7 มีนาคม 2554 20:53 น.
คีตากะ
เปรียบเทียบโปรตีนในอาหารประเภทเนื้อสัตว์กับอาหารมังสวิรัติ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อาหารประเภท ปริมาณ 100 กรัม อาหารมังสวิรัติ ปริมาณ 100 กรัม
เนื้อสัตว์ (อาหารเพื่อสุขภาพ)
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ไข่ 10.0 กรัม ถั่วดำ 37.1 กรัม
กุ้ง 18.4 กรัม ถั่วเหลือง 36.8 กรัม
เนื้อหมู(ไม่ติดมัน) 12.3 กรัม ฟองเต้าหู้สด 51.7 กรัม
เนื้อวัว 16.7 กรัม สาหร่ายทะเล 28.4 กรัม
นมวัว 3.0 กรัม ถั่วลิสง 24.7 กรัม
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เปรียบเทียบธาตุเหล็กในอาหารประเภทเนื้อสัตว์กับอาหารมังสวิรัติ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อาหารประเภท ปริมาณ 100 กรัม อาหารมังสวิรัติ ปริมาณ 100 กรัม
เนื้อสัตว์ (อาหารเพื่อสุขภาพ)
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตับไก่ 11.2 กรัม กลุ่มผักกะหล่ำที่มีสีเขียวจัด 20.0 กรัม
ตับหมู 10.2 กรัม งาดำ 13.0 กรัม
ปลาแซลมอน 8.2 กรัม งาขาว 11.7 กรัม
เนื้อวัว 3.6 กรัม สาหร่ายทะเล 98.9 กรัม
เนื้อหมู(ไม่ติดมัน) 1.5 กรัม ถั่วเหลือง 7.0 กรัม
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เปรียบเทียบแคลเซี่ยมในอาหารประเภทเนื้อสัตว์กับอาหารมังสวิรัติ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อาหารประเภท ปริมาณ 100 กรัม อาหารมังสวิรัติ ปริมาณ 100 กรัม
เนื้อสัตว์ (อาหารเพื่อสุขภาพ)
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
นมวัว 110 มิลลิกรัม ผักจำพวกผักโขม 300 มิลลิกรัม
นมแพะ 124 มิลลิกรัม งาดำ 1,241 มิลลิกรัม
ปลาทั่วไป 35 มิลลิกรัม กะหล่ำปลี 300 มิลลิกรัม
เนื้อวัว 10 มิลลิกรัม กลุ่มผักกะหล่ำที่มีสีเขียวจัด 850 มิลลิกรัม
เนื้อหมู 12 มิลลิกรัม ถั่วเหลือง 216 มิลลิกรัม
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อ้างอิงจาก The Department of Nutrition Physiology of Max Planck Institutes in Germamy
7 มีนาคม 2554 00:13 น.
คีตากะ
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
โอ๊กแลนด์ นิวซีแลนด์ 27 เมษายน 2543
(ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ) วีดิทัศน์#686
คัมภีร์พุทธกล่าวว่า เธอคือพุทธะ และธรรมชาติแห่งพุทธะอยู่ภายในตัวเธอ ไบเบิ้ลกล่าวว่า พระเจ้าอาศัยอยู่ภายในโบสถ์หลังนี้ ถ้าเช่นนั้น จะมีใครอื่นล่ะ ที่อยู่ในนั้น นอกจากพระเจ้า? ถ้าเราคือโบสถ์และพระเจ้าคือผู้เดียวเท่านั้นที่อาศัยอยู่ในนั้น ถ้าเช่นนั้นเราคือใครกันนอกจากพระเจ้า? ถ้าเราจำไม่ได้ก็ดี แต่เราก็ยังคงเป็นพระเจ้า
ดังนั้นไม่ว่าเราจะเลือกทำอะไรในฐานะที่เป็นพระเจ้าของพระเจ้าทั้งหลาย เราก็ควรที่จะให้ความเคารพในฐานะที่เราเป็นบิดา/มารดาของสรรพสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ เราควรเคารพความปรารถนาของเราและทางเลือกของเราที่จะมีชีวิตและแสดงตัวตนความเป็นพระเจ้าของเราในแบบใดก็ตามที่เราต้องการ
เหตุฉะนี้ พระเยซูจึงบอกเราว่าเราไม่ควรตัดสินผู้อื่น เพราะเราไม่ทราบทางเดินที่สรรพสัตว์อื่นได้เลือกที่จะเดิน เขาหรือหล่อนทำสิ่งต่างๆ ของเขา/หล่อน เพื่อว่าเขา/หล่อนอาจจะได้รู้จักพระเจ้าด้วยวิธีการที่แตกต่างออกไป เขาหรือหล่อนอาจเลือกที่จะเป็นคนที่ดูเหมือนชั่วร้าย เป็นคนที่ต่ำมากๆ หรือที่เรียกว่าคนไม่มีคุณธรรม แต่นั่นก็เป็นวิธีการของเขา/หล่อนในการรู้จักพระเจ้าด้วยการเลือกที่จะไม่มีลักษณะแบบพระเจ้า วันหนึ่งบุคคลผู้นั้นก็จะทราบว่านั่นไม่ใช่ตัวเขา/หล่อน แต่พวกเขาก็ต้องกลับมาและเรียนรู้การเป็นมนุษย์ใหม่อีกครั้ง เพราะถ้าเราอยู่ในสวรรค์ตลอดเวลาและเป็นพระเจ้าตลอดเวลา เราก็จะจำไม่ได้ว่าเราเป็นพระเจ้า ดังนั้นเราจึงต้องลดตัวเองลงมาและลงมาอยู่ที่ระดับทางโลกนี้ เพื่อเราจะได้จดจำได้อีกครั้งหนึ่งถึงความยิ่งใหญ่ของเราเอง นั่นคือทางเลือกของเรา และนั่นคือสาเหตุที่เรามาที่นี่
ดังนั้น คำตอบของคำถามของเราที่ว่าทำไมเราเจึงอยู่ที่นี่ก็คือเพราะเราต้องการรู้จักพระเจ้า เมื่อเรารู้สึกว่าเวลาหมดลงแล้ว นั่นก็คือเวลาที่เราเลือกที่จะจดจำตัวเราเองอีกครั้งหนึ่ง นั่นคือเวลาที่เราเสาะแสวงหาเพื่อนทางจิตวิญญาณ เพื่อเราจะสามารถจำได้อย่างรวดเร็ว เพราะเราได้ลืมไปแล้วว่าจะจำได้อย่างไรและจะหาจากที่ไหน ดังนั้นเพื่อนบางคนที่จำตัวของเขา/หล่อนได้แล้ว ก็อาจจะช่วยเหลือเราได้ แล้วเราก็จะตระหนักว่า เราไม่ใช่ใครอื่นใด นอกจากสรรพสัตว์ผู้สูงสุด นอกจากพระเจ้า เราตระหนักรู้ถึงสรรพสัตว์ผู้สูงสุดที่อาศัยอยู่ภายในร่างกายนี้
แต่อันที่จริง ท่านไม่ได้อาศัยอยู่ภายในร่างกาย ท่านครอบครองกายของเรา แต่เนื่องจากคำศัพท์ทางจิตวิญญาณไม่ได้เป็นวิทยาศาสตร์ที่ตรงตัวๆ ดังนั้นไม่ว่าครูจะบอกเรามากมายเพียงใดเกี่ยวกับพระเจ้าหรือเพื่อนทางจิตวิญญาณ อาจจะพูดได้คล่องแคล่วเพียงใดเกี่ยวกับพระเจ้าที่อยู่ภายในตัวเรา เราก็ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยการฟังเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้นครูทางจิตวิญญาณผู้ชี้ทางจิตวิญญาณหรือเพื่อนทางจิตวิญญาณ จึงต้องแสดงให้เราทราบโดยทางปฏิบัติ ไม่ใช่โดยทางทฤษฎีอย่างเดียวเท่านั้น
ตัวอย่างเช่น เมื่อพระเยซูเสด็จมายังโลกของเรา พระองค์ได้สอนลูกศิษย์ของพระองค์ทั้ง 2 วิธี คือทฤษฎีและปฏิบัติ ด้วยเหตุนี้ต่อมาลูกศิษย์โดยตรงของพระองค์จึงสามารถแสดงปาฏิหาริย์ต่างๆ ได้ สามารถเห็นสวรรค์ได้ด้วย สามารถได้ยินเสียงของพระเจ้าที่เป็นพระวจนะของพระผู้สร้างด้วย สามารถเห็นแสงของสวรรค์ด้วย สามารถขึ้นไปสวรรค์และแม้กระทั่งได้เห็นเทวดา นางฟ้า หรือเห็นพระบิดา พระบิดาตรัสกับพวกเขา เหมือนกับที่พระองค์ตรัสกับโมเสส และเทวดานางฟ้าก็พูดกับพวกเขาด้วยเช่นกัน
ในทำนองเดียวกัน เราก็สามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะเราก็ยิ่งใหญ่เหมือนกับลูกศิษย์ที่ยิ่งใหญ่ของพระเยซู เรากับลูกศิษย์ของพระเยซูก็เหมือนๆ กัน เพราะพระเยซูได้ตรัสกับพวกเราว่า พวกเราทั้งหมดเป็นบุตรของพระเจ้า แต่เนื่องจากเราได้ลืมไปแล้ว ดังนั้นบางครั้งเพื่อน 1 คนหรือ 2 คนจึงต้องมาย้ำเตือนความจำของเรา แต่ก็เฉพาะเมื่อเราพร้อมแล้วเท่านั้น เพราะถ้าเรายังไม่พร้อม ก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรให้กับเราได้มากนัก....
ฺBe Veg ,Go Green 2 Save The Planet
www.suprememastertv.com
27 กุมภาพันธ์ 2554 02:32 น.
คีตากะ
โรคบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคเนื้อสัตว์ :
● โรคบลูทังจ์
● โรคติดเชื้อ อี โค ไล
● โรคไข้ไทฟอยด์
● โรคไข้หวัดนก
● โรควัวบ้า
● โรคจากเซอร์โคไวรัสใรสุกร(PMWS)
● โรคลิสตีไรโอซิส
● โรคอาหารทะเลเป็นพิษ
● โรคความดันโลหิตสูงในสตรีที่ตั้งครรภ์
● โรคท้องร่วงเฉียบพลัน
ความสูญเสียบางอย่างจากการทานเนื้อสัตว์ :
โรคหัวใจ
● มากกว่า ๑๗ ล้านคนโดยรวมเสียชีวิตในแต่ละปี
● ค่าใช้จ่ายสำหรับโรคหลอดเลือดหัวใจอย่างน้อย ๑ แสนล้านเหรียญขึ้นไปต่อปี
โรคมะเร็ง
● แต่ละปีมีผู้ป่วยใหม่มากกว่า ๑ ล้านคน ที่ตรวจพบว่าเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
● คนมากกว่า ๖๐๐,๐๐๐ คน ตายเนื่องจากกลุ่มโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ในแต่ละปี
● ในสหรัฐอเมริกาที่เดียว ค่าใช้จ่ายในการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่สูงประมาณ ๖.๕ พันล้านดอลล่าร์(๑.๙๕ แสนล้านบาท)
● ทุกๆ ปีคนนับล้านถูกตรวจพบใหม่ว่าเป็นโรคมะเร็งที่เกี่ยวเนื่องกับเนื้อสัตว์
โรคเบาหวาน
● คน ๒๔๖ ล้านคนทั่วโลกถูกผลกระทบจากโรคนี้
● มีการประมาณว่าค่าใช้จ่ายในการรักษาแต่ละปีสูงถึง ๑๗๔ พันล้านดอลล่า(๕.๒๒ ล้านล้านบาท)
โรคอ้วน
● ผู้ใหญ่ ๑.๖ พันล้านคนทั่วโลก มีน้ำหนักมากเกินไปและมากกว่า ๔๐๐ ล้านคนที่เป็นโรคอ้วน
● แต่ละปีค่าใช้จ่ายสำหรับเวชภัณฑ์ในสหรัฐอเมริกาที่เดียวสูงถึง ๙๓ พันล้านดอลลาร์(๒.๗๙ ล้านล้านบาท)
● คนตายอย่างน้อย ๒.๖ ล้านคนแต่ละปีเนื่องจากปัญหาเกี่ยวกับโรคอ้วนหรือน้ำหนักตัวเกิน
เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
● ใช้น้ำสะอาดหมดไปถึง ๗๐%
● สร้างมลภาวะให้แก่แหล่งน้ำ
● ทำลายป่าไม้ซึ่งเป็นปอดของโลก
● ใช้ธัญพืช(พืชตระกูลข้าว)ทั้งหมดของโลกไปถึง ๔๓%
● ใช้ผืนดินถึง ๘๕% เพื่อถั่วเหลืองของโลก(อาหารสัตว์)
● ก่อให้เกิดความอดอยากหิวโหยและสงครามบนโลก
● เป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะโลกร้อนถึง ๘๐%
และมากกว่านั้น...
ความสูญเสียบางอย่างจากการบริโภคนม :
● มะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก อันเกิดจากฮอร์โมนที่อยู่ในนม
● เชื้อแบคทีเรียลีสทีเรียและโรคลำไส้อักเสบ
● ฮอร์โมนและไขมันอิ่มตัวที่นำไปสู่โรคกระดูกพรุน โรคอ้วน เบาหวาน และ
โรคหัวใจ
● เป็นสาเหตุให้เกิดโรคการแข็งตัวของเนื้อเยื่อหลายชนิดอัตราสูงขึ้น
● จัดเป็นสารทำให้เกิดภูมิแพ้สำคัญ
● แพ้น้ำตาลแล็คโตส
และมากกว่านั้น...
ประโยชน์บางอย่างของการทานอาหารมังสวิรัติ :
● ช่วยลดความดันโลหิต
● ลดระดับคอเลสเตอรอล
● ลดการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ ๒
● ป้องกันอาหารเป็นลมชัก
● ป้องกันโรคหลอดเลือดแดงแข็งตัว
● ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ ๕๐%
● ลดความเสี่ยงในการผ่าตัดหัวใจ ๘๐%
● ป้องกันโรคมะเร็งหลายรูปแบบ
● ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น
● อายุยืนยาวกว่าที่คาดหมายถึง ๑๕ ปี
● ไอคิวสูงขึ้น
● อนุรักษ์น้ำสะอาดไว้ได้ถึง ๗๐%
● รักษาป่าฝนในอะเมซอนได้มากกว่า ๗๐% จากการแผ้วถางทำลายเพื่อทำทุ่งเลี้ยงสัตว์
● วิธีแก้ปัญหาผู้อดอยากหิวโหยของโลก :
- สงวนผืนดินให้เป็นอิสระได้ปีละ ๓,๔๓๓ ล้านเฮกต้าร์
- สงวธัญพืชได้ถึง ๗๖๐ ล้านตันต่อปี (เป็นครึ่งหนึ่งของผลผลิตธัญพืชของโลก)
● ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลน้อยกว่าถึง ๒/๓ จากที่ใช้ในการผลิตเนื้อสัตว์
● ลดมลพิษของเสียจากสัตว์ที่ไม่ได้รับการบำบัด
● รักษาสภาพอากาศบริสุทธิ์
● ลดจำนวนการแพร่ก๊าซได้ ๔.๕ ตัน ต่อหนึ่งครัวเรือนต่อปีในสหรัฐอเมริกา
● หยุดสภาวะโลกร้อนได้ถึง ๘๐%
และมากกว่านั้น...
การสูญเสียอย่างน่าเศร้าบางอย่างจากแอลกอฮอล์
แต่ละปีมีคน ๑.๘ ล้านคนทั่วโลก เสียชีวิตเนื่องจากแอลกอฮอล์
สูญเสียจากโรคที่เนื่องจากแอลกอฮอล์
● ๑๘๖.๔ พันล้านดอลล่าร์(๕.๕๙๒ ล้านล้านบาท) ในอเมริกา
● สูงถึง ๒๑๐-๖๖๕ พันล้านดอลล่าร์(๖.๓-๑๙.๙๕ ล้านล้านบาท) ทั่วโลก
โรคภัย
● มะเร็ง
● โรคตับ
● โรคหัวใจและหลอดเลือด
สมองเสียหาย
● โรคหลงลืมและโรคสมองเสื่อม
● โรคสมองฝ่อ
อวัยวะล้มเหลว
● หัวใจ
● ตับ
● ไต
● ท้อง
● ตับอ่อน
● ตา
ผลต่อการตั้งครรภ์
● สภาวะจิตถดถอย
● ผลแอลกอฮอล์ต่อเด็กในครรภ์ :
- การเติบโตชะงัก
- ใบหน้าพิการ
● การตายเฉียบพลันของทารก
● การแท้งบุตร
ความรุนแรงอันเนื่องมาจากแอลกอฮอล์
● การทารุณเด็ก ๕๐% ของคดี
● กระทำรุนแรงต่อคนรัก ๓๐% ของคดี
● การกระทำรุนแรง ๔๐-๘๐% ของคดี
● ฆ่าตัวตาย ๒๐-๕๐% ของคดี
และมากกว่านั้น...
ประโยชน์ของการห้ามแอลกอฮอล์ :
ประหยัดด้านการเงิน การวิจัยของแคนาดา คาดการว่าโครงการห้ามแอลกอฮอล์ สามารถรักษาชีวิตคน ๘๘๐ คน และ ๑ พันล้านดอลลาร์ ได้ในทุกๆ ปี
ด้านศีลธรรม
- การลดการขายเหล้าว็อดก้า ๑๐% เป็นผลให้การตายที่มีสาเหตุจากแอลกอฮอล์มีอัตราลดลงอย่างมากในรัสเซียในหนึ่งปี
- การออกกำลังกาย การดื่มแอลกอฮอล์ลดลง การรับประทานผลไม้และผัก และการที่ไม่สูบบุหรี่ ทำให้ยืดอายุยืนขึ้น ๑๔ ปี
- องค์การอนามัยโลกพบว่านโยบายด้านแอลกอฮอล์ซึ่งรวมทั้งการเพิ่มภาษี การลดจำนวนวันและชั่วโมงที่อนุญาตจำหน่ายแอลกอฮอล์และการเพิ่มอายุของผู้ที่ดื่ม ทั้งหมดล้วนเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการลดพิษภัยอันเกิดจากแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง :
• การเพิ่มภาษีแอลกอฮอล์ ๑๐% ในสหภาพยุโรป ช่วยรักษาชีวิตคนได้ ๙,๐๐๐ คนภายในหนึ่งปี
• ถ้าการขายแอลกอฮอล์ถูกสั่งห้ามสัปดาห์ละหนึ่งวัน สามารถลดความพิการและการตายก่อนวัยอันควร ได้ถึง ๑๒๓,๐๐๐ ปี
โรงมะเร็ง สถาบันวิจัยโรคมะเร็งของโลกค้นพบว่าการลดการบริโภคเนื้อสัตว์และแอลกอฮอล์ ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็งและโรคอื่นๆ
โรคภัยอื่นๆ
- การฟื้นฟูสภาพและประสิทธิภาพของสมอง จะเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นทันทีที่เลิกดื่มแอลกอฮอล์
- ผู้ป่วยตับอักเสบจากแอลกอฮอล์ สามารถมีสุขภาพดีกลับมาได้อย่างสมบูรณ์ ถ้าผู้ป่วยเลิกดื่มแอลกอฮอล์และรับประทานอาหารที่ดี
- เว็ปไซต์ Bodybuilding.com กล่าวว่านักเพาะกายที่หลีกเลี่ยงการบริโภคแอลกอฮอล์ จะได้รับประโยชน์มากมายในการบริหารกล้ามเนื้อ มีความชุ่มชื้นมากขึ้น กระบวนการเผาผลาญอาหารฟื้นฟูขึ้น และจิตใจมีสมาธิมากขึ้น
- การสั่งห้ามแอลกอฮอล์ในบาร์โรว์ อลาสก้า สหรัฐอเมริกา ทำให้การดื่มแอลกอฮอล์ก่อนคลอดมีอัตราลดลงมากกว่า ๓๐%
- เว็บไซต์สุขภาพ health.com รายงานถึงประโยชน์ของชีวิตที่ไม่ดื่ม
แอลกอฮอล์ :
● มีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับเพื่อนและครอบครัว
● มีอิสระในการใช้จ่ายเงินและเวลาสำหรับเรื่องอื่นๆ
● ทำให้สถานภาพการทำงานและความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานดีขึ้น
● มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น
● สร้างมิตรภาพกับผู้ที่เกี่ยวข้องในกิจกรรมที่เป็นที่ยอมรับในชีวิต
- กลุ่มผู้ที่ดื่มสุราในอดีตได้เล่าในที่ชุมนุมทางออนไลน์ถึงข้อสังเกตในผลดีในชีวิตที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ :
- วิถีทางการดำเนินชีวิต :
● สุขภาพดีขึ้น
● มีเวลาว่างที่มีคุณภาพมากขึ้น
● มีเงินมากขึ้น
● มีเวลาสนุกกับลูกๆ มากขึ้น
● มีความมั่นใจและเคารพตนเองมากขึ้น
● เห็นคุณค่าของชีวิตมากขึ้น
สิ่งที่เกี่ยวข้องกับสังคม
● การสั่งห้ามเครื่องดื่มในนิวซีแลนด์ มีผลให้เครื่องดื่มที่ไม่เหมาะสม มีจำนวนลดลง ๙๘% เช่นเดียวกับคดีอาชญากรรมอื่นๆ ก็ลดจำนวนลง
● เมื่อพื้นที่สงวนชนพื้นเมืองอเมริกัน แบล็คฟีท สั่งห้ามขายแอลกอฮอล์ในระหว่างงานประจำปีของชาวอเมริกันอินเดียเหนือ พวกเขาพบว่ามีการพัฒนาตามมาสี่สัปดาห์หลังจากนั้น :
- ไม่มีตัวเลขอุบัติเหตุการจราจรที่เกี่ยวข้องกับชาวแบล็คฟีทเกิดขึ้นเลย
- ไม่มีตัวเลขการจับกุมการขับขี่ภายใต้อิทธิพลกับแอลกอฮอล์
- คดีก่อกวนที่รายงานต่อตำรวจลดน้อยลง ๖๔%
- คดีทำร้ายร่างกายลดลง ๔๔%
- จำนวนผู้คนที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลลดลง ๗๕%
- การฟ้องร้องคดีความประพฤติไม่เรียบร้อย มึนเมาในที่สาธารณะ หรือการยึดตู้บรรจุแอลกอฮอล์เปิด มีลดน้อยลง ๒๕%
● การวิจัยในนิวเม็กซิโก อเมริกา ชี้ให้เห็นว่าการห้ามขายแอลกอฮอล์วันอาทิตย์ มีผลให้การปะทะกันและการบาดเจ็บล้มตายจากการจราจร ลดน้อยลง
● คดีเกี่ยวกับแอลกอฮอล์ลดลง ๑๕% เมื่อมีการสั่งห้ามแอลกอฮอล์ในอะแบริสทวิธ สหราชอาณาจักรอังกฤษ
● การสั่งห้ามแอลกอฮอล์อย่างถาวรในพื้นที่ท่าน้ำเมือง คอฟฟ์ ฮาร์เบอร์ ออสเตรเลีย อันเนื่องมาจากประสบความสำเร็จในการลดคดีอาชญากรรม
● การสั่งห้ามแอลกอฮอล์ที่ ทะเลสาบคินเคด สหรัฐอเมริกา ทำให้ไม่มีการเสียชีวิตจากการว่ายน้ำ อุบัติเหตุรุนแรงจากการพายเรือน้อยลง และคดีลดลง
เยาวชน
● เจ้าพนักงานรายงานถึงการทำลายทรัพย์สินของรัฐลดน้อยลง จากการที่สั่งห้ามแอลกอฮอล์ในมหาวิทยาลัยโอกลาโฮม่า สหรัฐอเมริกา
● ในรัฐฟลอริด้าสหรัฐอเมริกา การเพิ่มอายุผู้ดื่มที่ถูกกฎหมาย จากอายุ ๑๘ ปี เป็น ๒๑ ปี ทำให้ลดจำนวนอุบัติเหตุถึงขั้นเสียชีวิต อย่างเห็นได้ชัด
● การสมัครใจเลิกขายแอลกอฮอล์ให้แก่เยาวชนอายุต่ำกว่า ๒๑ ปี ในหมู่บ้านมาร์สค์ ของอังกฤษ ได้เลิกขายโดยถาวรในเวลาต่อมา เนื่องมาจากผลดีที่จำนวนของคดีอาชญากรรมและความประพฤติที่ต่อต้านสังคมได้ลดน้อยลง
การสูญเสียน่าเศร้าบางอย่างของการเสพยา
- แต่ละปีมีคนตาย ๒๐๐,๐๐๐ คนทั่วโลก
- ค่าใช้จ่าย แต่ละปีในสหรัฐอเมริกาเป็นเงิน ๑๘๑ พันล้านดอลลาร์(๕.๔๓ ล้านล้านบาท) ในอังกฤษเป็นเงิน ๓๓ พันล้านดอลลาร์(๙.๙ แสนล้านบาท)
- ค่าใช้จ่ายตลอดชีวิตของการติดยาในอังกฤษ จำนวนสูงถึง ๕๗๕ พันล้านดอลลาร์(๑๗.๒๕ ล้านล้านบาท)
ผลกระทบที่อันตราย
● ทำลายสมอง
● ลมชัก
● โรคหัวใจ
● โรคตับ
● วัณโรค
● โรคถุงลมโป่งพอง
● มะเร็ง
● โรคหดหู่ ท้อแท้
● ฆ่าตัวตาย
● สูญเสียความทรงจำถาวร
● โรคจิต
● อัตราการตายเด็กทารกสูงขึ้น
● อาชญากรรมและความรุนแรงเพิ่มขึ้น
● การไร้สมรรถภาพทางเพศ
อาชญากรรมและความรุนแรง
● ยาผิดกฎหมายเป็นปัจจัยหนึ่งใน ๕๐% ของการโจรกรรมในอังกฤษแต่ละปี
● ในอังกฤษ ๖๐% ของผู้ถูกจับกุมแต่ละปี เป็นผู้เสพยาผิดกฎหมาย
● ผู้ติดเฮโรอีน ๖๕๐ คนในสหรัฐอเมริกา ก่อคดีอาชญากรรมถึง ๗๐,๐๐๐ คดี ภายในสามเดือน
ความสูญเสียต่อสังคม
● ธุรกิจในสหรัฐอเมริกาสูญเสีย ๑๐๐ พันล้านดอลลาร์ต่อปี(๓ ล้านล้านบาท) เนื่องจากลูกจ้างติดยาและแอลกอฮอล์
● ชาวออสเตรเลียจ่ายเงิน ๕๓ พันล้านดอลลาร์ต่อปี(๑.๕๙ ล้านล้านบาท) เพื่อดูแลรักษา บังคับใช้กฎหมาย และสูญเสียประสิทธิภาพการทำงานของผู้เสพยา
การตาย
● ในสหรัฐอเมริกา มีคนตาย ๕๒ คนต่อวัน เนื่องจากการเสพยา
● ในแคนาดา การใช้สารที่เป็นโทษ เชื่อว่ามีถึง ๒๑ เปอร์เซ็นต์ของการตายทั้งหมด และ ๒๓ เปอร์เซ็นต์สูญเสียศักยภาพชีวิต เนื่องมาจากการตายก่อนเวลาอันควร
และมากกว่านั้น...
ประโยชน์ของการหลีกเลี่ยงการเสพยาและการบำบัด :
- ในสหรัฐอเมริกา การบำบัดรักษาการติดยาแสดงให้เห็นถึงการช่วยรักษาชีวิต ลดคดีอาชญากรรมและฟื้นฟูครอบครัว พร้อมกันด้วย :
● ๖๙% ของผู้ที่ได้รับการบำบัดสามารถใช้ชีวิตที่ปราศจากยาหลังจากได้รับการบำบัดหนึ่งปี
● การจับกุมคดีต่างๆ ลดลง ๖๔% หลังจากการบำบัดหนึ่งปี
- การวิจัยของแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา พบว่าทุกๆ ๑ ดอลลาร์ที่ลงทุนในการบำบัดยาเสพติด สามารถประหยัดได้ถึง ๗ ดอลลาร์จากการที่คดีต่างๆ ลดลง ลดค่าใช้จ่ายสำหรับสุขภาพและความอยู่ดีกินดี และเพิ่มรายได้ที่มั่นคง
- การวิจัยยี่สิบปีในสหรัฐอเมริกาได้แสดงให้เห็นว่าโครงการบำบัดรักษาผู้ติดยา มีผลต่อการลดคดีอาชญากรรม เช่นเดียวกันกับการพัฒนาสุขภาพและการร่วมมือกันทางสังคม
- การวิจัยของสถาบันเพื่อนโยบายสาธารณะ รัฐวอชิงตัน ในสหรัฐอเมริกา พบว่าโครงการการบำบัดเยาวชนที่ใช้ยา เป็นโครงการที่มีประสิทธิภาพและสามารถประหยัดเงินของรัฐได้ ๑,๙๐๐ ดอลล่าร์(๕๗,๐๐๐ บาท) ถึง ๓๑,๒๐๐ ดอลลาร์(๙๓๖,๐๐๐ บาท) ต่อเด็กหนึ่งคน
- โครงการของที่ทำงานปลอดยาเสพติด ได้รับผลดี :
● การขาดงานบ่อยๆ ลดน้อยลง
● อุบัติเหตุมีน้อยลง
● ประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้น
● ขวัญและกำลังใจดีขึ้น
● สุขภาพของลูกจ้างดีขึ้น
● มีการใช้ยาลดน้อยลงเพื่อรักษาสุขภาพ
● ค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ด้านสุขภาพลดลง
● ค่าเบี้ยประกันลดน้อยลง
ต่อไปนี้คือคำตอบที่ถือว่าดีที่สุดต่อคำถามทางออนไลน์ “คำถามในเว็ปไซต์ของยาฮู” ถึงประโยชน์ของการไม่เสพยา
● ไม่ต้องกลัวตำรวจจับ
● ไม่ต้องกลัวการติดเชื้อทางเข็มที่ฉีดเข้าร่างกาย
● ไม่ต้องกลัวสมองยุ่งเหยิง
● ไม่ต้องกลัวการขับขี่อันตราย และอุบัติเหตุ
● มีความสุขและเป็นอิสระในการมองโลก (ทางรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส) โดยปราศจากความรู้สึกที่เป็นครึ่งๆ กลางๆ
● เป็นสุขกับการทำหน้าที่อย่างเต็มที่ในยามวิกฤตหรือคับขัน
● สามารถบอกคนอื่นๆ เกี่ยวกับความสุขของชีวิตที่ปราศจากยาเสพติด
ความสูญเสียน่าเศร้าบางอย่างของการสูบบุหรี่ :
- ในแต่ละปี คน ๕.๔ ล้านคนทั่วโลกตายเนื่องจากการสูบบุหรี่
- เฉพาะในสหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายของการเจ็บป่วยที่เนื่องมาจากการสูบบุหรี่สูงถึง ๙๔ พันล้านดอลลาร์(๒.๘๒ ล้านล้านบาท)
● โรคหัวใจ : เส้นโลหิตแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจและสมองตีบตัน ไตวาย
● มะเร็ง : มะเร็งปอด มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งไต มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
● อาการเรื้อรังของโรคที่เกี่ยวกับปอด : ถุงลมโป่งพอง หลอดลมอักเสบ
● เส้นเลือดสมองอุดตัน
● การไร้สมรรถภาพทางเพศ
● อันตรายเพิ่มเติมของการสูบบุหรี่มือสอง : อาการที่ทารกตายเฉียบพลัน การคลอดก่อนกำหนด โรคหืดในเด็ก หลอดลมอักเสบ โรคหูติดเชื้อ
และมากกว่านั้น...
การสั่งห้ามสูบบุหรี่เพื่อรักษาชีวิต :
- การวิจัยโดยสถาบัน PIRE กล่าวว่ากฎหมายห้ามสูบบุหรี่ที่เข้มงวดในปัจจุบันของแคลิฟอร์เนียจะช่วยเหลือชีวิตคนได้มากกว่า ๕๐,๐๐๐ คนภายในปี ๒๐๑๐
- การห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะของอังกฤษ ได้ลดผลกระทบจากภัยเงียบของบุหรี่ ซึ่งเกี่ยวพันไปถึงการเสียชีวิตของผู้คนมากกว่า ๑๑,๐๐๐ คนในแต่ละปี
- ขอบคุณการห้ามสูบบุหรี่ของประเทศ แคว้นเวลส์คาดว่าสามารถปกป้องผู้ไม่สูบบุหรี่จากการตายก่อนวัยอันควร ได้ปีละประมาณ ๔๐๐ คน
- แม้แต่คนอายุ ๖๕ ปีขึ้นไปก็มีความสุขกับสุขภาพที่ดีขึ้น เมื่อพวกเขาเลิกสูบบุหรี่ ด้วยความเสี่ยงทั้งหมดต่อการเสียชีวิตลดลงเกือบ ๒๐% และจากมะเร็งปอด ๔๒%
- นายกเทศมนตรีนิงยอร์ค มิเชล บลูมเบิร์ก ของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศว่าอัตราการสูบบุหรี่ของวัยรุ่นได้ลดลง ๕๐% ในหกปีที่ผ่านมา ซึ่งสามารถป้องกันการตายก่อนถึงวัยอันควรได้ ๘,๐๐๐ คน
การห้ามการสูบบุหรี่หมายถึงการลดโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
- รายงานการวิจัยโดยสมาคม โรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นว่าโรคหัวใจวาย ในเมือง พูอีโบล์ โคโลราโด สหรัฐอเมริกา มีอัตราลดลง ๒๗% หลังจากการห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะมีผลใช้บังคับ ในขณะที่เมืองที่อยู่ใกล้ๆ ที่ไม่มีการสั่งห้ามสูบบุหรี่ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของโรคหัวใจวาย
- เพียงหนึ่งปีหลังจากการห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะมีผลใช้บังคับในไอร์แลนด์ อัตราการเกิดอาการเส้นเลือดตีบฉับพลัน ลดลง ๑๑%
- นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัย กลาสโกว์ รายงานว่า โรคหัวใจวายมีอัตราลดลง ๑๗% ในสก็อตแลนด์ นับตั้งแต่การสั่งห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะเมื่อปีที่แล้ว
- สถาบันอนามัยแห่งชาติในฝรั่งเศส ประกาศถึงอัตราการลดลงอย่างชัดเจนของโรคหัวใจวาย เมื่อประเทศสั่งห้ามสูบบุหรี่ และยังเป็นประโยชน์ในการลดผลกระทบจากการหายใจควันบุหรี่เข้าไปของผู้สูบบุหรี่มือสอง
- นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา พบว่าอัตราการเข้าโรงพยาบาลอันเนื่องจากกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ลดลง ๘% หลังจากการสั่งห้ามสูบบุหรี่ ซึ่งลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพปีละ ๕๖ ล้านดอลลาร์(๑.๖๘ พันล้านบาท)
- ในแคว้นพีดมอนต์ ของอิตาลี การเข้าโรงพยาบาลเนื่องจากโรคหัวใจวายเฉียบพลันของคนอายุน้อยกว่า ๖๐ ปี ได้ลดลง ๑๑% หลังจากมีการห้ามสูบบุหรี่ในอาคารของที่สาธารณะ
การห้ามสูบบุหรี่หมายถึงสุขภาพที่ดีขึ้น
- ข้อมูลจากการสำรวจสุขภาพอนามัยประชากรแห่งชาติ แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่สูบบุหรี่มีอันตรายของการเป็นโรคเรื้อรังสูง เช่น ถุงลมอักเสบ โรคหืด และความดันโลหิตสูง
- การวิจัยโดยสถาบันยูโรเปี้ยนเกี่ยวกับเนื้องอกวิทยาในมิลาน อิตาลี แสดงให้เห็นว่าผู้สูบบุหรี่มีแนวโน้มการขยายตัวของเนื้องอกในลำไส้ใหญ่ มากขึ้นสองเท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีแนวโน้มการเป็นมะเร็ง
- ผู้สูบบุหรี่และผู้ที่อ่อนแอเนื่องจากเป็นผู้สูบบุหรี่มือสอง มีการเติบโตของมะเร็งลำไส้ใหญ่เร็วกว่าประมาณ ๗ ปี เทียบกับผู้ไม่สูบ
- ผู้หญิงที่สูบบุหรี่ และมีลักษณะพันธุกรรมที่พิเศษ มีความเสี่ยงสูงต่อการพัฒนาของมะเร็งเต้านม ตามการวิจัยที่ตีพิมพ์โดยวารสาร ระบาดวิทยามะเร็ง ตัวบ่งชี้ทางชีววิทยาและการป้องกัน
- ผู้ที่ไม่สูบบุหรี่มีโอกาสเก็บรักษาฟันของพวกเขาไว้ได้จนถึงวัยชรา มากกว่าผู้สูบบุหรี่
การห้ามสูบบุหรี่หมายถึงเด็กๆ มีสุขภาพดีขึ้น
- การวิจัยของทางราชการ ที่ตีพิมพ์โดยสถาบันชีวิตและสุขภาพเด็กของมหาวิทยาลัย บริสโตล กล่าวว่าทารกของหญิงที่สูบบุหรี่ขณะตั้งครรภ์ เด็กทารกจะมีแนวโน้มทรมานจากอาการตายเฉียบพลันสูงถึง ๔ เท่า
- การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ สามารถทำลายเชื้ออสุจิ ซึ่งจะถ่ายทอดยีนส์ที่เปลี่ยนแปลงไปสู่ทารก
- ดร.ชากิรา ฟรังโก ซุเกลีย แห่งคณะสาธารณสุขศาสตร์แห่งฮาวาร์ด รายงานว่าเด็กๆ ที่อยู่ในบริเวณที่อากาศมีมลพิษสูง หรือถูกผลกระทบจากการสูบบุหรี่ของพ่อแม่ มีคะแนนทดสอบความจำและความฉลาดอยู่ในระดับต่ำกว่าเด็กๆ ที่อยู่ในสถานที่อากาศบริสุทธิ์
- เด็กๆ ที่อ่อนแอจากผลการเป็นผู้สูบบุหรี่มือสอง มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปอดถึงสามเท่า และมีความเสี่ยงสูงต่อปัญหาระบบการหายใจอื่นๆ ในช่วงชีวิตต่อมา
การห้ามสูบบุหรี่หมายถึงสิ่งแวดล้อมในการทำงานดีขึ้น
- ภายในสองเดือนของการห้ามสูบบุหรี่ในสก็อตแลนด์ คนทำงานในสถานที่ขายเครื่องดื่ม รายงานว่าการเจ็บป่วยในระบบทางเดินการหายใจและอื่นๆ ลดลงเกือบ ๓๓%
- ผู้ไม่สูบบุหรี่ที่กลายเป็นผู้สูบบุหรี่มือสอง มีความเสี่ยงสูง ๒๐% ในการเป็นมะเร็งปอด
- การห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะของไอร์แลนด์ เห็นว่าการลดมลพิษทางอากาศในผับได้ถึง ๘๓%
การห้ามสูบบุหรี่มีผลดีต่อธุรกิจ
- ๕ ปีนับตั้งแต่มีการห้ามสูบบุหรี่ ผู้โดยสารของสายการบินแอร์โร่ฟล็อท มีจำนวนมากขึ้น ๑๕% และมีเที่ยวบินที่ไปสหรัฐอเมริกามากขึ้น ๒๕%
- ในรายงานของหัวหน้าแพทย์ของอังกฤษ ดร.เลียม โดนัลสัน กล่าวว่าการห้ามสูบบุหรี่ ช่วยประหยัดเงินได้ประมาณ ๒.๗ พันล้านปอนด์ : ๖๘๐ ล้านปอนด์ ประหยัดโดยการที่แรงงานมีสุขภาพดีขึ้นและแรงงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และ ๑๔๐ ล้านปอนด์ ประหยัดโดยการที่มีวันลาป่วยน้อยลง และ ๔๓๐ ล้านปอนด์ ประหยัดจากการสูญเสียผลผลิตอันเนื่องมาจากการสูบบุหรี่ในขณะทำงาน และ ๑๐๐ ล้านปอนด์ ประหยัดจากต้นทุนค่าทำความสะอาดที่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเข้าชมที่ www.SupremeMasterTV.com
14 กุมภาพันธ์ 2554 19:35 น.
คีตากะ
เฮนรี่ มอนฟอร์ต(Henri Monfort) ชาวชามานผู้กินอากาศ
เราตื่นเต้นที่จะแนะนำคุณให้รู้จักบุคคลที่พิเศษอีกคนหนึ่งที่เลิกกินอาหารและมีชีวิตอยู่ด้วยพลังปราณหรือพลังแห่งจักรวาลเท่านั้น เราจะเดินทางไปยังเมืองที่สวยงามของนองต์ทางตอนเหนือของฝรั่งเศสเพื่อพบกับเฮนรี่ มอนฟอร์ต ชาวชามานผู้กินอากาศและนักประพันธ์ เฮนรี่อยู่โดยปราศจากอาหารมานานกว่า ๗ ปีและไม่มีความอยากที่จะกลับไปกินอาหารวัตถุอีกเลย
ต : ผมพบว่าความรู้สึกที่ผมมีคือมันได้รับการหล่อเลี้ยงเหมือนกับเด็ก เด็กทารกที่อยู่ในท้องของแม่ ยิ่งกว่านั้นพลังชีวิตนี้ก็ยังเป็นพลังแห่งความรัก คุณจะไม่รู้สึกว่าถูกตัดขาดจากจักรวาลเลย เนื่องจากคุณได้รับการเลี้ยงดูด้วยความรักของจักรวาล ดังนั้นมันจะมีมิติของการรวมตัวกันเข้ามาแทนที่และเราจะพ้นจากระบบของสิ่งที่เป็นคู่ เช่นความสุขและความทุกข์
เฮนรี่ มอนฟอร์ตได้อุทิศตนช่วยเหลือผู้อื่นให้ใช้ความสามารถของตนเองและแผ่ขยายความรักโดยอาหารที่มีความเมตตาที่ไม่ทำอันตรายสิ่งมีชีวิตไม่ว่าพืชหรือสัตว์ เฮนรี่ได้เมตตาแบ่งปันเรื่องราวของเขาและชีวิตที่ไม่ต้องกินอาหารกับโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ทีวี นับเป็นวิถีชีวิตทางเลือกใหม่และมีประโยชน์ต่อผู้ที่แสวงหาอิสระให้แก่ตนเอง พ้นจากความต้องการอาหาร
ต : ผมเกิดที่ปลายดินแดนของบริททานี่ที่ซึ่งแผ่นดินติดกับทะเล ดังนั้นผมมีการติดต่อกับธาตุต่างๆ ทั้งหมด ผืนดิน, ทะเล, อากาศ ฯลฯ ตั้งแต่ผมเล็กๆ ผมเป็นชาวชามาน ผมเกิดมาอย่างนั้น มันเป็นความสามารถพิเศษที่คนเรามีมาแต่เกิดและผมก็โชคดีที่มีปู่ของผม ผู้ที่มีสัมผัสไวมากต่อจิตวิญญาณในธรรมชาติ ผมสามารถพูดได้อย่างนั้น ผมจึงได้อาบอยู่ในมัน ขอบคุณปู่ของผม
ด้วยความสามารถอันไม่ธรรมดาตั้งแต่วัยเด็ก มันจึงยากสำหรับเฮนรี่ที่จะพบใครที่เข้าใจเขาได้นอกจากปู่ของเขา
ต : เหมือนชาวชามานทั่วไป ผมเกิดในครอบครัวที่ค่อนข้างตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผมเป็น ดังนั้นปีแรกๆ ของชีวิตผมไม่ค่อยจะดีนัก เพราะผมมีประสบการณ์ทางจิตวิญญาณอะไรแบบนั้น แต่ผมไม่สามารถเล่าให้พ่อแม่, พี่น้อง ฯลฯ ของผมฟังได้มากนัก มันจึงมีช่องว่างเกิดขึ้น
เมื่ออายุ ๑๘ ปีเฮนรี่ตัดสินใจเดินทางค้นหาตนเอง สิ่งที่เขาได้เรียนรู้และประสบภายหลังได้กลายเป็นพื้นฐานของชีวิตที่ปราศจากอาหาร วิถีชีวิตที่เขาเลือกในเวลาต่อมา
ต : ผมเริ่มสนใจอย่างมากในวิถีที่ไม่รุนแรงในโรงเรียนคานธีและโดยเฉพาะ ลานซา เดล วาสโต ผู้ที่สร้างชุมชนแห่งอาร์คและเป็นผู้ที่ไปเยี่ยมคานธีและได้รับนามว่าชานติดาสจากท่านคานธี นั่นเป็นชื่อที่ผมตั้งให้ลูกคนเล็กผม คนที่อยู่ในภาพนั้น ดังนั้นเขาเป็นคนที่สำคัญมากเพราะเขาคือผู้ที่อดอาหารอย่างมากเพื่อชำระล้างตนเอง ชีวิตของเขาค่อนข้างสมถะเกือบจะเป็นพระ เราพูดแบบนั้นเพราะว่าเขาเป็นคนที่มีความเป็นอยู่ค่อนข้างสันโดษ แต่ในเวลาเดียวกันก็มีเมตตามาก เคารพความเป็นมนุษย์มาก แล้วหลังจากนั้นผมก็เริ่มเดินทางด้านจิตวิญญาณมากขึ้น ผมเกือบจะบวชในคณะเบเนดิค ชีวิตนักบวชดึงดูดใจผมมาก มีการนั่งสมาธิ, สวดภาวนา ผมคิดว่าศาสนาสามารถนำทางผมสู่การรู้แจ้งด้านจิตวิญญาณ แล้วหลังจากนั้นผมก็พบการทำสมาธิแบบทรานเซนเดนทัล ผมได้รับการประทับจิตเข้าสู่วิถีทรานเซนเดนทัลโดยผู้หญิงคนหนึ่งพร้อมกับกลุ่มเพื่อนๆ จากกองทัพ และผู้หญิงคนนั้นในที่สุดคือภรรยาของผม มันเป็นช่วงแรกๆ ของการปฏิบัติสมาธิแบบทรานเซนเดนทัลและมันเป็นเทคนิคซึ่งให้ประโยชน์แก่ผมมากมายในระดับของการทำสมาธิ
เมื่อเข้าสู่วิถีการทำสมาธิแบบทรานเซนเดนทัล เฮนรี่ได้ใช้ชีวิตที่มีเมตตามากขึ้น, ทานอาหารมังสวิรัติซึ่งอยู่ในแนวทางของ “อหิงสา” หรือไม่รุนแรง
ต : ผมเป็นมังสวิรัติตั้งแต่ผมเริ่มทำสมาธิแบบทรานเซนเดนทัล นั่นคือตั้งแต่อายุ ผมอายุเท่าไร? ประมาณ ๒๕ ปี ตอนที่ผมเริ่มและมันก็เป็นคำถามของปรัชญาชีวิตของผม...เพราะผมเติบโตมาในบริททานี่ ผู้คนกินเนื้อสัตว์กันมาก พวกเขากินเนื้อสัตว์ที่ปรุงแต่งกันมาก ดังนั้นปัญหาคือผมมีปัญหาตับอ่อนแอ ดังนั้นผมจึงป่วยอยู่เสมอ แม้ตัวผมเองก็ไม่ชอบกินเนื้อสัตว์ ผมอยู่ในครอบครัวที่พ่อแม่ของผมขาดแคลนเรื่องอาหารและพวกเราต้องกินเนื้อสัตว์ นอกจากนั้นผมเห็นสิ่งที่พวกเราได้กระทำต่อโลกและสิ่งแวดล้อมในบริททานี่...เกี่ยวกับการทำฟาร์มวัวและฟาร์มหมู เราสร้างมลพิษให้แก่น้ำ เราสร้างมลพิษ...ตอนนี้เราเห็นเห็ดราสีเขียวซึ่งพัฒนาด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อไนเตรท, ฯลฯ ในบริททานี่เรามีน้ำที่ดีที่สุดของฝรั่งเศส(ถ : ใช่ฉันจำได้...) สวยงามที่สุด, ร่ำรวยที่สุด, ยากจนที่สุด, และตอนนี้...มันสกปรกที่สุด มันยอมรับไม่ได้โดยสิ้นเชิงสำหรับชาวชามานที่พวกเราทำลายโลกนี้ สำหรับเราแล้วมันเกือบเหมือนอาชญากรรม มันเหมือนอาชญากรรมจริงๆ ดังนั้น ผมพูดได้เลยว่าผมเป็นมังสวิรัติโดยธรรมชาติในทันทีที่เป็นไปได้และจากนั้นโดยบังเอิญผมพบภรรยาคนแรกของผมที่เป็นมังสวิรัติ ดังนั้นมันเป็นไปเองและมันก็จริงที่ในวงจรของการทำสมาธิ คนเรามักจะพบกับคนที่ส่วนใหญ่เป็นมังสวิรัติ
หลังจากที่เขาแต่งงานและมีลูก ในไม่ช้าเฮนรี่ก็ลืมเรื่องที่เขาปรารถนาแต่เดิมในการปฏิบัติด้านจิตวิญญาณ ๑๘ ปีที่เขาใช้ชีวิตธรรมดาๆ ทำงานอยู่ที่ธนาคารในเมืองนองต์ เมื่อสิ้นสุด ๑๘ ปีนั้นเฮนรี่ก็มีน้ำหนักมากถึง ๑๒๐ กิโลกรัมเป็นผลลัพธ์จากการที่เขาพึ่งพาอาหารเพื่อลดความเครียดในการทำงานของเขา เมื่อลูกๆ ของเขาเติบโตขึ้น เฮนรี่ก็ตัดสินใจลดน้ำหนักเพื่อฟื้นเป้าหมายในชีวิตด้านจิตวิญญาณ เหมือนสุภาษิตที่ว่า “เมื่อนักเรียนพร้อมครูก็มา” เมื่อเฮนรี่มีความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงชีวิต “ครู” ของเขาก็ปรากฏขึ้นและนำเขาเข้าสู่หนทางของการอยู่ด้วยพลังปราณที่อาศัยพลังความรักของจักรวาลในการค้ำจุนร่างกายเนื้อได้อย่างสมบูรณ์
ต : เมื่อลูกของผมโตขึ้น พวกเขาเรียนจบ ผมรู้สึกว่าชีวิตของผมเปลี่ยนทิศทางโดยสิ้นเชิงกลับคืนสู่แก่นแท้ พูดอีกอย่างคือหนทางด้านจิตวิญญาณ สุดท้ายผมพบกับคนคนหนึ่งที่กลายมาเป็นน้องเขยของผมตั้งแต่ผมแต่งงานครั้งที่สอง เขาบอกผมว่า “นี่ผมพบหนังสือเล่มหนึ่ง ในเมื่อคุณก็ฝึกอดอาหาร หนังสือนี้จะทำให้คุณสนใจแน่นอน” มันเป็นหนังสือของจัสมูฮีนที่ชื่อว่า “อยู่ด้วยแสง” ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ในหนึ่งคืนและหนึ่งวันต่อมาผมก็ตัดสินใจฝึกการอยู่ด้วยพลังปราณ ผมบอกกับร่างกายของผมว่า “ฉันคิดว่าการที่ฉันได้ฝึกอดอาหารมาก่อนนี้เป็นการเตรียมตัวฉันแน่นอน” หนังสือเล่นนี้เหมือนกับการเผยความจริงให้แก่ผม
เฮนรี่ มอนฟอร์ตเป็นชาวชามานผู้กินอากาศและให้คำแนะนำแก่ผู้ที่สนใจในวิถีชีวิตแบบไม่ต้องกินอาหาร ปัจจุบันนี้เขาอยู่ในเมืองนองต์ที่สวยงามทางตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส เขายังใช้ความสามารถในการเป็นชาวชามานช่วยเหลือคนอื่นๆ ให้มีสุขภาพที่ดีขึ้นและมีวิถีชีวิตที่เติมเต็มขึ้น หากมองดูปรัชญาของชามาน เฮนรี่ได้อธิบายแนวคิดของเอกภาพในลัทธิของชามาน
ต : ลัทธิของชามานไม่ใช่ปรัชญา ไม่ใช่ศาสนา ชาวชามานมีอยู่ก่อนตั้งแต่เริ่มมีมนุษย์คนที่วาดภาพในถ้ำลาสโกก็เป็นชาวชามาน เรามีอยู่ก่อนศาสนาและปรัชญา ทั้งคู่นั้นรับสิ่งต่างๆ ไปจากลัทธิชามาน ดังนั้น มีชาวชามานอยู่ทั่วโลกทุกทวีป แต่ละที่ก็มีประเพณีของตัวเอง เราพูดได้อย่างนั้น แต่เวลาเดียวกันเราทั้งหมดก็เชื่อมต่อกันด้วยสิ่งหนึ่งที่เรามีอยู่แล้ว ทุกอย่างที่มีอยู่นั้นมีความศักดิ์สิทธิ์สำหรับเรา ดังนั้นมันไม่ใช่เพียงแค่มนุษย์ มันยังคือ สัตว์, พืช, ก้อนหิน, น้ำ, แผ่นดิน, อากาศ, ไฟ, โลก, ดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์, ฯลฯ สำหรับเราแล้วทุกสิ่งคือหนทางที่ให้เราไปถึงสิ่งที่เรียกว่าจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ หนึ่งเดียวที่ยิ่งใหญ่และสามารถติดต่อกับเอกภาพพื้นฐานนั้น ถ้าใช้ภาพเราพูดได้อย่างนั้นว่าที่จริง ชาวชามานสร้างวงเวียนชั้นนอกของเอกภาพนี้ในหมู่พวกเรา ปกติแล้วไม่มีชาวชามานคนใดที่จะพูดว่าเขาเหนือกว่าคนอื่น เราเคารพประเพณีทั้งหมด แม้ว่าไม่ใช่ของเราเอง
ตั้งแต่วัยเด็ก เฮนรี่ก็ได้เชื่อมต่อกับธรรมชาติและโลกรอบตัวเขาในฐานะที่เขาเป็นชาวชามานแต่กำเนิด
ต : เมื่อคุณเป็นชาวชามาน คุณเกิดมาพร้อมกับความสามารถพิเศษ คุณสามารถเห็นสิ่งต่างๆ ที่คนอื่นไม่เห็น คุณได้ยินสิ่งที่คนอื่นไม่ได้ยิน และตั้งแต่ผมยังเล็กๆ ผมสามารถเห็นพลังปราณในชั้นบรรยากาศอนุภาคเล็กๆ สีขาวที่เคลื่อนที่รวดเร็วมากและเราก็ใช้พลังปราณนั้นในการบำบัดรักษาซึ่งเราเรียกว่าพลังแม่เหล็ก มันเป็นความสามารถที่ยินยอมให้พลังปราณไหลผ่านคนนั้น เพื่อบำบัดรักษาผู้คน บำบัดรักษาสัตว์, พืช, โลก ฯลฯ แต่มันไม่เคยปรากฏแก่ผมว่าเราสามารถใช้มันมาหล่อเลี้ยงตัวเองโดยตรง ดังนั้น สำหรับผมนั่นเป็นการเผยที่แท้จริง ผมจึงเริ่มต้นโดยไม่ได้ตัดสินใจว่าจะอยู่อย่างนั้นจริงๆ สำหรับผมมันคือการตัดสินใจวันต่อวัน ทุกวันผมพูดกับตัวเองว่า “ถ้ามันได้ผล ฉันก็ทำต่อ” ผมไม่มีเหตุผลอันใดที่จะกลับไปอยู่ในสถานะที่ผมพอใจน้อยกว่าทุกวันนี้
หลายปีให้หลัง หลังจากที่ลูกๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เฮนรี่ตัดสินใจกลับสู่เส้นทางจิตวิญญาณที่เขากระหายมาตั้งแต่เขาอายุ ๑๘ ปี แล้วเฮนรี่ก็บังเอิญค้นพบวิถีชีวิตที่ไม่ต้องกินอาหาร เมื่อเขาได้รับหนังสือของจัสมูฮีน “อยู่ด้วยแสง” และอ่านจบภายในคืนเดียว เฮนรี่ตัดสินใจในวันต่อมาลงมือเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เขารู้สึกว่าทำให้เขาเข้าสู่จักรวาลทั้งหมด
ต : และจากเวลานั้นมา เมื่อเราอยู่ในความสุขตลอด ๒๔ ชั่วโมงนี้ มันมีความรู้สึกอย่างหนึ่งเป็นจิตสำนึกที่เข้ามาในชีวิต จิตสำนึกของความเป็นเอกภาพ พูดอีกอย่างคือผมอยู่โดยเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่ดำรงอยู่ทั้งหมด และด้วยเหตุผลนี้ เราสามารถเลี้ยงตัวเราเองด้วยสิ่งที่ดำรงอยู่ทั้งหมด ทั้งหมดมันหล่อเลี้ยงผมในเวลานี้ คุณหล่อเลี้ยงผม ผมหล่อเลี้ยงคุณ แต่คุณก็หล่อเลี้ยงตัวคุณเอง คุณหล่อเลี้ยงผมด้วย พื้นที่นี้ก็หล่อเลี้ยงผม แสงหล่อเลี้ยงผม ความรู้สึกรอบตัวผมหล่อเลี้ยงผม ทั้งหมดทุกสิ่งหล่อเลี้ยงผม ผมไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลยและนั่นคือสิ่งที่พิเศษ
การใช้หนังสือของจัสมูฮีนเป็นคู่มือนำทางเฮนรี่ก็ผ่านกระบวนการ ๒๑ วัน การเดินทางครั้งนี้เป็นอย่างไร ในการมาเป็นผู้ไม่กินอาหาร?
ต : มันเป็นเวลา ๗ ปีและสองเดือนที่ผมทดลองในการอยู่ด้วยพลังปราณ “หล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ” คือการเลี้ยงตัวเองโดยพลังปราณ อะไรคือปราณ? มันคือสิ่งที่เราเรียกว่าพลังแห่งชีวิต... คนเราสามารถหยุดดื่มได้ถ้าคนนั้นต้องการ คนเราสามารถเลี้ยงตัวเองด้วยพลังปราณอย่างเดียว
แม้ว่าตัวเขาเองตัดสินใจชั่วข้ามคืนในการไม่กินอาหาร เฮนรี่ก็มีประสบการณ์ของการอดอาหารมาสองปีแล้ว ทำให้กระบวนการนี้ง่ายขึ้น
ต : เราไม่สามารถเริ่มต้นอยู่โดยพลังปราณได้ในชั่วข้ามคืน มันจำเป็นต้องมีการเตรียมตัวไว้ก่อน การเตรียมตัวนั้นอาจจะนาน เพราะว่าจำเป็นต้องมีความสมดุลที่ดีระหว่างร่างกาย, อารมณ์, จิตใจ และจิตวิญญาณซึ่งเป็นระดับทั้ง ๔ ของชีวิต
นอกจากนั้นความเข้าใจอย่างระเอียดระหว่างการอดอาหารและการอยู่ด้วยพลังปราณก็จำเป็นต้องมีก่อนที่จะพยายามอยู่โดยไม่กินอาหาร
ต : สิ่งแรกที่ต้องทำคือการแยกแยะให้ชัดเจนระหว่างการอดอาหารและการหล่อเลี้ยงด้วยปราณ สำหรับผมคำว่า “หล่อเลี้ยงด้วยปราณ” มีคำว่า “อาหาร” ผมไม่คิดว่าคนเราจะสามารถอยู่โดยไม่เลี้ยงตนเอง นี่ก็ชัดเจนเหมือนกัน แต่ละคนหล่อเลี้ยงตัวเองด้วยวิธีต่างๆ กันแบบเดียวกัน เวลาที่คุณกินเนื้อสัตว์แล้วคุณตัดสินใจเปลี่ยนมาเป็นมังสวิรัติ เวลาที่คุณเป็นมังสวิรัติ คุณสามารถกลายเป็นวีแก้น ซึ่งหมายถึงกินเฉพาะที่เป็นพืชผัก คุณสามารถกลายเป็นกินอาหารแบบรอว์(raw food diet) หรือแบบอินสติงโต้(instincto) คุณสามารถตัดสินใจได้ในห้วงเวลาหนึ่ง การเริ่มต้นอยู่ด้วยพลังปราณ มันอาจเป็นขั้นตอนที่ดี ทำไมจะไม่ได้ล่ะ แต่มันไม่จำเป็น เราสามารถมีอาหารของเราโดยไม่ต้องเลือก หรือเปลี่ยนชนิดอาหารเป็นพิเศษ ดังนั้นอะไรคือความแตกต่างระหว่างการอดอาหารและการหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ? คือว่าการอดอาหารมีเวลาที่จำกัด มันไม่สามารถทำตลอดไป การอดอาหาร คุณจะเริ่มในวันที่กำหนดและสิ้นสุดในวันที่กำหนด ระยะเวลาที่นานที่สุดสำหรับการอดอาหารคือ ๔ เดือน คุณจะเห็นคนที่ตอนท้ายของ ๔ เดือน มันเกิดขึ้นกับหลายคน เช่น คานธีหรือคนที่ประท้วงด้วยการอดอาหารเป็นเวลานานๆ พวกเขาจบลงด้วยนอนลงกับพื้นให้น้ำเกลือ หมดแรง และถ้าคุณทำต่อไป น้ำหนักคุณลดลงถึงจุดที่น้ำหนักของคุณไม่สามารถคืนกลับมาได้ หมายความว่าน้ำหนักคุณจะลดลงไปเรื่อยๆ แม้ว่าคุณเริ่มกินอีกและคุณจะเป็นอย่างนั้นจนกระทั่งตาย ยกตัวอย่างคนที่ไม่อยากอาหารจะผ่านกระบวนการทำลายตัวเองนี้ การอดอาหารคือเมื่อคนคนนั้นได้ใช้ของที่มีสำรองไว้ แต่เมื่อไม่มีอะไรเหลือคนนั้นก็ตาย มันเป็นทัศนะแบบเป็นคู่ หมายถึง “มีฉัน มีจักรวาล ฉันใช้ส่วนสำรองของฉันและฉันตัดขาดตัวเองจากจักรวาล” แต่การหล่อเลี้ยงด้วยปราณ เราจะได้รับพลังงานจากจักรวาล ดังนั้นมันเป็นหนึ่งเดียวกัน ฉันจะรวมตัวฉันเองกับจักรวาลและจักรวาลจะหล่อเลี้ยงฉันโดยตรง มันสำคัญมากทีเดียว คุณจะเห็นภายหลังว่านี่คือการตัดสินมุมมองของการเริ่มต้นวิธีหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ
การอดอาหารอาจเป็นขั้นตอนในการมาเป็นผู้กินอากาศ ความเห็นของเฮนรี่ มันมีความสำคัญอย่างมากในระดับของเซล
ต : ดังนั้นเราจะมั่นใจในวิธีการอดอาหาร คนที่ตัดสินใจอยู่ด้วยพลังปราณ เราจะใช้มันมาเป็นประโยชน์ในการชำระล้างตัวเอง เราจะอดอาหารแต่ไม่นานเกินไปอาจจะหนึ่งวัน หรือสองวัน สามวัน หนึ่งสัปดาห์ ไม่ต้องหลายเดือน แล้วหลังจากนั้นร่างกายที่บริสุทธิ์แล้ว การชำระล้างร่างกาย ซึ่งเราเรียกว่าการล้างพิษจะเข้ามาแทนที่ ต้องขอบคุณกระบวนการอดอาหาร ดังนั้นถ้าตอนนี้กระบวนการนี้ทำให้คุณสนใจ ผมก็ขอเชิญคุณอดอาหารเป็นระยะๆ เพราะการอดอาหารน่าสนใจมาก เพื่อดูว่าตัวคุณจะมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อไม่มีอาหาร ดังนั้นมันจำเป็นที่ในระดับของร่างกาย พูดได้ว่าการอดอาหารจะเผยความจำของเซลล์ อะไรคือความจำของเซลล์? ความจำของเซลล์คือโรคทั้งหลายที่คุณมี, ความเครียดทั้งหลายที่คุณสะสมในช่วงชีวิตของคุณ ถึงแม้ว่ามันได้รับการรักษาแล้ว ถึงแม้ว่ามันหายแล้ว มันก็จะทิ้งร่องรอยไว้บนเซลล์ ร่องรอยเล็กๆ เหล่านี้คือรอยแตกที่ยินยอมให้โรคทั้งหลายแพร่พันธุ์กระจายออกไป หรือปรากฏขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นการอดอาหารและการอยู่ด้วยพลังปราณจะทำให้เราลบรอยทรงจำเหล่านี้ มันจะเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์แรกของกระบวนการ
เพื่อมีประสบการณ์ความสำเร็จในการอยู่โดยไม่กินอาหาร เฮนรี่ได้อธิบายถึงขั้นตอนเฉพาะที่ต้องปฏิบัติตาม
ต : ในระดับของร่างกาย เราต้องมีสุขภาพที่ดี เราควรเตรียมโดยอาหารที่กิน, โดยการอดอาหารและโดยการล้างพิษ การชำระล้างร่างกาย เราต้องตระหนักว่า เมื่อเรากินวันละ ๓ หรือ ๔ มื้อ เราจะไม่สามารถไปถึงขั้นตอนการล้างพิษ เราสะสมพิษต่างๆ ไว้ในร่างกาย ในไขมัน, ในข้อต่อและนั่นก็คือสาเหตุของโรคภัย ดังนั้นการอดอาหารจึงจำเป็นและการล้างพิษอย่างถูกต้องจะได้ผลหลังจากที่อดอาหาร ๓ เดือน ดังนั้นถ้าเราทำเป็นระยะๆ ร่างกายของเราจะสะอาด แล้วในระดับอารมณ์ เราจะเป็นอิสระจากความสัมพันธ์เชิงบังคับที่เรามีกับอาหารและการชดเชยทางอารมณ์ที่เราพบในนั้น ดังนั้นมันจำเป็นต้องตรวจดูระดับเหล่านั้นก่อนจะเริ่มอยู่ด้วยพลังปราณ
เฮนรี่ มอนฟอร์ต เป็นชาวชามานฝรั่งเศสเป็นผู้ไม่กินอาหารมาเป็นเวลา ๗ ปี เขาอยู่โดยอาศัยพลังปราณในการดำรงชีวิต พลังปราณคืออะไร? แฮรี่ได้อธิบายถึงรูปแบบต่างๆ ของมันในระหว่างการบรรยายเรื่อง “อาหารพลังปราณ : อีกวิถีหนึ่งด้านจิตวิญญาณ”
ต : ตั้งแต่ผมยังเล็กๆ ผมก็เห็นอนุภาคเล็กๆ เหล่านี้ของแสง เมื่อคุณอยู่ในที่ที่บริสุทธิ์มาก อาจจะเป็นในป่าหรือในภูเขา คุณจะเห็นอนุภาคเหล่านี้ ซึ่งมีความเร็วสูงนั่นคือปราณ นั่นคือเหตุที่เราเรียกมันว่าการหายใจ เพราะมันคือปราณของอากาศ ความจริงแล้วเราต้องพูดว่ามีระดับต่างๆ ของปราณถ้าอยู่ในอากาศ มันเรียกว่า “ปราณ” ถ้าในระดับของเหลวมันเรียกว่า “โซมา” ถ้าผมวางมือไว้ตรงนี้ (ทำท่าวางมือสองข้างช้อนไว้ใต้คาง)และเงยหน้าไปข้างหลัง น้ำลายของผมกลายเป็นของเหลวที่เรียกว่า “โซมา” ซึ่งลงไปอยู่ในอวัยวะย่อยอาหาร มันเป็นของเหลวที่หวานเหมือนน้ำผึ้งและจะนำแสงสว่างไปยังอวัยวะต่างๆ บางคนอาจบอกว่านั่นคือน้ำลายที่บริสุทธิ์ขึ้น แล้วในระดับของของแข็งมันเรียกว่า “วิภูติ” คุณเคยได้ยินคำว่า “วิภูติ” หรือเปล่า? มีอาจารย์ด้านจิตวิญญาณหลายๆ ท่านรวมทั้งท่านสัตยา ไส บาบา ที่นำปราณแบบแข็งหรือวิภูติออกมาจากอากาศ พวกเขานำมันมาพิสูจน์ด้วยมือของพวกเขา มันออกมาอย่างนั้น มันเหมือนขี้เถ้า บางคนอาจบอกว่านั่นคือปราณในระดับของแข็ง แล้วพวกเขายังสามารถสร้างวัตถุเอาเพชรพลอยออกมา อะไรแบบนั้น ดังนั้นปราณไม่เพียงแต่อยู่ในอากาศ มันมีอยู่ในทุกระดับของการสร้าง มันสำคัญมากที่ต้องเข้าใจเรื่องนี้ด้วย เพราะมันจะช่วยให้เรารู้ว่าเราจะไปถึงระดับหล่อเลี้ยงด้วยตัวเองอย่างไร
ตามความเห็นของเฮนรี่ ขั้นตอนแรกในการอยู่โดยไม่กินอาหารคือการเตรียมตัว ซึ่งอาจใช้เวลาหนึ่งปีขึ้นอยู่กับแต่ละคน เขาแนะนำว่าก่อนเริ่มกระบวนการของการอยู่ด้วยพลังปราณหรือพลังจักรวาลจะต้องมีหลักการที่ชัดเจน
ต : ข้อแรกคือเราจะกำหนดเรื่องน้ำหนักในตอนแรก เรากำหนดว่าน้ำหนักแค่ไหนจะดีที่สุดสำหรับร่างกายของเรา และเราก็ไม่ควรให้ต่ำกว่านั้น แต่ในระหว่างที่อดอาหาร เรามีน้ำหนักลดไปเรื่อยๆ สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือทัศนะคติ เราจะบอกเซลล์ของเรา เราบอกว่าเรากำลังทำอาหารในระดับของเซลล์ซึ่งเราจะเลี้ยงตัวเองได้อย่างอุดมสมบูรณ์ ข้อสองคือเราจะมีพลังงานอย่างไม่มีขีดจำกัด เมื่อเราได้เชื่อมต่อเข้ากับพลังงานของจักรวาล เราอาจบอกอย่างนั้น มันไม่มีความเหนื่อยอ่อน ไม่มีการสึกหรอ ดังนั้นยิ่งเรากระตือรือร้น เราก็ยิ่งจะมีพลังงานมากขึ้น ข้อที่สามคือเราจะแบ่งเวลานอนเป็นสองช่วง ถ้าเรานอน ๘ ชั่วโมง เราจะไม่นอนนานกว่า ๔ ชั่วโมง ตอนนี้ผมนอนสองชั่วโมง แต่เวลาที่เรานอนหลับสองชั่วโมง เราตื่นขึ้นเหมือนกับว่าเรานอน ๗-๘ ชั่วโมง ดังนั้นเหลือเวลามากมายให้ทำอย่างอื่น
เมื่อการเตรียมตัวเรียบร้อย กระบวนการเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงเป็นผู้กินอากาศใช้เวลาประมาณ ๒๑ วัน ขั้นแรกของกระบวนการเปลี่ยนแปลงคือการอดอาหาร ซึ่งจำเป็นต้องชำระล้างร่างกายเนื้อในระดับของเซลล์ การอดอาหารใช้เวลาอย่างมากหนึ่งสัปดาห์ ผลของการอดอาหารตลอดสัปดาห์ ร่างกายจะเริ่มพบกับการล้างพิษ หลังจากชำระล้างแล้ว ร่างกายก็จะเริ่มลบเซลล์ความจำ
ต : ความจำของเซลล์คือโรคทั้งหลายที่คุณมี, ความเครียดทั้งหลายที่คุณสะสมในช่วงชีวิตของคุณ ถึงแม้ว่ามันได้รับการรักษาแล้ว ถึงแม้ว่ามันหายแล้ว มันก็จะทิ้งร่องรอยไว้บนเซลล์ เราจะลบความทรงจำในเซลล์เหมือนกับเวลาที่เราล้างแผ่นดิสก์ ถ้าแผ่นดิสก์เป็นรอยมันจะเล่นซ้ำอยู่ที่เดิม ดังนั้นถ้าคุณค่อยๆ ลบรอยตำหนิพวกนี้ออก คุณก็จะราบรื่น ซึ่งคุณจะไม่ต้องพบกับเรื่องเดิมๆ อีก ความทรงจำในเซลล์มันเข้าลึกมาก มันคือสิ่งที่เราเรียกว่า “ความจำแบบครอบครัว” ซึ่งหมายถึงว่ามีผู้คนที่อยู่ในวัยเดียวกันจะถ่ายทอดโรคภัยที่พ่อแม่ของพวกเขาหรือปู่ย่าตายายเคยมีมาก่อน ดังนั้นเราจะขจัดสิ่งเหล่านั้นออก แล้วกระทั่งความจำที่ลึกมากขึ้น ซึ่งเป็นความจำที่เชื่อมโยงกับมนุษยชาติและพวกที่อยู่ตรงนี้ (ทำท่าชี้ที่บริเวณก้านสมอง) ในสมองของเรา พวกนี้คือความจำที่มาจากช่วงเวลาที่เมื่อผู้คนรู้สึกหิว มันคือความจำตามประวัติศาสตร์เวลาที่เกิดภัยแล้งและอาหารขาดแคลน, แล้วความจำเหล่านี้ทำปฏิกิริยาขึ้นมาใหม่ เพราะเวลาที่มีผู้คนกำลังตายด้วยความหิวโหย ดังนั้นการอดอาหารจะทำให้เราปรับตัวเองทางร่างกายซึ่งเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ที่กำลังเกิดขึ้น
ในระดับของจิตใจ อะไรที่เราคาดว่าจะพบในช่วงสัปดาห์นี้ของการอดอาหาร?
ต : ถึงจุดหนึ่ง คุณจะพบกับความจริงที่ว่าไม่มีอาหารอีกแล้ว แล้วเกิดอะไรขึ้น? ความกลัวจะเกิดขึ้นมั๊ย? จะมีความกังวลหรือไม่? “ฉันจะถูกบังคับให้เป็นอย่างที่จะเกิดขึ้นหรือ? ฉันจะต้องหาร้านค้าเพื่อซื้ออาหารหรือไม่?” แล้วเกิดอะไรขึ้น? ในระดับของจิตใจ เราจำเป็นต้องขึ้นไปเหนือระดับความกลัวและข้อจำกัด
สิ่งสำคัญอีกอย่างที่เราต้องมีเพื่อความสำเร็จในการจะอยู่โดยไม่กินอาหารคือความเชื่อมั่นไม่สั่นคลอนว่ามันเป็นไปได้สำหรับมนุษย์ที่จะอยู่รอดได้โดยไม่จำเป็นต้องกินอาหารวัตถุ เราสามารถไปถึงสภาวะนี้โดยกระบวนการอดอาหาร ซึ่งก็จะช่วยเราสร้างความเชื่อมโยงในระดับจิตวิญญาณ ช่วงสัปดาห์แรกของการอดอาหารและการล้างพิษร่างกายจะพบกับการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ที่เห็นได้ชัดเจนมากขึ้นในระดับกายภาพ
ต : มันไม่ค่อยน่าพึงพอใจนักในสัปดาห์แรกโดยเฉพาะ ๓ วันแรก คุณจะมีลิ้นขาว คุณจะมีลมหายใจเหมือนสุนัข-เหม็นมาก แต่ว่ามันจำเป็นที่ต้องผ่านพ้นการชำระล้างร่างกายนี้ก่อน
เมื่อร่างกายผ่านการล้างพิษในสัปดาห์แรกแล้วก็ต้องชำระล้างลึกมากขึ้น นั่นจะเกิดในระดับของเซลล์ กระบวนการถอนรากเหง้าความทรงจำในเซลล์จะเกิดขึ้นในสัปดาห์ที่สองของการเปลี่ยนแปลง เมื่อร่างกายได้ล้างและ “ตั้งต้นใหม่” ร่างกายเข้าสู่สภาวะใหม่ของกระบวนการไม่กินอาหาร
ต : เราจะหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณเข้ามาแทนที่ในสัปดาห์ที่สาม พูดอีกอย่างคือเราจะเริ่มต้นอยู่ในระดับที่เปลี่ยนไป ดังนั้นมันเป็นอย่างไร? ตอนแรกเราจะทำงานที่มองเห็นได้ เมื่อถึงเวลาอาหารร่างกายของคุณคุ้นเคยกับการเริ่มตามระเบียบในเวลานั้น คุณจะหิวหรือพูดอีกอย่าง เราเรียกว่าระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งหมายถึงท้องของคุณเริ่มร้อง คุณมีความรู้สึกท้องว่างและรู้สึกหิว เวลานี้มีผู้คนที่ไม่รู้สึกหิวเลยด้วยซ้ำ เพราะพวกเขากินมากจนพวกเขาไม่รู้สึก แต่ถ้าคุณอดอาหารคุณรู้ว่ามันคืออะไร มันคือความรู้สึกท้องว่างหรือตาลาย ซึ่งทำให้เราต้องการกินในทันที ดังนั้นระบบประสาทอัตโนมัติรู้ว่ามันคืออะไร ดังนั้นเราใช้เวลานี้ที่เป็นมื้ออาหาร เราจะพิจารณาอย่างมีสติในตอนเริ่มต้นโดยทำให้แสงเข้าไปอย่างลึกล้ำเข้าถึงเซลล์ทั้งหมดของเรา เมื่อเราทำแบบนี้ ๓ หรือ ๔ วัน ปกติแล้วความรู้สึกของการรับรู้มันจะกระจายไป, ขยายออกไปและกลายเป็นละเอียดอ่อนมากขึ้นเรื่อยๆ ผมจะยกตัวอย่างว่าการทำให้ความรู้สึกละเอียดบริสุทธิ์คืออะไร เมื่อผมทำขั้นตอนนี้มันเป็นเดือนพฤศจิกายน ผมออกไปข้างนอกในช่วงสัปดาห์แรกและขึ้นรถราง ผมอยู่ตรงท้ายรถราง มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมาพร้อมกับแซนวิชที่ต้นขบวนรถ คุณคงมองเห็นความยาวของรางรถ ผมสามารถรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในแซนวิชของเธอ ไม่เพียงรู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน แต่ผมได้กลิ่นและรสชาติ (เพราะกลิ่นและรสชาติมันเชื่อมโยงกัน) เมื่อคุณได้กลิ่นคุณก็รู้รสชาติ ดังนั้นผมได้รับกลิ่นและรสชาติของสิ่งที่เธอกำลังกิน เมื่อผมอยู่ในปารีสเมื่อเร็วๆ นี้ มันเป็นวันแม่ มีเด็กๆ ทำขนมเค้กขนาดยักษ์สำหรับแม่ของพวกเขาด้วยครีม, สตรอเบอร์รี่และอะไรเหล่านั้น แล้วต่อมาพวกเขาก็กินขนมเค้กนั้นและผมก็ได้รับรสชาติของสิ่งที่พวกเขากำลังกินทั้งครีมและรสสตรอเบอร์รี่ ฯลฯ นี่หมายถึงว่าเราป้อนตัวเองด้วยวิธีที่แตกต่างไป ถ้าคุณมีโอกาสเห็นพระอาทิตย์ตกดินในภูมิทัศน์ที่สวยงาม คุณอยู่ตรงนั้น คุณรู้สึกดี คุณมองดูมันและคุณก็อิ่ม คุณไม่หิวในเวลานั้น นั่นคือการหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ มันหมายความว่าคุณจะหล่อเลี้ยงตัวเองในแบบที่เปลี่ยนไปและความรู้สึกในการรับรู้ของคุณจะได้รับพลังที่ละเอียดอ่อนที่สุดของชีวิต
เฮนรี่ มอนฟอร์ต ชาวชามานฝรั่งเศสเป็นผู้ที่ไม่กินอาหารมาเป็นเวลา ๗ ปี เขาอยู่โดยอาศัยพลังปราณเท่านั้น เราได้เรียนรู้จากเฮนรี่ว่าขั้นตอนการเปลี่ยนมาเป็นผู้กินอากาศใช้เวลาประมาณ ๒๑ วัน สัปดาห์แรกร่างกายจะต้องพบกับการล้างพิษโดยการอดอาหาร แล้วสัปดาห์ที่สองร่างกายจะทำการลบเซลล์ความทรงจำของเชื้อโรคและความเครียดเพื่อให้ร่างกายบำบัดด้วยตัวเอง แล้วสุดท้ายในสัปดาห์ที่สามเป็นการหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ ในช่วงนี้ร่างกายปรับการรับรู้ของมันให้ละเอียดขึ้นและค่อยๆ กลับมาสู่สภาวะที่บริสุทธิ์ดั้งเดิม ซึ่งมันมความพร้อมและสามารถหล่อเลี้ยงชีวิตและปรับเข้ากับสิ่งแวดล้อมทุกชนิดได้
ต : เวลาที่ผมทำสมาธิในป่า ผมวางมือไว้บนพื้นดิน ผมได้ยินเสียงเมล็ดพืชงอก ได้ยินเสียงแมลงเดิน ได้ยินเสียงของใบไม้ผลิ ผมออกไปข้างนอก มันเกิดขึ้นในปีแรกเมื่อผมมาถึงในเดือนมกราคมมันมีอุณหภูมิติดลบสิบองศา ผมออกไปข้างนอกมันมีอากาศสองแบบระหว่างร้อนและหนาว ซึ่งมันยากจะทนได้ ในตอนแรกมันลำบากมาก มีวันหนึ่งผมพูดว่า “ไม่ มันก็คู่กัน” ปกติแล้วอากาศหนาวไม่มีผลต่อผม ดังนั้นผมออกไปข้างนอก มันติดลบสิบองศา แล้วทันทีมันเหมือนกับว่าความหนาวกลายเป็นไม่มีอะไร ผมไม่รู้สึกหนาวอีกแล้ว ปีแรกนั้นผมรู้สึกถึงความหนาว พอปีที่สองเมื่ออุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์ร่างกายของผมหนักเพิ่มสามกิโลในช่วงกลางคืน และเมื่อผมไปที่อิตาลีพบภรรยาและลูกชายของผม มันร้อน ๔๐ องศาเซลเซียส น้ำหนักผมลดสามกิโลในช่วงกลางคืน ตอนแรกผมบอกตัวเองว่ามันคือน้ำที่ผมดื่ม มันจะต้องเป็นเพราะการกักเก็บน้ำ แต่เมื่อสองปีที่แล้วผมก็เข้าใจ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคือ ร่างกายหดตัวลงหรือผ่อนคลาย น้ำหนักจึงเพิ่มขึ้น ร่างกายแน่นขึ้น หรือในทางตรงกันข้ามมันผ่อนคลาย มันไม่เกี่ยวกับน้ำอะไรเลย น่าทึ่งมาก ร่างกายมีความสามารถที่จะปรับตัวเองเข้ากับทุกๆ สิ่ง ดังนั้นเราจะหล่อเลี้ยงตัวเองโดยการรับรู้ความรู้สึก ซึ่งจะเกิดขึ้นในมิติหนึ่งซึ่งเราไม่สามารถจินตนาการได้
เมื่อร่างกายได้รับเอกราชกลับคืนมาจากอาหารวัตถุ การอยู่ด้วยพลังปราณจะเป็นไปเองตามธรรมชาติ
ต : ทีนี้เมื่อเราไปถึงสภาวะนั้น ความรู้สึกของการรับรู้มันจะเหลือเชื่อและสิ่งที่จะเกิดขึ้น หลังจากนั้นคืออะไร? คุณก็จะอยู่ในแสงออร่าของคุณ แล้วอะไรคือแสงออร่า? มันก็คือสนามพลังงานของคุณ สนามพลังงานที่อยู่ล้อมรอบตัวคุณ ดังนั้น ก่อนอื่นแสงออร่าจะมีขนาดที่น่าพิศวง คุณสามารถปรับมันให้ไกลเท่าที่คุณต้องการ ขนาดเท่ากับห้อง ขนาดเท่ากับบ้าน ขนาดเท่ากับสถานที่ ฯลฯ และหลังจากนั้น คุณจะเพ่งอยู่ที่ปราณซึ่งในแสงออร่า แล้วปราณนั้นก็จะมีความหนาแน่นมากขึ้น จนคุณจะได้รับการหล่อเลี้ยงจากทุกรูขุมขนของผิวหนังคุณวันละ ๒๔ ชั่วโมง แล้วคุณจะไม่ต้องทำอะไรเลย คุณได้รับอาหารอย่างต่อเนื่อง เมื่อคุณไปถึงสภาวะนั้น คุณพูดได้เลยว่าคุณอยู่ได้ด้วยพลังปราณ เพราะคุณไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องกังวลถึงเรื่องอะไรแล้ว เซลล์ต่างๆ จะรับเอาสิ่งที่ต้องการจากปราณนั้น
ตามทัศนะของเฮนรี่ เมื่อเราไปถึงสภาวะไม่ต้องกินอาหาร สามารถอยู่ได้ด้วยพลังจักรวาลอย่างเดียว จิตสำนึกและการรับรู้ความรู้สึกจะขยายออกไปเหนือการแบ่งแยก “ตัวเอง” และ “ผู้อื่น”
ต : เมื่อเราอยู่ด้วยพลังปราณ เราจะไปถึงระดับที่เราเรียกว่าความปิติ คำว่าปราณมาจากประเพณีของฮินดู ชาวจีนเรียกว่าชี่, ชี่กง, ไท่ชี่ฉวน, ชาวโพลีนีเซียเรียกมันว่า มานาส ซึ่งรู้จักกันมาแต่ครั้งโบราณในประเพณีต่างๆ ความปิติไม่มีการแบ่งแยก ไม่มีด้านตรงกันข้าม หมายถึงเราจะมีความรู้สึกเต็มและเต็มอยู่เสมอ ไม่มีขณะใดที่เราจะรู้สึกว่าว่างเปล่า ความรู้สึกที่เต็มและเต็มไปด้วยความรัก ทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว อีกทั้งความโดดเดี่ยวนั้นก็สลายไป ถ้าจักรวาลทั้งหมดเป็นภาพพิศวงขนาดมหึมา เรารู้สึกเหมือนเป็นชิ้นหนึ่ง ซึ่งอยู่ตรงมุมใดมุมหนึ่ง และมีอยู่ในที่ของมัน ไม่มาก ไม่น้อย แต่อยู่ตรงที่ของมันและในเวลาของมัน ในเวลาที่เหมาะสมนั้น แล้วจากจุดนั้นจะมีความรู้สึกของความเต็มอิ่มและปิติสุข ที่มาในชีวิต ที่ทำให้เราไม่รู้สึกว่าเศร้าอีกต่อไป ไม่ถูกทอดทิ้ง...
นอกจากการเชื่อมต่อทางจิตวิญญาณด้วยพลังงานของจักรวาล การอยู่โดยไม่กินอาหารมีประโยชน์ทางกายภาพอย่างมากมายมหาศาล (ถ : ตอนนี้คุณไม่ป่วยอีกแล้ว?)
ต : นั่นแหละ เราไม่รู้จักความเจ็บป่วยอีกต่อไป เราจะไม่รู้จักแก่ ไม่รู้จักเหนื่อยอ่อน ไม่รู้จักอิดโรย เราสามารถพูดได้หลายชั่วโมง เราทำงานได้นานหลายชั่วโมง สามารถทำสิ่งต่างๆ มากมาย (ถ : คุณรู้สึกว่าแข็งแรงขึ้น มีความต้านทานมากขึ้น?) ผมรู้สึกเป็นหนุ่ม(หัวเราะ) กระชุ่มกระชวยขึ้น และมีสัญญาณภายนอกของความกระปรี้กระเปร่า ผมของผมเป็นสีดำ ผิวหนังตึงขึ้น สายตาของผม ผมเคยใส่แว่น แต่ตอนนี้แทบจะไม่ต้องใส่แว่นเลย ผิวหนังของผม เนื่องจากตับก่อนนี้ไม่แข็งแรง ผิวหนังก็แห้งมาก ผมมีผิวแบบที่เรียกว่า “หนังงู” คือลายเหมือนกับเกล็ด เหมือนเป็นแผลและเป็นลมพิษอยู่เสมอ อะไรพวกนั้น นี่เป็นสัญญาณว่าตับทำงานไม่ปกติ แล้วมันก็หายไปโดยสิ้นเชิง และในอีกระดับหนึ่งผมปรับตัวได้ง่ายมาก เพราะว่าเมื่อก่อนผมมีอาการโรคปวดข้อ มันมาจากปู่ของผม มันเป็นกรรมพันธุ์ เราพูดได้ว่ามันมาจากยีน เมื่อผมอายุ ๓๕ ผมมักเป็นตะคริวหรือที่เรียกว่ารูมาติซึ่มหรือรูมาตอย(rheumatism) คือคุณไม่สามารถจับอะไรได้ ไม่มีกำลัง แล้วคุณก็ทำของหล่น มันเป็นอาการที่ทำอะไรไม่ได้เลย มันเริ่มเมื่อผมอายุ ๓๕ แล้วตอนนี้ผมไม่มีปัญหานั้นแล้ว ผมเคยมีปัญหาเรื่องปวดหลัง ปวดมาก ผมเป็นหมอนรองกระดูเลื่อน การแทรกซึมในข้อสันหลัง ฯลฯ ผมคิดว่าถ้าผมไม่มีประสบการณ์นี้ทั้งหมดนั้นก็คงต้องเป็นอยู่และยิ่งเลวร้ายลงไป มันเกี่ยวข้องกับพิษต่างๆ ที่สะสมไว้ในข้อ ดังนั้นเราจะเห็นผลของมันได้รวดเร็วในการหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ ปัญหาทั้งหลายนั้นหมดไปเลย
ประโยชน์อันมหาศาลครอบคลุมถึงด้านอื่นๆ ของชีวิตประจำวัน (ถ : ในระดับของพลังงาน มันคงจะเกินบรรยาย?)
ต : ใช่ แน่นอน พลังงานนั้นมันเหมือนกับเราเชื่อมต่อกับพลังแห่งชีวิต พลังที่ไร้ขีดจำกัดไม่มีวันหมด เรายิ่งกระทำ พลังงานก็ยิ่งมีมากขึ้น เราสามารถเดินได้หลายชั่วโมง ขับรถได้หลายชั่วโมง ทำงานหลายชั่วโมง อ่านหนังสือได้เร็วขึ้นโดยมีความสามารถในการจดจ่อมากขึ้นและเรานอนหลับคืนละ ๒-๓ ชั่วโมงเท่านั้น เราสามารถใช้เวลานี้ทำงานทางอินเตอร์เนตหรืออ่านหนังสือ ผมอ่านหนังสือเยอะแยะมากมายโดยใช้เวลาที่เราได้จากการนอนน้อยลง เราจะสามารถใช้มันมาสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ มากขึ้น (ถ : เมื่อเราคิดถึงเวลาทั้งหมดที่เราใช้ในการช๊อบปิ้ง ทำอาหาร ทำความสะอาด ซักล้าง มันเป็นสวรรค์จริงๆ?) เราลองนับเวลาที่เราใช้ในการทำเรื่องนั้นๆ ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีด้านการเงิน เพราะว่าเราใช้เงินน้อยลงและเราก็อยู่อย่างเรียบง่ายขึ้น ใช้ไฟฟ้าน้อยลง เรามีชีวิตที่ง่ายขึ้น ความจำเป็นต่างๆ ก็ลดลง ผมไม่มีรถ ผมอยู่ใจกลางเมือง ผมมีรถจักรยาน ผมเดิน มันเป็นสวรรค์จริงๆ
เฮนรี่ ในปัจจุบันนี้ทำงานต่อเนื่องจากหนังสือเล่มแรกของเขา “หล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ : อีกวิถีหนึ่งของด้านจิตวิญญาณ” และใช้เวลาของเขาในการสัมมนาและช่วยผู้อื่นให้มีวิถีชีวิตที่สุขภาพดีขึ้น ด้วยการขจัดการเป็นทาสของอาหารวัตถุ
ต : ผมจัดสัมมนาจนถึงเดือนมีนาคม เมษายน พฤษภาคม มิถุนายนของปีหน้า แล้วตั้งแต่มิถุนายนเป็นต้นไป ผมจะสร้างกลุ่ม ๓ กลุ่มประมาณ ๒๐ คน สำหรับคนที่อยากให้ผมดูแลเรื่องการอยู่ด้วยพลังปราณ (ถ : สาธารณชนมีปฏิกิริยาอย่างไรกับการสัมมนาของคุณ?) มันเป็นเรื่องที่พิเศษมาก มันปรากฏชัดเจนว่ามีบางสิ่งที่อยู่ในอากาศระยะหนึ่ง เพราะมันมีความต้องการมากเกินคาด เราจัดสัมมนาในปารีสมีที่นั่ง ๑๒๐ ที่ แต่มีคนมา ๒๕๐ คน มันเหมือนกันเลยทุกที่ ในเมืองนองต์เราจัดสัมมนา ๔ ครั้ง คนเต็มห้อง เราได้รับการขอร้องให้จัดอีก มันแทบไม่น่าเชื่อความรู้สึกของผู้คน ความอยากรู้ในเรื่องนั้นและคำถามและความกระตือรือร้น
ขอบคุณ คุณเฮนรี่ สำหรับการแบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวและการเดินทางมาเป็นผู้กินอากาศ การช่วยเหลือของคุณ เพื่อให้ผู้อื่นได้ไปถึงสภาวะที่มีความผาสุกทั้งร่างกายและจิตใจนั้นน่ายกย่องมาก เราขอให้คุณพบความสำเร็จกับหนังสือเล่มใหม่ของคุณและส่งความปรารถนาดีให้แก่ความพยายามที่มีเมตตาของคุณ
ติดต่อคุณเฮนรี่ มอนฟอร์ต เชิญเข้าชมที่
nourriture.pranique.free.fr
ข้อมูลเพิ่มเติมของหนังสือของเฮนรี่ มอนฟอร์ต “หล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ : อีกวิถีหนึ่งด้านจิตวิญญาณ” (Pranic Nourishment : Another Path to Spirituality) เชิญชมที่
nourriture.pranique.free.fr/livre.html
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมกรุณารับชมที่
www.SupremeMasterTV.com/BMD