ ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีด้านการเงิน เพราะว่าเราใช้เงินน้อยลงและเราก็อยู่อย่างเรียบง่ายขึ้น ใช้ไฟฟ้าน้อยลง เรามีชีวิตที่ง่ายขึ้น ความจำเป็นต่างๆ ก็ลดลง ผมไม่มีรถ ผมอยู่ใจกลางเมือง ผมมีรถจักรยาน ผมเดิน มันเป็นสวรรค์จริงๆ 

เฮนรี่ ในปัจจุบันนี้ทำงานต่อเนื่องจากหนังสือเล่มแรกของเขา “หล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ : อีกวิถีหนึ่งของด้านจิตวิญญาณ” และใช้เวลาของเขาในการสัมมนาและช่วยผู้อื่นให้มีวิถีชีวิตที่สุขภาพดีขึ้น ด้วยการขจัดการเป็นทาสของอาหารวัตถุ

ต : ผมจัดสัมมนาจนถึงเดือนมีนาคม เมษายน พฤษภาคม มิถุนายนของปีหน้า แล้วตั้งแต่มิถุนายนเป็นต้นไป ผมจะสร้างกลุ่ม ๓ กลุ่มประมาณ ๒๐ คน สำหรับคนที่อยากให้ผมดูแลเรื่องการอยู่ด้วยพลังปราณ (ถ : สาธารณชนมีปฏิกิริยาอย่างไรกับการสัมมนาของคุณ?) มันเป็นเรื่องที่พิเศษมาก มันปรากฏชัดเจนว่ามีบางสิ่งที่อยู่ในอากาศระยะหนึ่ง เพราะมันมีความต้องการมากเกินคาด เราจัดสัมมนาในปารีสมีที่นั่ง ๑๒๐ ที่ แต่มีคนมา ๒๕๐ คน มันเหมือนกันเลยทุกที่ ในเมืองนองต์เราจัดสัมมนา ๔ ครั้ง คนเต็มห้อง เราได้รับการขอร้องให้จัดอีก มันแทบไม่น่าเชื่อความรู้สึกของผู้คน ความอยากรู้ในเรื่องนั้นและคำถามและความกระตือรือร้น

ขอบคุณ คุณเฮนรี่ สำหรับการแบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวและการเดินทางมาเป็นผู้กินอากาศ การช่วยเหลือของคุณ เพื่อให้ผู้อื่นได้ไปถึงสภาวะที่มีความผาสุกทั้งร่างกายและจิตใจนั้นน่ายกย่องมาก เราขอให้คุณพบความสำเร็จกับหนังสือเล่มใหม่ของคุณและส่งความปรารถนาดีให้แก่ความพยายามที่มีเมตตาของคุณ

ติดต่อคุณเฮนรี่ มอนฟอร์ต เชิญเข้าชมที่
nourriture.pranique.free.fr

ข้อมูลเพิ่มเติมของหนังสือของเฮนรี่ มอนฟอร์ต “หล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ : อีกวิถีหนึ่งด้านจิตวิญญาณ” (Pranic Nourishment : Another Path to Spirituality) เชิญชมที่
nourriture.pranique.free.fr/livre.html

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมกรุณารับชมที่
www.SupremeMasterTV.com/BMD



				
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ