11 กุมภาพันธ์ 2554 01:18 น.

อะกาฮิ(akahi) มนุษย์กินอากาศจากเอควาดอร์....

คีตากะ

akahi.jpgอะกาฮิ(AKAHI) มนุษย์กินอากาศจากเอควาดอร์


วันนี้เราจะเดินทางไป เอควาดอร์ประเทศที่สวยงามในอเมริกาใต้ ไปพบกับผู้กินอากาศ อะกาฮิ เป็นนักเต้นและศิลปินที่ค้นพบความสุขมหัศจรรย์จากการใช้ชิวิตที่ไม่กินอาหาร

ต : ก่อนที่ผมจะมาเป็นชาวกินอากาศ ชีวิตผมก็มีความสุขเหมือนกันเพราะผมเป็นศิลปิน ผมมักจะท่องเที่ยวและชีวิตผมก็มีความสุขดี แต่มันเป็นความสุขอีกชนิดหนึ่ง มันเป็นความสุขที่แตกต่างกัน เป็นความสุขที่ไม่เคยเต็มบริบูรณ์ ผมมีความสุขชั่วขณะหนึ่ง ไม่เคยสุขอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นไม่อาจพูดว่า ผมมีความสุขจริงๆ ในช่วงเวลาเหล่านั้น แต่ตอนนี้เป็นผู้กินอากาศ คุณจะรู้สึกเสมอว่า คุณหายใจเอาความรักที่สวยงาม ผมเรียกมันว่าพลังงานความรักสำหรับผมมันคือความรัก

ถ: เขาเข้ามาเป็น ชาวกินอากาศได้อย่างไร? ชีวิตของเขาเป็นอย่างไร ก่อนที่จะเริ่มเดินทาง มาสายนี้ เป็นผู้ที่ไม่กินอาหาร? อะกาฮิ มาจากครอบครัวที่ทำงานหนัก เขามีพี่น้องผู้ชายสองคน ผู้หญิงหนึ่งคน ผู้ซึ่งทั้งหมดในครอบครัว ถูกสอนตั้งแต่ยังเล็ก ให้เป็นอิสระและพึ่งพาตัวเอง ดังนั้น เขาจึงทำงาน ตั้งแต่เป็นเด็กๆ แล้ว อะกาฮิเชื่อว่าประสบการณ์ที่เขาได้รับจากการอบรม เลี้ยงดูมาทำให้เขา มีทัศนะของชีวิตแตกต่างจากคนอื่น แต่อิสระที่เขามีนั้น เขาก็ไม่สามารถพบสิ่งใดที่น่าสนใจ ส่วนลึกของจิตใจเขา มันมีบางอย่างที่เขารู้ว่าต้องมีมากกว่าชีวิตทางวัตถุนี้

ต : ผมเหมือนกับรอคอยเวลานั้นที่ผมสามารถพบตัวของผมเอง ผมคิดว่ามันมีหนทางอื่นสำหรับผม บางอย่างที่รอผมอยู่ บางอย่างที่ผมต้องการพบเช่นกัน

ถ : ในช่วงที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมอะกาฮิเริ่มสนใจดนตรีและศิลปะและเมื่ออายุ ๑๘ ปี ก็เริ่มสร้างผลงานภาพวาดและขายเอง

ต : ผมรู้ว่านั่นเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์สำหรับผมในการวาดภาพเหมือนงานของผม เหมือนวิธีการจัดการชีวิตผม ดังนั้น ผมจึงเริ่มเดินทางไปทั่วอเมริกาใต้ ขายงานศิลปะและภาพวาดของผม แล้วในการท่องเที่ยวครั้งนี้ การเดินทางนี้สิ่งที่สวยงามทั้งหลายก็เริ่มเกิดขึ้นกับผม เมื่อความรู้ทั้งหลายนี้ ความรักนี้เริ่มเข้ามาในชีวิตผม สำหรับผมการเป็นผู้กินอากาศคือการรับรู้ว่ามีแหล่งของความรักอยู่จริงและผมหายใจเอาความรักนั้นทุกๆ วินาที ดังนั้นตอนนี้ มันเป็นมีความสุขจริงๆ หัวใจผมเต็มไปด้วยความสุข ผมรู้ว่าผมมีความสามารถต้องการทำอะไรก็ทำได้ ต้องการเป็นอะไรก็เป็นได้ ต้องการมีอะไรก็มีได้ และที่จริง เวลานี้ผมรู้ว่า ผมรู้ว่าผมไม่ต้องการอะไรเลย หลังจากขบวนการนี้ ผมเลิกกินอาหารและมันก็รู้สึกดีมาก สำหรับผมมันเหมือนกับ....มันคงความงดงาม เพราะมันไม่มีวันหมด ไม่มีหยุด ทุกเวลามีแต่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ เติบโตอยู่ภายในตัวผม สภาวะของจิตสำนึกที่ทำให้ผมรู้สึกมีความสุข ตลอดเวลา มันทำให้ผมรู้สึกว่าเต็มไปด้วยความสุขและความขอบคุณ ในทุกลมหายใจ

ถ : ความปรารถนาแรงกล้าที่ต้องการช่วยผู้อื่นเกิดขึ้นในตัวเขา เมื่อคู่ชีวิตของเขาเริ่มป่วยในช่วงเวลานี้ อะกาฮิ เปลี่ยนนิสัยการกินของเขาจากอาหารเนื้อสัตว์มาเป็นอาหารพืชผัก ก่อนนี้คุณเป็นอย่างไรก่อนที่จะมาเป็นผู้กินอากาศ? อาหารแบบไหนที่คุณกินตอนนั้น?

ต : ผมผ่านกระบวนการทางจิตสำนึก เมื่อผมท่องเที่ยวในอเมริกาใต้ ผมเริ่มเป็นมังสวิรัติ ครอบครัวของผมตอนสมัยผมเป็นเด็ก พวกเขามักให้ผมกินอาหารนานาชนิด พวกเขาไม่ใช่มังสวิรัติ ดังนั้นผมพบทางนี้ มันเป็นทางของผมเอง เมื่อผมเริ่มท่องเที่ยว ดังนั้นผมเป็นมังสวิรัติมาได้สามปี ขั้นตอนเหล่านี้ที่มาเป็นชาวกินอากาศ มันมีเหตุผลที่ทรงพลังชีวิตของผม เพราะในปี ๒๐๐๖ เพื่อนของผมเวลานี้คือภรรยาของผม เธอมีปัญหาสุขภาพในตัวเธอและเราก็ผ่านพ้นช่วงเวลาสำคัญในชีวิตของเรา ด้วยความตั้งใจที่จะบำบัด ด้วยเหตุนี้ ผมมีความมุ่งมั่นภายในที่จะเป็นคนที่สามารถช่วยเหลือผู้คนที่ต้องการรักษา ผมคิดแบบนั้น ผมตัดสินใจอย่างนั้น ผมสวดภาวนาถึงพระเจ้า “ได้โปรดเถิด อนุญาตให้ผมเป็นผู้ที่สามารถช่วยเหลือผู้คนที่ต้องการการรักษา” 

ถ : เมื่ออะกาฮิงดกินเนื้อสัตว์และเปลี่ยนมากินอาหารพืชผัก เขาก็ได้พบการเปลี่ยนแปลงที่เหลือเชื่อและไม่อาจลืมได้ 

ต : มันง่ายจริงๆ สำรับผมในการเป็นมังสวิรัติ ไม่เคยมีปัญหาเลย ในการงดเนื้อสัตว์แล้วทีละขั้นตอน มันเริ่มเติบโตขึ้น ความปรารถนานี้ที่จะรักษาให้หายขาดได้หรือสุขภาพดีอย่างเต็มที่หรือบริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นนั่นคือเหตุที่ผมเปลี่ยนจากการเป็นมังสวิรัติ หันมาเป็นวีแก้น(อาหารเจไม่กินไข่และนม) อยู่ระยะหนึ่ง แล้วผมก็มาถึงขั้นอาหารดิบ(ผักสดไม่ผ่านการปรุง) ดังนั้นผมก็กินอาหารแบบดิบอยู่สองสามเดือน มันมหัศจรรย์จริงๆ ที่รู้สึกถึงความสดชื่นของอาหารแบบนั้น รู้สึกถึงพลังงานที่อาหารแบบดิบนั้นมีอยู่ มันเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าตัวเองสั่นสะเทือน ด้วยพลังงานอีกแบบหนึ่ง เมื่อผมรู้สึกว่าตัวเองเต็มไปด้วยพลังงานอีกชนิดหนึ่งเกิดขึ้นในตัวผม เป็นพลังงานบางชนิด มันเบามากกว่า




0.jpg




ถ : เมื่ออะกาฮิเปลี่ยนจากอาหารแบบดิบมาเป็นผู้กินผลไม้ ตัวตนในร่างกายของเขารู้สึกเหมือนขยายออกจนเขารู้สึกว่าเชื่อมติดต่อใกล้ชิดกับโลกแห่งธรรมชาติมากขึ้น ผมรู้สึกถึงพลังงานนี้ เบาขึ้น ผมรู้สึกเบาขึ้นในตัวผมและผมก็บอกว่า “วาว! ฉันรู้สึกดีเยี่ยมจริงๆ ในแบบนี้” แล้วต่อมา ผมก็เปลี่ยนมาเป็นผู้กินผลไม้เท่านั้นนานอยู่สองสามเดือน กินแต่เพียงผลไม้ นั่นเป็นช่วงที่ดีที่สุด ผมเรียนรู้ถึงรสชาติที่แท้จริงของสิ่งต่างๆ ที่ปราศจากน้ำตาล ผมรู้สึกถึงรสชาติที่แท้จริงและผมก็เริ่มชื่นชอบมากขึ้นในสิ่งที่เป็นธรรมชาติที่เรามีอยู่และเคารพมันด้วยเช่นกัน และทำให้ผมเคารพแม่พระธรณีอีกด้วย ผมรักแม่พระธรณีมากจริงๆ บางส่วนของชีวิตผม ผมตระหนักและรู้สึกได้ว่า ผมสามารถเชื่อมต่อและถูกเชื่อมต่อกับธาตุทั้งหมดที่อยู่รอบตัวผม

ถ : การงดกินอาหารโดยสิ้นเชิงและอาศัยเพียงพลังงานจักรวาลเท่านั้นในการค้ำจุนชีวิต อะกาฮิ รู้สึกถึงการหลอมรวมที่ยิ่งใหญ่กับพลังจักรวาลของชีวิต

ต : ผมตระหนักรู้ว่าผมอยู่ในการเชื่อมต่อกับฝน ผมรู้สึกว่าผมเชื่อมต่อกับอากาศ กับน้ำ ผมสามารถพูดคุยกับธาตุเหล่านี้ และผมสามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารจากพวกเขา ผมสามารถรับรู้การชี้แนะจากพวกเขา มันน่าสนใจมากสำหรับผมเพราะมันเหมือนกับ เมื่อคุณเริ่มเปิดจิตสำนึกของคุณ คุณเริ่มได้รับข่าวสาร ข่าวสารเหล่านี้เปิดดวงตาของคุณออกมากขึ้นและมากขึ้น และนี่คือคุณเริ่มตระหนักถึงการเชื่อมต่อกับแม่พระธรณีและธาตุทั้งหมดนั้น แล้วการเชื่อมต่อนี้กับแม่พระธรณีนำคุณเข้าไปเชื่อมต่อกับจักรวาล

ถ : ผลจากการที่สวดภาวนาถึงพระเจ้าเพื่อขอการชี้แนะและความรู้ เพื่อให้เขาสามารถรับใช้มนุษยชาติ เพื่อนคนหนึ่งก็เข้ามาในเวลาที่เหมาะเจาะของชีวิตและเป็นแรงบันดาลใจให้เขางดอาหารโดยสิ้นเชิงและกลายเป็นผู้กินอากาศ

ต : แล้วผมก็ตระหนักว่ามันเป็นไปได้ที่จะเป็นผู้กินอากาศ ผมได้พบกับคนคนหนึ่งที่ปรากฏขึ้นในชีวิตผม อย่างที่ผมบอกคุณว่าผมสวดขอให้มีใครก็ได้ หรือผู้นำทางที่สามารถทำให้ผมกลายเป็นคนที่สามารถช่วยผู้อื่นได้ แล้วเพื่อนคนหนึ่งของผมก็มา เขาเป็นผู้กินอากาศอยู่แล้ว ผมจึงตระหนักว่า มันเป็นไปได้ ครั้งแรกที่ผมได้ยินเรื่องนี้ผมก็ยอมรับ และบอกว่า “ใช่ ผมต้องการ ผมต้องการทำอย่างนี้” 

ถ : ครั้นที่เขางดอาหาร อะกาฮิสังเกตว่าทัศนะคติของเขาต่อชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไป เขาค้นพบสัจธรรมอีกครั้งซึ่งได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาโดยสิ้นเชิง

ต : ผมผ่านกระบวนการฝึกเป็นเวลา ๒๑ วันและหลังจากนั้นโดยผ่านกระบวนการนี้ ผมรู้ว่ามีข้อมูลมากมายที่ไม่เป็นความจริง ข้อมูลจำนวนมากที่ผมคิดว่าจริง แต่มันไม่จริง ดังนั้นผมเห็นสัจธรรมที่แท้จริงภายในตัวผมผมพบสัจธรรมของผมเอง ภายในตัวผมและสัจธรรมนี้บอกผมว่า ผมเป็นอิสระซึ่งไม่จำเป็นจะต้องพึ่งพาวัตถุใดๆ เพื่อการมีชีวิตอยู่ สัจธรรมนี้บอกผมว่าสิ่งเดียวเท่านั้นที่ผมต้องทำในชาตินี้ก็คือมีศรัทธาในความรัก ในพลังงานที่สวยงามนี้ที่สร้างทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ทั่วจักรวาล

ถ : อะกาฮิอยู่โดยไม่กินอาหารมาเป็นเวลาสองปี ได้รับการหล่อเลี้ยงโดยพลังของจักรวาล หรือปราณ เราค้นพบว่าการเดินทางของเขามาเป็นผู้กินอากาศเริ่มต้นจากหัวใจที่ปรารถนาจะช่วยเหลือมนุษยชาติ ผลจากอุดมการณ์ที่สูงส่งนั้น อะกาฮิก็เปลี่ยนนิสัยการกินอาหารมาเป็นอาหารพืชผัก โดยเริ่มต้นที่การเป็นมังสวิรัติแล้วเขาก็ขยับมาเป็นวีแก้นต่อไปก็ไปเป็นอาหารดิบ และหลังจากนั้นก็มาเป็นผู้กินแต่ผลไม้ เมื่อมีโอกาสพบกับเพื่อนที่เป็นผู้กินอากาศ อะกาฮิก็ตัดสินใจเดินทางแห่งความเป็นอิสระกลายเป็นผู้ไม่ต้องกินอาหาร มันเป็นอย่างไรสำหรับอะกาฮิเมื่อเขาเปลี่ยนแปลงจากการเป็นผู้กินผลไม้มาเป็นผู้ที่ไม่ต้องกินอาหาร พึ่งพาแต่เพียงพลังของจักรวาลเท่านั้นในการค้ำจุนชีวิต? ที่จริงแล้วมันเป็นความศรัทธาที่เหลือเชื่อ

ต : มันไม่ง่ายอย่างนั้นในตอนเริ่มต้น มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีพลังงานในทุกเรื่องเหมือนกับว่าคุณเปลี่ยนรูปแบบทั้งหมดของคุณ ข้อมูลทั้งหมดนี้ สังคมใส่ให้คุณ มันเข้าไปลึกล้ำมาก มันเข้าไปใน DNA ของคุณ ดังนั้นมันเปลี่ยนโปรแกรมใน ดีเอ็นเอ ของคุณ คุณต้องเผชิญกับอุปสรรคอย่างหนักในชีวิตคุณ สำหรับผมแล้วมันเป็นเรื่องแปลกและยากที่จะเข้าใจว่าผมสามารถเปลี่ยนโปรแกรมให้ตัวเองใหม่ได้




27394911:jpeg_preview_medium.jpg?2010122





ถ : อะกาฮิได้ผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์ซึ่งค่อนข้างท้าทาย สำหรับเขาในทุกๆ ด้าน

ต : อารมณ์ต่างๆ มากมายในตัวผมเริ่มปรากฏออกมา อารมณ์ทั้งหมดที่ไม่ใช่ความสุขเริ่มปรากฏออกมาจากตัวผม มันลำบากมากที่เห็นอารมณ์เหล่านั้นออกมาจากตัวผม เพราะมันทำให้ผมรู้สึกอารมณ์ไม่ดีเหมือนกัน ในเวลานั้น แต่ผมก็รู้ว่ามันคือส่วนหนึ่งของกระบวนการทำให้บริสุทธิ์ที่ดึงอารมณ์เหล่านั้นออกมาจากตัวผม

ถ : มันเป็นการท้าทายเหมือนกันในความเชื่อของอะกาฮิและวิถีชีวิตที่สังคมบ่มเพาะในตัวเขา ตั้งแต่สมัยเด็ก มันเกิดขึ้นกับความคิดผมเหมือนกัน ความเชื่อที่ทรงพลังเหล่านี้ที่อยู่ในตัวผม...เช่น ผมเคยเชื่อว่าผมต้องกินอาหารเพื่ออยู่รอด ผมเคยเชื่อว่าการเจ็บป่วยมีอยู่ ผมเคยเชื่อว่าผมต้องแก่ชรา ผมเคยเชื่อว่าผมต้องตาย ดังนั้น ข้อมูลทั้งหมดนั้นผมเริ่มตระหนักว่ามันไม่จริง สำหรับผมแล้ว ความตายไม่มี การเจ็บป่วยไม่มีและความจำเป็นทั้งหลายที่สังคมสร้างขึ้นนั้น มันไม่มี ดังนั้น เมื่อผมเผชิญกับมัน มันเหมือนกับการทำลายกฎข้างในของผม ทำลายรูปแบบทั้งหมดที่อยู่ข้างในตัวผม และนั่นคือสิ่งที่ทรงพลังที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผมและเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างจากข้างในตัวผม

ถ : นอกจากความท้ายทาย เขาต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงมาเป็นผู้ไม่กินอาหาร อะกาฮิไม่เคยพบกับสิ่งที่ดีกว่านี้

ต : ผมรู้สึกว่าตัวผมแข็งแรงขึ้น ผมรู้สึกถึงสภาวะที่สุขภาพดีตลอดเวลา ผมรู้สึกสุขภาพดีจริงๆ สุขภาพดีจริงๆ ร่างกายของผมเรียนรู้การหายใจมากขึ้น ดังนั้นทุกลมหายใจมันเข้าลึกมากสำหรับผม ดังนั้นปอดผมขยายตัว ร่างกายผมเปลี่ยนแปลง ตอนนี้ผมรู้สึกว่าสบายจริงๆ ผมรู้สึกว่าผมมีร่างกายที่สมบูรณ์ และรู้สึกว่าผมมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์

ถ : อะกาฮิเชื่อว่ามนุษยชาติกำลังพบกับยุคที่เสื่อมถอยซึ่งจะมีเหลือเพียงแต่ความรัก ความหวังและแสงสว่าง จากจิตสำนึกที่สูงขึ้นของทั่วโลก

ต : จิตสำนึกของความหวังใหม่ที่อยู่ทั่วไปบนโลกนี้ ทุกคนบนโลกเวลานี้กำลังมองหา บางสิ่งที่ดีกว่า บางสิ่งที่สวยงามในชีวิตของพวกเขาและเวลานี้ผมสามารถพูดได้ว่ามันง่ายมากในการเป็นอิสระจากทุกๆ สิ่งในสังคม

ถ : หลังจากมีประสบการณ์ด้วยตัวเอง กับบททดสอบของกระบวนการเปลี่ยนแปลงมามีชีวิตโดยไม่กินอาหาร อะกาฮิได้อธิบายถึงสิ่งเดียวที่จำเป็นสำหรับการเป็นผู้กินอากาศ

ต : สิ่งเดียวเท่านั้นที่คุณต้องมีก็คือความศรัทธา ศรัทธาในตัวคุณเอง ศรัทธาว่าคุณทำได้ ศรัทธาว่าคุณคือคนสำคัญที่ไม่มีข้อจำกัดใดๆ และมีความปราถนาที่จะมีพลังอำนาจซึ่งมาจากศูนย์กลางหัวใจของคุณ

ถ : ยิ่งกว่านั้น อะกาฮิยังอธิบายถึงความจริงที่เราทุกคนสามารถอยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีอาหารเลย

ต : ยิ่งกว่านั้น การเป็นผู้กินอากาศมันง่ายจริงๆ การมีชีวิตอยู่โดยไม่กินอาหารหรือการเป็นคนพิเศษ ที่จดจำถึงจิตสำนึกนั้นได้ ข้อแรก ผมอยากบอกแก่ผู้คนว่าเวลานี้ทุกคนบนโลกเป็นผู้กินอากาศ คุณทั้งหมดเป็นผู้กินอากาศอยู่แล้ว คุณได้รับการหล่อเลี้ยงจากพลังงานของจักรวาลที่มีอยู่ในอากาศอยู่แล้ว ตอนนี้ในชีวิตชาตินี้หรือชาติอื่นๆ คุณก็เคยเป็นผู้กินอากาศเหมือนกัน เพราะว่ามันเป็นวิธีดั้งเดิมแท้จริงที่ได้รับการบำรุงเลี้ยง เพราะเราไม่ใช่แค่กายเนื้อ เราคือร่างของแสง แบะในฐานะเป็นร่างของแสง คุณก็ได้รับการหล่อเลี้ยงจากแหล่งของแสงเช่นกัน แหล่งพลังงานของแสงนี้ สามารถรักษา สามารถช่วยให้ร่างกายของคุณอยู่ในสภาวะสมบูรณ์เช่นกัน ดังนั้นขอให้จดจำนำความรู้นี้เข้าสู่จิตสำนึกของคุณในเวลาขณะนี้ว่าคุณมีพลังมากมายอยู่กับคุณทุกวินาที คุณมีทรัพยากรมากมายพร้อมสำหรับคุณทุกวินาที และเพียงแต่คุณ นำมันมาใช้ในชีวิตคุณ นำพลังงานที่สวยงามนี้ให้เติบโตอยู่ในตัวคุณ

ถ : อะกาฮิ อธิบายว่าความรู้นั้นอยู่ตรงนั้นแล้วและวิญญาณของเรารู้จักมัน เราเพียงแต่ต้องทำจิตคิดเราให้เป็นอิสระว่ามันเป็นไปได้ แล้วร่างกายของเราก็จะจำได้

ต : ร่างกายของเรารู้จัก สิ่งเหล่านี้อยู่แล้วแน่นอน ความทรงจำที่เก่าก่อนในร่างกาย ในวิญญาณของเรารู้จักความรู้ทั้งหมดนี้ มันอยู่ข้างในในเมื่อร่างกายเป็นแสง เราก็ได้รับพลังงานนี้จากแสงเช่นกัน ดังนั้นเมื่อคุณเปิดเข้าสู่จิตสำนึกนั้นที่ว่าคุณไม่ใช่เป็นแค่ร่างกายเนื้อ แต่คุณมีร่างกายของแสงและร่างกายของแสงของคุณเชื่อมต่อกับแหล่งที่มา คุณตระหนักว่าวิญญาณของคุณ จิตวิญญาณมันใหญ่กว่าและทรงพลังกว่าร่างกายเนื้อของคุณ ดังนั้นเมื่อคุณบำรุงวิญญาณของคุณด้วยแสง ร่างกายเนื้อของคุณก็จะยอมรับมันและได้รับการหล่อเลี้ยงไปด้วย ผมคิดว่ามันเป็นธรรมชาติสำหรับมนุษย์ทั้งหมดที่สามารถเป็นผู้กินอากาศ ที่สามารถเต็มอิ่มได้

ถ : ก็เหมือนกับ กิริ บาลาผู้กินอากาศผู้ที่อยู่ด้วยลมปราณมากกว่า ๕๐ ปี เมื่อโยคะนันดะ ได้พบกับเธอ อะกาฮิ ถือว่าความสามารถของมนุษย์ที่อยู่ได้โดยไม่กินอาหารนั้นมาจากพระเจ้า ใครทำให้คุณสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องกินอาหาร?

ต : เป็นความสามารถตามธรรมชาติ นี่เป็นของขวัญจากพระเจ้า เพราะสิ่งนี้เป็นของธรรมชาติสำหรับทุกคนบนโลก ทุกคนสามารถทำได้

ถ : การที่ อะกาฮิ ใช้ชีวิตเป็นผู้กินอากาศเป็นการหลอมรวมอยู่ในความรักของจักรวาล ทุกขณะจิตของวันเวลา

ต : ผมรู้สึกว่าทางของผมจบลง ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมแสวงหา ผมได้พบมันแล้ว ดังนั้นผมไม่แสวงหามันอีกต่อไป ผมรู้สึกว่ามีความสุขจริงๆ กับสิ่งที่ผมมีและการใช้ชีวิต ตอนนี้ผมมีแต่ความสุขกับสภาวะที่สวยงามของจิตสำนึกที่ทุกๆ เวลา มันเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และนำผมไปยังความรู้สึกอื่นๆ มันเหมือนกับว่าผมกำลังสำรวจทางใหม่ เพื่อรู้สึกถึงความรักในขณะนี้ เหมือนตอนนี้ ผมพบกับความรักที่สำคัญจริงๆ 



L1ZE6_50.jpg




ถ : อะกาฮิ อยู่โดยไม่กินอาหารเป็นเวลาสองปีมาแล้ว เขาได้รับการหล่อเลี้ยงโดยพลังของจักรวาลหรืออีกชื่อหนึ่งว่า พลังปราณ เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงซึ่งอยู่โดยไม่กินอาหาร เช่น กิริ บาลา ,เซนต์ นิโคลาส แห่งฟลู, เจริโค ซัลไฟร์, ดร. บาร์บาร่า มัวร์, ฟาน ทัน ลุค, ฮิร่า ราตัน เมนัค, และคนอื่นๆ อะกาฮิอาศัยพระกรุณาของพระเจ้า ในการอยู่รอด เขาเชื่อมั่นว่าด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าจากหัวใจที่ต้องการรับใช้มนุษยชาติ พระเจ้าจึงให้เขาสมหวังในการเป็นผู้ไม่กินอาหาร ไม่ต้องมีภาระผูกมัดกับความจำเป็นทางวัตถุ อุดมการณ์อันสูงส่งของเขาทำให้เขาสามารถเปลี่ยนนิสัยการกินอาหารไปเป็นผู้ที่มีเมตตามากขึ้น การเริ่มต้นเดินทางแสวงหาทางจิตวิญญาณในที่สุดก็นำเขาไปสู่วิถีชีวิตใหม่ของการเป็นผู้กินอากาศ อะกาฮิได้รับมุมมองใหม่ในชีวิต

ต : ความรักดำรงอยู่จริงๆ ความรักคือพื้นฐานสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างปรัชญาของผมคือความรักมีพร้อมสำหรับคุณ เมื่อคุณเปิดรับมัน คุณเปิดรับความรักให้มาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคุณ มันก็จะให้ประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่คุณ

ถ :  แม้ว่ากระบวนการเปลี่ยนแปลงนั้นมีความยากลำบากหลายอย่างในตอนแรก แต่อะกาฮิก็เชื่อว่ามนุษยชาติมีความสามารถแต่กำเนิดในการอยู่โดยไม่กินอาหาร อะกาฮิมีความเชื่อมั่นว่าพลังแห่งจักรวาลเป็นเสมือนแหล่งอาหารหล่อเลี้ยงเรา เพียงแหล่งเดียวมาแต่โบราณ ก่อนที่เราจะมีนิสัยของการกินอาหารเกิดขึ้น

ต : คุณสามารถอยู่ได้โดยไม่กินอาหาร และไม่ต้องดื่มน้ำ มันเพียงแค่อย่างที่บอกคือต้องมีความเชื่อนี่คือสิ่งที่คุณจำเป็นต้องมี มีความศรัทธาอย่างมาก มันเป็นการทดสอบความเชื่อ ถ้าคุณผ่านการทดสอบนี้คุณจะพบกับขุนทรัพย์แห่งความรักและเมื่อคุณค้นพบขุมทรัพย์นี้แล้ว มันก็จะให้คุณทุกสิ่งทุกอย่าง

ถ : ผู้ที่อยู่โดยไม่กินอาหารมีหลายๆ แบบแตกต่างกันไป บางคนไม่กินทั้งอาหารและน้ำ เช่น โยคีนี กิริ บาลา บางคนดื่มแต่น้ำชาเช่นเกษตรกรชาวเอาหลัก(เวียดนาม) ฟาม ทัน ลุค ขณะที่คนอื่นๆ ดื่มน้ำเท่านั้นเมื่อต้องการ เช่นผู้มีรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ หลุยส์ ลาตูว์ หรือโยคีผู้เป็นอมตะ เดฟราฮา บาบา

ต : ผมยังดื่มน้ำผลไม้หรือชาเป็นบางครั้ง บางครั้งก็ดื่มน้ำ เวลาที่ผมอยากให้ปากมีรสชาติบ้าง แต่เพื่อนของผมไม่ดื่มน้ำเลยเป็นเวลาเกือบสองปี และเขาก็สุขภาพดีมาก ดังนั้นมันเป็นความจริงที่คุณสามารถอยู่ได้โดยไม่กินอะไร และไม่ดื่มอะไรเลย มันเป็นเรื่องความศรัทธา ถ้าคุณใส่ความศรัทธาเข้าในความรู้นั้นว่าแหล่งของขุมทรัพย์นี้สามารถให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องการ คุณมีทุกสิ่งทุกอย่าง คุณได้รับความชุ่มฉ่ำทั้งหลายจากพื้นโลกด้วยเช่นกันเมื่อคุณมีความเชื่อและค้นพบขุมทรัพย์นั้น

ถ : ชีวิตแต่ละวันจะเป็นอย่างไร สำหรับคนที่ไม่กินอะไรเลย? เรามาดูชีวิตประจำวันของอะกาฮิ อยากจะรู้ว่ามันเป็นวันพิเศษสำหรับคุณที่เป็นผู้กินอากาศหรือไม่?

ต : บางวันผมก็ออกกำลังกายที่นี่หรือผมก็นั่งสมาธิเพราะผมชอบมาก แสงแดด ผมชอบดูแสงอาทิตย์ด้วยตาเปล่าและรับพลังงานในตอนเช้าๆ  บางครั้งผมก็ไปที่มุมต่างๆ ของเมืองเพื่อรู้จักเมืองนี้หรือไปนอกเมืองบ้าง ผมชอบเดินทาง ผมชอบมีประสบการณ์แบบต่างๆ ทุกวัน นั่นคือสิ่งที่ผมชอบ เพราะมันเหมือนกับว่าตอนนี้ผมยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนโปรแกรม ข้อมูลภายในทั้งหมดของผม ดังนั้นผมลบข้อมูลจำนวนมากที่มีอยู่ก่อนในชีวิตออกจาก DNA ของผม ข้อมูลที่ผมเลือกแล้วว่า ผมไม่ต้องการแล้ว ดังนั้นตอนนี้ผมใส่โปรแกรมใหม่ให้ DNA  ด้วยข้อมูลแห่งความรัก มันเหมือนกับผมทำหน่วยความจำใหม่และผมต้องการให้ ความจำเหล่านี้มีแต่ความสุข

ถ : การอยู่โดยไม่ต้องกินอาหาร ไม่ใช่สำหรับคนเพียงไม่กี่คนหรือคนที่มีความสามารถพิเศษเลย คนคนนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นนักบุญหรือผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณเลยก็ได้ ในการได้รับประโยชน์จากการฝึกการอยู่ด้วยพลังปราณนี้ คุณแนะนำชีวิตแบบนี้ให้คนอื่นๆ หรือไม่?

ต : ใช่ แน่นอน ผมแนะนำให้ทุกๆ คนเพราะมันง่ายจริงๆ และมีความสุขจริงๆ มันเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุดในการเป็นผู้กินอากาศ ง่ายจริงๆ และคุณจะพบว่ามันเป็นสภาวะแห่งความสุขจริงๆ คุณจะพบกับเสรีภาพซึ่งการเป็นผู้กินอากาศจะมอบให้คุณ มันเพียงแต่ต้องมีใจและมีความปรารถนาที่ดีงาม เพื่อจดจำตัวคุณเองว่าคุณเป็นคนที่ไร้ขีดข้อจำกัดใดๆ ทั้งสิ้น

ถ : สำหรับคนที่อยากจะทดลองใช้ชีวิตแบบผู้กินอากาศ อะกาฮิ ได้แบ่งปันความรู้ของเขาและคำแนะนำบางอย่าง

ต : เคล็ดลับสำคัญคือคุณเป็นผู้กินอากาศอยู่แล้ว เวลานี้คุณหายใจด้วยแสงแห่งจักรวาล ในขณะนี้คุณก็เป็นผู้ที่กินอากาศอยู่แล้ว และกระบวนการนี้เริ่มต้นให้คุณแล้ว เพราะเวลานี้คุณรู้ว่าพลังนี้มีอยู่จริงและคุณหายใจเอาพลังนี้ทุกๆ วินาที ดังนั้นเมื่อคุณยอมรับพลังนี้แล้วนั่นแหละ พลังนี้จะรู้ว่าคุณยอมรับมันคล้ายกับว่าพลังนี้มีความฉลาดและมีการรับรู้เหมือนกัน และเมื่อพลังนี้รู้ว่าคุณรู้จักกับมัน มันก็เริ่มเข้ามาหาคุณง่ายมากขึ้น แล้วกระบวนการนี้ก็เริ่มต้นขึ้น หลังจากนั้นคุณจะรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงนานาชนิดอยู่ภายในตัวคุณ มันเพียงแต่ว่าให้เปิดจิตสำนึกรับรู้ว่าพลังนี้มีอยู่และคุณกำลังหายใจมัน แล้วเมื่อคุณทำได้ มันก็เริ่มต้นทันที ผมเห็นภาพต่างๆ ที่สวยงามมากมายอยู่ในตัวผู้คนจำนวนมาก หลายๆ คนที่ผ่านพ้นช่วงที่ยากลำบากในชีวิตของพวกเขา แล้วหลังจากประสบการณ์นี้ ชีวิตของพวกเขาก็เปลี่ยนไป และมันดีมากที่ได้ฟังผู้คนบอกคุณอย่างนั้น เมื่อพวกเขาได้รับความรู้นี้และพวกเขายอมรับความรู้นี้ เวลาเดียวกันนั้น พวกเขาก็รู้ว่า อะไรคือสิ่งที่ง่ายและพวกเขาก็รู้เรื่องนี้ดี แต่คุณต้องผ่านกระบวนการนี้ เพื่อรับรู้หรือจดจำมันได้ กระบวนการนี้ถูกจัดวางอยู่ในช่องทางพิเศษ เพื่อเปิดจิตสำนึกแห่งปราณในตัวคนเรา ดังนั้นเมื่อคุณผ่านกระบวนการนี้แล้ว มันก็จะชัดเจนมากขึ้น มันง่ายมากในการเป็นผู้กินอากาศหรือการอยู่โดยไม่กินอาหาร

ถ : เวลานี้อะกาฮิให้การฝึกอบรมช่วยผู้ที่ต้องการสละการอยากอาหาร

ต : ความสุขที่ผมพบในชีวิต ผมรู้สึกว่าทุกคนมีความรักอยู่ในหัวใจและทุกๆ คนบนโลกต้องมีความรักนี้ เพื่อรับรู้ถึงมัน ผมรู้สึกดีกับชีวิตผมกับทั้งหมดที่อยู่รอบตัวผมและผมรู้สึกอยู่ข้างในว่าผมปรารถนาให้ผู้อื่นสามารถรู้สึกได้เช่นเดียวกันนี้ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมมาทำงานตรงนี้ ทำให้ผมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง ทิ้งชีวิตด้านอื่นและทำสิ่งที่ผมทำอยู่เวลานี้

ถ : อะกาฮิ เชื่อว่ามนุษยชาติใกล้ถึงเวลาของการปรับไปสู่จิตสำนึกโลกที่สูงขึ้น อนาคตของดาวโลกอยู่กับการเลือกวิถีชีวิตของเราจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหารพืชผักหรือการไม่กินอาหารเลย

ต : สิ่งที่พิเศษสุดในช่วงเวลานี้สำหรับดาวโลกและสำหรับมนุษย์ก็คือค้นหาสันติสุขภายในตัวเอง ค้นหาความสุขภายใน ดังนั้นวิธีนี้คุณช่วยคนอื่นได้ด้วย คุณกำลังช่วยโลก มันเป็นการสร้างการเปลี่ยนแปลงจากโลกที่มีปัญหาต่างๆ มากมายไปเป็นโลกที่เต็มไปด้วยความรัก







ติดตามข้อมูลเพิ่มของอะกาฮิได้ที่

www.akahmi.com
email : soy.akahi@hotmail.com
 
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมนุษย์กินอากาศค้นหาได้ที่

www.SupremeMasterTV.com/BMD

				
11 กุมภาพันธ์ 2554 00:37 น.

รอดได้เมื่อภัยมา....

คีตากะ

02231_002.jpgวิธีรอดได้เมื่อภัยมา
(Natural Disaster Servival Guide)

เตรียมพร้อม
ภัยธรรมชาติมักจะมาโดยไม่ทันให้เราตั้งตัว การเตรียมพร้อมรับมือจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เราควรเริ่มดำเนินการทันทีโดยไม่จำเป็นต้องรอให้เห็นสัญญาณอันตรายก่อน อย่าประมาทกับพลังของธรรมชาติ และนี่คือข้อแนะนำการเตรียมความพร้อมเบื้องต้นก่อนภัยมา

เตรียมใจ
สิ่งสำคัญที่สุดที่เราต้องเตรียมเป็นอย่างแรก คือ “เตรียมใจ” ไม่ใช่เป็นการเตรียมตัวตาย แต่เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับความไม่ตื่นตระหนกตกใจจนเกินไปเมื่อต้องอยู่ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
    โดยเฉพาะรู้จัก “การฝึกสติ” ให้เป็นนิสัยประจำตัว จะช่วยในการควบคุมอารมณ์ เพื่อให้การตัดสินใจและแก้ไขปัญหาตรงหน้าได้อย่างละเอียดรอบคอบขึ้น ซึ่งไม่เพียงจะส่งผลแค่ตัวเราเท่านั้น ยังส่งผลถึงคนในครอบครัวและคนอื่นๆ ที่อยู่รอบข้างด้วย

เตรียมสมาชิกในบ้าน
๑ หมั่นติดตามข้อมูลข่าวสารและสนใจฟังประกาศเตือนจากเจ้าหน้าที่รัฐ
๒ เรียนรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงที่จะเกิดภัยพิบัติในท้องถิ่นของตนเอง เช่นในกรณีของดินถล่ม เนื่องจากดินถล่มมักจะเกิดซ้ำในที่เดิม โดยขอข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในท้องถิ่น
๓ รู้จักสภาพพื้นที่รอบๆ บ้าน โดยอาจสังเกตด้วยตนเอง หรือขอข้อมูลจากศูนย์วิจัยหรือสำนักงานในท้องถิ่น
๔ ถ้าชุมชนมีความเตรียมพร้อม ต้องเรียนรู้กฎความปลอดภัยของชุมชน เรียนรู้ป้ายหรือสัญลักษณ์เตือนภัย ตลอดจนเส้นทางที่ใช้ในการอพยพ และที่ตั้งของศูนย์หลบภัยในชุมชน
๕ ซักซ้อมกับคนในครอบครัว ให้รู้และเข้าใจเกี่ยวกับแผนการอพยพหนีภัย ควรฝึกซ้อมแผนอพยพในชุมชนจนเคยชินและสามารถหลบหนีได้แม้ในเวลากลางคืน หรือเวลาที่อากาศแปรปรวน
๖ ศึกษาวิธีการปฐมพยาบาลขั้นต้น ตลอดจนฝึกใช้เครื่องมือที่จำเป็น เช่น อุปกรณ์ดับเพลิง
๗ ในกรณีที่อาจเกิดเหตุแผ่นดินไหว ให้ฝึกสมาชิกในครอบครัวให้รู้จักการ “หมอบ” “ป้อง” และ “เกาะ” คือหมอบหลบใต้โต๊ะหรือเก้าอี้ที่มั่นคง ใช้แขนปกป้องศีรษะและคอ และเกาะยึดโต๊ะเก้าอี้ให้มั่นคง
๘ ซักซ้อมทำความเข้าใจกับสมาชิกในบ้านให้ทราบตำแหน่งวาล์วปิดน้ำ วาล์วปิดแก๊ส สะพานไฟฟ้า รวมทั้งแนะนำวิธีปิดด้วย
๙ เรียนรู้อุปกรณ์ในบ้านทุกชนิดที่อาจเป็นอันตรายได้เมื่อเกิดน้ำท่วม ปิดวงจรกระแสไฟฟ้าเมื่อเกิดน้ำท่วม เพื่อป้องกันกระแสไฟฟ้าลัดวงจร และก่อนอพยพออกจากบ้านให้ปิดแก๊สและน้ำประปาในบ้านด้วย
๑๐ ติดเบอร์โทรศัพท์สำหรับกรณีฉุกเฉินไว้ที่โทรศัพท์ทุกเครื่อง รวมทั้งศึกษาวิธีการติดต่อกับหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือได้ในกรณีเกิดภัยพิบัติ เช่น หน่วยงานกาชาดในท้องถิ่น บันทึกเบอร์โทร.ที่สำคัญไว้ในโทรศัพท์มือถือ เพราะเมื่อเกิดเหตุอาจมีเพียงโทรศัพท์มือถือที่ใช้งานได้(ดูเบอร์โทร.ฉุกเฉินด้านท้าย)
๑๑ เตรียมเส้นทางหนีภัยอย่างน้อยสองทางที่เชื่อมต่อกับเพื่อนบ้าน เพราะหากพลัดหลงกับสมาชิกในครอบครัวจะได้หลบหนีไปพร้อมกัน
๑๒ หากอยู่ในบริเวณเสี่ยงภัยสึนามิ ให้เตรียมเส้นทางหลบหนี ทั้งจากโรงเรียนหรือที่ทำงาน เลือกที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล ๑๐๐ ฟุต (ประมาณ ๓๐ เมตร) หรือห่างไกลชายทะเล ๒ ไมล์(ประมาณ ๓.๒ กิโลเมตร) และสามารถไปถึงได้ภายใน ๑๕ นาที
๑๓ ตระเตรียมสิ่งของจำเป็นให้พร้อมสำหรับการอพยพได้ตลอดเวลา
๑๔ พูดคุยทำความเข้าใจกับคนในครอบครัวเพื่อให้รู้วิธีปฏิบัติตัวและลดความวิตกกังวล นอกจากจะเตรียมเรื่องสิ่งของจำเป็นแล้วก็ควรเตรียมจิตใจด้วย หากตัดสินใจจะอยู่ต่อในบ้าน การติดอยู่ในบ้านอาจเป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับเด็กๆ ได้ ดังนั้นหากมีเวลาพ่อแม่ควรจัดให้มีการฝึกซ้อมคล้ายกับการเข้าค่าย โดยเป็นการใช้ชีวิตที่ปราศจากเครื่องอำนวยความสะดวกเป็นเวลา ๑ วัน เพื่อเตรียมตัวเด็กๆ ให้พร้อมรับมือเมื่อเกิดวิกฤต

เตรียมบ้านเรือน
๑ ตรวจดูสิ่งต่างๆ ภายนอกบ้านได้แก่ ตรงบริเวณชานระเบียงหรือรั้ว หากจับโยกแล้วยังเคลื่อนได้ ให้พยายามยึดส่วนนั้นให้มั่นคงขึ้น หรือไม่ก็ถอดออกไปเลย ตลอดจนซ่อมแซมหลังคาและรางระบายน้ำให้แข็งแรง
๒ ควรเสริมโครงสร้างบ้านให้มั่นคงเพื่อต้านทานแผ่นดินไหว
๓ รถที่ไม่ได้จอดในโรงรถให้จอดบริเวณที่อยู่ใต้ลม เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกพัดพามาโดนตัวบ้านหากเกิดพายุรุนแรง
๔ ยึดอุปกรณ์ที่อยู่นอกบ้าน เช่น โต๊ะเก้าอี้ในส่วน เครื่องเล่นของเด็กๆ ให้มั่นคง ป้องกันพายุพัดพา
๕ หากมีประกาศเรื่องลูกเห็บตกให้คลุมยานพาหนะที่อยู่นอกบ้านด้วยผ้าหนาๆ 
๖ ควรตัดเล็มกิ่งไม้ และตัดกิ่งไม้ตายที่อยู่ใกล้บริเวณบ้านออก
๗ ตรวจดูสายไฟที่เชื่อมต่อเข้ามาในตัวบ้าน หากพบว่าไม่มั่นคงให้รีบซ่อมแซม
๘ ยึดชั้นวางของหรืออุปกรณ์ห้อยแขวนภายในบ้านให้มั่นคง ย้ายของน้ำหนักมากมาวางไว้ในที่ต่ำ
๙ รูปแขวนหรือกระจกควรอยู่ห่างจากเตียงนอนและโซฟา หากมีสิ่งเหล่านั้นแขวนอยู่ใกล้ๆ ให้ปลดลง
๑๐ ตรวจดูว่าอุปกรณ์ที่มีน้ำหนักมาก หรือท่อน้ำยึดติดกับโครงของผนังบ้านหรือส่วนที่แข็งแรงของบ้านเป็นอย่างดีแล้วและยึดเครื่องเรือนหรือของใช้ชิ้นหนักให้ติดกับพื้นหรือผนังบ้าน
๑๑ เตรียมที่ปลอดภัยให้สัตว์เลี้ยงอยู่ เพราะศูนย์หลบภัยอาจไม่รับเลี้ยงสัตว์
๑๒ เตรียมอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในภาวะฉุกเฉินไว้ในที่ที่ทุกคนในบ้านรู้และหยิบฉวยได้ เช่น ไฟฉาย ยา กระเป๋ายังชีพ เครื่องดับเพลิง เป็นต้น ฯลฯ เตรียมถ่านหรือแบตเตอรี่สำรองไว้สำหรับไฟฉาย มือถือและวิทยุเสมอ
๑๓ เมื่อทราบว่าบ้านอยู่ในเขตที่อาจเกิดดินถล่มได้ ให้ติดต่อบริษัทที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการเคลื่อนของดินเพื่อขอคำปรึกษาในการแก้ไขปรับปรุงบ้านให้พร้อมรับสถานการณ์ อย่าแก้ไขต่อเติมบ้านเองโดยไม่มีความรู้
๑๔ ติดตั้งท่อก๊าซและท่อประปาที่มีความยืดหยุ่นสูง หลีกเลี่ยงการก่อสร้างที่พักอาศัยใกล้จุดที่มีความเสี่ยงจะเกิดสึนามิ
๑๕ หากอาศัยใกล้ชายหาด ควรปลูกสร้างเขื่อน ต้นไม้ หรือวัสดุที่ช่วยลดแรงปะทะของคลื่น
๑๖ หากประเมินแล้วว่าบ้านไม่มั่นคงพอ ใช้หลบภัยไม่ได้ และต้องอพยพไปที่อื่น ให้แจ้งคนรู้จักให้ทราบด้วยว่าเราจะอพยพไปที่ใด

เตรียมสิ่งจำเป็น
ในกรณีที่ไม่จำเป็นต้องอพยพไปไหน ควรเตรียมสิ่งต่างๆ ไว้ในบ้าน ดังนี้
๑ น้ำ (๑ แกลลอนต่อคนต่อวัน) อาหารกระป๋อง อาหารแห้งและที่เปิดกระป๋อง เตรียมไว้ให้พอสำหรับสองสัปดาห์
๒ ยารักษาโรค อุปกรณ์ และคู่มือปฐมพยาบาล
๓ วิทยุใส่ถ่าน ไฟฉายพร้อมถ่านสำรอง ไฟแช็กจำนวนหนึ่ง
๔ เสื้อผ้าสะอาด รองเท้าหุ้มส้น หรือรองเท้ายาง
๕ ถุงนอนและผ้าห่มสำรอง
๖ ไอโอดีนเม็ด และคลอรีนแบบใช้ในบ้านแบบไม่มีกลิ่นสำหรับทำน้ำให้สะอาด
๗ นม อาหารเด็ก ผ้าอ้อมสำเร็จรูป และอุปกรณ์อื่นๆ สำหรับเด็ก
๘ กระดาษชำระหรือผ้าทำความสะอาดแบบใช้แล้วทิ้ง (หรือผ้าเช็ดทำความสะอาดของเด็ก)
๙ ของใช้อนามัยส่วนตัว เช่น สบู่ ยาสีฟัน ผ้าอนามัย ฯลฯ
๑๐ อุปกรณ์ทำความสะอาด ผงซักฟอก ไม้กวาด ไม้ถูพื้น
๑๑ เติมน้ำมันรถไว้ให้พร้อม เตรียมอุปกรณ์ฉุกเฉินติดรถ เช่น อาหาร พลุสัญญาณ สายต่อพ่วง แผนที่ อุปกรณ์ช่าง ชุดปฐมพยาบาล เครื่องดับเพลิง
๑๒ อุปกรณ์ใช้ครั้งเดียวทิ้ง จำพวกชาม ช้อน ถ้วยกระดาษ พร้อมถุงพลาสติกใส่ขยะ
๑๓ ภาชนะเก็บความเย็น
๑๔ เติมเชื้อเพลิงเต็มถังไว้ใช้ในบ้าน
๑๕ เตาไฟฟ้าปิกนิค ตะเกียงและเชื้อเพลิงสำหรับเติม ไม่ควรใช้เทียนเพราะหากเทียนล้มจะทำให้เกิดอัคคีภัยได้
๑๖ เครื่องดับเพลิงชนิด ABC (เป็นเครื่องดับเพลิงอเนกประสงค์ใช้ดับเพลิงได้ทุกชนิด)
๑๗ อุปกรณ์ช่าง เช่น ค้อน ตะปู เชือก เลื่อย ผ้าใบกันน้ำ ฯลฯ
๑๘ จัดเตรียมกระเป๋ายังชีพไว้ใกล้ตัวกรณีฉุกเฉินที่ต้องอพยพ เช่น น้ำท่วม การปลดปล่อยก๊าซมีเทนหรือก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟส์จากมหาสมุทร

กระเป๋ายังชีพ
ควรประกอบด้วยสิ่งที่จำเป็นดังนี้
๑ อาหารแห้ง น้ำ พร้อมภาชนะใส่ และอุปกรณ์ทำครัวขนาดพกพา
๒ ผ้าห่ม ถุงนอน และเต้นนอน
๓ เสื้อผ้าหนาสัก ๒-๓ ชุด
๔ ไฟฉายพร้อมถ่านสำรอง
๕ รองเท้าหุ้มส้นป้องกันเท้าบาดเจ็บ
๖ ยารักษาโรคและอุปกรณ์ปฐมพยาบาล
๗ ไฟแช็ก ตะเกียง มีดผ่าฟืนหรือมีดอเนกประสงค์
๘ ของใช้ส่วนตัว เช่น ยาสีฟัน แปรงสีฟัน สบู่ กระดาษชำระ ขัน ยากันยุง ฯลฯ
๙ นกหวีด แผนที่ เข็มทิศ หรือพลุสัญญาณ
๑๐ สำเนาเอกสารประจำตัว รูปถ่ายของตัวเองและบุคคลในครอบครัว เก็บไว้ในถุงกันน้ำ

อพยพหรืออยู่ต่อ....
การตัดสินใจว่าจะอพยพหรืออยู่ต่อนั้นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะภัยพิบัติที่เกิดในบ้านเรามีทั้งภัยที่ร้ายแรงจนอาจต้องอพยพไปอยู่ในศูนย์หลบภัยหรือที่หลบภัยที่เหมาะสม และแบบที่ไม่ร้ายแรงซึ่งเราพอจะอยู่ต่อไปในบ้านได้ เช่น น้ำท่วมแบบไม่รุนแรงแต่ก็อาจจะกินเวลานานถึงสัปดาห์ จึงต้องพูดคุยซักซ้อมกับคนในครอบครัวให้ดีไม่ว่าจะตัดสินใจอพยพหรืออยู่ต่อ และต้องคุยแต่เนิ่นๆ เพราะอาจไม่มีเวลามากพอให้คิดหาหนทางเมื่อใกล้จะเกิดเหตุ เมื่อพูดคุยกันอย่างจริงจัง เราจะพบว่ามีปัญหามากมายที่จะต้องแก้ไขเมื่อเกิดเหตุขึ้นจริงๆ ดังนั้นจงตัดสินใจให้เร็ว อย่าชะล่าใจหรือปล่อยให้เหตุการณ์จวนตัว

ข้อควรพิจารณาว่าจะอพยพคนในครอบครัวไปอยู่ในที่ปลอดภัย หรือตัดสินใจอยู่ในบ้านต่อไป ดูได้จากปัจจัยต่อไปนี้
๑ คุณอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุธรรมชาติชนิดใด (พายุ น้ำท่วม ดินถล่ม แผ่นดินไหว ก๊าซรั่ว  เขื่อนแตก สึนามิ ภูเขาไฟระเบิด การปล่อยก๊าซมีเทน ฯลฯ)
๒ โครงสร้างของบ้านสามารถต้านทานความแรงของพายุได้หรือไม่
๓ ส่วนที่เปิดได้ เช่น หน้าต่าง ประตูเลื่อน บานเกล็ดสามารถกันลมฝนได้หรือไม่
๔ มีสมาชิกในครอบครัวคนใดบ้างที่ต้องการการรักษาพยาบาลที่ไม่สามารถจัดการกันเองได้หรือไม่
๕ ในบ้านมีปัจจัยหรือที่หลบภัย เช่น อาหารและน้ำ มากพอจะประทังชีวิตให้อยู่รอดได้จนกว่าภัยธรรมชาตินั้นจะผ่านพ้นไปหรือไม่

หากต้องอพยพ ต้องทราบก่อนว่า
๑ คุณจะไปหลบภัยที่ไหน มีเส้นทางใดบ้างที่จะไปถึงได้ ต้องใช้เวลามากเท่าใด เพราะระหว่างการซักซ้อมกับความจริงมักต่างกันมาก การขับรถ ๑๕ นาที อาจกลายเป็น ๔ ชั่วโมงได้เมื่อเกิดวิกฤติขึ้นจริงเนื่องจากรถติด(เพราะต่างคนก็ต่างรีบไป)
๒ เตรียมอาหารและสิ่งของที่จำเป็นไว้พอสำหรับ ๓ วัน(ยกเว้นภัยพิบัติการปล่อยก๊าซมีเทน)
๓ จะนำสัตว์สัตว์เลี้ยงไปไว้ที่ใด

ข้อปฏิบัติตัวหากจะทำการอพยพ
๑ สนใจฟังประกาศเตือนจากเจ้าหน้าที่รัฐ
๒ ปิดแก๊ส ปิดวาล์วน้ำประปา สับสะพานไฟฟ้า และระวังอย่าให้ตัวเปียกระหว่างปิดอุปกรณ์ไฟฟ้า
๓ ล็อกบ้าน และอย่าลืมนำอุปกรณ์ยังชีพพร้อมเอกสารและรูปถ่ายไปด้วย
๔ หากคุณออกจากบ้านไปก่อนมีการออกประกาศเตือน ควรแจ้งให้เพื่อนบ้าน หรือเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นทราบด้วยว่าคุณจะไปที่ไหน
๕ เติมน้ำมันให้เต็มถังอยู่เสมอพร้อมสำรองบางส่วนเท่าที่จำเป็น(เพราะเวลาฉุกเฉินอาจไม่มีปั๊มไหนเติมได้) เก็บเงินสดไว้บ้างเผื่อจำเป็นฉุกเฉิน และเก็บบัตรประจำตัวหรือทะเบียนบ้านไว้กับตัวในกรณีขออนุญาตเจ้าหน้าที่รัฐกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้งหลังภัยพิบัติสงบลง

หากตัดสินใจจะอยู่ในบ้านต่อไป ต้องพิจารณาก่อนว่า
๑ มีเครื่องป้องกันบริเวณหน้าต่างประตูหรือไม่
๒ ใช้เวลามากเท่าใดในการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันนั้นๆ
๓ มีปัญหาน้ำซึมเข้าบ้านหรือไม่
๔ จะจัดการช่วยเหลือทางการแพทย์ให้สมาชิกในครอบครัวได้อย่างไร
๕ ต้องเก็บอาหารหรือปัจจัยอะไรบ้างไว้ในบ้าน(ดูหัวข้อสิ่งของที่ต้องจัดเตรียมไว้ในบ้าน)
๖ มีความจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์อื่นใดบ้างหลังพายุสงบ
๗ จะจัดเก็บเอกสารสำคัญไว้ที่ใด
๘ ควรบอกให้ญาติพี่น้องที่อยู่ไกลทราบว่าเราตัดสินใจจะอยู่บ้านต่อไปหรือไม่
๙ เตรียมพร้อมที่จะอยู่ในบ้านโดยไม่มีน้ำไฟหรือสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ ได้ถึง ๒ สัปดาห์หรือไม่

การรับมือ
วิธีปฏิบัติเมื่อต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติต่างๆ มีดังนี้
พายุ
๑ ติดตามข่าวสารอย่างต่อเนื่อง
๒ ถอดปลั๊กอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด และปิดแก๊ส
๓ อยู่ในบ้าน ปิดหน้าต่าง ย้ายไปอยู่ในที่ปลอดภัยและมั่นคงที่สุดของบ้าน เช่น ห้องน้ำ ห้องใต้ดิน
๔ หากพายุพัดเข้ามาในบ้านได้ ให้หาอุปกรณ์ในบ้านกำบังตัวเช่น โต๊ะ เตียง ฟูกที่นอน ผ้าห่ม ผ้าใบกันน้ำ
๕ เตรียมพร้อมรับพายุรอบสองเมื่อ “ตาพายุ” ผ่านไป
๖ หากขับรถอยู่ขณะเกิดพายุ ให้หาที่ปลอดภัยเพื่อจอดรถและควรห่างไกลจากสายไฟ ต้นไม้ แม่น้ำ

น้ำท่วม
๑ สับวงจรจ่ายไฟฟ้าในบ้านลง
๒ น้ำเป็นสื่อนำกระแสไฟฟ้าได้ เพราะฉะนั้นให้อยู่ห่างจากสายไฟ อย่าเดินผ่าน หรืออยู่ใกล้สายไฟหรือสัมผัสวงจรไฟฟ้าเมื่อมือเปียก หรือยืนอยู่บนที่เปียกหรือชื้นแฉะ
๓ อาจมีสัตว์ป่าหลุดจากป่า หรือมีสัตว์เลี้ยงที่พลัดจากบ้านในช่วงน้ำท่วม พยายามหลีกเลี่ยงสัตว์เหล่านี้ หรืออย่าพยายามต้อนจับสัตว์เอง หากมีความจำเป็นต้องทำ ให้แจ้งหน่วยงานควบคุมสัตว์ที่อยู่ใกล้ที่สุด
๔ หากถูกสัตว์ใดก็ตามกัด ให้รีบพบแพทย์โดยด่วน และหากถูกงูกัด ต้องระบุให้ได้ว่าเป็นงูชนิดใด เพราะหากเป็นงูพิษจะต้องใช้เซรุ่มต้านพิษงูที่ถูกต้อง
๕ ป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด โดยใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว หรือทายากันยุง

แผ่นดินไหว
๑ หากอยู่ในห้อง ให้หาจุดปลอดภัยภายในห้องเช่น โต๊ะ เก้าอี้ที่มั่นคงซึ่งอยู่ในด้านที่ไม่มีสิ่งของหล่นใส่ได้ เช่น ใกล้เสาหรือคาน และให้อยู่ห่างจากประตู หน้าต่าง ระเบียง ชั้นหนังสือ หรือเครื่องเรือนขนาดใหญ่
๒ หมอบหลบที่พื้นใต้โต๊ะ หรือใต้เก้าอี้ที่แข็งแรง (สำหรับวิธีการอื่นๆ ที่น่ารู้ : ดูสามเหลี่ยมชีวิต)
๓ อยู่ในบ้านหรืออาคารจนกว่าแผ่นดินไหวจะหยุด เพราะอาจเกิดการบาดเจ็บจากสิ่งของหล่นใส่ได้หากวิ่งออกจากจุดเกิดเหตุในทันที
๔ หากอยู่ด้านนอกอาคารให้หมอบลงกับพื้นในที่โล่งกว้าง ห่างจากอาคาร ต้นไม้ และสายไฟฟ้า
๕ หากอยู่ในรถให้ชะลอรถ หาที่ปลอดภัยแล้วจอดรอจนกว่าแผ่นดินไหวจะหยุด ห้ามหยุดใต้สะพาน ทางด่วน หรือเสาไฟฟ้าแรงสูง
๖ อย่าใช้ไฟ หรือสิ่งที่ก่อให้เกิดประกายไฟ เพราะอาจมีแก๊สรั่วระหว่างเกิดแผ่นดินไหว ห้ามใช้ลิฟต์โดยเด็ดขาด
๗ หากอยู่บริเวณชายหาด ให้อยู่ห่างจากชายฝั่งเพราะอาจเกิดคลื่นขนาดใหญ่ซัดเข้าหาฝั่ง และหากได้รับรายงานว่าจะมีคลื่นขนาดใหญ่ซึ่งเกิดจากแผ่นดินไหวซัดเข้าหาฝั่งบริเวณท่าเรือที่มีเรือจอดอยู่ให้นำเรือที่จอดออกทะเลทันที เพราะคลื่นที่อยู่ห่างจากฝั่งจะมีขนาดเล็กกว่าคลื่นที่อยู่ใกล้ฝั่ง

หมายเหตุ : สามเหลี่ยมชีวิต
“สามเหลี่ยมชีวิต” เป็นวิธีป้องกันตัวอีกวิธีหนึ่งเมื่อเกิดแผ่นดินไหวขณะอยู่ในอาคารที่น่าสนใจ ได้รับการทดลองแล้วโดยผู้มีประสบการณ์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติแผ่นดินไหวและอาคารถล่มว่าสามารถเพิ่มอัตราการรอดชีวิตได้ หากปฏิบัติตามอย่างมีสติ 
    หลักการของ “สามเหลี่ยนมชีวิต” คือ บริเวณที่ปลอดภัยสำหรับการป้องกันตัวจากสิ่งของหรือชิ้นส่วนอาคารหล่นใส่ ไม่ใช่บริเวณข้างใต้สิ่งกำบัง (โต๊ะ เตียง เก้าอี้ ฯลฯ) เพราะสิ่งกำบังนั่นเองอาจยุบตัวลงทับตัวเราเมื่อถูกน้ำหนักมหาศาลของตัวอาคารถล่มทับ แต่บริเวณที่ปลอดภัย คือ บริเวณรอบๆ สิ่งกำบัง ซึ่งเมื่อสิ่งของหรือซากอาคารถล่มใส่จะเหลือพื้นที่เล็กๆ ลักษณะเป็นสามเหลี่ยมให้เราสามารถแทรกตัวและรอดชีวิตได้
    ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำว่า หากเราอยู่ในอาคารเมื่อเกิดแผ่นดินไหว แทนที่จะหลบใต้สิ่งกำบัง ให้หมอบลงข้างๆ แทน เช่น ข้างขาโต๊ะ หรือขาเตียง เพราะเมื่ออาคารถล่มลงสิ่งกำบังนั้นจะช่วยค้ำยันชิ้นส่วนอาคารที่หล่นลงมาไม่ให้ทับตัวเราได้

ดินถล่ม
๑ ตื่นตัวพร้อมรับสถานการณ์อยู่เสมอ การตายเพราะดินถล่มมักเกิดขึ้นเวลานอนหลับ
๒ ติดตามข่าวสารจากวิทยุหรือโทรทัศน์เมื่อเกิดฝนตกหนัก
๓ หากอยู่ในพื้นที่ที่สงสัยว่าจะเกิดดินถล่ม ให้รีบอพยพออก แต่จำไว้ว่าหากเดินทางตอนเกิดพายุมักจะมีอันตราย ถ้ายังอยู่ในบ้านให้หลบขึ้นบริเวณชั้นสอง
๔ ตั้งใจฟังเสียงที่เป็นสัญญาณว่ากำลังเกิดดินถล่ม เช่น เสียง ต้นไม้หัก เสียงก้อนหินหล่นกระทบกัน
๕ หากอยู่ใกล้บริเวณที่เป็นช่องทางน้ำไหล หรือลำธารให้ระวังการเปลี่ยนแปลงการไหลของน้ำอย่างฉับพลัน หรือการเปลี่ยนแปลงจากน้ำใสเป็นน้ำโคลนขุ่นข้น
๖ ขับรถด้วยความระมัดระวัง เพราะถนนอาจขาด เต็มไปด้วยโคลนตม หรือก้อนหินที่ถล่มลงมา
๗ ขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานของรัฐ หากตกอยู่ในอันตราย
๘ คอยดูการไหลของน้ำผิวดินที่อยู่ใกล้บริเวณบ้าน
๙ วิธีที่ดีที่สุดคือหลบให้พ้นจากเส้นทางที่ดินถล่ม ไปอยู่ในบริเวณที่ปลอดภัย
๑๐ หากหลบไม่พ้นให้ขดตัวเป็นลูกบอล ท่านี้ช่วยป้องกันร่างกายได้ดีที่สุด

สึนามิ
๑ เมื่อได้รับประกาศเตือนอย่างเป็นทางการให้หลบหนีทันที เพราะเจ้าหน้าที่จะออกประกาศเตือนได้ก็ต่อเมื่อได้รับการยืนยันแล้วว่าจะเกิดสึนามิจริง จึงอาจเหลือเวลาหลบหนีไม่มาก
๒ สังเกตดูความเปลี่ยนแปลงในทะเลอย่างใกล้ชิด หากน้ำทะเลลดระดับมากผิดปกติหลังเกิดแผ่นดินไหว สันนิษฐานได้ว่าอาจเกิดสึนามิตามมา ให้อพยพคนและสัตว์เลี้ยงออกจากบริเวณชายฝั่งไปอยู่ที่สูง
๓ หากเกิดแผ่นดินไหวเมื่อคุณอยู่บริเวณชายหาดพอดี ให้ทำการ “หมอบ” “ป้อง” และ “เกาะ” คือหมอบลงกับพื้น ใช้แขนปกป้องศีรษะและคอ และหาที่เกาะยึดที่มั่นคง เพราะสิ่งสำคัญคือต้องปกป้องตัวเองจากการเกิดแผ่นดินไหวก่อน
๓ เมื่อแผ่นดินไหวสงบ ให้เตือนภัยทุกคนในบริเวณนั้นและหลบหนีขึ้นที่สูงทันที เพราะสึนามิอาจเกิดตามมาในเวลาไม่กี่นาที
๔ หากหากอยู่ที่ท่าเรือให้นำเรือออกจากฝั่งไปกลางทะเล  เพราะคลื่นที่อยู่ห่างจากฝั่งจะมีขนาดเล็กกว่าคลื่นใกล้ชายฝั่ง
๕ รออยู่ในบริเวณที่ปลอดภัยสักระยะหนึ่งก่อน อย่าเพิ่งกลับไปที่ชายฝั่งโดยทันที เพราะอาจมีระลอกคลื่นเกิดซ้ำ

อัคคีภัย
กรณีเกิดไฟป่า
๑ ปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่เมื่อได้รับคำเตือนว่าเกิดไฟป่าและติดตามข่าวสารอยู่เสมอ
๒ นำรถเข้าจอดในโรงรถ หันหน้ารถออกในทางที่จัดไว้ให้เป็นเส้นทางหนีไฟ ปิดประตูหน้าต่าง เสียบกุญแจรถไว้ในช่องสตาร์ต
๓ รวมสัตว์เลี้ยงไว้ในบริเวณเดียวกัน และวางแผนอพยพสัตว์เลี้ยงในกรณีที่จำเป็น

เมื่อได้รับคำแนะนำให้อพยพ ต้องดำเนินการโดยทันที ดังนี้
๑ สวมเสื้อผ้าที่ช่วยป้องกันร่างกาย เช่น รองเท้าหุ้มข้อ เสื้อที่อบอุ่น กางเกงขายาว เสื้อแขนยาว และผ้าเช็ดหน้าสำหรับปิดปากจมูก
๒ นำกระเป๋ายังชีพที่เตรียมไว้ไปด้วย
๓ ล็อกบ้าน และบอกเพื่อนบ้านเอาไว้ในกรณีที่คุณจะอพยพออกไป
๔ เดินทางไปตามเส้นทางหนีไฟ คอนระวังดูการเปลี่ยนแปลงของความเร็วในการลุกลามและทิศทางของไฟและควัน

หากพอมีเวลา ให้ทำตามขั้นตอนนี้เพื่อป้องกันบ้านของคุณ
๑ ปิดหน้าต่าง ช่องระบายลม ประตู บานเกล็ด หรือม่านบังหน้าต่าง และม่านประดับ ถอดม่านที่มีน้ำหนักเบาออกไป
๒ เคลื่อนย้ายเครื่องเรือนที่ติดไฟง่ายไปไว้กลางบ้าน ให้ห่างจากหน้าต่างหรือประตูกระจกบานเลื่อน
๓ เปิดไฟทุกห้องเพื่อให้คนภายนอกหาบ้านของคุณพบหากเกิดควันไฟหนาทึบ
๔ ต่อสายยางกับหัวก๊อกนอกบ้าน
๕ วางสายฉีดสปริงเกลอร์บนหลังคาและที่ใกล้กับถังเชื้อเพลิง เปิดน้ำให้หลังคาเปียก
๖ ฉีดน้ำใส่ต้นไม้บริเวณรอบบ้านในระยะสิบห้าฟุตให้ชุ่ม
๗ นำอุปกรณ์ช่วยดับเพลิงมาวางไว้ด้วยกัน

กรณีเกิดเพลิงไหม้บ้านหรืออาคาร
หลังเกิดเหตุภัยพิบัติ เช่น แผ่นดินไหว หรือสึนามิที่ก่อความเสียหายให้ตัวอาคารและบ้านเรือน อาจเกิดอัคคีภัยตามมาได้ เนื่องจากการรั่วไหลของเชื้อเพลิงตามจุดต่างๆ หากเกิดเหตุขึ้นให้ตั้งสติ และปฏิบัติตามขั้นตอนนี้เพื่อความปลอดภัย
๑ สกัดจุดเกิดเหตุ ปิดประตูหน้าต่างห้องที่เกิดเพลิงไหม้ให้สนิทที่สุดเพื่อป้องกันการลุกลามของเพลิง แต่ต้องแน่ใจว่าไม่มีใครติดอยู่ข้างใน แล้วรีบวิ่งหนีออกมา
๒ แจ้งเหตุส่งสัญญาณ เปิดสัญญาณเตือนเพลิงไหม้ หากไม่มีอุปกรณ์แจ้งเหตุฉุกเฉิน ให้ช่วยกันตะโกนดังๆ หลายๆ ครั้งว่า “ไฟไหม้” จากนั้นรีบโทรศัพท์เรียกหน่วยดับเพลิงทันที
๓ อย่าลนลานหาทางหนี ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ให้มองทางหนีไฟไว้อย่างน้อย ๒ ทาง พร้อมสังเกตอุปกรณ์ช่วยชีวิตและอุปกรณ์หนีไฟไว้ด้วยว่าอยู่ตรงไหนและใช้อย่างไร อย่าใช้ลิฟต์และบันไดเลื่อนขณะเกิดไฟไหม้ เพราะอุปกรณ์เหล่านี้จะหยุดการทำงานเนื่องจากไม่มีกระแสไฟฟ้า ให้ใช้บันไดหนีไฟเท่านั้น
๔ จะให้ดีต้องตรวจสอบ หากอยู่ในอาคารที่มีเพลิงไหม้ก่อนจะเปิดประตูให้นั่งชันเขาให้มั่นคงหลังประตู ใช้หลังมือแตะที่ลูกปิดประตู ถ้ามีความร้อนสูงแสดงว่ามีเพลิงไหม้อยู่บริเวณใกล้ๆ อย่าเปิดประตูโดยเด็ดขาด แต่หากลูกบิดไม่ร้อน ให้ค่อยๆ บิดออกช้าๆ โดยใช้ไหล่คอยหนุนประตูไว้
๕ คลานหมอบใต้ควัน หากต้องฝ่าควันไฟ ให้ใช้ผ้าหรือผ้าห่มชุบน้ำชุ่มๆ ปิดจมูกไว้ แล้วคลานต่ำๆ และหนีไปยังทางออกฉุกเฉิน เพราะอากาศที่พอหายใจได้จะอยู่ด้านล่างเหนือพื้นห้องไม่เกิน ๑ ฟุต และควรเตรียมหน้ากากหนีไฟฉุกเฉิน หรืออาจใช้ถุงพลาสติกใสขนาดใหญ่ตักอากาศบริสุทธิ์ แล้วคลุมศีรษะหนีฝ่าควันออกมา เพราะการคลานต่ำจะไม่สามารถทำได้จากชั้นบนลงชั้นล่างที่มีควัน
๖ อย่าหวั่นเมื่อติดกับ หากติดอยู่ในวงล้อมของไฟ ให้โทรศัพท์แจ้งหน่วยดับเพลิงว่าท่านอยู่ที่ตำแหน่งใดของเพลิงไหม้แล้วหาทางช่วยเหลือตัวเองโดยปิดประตูให้สนิท หาผ้าหนาๆ ชุบน้ำอุดตามช่องที่ควันเข้าได้ เช่น ใต้ประตูหรือช่องลมต่างๆ ปิดพัดลมและเครื่องปรับอากาศ แล้วเปิดหน้าต่างส่งสัญญาณด้วยการโบกผ้า และตะโกนขอความช่วยเหลือ
๗ ดับไฟไหม้ตัว หากมีไฟลามติดตัวหรือเสื้อผ้า อย่าวิ่ง! เพราะไฟจะลุกลามเร็วขึ้น ให้หยุด ทรุดกาย แล้วกลิ้งกับพื้นเพื่อดับไฟ พร้อมเอามือปิดหน้า
๘ รวมตัว ณ จุดหมาย เมื่อหนีจากที่เกิดเหตุได้แล้ว ให้ไปรวมพลยังจุดนัดพบหรือสถานที่ที่ใกล้จุดเกิดเหตุ เพื่อตรวจสอบจำนวนคนและหาผู้ที่ยังติดค้างอยู่

วิธีการใช้ถังดับเพลิง
“ดึง-ปลด-กด-ส่าย”
๑ ดึง หมายถึง ดึงสลักล็อกออก
๒ ปลด หมายถึง ปลดสายฉีด ชี้ปลายไปที่ฐานไฟ วิธีการจับสายฉีด ใช้มือข้างไม่ถนัดุจับให้หัวแม่มือชี้ระนาบไปทิศทางเดียวกับปลายสาย ปลายหัวแม่มือห่างจากปลายสายประมาณ ๑-๒ ซ.ม. นิ้วทั้งสี่กำสายให้แน่น
๓ กด หมายถึงกดคานเพื่อปล่อยน้ำยาจากถัง วิธีการยกถังและกดคาน ให้ใช้นิ้วชี้ นิ้วนาง นิ้วกลาง นิ้วก้อย เรียงชิดติดกันสอดคานล่าง (ส่วนมือจับตัวล่าง)ใช้ฝ่ามือด้านหัวแม่มือวางระนาบบนคานบน (ส่วนมือจับตัวบน) หัวแม่มือชี้ตรงไปกับคาน ใช้แรงจากต้นหัวแม่มือกดคานทั้งสองเข้าหากัน
๔ ส่าย หมายถึง ส่ายสายฉีดไปมาให้น้ำยาดับเพลิงกระจายทั่วฐานไฟ

เยียวยา
วิธีปฏิบัติหลังเกิดภัยพิบัติแยกตามประเภทของภัยพิบัติ ดังนี้
พายุ
๑ ติดตามข่าวสารต่อไป
๒ อย่าออกไปข้างนอกจนกว่าจะได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่พยากรณ์อากาศว่าปลอดภัยแล้ว เพราะอาจมีพายุอีกลูกพัดผ่านมาในเส้นทางเดียวกัน
๓ หากคุณอพยพออกไปแล้ว อย่ากลับเข้าบ้านจนกว่าจะได้รับการยืนยันว่าปลอดภัย และเมื่อจะกลับบ้านให้ใช้เส้นทางที่ได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ และเดินทางอย่างมีสติ
๔ อย่าใช้โทรศัพท์โดยไม่จำเป็น โทร.เบอร์ฉุกเฉินเฉพาะเมื่อได้รับบาดเจ็บร้ายแรงหรือต้องการความช่วยเหลือเท่านั้น
๕ ระวังสายไฟฟ้าที่ขาด ซากต้นไม้ อาคารชำรุด เศษซากปรักหักพัง หลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีน้ำท่วม
๖ อย่าเปิดไฟจนกว่าจะแน่ใจได้ว่าปลอดภัยและอย่าเปิดไฟหากตัวเปียกน้ำ
๗ อย่าออกเดินเพ่นพ่าน หลีกเลี่ยงการใช้ถนนเพื่อหน่วยฉุกเฉินจะได้ใช้เดินทางไปให้ความช่วยเหลือได้สะดวก
๘ ติดต่อบริษัทประกันเพื่อขอคำแนะนำสำหรับความเสียหาย(กรณีทำประกันไว้)

น้ำท่วม
๑ ล้างมือด้วยสบู่และน้ำที่ต้มหรือฆ่าเชื้อเสมอเมื่อจะปรุงอาหาร รับประทานอาหาร และหลังจากเข้าห้องน้ำ หรือหลังจากสัมผัสกับน้ำที่ท่วมและน้ำโสโครก
๒ ช่วยกันทำความสะอาดชุมชนเมื่อเหตุการณ์น้ำท่วมผ่านไป
๓ คอยฟังประกาศเรื่องความปลอดภัยของน้ำประปาแถวบ้าน แหล่งน้ำสาธาณะที่ถูกน้ำท่วมจะต้องมีการทดสอบและฆ่าเชื้อหลังเหตุน้ำท่วม หากตรวจพบอะไรน่าสงสัยให้รีบแจ้งหน่วยงานสาธารณสุขในท้องถิ่น
๔ น้ำดื่มที่ปลอดภัย คือน้ำบรรจุขวด น้ำต้มหรือผ่านกระบวนการแล้ว ซึ่งหน่วยงานด้านสาธารณสุขในท้องถิ่นสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีทำความสะอาดน้ำแก่คุณได้

แผ่นดินไหว
๑ ตรวจดูตัวเองและคนข้างเคียงว่าบาดเจ็บหรือไม่ และทำการปฐมพยาบาล
๒ หลังแผ่นดินไหวสงบให้ออกจากอาคารทันที เพราะอาจเกิดแผ่นดินไหวซ้ำได้
๓ เมื่อจะออกจากอาคาร ให้ตั้งสติ อย่าแตกตื่น และอย่าไปออกันที่ทางออก
๔ หากออกจากอาคารไม่ได้ ให้หลบอยู่ใต้โต๊ะ หรืออยู่ชิดกับโครงสร้างอาคารที่แข็งแรง เช่น เสา
๕ ตรวจดูว่ามีแก็สรั่วไหลหรือไม่ด้วยการดมกลิ่นเท่านั้น และปิดวาล์วน้ำ วาล์วแก๊ส และสะพานไฟฟ้า
๖ คอยติดตามข่าวการเกิดภัยพิบัติอย่างใกล้ชิด เตรียมพร้อมสำหรับการอพยพออกนอกพื้นที่ประสบเหตุ
๗ ใช้โทรศัพท์เท่าที่จำเป็นและโทร.เข้าเบอร์ฉุกเฉินเฉพาะเมื่อต้องการความช่วยเหลือเท่านั้น
๘ สวมรองเท้าหุ้มส้นที่มีพื้นรองเท้าหนาเพื่อป้องกันเศษกระจกบาด และสวมเสื้อผ้าหนาๆ 

ดินถล่ม
๑ อยู่ให้ห่างจากบริเวณที่เกิดเหตุดินถล่ม เพราะอาจเกิดเหตุซ้ำได้
๒ ตรวจดูว่ามีใครติดอยู่ในบริเวณดินถล่มหรือไม่ แล้วแจ้งให้ผู้ช่วยเหลือทราบ โดยไม่พยายามเข้าไปในพื้นที่ด้วยตัวเอง
๓ ติดตามฟังข่าวสารอย่างต่อเนื่อง
๔ ให้ระมัดระวังว่าจะเกิดน้ำท่วมซ้ำ เพราะน้ำท่วมมักมาพร้อมกับดินถล่ม
๕ ตรวจตราดูว่ามีสาธารณูปโภคจุดใดบ้างที่เกิดความเสียหาย แล้วแจ้งให้เจ้าหน้าที่มาซ่อมแซม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายตามมา เช่น ความเสียหายที่มีต่อเสาไฟฟ้า ท่อประปา ฯลฯ
๖ รีบทำการปลูกพืชคลุมหน้าดินหลังเกิดเหตุ เนื่องจากหน้าดินที่ไม่มีสิ่งปกคลุมอาจก่อให้เกิดอันตรายเมื่อมีเหตุน้ำท่วมฉับพลันได้

สึนามิ
๑ ติดตามข่าวสารภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง
๒ ทำการปฐมพยาบาลผู้ได้รับบาดเจ็บ ให้ความช่วยเหลือเด็ก คนชรา และผู้ที่ติดอยู่ตามสถานที่ต่างๆ 
๓ โทร.เบอร์ฉุกเฉินเมื่อจำเป็นถึงแก่ชีวิตเท่านั้น เพื่อให้สายฉุกเฉินว่างสำหรับเปิดรับสายที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน
๔ หลีกเลี่ยงสายไฟที่ขาด รวมทั้งตึกและสะพาน เพราะสิ่งก่อสร้างที่ไม่มั่นคงจะเป็นอันตรายได้ในกรณีเกิดอาฟเตอร์ช็อก
๕ อยู่ห่างจากอาคารที่มีน้ำท่วมอยู่รอบๆ เพราะคลื่นสึนามิอาจทำลายโครงสร้างพื้นฐานของอาคารทำให้พื้นแตก หรือกำแพงภายในอาจเกิดการถล่มได้
๖ จะกลับบ้านได้ก็ต่อเมื่อเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแจ้งว่าปลอดภัยแล้ว เพราะการเดินทางเข้าออกบริเวณที่มีความเสียหายนอกจากจะเป็นอันตรายต่อตัวเองแล้ว ยังอาจไปขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ที่กำลังให้ความช่วยเหลืออยู่ก็ได้
๗ เมื่อกลับเข้าบ้านให้สวมรองเท้าหุ้มข้อเพื่อป้องกันเท้าบาดเจ็บ ใช้ไฟฉายตรวจสอบความเสียหายแทนเทียนหรือตะเกียงที่อาจทำให้เกิดอัคคีภัยได้ หากมีแก๊สรั่ว
๘ ตรวจดูกำแพง พื้น ประตู หน้าต่าง บันได และเพดานว่ามีแนวโน้มจะพังทลายลงมาหรือไม่
๙ ตรวจดูฐานรากของบ้านว่าได้รับความเสียหายหรือไม่ เพื่อประเมินว่าปลอดภัยพอจะกลับเข้ามาอยู่อาศัยได้
๑๐ ตรวจดูว่าเกิดความเสียหายกับระบบน้ำ ไฟ แก๊สในบ้านหรือไม่ หากมีให้รีบปิดวาล์วน้ำ วาล์วถังแก๊ส หรือสับสะพานไฟ หากต้องการใช้น้ำในบ้านต้องให้แน่ใจว่าระบบท่อน้ำไม่ได้เสียหายหรือปนเปื้อน ทางที่ดีควรใช้น้ำที่ต้มแล้ว
๑๑ ระวังสัตว์ป่า หรือสัตว์เลื้อยคลานที่มากับน้ำ ซึ่งอาจซ่อนตัวอยู่ตามเศษซากสิ่งของในบ้าน
๑๒ ทำความสะอาดบ้านและเปิดประตูหน้าต่างเพื่อให้บ้านแห้งเร็วขึ้น
๑๓ ทิ้งอาหารที่สัมผัสกับน้ำไป เพราะอาจมีการบนเปื้อน

การเตรียมพร้อมรับมือกับการปล่อยก๊าซมีเทนและไฮโดรเจนซัลไฟด์
    ภาวะโลกร้อนที่กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังส่งสัญญาณบางอย่าง ให้มวลมนุษย์เตรียมพร้อมรับกับจุดวิกฤตขั้นร้ายแรงที่คาดว่าจะเกิดขึ้น แม้นักวิทยาศาสตร์ไม่อาจระบุวันเวลาได้ชัดเจนมากนักของภัยพิบัติในครั้งนี้ แต่เราในฐานะมนุษย์ไม่ควรประมาทและต้องมีการเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ใดๆ ที่อาจเกิดขึ้น ภาวะโลกร้อนอาจก่อให้เกิดน้ำท่วม ภัยแล้ง พายุ ดินถล่ม คลื่นความร้อน ไฟป่า หิมะตกหนัก สภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนไปแบบสุดขั้วจนถึงจุดวิกฤตที่เรียกกันว่าสถานการณ์ “วันโลกาวินาศ” นั่นคือการปลดปล่อยก๊าซมีเทนและไฮโดเจนซัลไฟด์จากท้องมหาสมุทรปริมาณมหาศาล จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า “การสูญพันธุ์” ครั้งใหญ่ของสิ่งมีชีวิตในโลก ๕ ครั้งทีผ่านมาส่วนใหญ่มาจากการปล่อยก๊าซมีเทนและไฮโรเจนซัลไฟด์ที่สะสมอยู่ตามธรรมชาติอย่างฉับพลัน โดยแหล่งกักเก็บขนาดใหญ่ของมันคือมหาสมุทรนั่นเอง
    ภาวะโลกร้อนที่เตลิดจนไม่สามารถควบคุมได้นี้ไม่เคยเกิดขึ้นในช่วงของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่มีหลักฐานว่ามันเป็นสาเหตุของการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์เมื่อครั้งบรรพกาล ปัจจุบันยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในวงกว้างของจุดวิกฤตินี้ นักพยากรณ์หลายสำนักคาดการณ์ว่ามันอาจจะเกิดขึ้นในตอนสิ้นปี ค.ศ. ๒๐๑๒ หรือต้นปี ๒๐๑๓ ที่จะถึง นั่นหมายความว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะเพิ่มสูงขึ้น ๕-๖ องศาเซลเซียสภายในระยะเวลาดังกล่าว ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่คาดการณ์ไว้ในแบบจำลองของ IPCC ด้วย ดังนั้นเราควรเตรียมพร้อมรับมือล่วงหน้าดังนี้
๑ เตรียมจิตใจด้วยการฝึกสติ
๒ เตรียมร่างกายด้วยการฝึกฝนการเป็นมนุษย์กินอากาศหรืออยู่ด้วยพลังปราณ เพราะเมื่อเกิดการปลดปล่อยก๊าซมีเทนและก๊าซไฮโดรเจซัลไฟส์อย่างฉับพลัน(ก๊าซพิษที่รุนแรงพอๆ กับไซยาไนด์กลิ่นคล้ายไข่เน่า ไม่สามารถสัมผัสและหากสูดดมเข้าไปอาจถึงขั้นเสียชีวิต)จากมหาสมุทรสู่ชั้นบรรยกาศ มันจะทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหมดทั้งบนบกและในทะเล ส่วนสิ่งมีชีวิตที่รอดมาก็จะเกิดการผ่าเหล่าทางดีเอ็นเอจากการที่มันไปทำลายชั้นโอโซนจนรังสีอัลตราไวโอเล็ตผ่านมาได้มากกว่าปกติ พืชเกือบทั้งหมดจะสูญพันธุ์จากอุณหภูมิที่สูงสุดขั้ว ทำให้มนุษย์หรือสัตว์ที่รอดมาได้จะขาดแคลนอาหารและน้ำดื่มที่สะอาดในการบริโภค ขณะที่การเพาะปลูกก็ไม่สามารถทำได้(บนพื้นดินอาศัยอยู่ไม่ได้) กอปรกับก๊าซมีเทนที่เข้มข้นมากจะเข้ามาแทนที่ออกซิเจนที่มนุษย์และสัตว์ใช้ในการหายใจทำให้เกิดภาวะ ”ขาดออกซิเจน” อากาศเป็นพิษเนื่องจากก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์และขาดออกซิเจนจากก๊าซมีเทนปริมาณมหาศาลที่เข้ามาแทนที่ ทำให้อากาศบนโลก ณ เวลานั้นเป็นอันตรายอย่างมากไม่สามารถใช้ในการหายใจหรือดำรงชีพได้สำหรับมนุษย์อีกต่อไป
๓ เตรียมสถานที่หลบภัย เนื่องจากอากาศเป็นพิษที่ลอยอยู่เหนือพื้นดินประมาณ ๑ ฟุต สถานที่ปลอดภัยที่สุดจึงเป็นบริเวณใต้ดิน ควรทำการขุดหลุมหรือสร้างที่หลบภัยโดยเริ่มจากระดับความลึกตั้งแต่ ๓-๖ เมตรจากพื้นผิวดินลงไปสร้างเป็นห้องสำหรับอยู่อาศัยชั่วคราว มีรูระบายอากาศเล็กๆ และเครื่องกรองอากาศ รวมทั้งสามารถป้องกันอากาศที่เป็นพิษจากด้านบนมิให้ซึมเข้ามาได้ สิ่งที่พึงสังวรณ์อีกข้อคือเมื่อภาวะโลกร้อนถึงขั้นวิกฤตอาจทำให้โลกสูญเสียธารน้ำแข็งทั้งขั้วโลกเหนือและใต้ไปเหมือนเมื่อครั้งในอดีต คำนวณได้ว่าระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้นเกือบ ๑๐๐ เมตร ดังนั้นจุดที่จะขุดสร้างที่หลบภัยต้องอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล ๑๐๐ เมตรขึ้นไป(สามารถตรวจสอบได้จากแผนที่ทางภูมิศาสตร์) หรือควรห่างจากชายฝั่งทะเลไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ ไมล์ (๓๒๐ กิโลเมตร) นอกจากนั้นอาจใช้ถ้ำตามธรรมชาติที่มีทำเลเหมาะสมตรงตามเงื่อนไขข้างต้นได้เช่นกัน พร้อมกับจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นในการยังชีพทุกอย่างสำหรับเวลาประมาณ ๑๐-๑๒ ปี (จะต้องทำการสำรวจล่วงหน้า)
๔ เตรียมถุงยังชีพให้พร้อมอยู่ตลอดเวลาตามข้อมูลเบื้องต้นที่กล่าวไปแล้วโดยคุณจะต้องใช้เวลาอยู่ในที่หลบภัยยาวนานประมาณ ๑๐-๑๒ ปี เท่ากับช่วงวงจรชีวิตของก๊าซมีเทนในชั้นบรรยากาศ เนื่องจากก๊าซมีเทนจะถูกออกซิไดซ์กลายเป็นคาร์บอนไดออกไซด์และไอน้ำภายในระยะเวลานี้ คุณจึงสามารถออกมาจากสถานที่หลบภัยได้และใช้ชีวิตได้ตามปกติ
๕ ติดตามข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับภาวะโลกร้อนอย่างใกล้ชิด เนื่องจากก๊าซมีเทนและไฮโดเจนซัลไฟด์สะสมอยู่ในทะเลเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นควรติดตามข้อมูลทางทะเลเป็นหลัก เช่น ภาวะความเป็นกรดของน้ำทะเล การฟอกขาวของปะการัง การตายของสิ่งมีชีวิตจำนวนมากทางทะเล การระเบิดของก๊าซมีเทน อุณหภูมิของน้ำทะเล หรือประกาศจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
๖  กรณีสถานที่หลบภัยอยู่ไกลจากบ้านต้องมีการเดินทางควรศึกษาเส้นทางหลายๆ สายเพื่อไปถึงจุดนั้นได้ทันท่วงที ควรเลือกเส้นทางที่ไม่ใช่ทางสายหลักเพื่อเวลาฉุกเฉินจะไม่ต้องเสียเวลาเพราะรถติดจนไม่สามารถหนีภัยพิบัติได้ทัน
๗ ควรเตรียมหน้ากากป้องกันมลพิษทางอากาศ เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ถุงมือ รองเท้าหุ้มส้น เพื่อไม่ให้ร่างกายสัมผัสกับก๊าซพิษในเวลาฉุกเฉิน
๘ ถ้าเป็นไปได้ควรซื้ออุปกรณ์วัดการรั่วของก๊าซมีเทนและศึกษาข้อมูลอันตรายและการป้องกันก๊าซมีเทนและก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์เพิ่มเติม รวมทั้งการอาศัยอยู่ภายในใต้ดินอย่างปลอดภัยในภาวะที่อากาศเป็นพิษ
๙ สำหรับจุดวิกฤตของการเริ่มต้นภัยพิบัติจากภาวะโลกร้อน ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้เผยแพร่เอาไว้หน้าแรก ด้านขวามือบน ซึ่งหมายถึงเวลานับถอยหลัง(Count down) ให้กับผู้ที่มีความศรัทธาใช้ในการอ้างอิงหรือตัดสินใจที่ www.SupremeMasterTV.com(เวลาที่มีการปลดปล่อยก๊าซจากมหาสมุทรหรือวันโลกาวินาศ)
๑๐ หากคุณไม่สามารถอยู่ได้โดยพลังปราณ คุณต้องสามารถสร้างพลังงานใช้เองได้และเก็บกักตุนอาหารหรือน้ำจำนวนมากหรือใช้การเพาะปลูกภายในใต้ดินได้(เป็นเรื่องยาก)เพื่อใช้เป็นอาหารในการดำรงชีพตลอดนับ ๑๐ ปี คุณอาจต้องเสาะหาแหล่งน้ำใต้ดินและประยุกต์การเพาะปลูกโดยไม่มีการสังเคราะห์แสง ยกเว้นคุณสามารถสร้างดวงอาทิตย์หรือแหล่งพลังงานเทียมขึ้นมาได้ หรือคุณสามารถแยกออกซิเจนจากแหล่งน้ำใต้ดินเพื่อใช้ในการหายใจ ฯลฯ

Emergency Line

ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ                 1860,0-2589-2497 ต่อ 24
สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพ    199, 0-2354-6858
ตำรวจนครบาล/แจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย          191, 0-2246-1338-42
ศูนย์ดับเพลิงศรีอยุธยา                    199
กองบังคับการตำรวจทางหลวง                1193
ศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว                 1155
เหตุฉุกเฉิน อาชญากรรม กองปราบปราม      1195
ศูนย์ส่งกลับและรถพยาบาลโรงพยาบาลตำรวจ    1691, 0-2255-1133-6
ศูนย์แจ้งอุบัติภัย กองทัพเรือ                 1696
แจ้งเหตุทางน้ำ กองบัญชาการตำรวจ           1196
แจ้งเหตุด่วนทางน้ำ ศูนย์ปลอดภัยทางน้ำ            1199
แจ้งเหตุฉุกเฉิน อุบัติภัยสารเคมี กรมควบคุมมลพิษ    1650
ศูนย์ประสานงานฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง               0-2226-4444
สายด่วนแจ้งเหตุสาธารณภัย (ปภ.)                 1784
ศูนย์ร้องทุกข์กรุงเทพมหานคร                    1555

หน่วยกู้ภัย
ศูนย์นเรนทร กระทรวงสาธารณสุข              1669
หน่วยแพทย์กู้ชีวิต วชิรพยาบาล                1554
ศูนย์กู้ภัยโยธิน                        0-2901-6232 กด 0
มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง                        0-2226-4444
มูลนิธิร่วมกตัญญู                       0-2751-0951-3
ศูนย์หัวเฉียวพิทักษ์ชีพโรงพยาบาลหัวเฉียว        0-2223-1774
ศูนย์กู้ชีพนเรนทร โรงพยาบาลราชวิถี            0-2248-2222
ศูนย์ปลอดภัยคมนาคม                        1356
ศูนย์ค้นหาและช่วยชีวิตกองทัพอากาศ            0-2534-4267, 0-2534-1911

แจ้งเหตุรายการวิทยุ
สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน                
FM 92.50 MHz                        1677
สถานีวิทยุ สวพ.91                      1644
สถานีวิทยุ จส.100                      1137

สอบถามข้อมูล
ลมฟ้าอากาศ
สำนักพยากรณ์อากาศ                         0-2399-4012-3,
กรมอุตุนิยมวิทยา กทม. (ตลอด 24 ชั่วโมง)        0-2398-9830
ศูนย์บริการข่าวอากาศ
กรมอุตุนิยมวิทยา                       1182, 0-2399-4566
ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ
อ.เมือง จ.เชียงใหม่                     0-5327-7919
ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
อ.เมือง จ.อุบลราชธานี                    0-4524-4189, 0-4524-4108
ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันออก
อ.เมือง จ.สงขลา                        0-7431-1760, 0-7431-4715
ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันตก
สนามบิน จ.ภูเก็ต                       0-7632-7191
สถานีวิทยุแห่งประเทศไทย                AM 891 kHz,
                            AM 819 kHz , FM 92.5 MHz
                            และ FM 93.5 MHz

แผ่นดินไหวและสึนามิ
สำนักแผ่นดินไหว                    0-2399-4547, 0-2399-0965
กรมอุตุนิยมวิทยา กทม.                    www.tmd.go.th
เว็บไซต์        

ดิน-โคลนถล่ม                        0-2202-3610, 0-2202-3611
ศูนย์ธรณีพิบัติภัย                www.dmr.go.th/geohazard/landslide/
				
28 มกราคม 2554 19:51 น.

สุพรีมมาสเตอร์เทเลวิชั่น....

คีตากะ

gse_multipart54768.jpgเกี่ยวกับเรา
    โทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ (Supreme Master Television) เป็นสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมออกอากาศ ๒๔ ชั่วโมงต่อวัน ๗ วันต่อสัปดาห์ ด้วยรายการหลากหลายน่าดึงดูดใจในภาษาอังกฤษ พร้อมอักษรบรรยายมากกว่า ๔๒ ภาษา เป็นสถานีโทรทัศน์ในอุดมคติที่นำคุณธรรมอันสูงส่งและความสุขแห่งจิตวิญญาณมาสู่ชีวิตของท่าน แพร่ภาพออกอากาศผ่านดาวเทียม ๑๔ ดวงทั่วโลก
    โทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ทีวีเป็นทีวีช่องสร้างสรรค์นานาชาติที่มุ่งนำเสนอตัวอย่างที่ส่งเสริมสันติภาพในมวลมนุษย์และวิถีชีวิตที่สูงส่ง สนับสนุนงานที่ดีและการกระทำที่สันติ รายการที่หลากหลายของโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ทีวี มีตั้งแต่รายการบันเทิงและภาพยนต์ไปจนถึงข่าวและสารคดี วิถีชีวิตและวัฒนธรรม พร้อมกับรายการใหม่ๆ ที่มีสาระ ที่สำคัญคือรายการคลอบคลุมถึงวิธีที่มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาใหญ่ของโลกเวลานี้คือปัญหาโลกร้อน การสัมภาษณ์นักวิทยาศาสตร์นาซ่าและผู้ได้รับรางวัลโนเบล ผู้นำในรัฐบาลและผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม
    ตั้งแต่ก่อตั้งสถานีขึ้นมา สุพรีมมาสเตอร์เทเลวิชั่น ได้ทุ่มเทให้กับการนำเสนอรายการโทรทัศน์ในแง่บวกให้แก่ผู้ชมตั้งแต่การถ่ายทอดเหตุการณ์ส่งเสริมสันติภาพ การสัมภาษณ์ประธานาธิบดีและดารานักแสดง และงานที่ไม่ธรรมดาของบุคคลทั่วไป โดยสุพรีมมาสเตอร์เทเลวิชั่น ทำหน้าที่เป็นสะพานช่วยเสริมสร้างความเข้าใจระหว่างแต่ละเชื้อชาติและวัฒนธรรมซึ่งมีความงดงามแตกต่างกันไป ได้รับความไว้วางใจจากผู้ชมทั่วโลก
    ปัจจุบันออกอากาศเป็นภาษาอักฤษพร้อมมีอักษรบรรยายมากกว่า ๔๐ ภาษา ได้แก่ ภาษาอาหรับ ,เอาหลัก(เวียดนาม) ,บัลแกเรีย ,จีน , โครเอเชีย, เชค , ดัช, เอสโทเนีย, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, กรีก, กุจารัต, ฮิบรู, ฮินดิ, ฮังการี, อินโดนีเซีย, อิตาลี, ญี่ปุ่น, เกาหลี, มาเลย์, มองโกเลีย, เปอร์เซีย, โปแลนด์, โปรตุเกส, ปันจาบ, โรมาเนีย, รัสเซีย, สิงหล, สโลวาเนีย, สเปน, สวีเดน, ทามิล, ไทย, ตุรกี, อูร์ดู, ซูลู และภาษาอื่นๆ ที่จะเพิ่มขึ้น
    สุพรีมมาสเตอร์เทเลวิชั่น ได้เผยแพร่ในสิ่งพิมพ์ชั้นนำของโลกเช่น TIME magazine, USA Today, The Guardian, Frankfurter Allgemeine, Le Monde และอีกมากมาย
    อันโตนิโอ วิลลาไรโกซา นายกเทศมนตรีนครลอสแองเจลิส กล่าวว่า “สุพรีมมาสเตอร์เทเลวิชั่น ได้นำเสนอโทรทัศน์ทางเลือกให้กับผู้ชม ด้วยการส่งเสริมรายการโทรทัศน์เพื่อสันติภาพ ความสมัครสมานสามัคคี และความรัก ทั้งนี้ สุพรีมมาสเตอร์เทเลวิชั่น ช่วยกระตุ้นให้เรามีมนุษยธรรมและร่วมกันสร้างโลกที่ดีขึ้น เพื่อตัวเราเองและเพื่อลูกหลานในอนาคต”


Supreme-Master-TV-banner1.jpg



รายการที่สถานีโทรทัศน์ สุพรีมมาสเตอร์ เทเลวิชั่น แพร่ภาพอยู่ในปัจจุบัน ได้แก่
-    Noteworthy News นำเสนอข่าวจากทั่วโลกในเชิงสร้างสรรค์ เพื่อเป็นการยกระดับจิตใจและกระตุ้นให้ผู้คนตระหนักถึงความสำคัญของสังคม

-    Words of Wisdom เป็นรายการที่เผยแพร่คำสอนจากท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ นักมนุษยธรรม ผู้นำทางจิตวิญญาณและศิลปินชื่อดังของโลก ซึ่งจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจและยกระดับจิตใจของผู้ชม

-    A Journey through Aesthetic Realms เป็นรายการเพื่อความบันเทิงที่นำเสนอสิ่งที่น่าสนใจจากทั่วโลก โดยมีผู้ชมในสหรัฐอเมริกา ๙๐ ล้านคนและเคยได้รับรางวัลมาแล้ว

-    Vegetarianism : The Noble Way of Living เป็นรายการที่แนะนำการดำรงชีวิตแบบผู้รับประทานมังสวิรัติโดยมีรายการทำอาหาร การสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และโภชนาการ รวมถึงดารานักแสดงชื่อดัง

-    Music & Poetry นำเสนอการร่ายบทกวีและการบรรเลงบทเพลงอันไพเราะโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่และศิลปินชื่อดังคนอื่นๆ

-    Animal World : Our Co-Inhabitants นำเสนอวิธีการดูแลและให้ความรักแก่สัตว์เลี้ยงของเรา นอกจากนั้นยังนำเสนอเรื่องราวอันซาบซึ้งของสัตว์ที่มีความเฉลียวฉลาดและซื่อสัตย์ต่อมนุษย์

-    Planet Earth : Our Loving Home เป็นรายการแนะนำแนวทางการอนุรักษ์แหล่งธรรมชาติอันงดงามบนโลกของเรา ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนต้องร่วมกันอนุรักษ์ธรรมชาติและผืนแผ่นดินที่เราเรียกว่าบ้าน

-    Between Master and Disciples นำเสนอการพูดคุยในประเด็นต่างๆ ระหว่างท่านอนุตราจารย์ชิงไห่กับนักปฏิบัติด้านจิตวิญญาณ ตั้งแต่เรื่องชีวิตประจำวันไปจนถึงความลับของจักรวาลและอีกมากมาย

-    Healthy Living ให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการสร้างความสมบูรณ์และแข็งแรงของร่างกาย

-    Cinema Scene เป็นรายการแนะนำภาพยนต์ใหม่ล่าสุด รวมถึงภาพยนต์คลาสสิคและภาพยนต์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ชม

-    Vegetarian Elite นำเสนอวิถีชีวิตของผู้รับประทานมังสวิรัติทั้งในอดีตและปัจจุบัน

-    The World Around Us ร่วมเดินทางไปทั่วโลกเพื่อค้นหาสถานที่แห่งจิตวิญญาณซึ่งคุ้มค่าที่จะไปเยือน

-    Models of Success เปิดเผยเรื่องราวของบุคคลที่ประสบความสำเร็จในการช่วยเหลือโลกและส่วนรวม

-    Enlightening Entertainment ชมบทสัมภาษณ์ภาพยนต์และสารคดี ที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจ ยกระดับจิตวิญญาณ และหล่อเลี้ยงจิตใจของผู้ชม

-    Science & Spirituality ค้นหาความสัมพันธ์และความคล้ายคลึงกันระหว่างวิทยาศาสตร์และจิตวิญญาณซึ่งมีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

-    Good People, Good Works ยกย่องวีนบุรุษและวีรสตรีซึ่งให้ความช่วยเหลือผู้อื่นและพยายามสร้างสังคมที่ดีขึ้นกว่าเดิมสำหรับทุกคน

-    Our Noble Lineage เป็นรายการที่สะท้อนวัฒนธรรม ศาสนา และรากฐานแห่งจิตวิญญาณของการรับประทานมังสวิรัติ

-    Golden Age Technology แนะนำนวัตกรรมใหม่ๆ ด้วยความคิดที่สูงส่งอันเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ


image.out.jpgข้อมูลเกี่ยวกับดาวเทียม (Satellite Information)
    สุพรีมมาสเตอร์เทเลวิชั่น รายการของเราสามารถรับชมได้ ๒๔ ชั่วโมง ๗ วันต่อสัปดาห์ ด้วยระบบดาวเทียม ๑๔ ดวง ที่เข้าถึงผู้ชมหลายร้อยล้านครัวเรือน ดังนี้
-    ในยุโรป (ยูโรเบิร์ด ๑ ที่ ๒๘.๕ องศาตะวันออก, แอสตร้า ๑ และ ฮอทเบิร์ด ๖)
-    ในอังกฤษ, เวลส์ สก๊อตแลนด์, ไอร์แลนด์เหนือ และสาธารณรัฐไอร์แลนด์ (สกายทีวี ช่อง ๘๓๕)
-    ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ (ออฟตัส D2)
-    อัฟริกา (อินเทลแซท ๑๐ เคยูแบนด์และอินเทลแซท ๑๐ ซีแบนด์)
-    ตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ (ยูโรเบิร์ด ๒ และฮอทเบิร์ด ๖)
-    เอเชีย (อินเทลแซท ๑๐ ซี-แบนด์, เอบีเอส, เอเชียแซท  ๒ และเอเชียแซท ๓ เอส)
-    อเมริกาเหนือ (กาแลคซี่ ๑๙)
-    อเมริกากลางและอเมริกาใต้ (ไฮสปาแซทและอินเทลแซท ๙๐๗)



2068618614_79021bd000.jpg(ประเทศไทยรับชมได้ทางดาวเทียม ๓ ดวงได้แก่ AsiaSat 2 ,AsiaSat 3S, ABS และทางอินเตอร์เน็ตที่ www.SupremeMasterTV.com)


ดูรายละเอียดการติดตั้งจานดาวเทียมได้ที่ http://www.suprememastertv.com/satellite/

ASIA SAT 2 at 100.5◦ E Transponder 9B
Frequency: 3960H
Symbol Rate: 27500
FEC: 3/4

ASIA SAT 3S at 105.5◦ E Transponder 4H
Frequency: 3760Mhz
Symbol Rate: 26 Msys
FEC: 7/8

ABS at 75◦ E Transponder: 11S
Frequency: 12579H
Symbol Rate: 22 Msps
FEC: 3/4
SID (Channel Number): 121



sgal.jpg


**** อะไรก็ตามที่เราแบ่งปันได้ให้เริ่มด้วยการแบ่งปัน แล้วเราจะรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่ละเอียดอ่อนในตัวเรา จิตสำนึกของเราจะมีความรักความเมตตามากขึ้น แล้วเราจะรับรู้ถึงบางสิ่งบางอย่าง นั่นคือการเริ่มต้น เราอยู่ที่นี่เพื่อเรียนรู้ เรียนรู้เพื่อจะเติบโต และเรียนรู้ที่จะใช้พลังของเรา พลังของความรักและการสร้างสรรค์ที่ไร้ขีดจำกัด เพื่อพัฒนาโลกให้ดีขึ้นไม่ว่าเราจะอยู่ไหน.***(ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่)

Supreme Master Television
122-A East Foothill Blvd. #306 Arcadia, CA 91006  USA
Tel : +001(626)444-4385 – Fax : +001(626)444-4386
Email: info@SupremeMasterTV.com
Website: www.SupermeMasterTV.com


Worldwide Viewers’ Heartlines
“ผมเป็นคริสเตียนาเกือบ ๓๐ ปี ตั้งแต่ได้ดูช่องสุพรีมมาสเตอร์ทีวีของคุณในประเทศนี้ ผมค้นพบความรู้สึกใหม่ที่ลึกซึ้งด้านจิตวิญญาณ เวลาที่ผมเครียด ผมเปิดทีวีช่องของคุณแล้วไม่ช้าผมก็รู้สึกถึงความสันติสุข”
(มาร์จ จากคิมเบอร์เลย์ อัฟริกาใต้)

“ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมและนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เราต้องทำบางอย่างในเวลานี้เพื่อหยุดการกินเนื้อของสัตว์ในฟาร์มอุตสาหกรรมอันก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน เวลานี้โปรดกินมังสวิรัติ มันเป็นทางแก้ปัญหา ผมได้ดูโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ทีวีและเห็นสุพรีมมาสเตอร์ชิงไห่ เธอเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมในโลก”
(เจอร์รี่ จากนิวยอร์ก สหรัฐฯ)

“สวัสดี ผมชื่อ โซยิน อายุ ๑๑ ปี ผมอยู่ในเกาหลี ผมดูสุพรีมมาสเตอร์ทีวีทุกเช้า รายการโปรดคือขำขัน เมื่อใดที่ผมฟังเรื่องขำขันของอาจารย์ ผมมีความสุขมาก ผมมีดีวีดีเรื่องขำขันของอาจารย์ มันสนุกมาก ผมอยากเป็นผู้ประกาศข่าวของสุพรีมมาสเตอร์ทีวี ผมหวังว่าทุกคนจะเป็นมังสวิรัติ ขอบคุณ!”
(โซยิน จากกรุงโซล เกาหลีใต้)

“เพื่อนที่รักเมื่อเร็วๆ นี้ฉันได้ยินเรื่องทีวีของคุณ ฉันรู้สึกประหลาดใจกับรายการในนั้น อุดมการณ์ของมันเข้ากับหลักการของฉันมาก ฉันชื่นชมทีวีของคุณจริงๆ”
(โบคแดน จากไซบีเรีย)

“ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจของคุณ อาจารย์ชิงไห่ ตั้งแต่ผมดูสุพรีมมาสเตอร์ทีวี ผมหยุดกินเนื้อสัตว์โดยสิ้นเชิง และเปลี่ยนอาหารมาเป็นวีเก้น มันทำให้ผมสุขภาพดีขึ้น และรู้สึกดีขึ้นด้วย และตอนนี้ผมบริจาคเงินให้หน่วยงานช่วยเหลือสัตว์และมนุษยธรรม ผมพบการทดสอบมากมายในชีวิต แต่อาจารย์ชิงไห่ผู้นี้ทำให้ผมเชื่อว่ายังมีด้านอื่นๆ ในชีวิตนอกเหนือจากการรอคอยให้คนอื่นทำอะไรให้ สิ่งที่ท่านทำนั้นมหัศจรรย์และอยู่ที่เราจะช่วยเหลือโลกที่สวยงามของเราไว้”
(โจเซฟ ฌอม จากดาร์วิน อังกฤษ)

“ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่ดีๆ ในเรื่องของภาวะโลกร้อน ผมเป็นห่วงเรื่องน้ำแข็งละลาย”
(เจเรมี่ จากอ็อคแลนด์ นิวซีแลนด์)







3385745829_8e55b3e909.jpgsuprememasterbillboard.jpg3684184152_927bc7106d.jpg430805.jpg				
28 มกราคม 2554 14:18 น.

ครูสอนฟิตเนสผู้เป็นมนุษย์กินอากาศ.....

คีตากะ

jerichosunfire.jpgเจริโค ซัลไฟร์ มนุษย์กินอากาศ ผู้ฝึกสอนฟิตเนส ส่วนตัว
(Jericho Sunfire The Breatharian)




      เจริโค ซัลไฟร์ อดีตเป็นนักรักบี้อาชีพ ผู้เล่นให้ชมรมฟุตบอลโอนแฮม รักบี้ ลีค และลอนดอน ครูเสเดอร์ ในเกรท บริเทน หลังจากหลายปีของการเป็นฟรุทาเรียน(กินเฉพาะผลไม้) ลิควิดาเรียน(กินเฉพาะของเหลว) และวอเตอเรียน(กินเฉพาะน้ำ) เขาถูกดึงดูดใจเข้าสู่วิถีบรีทาเรียน(กินอากาศ) เขาอธิบายว่า การปลอดจากอาหารช่วยเราในการพัฒนาและค้นหาตัวตนภายในของเรา

ถ :  คุณสามารถบอกเราได้ไหม ทำไมการเป็นบรีทาเรียนจึงสำคัญกับคุณมาก?

ต : ความจริงที่ฉันเป็นบรีทาเรียนง่ายๆ คือ มันทั้งหมดเกี่ยวกับการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ของคุณและสัญชาติญาณของคุณเอง

ถ : ดังนั้นคุณบอกเราสักเล็กน้อยเกี่ยวกับศักยภาพของมนุษย์?

ต : เอาล่ะ ฉันเชื่อว่าศักยภาพของมนุษย์ คือพื้นฐานของสิ่งที่คุณทำจากมัน เรามีความสามารถในหลายสิ่งอันเป็นอนันต์อยู่แล้วที่เราไม่ได้แม้แต่เคยรู้เกี่ยวกับมัน วิทยาศาสตร์ไม่ได้แม้แต่สัมผัสถึง พวกเขาไม่สามารถอธิบาย ดังนั้นสำหรับฉัน ศักยภาพของมนุษย์โดยพื้นฐานเพื่อวางในเทอมของเลย์แมน  มันทำได้ทุกสิ่ง จากหนทางที่สามารถเป็นไปได้ทั้งในการบ่อนทำลายและการพัฒนาตัวคุณ

ถ : อะไรคือศักยภาพของมนุษย์ที่มากที่สุดในหลักการของคุณ?

ต : ในหลักการของฉันมันคือสิ่งที่คุณทำมัน มันคือสิ่งที่คุณต้องการมันอย่างแท้จริง และมากแค่ไหนที่คุณต้องการ มันและสิ่งที่คุณตั้งใจที่จะทำจริงๆ เพื่อสิ่งที่ดีที่สุดที่คุณสามารถทำ ที่จริง แม้แต่เกินกว่าผู้ที่คุณคิดว่าคุณสามารถเป็น

ถ : ดังนั้นสิ่งที่เราจำเป็นต้องทำเพื่อได้รับศักยภาพของมนุษย์สูงสุดของเราคืออะไร?

ต : คุณจะต้องตั้งใจ ในความคิดของฉัน เพื่อที่จะดำรงชีวิต เดินและเดิน คุณต้องตั้งใจที่จะใส่ไปในงาน คุณต้องตั้งใจที่จะเสียสละ คุณต้องตั้งใจที่จะให้ผ่านไปอย่างมาก มันคือชีวิตสำหรับฉันและการพัฒนาส่วนตัวชนิดเหมือนกับขั้นตอนของการเริ่มต้นและถ้าคุณไม่ได้ผ่านการเริ่มต้นเหล่านี้แล้ว คุณจะไม่ได้ผ่านส่วนเฉพาะของชีวิต

ถ : ดังนั้นคุณจะบอกเราเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นอุปสรรค์เพื่อเอาชนะได้ไหม เพื่อเข้าถึงศักยภาพของมนุษย์อันสูงสุดของเรา?

ต : จิตใจ นั่นคือสิ่งหลัก ที่จริงแล้วสำหรับฉันมันคือสิ่งหนึ่งที่ใหญ่ยิ่ง ถ้าคุณไม่สามารถพัฒนาตัวคุณเองหรือพัฒนาศิลปะการปล่อยวาง แล้วคุณจะไปได้ไม่ไกลนัก

ถ : ดังนั้นเมื่อคุณพูดถึงการปล่อยวาง คุณกำลังพูดถึงเกี่ยวกับนิสัยการยึดติดหรือ?

ต : ใช่ นิสัยการบ่อนทำลายความสัมพันธ์ในอดีต มิตรภาพ โดยทั่วไปสิ่งต่างๆ ที่ดึงคุณกลับมาและคุณสามารถเปิดใจ คุณต้องทำตัวคุณเองให้รับสิ่งภายนอกและเปิดรับการเปลี่ยนแปลง 

ถ : เพื่อช่วยเขาในการพัฒนาของเขาเอง เขาเลือกที่จะใช้ชื่อ “เจริโค ซัลไฟร์” 

ต : เจริโค ซัลไฟร์ นั้นเป็นสิ่งซึ่งไม่สามารถทำลายได้ พลังอันไม่สามารถหยุดยั้งของธรรมชาตินั้นฉันรู้สึกว่าจำเป็นที่จะพัฒนาเพราะว่ามันเป็นระดับขั้นใหม่ของชีวิตฉัน

ถ : บางทีความรู้สึกของเขาต่อตัวเองและความแข็งแกร่งภายในคือผลจากการฝึกอบรม เขาได้ถูกเลี้ยงดูโดยลำพังจากแม่ของเขา ดังนั้นเขาได้เรียนรู้ที่จะป้องกันตัวเองตั้งแต่เด็กและพัฒนาความรักต่อสัตว์

ต : ชีวิตของฉันในวัยเด็ก ฉันอยากจะบอกว่าลำบากมากเมื่อเปรียบเทียบกับหลายๆ คน แม่ของฉันเป็นอินเดียนตะวันตกและพ่อของฉันเป็นอเมริกาใต้ ดังนั้นมีระเบียบข้อบังคับมากหรือระเบียบวินัยค่อข้างหยาบกระด้างและขวานฝ่าซากตลอดเวลา กลับไปในยุค ๗๐ แม่ของฉันเป็นพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวและเธอยังวัยรุ่น และบางทีเธอไม่ได้ทำทางเลือกที่ถูกต้อง แต่เธอทำทางเลือกที่เธอทำและฉันในตอนเด็ก แม้ว่าเธอได้จัดหาให้ฉันในทุกๆสิ่งที่ฉันต้องการ ฉันอย่างน้อยได้รับในสิ่งที่ฉันต้องการ บางที เอาล่ะในความรักและพื้นที่สนใจ ดังนั้น ฉันต้องเป็นแบบปกป้องตัวเอง ฉันโดดเดี่ยวอย่างมากในวัยเด็กและฉันเก็บตัวเองจากตัวฉันเอง ฉันอ่อนไหวมาก อ่อนไหวสุดขั้ว ฉันรักทุกสิ่งถึงกระดูก






3068875.jpgถ : เขาเป็นนักเรียนที่ดีในโรงเรียนและเป็นที่จดจำในฐานะนักกีฬาที่มีชื่อเสียง ดังนั้นบอกเราเกี่ยวกับในโรงเรียนสิ่งต่างๆ เป็นอย่างไรสำหรับคุณ?

ต : มหัศจรรย์มาก ! ฉันเป็นคนยุ่งมากที่โรงเรียน ฉันเป็นอย่างพวกเด็กเรียนคนหนึ่งในชั้นเรียน สิ่งหนึ่งที่แม่ของฉันมำเสมอคือเธอหาหนังสือที่ฉันต้องการมาให้เสมอและฉันสามารถบอกคุณ ฉันมีหนังสือจำนวนมาก หนังสือเกี่ยวกับนก,ดาว, ปลา ทั้งหมด มีสิ่งใดต้องทำบ้างกับธรรมชาติ ฉันมีหนังสือเกี่ยวกับมัน และฉันจะอ่านมันจริงๆ และฉันรู้เล็กน้อย ดังนั้น สำหรับฉันโรงเรียนเป็นเวลาที่เพลิดเพลินมากทางด้านวิชาการ

ถ : ดังนั้นจากที่คุณมีอายุมากขึ้นเล็กน้อย คุณเป็นวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ โปรดบอกเราเกี่ยวกับความเกี่ยวข้องของคุณกับกีฬา

ต : กีฬาเป็นใหญ่ เนื่องจากตั้งแต่ฉันเรียนอยู่โรงเรียนอนุบาล ฉันสามารถวิ่งได้เสมอ ฉันชนะเสมอในการแข่งขันวิ่งเร็วในการแข่งขันกีฬาของโรงเรียน สำหรับโรงเรียนประถม ฉันฉายแววและในโรงเรียนประถมคือที่ๆ ฉันเข้าใจจริงๆ การวิ่งเร็วเป็นความสามารถพิเศษของฉัน ฉันจะชนะได้เหรียญมากมายในวันกีฬา ฉันได้ของที่ระลึกอื่นๆ ได้รับความสนใจมากมาย รางวัล มันสนุกมาก แค่วิ่งกับเพื่อนของคุณและแรงสั่นสะเทือนทั้งหมดของการวิ่งเร็ว เร็วที่สุดที่คุณสามารถ ที่ซึ่งลมทั้งหมดผ่านผมของคุณ ความว่องไวของเท้าของคุณ คุณรู้ไหมมันเหมือนอยู่ในอีกโลกหนึ่งสำหรับฉัน

ถ : ความว่องไวของเท้าของเขาทำให้เขาได้รับตำแหน่งในทีมรักบี้อาชีพที่อายุน้อยกว่าปกติ

ต : และประมาณช่วงนั้นฉันมาถึงระดับชั้นมัธยม ฉันได้รับการแนะนำเข้าสู่รักบี้ลีคโดยชายคนหนึ่งเรียกว่า นิก สมิธ ผู้เป็นครูสอนพละและในเวลาเดียวกันเขาก็เป็นโค้ชของทีมรักบี้โรงเรียน และเขาสังเกตุเห็นความเร็วของฉัน อะไรที่เกี่ยวกับกิริยาท่าทางของฉัน และเขาให้ฉันทดลองสำหรับทีมของเขา และฉันพูดอย่างซื่อสัตย์หลังจากนั้นที่เหลือ อย่างที่พวกคุณพูดในประวัติศาสตร์ เพราะว่าเขาทำทีมเป็นครั้งแรกและฉันมีอายุราว ๑๓ ,๑๔ ปี ซึ่งยังเด็ก ทีมเริ่มแรกเป็นสิ่งที่เหมือนว่าผู้ใหญ่และฉันอยู่ในทีมต้องใส่ใจ และสิ่งที่เกิดขึ้นโดยพื้นฐานคือฉันได้ยินเกี่ยวกับลูกเสือยอร์กไชร์สำหรับมือสมัครเล่น ยอร์คไชร์ สควอด รุ่นอายุไม่เกิน ๑๗ ปี ยอร์คไชร์ สควอดค้นพบเกี่ยวกับฉันและลงมาดู พวกเขาชอบสิ่งที่พวกเขาเห็น และพวกเขาเสนอให้ฉันทดลองที่นั่น และฉันไปลอง ฉันไม่ได้ในครั้งแรก ฉันเล่นไม่ผ่าน แต่เพราะว่ายังเด็กมาก ฉันเพิ่งอายุ ๑๔ ปี ดังนั้นพวกเขาบอกว่าให้กลับมาปีหน้าและต้องรอ ดังนั้นปีต่อมาฉันจึงได้เข้ามาและผ่านไปถึงยอร์ค ไชร์ รุ่นอายุไม่เกิน ๑๙ ปีและสอบผ่าน เป็นตัวแทนเมืองและจากนั้นเป็นตัวแทนเกรท บริเทนในฐานะมือสมัครเล่นภายใต้รุ่นอายุไม่เกิน ๑๙ ปี เล่นสองแมทช์ ที่นั่นและขึ้นโปรที่ ๑๙ ปี และฉันขึ้นโปรกับโอลด์แฮม รักบี้ ลีค ฟุตบอลคลับ ชมรมแรกของฉันและฉันสามารถพูดอย่างซื่อสัตย์ มันเป็นเวลาที่ดีที่สุดของชีวิตฉัน ถึงแม้ว่าชีวิตของฉันยังไม่จบ


ถ : ประสบการณ์ของเขาในรักบี้ ลีคช่วยปรับแต่งรูปร่างบุคลิคของเขาและให้ทักษะชีวิตที่จำเป็นแก่เขา 

ต : มันเป็นความสำพันธ์ที่ดีในสิ่งที่ฉันประสบความสำเร็จ น้ำใจในทีมรักบี้ ลีคเป็นรูปแบบพ่อของฉัน รักบี้ ลีค สอนฉันว่าควรจะเป็นมนุษย์อย่างไร มันสอนฉันว่าฉันมีหัวใจหรือไม่ มันสอนฉันว่าจะเคารพผู้อื่นอย่างไร มันสอนฉันเรื่องคุณค่าของชีวิตและทักษะชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่ฉันยังคงใช้อยู่ตอนนี้
ถ : ส่วนตัว เจริโค ซัลไฟร์ เป็นอดีตผู้เล่นรักบี้ มืออาชีพ ผู้ซึ่งเล่นให้กับสโมสรโอลด์แฮม ลีค ฟุตบอล และลอนดอนครูเซเดอร์ส ในเกรท บริเทน ในปีที่ ๖ ของการเล่นรักบี้อาชีพ เจริโค ได้ตัดสินใจสับเปลี่ยนงานอาชีพทำสิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุด ทำงานเป็นครูฝึกสมรรถภาพทางกายส่วนตัวมืออาชีพ หลังจากหลายปีของการเป็นฟรุทาเรียน ลิควิดาเรียน และวอเตอเรียน เขาถูกดึงดูดเข้าหาวิถีแบบบรีทาเรียน เจริโคร่วมแบ่งปันกับนักข่าวของโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ ถึงวิธีที่ทำให้เขาเปลี่ยนจากผู้กินอาหารปกติไปเป็นผู้กินเพียงผลไม้และของเหลว

ถ : ดังนั้นโดยแรกเริ่มคุณเริ่มทำการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันเมื่อไรจากอาหารตะวันตกปกติ?

ต : ฉันคิดว่าในปี ค.ศ.๑๙๙๔ ฉันรู้คร่าวๆ จริงๆเกี่ยวกับวันเดือนปีตอนนี้เพราะมันนานมากมาแล้ว แต่ฉันคิดว่าราวๆ ค.ศ.๑๙๙๔ มันอยู่ประมาณ อาจจะหนึ่งปีหรือสองปีภายหลังจากฉันเลิกการเล่นรักบี้ ฉันได้เริ่มการศึกษา ฉันต้องการทำงานออกแบบเกี่ยวกับภาพและวันหนึ่งฉันตื่นขึ้นมาภายหลังจากความรู้สึกที่ไม่ดีจริงๆ ไม่ดีอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี ฉันอยากจะบอกว่าเมื่อฉันมองย้อนกลับไปเกี่ยวกับมัน ฉันสามารถพูดได้เท่านั้นว่า ฉันรู้สึกผิดหวังเสมอ แต่ทว่าวันหนึ่งฉันตื่นขึ้นมาและมันรู้สึกไม่เข้าท่า มันใช้ไม่ได้ รู้สึกแย่มาก ฉันได้กลายเป็นคนที่มีความรู้สึกไวต่อความจริงซึ่งทำให้ฉันรู้สึกแย่มาก ฉันสามารถได้ยินเสียงฟืดฟาดของฉันเองเมื่อฉันหายใจ ฉันรู้สึกว่าอกของฉันกลายเป็นภาระที่หนักมากเพราะขยะทั้งหลายเพิ่งจะทับถมและพอกพูนและมันคล้ายกำลังขัดขวางปอดของฉันเป็นต้น ความคิดของฉันเอื่อยเฉื่อย ฉันซึมเศร้าอยู่ตลอดเวลา มันเพียงแค่รู้สึกแย่ แล้ววันหนึ่งหลังจากนั้น ฉันเห็นได้ชัดถ้าฉันกินอาหารที่ผ่านการปรุงมากกว่าหนึ่งคำหรือเต็มปาก ฉันจะอ้วก และในเวลาเดียวกันฉันมีแรงผลักดันตามสัญชาตญาณไปสู่ผลไม้และฉันจำสิ่งนี้ได้จนถึงวันนี้ มันคือมะม่วง มะม่วง ๒ ผล แตง และองุ่นหนึ่งพวง องุ่นสีเขียวและผลมะเดื่อไม่อบแห้งคือสิ่งที่ฉันออกไปและเอากลับมาจากร้านค้า มันเป็นห้างร้านอินเดียแดงตะวันตกที่ใหญ่ หนึ่งในจำนวนร้านค้าเหล่านั้นที่คุณสามารถได้ผลไม้จากรอบโลกและแค่ใช้มันในการดำรงชีวิตและนั่นคือสิ่งที่ฉันได้ทำกลับบ้านและฉันแค่แกะของเหล่านี้และมันช่างเหมือนลมหายใจของอากาศที่สดชื่นเช่นนั้นจริงๆ และเพลิดเพลินกับมันมากๆ เพราะฉันสามารถหายใจได้จริงๆ หลังจากนั้น ฉันรู้สึกหิวจริงๆ หลังจากนั้นฉันสามารถติดตามความจริง ดังนั้นเหมือนอย่างฉันได้พูดฉันสนุกสนานกับมันมาก ฉันได้ทำสิ่งเดียวกันนี้ ในวันถัดไป สิ่งเดิม ผลลัพธ์เดิมๆ ฉันชอบมันสำหรับฉันมันเหมือนการค้นหาอาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซู มันเหมือนการค้นหาปริศนาที่ขาดหายไปที่ฉันกำลังตามหามาแล้วเป็นเวลานาน การค้นหากุญแจที่เปิดประตูซึ่งไม่ได้ใส่กลอนที่ประตู และมันหายไป






Jericho_Sunfire.jpgถ : นับจากนั้นมา เจริโค หยุดการกินเนื้อและอาหารผ่านการปรุงและแค่มีชีวิตอยู่โดยผลไม้และคุณแค่ทิ้งมันทั้งหมดในวันหนึ่งและกลายมาเป็นคนกินอาหารสด คนกินแต่ผลไม้เป็นอาหาร? 

ต : ฉันกลายเป็นคนกินผลไม้และตัวตนของฉันเองจะบอกคุณ ใช่ ฉันทำการเปลี่ยนแปลงทันที ฉันไม่สนใจในสิ่งที่ไม่มีความหมายอันอื่น เป็นวิถีที่กินผลไม้ที่เคร่งครัดและมันเป็นผลไม้อย่างแน่นอน ไม่มีถั่ว ไม่มีเมล็ด ไม่มีน้ำ และไม่มีพืชสีเขียว เพียงแค่ผลไม้ ฉันเพียงแค่จินตนาการว่า “เฮ้ ถ้ามีมังสวิรัติสิ่งนี้จะทำให้ฉันเป็นคนที่กินผลไม้เป็นอาหาร ถ้าฉันกินแต่ผลไม้” และฉันเชื่ออย่างจริงใจว่าฉันสามารถกินผลไม้สำหรับเวลาที่เหลือของชีวิตของฉัน ฉันไม่มีความกลัว ไม่มีความคิดกลัว ไม่มีข้อสงสัย ไม่มีความคิดว่ากำลังทำให้ตัวเองเจ็บป่วย คลื่นไส้อาเจียนหรือสิ่งอื่นที่คล้ายอย่างนั้น ดังนั้นโดยพื้นฐานนั่นคือวิธีที่ฉันเริ่มต้น ขณะนี้ฉันได้ทำสิ่งนั้นมาเป็นเวลา ๑๐ ปี อย่างคร่าวๆ ๑๐ หรือ ๘-๑๐ ปี 

ถ : เพราะว่าเขาไม่สามารถค้นหาข้อมูลใดๆ บนอินเตอร์เนตหรือกลุ่มสนับสนุนสำหรับคนกินอาหารสดหรือคนกินผลไม้เป็นอาหารขณะเวลานั้น เจริโคเรียนรู้ด้วยตัวของเขาเองเพื่ออยู่อย่างไรให้เหมาะเจาะกับสมองและร่างกายด้วยอาหารจากผลไม้ 

ต :  โดยพื้นฐานฉันต้องเรียนรู้การก้าวย่างด้วยตัวของฉันเอง ฉันเรียนรู้เกี่ยวกับการทำความสะอาด ฉันเรียนรู้เกี่ยวกับการขับสารพิษ ฉันเรียนรู้เกี่ยวกับการชะล้างทางอารมณ์และพวกเขาสามารถทำอย่างจริงจังได้อย่างไร และโดยแท้จริงฉันได้กล้องถ่ายภาพดิจิตอล และทันทีที่ฉันได้สิ่งนั้น นั่นคือเวลาที่ทุกสิ่งได้เปลี่ยนแปลง เพราะฉันเริ่มต้นบันทึกภาพ ฉันเริ่มบันทึกภาพน้ำหนักของฉัน ขนาดของฉัน ฉันเริ่มทำวีดีโอเกี่ยวกับการออกกำลังกายที่ฉันได้ทำและสิ่งที่คล้ายนั้นและนั่นคือพื้นฐานในเวลาที่สิ่งต่างๆ ได้เปลี่ยนแปลงไปจริงๆ คุณถามผู้รู้ในเรื่องเกี่ยวกับขบวนการตามธรรมชาติและพวกเขาจะบอกคุณเมื่อคุณกำลังจะทำการขจัดสารพิษของคุณ คุณแค่เพียงอยู่เฉยๆ คุณยังอยู่ในเตียง คุณไม่ออกกำลังกาย คุณแล่นผ่านมันไปนั่นกำลังทำให้ฉันรู้สึกแย่ลง ดังนั้นฉันได้ตัดสินใจในวันหนึ่งว่าสมควรออกไปเพื่อมันและนำรูปร่างของฉันเองกลับคืนมา หยุดการเล่นเป็นผู้เคราะห์ร้าย หยุดการอยู่ในสภาวะแสนซึมเศร้าและสมควรนำสิ่งที่เกิดขึ้นมาทำงานอีกครั้งนั่นคือสิ่งที่ฉันได้ทำเหมือนอย่างฉันพูด ฉันได้กล้องถ่ายภาพดิจิตอล ฉันได้เริ่มเอาออกไปและสอนตัวฉันเองให้มีการออกกำลังกายอย่างก้าวหน้าที่ฉันรู้ว่าฉันมีในตัวฉันที่ฉันสามารถทำได้และฉันเริ่มบันทึกมันไว้อีกครั้งอย่างที่ฉันพูด นั่นคือเวลาเมื่อเหตุการณ์เริ่มต้นเปลี่ยนแปลงเพื่อเป็นผู้กินผลไม้เป็นอาหาร

ถ : เจริโค ซัลไฟร์ ผู้มีชีวิตอยู่ด้วยปราณเป็นครูสอนสมรรถภาพทางกายส่วนตัวจากคนที่กินผลไม้เป็นอาหาร เจริโคเปลี่ยนกลายมาเป็นผู้กินของเหลวเป็นอาหารอยู่รอดด้วยน้ำผลไม้ อย่างค่อยเป็นค่อยไป เขาดำรงตัวของเขาเองด้วยน้ำและในที่สุดเพียงแค่จิบๆ น้ำเป็นครั้งเป็นคราว

ต : แล้วฉันกระโดดข้ามไปยังวิถีที่ยังชีพด้วยของเหลวโดยไม่ได้คาดไว้ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้าใจลำบาก เพราะสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในที่สุดกินเวลาหลายปี ฉันคิดว่าในช่วงเวลา ๓ ปี เมื่อฉันมองย้อนกลับไปที่มัน ฉันสังเกตปริมาณของน้ำผลไม้และผลไม้ของฉันที่ฉันกำลังกินกำลังเปลี่ยนไป ปริมาณของน้ำผลไม้ที่ฉันกำลังกินกำลังลดลงและผลไม้ที่ฉันกำลังกินกำลังเปลี่ยนไปสู่จุดที่มันลดต่ำลง ฉันกำลังกินแค่ส้ม ในฤดูใบไม้ผลิและร้อน และผลองุ่นในฤดูใบไม้ร่วง และมันเป็นแตงโมในฤดูร้อน แล้วมันก็ถึงจุดที่มันเป็นเพียงแค่ส้มในฤดูใบไม้ร่วง หนาว ใบไม้ผลิ และแตงโมในฤดูร้อน และแล้วมันแค่เปลี่ยนไปเป็นส้มตลอดทั้งปี อาจจะหนึ่งปีและแล้วปีที่แล้วเป็นน้ำ ไม่มีผลไม้เลย เพียงแค่น้ำไม่มีผลไม้เลยแค่น้ำและอย่างไรก็ดี นั่นเป็นสิ่งที่ดูเหมือนช่วงเวลาสั้นๆ และมันถึงจุดที่ ฉันเอาจริงเอาจัง อาจกินแค่จิบๆ ทุกหนแห่ง ระหว่างวัน และอย่างไรก็ดี มันราวกับว่าฉันเป็นมูลเหตุสำหรับคนเหล่านั้นให้เกิดความกังวลใจ






158402_300.jpgถ : มันเป็นธรรมชาติสำหรับเจริโคในระยะนี้เพื่อทดลองกับการเป็นผู้มีชีวิตด้วยลมปราณพึ่งพาพลังงานจักรวาลสำหรับการยังชีพ ดังนั้นแล้วคุณทำการขยับจากคนกินน้ำมาเป็นคนกินลมปราณหรือ?

ต : ใช่ และอีกครั้งฉันทำวิถียังชีพด้วยลมปราณแบบเล่นๆ ไม่จริงจัง ขณะที่ฉันเป็นคนกินของเหลวและในเวลานี้ความจริงฉันทำเล่นๆ มากกว่า ใน ๖ เดือนที่ผ่านมาของการกินน้ำกับการกินลมปราณ และตามความเป็นจริง รู้สึกว่าดี ความจริงฉันกำลังพอใจกับมันและฉันกำลังเริ่มคิดจริงๆ “ดี ทนอีกหนึ่งนาที อาจมีบางสิ่งต่อสิ่งนี้” ฉันกำลังทำสิ่งนี้ในขณะร้อน เอาจริง การขับความร้อนชนิดเอาจริง การขับความร้อนที่ทำให้คุณคิดว่าคุณสามารถดื่มน้ำทั้งมหาสมุทรได้ ที่ทำให้คุณคิดว่าคุณจำเป็นต้องดื่มมหาสมุทรเพื่อรักษาความเย็น ดังนั้นพวกความวิตกกังวลและการปรับสภาพเหล่านั้นของที่นั่น ที่เราต้องจัดการด้วย เพราะเมื่อคุณมองมันอย่างสังเกต คุณไปที่ห้องเรียนสมรรถภาพทางกาย คุณเห็นอะไร คนออกกำลังกายและพวกเขามีขวดที่ภายในมีน้ำแข็งของพวกเขา ขวดเหล่านี้ใหญ่ขนาดจุ ๑.๕ ลิตรและพร้อมกับการควบแน่นอย่างดี และการปรับสภาพทั้งหมดของเราคือ ขณะออกกำลังกายหรือหลังการออกกำลังกาย เราจำเป็นต้องดื่มและขณะที่เป็นนักรักบี้ก่อนหน้านี้ นั่นเป็นการบังคับเราให้เชื่ออย่างแข็งขันอีกด้วย ดังนั้นฉันต้องจัดการกับปัจจัยอย่างนั้น มันไม่ง่าย 

ถ : แต่คุณได้ทำการปฏิวัติ?

ต : ใช่ 

ถ : นี่ยังไม่ใช่แค่ก้าวแรก มันคือวิวัฒนาการ

ต : มันเป็นๆ และฉันจะบอกคุณตอนนี้ มันคือสิ่งที่สวยงามอันหนึ่ง แต่เหมือนที่ฉันพูด ฉันต่อสู้กับมัน ฉันต่อสู้กับมันทุกวิถีทาง และในขณะนี้ สำหรับปีที่ผ่านมาฉันได้เป็นบรีทาเรียนที่ค่อนข้างไม่ยอมแพ้ใครง่ายๆ ยกเว้นจำนวนครั้งการทำความสะอาดมีหลายครั้ง เมื่อฉันเชื่อว่าฉันจำเป็นต้องทำความสะอาดเพื่อรักษาความสะอาด ดังนั้นฉันจึงทำ

ถ : ดังนั้นไม่มีใครสามารถจริงๆนอกจากเขาผ่านตลอดของขบวนการวิวัฒนาการและการขจัดสารพิษออกและการทำความสะอาด เขาไม่สามารถไปโดยไม่มีน้ำใช่ไหม?

ต : สำหรับฉันนั่นเป็นความหายนะของฉัน นั่นเป็นสถานที่ที่ฉันอยู่ในสภาพสกปรกเสมอ การลองก้าวไปโดยไม่มีน้ำ ขณะที่หลายปีผ่านไปมันทำได้ง่ายขึ้น แต่เหมือนอย่างที่ฉันพูดฉันเรียนสิ่งที่ยาก สภาพอากาศรุนแรง ดังนั้นฉันต้องเรียนรู้การปรับสภาพที่เรามีการก้าวไปสู่การไม่มีน้ำเพราะโดยพื้นฐานการก้าวไปโดยไม่มีอาหารหรือผลไม้ยากพอสำหรับมโนทัศน์ของใครๆ ฉันหมายถึงจินตนาการ ถ้าใครไม่บอกคุณเรื่องนั้นในวันนี้จากชั่วขณะนี้ไป คุณจะไม่มีทางกินอาหารอื่นอีก ถ้อยแถลงนั้นโดยปกติมักผลักดันความกลัวไปสู่ใครๆ ดังนั้นการไปโดยปราศจากน้ำสำหรับฉันหรือการคิดถึงมันเหมือนจุดสูงสุดในการปล่อยให้ผ่านไปและฉันได้ต่อสู่กับสิ่งนั้นด้วยกำลังกายทั้งหมดของฉัน

ถ : ส่วนตัว เจริโคซัลไฟร์ เป็นอดีตผู้เล่นรักบี้มืออาชีพ ผู้ซึ่งเล่นให้กับสโมสรรักบี้ โอลด์แฮม ลีกฟุตบอลและลอนดอน ครูเซเดอร์ส ในเกรท บริเทน ในปีที่ ๖ ของการเล่นรักบี้อาชีพ เจริโคได้ตัดสินใจสับเปลี่ยนงานอาชีพ ทำสิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุด ทำงานเป็นครูฝึกสมรรถภาพทางกายส่วนตัวมืออาชีพ หลังจากหลายปีของการเป็นฟรุทาเรียน ลิควิดาเรียน และวอเตอเรียน เขาถูกดึงดูดเข้าหา วิถีบริทาเรียน คุณเจริโค รู้สึกโดยสัญชาตญาณว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อเห็นแก่ดาวโลกและสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ตอนไหนที่คุณเริ่มคิดถึงการเป็นผู้ที่กินอากาศ?

ต : ผมไม่เคยคิด ผมต่อต้านมันมาก เหมือนมันมีสองอย่างพร้อมกัน สัญชาตญาณของผมตั้งไว้สองสภาวะ ตั้งวงล้อของการหมุน แต่ว่าโดยความคิดผมไม่มีมันอยู่เลย ความกลัวที่จะเลิกมัน แรกเริ่มผมก็รู้สึกอยู่ภายในลึกๆ แล้วว่ามีเรื่องใหญ่บางอย่างที่ต้องทิ้งไปและมันก็ไม่อยากจะทิ้ง ดังนั้น ผมไม่ได้ตั้งใจอะไร ในภาวะใดๆ ว่าจะเป็นผู้กินอากาศ 

ถ : ดังนั้นเกิดอะไรขึ้นในชีวิตของคุณที่ทำให้คุณกลายเป็นผู้ที่กินอากาศ?







48cc2041b2e7f.jpgต : ผมไม่อาจพูดได้ว่าเป็นการปฏิรูปก็อย่างที่คุณพูดมา ไกด์ของผม ไกด์มนุษย์ต่างดาวของผมและการเปลี่ยนแปลงที่จะมาถึงในโลก ในสิ่งแวดล้อมในโลก มันมีบางอย่างเกิดขึ้นและเราจำเป็นต้องเปลี่ยนมันเวลานี้ ผมต้องทำภารกิจของผมเวลานี้ ภารกิจของผมจำเป็นต้องทำให้ได้เวลานี้ ผู้คนที่เหมือนผมที่สะท้อนสิ่งที่ผมทำอยู่จะรู้โดยสัญชาตญาณถึงบางสิ่งที่ลึกๆ แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ผมอยู่ตรงนี้ก็เพื่อเหตุนั้นที่พร้อมแล้วที่เห็นเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ดังนั้นเราสามารถกลับบ้าน และผ่านพ้นการเปลี่ยนแปลงนี้

ถ : คุณมีตัวอย่างที่เป็นผู้กินอากาศหรือไม่ หรือว่าพี่เลี้ยง?

ต : มันเป็นสัญชาตญาณทั้งหมด ทำตามความกล้าของผม ความหัวแข็งของผมเอง และการแนะนำจากไกด์ของผม ไม่มีเงาของความสงสัยและผมไม่แคร์ที่จะพูดอย่างนั้น
ถ : มันเป็นอย่างไรในการเป็นผู้กินอากาศ? เราถามคุณเจริโค ว่าการเปลี่ยนแปลงแบบไหนต่อร่างกายที่เขาต้องเผชิญ เมื่อเขาเปลี่ยนมาเป็นผู้กินอากาศ?

ต : เวลาที่คุณต้องพบกับกระบวนการนั้น เจ็บปวดทรมานกับการเลิกมัน เมื่อคุณถึงกระบวนการเปลี่ยนแปลงของร่างกายคุณ อวัยวะของคุณจะหดตัว ร่างกายของคุณกลับคืนสู่ขนาดของมันตามธรรมชาติ ในสภาวะที่มันต้องการจะเป็นเพราะร่างกายของคุณทำอย่างนั้นอยู่เสมอ ผู้คนคิดว่าพวกเขาหิว แต่ว่ามันไม่ใช่ มันเพียงแต่เป็นความรู้สึกที่พวกเขาป้อนให้ มันคือร่างกายของพวกเขาพยายามกลับคืนสู่ขนาดปกติ แต่เราก็คอยแต่ใส่อาหารเข้าไปในตัวเองและทำลายความรู้สึกนั้น คิดว่าเราให้ความพึงพอใจแก่ความหิวของเรา แต่ว่ามันไม่ใช่ สิ่งหนึ่งของการเป็นผู้กินอากาศ ผมรู้ว่า คุณค่อนข้างป้อนอาหารให้ความอยาก คุณไม่ได้ป้อนอาหารให้ตัวเองมากนัก แต่คุณป้อนให้แก่ความอยาก ผมเรียกมันโดยส่วนตัวว่าการยึดติดทางอารมณ์ อารมณ์ของตัวคุณ อาหารถูกใช้ในทุกสถานการณ์ ในสังคมของเรา สังคมเราปฏิรูปพร้อมๆ กับอาหารและเครื่องดื่ม มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ 

ถ : ทำอย่างไรที่บางคนสามารถอยู่โดยไม่กินอาหาร? มันคือสิ่งที่มีอยู่ภายในของเราทุกคนหรือ? เจริโค ได้บอกเล่าความคิดบางอย่างให้กับเรา ช่วยบอกเราว่าคุณคิดอย่างไรที่ร่างกายมนุษย์ แท้จริงสามารถอยู่และทำงานได้โดยไม่ต้องกินอาหารเครื่องดื่ม?

ต : เพราะว่านั่นเป็นสภาวะที่เป็นธรรมชาติของแต่ละคนอย่างที่ผมพูด สำหรับบางคน มันอาจจะเป็นผลไม้ นั่นคือเหตุผลที่ บางคนอาจจะอยู่โดยกินอากาศเท่านั้น 

ถ : ในอดีต มีผู้กินอากาศ ท่านปรมาหรรษา โยคะนันทะ ในหนังสือ “อัตชีวประวัติของโยคี” ที่พูดถึงสตรีผู้หนึ่ง กิริ บาลา และก็ยังมี เทเรซ่า นิวมันน์ ทั้งสองคนนี้เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นผู้กินอากาศ มีคนอื่นๆ อีกหลายคนตลอดทุกยุคทุกสมัยและคนเหล่านั้น อาจจะอธิบายถึงความเชื่อความศรัทธาในพระเยซูหรือพระกฤษณะ พระเจ้า และนั่นทำให้พวกเขาเป็นผู้กินอากาศเพื่อให้ผู้คนรู้ว่าพวกเขาสามารถไว้วางใจในพระเจ้า หรือพระเยซู ในการค้ำจุนร่างกายของพวกเขา โดยปราศจากสิ่งอื่นใด คุณมีความเชื่อหรือความศรัทธาอะไรบ้าง?

ต : ครับ ผมมีความเชื่อว่าจิตวิญญาณของผมเป็นมนุษย์ต่างดาว และผมเชื่อว่าผมอยู่ที่นี่เพื่อแสดงให้เห็นความเป็นไปได้ของการเป็นผู้กินอากาศ สำหรับผู้คนที่เหมือนกับผมและสำหรับคนอื่นๆ นั้นก็เพียงให้เปิดใจ ผมไม่พยาบยามสอน ผมไม่เชื่อว่า ผมเป็นครู ผมเชื่ออย่างมั่นคงว่า ผมอยู่ที่นี่เพื่อแสดงให้เห็นและอยู่เป็นตัวอย่าง ผมไม่ใช่คนที่เป็นทางด้านจิตวิญญาณอยู่บนแท่นสี่เหลี่ยมมากนัก ผมไม่มีการนั่งสมาธิ ผมเพียงแต่ทำตามสัญชาตญาณอย่างเข้มงวดและดื้อรั้น ผมเชื่อว่าทุกคนจำเป็นต้องมีระบบความเชื่อของตัวเองเพื่อให้งานนั้นสำเร็จ

ถ : การอยู่โดยไม่กินอาหาร คุณเจริโค เชื่อว่าเขาได้รับการค้ำจุนจากแสงอาทิตย์ อากาศ ดนตรีที่เขาชื่นชอบ และสภาวะอารมณ์ที่เป็นความรัก ดังนั้นสิ่งที่เรารู้มากจากวิชากลศาสตร์ว่าด้วยพลังงาน มันพูดถึงภาพลวงตาของด้านวัตถุและเรายังรู้จักเสียงเหนือธรรมชาติและแสงเหนือธรรมชาติ คุณบอกเราได้ไหมว่าแหล่งของพลังงานใดและมีอะไรอื่นที่ค้ำจุนคุณอยู่?

ต : ผมเชื่อว่าผมอยู่ที่นี่เพื่อแสดงให้เห็นว่ามันไม่ต้องใช้ความรู้มากมาย ผมเชื่อตามวิธีที่เรียบง่ายของผมเองว่าแสงอาทิตย์คือสิ่งสำคัญมาก ไม่ใช่วิธีการที่ว่า คุณออกไปอยู่ในแสงแดดทั้งวันจนตะวันตกดินเพราะผมไม่เชื่ออย่างนั้นเลย ผมเชื่อจริงๆ ว่ามีช่วงเวลาที่แสงอาทิตย์ไม่เป็นคุณต่อร่างกาย แต่มันมีแสงสว่างอยู่ในอากาศเหมือนที่เราอยู่ในร่มเงาเวลานี้ แต่มันยังมีความสว่าง มันยังมีพลังงานอย่างหนึ่งที่สะท้อนอยู่ในตัวผมเป็นตัวผมเดิมแท้ และผมกินจากสิ่งนั้น ความจริงแล้วเป็นเวลาที่ผมรู้สึกเบาสบายอย่างมากเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของอากาศ ผมเป็นส่วนหนึ่งของลม ผมเกือบจะเห็นภาพตัวเองล่องลอยอยู่กับอากาศ ในบางครั้ง ผมรักดนตรีของผมและผมก็มี MP3 ติดตัวอยู่เสมอเวลาที่ผมทำงานอยู่ข้างนอก ผมเปิดเสียงดนตรีของผมและเสียงดนตรีก็ทำให้ผมผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากบนดาวดวงนี้เสมอมา เหมือนเป็นอาหารปลอบใจ ดนตรีเป็นเพื่อนของผม ดังนั้นนั่นก็คือผมถูกเลี้ยงด้วยเสียงอย่างแน่นอน และผมก็รู้ดีทั้งหมดเป็นเรื่องของการเปลี่ยนสภาวะอารมณ์ของคุณ สำหรับผมแล้วเสียงมีประสิทธิภาพมาก คุณรักษาตัวเองให้อยู่ในสภาวะอารมณ์ที่เป็นบวก มีความรัก มีความซื่อสัตย์ แล้วคุณก็จะตัดอารมณ์ที่ยึดติดกับอาหาร น้ำ ทุกๆสิ่งออกไปง่ายๆ โดยการเปลี่ยนสภาวะอารมณ์ของคุณ บนรากฐานที่มั่นคง 






639912118.jpegถ : คล้ายกันกับผู้กินอากาศ โยคีนี กิริ บาลา เจริโค รู้สึกว่าร่างกายคนเราสามารถได้รับสิ่งใดก็ตามที่มันต้องการจากสิ่งแวดล้อมเพื่อค้ำจุนตัวมันเอง

ต : ผมเรียนรู้ว่าการเป็นผู้กินอากาศ มันไม่สำคัญว่าคุณกินอะไร กุญแจก็คือการหยุดกินอาหารปลอมที่มนุษย์ทำขึ้น ร่างกายได้รับทุกสิ่งที่มันต้องการจากสิ่งแวดล้อมของมัน มันผลิตทุกสิ่ง ในสายตาของผมแล้วนี่เป็นทฤษฎีของผม ทฤษฎีส่วนตัว ถ้าให้โอกาสมันก็จะผลิตทุกสิ่งที่มันต้องการ ให้โอกาสมัน มันจะได้รับทุกสิ่งที่มันต้องการจากสิ่งแวดล้อม ดังนั้น เราไม่จำเป็นต้องผลิตอาหารที่มนุษย์ทำขึ้นและติดนิสัยของการกิน เป็นทาสของอารมณ์ที่ตายตัว ร่างกายของผมจัดการกับเรื่องของเทคนิค งานของผมคืออยู่อย่างเรียบง่ายและอยู่โดยเป็นตัวอย่าง มีความสุข ร่างกายของผมจัดการกับของที่มีโภชนาการต่อร่างกาย

ถ : ด้วยผลลัพธ์ของการดำเนินชีวิตที่ไม่กินเนื้อสัตว์ คุณเจริโค มีสุขภาพที่ดีเสมอ 

ต : ผมไม่เคยป่วยนานหลายปีมาแล้ว ไม่ว่ามันจะลดลงจากการไม่กินอาหารปรุงแต่งหรือไม่ว่ามันจะลดลงในกระบวนการทั้งหมด การล้างพิษทั้งหมด ฟิตเนสทั้งหมด อาหารดิบทั้งหมด กินอากาศทั้งหมด ผมก็ไม่เคยป่วยหลายปีมาแล้ว

ถ : ดังนั้นคุณไม่เคยป่วย คุณค้ำจุนตัวเองทางร่างกายอย่างเคร่งครัดทางอารมณ์อย่างเข้มงวด

ต : ครับ ผมไม่ได้พูดว่ามันเป็นอย่างนั้นตลอดเวลา ตอนแรกนั้น เมื่อคุณเริ่มพัฒนาก้าวแรก คุณจะต้องผ่านบางสิ่งบางอย่าง คุณจะต้องทำงาน เสียสละบางอย่าง ต้องผ่านพ้นไป แต่คุณก็ทำให้ดีที่สุดเท่าที่คุณทำได้ ในช่วงเวลาใดก็ได้ที่กำหนด และใส่โปรแกรมใหม่ในร่างกายคุณและวางมาตรฐาน ดังนั้น เมื่อคุณทำงานของคุณเสร็จ คุณชำระล้างซึ่งร่างกายของคุณสามารถขึ้นไปถึงภาวะนั้น เพราะคุณได้วางมาตรฐานของคุณไว้ ร่างกายของคุณ เมื่อมันได้ชำระล้างหรือผ่านกระบวนการล้างพิษ มันก็จะอยู่ตรงระดับนั้น ดังนั้น คุณต้องวางมาตรฐานของคุณ

ถ : หลังจากที่คุณมาเป็นผู้กินอากาศ คุณใช้เวลานานเท่าไร ในการเอาชนะการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย?

ต : ผมอยากจะบอกว่า ๒-๓ สัปดาห์ แล้วหลังจากนั้น มันเป็นชีวิตจริงๆ ผมหมายถึงคุณยังต้องมีการเปลี่ยนแปลงอีกนิดหน่อย แต่ส่วนใหญ่นั้นมันอยู่ใน ๒-๓ สัปดาห์ และใน ๒-๓ สัปดาห์นั้น มันรู้สึกไม่สบายนัก มันเป็นเวลาไม่สบายนัก

ถ :  มันเป็นการเปลี่ยนแปลงอะไร ที่คุณต้องประสบ?

ต :  มันเป็นที่ภายในทั้งหมดและอยู่ในใจกลางตัวผม ลำตัวหดลง อวัยวะต่างๆ เปลี่ยนเป้าหมายของมันและถูกใช้เพื่องานอื่น มันถูกใช้เพื่ออะไรเป็นพิเศษ ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ผมรู้ว่า ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง อย่างที่ผมบอก ร่างกายมักจะต้องกลับไปยังสภาวะเดิมของมันเสมอ แล้วผลของมันสร้างความรู้สึกที่ร่างกายเบาสบายขึ้น มันเหมือนกับรู้สึกถึงแหล่งของพลังงานเหมือนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าอยู่ในลำตัวคุณ มันสร้างพลังงานจำนวนมหาศาล และมันเหมือนกับแปลกๆ เพราะว่าการมีร่างกายที่เบาขึ้นหรือมีความรู้สึก ร่างกายเบาขึ้นบางครั้งเวลาที่ ผมจะลุกขึ้นและคล้ายๆ กับว่าไม่ใช่เพราะผมงงหรือว่าอะไร แต่มันเป็นเพราะพละกำลังของผมถูกบรรจุมากเกินไป ในร่างกายที่เบาขึ้นของผมและผมชดเชยมากเกินไป ดังนั้นมีบางครั้งที่ผมต้องพิจารณาทุกอย่างให้ดีขึ้นอีกครั้ง มันเหมือนกับการหัดเดินใหม่อีกครั้ง หัดยืนอีกครั้ง หัดวิ่งอีกครั้งและนั่นก็อาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่แปลกๆ 

ถ : มีอุปสรรคที่ต้องเผชิญในการเปลี่ยนแปลงแบบนี้และคุณทำอย่างไร?

ต : โดยพื้นฐานก็คือการจัดการกับความกังวลนิดหน่อยที่มากับมันเพราะคุณยืนขึ้นแล้วทันทีนั้น คุณก็พบว่าตัวเองไปไกลเกินไปหรือก้าวเดินล้ำหน้าไปและการเดินก็ตลกจริงๆ ในตอนแรกๆ การตัดสินใจของคุณใช้ไม่ได้เลย ผมถามตัวเองว่า “มันเป็นตัวฉันหรือสมองของฉันหรือ? มีอะไรเกิดขึ้นที่นี่?” และมันก็คือผมต้องทำความคุ้นเคยกับมัน วัตถุใหม่ ร่างกายใหม่

ถ : ในฐานะเป็นผู้ฝึกสอนฟิตเนสส่วนตัว เจริโคได้ตอบคำถามของเราบางอย่างเกี่ยวกับการเพาะกล้ามในฐานะเป็นผู้กินอากาศ คุณสามารถเพาะกล้ามขณะเป็นผู้กินอากาศหรือไม่?







4537003694.swfต : ผมอยากบอกว่า ใช่ คุณทำได้ง่ายมาก ผมก็เชื่อว่าโดยเฉพาะเมื่อคุณเป็นผู้กินอากาศ เวลาที่คุณไม่มีอะไรมาขวางทาง ไม่มีอุปสรรค ไม่มีการไขว้เขว คุณไม่กินอะไร ร่างกายของคุณก็ทำสิ่งที่มันควรจะทำและผลิตสิ่งที่มันควรจะทำ บางครั้งมันรู้สึกเหมือนกับว่าผมถูกบีบออกเพราะทุกๆ อย่างมันไหลเวียน ร่างกายสร้างระบบให้ผมในสิ่งที่มันต้องการ ดังนั้นผมอยากบอกว่าใช่ ที่จริงมันก็น่าสงสัยสำหรับลัทธิกินอากาศ คุณสามารถบำรุงได้ง่ายและมีการเพาะกล้ามที่ดี 

ถ    :  ดังนั้นคุณมีพลังงานเหลือเฟือจากการเป็นผู้ที่กินอากาศ กระทั่งการออกกำลังกาย?

ต : ผมอยากเรียกมันว่าความกระปรี้กระเปร่าหรือความผาสุก ผมเชื่อทั้งหมดว่า ความกระปรี้กระเปร่ามาจากแกนกลางของคุณ เช่นจากสะดือของคุณ หรือใต้สะดือของคุณและนั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึกดี ดังนั้น ใช่ ผมมีความกระปรี้กระเปร่ามากมายเหลือเชื่อ บางทีมันเป็นพลังงาน

ถ : ผลกระทบแบบไหนที่ผู้กินแต่ผลไม้และการไม่กินอาหารมีผลต่อสิ่งแวดล้อม? คุณเจริโคได้เล่าบางอย่างในการดำเนินชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คุณคิดว่าการเป็นผู้กินอากาศหรือการเป็นผู้กินแต่ผลไม้จะมีผลกระทบที่ดีต่อสภาวะของโลกหรือไม่?

ต :   แน่นอน!

ถ : มันเป็นอย่างไร?

ต : คุณนึกภาพออกไหม การลดขยะ บรรจุภัณฑ์ คุณนึกออกไหม พลังงานที่คุณใช้เพื่อดำรงชีวิต? ถ้าคุณมีบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คุณก็ยังต้องทิ้งถุงที่บรรจุ คุณยังต้องทำถุงบรรจุภัณฑ์ ส่วนผู้ที่กินแต่ผลไม้ คุณเพียงแต่ให้มันเปื่อยสลาย สิ่งที่คุณไม่กิน สิ่งที่คุณไม่ต้องการ และคุณก็มีอาหารหมุนเวียนตลอดไปแบบฟรี คุณทำรีไซเคิลคือปลูกเมล็ดใหม่

ถ : เนื่องจากการสัมภาษณ์อยู่ที่เม็กซิโกที่ซึ่งคุณ เจริโคกำลังสอนการฝึกฟิตเนสส่วนตัวอยู่รายการหนึ่ง เราถามเขาว่า เขาคิดอย่างไรเกี่ยวกับปี ๒๐๑๒  ที่นี่เราอยู่ใกล้กับแคนคูน เม็กซิโก ใจกลางความเจริญของชาวมายันโบราณ คุณจะบอกเราสักหน่อยได้ไหมเกี่ยวกับปฏิทินของชาวมายันและปี ๒๐๑๒ ที่จะมาถึง

ต : ผมรู้แน่นอนเรื่องปฏิทินชาวมายัน แต่ผมถูกดึงมาทางการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตวิญญาณ ผมเชื่อมั่นว่าผมถูกส่งมาที่นี่ด้วยเหตุผลบางอย่างแน่นอน มีแรงดึงดูดบางอย่างที่ต้องการให้ผมมาที่นี่เพื่อทำงานให้สำเร็จ อย่างน้อยก็มีบางอย่างที่จำเป็นต้องสำเร็จ บางอย่างต้องทำให้เสร็จที่นี่ โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าที่นี่ผมเรียนรู้การเป็นผู้กินอากาศของผมเพราะถ้าคุณอยู่รอดได้ในความร้อนแบบนี้ ในเงื่อนไขเหล่านี้ได้ ด้วยการเป็นผู้กินอากาศ คุณก็สามารถอยู่รอดได้ทุกที่ เชื่อผมได้ มันมีพลังทางด้านจิตวิญญาณที่นี่ พลังทางจิตวิญญาณที่มหัศจรรย์มาก หัวใจสำคัญของประเทศนี้ แก่นแท้ของพื้นที่นี้มหัศจรรย์มาก คุณจะพบว่ามันเกิดขึ้นพร้อมกัน ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาที่พอเหมาะพอดี ทันทีทันใดนั้นประตูทั้งหมดของคุณที่ปิดอยู่นั้นก็เปิดออกในเวลาที่พอดีของชีวิต คุณได้รับทุกสิ่งที่คุณต้องการมันน่าอัศจรรย์ สิ่งที่เกิดขึ้นกับผม ตั้งแต่ผมมาที่นี่  ในแบบนั้นและยิ่งผมพูดคุยกับผู้คนชาวมายันในเรื่องนี้ ปี ๒๐๑๒ ก็ยิ่งออกมาชัดและสิ่งต่างๆ เริ่มชัดเจนมากขึ้น และเรื่องปี ๒๐๑๒ ตอนนี้ สิ่งที่น่าเป็นไปได้สำหรับผม ผมไม่เชื่อว่ามันจะพินาศและหมดหวัง ตอนเที่ยงคืนของปี ๒๐๑๒ โลกจะสิ้นสุด ผมคิดว่ามันจะเป็นตรงกันข้าม ผมเชื่อว่า เราได้ผ่านพ้นการเปลี่ยนแปลงนั้นแล้ว และผมเชื่อว่าเราต้องตื่นขึ้นเวลานี้ ต้องทำเดี๋ยวนี้ รับฟังเดี๋ยวนี้ และเริ่มต้นใช้เวลานี้ให้เป็นประโยชน์

ถ :   เราต้องตื่นขึ้นในด้านไหน? เราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไร?

ต :  เราต้องตื่นขึ้นด้วยสัญชาตญาณของเรา เผ่าพันธุ์หรือเชื้อสายต่างๆ ที่มีอยู่นี้ เราต้องละทิ้งอัตตาของเรา ดาวโลกอยู่ในช่วงของการล้างพิษครั้งใหญ่ การชำระล้างครั้งใหญ่ และเราจำเป็นต้องหยุดการทำร้ายดาวโลก หยุดทำร้ายกันและกัน

ถ : คุณเจริโค เชื่อว่าการเป็นมนุษย์ที่เราอยู่ที่นี่บนดาวโลกเพื่อเรียนรู้การรักและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

ต : ผมเชื่อว่าคุณต้องดิ้นรนเพื่อสิ่งที่ดีที่สุดที่คุณสามารถทำได้ในชีวิตนี้ เพระว่ารูปร่างในรูปแบบนี้คุณมีได้แค่ร่างเดียว ผมเชื่อแน่ว่าเราอยู่ที่นี่เพื่อเป็นตัวตนที่มีความรัก ตัวตนที่ช่วยเหลือกัน

ถ : คุณคิดว่า อะไรที่สำคัญที่สุดที่เราควรได้รับจากชีวิต?

ต : ความรัก ความสุข และความพึงพอใจในทุกๆสิ่งที่เป็นไปได้ ที่คุณสามารถมีได้ ผมเจ็บปวดเมื่อผมเห็นเพื่อนๆ หรือคนที่รู้จัก แม้กระทั่งคนที่ผมไม่รู้จักเอาแต่บ่นเรื่องชีวิต เพราะว่าชีวิตมันคือสิ่งที่คุณทำกับมัน แน่นอน สิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับคนดี สิ่งที่คุณทำกับมันและผมพยายามทำความเข้าใจให้มากขึ้นในชีวิตได้อย่างไร เพื่อผมจะได้ส่งต่อให้คนอื่นๆ 






4537003696.swfถ : เราสามารถพูดอย่างชัดเจนว่าอะไรคือเป้าหมายของเราที่มาอยู่ในโลกนี้

ต : ผมจะยกตัวอย่าง ตัวผมเอง ผมเชื่อว่าวิญญาณของผมไม่ใช่ของโลกนี้ ผมเชื่อว่าวิญญาณของผมหรือจิตของผม ถ้าคุณจะเรียกมันอย่างนั้น มันเป็นมนุษย์ต่างดาว ผมไม่ได้พูดเรื่องนิยาย รู้ไหม แบทเทิลสตาร์ กาแลคติก้า หรือสตาร์วอร์ แบบนั้น แต่ผมเชื่อว่าเราเป็นวิญญาณหรือจิตอยู่ในยานพาหนะ ด้วยเหตุใดก็ตามผมไม่ระบุลงไป เพราะผมไม่รู้ แต่ผมเชื่อว่าเป้าหมายของเราคือให้รู้จักรักและช่วยเหลือมนุษยชาติ วิญญาณที่อยู่ในโลกนี้ เพราะผมคิดว่ามีวิญญาณอยู่สองอย่าง พูดแบบคนธรรมดามีวิญญาณอยู่สองอย่างวิญญาณทางโลกและวิญญาณที่ไม่ใช่ทางโลก ผมเชื่อว่าผมเป็นวิญญาณที่ไม่ใช่ทางโลก ผมเชื่อว่ามีอีกมากมายหลายพันที่อาจจะเป็นเทวดา ผู้คนอาจรู้จักเทวดา ,ไลท์ เวิร์คเกอร์ ผู้ทำงานของแสง นั่นอาจเป็นคำที่คุ้นเคยกว่า และผมเชื่อว่าเป้าหมายของผม เป้ามหายที่พิเศษของผมคือช่วยเหลือวิญญาณอื่นๆ ที่ไม่ใช่วิญญาณมนุษย์ เทวดา ,ไลท์ เวิร์คเกอร์ ไม่ว่าคุณจะเรียกมันอย่างไร ให้พวกเขาพัฒนาและเข้มแข็ง และปรับตัวเพื่อเราสามารถจัดการกับการเปลี่ยนแปลงที่จะมาถึง แล้วเราจะพบหนทางกลับบ้าน

ถ : อะไรคือ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราต้องทำบนโลกนี้?

ต : มันคือการตระหนักรู้ว่าเราทุกคนมีหนทางของตนเอง อย่างที่ผมบอก ผมไม่เชื่อว่าเราเหมือนกันหมด ผมเชื่อว่าเราแตกต่างกันในแง่ที่ว่าบางคนเป็นวิญญาณทางโลก บางคนไม่ใช่วิญญาณทางโลก ผมเชื่อว่าตัวผมเป็นชาวกินอากาศเป็นสภาวะดั้งเดิมของผม ดังนั้นร่างกายของผมหรือธรรมชาติของผมหรือตัวตนทางจิตวิญญาณจะคอยหาทางกลับไปสู่สภาะดั้งเดิมของมันเสมอ ซึ่งสำหรับผมก็คือการเป็นผู้กินอากาศ สำหรับคนอื่นก็แล้วแต่ว่าพวกเขามาจากไหน ในอวกาศ , กาแลคซี่ อะไรก็ตาม มันก็อาจจะเป็นผลไม้ ดังนั้นคนอื่นๆ อาจจะต้องการพัฒนาวิธีที่จะเป็นผู้กินแต่ผลไม้ และพวกเขาอาจจะไม่รู้ว่า ทำไมพวกเขาถูกดึงมาตรงนี้ พวกเขาอาจจะไม่รู้ว่าทำไมสัญชาตญาณดึงพวกเขามาทางนี้อย่างแรง

ถ : เมื่อการสัมภาษณ์มาถึงตอนสุดท้าย คุณเจริโค เล่าให้เราฟังถึงเป้าหมายส่วนตัวสำหรับอนาคต

ต : ผมอยากจะช่วยเหลือและถ่ายทอดให้คนจำนวนมากๆ เท่าที่เป็นไปได้เหมือนกับที่ช่วยตัวผมเอง ผมต้องการจะเป็นคนดีที่สุดเท่าที่ผมเป็นได้ ผมต้องการเป็นสามีที่ดีที่สุด พ่อที่ดีที่สุด พี่ชายที่ดีที่สุด ลูกชายที่ดีที่สุด ดีที่สุดในทุกๆ สิ่ง เพื่อนที่ดีที่สุดที่ผมเป็นได้และผมต้องการทำสิ่งที่ผมอยากทำในชีวิตนี้ให้สำเร็จ ผมต้องการมีความสุขสนุกสนาน นั่นเป็นอนาคตโดยพื้นฐาน

ถ : สำหรับเจริโค ความสุขสนุกสนานดีที่สุด

ต : ดีที่สุด

ถ : ขอบคุณคุณเจริโค สำหรับการแบ่งปันให้เราและท่านผู้ชมในสไตล์ชีวิตที่ไม่กินอาหาร ขอให้สวรรค์อวยพรคุณในความพยายามที่มีความรักที่จะช่วยเหลือมนุษยชาติ






สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณารับชมที่ www.SupremeMasterTV.com/BMD 				
8 มีนาคม 2558 00:28 น.

โลกนี้คือโรงละครที่สำหรับพวกเรา เล่นกัน....

คีตากะ

623862sk39y2sogf.gif











ปาฐกถาโดยอนุตตราจารย์ชิงไห่ด้วยภาษาจีน ณ ที่ธรรมสถานซีหู ฟอร์โมซา
เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๑๙๙๔




      เดิมทีเดียวพวกเราได้อยู่กับพระผู้เป็นเจ้าด้วยกัน เราเป็นหนึ่งเดียวกับองค์พุทธเจ้าที่สูงสุด ในกาลครั้งนั้นจักรวาลไม่มีเรื่องใดที่จะต้องให้พวกเราทำ มันว่างเปล่าไปหมดเหมือนดั่งเช่นมหาสมุทรแห่งความรัก ไม่มีการมาและไม่มีการไป เงียบสงบและก็ไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่มีสิ่งที่น่าสนใจใดๆ ทั้งสิ้น ฉะนั้นเมื่อพระผู้เป็นเจ้าหรือผู้ให้กำเนิดจักรวาลมีความคิดที่จะให้จักรวาลของพวกเรามีการเคลื่อนไหวบ้าง มีเวลาให้แสดงลีลาลวดลาย พวกเราทั้งหลายก็ต่างเห็นด้วย หลังจากเห็นด้วยด้วยความปิติยินดีแล้ว พวกเราต่างก็ได้แบ่งปันงานส่วนหนึ่งของผู้สร้างจักรวาล แต่ละคนล้วนต้องรีบไปทำหนึ่งสิ่ง แต่ละคนต้องแสดงไปตามบทที่กำหนดให้ ดังนั้นพวกเราจึงมีผิวพรรณที่แตกต่างกันหลายอย่าง มีอุปนิสัยที่ต่างกัน และยังมีอารมณ์ที่ต่างกัน ต่างคนต่างมีบทบาทของตน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงมีการสร้าง มีจักรวาลปรากฏออกมา จึงมีดาวดวงนี้ ดาวดวงนั้น มีประเทศนี้ ประเทศนั้น มีคนคนนี้ คนคนนั้น 
ขณะที่พวกเราลงมาก็ถือโอกาสพกพา เครื่องมือ หรือ ของเล่น ติดตัวลงมาด้วย อย่างเช่น อุปนิสัยของพวกท่าน มีบทบาทคือพวกของเล่นเพราะว่าเราได้สร้างมันออกมาแล้ว เราก็ต้องทำลายมันให้หมดไปด้วย เพราะเหตุว่ายังต้องมีการพักผ่อน และสร้างสิ่งใหม่อีก สมมุติว่าท่านได้สร้างอุปนิสัยที่ค่อนข้างเลวออกมา หรืออาจจะมีความกร้าวร้าวเเอะอะมะเทิ่งหรือชอบฆ่าคน แม้ว่าบทบาทของท่านคืออย่างนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเล่นอย่างนี้ตลอดไป เพราะว่าบทบาทที่เราสวมบทอยู่นั้นมีขอบเขตจำกัด อย่างมากก็ให้ท่านเล่นกันสักร้อยปีหรืออย่างมากก็ให้ท่านฆ่าคนสักสามสี่คนเท่านั้น เรื่องทั้งหมดก็เพื่อที่จะให้ละครเรื่องนี้สืบต่อกันเพื่อที่จะให้จักรวาลเคลื่อนไหวหมุนกันต่อไป ทั้งสิ่งดีและสิ่งชั่วมีการเวียนว่าย แต่ว่าท่านไม่สามารถฆ่าติดต่อกันเช่นนี้เรื่อยไป หรือว่าท่านไม่สามารถจะกร้าวร้าวเอะอะมะเทิ่งเช่นนี้ต่อไปอีก ในที่สุดท่านเองก็ยังคงต้องทำลายอุปนิสัยนั้นให้หมดสิ้นไป
ท่านสร้างอุปนิสัยที่ตนเองอยากเป็นก็เพื่อที่ติดตามตัวท่านมาเล่นด้วยกัน เมื่อเล่นจบแล้วเครื่องมืออันนั้น อุปนิสัยเลวร้ายนั้นตัวเองควรทำลายมันไป จะทำลายมันได้อย่างไรเล่า? ตนเองควรต้องพยายามกำจัดอุปนิสัยนี้ เดิมทีเดียวอุปนิสัยเพียงเพื่อตามลงมาเล่นกับพวกเราเท่านั้น แต่เนื่องจากมันเป็นสิ่งไม่ดี ดังนั้นท่านก็ควรที่จะทำลายมันไป การทำลายนั้น ไม่ใช่จะให้คนอื่นมาช่วยท่านทำลายมัน ท่านเองควรเป็นผู้ทำลายอุปนิสัยนี้ด้วยตนเอง ทำให้อุปนิสัยนี้หลอมละลายไป ภายหลังท่านจึงจะกลับไปยังคุณสมบัติที่อยู่ในภาวะไม่ดีไม่เลว เข้าใจความหมายของอาจารย์ไหมล่ะ? มิฉะนั้นแล้วท่านก็จะพกพาอุปนิสัยอันนั้นติดตัวอยู่ในวังวนเวียนว่ายอยู่ในจักรวาล เป็นมลทินกับตนเองและยังไปเปรอะเปื้อนคนทั่วไป ถ้าไม่ชำระล้างมันออกไปก็จะไม่มีวิธีใดอีกที่จะหวนกลับมายังจิตเดิมแท้อันเก่าก่อน ที่ยังไม่ได้เล่นละครกัน
จะอย่างก็ตามก่อนท่านจะตายไป ถ้ายังไม่ได้ทำลายอุปนิสัยของตน ท่านก็จะกลับไปยังที่เดิมไม่ได้ เพราะเหตุว่าก่อนที่เรายังไม่ลงมานั้น เดิมทีเดียวไม่มีของเล่นเหล่านี้ ไม่มีคุณสมบัติเช่นนี้ ไม่มีอุปนิสัยเหล่านี้ เวลานั้นเราอยู่อย่างเรียบง่ายอยู่ในทะเลแห่งความรักและความบริสุทธิ์มีความรักเช่นเดียวกับความรักของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสมบูรณ์และมีความสามารถทุกอย่าง เนื่องจากมาเล่นยังสหโลกธาตุเพื่อเล่นละครทำให้จักรวาลมีการเปลี่ยนแปลงลีลาลวดลายที่ต่างกันไป ทำให้มันน่าเล่น ดังนั้นจึงต้องพกคุณสมบัติ (อุปนิสัย) บางอย่างมาเล่นเหมือนดังผู้ที่เล่นละครกัน
เดิมทีเราเป็นพระบุตรและพระธิดาของพระผู้เป็นเจ้า เป็นเอกภาพเดียวกันกับพระผู้เป็นเจ้า ต่อมาเพราะว่าพวกเราได้ทำสัญญากับพระผู้เป็นเจ้าทุกคนต่างต้องการเล่นด้วยกัน พวกเราสนับสนุนโครงการกำเนิดสร้างของพระผู้เป็นเจ้า ทุกคนเห็นด้วยแล้ว ดังนั้นจึงกำเนิดสร้างตามโครงการ โดยสร้างเป็นทวีปอัฟริกา ทวีปยุโรป ทวีปอเมริกา....ควรเป็นอย่างไร ฟอร์โมซา กัมพูชา ประเทศไทย....ควรเป็นอย่างไรอีก ต่างก็มีอุปนิสัยที่แตกต่างกัน ต่างมีลีลาลวดลายที่ต่างกัน แต่ว่าบางเวลาพวกเราลงมาเล่นมากเกินไปเสียแล้ว ลืมล้างเครื่องสำอางค์ที่แต่งหน้าตาของตนเองในบทบาทของละคร ลืมถอดหน้ากากและเล่นไม่ยอมเลิก พวกเราลืมพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า เล่นไปเรื่อยๆ หยุดไม่ได้ ดังนั้นทางสหโลกธาตุในปัจจุบันนี้จึงไม่สนุกอีกต่อไป ยิ่งเล่นยิ่งแย่
มาบัดนี้พวกที่เบื่อที่จะเล่น พวกที่รู้ดีว่าเมื่อเล่นจบแล้วก็ต้องพักผ่อนกัน ควรนำเอาคุณสมบัติที่ตนเองขอยืมมาจากภูมิภพที่สองนั้นทำลายให้หมดสิ้นไป เหนือภูมิภพที่สองขึ้นไปก็ไม่มีอุปนิสัยเหล่านี้แล้ว แม้แต่มันสมองซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ที่อยู่ภายในของเราก็ไม่ต้องใช้มันอีก เบื้องบนนั้นไม่ต้องการเครื่องมือเหล่านี้ ไม่มีเวรกรรม ก็ไม่มีความต้องการอุปนิสัยใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ต้องการความดีความเลวใดๆ เดิมทีเดียวนั้นมันเรียบๆ จืดชืดกัน ในปัจจุบันถ้าเราต้องการกลับบ้าน ก่อนอื่นต้องนำเอาคุณสมบัติ เครื่องมือ หลอมละลายไปให้หมด เอาอุปนิสัยที่พวกเราขอยืมมานั้นทำลายให้หมดแล้วจึงจะกลับไปยังสภาพเดิมได้ เข้าใจความหมายของอาจารย์ไหมเล่า? เพราะพวกท่านมาเล่นอยู่ที่นี่นานเกินไปเสียแล้ว ดังนั้นจึงลืมไปเลย จึงยังเล่นต่อไปเรื่อยๆ
ถ้าต้องการกลับไปในปัจจุบัน ก็ต้องติดตามอาจารย์ เชื่อฟังการชี้แนะของอาจารย์ เอาสิ่งที่ไม่ดี เครื่องมือที่ขอยืมมาทำลายมันไป ไม่โลภอีก ไม่โกรธอีก ไม่หลงอีก ไม่ดื่มเหล้า ไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่มีอุปนิสัยที่เลว ถ้าพวกท่านปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ไม่ลง ก็ต้องอยู่ที่นี่กันต่อไป เป็นเพราะอะไรเล่า? เพราะเครื่องมือชนิดนี้และคุณสมบัติอย่างนี้มันเป็นของที่นี่ ถ้าเรายังคงยึดอยู่กับสิ่งเหล่านี้เราก็ต้องอยู่ที่นี่ อยู่กับสิ่งที่เราพกพามา ไม่พกพาสิ่งเหล่านั้นจึงจะขึ้นไปได้
เหมือนกับถ้าพวกเราพวกเราจะเข้าพบท่านประธานาธิบดีกัน ถุงและสิ่งของที่พวกท่านพกพาเมื่ออยู่ข้างนอก บางครั้งก็พกพาปืน แต่พอเข้ามายังทำเนียบประธานาธิบดีสิ่งของเหล่านั้นไม่สามารถเอาเข้าไปโดยต้องวางไว้ข้างนอก ถ้าท่านไม่คิดที่จะวางอาวุธ ไม่คิดที่จะเอาถุงเหล่านั้น.... รวมทั้งสิ่งของต่างๆ ให้ไว้กับตำรวจที่รักษาความปลอดภัย ท่านก็จะไม่สามารถเข้าไปพบประธานาธิบดีได้ ในทำนองเดียวกัน ถ้าพวกเรายังมีความโลภ ความโกรธ ความหลง และจิตใจที่มีต่อลาภยศสรรเสริญอีก และยังมีคุณสมบัติของความชั่วร้ายอีก ก็จะไม่สามารถขึ้นไปพบจ้าวแห่งจักรวาล เพราะว่าข้างบนโน้นไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้
ขณะที่พวกเรามายังสหโลกธาตุ เพื่อเล่นสนุกด้วยกันมีบางคนเลือกเอาคุณสมบัติที่เลวกว่า บ้างก็เลือกเอาตำแหน่งที่สูงส่งกว่า ตามข้อเท็จจริงแล้ว เมื่ออยู่ในโลกนี้ พวกเราจึงจะมีความดี ความเลว จึงจะมีการดูคนเป็นคนดีหรือเป็นคนเลว จึงมีการดูคนว่าเป็นคนชั้นสูงหรือเป็นคนชั้นต่ำ มิฉะนั้นแล้วขณะที่พวกเราเลือกอยู่ข้างบนไม่มีใครที่เจาะจงจะเลือกอะไรหรอก เหมือนกับว่าพระผู้เป็นเจ้าทิ้งคุณภาพต่างๆ เป็นกองใหญ่โตอยู่ที่นั่นมีทั้งดีทั้งเลว ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความกร้าวร้าวระรานฉุนเฉียว และความใจดี ปล่อยให้เราหยิบไปสวมใส่อย่างใดอย่างหนึ่ง เหมือนกับสวมเสื้อผ้า โดยไม่มีใครบ่นว่าตำแหน่งนี้ไม่ดี เขาไม่เอา เขาอยากเป็นพระเจ้าแผ่นดิน หรือว่าเขาไม่ต้องการเป็นตำรวจ เวลานั้นไม่มีใครคิดเช่นนี้
พวกเราขณะที่อยู่ข้างบนนั้นทั้งหมดมีความเสมอภาพกันหมด ไม่สนใจต่อลาภ ยศ สรรเสริญ และก็ไม่คำนึงถึงความยากจน อาภัพอับโชค หรือว่าหุ่นดีหรือไม่ดี เป็นต้น เพราะว่าพวกเราเห็นด้วยกับพระผู้เป็นเจ้าที่จะร่วมกันสร้างจักรวาล ซึ่งควรจะให้มีลวดลายหลายแบบ ควรมีมนุษย์ มีสัตว์ มีดอกไม้ มีต้นไม้ เป็นต้น
และโดยที่พวกเราแต่ละคนยินดีที่จะรับบทบาทใดบทบาทหนึ่งซึ่งอยู่ในโครงการณ์กำเนิดสร้างเลือกเอาอุปนิสัยมาสักอย่าง แต่ว่าหลังจากทำตามบทบาทกันแล้ว ก็ต้องทำลายคุณสมบัตินั้นให้หมดไป ไม่ให้มันพเนจรอยู่ในจักรวาล เพราะว่าดั้งเดิมของจักรวาลนั้นมันเรียบง่ายมาก สะอาดบริสุทธิ์ยิ่งนัก มีแต่ความรักความเมตตา ดังผืนน้ำมหาสมุทรเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่สามารถให้คุณภาพนั้นๆ หลงเหลืออยู่
ถ้าไม่ทำลายให้หมดไป สุดท้ายยังไม่มีวิธีที่จะต่อสู้กับการบ้านนี้ของตนเองให้เสร็จเรียบร้อย ไม่ได้ฝึกหัดทำให้ได้ ขจัด ทำลายคุณสมบัตินั้น พวกเราก็จะต้องเก็บมันไว้ในกระเป๋าของตนเอง เหมือนกับว่าไม่ได้ใช้เงินที่เหลือ ยังเก็บไว้ในกระเป๋าฉันใดฉันนั้น แล้วถ้าครั้งต่อไปยังมาอีก ก็ต้องเลือกเครื่องมืออย่างอื่นอีกอัน คุณภาพอีกอย่างจึงจะลงมาได้
ไม่มีใครที่ลงมาด้วยความสมบูรณ์อย่างบริบูรณ์ ตั้งแต่เกิดมาถึงขึ้นตอนนั้นๆ ก็จะต้องไม่สมบูรณ์หมายความว่าต้องมีคุณภาพเลวๆ หลายอย่าง ดังนั้น ถ้าครั้งก่อนท่านไม่ได้ทำลายคุณสมบัติอันนั้นการมาจุติในสหโลกธาตุครั้งใหม่นี้ก็ต้องเลือกเอาคุณภาพเน่าเฟะอีกอันหนึ่ง มันก็จะกลายเป็นสองอันไป มาถึงตอนนี้ท่านจะต้องลำบากแน่นอน ครั้งนี้ยังไม่ทำลายมันอีก ครั้งต่อไปก็จะกลายเป็นสามอันกัน และแล้วท่านก็จะยิ่งแย่ลง ทำผิดพลาดมากขึ้นๆ และแล้วครั้งที่สามก็ยังไม่ทำลายมันอีก ก็จะกลายเป็นที่สี่ ที่ห้า ที่หก เจ็ด แปด จนยุ่งเหยิงไปหมด(อาจารย์กับทุกคนหัวเราะกันใหญ่) ดังนั้นพวกเราจึงพูดว่ามีคนบางจำพวกแย่มาก เพราะว่าเกิดมาทุกชาติบำเพ็ญไม่ดี ไม่ได้เรียนรู้บทเรียนแต่ละอย่างให้ดี ไม่ทำลายคุณสมบัติเลวเหล่านั้นให้หมดสิ้นไป ซ้ำมาอีกแต่ละครั้งยังเพิ่มมาอีกหลายอย่าง แถมยังไปเลียบแบบเพื่อนบ้านข้างเคียง ทวีความเลอะเทอะสกปรกขึ้นอีกด้วย
ดังนั้นพวกเราบำเพ็ญได้ยิ่งเร็วยิ่งดี จงอดทนต่อไป ถ้าเรามีคุณสมบัติอะไรที่ไม่ดี จงทำลายมันเต็มที่ มิเช่นนั้นแล้วครั้งต่อไปก็ยิ่งรับประกันไม่ได้ว่ามันจะดีขึ้น (อาจารย์หัวเราะ) สัมภาระมากเกินไปก็จะเอาไปไม่ไหว เริ่มแรกเดิมทีตอนที่ลงมานั้นล้วนมีแต่กระเป๋าเปล่าๆ กัน กระโดดทีเดียวก็ลงไปแล้ว แต่พอเดี๋ยวนี้จะขึ้นไป ว้าว ! เครื่องมือมากเหลือเกิน ความเคยชินมากมาย ภาระมากมายแล้ว ล้วนเป็นสัมภาระที่ไม่จำเป็น พวกเราได้ทำงานกับมันจนชินไปแล้ว ดังนั้นในปัจจุบันเราละทิ้งมันไม่ลง ความยากลำบากก็อยู่ตรงนี้แหละ เพราะว่าจิตใจที่ยึดติดกับสิ่งเหล่านี้มันถึงขั้นสาหัสมาก
คุณสมบัติเลวของพวกเราเหล่านั้นก็เป็นการยึดติดของทางจิตใจชนิดหนึ่งเหมือนกัน ถ้าเราสามารถปล่อยวางเราก็จะหลุดพ้นทันที  ดังนั้นจึงมีคำพูดว่า “วางมีดสังหารจักบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าทันที” ไม่เพียงแต่มีดสังหารเท่านั้น สิ่งใดก็ตามที่ผูกมัดเราให้อยู่ที่นี้ล้วนเป็นเช่นเดียวกัน ดังนั้น หากพวกท่านอยากจะกลับ “บ้าน” ตนเองต้องขยันบำเพ็ญให้ดี

----------------------------------------------------------------------------------------------------------
				
Lovers  0 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 0 คน
Lovers  4 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ