16 มกราคม 2551 02:41 น.

ไข่มุกแห่งปัญญา

คีตากะ

เนื่องจากตัวตนภายในของเราติดต่อเชื่อมโยงอยู่กับสวรรค์ เล่าจื้อจึงกล่าวว่า หมื่นสิ่ง คือหนึ่งเดียวกัน และถ้าเราบรรลุถึงความเป็นหนึ่งเดียวนั้น, ความยิ่งใหญ่นั้นภายในตัวเราแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่เราจะทำไม่ได้ เราจะมีพลังปาฏิหาริย์หารทุกอย่าง เราจะสามารถแก้ไขสถานการณ์ต่างๆทุกชนิดในชีวิต เราจะสามารถเข้าใจคัมภีร์ของศาสนาต่างๆทุกเล่ม โดยที่ไม่ต้องมีใครมาสอนเรา เราจะรักษาระเบียบวินัยทางคุณธรรมทุกอย่าง โดยที่ไม่ต้องมีใครมาบังคับเรา เราจะมีความรัก โดยไม่ต้องมีใครสอนเราให้ทำอย่างนั้น และเราจะมีสันติสุขในใจเรา แล้วสันติสุขนั้นก็จะแผ่ออก และช่วยให้มีสันติสุขในโลกนี้มากขึ้น


ต่อพระเจ้า ต่อพุทธะ เราควรจะมีเจตนาแห่งความตั้งใจแน่วแน่เต็มที่ อย่าถูกชักจูงหรือได้รับอิทธิพลจากโลกหรือความยั่วยวนใดๆ หรือปล่อยให้จิตใจของเราถูกเหหะนออกไปจากเป้าหมายของเรา ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่เราจะสามารถได้รับพรบารมีของพระเจ้า ถ้าทุกอย่างที่เราคิดถึงคือพระเจ้า มีแต่พระเจ้าอยู่ในจิตใจของเรา เราก็จะเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เราไม่จำเป็นต้องสวดอธิษฐานหรืออ้อนวอนขออะไรจากพระเจ้าเพราะว่าทุกอย่างสร้างขึ้นมาด้วยใจ หรือทุกอย่างที่เรามีอยู่ในใจคือพระเจ้า เราก็คือพระเจ้า


คนในโลกของเรานี้มีความทุกข์เพราะว่าในเวลานี้ ในชาตินี้ เราไม่ได้ทุ่มเทความพยายามของเราอย่างเต็มที่เพื่อที่จะเรียนรู้ที่จะช่วยตัวเราเอง ปฏิบัติภารกิจของเราให้สำเร็จ และจัดการแก้ปัญหาในเรื่องกรรมของเรากันในเวลานี้ เราอยากจะวิ่งหนีมันอยู่เรื่อย แต่เราก็หนีไม่พ้นแม้ว่าเราจะต้องการเช่นนั้น ดังนั้นเราจึงต้องกลับมาอีกในคราวหน้า ซึ่งบทเรียนของเราก็จะยิ่งยากขึ้น  และดอกเบี้ยก็จะเพิ่มขึ้นมาแล้ว





เราเคยมุ่งมั่นตั้งใจอยู่กับการแข่งขันแบบนั้น เราจึงตาบอด ไม่ฉลาดพอ ยิ่งใครเป็นกังวลร้อนใจมาก เจาก็จะยิ่งต่อสู้ดิ้นรนมาก ยิ่งดิ้นรนมาก สิ่งที่เขาทำก็จะยิ่งแย่ลง แต่ในทางกลับกัน พอเราเกิดไม่อยากจะทำหรือทำอะไรไปแบบสบายๆง่ายๆ เรากลับจะทำได้ดี เหตุผลมันง่ายมากคือ เพราะว่าเราผ่อนคลาย จิตใจของเราไม่รู้สึกร้อนรนที่จะต่อสู้มากนัก ปัญญาและความฉลาดไหวพริบตามธรรมชาติของเราก็จะผุดออกมาเอง ยิ่งเราผ่อนคลายมาก เราก็จะทำอะไรได้ดีขึ้น



ยิ่งเราคิดถึงพระเจ้ามากขึ้น เราก็ยิ่งสบายมากขึ้น แล้วไม่ว่าเราจะคิดหรือไม่คิดมันก็เหมือนกัน เพราะว่าเราร่วมผสมกลมกลืนกับท่านแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เท่านั้นที่จะเรียกได้ว่าเรากำลังอยู่ในเซ็น ไม่ว่าจะเป็นตอนกำลังเคลื่อนไหว กำลังมีชีวิต กำลังนั่งหรือกำลังนอน ถึงตอนนั้นเราก็ได้บรรลุเต๋าแล้ว เราไม่ต้องพยายามอะไรอีกต่อไป ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้พยายามอะไร เราก็จะได้รับมากมาย ปัจจุบันนี้ แม้ว่าเราจะพยายามอย่างมาก เราก็ได้มาน้อยมาก  มันเป็นเพราะว่าเรายังกำลังต่อสู้ดิ้นรนอยู่



เวลา เธอยิ้มทั้งกายและใจของเธอก็ยิ้มไปด้วย และระดับของจิตสำนึกของเธอก็จะสูงขึ้นไประดับหนึ่งโดยอัตโนมัติเพราะฉะนั้น จงยิ้มไว้ให้มากๆ จงยิ้มในเวลาที่มีความสุขและเวลาเศร้าโศกเสียใจ ร้องไห้เวลาที่เธอต้องร้อง แต่จงยิ้มไปด้วยในเวลาที่เธอร้องไห้ ปล่อยให้น้ำตาไหลร่วงลงมา แต่ก็ยิ้มอยู่ในใจด้วย พยายามยิ้มเข้าไว้เมื่อใดก็ตามที่เธอสามารถจะทำได้






ถ้าเรามีความสามารถหรือพรสวรรค์ใดๆก็ตาม เราควรจะระมัดระวังอยู่เสมอ เพราะว่าเราจะกลายเป็นผู้ที่เย่อหยิ่งอวดดีได้ง่าย แล้วถึงตอนนั้นมันก็จะยากมากที่จะแก้ไขได้แม้แต่สำหรับผู้เป็นอาจารย์ก็ตามเถิด เพราะว่าคนเราจะไม่เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นภายในตัวเขา มันเป็นสิ่งที่ลำบากและยุ่งยากมากสำหรับเรา ถ้าเรามีอัตตาของเรา ยากมากๆ และการที่จะเป็นครูผู้สอนก็ยิ่งลำบากมากกว่าอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำงานทางด้านนี้ เธอไม่มีทางสุภาพไปได้นานหรอก เธอไม่มีทางสุภาพมากได้(มีเสียงหัวเราะ) ไม่อย่างนั้นเธอก็จะไม่ได้ช่วยลูกศิษย์ ไม่ได้บอกเล่าถึงสัจธรรม โชคดีที่ฉันเป็นคนที่ตรงๆมาก ใช่หรือไม่ใช่! ถ้าฉันบอกว่าไม่ ! ก็คือไม่ ไม่มีการเหลวไหลไร้สาระอะไรอีก ต่อไปถ้าคนนั้นดีขึ้น ฉันก็จะรู้ ไม่สำคัญหรอกว่าเราจะอยู่ไกลกันแค่ไหน



เวลาเราบำเพ็ญถึงพระเจ้า เวลาเราติดต่อกับพลังสรรพานุภาพที่แท้จริงของเราภายใน เราจะรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเรียบร้อยดี รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นทันเวลา รู้ว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดขึ้น พรใดที่เราจะได้เราก็จะได้มา เพราะฉะนั้นเราจึงรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ รู้สึกว่าได้รับการคุ้มครองป้องกัน รู้สึกสงบและมีความสุขมากด้วย เพราะว่าในช่วงเวลาที่เราต้องต่อสู้ดิ้นรนและลำบากยากแค้นนั้น พลังของพระเจ้าจะรุนแรงมาก เพราะพระเจ้ารู้ว่าเราต้องการมันมากในขณะนั้น มากกว่าในเวลาปกติ ดังนั้นเวลาที่เราสวดขออย่างจริงใจในเวลานั้น เราก็จะได้รับพรมากเป็นสองเท่า สามเท่า หรือหลายเท่า ด้วยเหตุนี้การสวดขอสำหรับผู้ที่ขาดแคลนยากเข็ญ ผู้ที่สิ้นหวังและผู้ที่เคราะห์ร้ายในตอนนั้นด้วยความจริงใจของเรา เราก็จะได้รับผลประโยชน์จากพรนั้นด้วย เราจึงรู้สึกมีความสุขและสงบ ไม่เศร้าโศกหรือทุกข์กังวลอะไร นั่นคือความลับของเรื่องนี้ !


การเลือกกระทำโดยเสรี
	เรามีทางเลือกหลายทางในโลกนี้ จักรวาลมิได้ตายตัวและหม่นหมองอย่างที่เธออาจจะคิด ฉะนั้นมันขึ้นอยู่กับตัวเธอจริงๆที่จะตัดสินใจว่า เธอต้องการจะทำอะไร และเธอต้องการจะจัดการกับภาระและความรับผิดชอบมากเพียงใด เธอสามารถจะกระทำมันได้ตราบใดที่เธอมิได้ทำร้ายผู้อื่น พระผู้เป็นเจ้ามีความปรารถนาอยู่บางประการ แต่เราคือผู้ตัดสินใจเลือกด้วยตัวเราเอง มิฉะนั้นมันจะน่าเบื่อหน่ายจนเกินไป ถ้าทุกๆสิ่งถูกกำหนดเอาไว้แล้ว เราสามารถจะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆได้ แต่เราจะต้องทำการเปลี่ยนแปลงที่ดีงามและเมื่อนั้นมันก็จะโอเค
	ตัวอย่างเช่น ห่อกระดาษชำระในมือของฉันนี้ ฉันสามารถเก็บมันไว้เพื่อนำมาใช้เอง หรือฉันสามารถโยนกระดาษชำระนี้ให้กับผู้ที่จำเป็นต้องใช้มัน สัก 2-3 ชิ้น ฉันสามารถโยนมันไปในทิศทางที่แตกต่างกัน ฉันยังสามารถทิ้งทั้งห่อลงในถังขยะ แล้วเมื่อนั้นก็จะไม่มีใครได้ใช้มัน ถ้าฉันเก็บมันไว้ ฉันจะเป็นเพียงผู้เดียวที่จะได้ใช้มัน อย่างไรก็ตาม ผู้คนสามารถจะใช้ประโยชน์จากกระดาษชำระเหล่านี้ได้ ถ้าฉันนำสักหน่อยหนึ่งไปไว้ในทุกๆที่ ด้วยวิธีนี้ฉันก็จะมีทางเลือกมากมาย มันขึ้นอยู่กับฉันที่จะตัดสินใจ และนั่นไม่เป็นไร มันเป็นไปไม่ได้ที่จะกล่าวว่า พระเจ้าได้จัดแจงแล้วให้ฉันโยนห่อกระดาษชำระห่อนี้สู่บุคคลที่กำหนดไว้แล้วผู้หนึ่ง มันไม่สามารถจะเป็นเช่นนั้นได้ จักรวาลมิได้น่าเบื่อจำเจเช่นนี้ เรามีทางเลือกมากมาย 
	มีศาสนาหลายประเภทที่พูดถึงการเลือกกระทำโดยเสรี ซึ่งบางครั้งจะนำความเดือดร้อนมาสู่ผู้คนจำนวนมากรวมทั้งตัวเราด้วยและทำให้เราต้องมาเกิดใหม่ ถ้าหากเราตัดสินใจดี ผลที่ออกมาก็จะดีเช่นกัน และเราก็จะได้รับผลประโยชน์จากมัน มิฉะนั้นเราจะต้องแบกรับความรับผิดชอบที่หนักหน่วง ซึ่งจะทำให้เรารู้สึกลำบากใจและเป็นที่เหน็ดเหนื่อยเป็นยิ่งนัก ซ้ำร้ายไปกว่านั้น เราจะต้องกลับมาเพื่อซ่อมแซมสิ่งที่เราได้กระทำผิดไว้ และชดเชยต่อสิ่งเลวร้ายที่เราได้กระทำ หรือความสูญเสียที่ผู้คนเหล่านั้นทั้งหมดได้รับ มันก็เป็นเช่นนี้แหละ
	มันเป็นความจริง ไม่มีสิ่งใดที่ดีหรือเลวอย่างแท้จริงในจักรวาล มันเป็นเพียงวัฏจักรหนึ่ง ทุกๆคนก็เล่นบทบาทของเขาหรือหล่อน และเราก็จะกลับไปพักผ่อนเมื่อถึงเวลา อย่างไรก็ตาม นี่มิใช่ข้ออ้างเพื่อเราจะได้ปฏิบัติตนโดยไร้ความรับผิดชอบ แน่นอน เราจะต้องเลือกที่จะกระทำสิ่งที่ดี เพราะมันจะเป็นประโยชน์ต่อเราและผู้อื่นด้วย และเราก็จะไม่ต้องสร้างความเหน็ดเหนื่อยต่อตนเองด้วย การกลับชาติมาเกิด มันจะมีอุปสรรคมากมายทุกๆครั้งที่เรามาที่นี่และมันก็ไม่แน่นอนเสมอไปว่า เราจะสามารถแก้ไขสิ่งที่เราได้กระทำผิดพลาดไปในช่วงเวลาที่เรากลับมาที่นี่ ดังนั้นเราจะต้องดำเนินเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั้งทุกสิ่งถูกชดใช้ และบางครั้งสิ่งนี้ก็ใช้เวลาเป็นพันๆปี..




ไวน์1 แก้ว

หนุ่มขี้เมาพูดขึ้นว่า  แปลกนะ ! ผมไม่เข้าใจเลยว่า แค่ไวน์เพียงแก้วเดียวเท่านั้น
สามารถทำให้ผมเมาหัวปักหัวปำเมื่อคืนก่อน !   คนที่ยืนอยู่ข้างๆจึงตอบว่า  ก็เป็นเพราะว่าไวน์แก้วนั้นเป็นไวน์แก้วสุดท้ายของไวน์หลายแก้วที่คุณดื่มมาแล้วนะซี ! 



ผู้ฟังที่อดทนที่สุด

มีชายคนหนึ่งบนแท่นปราศรัยซึ่งเอาแต่พูดๆ ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ ผู้ฟังก็เริ่มลุกขึ้นและจากไป หลังจากนั้นประมาณ 10 นาที ก็มีชายเหลือแค่คนเดียวเท่านั้น ในที่สุดชายคนนั้นก็หยุดพูดและลงมาถามชายอีกคนหนึ่งว่า ทำไมเขาจึงยังนั่งอยู่จนจบ ในเมื่อคนอื่นๆ จากไป เขาก็ตอบว่า ผมเป็นคนพูดคนต่อไปนะสิครับ 
				
10 มกราคม 2551 20:52 น.

การปล่อยวางกับความอิสระ

คีตากะ

เมือ่พวกเราอยู่ดินแดนที่สูง จะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ ในโลกที่มีอยู่เป็นจำนวนมากเหมือนกับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา เกิดขึ้นมาในพริบตาเดียว แล้วสลายไปในพริบตาเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกับภาพมายา! และแม้แต่พูดไม่ได้ว่าในพริบตาเดียว มันเหมือนกับเกิดขึ้นมาปุ๊บ ก็สลายไปทันที พวกเราอยู่ในดินแดนที่สูงดูโลกมายาทั้งหมด ก็เป็นเหมือนเช่นนี้
             ดังนั้น ความทุกข์ในชีวิตมันดูเหมือนยาวนาน เป็นเพราะพวกเราอวิชา ถูกกักขังอยู่ในกรงของเวลากับช่องว่าง มันจึงดูเหมือนยาวนาน แต่ความเป็นจริงมันไม่นาน สำหรับพระเจ้า แม้แต่ 1 วินาที ในพริบตาเดียวยังไม่ถึง ความจริงไม่นับเวลา เ ร็วมากจริงๆ! แต่เพราะว่าพวกเธอถูกกักขังไว้ที่มุมมุมหนึ่ง มองไม่เห็นทั้งหมด ดังนั้นก็เข้าใจว่า ตัวเองอยู่ที่นั่นเท่านั้น ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น! พวกเธออยู่ได้ทุกแห่งหน เพียงแต่ถูกขังอยู่ที่นั่น บินออกไปไม่ได้ แล้วคิดว่า ตัวเองนั้นอยู่ที่นั่นเท่านั้น ตัวเองก็เป็นคนนั้น เป็นคนนี้
             เหมือนกับบางครั้งนกตัวเล็กๆ หรือแมลงจะติดอยู่ในหน้าต่าง เพราะว่ากระจกของหน้าต่างนั้นใส ภายในห้องก็มีตะเกียง ดังนั้น พวกมันจึงเข้าใจว่า ที่หน้าต่างนั่นไม่มีอะไร ว่างเปล่า สุดท้ายตัวเองก็บินชนเข้าไป ศีรษะบวมขึ้นมา ตาก็มองไม่เห็น อีกสักพักก็ล้มลงไป พวกมันไม่ไปช่องที่ว่าง แต่กลับบินผ่านไปที่กระจกนั่น 
             พวกมันก็เหมือนกัน! ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ความสุขก็ไม่นำพา ก็หมดเรื่องแล้ว แม้แต่ความปลอดภัย ก็ไม่ต้องร้องขอ สุขภาพ ความสำเร็จ ชื่อเสียง ทรัพย์สิน ครอบครัว อะไรก็ไม่ต้องการทั้งสิ้น พวกเราก็จะไม่มีอะไรที่เป็นทุกข์แล้ว! ก็เป็นเพราะพวกเราอยากได้มากเกินไป จึงถูกกักขังไว้ที่นี่ ไว้ที่นั่น จมูกก็ถูกจูงไปที่นั่น แล้วตนเองจึงร้องโวยวายเพื่อขอความช่วยเหลือ				
7 มกราคม 2551 22:54 น.

เสียงหัวเราะคือบทเพลง แห่งความสุข

คีตากะ

การทดลองทางวิทยาศาสตร์ได้แสดงวิธีอันเหลือเชื่อที่จะฆ่าหนูตะเภา อารมณ์ที่หงุดหงิดจะสร้างสารพิษที่มีอำนาจและร้ายแรงถึงชีวิตได้ เลือดที่ถูกดูดเอามาจากคนที่ได้พบกับความหวาดกลัวอย่างมาก หรือมีอารมณ์โกรธมากนั้น เมื่อนำมาฉีดเข้าไปในหนูตะเภา ก็ทำให้มันตายได้ในเวลาไม่ถึงสองนาที ลองคิดดูว่า สารพิษเหล่านี้จะสามารถทำอะไรในร่างกายของคุณได้ สารพิษที่ความกลัว ความโกรธ ความหงุดหงิด และความเครียด สร้างออกมานั้น ไม่เพียงแต่สามารถฆ่าหนูตะเภาได้ แต่สามารถฆ่าหรือทำลาย เราได้ในลักษณะที่คล้ายๆกัน
คัดมาจากหนังสือ  การมีความสุข เขียนโดย แอนดรูว์ แมททิวส์, ศิลปินและนักเขียนชาวอเมริกัน
	
	มันเป็นไปไม่ได้ที่จะยังคงมีสุขภาพที่ดี ขณะที่มีชีวิตอยู่กับความกลัว ความกังวล และความกระวนกระวายใจ ดร.คาทส์ ได้ทำการทดลองตรวจส่วนประกอบของลมหายใจออกของคน เขาใช้หลอดทดลองเก็บลมหายใจออกของคนๆหนึ่ง ซึ่งหลังจากแช่แข็งแล้ว ก็ควบแน่นออกมาเป็นหยดน้ำอยู่ก้นหลอด จากการตรวจสอบของเขา เขาพบว่าสำหรับคนที่ร่าเริง ยิ้มแย้มเสมอ สีของน้ำที่ขับออกมานั้นเป็นสีม่วงอ่อนสวยงาม หรือไม่ก็เป็นสีทองอมขาว สำหรับคนที่มีอารมณ์โกรธขึ้งอยู่เสมอ น้ำที่ขับออกมานั้นจะเป็นสีดำมืดหรือสีเทา ดร.คาทส์ได้รวบรวมสิ่งที่ขับออกมาของคนแบบต่างๆโดยเฉพาะ เมื่อคนกลุ่มนี้เพ่งรวมความคิดอยู่กับการแช่งด่าคนอื่น สิ่งที่พวกเขาขับออกมาจะเป็นสีน้ำตาลขุ่นแบบโคลน หรือว่าเป็นสีดำ และเมื่อฉีดน้ำนี้เข้าไปในหนูตะเภา มันจะตายภายในเวลาห้าถึงหกนาทีปรากฏการณ์นี้ทุกคนควรจะใส่ใจระมัดระวังกัน
คัดมาจากหนังสือ เยือนมิติที่สี่ เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญจิตวิทยาเหนือธรรมชาติชาวญี่ปุ่น มิวูละ เซอิลิว ฮิโตมาซา

	ในหนังสือของนอร์แมน คัซซินส์ ชื่อ กายวิภาคของความเจ็บป่วย เขาเล่าวิธีที่เขาฟื้นตัวจากโรคง่อยมามีชีวิตที่เป็นปกติและสุขภาพดีว่า ยาสำคัญของเขาก็คือ  หัวเราะมากๆ คัซซินส์เชื่อว่าความเคร่งเครียดจริงจังต่อการใช้ชีวิตของเขาทำให้เขาเจ็บป่วย และก็คิดว่าเขาจะสามารถทำให้สถานการณ์แปรเปลี่ยนกลับมาใหม่โดยการหัวเราะได้ เขาได้แสดงให้เห็นสิ่งที่คนพูดกันมานานแล้วว่า การหัวเราะเป็นยาที่ดีที่สุด เวลาคุณหัวเราะ จะมีสิ่งมหัศจรรย์นานาชนิดเกิดขึ้นที่จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจของคุณ ฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟินสะถูกหลั่งออกมาในสมองของคุณ ทำให้คุณรู้สึกสบายมาก และระบบการหายใจของคุณก็เหมือนกับได้ออกกำลัง แบบที่คุณอาจจะได้รับจากการวิ่งเหยาะๆ
	การหัวเราะช่วยบรรเทาความเจ็บปวด คุณจะหัวเราะได้ก็ต่อเมื่อคุณรู้สึกผ่อนคลาย และยิ่งคุณผ่อนคลายมากขึ้น  คุณก็จะรู้สึกเจ็บปวดน้อยลง ที่จริงแล้ว คุณไม่มีทางจะเป็นโรคกระเพราะและก็หัวเราะได้ในเวลาเดียวกัน คุณต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นเดียวกับความเจ็บป่วยอื่นๆ เรามักจะป่วยไข้บ่อยๆ เพราะการเคร่งเครียดเอาจริงเอาจังกับตัวเอง และชีวิตมากเกินไป สิ่งที่เราจำเป็นจะต้องทำก็คือ หัวเราะเพื่อช่วยให้เรามีสุขภาพดี 
	ศิลปะของการมีความสุข เกี่ยวข้องกับความสามารถในการหัวเราะในเวลาที่มีสถานการณ์ลำบากได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้หลังจากที่เกิดสถานการณ์นั้นแล้ว คนๆหนึ่งที่เกี่ยวข้องในสถานการณ์ข้างต้นนี้ จะต้านทานไม่ยอมหัวเราะไปสองปี อีกคนหนึ่งอาจจะตัดสินใจว่าหลังจากเวลาสองสัปดาห์ผ่านไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะหยุดร้องไห้เสียทีและก็เริ่มหัวเราะใหม่ ดังนั้น คนๆแรกก็ต้องจมอยู่ในความทุกข์นานกว่าอีกคนหนึ่งถึงห้าสิบเท่า แล้วเขาก็เลือกที่จะทำเองด้วย
	เราทุกคนล้วนต้องทุกข์กับความอับโชค คนที่มีความสุขเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการที่ต้องรอคอยนานเกินไปที่จะเห็นด้านที่ตลกๆ ของความผิดหวังของพวกเขา
	จำไว้เถิดว่าความลำบากของเรานั้นจะดูใหญ่โตมากสำหรับเรา มากกว่าสำหรับคนอื่นเสมอ ถ้าคนอื่นๆไม่มีใครที่นอนไม่หลับ บางที่เราก็อาจจะไม่จำเป็นจะต้องนอนไม่หลับด้วยเช่นกัน
	ความรับผิดชอบที่สำคัญของเราต่อคนอื่นอย่างหนึ่งก็คือ การทำให้ตัวเองมีความสุข ! เวลาเราสุขสนุกสนาน เราก็จะรู้สึกดีกว่า เราจะทำงานได้ดีขึ้น และคนก็อยากมาอยู่ใกล้ๆตัวเรา ชีวิตไม่เคร่งเครียดจริงจังขนาดนั้นหรอก มาสนใจมีอารมณ์ขันให้มากกว่านี้ดีกว่า
คัดมาจากหนังสือ "การมีความสุข !"  (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ) 


                                                      ใครขี้เกียจที่สุด ?

                     มีเรื่องตลกๆเกี่ยวกับเรื่องความขี้เกียจอยู่เรื่องหนึ่ง คือ มีชายสามคนกำลังนอนอยู่ข้างถนนไม่ทำอะไรเลย มีคนๆหนึ่งเดินผ่านมาแล้วก็ถามด้วยความอยากรู้ว่า อา ! พวกเธอสามคนกำลังทำอะไรกันอยู่น่ะ?
	พวกเขาก็บอกว่า   โอ! เราขี้เกียจมาก ก็เลยนอนอยู่ตรงนี้ เราไม่อยากทำงาน|
	คนนั้นก็พูดว่า เหรอ, ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ พวกเธอบอกฉันทีซิว่าพวกเธอพวกเธอขี้เกียจกันขนาดไหน ฉันจะให้เงินหนึ่งดอลลาร์แก่คนที่ขี้เกียจที่สุด
	ถ้าใครอยากจะขี้เกียจ ก็อาจจะต้องขี้เกียจอย่างเต็มที่ เพื่อที่คนอื่นจะได้ไม่มีอะไรจะมาแย้ง
	คนหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า  ฉันกระหายน้ำมาก ทั้งหิวทั้งกระหายเลย ฉันมีลูกแพร์อยู่ในกระเป๋าของฉันลูกหนึ่ง แต่ฉันขี้เกียจมากจนไม่ยอมหยิบมันออกมากิน
	คนต่อมาก็พูดว่า เหรอ! แค่นั้นไม่มีอะไรหรอก พระอาทิตย์ส่องตาฉันทำให้ฉันเคืองตาตลอด แต่ว่าฉันขี้เกียจจะหันหน้าหนี
	คนที่สามก็พูดว่า  เออ, สองคนนี้ก็ยังไม่แย่เท่าไหร่หรอก ฉันสิขี้เกียจที่สุด  แล้วก็พูดต่อไปว่า  ฉันอยากจะหลับเหลือเกิน รู้สึกเพลียมากเลย! แต่ฉันขี้เกียจจะปิดตาลงมา (ผู้ฟังหัวเราะ) 
เล่าโดยท่าน Suma Ching Hai ที่ศูนย์เทียนชาน ในฮ่องกง(เดิมเป็นภาษาจีน)


				
6 มกราคม 2551 00:10 น.

การชื่นชมพระจันทร์อย่างแท้จริง

คีตากะ

ครั้งหนึ่งขณะที่ผมกำลังนั่งสมาธิในตอนเช้าตรู่วันหนึ่ง ผมรู้สึกเหมือนกับถูกแรงที่ทรงพลังมากอย่างหนึ่งดึงขึ้นไปสูง เป็นแรงที่มากพอที่จะขยับเขยื้อนสวรรค์และโลกได้ทีเดียว ผมพุ่งขึ้นไปได้ด้วยความเร็วที่สูงมาก ทันใดนั้นเอง จิตวิญญาณของผมก็ถูกปลดปล่อยจากพันธะทางร่างกายไป จิตสำนึกของผมเข้าไปสู่ระดับที่ไม่เคยมีแบบนี้มาก่อนและไม่สามารถจะบรรยายได้ กระบวนการทั้งหมดเหมือนกับเป็น "การระเบิดครั้งยิ่งใหญ่" ความคิดอะไรต่างๆในหัวของผมอันตรธานหายไปหมดสิ้นในทันที มันเหมือนกับที่บรรดาอาจารย์เซ็นในสมัยโบราณกล่าวไว้ว่า "ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หายไปหมด"
          ผมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลังและอยู่เหนือพ้นจากกาลเวลาและสถานที่ เข้าสู่ "สภาวะของจิตสำนึกที่ศักดิ์สิทธิ์" ที่เหมือนจะมีอยู่ตั้งแต่การเริ่มต้นของกาลเวลา และเป็นสิ่งที่คงอยู่ตลอดกาล ในตอนนั้น ในใจของผมเต็มไปด้วยความสุขและมีความเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง ผมรู้สึกว่ากำลังอยู่ในมหาสมุทรของความรักที่ผมได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับมันไปแล้ว รู้สึกเหมือนกับเป็นลูกแกะที่หลงทางที่ได้กลับมาสู่อ้อมแขนของแม่อีกในที่สุด เป็นความรู้สึกที่ปลอดภัยและดลจิตใจแบบที่มิอาจจะหยั่งวัดได้
          ขณะเดียวกัน, ในความมืดมิดนั้นก็มีวงรัศมีซึ่งตรงกลางส่องแสงสีขาวสว่างเจิดจ้ามาปรากฏขึ้น แต่ถึงแม้ว่าแสงนี้จะสว่างจ้ามาก แต่ก็ไม่ได้ทำให้เคืองตาเลย และดูเหมือนว่ามันมีพลังอันมากมายไม่จำกัด คลื่นแสงเหล่านั้นไม่เพียงแต่ทำให้หัวใจของผมสว่างไสวขึ้นเท่านั้น แต่ยังได้ปลุกปัญญาสูงสุดที่นอนหลับไหลอยู่ภายในตัวผมมาแสนนานให้ตื่นขึ้น
         ด้วยพรแห่งพลังความรักและแสงอันเจิดจ้านี้ ผมก็ได้ตระหนักขึ้นมาทันทีราวกับว่าเพิ่งจะตื่นขึ้นมาจากความฝันว่า " โอ ! ชีวิตบนโลกนี้ช่างเป็นเหมือนความฝันจริงๆ และทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสร้างขึ้นมาจากจิตใจของเราจริงๆ" ผมได้เข้าใจอย่างเต็มที่แล้วในสิ่งที่เขียนอยู่ในวัชรสูตรว่า " เราไม่ควรจะยึดติดกับสิ่งใดๆ แล้วธรรมชาติเดิมแท้ของเราก็จะปรากฏขึ้น"
          ผมยังได้เข้าใจตลอดที่ท่านโพธิธรรมได้กล่าวว่า "เราจะไม่มีทางได้รู้จักพุทธะ ถ้าเราค้นหาด้วยจิตใจของเรา" จากการที่ได้ผ่านการค้นหา ต้องดิ้นรนต่อสู้ และมีความคิดต่างๆที่ขัดแย้งกันอยู่ในใจมากมาย ในที่สุด ผมก็ได้พบ 
 " ธรรมชาติพุทธะ" ที่พระพุทธเจ้าได้พูดถึง หรือ "พระจิตศักดิ์สิทธิ์" ที่พระเยซูพูดถึง หรือ "เจ้าแห่งปัญญา" ในศาสนาอิสลาม หรือ "หรือจิตสำนึกที่สูงสุด" ในภควัทคีตา ผมได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ที่สุดว่า "สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน และทุกๆคนมีธรรมชาติพุทธะจริงๆ"
          ผมไม่รู้ว่าประสบการณ์นี้กินเวลานานเท่าไร แต่ในที่สุดผมก็ออกมาจากสมาธิ แล้วก็รู้สึกกระชุ่มกระชวย มีความสุข ความสบายใจที่สุด ร่างกายของผมมีกระแสความสุขและแรงสั่นสะเทือนอันน่าภิรมย์ไหลเวียนไปทั่ว หัวใจของผมเป็นอิสระเสรีเต็มไปด้วยความสงบ เมื่อมองดูในกระจก ผมก็พบว่าตัวผมเหมือนกับเป็นคนที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว หน้าตาสดใสขึ้นมาก ผิวเรียบลื่นและอ่อนนุ่มขึ้นราวกับผิวของเด็กเล็กๆช่องทางเดินของพลังงานในตัวผมถูกเปิดออกตลอดทั่วทั้งร่าง ผมรู้สึกว่ามีกระแสพลังวิ่งขึ้นมาจากส่วนที่อยู่ต่ำกว่าท้อง มาตามส่วนหลังทางด้านล่างและเคลื่อนขึ้นไปสู่ด้านบนสุดของศรีษะเป็นระลอกๆตลอดเวลา และมันดูราวกับมีรูที่เปิดอยู่ตรงกระหม่อมอยู่รูหนึ่ง เมื่อใดก็ตามที่ผมเพ่งความสนใจตรงนั้นก็จะสามารถรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนระดับสูงอย่างหนึ่งจากเบื้องบนที่ไหลผ่านรูนั้นลงมาอยู่ตลอดเวลา และจิตสำนึกของผมก็ผ่านออกไปทางนั้นเสมอ เพื่อจะได้พบกับ "การระเบิดอย่างรุนแรง" อีก แล้วก็เข้าสู่โลกที่สงบสบาย
           แต่ยังมีสิ่งที่มากกว่านี้อีกด้วยนั่นคือ ผมยังค้นพบว่า ดูเหมือนว่าผมจะสามารถใช้ "รู" นั้นหายใจได้ด้วย ! มีการแปลงร่างทั้งทางกายและใจจริงๆ เป็นการ "เกิดใหม่จากการอาบแช่อยู่ในแสงอันยิ่งใหญ่" อะไรอย่างนี้!
            ไม่นานหลังจากนั้น มีการจัดฌานขึ้นที่ซีหู บังเอิญเป็นช่วงเทศการไหว้พระจันทร์ ดังนั้นอาจารย์จึงมาร่วมสนุกกับลูกศิษย์เป็นพิเศษ มีการจุดประทัดด้วย ตอนนั้นผมทำหน้าที่เป็นธรรมบาลอยู่ จึงโชคดีที่ได้อยู่ใกล้ๆอาจารย์
             ทันใดนั้นผมก็ได้ยินอาจารย์อุทานว่า " โอ้ ! ทุกคนดูสิ! พระจันทร์ออกมาแล้ว ! " ถึงแม้ว่าผมจะเป็นธรรมบาลอยู่ผมก็ยังแหงนหน้าขึ้นไปดูตามอาจารย์ด้วย " โอโฮ ! พระจันทร์เต็มดวงเชียว! "  " โอ้โฮ ! สวยจริงๆ !"  เสียงคนพูดชมเชยกันไปทั่ว แต่ว่าหัวใจของผมกลับไปอยู่ที่อื่น ผมรู้สึกแต่ว่าภาพเบื้องหน้านี้ดูคุ้นเคยมาก ราวกับว่าเคยเห็นมันมาก่อน แล้วผมก็คิดอะไรได้ " โอ้! นี่เอง! "  "นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมเคยเห็นมาก่อนในการนั่งสมาธิบางครั้งหรอกหรือ?! " ถึงแม้ว่าพระจันทร์ตอนนี้จะไม่สว่างเท่าแสงสีขาวในภาพที่ผมเห็น แต่มันก็เหมือนกันจริงๆ! ผมไม่สงสัยในเรื่องนี้เลย
              นับแต่นั้น ในเวลาเงียบๆตอนกลางคืน ผมก็ชอบมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มีดาวอยู่เต็มแล้วก็มองค้นหาไปเรื่อยๆเวลาที่ผมเห็นพระจันทร์ที่สว่างสุกใสอีก ความรู้สึกอันลืมไม่ลงนี้ก็จะผุดขึ้นมาในใจอีกครั้ง ผมจะถือโอกาสนี้เพื่อเตือนใจตัวเองเสมอ ไม่ให้หลงยึดติดอยู่กับภาพลวงตาของโลกภายนอก แต่ว่ามองหาอาณาจักรชั่วนิรันดร์ของพระเจ้าภายใน!
              โอ! ท่านอาจารย์, ศิษย์ของท่านได้เข้าใจในที่สุดแล้วว่า ทำไมคนในสมัยโบราณจึงอยากชมพระจันทร์!.......................................................				
2 มกราคม 2551 15:53 น.

สายสีเงินที่เป็นอมตะ

คีตากะ

ทำไมคนตายจึงทุกข์ทรมานมาก? เป็นเพราะพวกเขาส่วนใหญ่ถูกตัดขาดจากกระแสเสียงตลอดกาล มีสายสีเงินในตัวเราแต่ละคนขณะที่เรามีชีวิตอยู่ มันตามเราไปทุกหนแห่ง มันหดและขยายโดยอัตโนมัติขณะที่เราท่องเที่ยวไปมาระหว่างมิติอื่นๆ ถ้าเรารู้จักวิธีการบรรเลงสายสีเงิน เราจะสามารถทำให้มันเกิดเสียงที่ไพเราะเพื่อทำให้เรามีความสุขเพื่อหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณของเรา และพาเรากลับไปยังบ้านอันแท้จริงของเรา สำหรับผู้ที่ไม่รู้จักวิธีการใช้สายสีเงิน มันจะถูกใช้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นในตอนที่พวกเขาตายซึ่งมันจะถูกตัดขาดอย่างที่ไม่สามารถซ่อมแซมได้ นั่นเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจมาก
         ด้วยเหตุผลนี้คนเป็นจำนวนมากที่ตายไปจึงไม่มีความสุข เมื่อตอนที่พวกเขามีชีวิตอยู่ แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้วิธีการบรรเลงสายสีเงินก็ตาม พวกเขาก็มีมันอยู่ดีและดวงวิญญาณของพวกเขารู้ว่ายังคงมีความหวัง ยกตัวอย่าง ฉันมีแมนโดลิน แม้ว่าฉันจะไม่ค่อยมีเวลามากนักที่จะเล่นมัน แต่การที่รู้ว่าฉันมีมันก็ช่วยปลอบใจฉันได้ และฉันสามารถที่จะเล่นมันได้ทันทีที่ฉันมีเวลา ก่อนหน้านี้ตอนที่ฉันยังไม่มีมัน ฉันเคยคิด  "โอ มันจะดีมากเลยถ้าฉันมีสักเครื่องหนึ่ง !" ตอนนี้ฉันก็มีมันแล้ว แม้ว่าฉันจะไม่มีเวลาพอที่จะเล่นมัน ฉันก็รู้ว่ามันมีอยู่ มันก็นับว่าดีกว่าไม่มีอะไรเลย
          เมื่อเรามีชีวิตอยู่ สายสีเงินนั้นก็ดำรงอยู่ แม้ว่าเราจะไม่ได้บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมและไม่ได้ใช้สายสีเงินเส้นนี้ มันก็ยังคงมีอยู่และยังคงมีความหวัง พอเราตายไป มันก็หายไป เราไม่รู้ว่าเมื่อไรเราจึงจะมีบุญพอเพียงที่จะได้กลับมาเป็นมนุษย์และมีสายสีเงินนี้อีก สัตว์ไม่มีเส้นสายแบบนี้ ดังนั้นมันจึงไม่มีเสียงภายใน เออ มันมีเส้นสายแบบนี้ แต่ของมันนั้นเล็กเกินไปที่จะบรรเลงเป็นเพลง มันไม่ดีพอที่จะถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่
           คนส่วนใหญ่ประสบกับความทุกข์ยากมากมายหลังจากที่พวกเขาตายไป เป็นเพราะไม่มีเสียงจากเส้นสายสีเงินนี้และไม่มีความหวัง พวกที่ประทับจิตจะต่างออกไป เส้นสายสีเงินของพวกเขามีอยู่ตลอดกาล พาพวกเขาไปๆมาๆระหว่างโลกที่สูงขึ้นไป ดังนั้นพวกเขาจึงอิสระเสมอ และไม่มีวันหลงทางหรือถูกพรากจากมิติทางจิตวิญญาณที่สูงที่สุด เส้นสายสีเงินที่ทำหน้าที่ได้ถูกต้องไม่ผิดพลาดทำให้พวกเขามีชีวิตจริงๆ มิฉะนั้นแล้วเส้นสายก็จะหายไปเมื่อพวกเขาตายและจะไม่มีความหวังใดๆ และหากพวกเขาบางคนได้กลายเป็นสัตว์ ตามกฎแห่งกรรมตามศาสนาพุทธ ก็จะยังคงมีความหวังน้อยลงไปอีกสำหรับพวกเขา ด้วยเหตุนี้คนที่ตายจึงทุกข์ทรมานมาน ไม่สามารถได้ยินเสียงภายในและภายนอก
             ผู้บำเพ็ญกวนอิมมีความสุขมากในเวลาตาย โดยที่รู้ล่วงหน้าว่าจะตายเมื่อใด เส้นสายสีเงินจะยังคงไม่ถูกตัดขาดจะยังคงบรรเลงเสียงที่ไพเราะและหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง พาพวกเขาไปทุกหนแห่งและพาพวกเขากลับมา มันสามารถยืดไปจนสุดเขตแดนของจักรวาลและไปยังก้นลึกสุดของนรก ดังนั้นพวกเขาจึงอิสระที่จะไปทุกหนแห่ง นี่ก็คือข้อแตกต่างระหว่างคนธรรมดาและผู้ที่ประทับจิต เมื่อร่างกายของพวกเขาตายไป จริงๆ แล้ว ผู้ที่ประทับจิตไม่มีวันตาย เฉพาะผู้ที่เส้นสายถูกตัดขาดเท่านั้นที่ตาย
                คนที่มีชีวิตอยู่ที่ไม่สามารถได้ยินหรือเห็นสิ่งภายนอกจะไม่มีความสุขเป็นอย่างมาก คนตาบอดและคนหูหนวกไม่ค่อยมีความสุขเท่าไรนักเพราะพวกเขาไม่มีเสียงและภาพภายนอกเพื่อให้ความบันเทิงแก่พวกเขา ซึ่งเป็นแบบเดียวกันกับคนตาย ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่มีความสุข ถ้าเราเพาะเลี้ยงเส้นสายสีเงินนี้ และรักษามันไว้ไม่ให้ตาย เราก็จะเป็นอมตะและจะมีเสียงและแสงมาหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณของเรา ปลอบใจเรา และทำให้เราร่าเริงตลอดเวลา ตอนนี้เรามีมันวันละ 24 ชั่วโมง ดังนั้นเราจึงมีความสุขตลอดทั้งวัน......				
Lovers  0 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 0 คน
Lovers  4 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ