26 เมษายน 2554 08:05 น.

เหนือมาตรฐานทางศีลธรรม...

คีตากะ

1861941opp926bkbr.gifปราศรัยโดย Suma Ching Hai
ศูนย์เทียนซัน ฮ่องกง
๑ เมษายน ๑๙๙๔ (เดิมเป็นภาษาจีน)




      ครั้งหนึ่งพระเยซูกำลังพูดอยู่ในที่สาธารณะ แล้วในทันใด คนจำนวนมากมายที่เรียกว่าเป็นผู้มีชื่อเสียง มีสติปัญญาและมีความรู้ก็ก็มากับผู้ที่ได้รับความเคารพยกย่องอย่างสูงในโบสถ์ อย่างเช่น บาทหลวง เป็นต้น พวกเขาได้ลากผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งได้กระทำผิดประเวณี ในตอนนั้นผู้หญิงคนใดที่ได้กระทำผิดประเวณี จะต้องถูกขว้างปาด้วยก้อนหินจนถึงแก่ความตาย มีวิธีการ ๓ อย่างในการฆ่าคนบาปในตอนนั้น วิธีการหนึ่งก็คือขว้างปาพวกเขาด้วยก้อนหิน อีกวิธีหนึ่งก็คือโยนพวกเขาลงไปในกรงสิงโต และอีกวิธีหนึ่งก็คือตรึงกางเขนพวกเขา พระเยซูถูกตรึงกางเขน แต่ผู้หญิงคนนี้จะต้องถูกขว้างปาด้วยก้อนหินจนถึงแก่ความตาย
    พวกผู้ชายที่มีเกียรติพวกนั้นได้ท้าทายพระเยซูโดยถามว่า “ตามกฎของโมเสส ผู้หญิงคนนี้ควรจะถูกปาด้วยก้อนหินให้ตาย ท่านคิดอย่างไร?” พระเยซูไม่ตอบอะไรเพียงแต่เขียนลงบนทรายด้วยนิ้วของพระองค์ว่า “กลุ่มคนโกหก” ผู้คนเหล่านั้นเฝ้ารุกเร้าพระองค์ ดังนั้นในที่สุดพระองค์จึงพูดว่า “ใครคนใดในพวกเธอที่ไม่เคยทำบาป แล้วเห็นว่าตัวเองเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ที่สุดและศักด์สิทธิ์ที่สุด ก็ขอเชิญขว้างก้อนหินก้อนแรกได้เลย” เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ทุกคนก็ค่อยๆ หลบออกไปอย่างเงียบๆ และอย่างรวดเร็ว (ท่านอาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ) สุดท้ายพระเยซูก็ถูกปล่อยให้อยู่คนเดียวกับผู้หญิงที่ได้ทำบาปนั้น พระองค์ถามหล่อนว่า “คนที่กล่าวร้ายเธออยู่ที่ไหน? ไม่มีผู้ชายคนใดที่กล่าวโทษเธอหรือ?”
    หล่อนตอบว่า “ไม่มีชายใด”
    แล้วพระเยซูก็พูดกับหล่อนว่า “ฉันก็ไม่ต้องการที่จะกล่าวโทษเธอเหมือนกัน ตอนนี้เธอกลับไปบ้านได้แล้วละ”
    (ท่านอาจารย์ถอนหายใจ) เรื่องนี้ย้ำเตือนพวกเราบางอย่าง ไม่มีใครในโลกนี้ที่ไม่เคยทำบาป นอกจากนั้น ไม่ว่าคนนั้นจะเคยทำบาปหรือไม่ก็ตาม ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ภูมิหลังและระดับการรู้แจ้งของเธอ สิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมและจริยธรรมของโลกนี้นั้นแตกต่างจากการมองของนักบุญที่แท้จริง ผู้ที่ได้บรรลุถึงระดับสูงสุดของการรู้แจ้ง มองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ พวกเขาไม่แม้กระทั่งจินตนาการหรือคิดถึงคำเหล่านี้ ฉันไม่รู้ว่าจะอธิบายระดับนี้ให้เธอฟังได้อย่างไร
    เมื่อเธอเริ่มต้นบำเพ็ญทางจิตวิญญาณเป็นครั้งแรก เธอเห็นความแตกต่างระหว่างดีและชั่ว แต่ความแตกต่างค่อยๆ จางหายไปเมื่อเธอบำเพ็ญมากขึ้น นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และยากที่จะอธิบายให้คนอื่นฟัง เธอเพียงแต่รู้มัน และเธอจะไม่คิดมากกว่าอะไรคือดีหรือชั่ว ยกเว้นเมื่อเธอสอนลูกศิษย์ของเธอ เพราะพวกเขาอยู่ ณ ระดับนั้นที่เธอจะต้องอธิบายคำเหล่านั้นให้พวกเขาฟัง มิฉะนั้นแล้วจริงๆ แล้ว เธอไม่ต้องการที่จะพูดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้นเลย และไม่มีอะไรที่สำคัญกับเธอเลยจริงๆ เพราะเธอมีมุมมองที่ต่างออกไป
    เธอมองจากข้างบนลงล่างและกลายเป็นคนที่มีความอดทนมาก เหมือนอย่างการดูภาพยนตร์ เธอจะไม่ดุด่าคนที่ไม่ดีอย่างโกรธเคือง เพราะเธอรู้ว่าเขากำลังเล่นบทบาทของเขาเท่านั้น และเธอจะไม่ยกย่องคนดีอย่างมากมาย เพราะเธอรู้ว่าเขากำลังเล่นบทบาทของเขาด้วยเหมือนกัน
    สิ่งที่เราเรียกว่าดีหรือชั่วในตัวบุคคลนั้นคือนิสัยความเคยชินหรือพฤติกรรม ไม่ใช่ดวงวิญญาณในบุคคลผู้นั้น ดวงวิญญาณของเราสามารถรู้หลายสิ่งหลายอย่าง แต่ฉันไม่อาจที่จะบอกได้ทั้งหมด เพราะมันยากที่จะบรรยาย แม้ว่าฉันจะรู้ในเรื่องนั้นเป็นอย่างดีมาก เกี่ยวกับเรื่องสิ่งที่เรียกว่าอาชญากรรมที่หนักหนาสาหัสในสังคมของเรา ฉันก็มีมุมมองที่ต่างออกไป แต่ฉันไม่สามารถที่จะบอกรายละเอียดทุกแง่มุมให้เธอฟังได้ หลายคนจะไม่เข้าใจ และฉันก็ไม่สามารถพูดได้อย่างกระจ่างชัดเช่นกัน
    เหตุนี้ฉันถึงได้บอกให้เธอทำสมาธิทุกวัน แล้วเธอก็จะตระหนักรู้ด้วยตัวเธอเอง ฉันเพียงแต่ให้ภาพมองรวมๆ แก่เธอเพื่อนำเธอไปสู่การตระหนักรู้ทางจิตวิญญาณของเธอ เมื่อเธอไปไกลขึ้น เธอก็จะค่อยๆ เข้าใจว่าทำไมฉันจึงพูดว่าเราจะไม่มีใจที่แบ่งแยกระหว่างดีและชั่ว เมื่อเราได้รับผลมากขึ้นจากการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณ
    เมื่อเราเป็นอิสระจากความมีใจแบ่งแยกนี้ เราจะยกโทษให้กับศัตรูของเราได้อย่างง่ายดาย แล้วเราก็จะไม่โกรธคนที่ทำให้เราเจ็บปวด เราจะลืมทุกอย่างอย่างรวดเร็วมาก และจะไม่รู้สึกแย่นัก แม้ถ้าเรารู้สึกแย่ ก็จะเป็นความรู้สึกแย่สำหรับผู้อื่นแทนที่จะรู้สึกแย่สำหรับตัวเรา....



Be Veg, Go Green 2 Save The Planet				
16 พฤศจิกายน 2563 15:01 น.

ศีลธรรมพื้นฐานของการเมือง....

คีตากะ

1861992pyofcsb3p3.gif










ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
ที่ศูนย์ซีหู หมู่เกาะฟอร์โมซา
วันที่ ๒๙ เมษายน ๑๙๙๒
(เดิมเป็นภาษาจีน)




      ในโลกของเรานี้ นักการเมืองไม่สามารถให้ชีวิตที่สงบสุขแก่ประชาชนของเขาด้วยการใช้โครงการอันเฉลียวฉลาดหลักแหลมทางด้านการเมืองหรือด้วยการวางแผนอันดีเลิศ ศีลธรรมควรมาก่อน หากผู้คนมีศีลธรรมโลกก็จะสงบปลอดภัยและเป็นสุข ไม่มีความจำเป็นต้องมีการเมือง ไม่มีความจำเป็นต้องโต้แย้งกัน ไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธ ไม่จำเป็นต้องควบคุมคน หรือไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีตำรวจหรือกองทัพใดๆ ไม่มีความจำเป็นไม่ว่าในเรื่องใดอีกต่อไป มันน่าเสียดายที่ผู้นำของหลายประเทศในโลกนี้ ไม่เข้าใจเรื่องนี้เท่าไรนัก
ถ้าเธอไปพูดกับนักการเมืองบางคนว่า “ฉันมีวิธีที่จะช่วยเหลือประเทศของคุณให้เป็นประเทศที่สุขสงบ”  เขาก็จะตอบเธอกลับมาว่า “สิ่งที่ประเทศของเราต้องการก็คือ อาหารและเงิน” เขาจะไม่สนใจเรื่องศีลธรรม พวกเขาไม่ได้คิดถึงข้อความที่ว่า “จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าให้พบก่อน และจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างอื่นๆ ก็จะมาสู่ตัวคุณ” ฉันไม่ได้พูดว่าไม่มีใครเลย เพียงแต่มีไม่กี่คนเท่านั้น และถึงแม้จะมีผู้นำที่ดี ก็ยังเป็นเรื่องยากถ้าประชาชนที่อยู่เบื้องล่างเขาเป็นคนไม่ดี เขาก็จะเอาเงินมาซื้อตำแหน่งกับคนที่มีเงินก็ยังสามารถเข้ามาได้ (อาจารย์หัวเราะ) โดยทั่วไปมันเป็นแบบนั้น ดังนั้นผู้ที่มีความสามารถก็ไม่สามารถรับใช้ประเทศชาติของเขาได้ ถ้าพวกเขาไม่มีเงินมาก ไม่มีใครที่จะฟังพวกเขา
ในสมัยโบราณ พระเจ้าแผ่นดินและรัฐบาลได้แสวงหาอาจารย์ผู้รู้แจ้ง ผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ผู้ซึ่งมีศีลธรรมและปัญญา เพื่อที่จะปรึกษาหารือพวกเขาเกี่ยวกับการปกครองชาติ บางประเทศก็ยังทำอย่างนี้ในปัจจุบัน! แต่ว่ามีน้อยมากๆ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมโลกจึงตกต่ำลงและมีสงครามและภัยพิบัติมากมายหลายอย่าง เป็นเพราะว่าผู้นำสามารถมีผลกระทบต่อทั้งชาติ ประชาชนจะฟังสิ่งที่เขาพูด อย่างน้อยที่สุดเขาก็มีโอกาสแสดงความคิดเห็นของเขา สถานีวิทยุหรือโทรทัศน์ทั้งหมดและหนังสือพิมพ์ก็เผยแพร่ความคิดของเขา ถ้าความคิดของเขาดีและประเสริฐ แน่นอนชาติทั้งชาติก็จะได้รับผลด้วย มันไม่สำคัญว่าประชาชนจะชอบมันหรือไม่ เมื่อพวกเขาได้ฟังในตอนแรก หลังจากได้ฟังแล้วจิตใจของเขาก็ต้องบันทึกเก็บมันไว้ ทั้งสิ่งที่ดีและสิ่งที่เลวด้วยเช่นกัน ดังนั้นอิทธิพลจึงมีมากเหลือเชื่อ!
ถ้าหากว่าเธอไปดูในนรก เธอจะเห็นว่ามันเต็มไปด้วยผู้นำของโลก มันน่ากลัวมากเพียงเพราะพวกเขาไม่รู้เรื่องนี้! เพราะคนๆ หนึ่งมีอิทธิพลต่อคนมากมายหลายคน และทั้งโลกด้วย ถ้าหากเขานำประชาชนไปในทางที่ผิด แน่นอนเขาจะสร้างกรรมจำนวนมากอย่างไม่น่าเชื่อ ดังนั้นถ้าเราเป็นประชาชนธรรมดา ก่อนที่เราจะมีความก้าวหน้ามากในการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณของเรา เมื่อเราไม่มีปัญญาหรือความสามารถหลายอย่าง เราก็ยังมีโอกาสที่จะได้รับการช่วยเหลือ มีโอกาสที่จะบรรลุการหลุดพ้นชั่วนิรันดร์ ถ้าหากว่าเราไม่มีความสามารถใดๆ ไม่มีศีลธรรม ไม่มีความรักและไม่มีปัญญา แล้วก็ปีนขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงมากและเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญทั้งหลาย เราก็จบกัน! (หัวเราะ) มันอันตรายมากจริงๆ เธอเข้าใจไหม? กรรมของเราก็จะเพิ่มขึ้นนับพันล้านเท่า
สำหรับเราประชาชนตัวเล็กๆ จะมีสักกี่คนที่เราสามารถมีอิทธิพลต่อเขาได้ ที่เราสามารถมีอิทธิพลได้มากที่สุดก็คือลูกของเรา เราสามารถสร้างตัวอย่างที่เลวได้สำหรับเฉพาะลูกของเรา หรือภรรยาหรือสามีของเราเท่านั้นไม่ใช่หรือ? และยังมีเพื่อนๆ และญาติพี่น้องด้วย หากพวกเขาเชื่อฟังในสิ่งที่เราพูด ฉะนั้นเราจึงไม่มีอิทธิพลมากมายนัก ถ้าเราเป็นคนใหญ่โต แน่นอนอิทธิพลของเราจะมีมากเหลือเชื่อ เราจะดึงดูดแรงในด้านลบและระดับต่ำที่คล้ายคลึงกับของเรา ทำให้โลกทั้งโลกยิ่งเป็นไปทางด้านลบมากขึ้นสั่นคลอนมากขึ้น มุ่งไปสู่ทิศทางนั้นและก็ยิ่งเพิ่มกำลังด้านลบมากยิ่งขึ้นอีก กรรมก็จะกลายเป็นหนักยิ่งขึ้น นั่นคือเหตุผลว่าทำไมนรกจึงเต็มไปด้วยพระเจ้าแผ่นดิน มันแย่มาก แย่มากจริงๆ
มันก็ทำนองเดียวกับพวกที่เรียกกันว่าผู้บำเพ็ญ ถ้าพวกเขาไม่ได้เข้าถึงเต๋าอย่างแท้จริง ไม่ได้เข้าใจอย่างแท้จริง ไม่ได้มีธรรมวิถีที่ถูกต้องและไม่ได้ครอบครองสัจธรรม คุณความดีและความงามที่อยู่ภายในแล้ว พวกเขาก็ก้าวขึ้นไปบนเวที และมีอิทธิพลต่อประชาชน นำพวกเขาไปในทางที่ผิด กรรมที่พวกเขาจะได้รับนั้นจะมากเหลือเชื่อ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมนรกจึงเต็มไปด้วยผู้นำทางด้านการเมืองและศาสนาชนิดต่างๆ พวกเขาหลายคนกำลังได้รับ “การฝึก” อยู่ที่นั่น (หัวเราะ) ในบางกรณี พวกเขาต้องคอยอยู่เป็นเวลานานมาก พวกเขาต้องคอยจนกว่าคนที่ถูกล้างสมองจากพวกเขานั้นจะได้รู้แจ้งและหลุดพ้นไปก่อนที่พวกเขาจะได้รับการช่วยเหลือ พวกเธอคิดออกไหมว่าพวกเขาต้องคอยนานสักเท่าใด? นั่นคือเหตุผลว่าทำไมมันจึงมีกล่าวในคัมภีร์พุทธว่า มี “นรกตลอดกาล” เนื่องจากว่ามีประชาชนหลายคนต้องเจ็บปวดถูกทำร้ายและถูกนำไปในทางที่ผิด เธอต้องคอยจนกว่าพวกเขาทุกคนจะได้รู้แจ้งและหลุดพ้นก่อนที่บาปของเธอจะลดน้อยลง นั่นต้องใช้เวลานานมาก!
มันก็เหมือนอย่างถ้าในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เธอถูกวางยาพิษเพียงเล็กน้อย จิตของเธอก็จะไม่แจ่มชัดแล้วก็มีคนยื่นยาพิษให้เธอมากขึ้น เธอก็จะดื่มมันเข้าไปอีก เธอก็ยิ่งได้รับพิษมากขึ้น ดังนั้นจึงเป็นการยากมากที่จะคอยจนกว่าคนเหล่านั้นจะหลุดพ้น ใช้เวลานานมากๆ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมคนที่นำผู้อื่นไปในทางที่ผิดต้องคอยนานยิ่งกว่านั้น เป็นการดีที่สุดสำหรับเราผู้บำเพ็ญที่จะไม่โลภ ไม่วิ่งไล่ตามตำแหน่งต่างๆ ! ไม่ทะเยอทะยานอยากได้ตำแหน่งซึ่งมีความรับผิดชอบต่างๆ ที่สำคัญ ถ้าเราไม่มีความสามารถหรือไม่มีสติปัญญา เราจะทำร้ายตัวเราเองอย่างแท้จริง เราจะทำความเสียหายให้กับโลกและขวางกั้นวิวัฒนาการของจักรวาล
สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราที่จะทำก็คือ ปรับปรุงคุณธรรมและปัญญาของเราให้ดีขั้น จากนั้นเราก็จะสามารถทำอะไรก็ได้ ที่พระเจ้าต้องการให้เราทำ เพราะว่าในขณะนั้น เราพร้อมแล้ว มันก็เหมือนเมื่อเราร่ำรวยแล้ว เราก็จะเอาเงินของเราไปลงทุนที่ไหนก็ได้ เราจะทำธุรกิจใดๆ ก็ได้อย่างนั้นไม่ใช่หรือ? มันน่าห่วงก็ต่อเมื่อเราไม่มีเงินเลย ถ้าเราต้องการมีธุรกิจของเราเอง หรือเป็นเจ้านายก่อนที่จะมีเงิน และก็นั่งกังวลว่าเราจะล้มเหลวในธุรกิจ นั่นก็คือการสร้างปัญหาขึ้นสำหรับตัวเราเอง เราจะพูดไม่ได้ว่าพระเจ้าไม่ช่วยเรามันนึกภาพไม่ออกจริงๆ ในเมื่อกรรมของเราก็หนักมากแล้ว เราจะยังต้องการแบกกรรมของทั้งชาติ หรือของกลุ่มใหญ่ๆ อยู่อีก !
ผู้บำเพ็ญแบบนั้น เนื่องจากพวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงผลที่ตามมา พวกเขาจึงกล้าที่จะลุกขึ้นมาพูดเรื่องไร้สาระ กล้าที่จะรับคนเป็นศิษย์ของเขาและสอนในสิ่งผิดๆ ถ้าพวกเขารู้ว่ามีนรกรอคอยพวกเขาอยู่ พวกเขาก็คงไม่กล้าที่จะทำอย่างนั้น หรือไม่กล้าพูดอะไรเลย มันไม่เป็นการดีเพียงแค่ที่จะมีลูกศิษย์หลายคน เราควรจะรู้ว่าเรากำลังสอนอะไรพวกเขา และเรากำลังนำพวกเขาไปไหน เพราะทุกสิ่งไม่ได้สิ้นสุดหลังจากที่เราได้พักในโลกนี้มาหนึ่งร้อยปี เรายังดำเนินต่อไป ชีวิตของเรายังคงดำเนินต่อไป ชีวิตแล้วชีวิตเล่า สำคัญเพียงแต่ว่าเราจะไปอยู่ที่ไหน ในสวรรค์หรือในนรก ในนิพพาน หรือในโลก?
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet				
21 เมษายน 2554 19:19 น.

คนรับใช้ที่ดื้อดึงสามคน...

คีตากะ

3men_tub.gifปราศรัยโดยท่าน Suma Ching Hai ที่ฌานในกัมพูชา
๒๘ มีนาคม ๑๙๙๖ (เดิมเป็นภาษาจีน)




      ชายผู้มั่งคั่งคนหนึ่งเป็นมหาเศรษฐีพันล้าน มีคนรับใช้อยู่ ๓ คน คนหนึ่งรอบคอบมาก คนหนึ่งสุขุมระมัดระวังมาก และอีกคนหนึ่งก็สุภาพมาก ชายผู้มั่งคั่งมีความพอใจมากและชอบพวกเขามากๆ
    ครั้งหนึ่ง บุตรชายของชายผู้มั่งคั่งเกิดอุบัติเหตุพลัดตกแม่น้ำและกำลังจมน้ำ คนรับใช้คนที่ ๒ ผู้ซึ่งสุขุมระมัดระวังมาก เห็นเหตุการณ์นี้แต่เขาสุขุมมากเกินไป จึงกลับไปบอกเจ้านายของเขาว่า “เจ้านาย, บุตรชายของท่านเพิ่งพลัดตกลงไปในแม่น้ำ (ผู้ฟังหัวเราะ) ฉันจะช่วยเขาได้ไหม? (ผู้ฟังหัวเราะ) ท่านคิดว่าเราจะสามารถช่วยชีวิตเขาได้หรือไม่? อะไรเป็นวิธีที่ดีที่สุด? เราต้องมาพิจารณาดูกันหน่อย” แน่นอน ชายผู้มั่งคั่งโกรธมากและไล่เขาออกไป
    กว่าที่ชายผู้มั่งคั่งจะวิ่งไปช่วยชีวิตบุตรชายของเขา มันก็สายเกินไปเสียแล้ว ดังนั้นเขาจึงออกคำสั่งให้คนรับใช้คนแรกผู้ซึ่งรอบคอบมากให้ไปซื้อโลงศพมาหนึ่งโลงเพื่อฝังบุตรชายของเขา เนื่องจากว่าคนรับใช้ผู้นี้เป็นคนที่ตระเตรียมอะไรไว้สำหรับสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น เขาจึงซื้อโลงศพ ๒ โลง (อาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ) เขารอบคอบเกินไป! เจ้านายของเขาโกรธมากและกล่าวว่า “ฉันมีลูกชายตายเพียงคนเดียว, แต่ทำไมเจ้าจึงซื้อโลงศพมา ๒ โลง?”
    คนรับใช้คนนั้นก็ตอบว่า “เผื่อว่าบุตรชายคนที่ ๒ ของท่านตาย, อาจจะจมน้ำหรือด้วยอุบัติเหตุแบบอื่นๆ (ผู้ฟังหัวเราะ) เราก็ไม่จำเป็นต้องไปซื้ออีก ประหยัดเวลา ประหยัดน้ำมัน!”
    ชายผู้มั่งคั่งโกรธเป็นอย่างยิ่ง แล้วก็ไล่เขาออกไป! 
    ขณะนี้ก็เหลือคนรับใช้เพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นผู้ที่สุภาพมาก ชายผู้มั่งคั่งยังคงพอใจในตัวเขา วันหนึ่งเขาและคนแบกของอีกคนได้ออกไปเที่ยวชมทิวทัศน์กับเจ้านายของพวกเขาโดยแบกเกี้ยวพาเจ้านายไป ในระหว่างทาง พวกเขาได้ผ่านหนองน้ำแห่งหนึ่งซึ่งมีน้ำไม่ลึกนัก แต่ถ้าพวกเขาข้ามน้ำ เสื้อผ้าของพวกเขาก็จะต้องเปรอะเปื้อนและเปียก คนแบกของคนนั้นเกิดลังเลใจ เขาไม่อยากให้เสื้อผ้าของเขาเปรอะเปื้อน ดังนั้นเขาจึงต้องการที่จะกลับบ้าน อย่างไรก็ตาม คนที่สุภาพกล่าวขึ้นว่า “อย่ากลับเลย! ตราบเท่าที่เจ้านายของพวกเรามีความสุข เราก็ควรจะไปต่อ ตัวของเราเองไม่สำคัญหรอก” แล้วเขาก็เดินลุยน้ำไปโดยไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับตัวเองเลย
    เมื่อเจ้านายได้ยินว่าคนรับใช้ของเขาซื่อสัตย์ต่อเขามาก เขาจึงมีความสุขมาก กล่าวแก่คนรับใช้ว่า “เนื่องจากว่าเจ้ารอบคอบมาก, อุทิศตนมากและซื่อสัตย์ต่อฉันมาก ฉันจะมอบเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เจ้าหลายชุดและจะขึ้นเงินเดือนให้เจ้าเมื่อกลับถึงบ้านแล้ว”
    ทันทีที่คนรับใช้ผู้สุภาพได้ยินเช่นนั้น เขาก็วางเกี้ยวลง (ซึ่งก็เป็นขณะเดียวกันกับที่พวกเขากำลังยืนอยู่ตรงกลางแม่น้ำพอดี) และตอบออกมาพร้อมกับพนมมือว่า “ขอบพระคุณมากครับสำหรับความเมตตาของท่าน, เจ้านาย!” (อาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ) เขาสุภาพเกินไป
    เธอเห็นไหม ไม่มีอะไรต่างกันมากเลยเมื่อเปรียบเทียบพวกเขากับลูกศิษย์ของฉัน ใช่หรือเปล่า? (ผู้ฟังหัวเราะ) เขาไม่รู้จักวิธีที่จะมองดูสถานการณ์และจัดการกับมัน ทุกคนต่างก็มีคุณสมบัติของตัวเอง แต่ใช้มันผิดที่ผิดทาง
    เธอคงจำขงจื้อซึ่งมีลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงหลายคนได้นะ เซลู่ กล้าหาญมาก และซันเฉียวก็สุขุมมาก แต่ทุกคนก็มีลักษณะเฉพาะของตัวเองเท่านั้น ถ้าเธอสุขุมระวังตัวเกินไป เธอก็จะไม่รู้จักวิธีที่จะผ่อนคลาย ถ้าเธอกล้าหาญเกินไป เธอก็จะไม่รู้ว่าเมื่อไรควรจะอ่อนน้อมถ่อมตน ดังนั้นเรารู้ว่ามันไม่เป็นการดีเลยที่จะเป็นคนสุดโต่ง
    แม้ว่าพวกเขาจะดีมากเก่งมาก แต่พวกเขาก็ยังมาเรียนกับขงจื้อเพราะว่าเขามีคุณสมบัติทุกอย่าง – กล้าหาญ แต่ไม่กล้าหาญจนเกินไป ถ่อมตนแต่ก็ไม่ถ่อมตนจนเกินไป เขารู้วิธีที่จะประพฤติตนไม่ว่าจะภายใต้สภาพแวดล้อมใดๆ เขาจัดการทุกสิ่งทุกอย่างด้วยท่าทีที่เป็นกลางและไม่บ้าคลั่งมากจนเกินไป
    แต่พวกเราส่วนมากมีลักษณะที่ดื้อดึง ถ้าเราใช้มันในทางที่ถูก มันก็จะดี ถ้าเราใช้ในทางที่ผิด มันก็จะแย่ ก็เหมือนอย่างที่เราสามารถใช้ไฟฟ้าทำให้หลอดไฟสว่าง ทำให้อากาศเย็นหรือร้อน แต่ถ้าเราสัมผัสไฟฟ้าโดยตรง เราก็จะเดือดร้อน นอกจากนี้ ยังมีการรักษาเยียวยาอีกหลายชนิดซึ่งสามารถรักษาคน แต่การกินยามากเกินขนาดก็จะเป็นอันตรายได้
    เรามายังโลกนี้เพื่อที่จะเรียนรู้วิธีที่จะสมบูรณ์พร้อม ดังนั้น เราจึงควรมีคุณสมบัติทุกอย่างและรู้จักวิธีที่จะใช้มันอย่างเหมาะสม เราไม่อาจกล่าวได้ว่าเพราะเรากล้าหาญมาก เราจึงสามารถหุนหันพลันแล่นโดยไม่สนใจต่ออะไรทั้งสิ้น ในสมัยโบราณ มีชายที่กล้าหาญหลายคนที่ตายไปเพราะขาดปัญญา มีตัวอย่างมากมายในเรื่องราวของ “ระบอบการปกครองแบบศักดินาของราชวงศ์โฉวตะวันออก” ถ้าเรากล้าหาญแต่ไม่มีปัญญา เราอาจทำให้ตัวเราเองและผู้อื่นเป็นอันตรายได้....




Be Veg, Go Green 2 Save The Planet				
21 เมษายน 2554 19:09 น.

อดีตชาติและชาติปัจจุบันของหมู....

คีตากะ

pig-4.jpgโดยซิ เซียว ลัน แห่งราชวงศ์ ชิง เชง ลอง
คัดมาจาก “OBSERVE ALL, THATCH HUT NOTE”




      กาลครั้งหนึ่ง มีพระแก่รูปหนึ่งได้เดินผ่านมายังโรงฆ่าสัตว์ ซึ่งอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาและแล้วก็ได้กล่าวถึงอดีตชาติของเขา “เรื่องราวนั้นนานมาแล้ว ฉันจำได้ว่าเมื่อสองชาติที่แล้ว ชาติหนึ่งฉันเป็นคนขายเนื้อ ดำรงชีวิตด้วยการฆ่าสัตว์ แล้วก็ตายตอนอายุสามสิบปี ดวงวิญญาณได้ถูกนำไปโดยยมทูตมากมายพาไปยังนรก การติดสินข้อหาในโทษของการฆ่านั้นบาปหนาสาหัส ยังผลให้ดวงวิญญาณต้องกลับลงไปในนรกชดใช้ความทุกข์ทรมาน ฉันรู้สึกมึนงงและไม่มีสติสัมปชัญญะ ราวกับเมาเหล้าหรืออยู่ในความฝัน รู้สึกเพียงว่าในหัวของฉันนั้นร้อนรุ่มจนแทบทนไม่ไหว ในช่วงเวลานั้นฉันได้แต่ปลอบตัวเองว่า ช่างราวกับการเป็นหมูและเกิดใหม่เป็นหมู ช่างเหมือนกับการเป็นหมูที่ล้างนิสัยเดิมๆไปแล้ว ฉันพบว่าผู้คนมักจะนำอาหารที่สกปรกส่งกลิ่นบูดเน่ามาเลี้ยงฉัน ฉันรู้ดีว่าอาหารนั้นไม่สะอาดเลยและพยายามที่จะยับยั้งตัวเองจากการกินนั้น อย่างไรก็ตามฉันก็ไม่สามารถจะทนทานต่อความหิวได้ และอวัยวะภายในต่างๆ ของฉันก็ทุรนทุรายราวกับไฟแผดเผา ฉันไม่มีทางเลือกอื่นใดเลยจำต้องกินอาหารที่สกปรกนั้นเพื่อประทังชีวิต และด้วยการค่อยเป็นค่อยไป ฉันก็เรียนรู้ภาษาของหมูและสามารถพูดคุยกับเพื่อนๆ หมูของฉันได้ อันที่จริงแล้วมีหมูมากมายที่สามารถจำได้ว่าเคยเป็นคนมาก่อนเมื่อชาติที่แล้ว เพียงแต่ว่าพวกเขาเกิดเป็นหมูเท่านั้น ซึ่งมีภาษาที่แตกต่างจากคนและไม่สามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้ ในเวลาที่กำลังจะถูกฆ่าจะช้าหรือเร็วพวกมันก็จะรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น พวกมันทั้งหมดก็จะโศกเศร้าร้องคร่ำครวญ น้ำตาคลอ”
    “ในเวลาเป็นหมูนั้น ร่างกายของเราช่างอุ้ยอ้ายได้รับความยากลำบากในการเดิน ในเวลาที่ฤดูร้อนมาถึง พวกเราจะหวาดเกรงต่อความร้อนและแช่ตัวลงในขี้โคลน เพื่อทำให้เย็นสบายขึ้น จะอย่างไรก็ดี การทำตัวเลอะเทอะเช่นนี้ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเสมอไป ขนที่หนา แข็งกระด้าง หรอมแหรมของพวกเราทำให้เราหวาดหวั่นต่อความหนาวเย็นในฤดูหนาว แล้วลองดูขนที่หนาฟูนุ่มของสุนัขและแกะราวกับไหมพรมบนร่างกาย พวกเราคิดว่าสุนัขและแกะนั้นเป็นสัตว์ที่ได้รับการทะนุถนอมจากสวรรค์”
    “ในเวลาที่จะถูกนำไปเชือดนั้น แม้ว่าเราจะรู้ตัวแต่ก็ไม่สามารถหนีไปไหนได้ เรายังคงดิ้นรน วิ่งเต้นและพยายามจะหลบหนี ในไม่ช้าคนฆ่าสัตว์ก็จับพวกเราได้ เขาจะกดและจับเราไว้ แล้วมัดคอและขาทั้งสี่ด้วยเชือก ด้วยเชือกที่มัดไว้อย่างแน่นหนาเสียจนสัมผัสถึงกระดูกของพวกเรานั่นเองทำให้เจ็บปวดมากราวกับถูกเฉือนด้วยมีด
    และแล้วเราก็จะถูกขนส่งไปบนเรือหรือไม่ก็เกวียน พวกหมูๆ ทั้งหลายก็จะเบียดเสียดยัดเยียดกันอยู่อย่างหนาแน่นกระทั่งซี่โครงแทบหัก กระแสเลือดไม่อาจไหลเวียนได้โดยง่าย และท้องเราก็ถูกเบียดจนปูดเป่งแทบจะปริแตกเอาได้ ในบางครั้งผู้คนก็จะขนหมูมากมาย โดยแขวนพวกเราไว้ตามเสาไม้ไผ่ซึ่งทำให้เรารู้สึกปวดรวดร้าวมาก ในความรู้สึกขณะนั้นพวกเราปรารถนาจะตายเสียยังดีกว่า
    เมื่อมาถึงโรงฆ่าสัตว์ พวกเราจะถูกโยนไปที่พื้น แล้วหัวจิตหัวใจกับอวัยวะภายในนั้นเต้นเร่าๆ ราวจะระเบิดออก บางครั้งพวกหมูนี้จะตายลงเนื่องจากการได้รับบาดเจ็บและบอบช้ำ และบางครั้งพวกหมูก็จะถูกมัดเอาไว้หลายวัน ที่ซึ่งมีมีดและท่อนเขียงอยู่ทางซ้าย และหม้อใหญ่ต้มน้ำลวกเดือดอยู่ทางขวา คิดดูแล้วกันว่าจะทรมานซักเท่าไร ถ้าต้องถูกเชือดด้วยมีดแล้วก็ลวกในน้ำเดือดนั้น พวกเราไม่สามารถจะหยุดอาการหวาดหวั่นสั่นเทาได้ บางครั้งเมื่อเราคิดถึงตอนที่ถูกชำแหละออกเป็นส่วนๆ แล้วกลายเป็นส่วนประกอบในหม้อซุปในครัวในครัวของใครๆ พวกเราก็รับรู้ถึงโศกนาฏกรรมในความสิ้นหวังของพวกเรา
    ตอนที่ฉันกำลังจะถูกนำไปฆ่า ฉันรู้สึกตื่นตระหนกและวิงเวียน ในไม่ช้าฉันก็ถูกคว้าตัวไปโดยคนฆ่า ขาทั้งสี่ของฉันอ่อนปวกเปียก หัวใจเต้นโครมครามราวฟ้าถล่ม แล้วดวงวิญญาณก็รู้สึกราวกับหลุดออกไปจากส่วนบนของหัวฉัน เมื่อฉันถูกวางลงบนท่อนเขียง ฉันไม่กล้าจะเหลือบมองประกายคมมีดนั้น ดังนั้นก็ได้แต่หลับตาและรอคอยเวลาที่คอจะถูกเชือด คนฆ่าจะเชือดคอของฉันก่อนจากนั้นก็กระดกขอบมีดให้เลือดไหลลงไปที่หม้อ ความทรมานนั้นช่างเหลือเกินคำบรรยาย ก็ในเมื่อฉันไม่สามารถจะตายในเวลาสั้นๆ ได้ สิ่งเดียวที่ฉันทำได้คือการร้องอย่างโหยหวน หลังจากที่เลือดแห้งเหือด คนฆ่าก็จะแทงไปที่หัวใจของฉันด้วยมีด ซึ่งทำให้ฉันเจ็บปวดเข้ากระดูก แต่ก็ไม่สามารถจะร้องออกมาอีกแล้ว และแล้วฉันก็รู้สึกอยู่ในความงงราวกับมึนเมาในฝัน ซึ่งมันเหมือนกับความรู้สึกของการเกิดใหม่
    เป็นเวลานานต่อมา ฉันมองเห็นตัวเองและพบว่าดวงวิญญาณของฉันได้กลับไปยังนรก การตัดสินในนรกนั้นตัดสินให้ฉันไปเกิดเป็นมนุษย์ หลังจากที่พบว่าฉันได้ทำความประพฤติดีไว้เมื่อชาติก่อนๆ พอมาถึงชาตินี้เมื่อฉันเห็นว่าหมูกำลังจะถูกเชือด ช่างเป็นความทุกข์ทรมานโศกเศร้าเหลือเกิน ฉันคิดไปถึงความจริงที่คนซึ่งเป็นคนฆ่าหมูจะได้รับทุกข์ทรมานในชะตากรรมเดียวกันในอนาคต และแล้วฉันจึงคิดย้อนถึงตัวเอง ความคิดทั้งสามผสานเข้าด้วยกันในความรู้สึกและฉันก็ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาจกลั้นไว้ได้”
    หลังจากที่พระแก่ได้บอกเล่าเรื่องราวของเขาแล้ว คนฆ่าหมูได้ฟังดังนั้นก็ทิ้งมีดลงกับพื้น และได้เปลี่ยนอาชีพของเขาใหม่ไปขายพืชผักแทน



ความโกรธแค้นของหมู(วิทตี้ เฮียร์เชย์)

      เมื่อถึงคราวที่คนฆ่าหมูตายลง ที่ซึ่งห่างออกไปสี่ถึงห้ากิโลเมตร ก็มีหมูตัวหนึ่งเกิดออกมา เจ้าหมูตัวนี้ก็จะกลับไปยังบ้านของคนฆ่าหมู ไปนอนอยู่ที่นั่นและก็ไม่ยอมจากไปไหน หลังจากที่เจ้าของมานำตัวมันกลับไป มันก็ยังหนีมาอีก ดังนั้นเจ้าของของมันจึงคุมขังมันเอาไว้และไม่ยอมให้มันไปไหนมาไหนอีก เขาสงสัยอย่างยิ่งว่าเจ้าหมูตัวนี้คงเป็นคนฆ่าหมูกลับชาติมาเกิด
    คนฆ่าหมูอีกรายหนึ่งได้ตายลง หนึ่งปีครึ่งหลังจากนั้นภรรยาของเขากำลังจะแต่งงานใหม่ เมื่อเธอได้สวมชุดแต่งงานที่สวยงามและล่องอยู่บนเรือ ทันใดนั้นหมูตัวนั้นก็วิ่งออกมาขวาง และจ้องเขม็งมาที่เจ้าสาวด้วยสายตาที่เบิกกว้างอย่างโกรธแค้น แล้วมันก็กัดกระชากชุดของเจ้าสาวจนขาดวิ่น และกัดเข้าที่ส้นเท้า ผู้คนพากันปกป้องเจ้าสาวไว้แล้วก็จับเจ้าหมูโยนลงน้ำไป ฉะนั้นเรือจึงสามารถหันหัวแล่นออกไปได้ และที่ไม่คาดคิดคือพอเจ้าหมูขึ้นถึงฝั่งมันก็วิ่งติดตามเรือไปอีก พอลมพัดแรงขึ้นก็พัดพาเรือห่างฝั่งออกไปไกล เจ้าหมูจึงกลับมาด้วยความเศร้าสร้อย ผู้คนพากันสงสัยด้วยว่าเจ้าหมูตัวนั้นคือคนฆ่าหมูที่กลับมาเกิด และที่มาขัดขวางงานแต่งงานก็เพราะว่าภรรยาของเขา (หมู) กำลังแต่งงานใหม่นั่นเอง
    ยังมีคนขายหมูอีกคนหนึ่งที่ฆ่าหมู ในช่วงเวลาที่หมูถูกฆ่า เป็นเวลาเดียวกันกับที่ภรรยาของเขากำลังใช้ความพยายามให้กำเนิดทารกหญิงออกมา หลังจากที่เด็กหญิงได้เกิดมา เธอก็ร้องโหยหวนราวกับเสียงหมู แล้วก็ขาดใจตาย หลังจากนั้นสามสี่วันของการร้องเสียงครวญคราง ผู้คนลงความเห็นว่าราวกับเป็นเหตุการณ์ที่บ่งให้เห็นว่าทารกหญิงนี้เป็นหมูที่ถูกฆ่ากลับชาติมาในเวลาที่เธอเกิด...



Be Veg, Go Green 2 Save The Planet				
21 เมษายน 2554 18:30 น.

ปัญญาของหญิงชราขอทาน...

คีตากะ

677301phvn1cg1f4.gifปราศรัยโดยท่าน Suma Ching Hai
ศูนย์ออสติน, เท็กซัส, สหรัฐอเมริกา
๒๗ สิงหาคม ๑๙๙๔ 
(เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)




      คนส่วนมากที่รู้มักจะไม่รู้ และคนที่พูดก็มักจะไม่รู้ แน่ละที่มหาอาจารย์อย่างเช่น พระพุทธเจ้าและพระเยซู ท่านออกไปสั่งสอนผู้คน แต่ว่าก็ไม่เหมือนกับแบบนี้ พวกท่านต้องทำงานอย่างนั้น ไม่อย่างนั้นพวกท่านเองก็ไม่ได้อยากจะทำหรอก พวกเธอรู้ใช่ไหมว่าฉันหมายความว่าอย่างไร? ภารกิจของพวกท่านเป็นอย่างนั้น ถึงแม้ว่าท่านจะทุกข์ยาก ไม่ต้องการมัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านชอบออกไปหาโอกาสที่จะโต้วาทีกับผู้คนอยู่เสมอ นั่นมันต่างกัน พวกเธอเข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม? ที่ว่าพวกท่านจะไม่ชอบและจะวิ่งหนีไปจากโอกาสแบบนี้ ท่านเพียงแต่ต้องทำงานเพื่อคอยสอนพวกลูกศิษย์ที่เข้ามาหาท่าน แต่ท่านจะไม่ออกไปโต้คารมกับคนอื่นเพื่อจะอวดหรือแสดงความรู้ของท่าน มันต่างกัน
    ทีนี้ก็มี ทิโลบา (ทิโลบา คืออาจารย์ทวดของอาจารย์ของมิลาเรอปาซึ่งเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงของธิเบต) คนนี้ผู้ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ชอบเดินทางไปทั่วอินเดีย เพื่ออวดภูมิความรู้เกี่ยวกับหนังสือตำรับตำราต่างๆ ของเขา และทุกๆ แห่งที่เขาไป เขาก็เป็นคนชนะเสมอ ไม่เคยมีใครเอาชนะเขาได้เลย เพราะว่าความรู้ของเขาเกี่ยวกับตำราต่างๆ นั้นมีมากมายจริงๆ เอ้อ, ในประเทศต่างๆ หลายประเทศก็มีคนแบบนี้อยู่เหมือนกัน ไม่ใช่แต่เพียงทิโลบาคนเดียวหรอก
    วันหนึ่ง, เขากำลังอ่านหนังสือตำราเล่มหนึ่งที่มีชื่อเสียงและมีค่าที่สุดในเวลานั้นอยู่ในบ้านของเขา ก็มีขอทานคนหนึ่ง เป็นขอทานหญิงชราที่ดูสกปรก และผอมแห้งมาก เป็นพวกขาดอาหารอย่างมาก เดินผ่านมาแล้วก็พูดกับเขาทำนองว่า “คุณอ่านหนังสืออย่างลุ่มหลงออกอย่างนั้น แต่คุณเคยเข้าใจที่คุณอ่านสักนิดหนึ่งไหมล่ะ?” (เสียงหัวเราะ) โอ๋? ทิโลบาก็สะดุ้งรู้สึกตกใจมาก เธอรู้ใช่ไหม? ขอทานแก่ๆ น่าเกลียดขนาดนั้น กล้าดียังไงถึงมาพูดอย่างนี้ใส่หน้าบัณฑิตอย่างฉัน? ศาสตรจารย์ที่รอบรู้อย่างฉันนี้? ทิโลบาจึงคล้ายกับตกใจและก็ยังไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไรดี และแล้วขอทานหญิงชราคนนั้นก็ถ่มน้ำลายใส่หนังสือของเขาแล้วก็วิ่งหนีไป
    ทิโลบาก็โมโหโกรธามาก เพราะว่าเธอกล้ามาถ่มน้ำลายรดตำราอันศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ เขาจึงออกวิ่งไล่ตามเธอไป แต่พอเขาวิ่งตามมาถึงเธอ เธอก็พึมพำอะไรในคอเธอแค่นั้นเอง ทิโลบาก็รู้สึกใจเย็นสงบลงทันทีและก็ไม่รู้สึกโกรธอีกต่อไป แล้วเขาก็หยุดอยู่ตรงนั้น แล้วก็เดินกลับบ้านและก็เริ่มต้นคิด อาจจะเป็นได้ว่าเขารู้สึกว่ามีอะไรผิดอยู่ รู้สึกว่าอาจจะมีอะไรที่ไม่ถูกต้องในวิธีที่เขากำลังศึกษาเล่าเรียนจากหนังสือต่างๆ เขาจึงนั่งลงครุ่นคิดอย่างหนักและก็ครุ่นคิดมากว่า ทำไมหญิงชราขอทานคนหนึ่งจึงกล้าถ่มน้ำลายรดตำราศักดิ์สิทธิ์ที่คนทั้งอินเดียเคารพนับถือกันมาเป็นพันๆ ปีแล้ว
    ผู้คนยังมากราบไหว้บูชาตำรานี้ด้วยซ้ำ และก็ถวายเงินแก่ตำราเล่มนี้ พวกเขาก็ยังทำกันอยู่ในปัจจุบันนี้ ในบางประเทศรวมทั้งประเทศอินเดียด้วย ฉันรู้และก็เคยเห็นมาแล้วด้วยว่า พวกเขาพากันมาก้มกราบ ถวายเงินและดอกไม้แก่ตำราเล่มนี้ และก็เชื่อว่าตำรานี้แหละที่เป็นความรู้และปัญญาทั้งหมดทุกอย่าง แต่ตำราก็คือตำรา ตัวเธอก็คือตัวเธอ เธอจะทำแค่ก้มกราบตำราแล้วก็ได้ความรู้มาจากมันได้อย่างไร, หือ? พวกเธอเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นได้หรือ? แต่ก็มีหลายคนเชื่อแบบนั้น ก็ช่างเขาเถอะ เป็นเรื่องของเขา
    เพราะฉะนั้น ทิโลบาจึงครุ่นคิดไตร่ตรองอย่างหนัก เขายังรู้สึกประหลาดใจอีกด้วยว่า ทำไมหญิงชราที่ผอมแห้งแรงน้อยออกอย่างนั้น เพียงแต่พึมพำอะไรออกมาประโยคหรือสองประโยค ก็ทำให้ความโกรธของเขาที่โมโหเป็นฟืนเป็นไฟสงบลงได้ทันทีเหมือนกับมีน้ำมาดับไฟนั้น ดังนั้นหลังจากคิดไปคิดมาอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่งเขาก็ลาออกจากงานของเขา เลิกทำงานเดิมของเขาและก็ไม่โต้คารมกับใครอีกเลย แล้วก็ออกเดินทางไปทั่วเพื่อค้นหาหญิงชราคนนั้น, ขอทานคนนั้น, พยายามจะค้นหาเพื่อที่จะรู้ให้ได้ว่า มันเป็นอะไรกันแน่ที่เขาไม่เข้าใจนั้น
    แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้พบหญิงชราคนนั้นที่ในป่า เธออยู่คนเดียว แล้วเขาก็พยายามจะโต้คารมกับเธออีก เขาใช้ความรู้ความสามารถในการพูดอันเก่งกาจของเขาเพื่อจะเอาชนะเธอในการโต้คารมกันในป่านั้น แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างมากมายเพียงใด เธอก็ชนะเสมอ ขอทานที่แก่ชรา น่าเกลียด ยากจน ผอมแห้งแรงน้อยนั้นก็ยังชนะอยู่เสมอ (อาจารย์หัวเราะ) ดังนั้น ในที่สุดเธอก็บอกเขาว่า “สิ่งที่ฉันรู้ ปัญญาที่ฉันมี ที่ฉันเข้าใจนั้นไม่ได้อยู่ในตำราทั้งหลายเหล่านั้น คุณไม่มีทางหามันพบหรอก เพราะฉะนั้นคุณจึงไม่มีทางจะเถียงสู้ฉันได้”
    ดังนั้นในที่สุดเขาก็ยอมก้มกราบและยอมรับเธอเป็นอาจารย์ และก็ขอร้องให้เธอสอนเขา เธอก็ตกลง ดังนั้นสิ่งที่เธอบอกเขาท้ายที่สุดก็คือว่าสิ่งใดก็ตามที่คุณอยากจะรู้นั้นไม่ได้อยู่ในหนังสือต่างๆ หรอก และก็ไม่ได้อยู่ในโลกนี้ด้วย เพราะฉะนั้นคุณต้องไปหาชาวสวรรค์ให้พบเพื่อที่จะไปเรียนกับพวกเขา เพราะฉะนั้นวิธีนั้นก็คือการประทับจิต เราขึ้นไปทางภายในของเรา แล้วเราจึงจะได้พบกับชาวสวรรค์นั้น เป็นอย่างนั้นนั่นแหละ แล้วเราก็เรียนกับพวกเขา แม้ว่าฉันจะสอนพวกเธอแล้ว แม้ว่าอาจารย์ใดๆ ก็ตามที่สอนพวกเธอมันก็เป็นเพียงแค่คำพูดเท่านั้น และอยู่กับเธอด้วยร่างกายเท่านั้น แต่ถ้าเธอยังอยากจะเรียนรู้ให้ดีกว่านี้ เธอก็ต้องไปเรียนรู้ข้างใน ในระดับชั้นของความมีจิตสำนึกที่สูงกว่านี้ และเรียนกับอาจารย์ภายใน, อาจารย์ที่เป็นพระเจ้าทั้งมวล, ไม่ใช่อาจารย์ที่เป็นกายเนื้อนี้ อาจารย์ที่เป็นกายเนื้อเป็นเพียงบันไดแค่นั้นเอง เป็นบันไดที่พาพวกเธอขึ้นไปถึงระดับชั้นที่สูงขึ้นของจิตสำนึก แล้วเธอก็เรียนกับอาจารย์ที่สูงกว่าที่นั่น อาจจะกับอาจารย์ท่านเดิม หรืออาจารย์ท่านอื่น แต่ว่าเรียนในระดับของจิตสำนึกที่สูงขึ้น เข้าใจไหม?
    เพราะฉะนั้นก็เหมือนกับที่หญิงชรานั้นบอกทิโลบาไป ฉันเข้าใจมันดี เพราะว่าเราอยู่ในวิถีเดียวกัน ถ้าเราไม่ได้กำลังศึกษาปัญญาภายในนี้อยู่ เราจะไม่เข้าใจหรอกว่า หญิงชราคนนั้นหมายความว่าอย่างไร ที่ให้ขึ้นไปยังดินแดนของชาวสวรรค์และไปเรียนกับพวกชาวสวรรค์นั้น หลังจากนั้น ทิโลบาก็สละทุกสิ่งทุกอย่าง และพยายามอย่างหนักที่จะเข้าไปยังแดนสวรรค์เพื่อพบกับชาวสวรรค์และก็เรียนกับเขา และหนทางที่ไปหาชาวสวรรค์นั้นก็เต็มไปด้วยเล่ห์กลที่ลวงล่อ และเต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่ว่าเขาก็ทำได้สำเร็จ
    คนนี้คือ ทิโลบา แม้จะเป็นผู้ที่มีความรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็ต้องไปก้มกราบหญิงชราขอทานผู้ชรา น่าเกลียดหิวโหยเพื่อจะได้ปัญญา เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรที่จะต้องถ่อมตัวมากเกินไปสำหรับเรา ที่จะไปก้มคารวะผู้ใดที่มีปัญญา  ที่สามารถมอบวิถีทางให้แก่เราได้จริงๆ และบอกวิธีที่จะได้หลุดพ้น
    เพราะฉะนั้นอาจารย์ส่วนมากในสมัยโบราณจึงยากจนกันมาก พวกเธอจำบางเรื่องที่ฉันเคยเล่าให้ฟังได้ไหม? พระเยซูก็เป็นช่างไม้ ท่านไม่เคยร่ำรวยเลย และพระพุทธเจ้าก็มีทรัพย์สมบัติมากมาย แต่ว่าท่านสละมันไปหมด (อาจารย์หัวเราะ) ดังนั้นท่านก็ไม่มีอะไรเช่นกัน แล้วท่านก็เดินทางไปทั่วอินเดียและบิณฑบาตขออาหารไปตลอด เพราะฉะนั้นท่านก็เหมือนกับกลายเป็นขอทานเหมือนกัน ดังนั้นมหาอาจารย์ส่วนมากจึงไม่มีทรัพย์สมบัติอะไร แม้หากว่าพวกเขาอยากจะมีทรัพย์สมบัติ ก็ไม่เป็นไรเช่นกัน
    อาจารย์ซิกข์ท่านหนึ่ง เป็นอาจารย์ซิกข์คนที่ ๑๐ มีชื่อเสียงมาก เขายังคงมีทรัพย์สมบัติอยู่ ดูร่ำรวยมาก เขาสวมเพชรนิลจินดามากมายอย่างกับเจ้าชายองค์หนึ่งทีเดียว แล้วเขาก็ไม่เคยกระดากเรื่องนี้เลย เขามองดูเหมือนกับเจ้าชายองค์หนึ่ง แต่งตัวดีมากและก็ใส่เครื่องเพชรนิลจินดามากมายเสมอ แต่อาจารย์ซิกข์คนอื่นๆ ก็ยังเดินทางขอทานอาหารไปทั่วประเทศเช่นกัน เพราะฉะนั้น ไม่จำเป็นที่จะมาพูดว่า คนที่เป็นอาจารย์ควรจะเป็นอย่างนี้อย่างนั้น หรืออย่างอื่น ไม่มีปัญหาหรอก
    พวกเธอเห็นท่านกวนอิมโพธิสัตว์ไหม ท่านมีเครื่องประดับประดาเยอะแยะเลย และผมของท่านก็ยาวสลวยมาก ท่านสวมเสื้อผ้าที่สวยงาม และพวกชาวสวรรค์ก็งดงามเช่นกัน เครื่องประดับต่างๆ ของพวกเขามีติดตัวพวกเขาอยู่เป็นธรรมชาติตามผลบุญกุศลของพวกเขา เพราะฉะนั้น ไม่จำเป็นที่จะมาพูดว่า คนที่เป็นอาจารย์ต้องยากจนเสมอ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นอย่างนั้นเสมอไปหรอก แต่ว่าผู้ที่เป็นอาจารย์ส่วนมากจะเลือกที่จะมีชีวิตที่เรียบง่าย เนื่องจากพวกเขามีการตระหนักรู้อยู่ภายใน แต่ผู้เป็นอาจารย์จะประพฤติปฏิบัติสอดคล้องตามสถานการณ์นั้นเสมอ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า มันจะต้องเป็นแบบนั้นเสมอไป เพราะว่าถ้าผู้เป็นอาจารย์ยึดติดอยู่กับความยากจนมาก หรือยึดติดกับชีวิตหรือเสื้อผ้าที่เรียบง่ายแต่เพียงอย่างเดียว นั่นก็เป็นการยึดติดแบบหนึ่งเช่นกัน พวกเธอเข้าใจที่ฉันพูดไหม? ยังยึดอยู่กับสิ่งหนึ่งหรือสิ่งที่สุดโต่งที่สุดอย่างหนึ่งเสมอ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ดีเหมือนกัน ผู้เป็นอาจารย์ต้องปล่อยวางไม่ยึดติดอยู่ภายใน แต่สำหรับภายนอกนั้นมันไม่สำคัญหรอก มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และพื้นฐานของท่าน หรืออะไรก็ตามที่ท่านต้องทำเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย...



Be Veg, Go Green 2 Save The Planet				
Lovers  0 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 0 คน
Lovers  4 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ