4 ตุลาคม 2556 22:35 น.

การตื่นตัวของมังสวิรัติในภูเขาหิมาลัย

คีตากะ

vg6-bg.jpg










โดยกลุ่มข่าวฟลอริดา สหรัฐอเมริกา (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)




ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ชาวทิเบตที่มีอิทธิพลจำนวนมากได้กลายเป็นมังวิรัติและได้สนับสนุนให้ผู้อื่นเป็นมังสวิรัติด้วยเช่นกัน ต่อไปนี้เป็นการเล่าอย่างย่อๆ ถึงกิจกรรมของพวกเขา



vg6-1.jpg


ดาไลลามะ

ในวันที่ 5 เมษายน 2548 ดาไลลามะ ได้กล่าวถ้อยคำต่อไปนี้ต่อที่ประชุมของผู้นำชาวทิเบต “เมื่อไม่นานมานี้อาตมาได้เปลี่ยนไปกินอาหารมังสวิรัติ หนุ่มสาวในปัจจุบันนี้โดยเฉพาะผู้ที่มาจากทิเบต และมีสถานะภาพเป็นผู้ลี้ภัย จะต้องมีหลักการเหล่านี้เพื่อการพัฒนาตนเอง และเพื่อความสงบสุขของจิตใจข่าวสารจากมหากรุณา (ภาษาสันสกฤตแปลว่าความเมตตาที่ยิ่งใหญ่) ได้ขอร้องพวกเราอย่างชัดเจน ให้ปฏิบัติและเทศนาเรื่องความรักและความเมตตาแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย” การกระทำอันสูงส่งของดาไลลามะ เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วโลก และเป็นที่น่าสรรเสริญเป็นพิเศษ เพราะว่าท่านได้เปลี่ยนอาหารของท่านเมื่ออายุได้ 70 ปี อันที่จริงท่านปรารถนาที่จะเป็นมังสวิรัติ เมื่ออายุน้อยๆ แต่ถูกขัดขวางโดยความเชื่อที่อยากรู้อยากเห็นของแพทย์ส่วนตัวของท่าน

ในปัจจุบันนี้ อย่างไรก็ตามแพทย์ชาวทิเบตได้ตระหนักถึงผลประโยชน์ของอาหารมังสวิรัติเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงด๊อกเตอร์ เท็นซิน เซฟาว ผู้อำนวยการแห่งการแพทย์ทิเบต “ไม่มีความจำเป็นที่ดาไลลามะจะกินเนื้อสัตว์ ผมจะไม่ออกใบสั่งแพทย์ให้ใครเริ่มกินเนื้อสัตว์อีก แพทย์ชาวทิเบตที่ทำเช่นนั้นค่อนข้างล้าสมัย และไม่ตระหนักถึงหรือเปิดใจสู่ทางเลือกที่ไม่กินเนื้อสัตว์ ผมคิดว่าชาวทิเบตทุกคนควรหยุดกินเนื้อสัตว์”

ในปี 2547 ไก่ทอดเคนตั๊กกี้ได้ประกาศแผนที่จะเปิดภัตตาคารไก่ในทิเบต ซึ่งดาไลลามะได้ตอบโต้ด้วยการเรียกร้องต่อสาธารณดังต่อไปนี้ “ในนามของเพื่อนอาตมา ณ ประชาชนสำหรับการกระทำที่มีคุณต่อสัตว์ (PETA) ผมได้เขียนมาเพื่อที่จะขอร้องให้ไก่ทอดเคนตั๊กกี้ล้มเลิกแผนการที่จะเปิดภัตตาคารในทิเบต เพราะการสนับสนุนในองค์การของคุณในเรื่องความโหดร้ายและการเข่นฆ่าแบบจำนวนมากขัดกับค่านิยมของชาวทิเบต” หลังจากนั้นไก่ทอดเคนตั๊กกี้ก็ล้มเลิกแผนการนี้

ก่อนเหตุการณ์นี้ดาไลลามะได้กระทำการรณรงค์ในเรื่องมังสวิรัติอื่นๆ มากมาย ยกตัวอย่างในปี 2536 ท่านได้ขอให้ภัตตาคารในเมืองดารัมซาราประเทศอินเดียซึ่งเป็นบ้านของชุมชนชาวทิเบตที่ลี้ภัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกให้กลายเป็นมังสวิรัติเพื่อว่าชาวทิเบตจะได้มีโอกาสลิ้มรสอาหารมังสวิรัติที่เอร็ดอร่อยและเรียนรู้ที่จะหยุดการกินเนื้อสัตว์ ผลที่เกิดขึ้นก็คือชาวเมืองท้องถิ่นจำนวนมากได้กลายเป็นมังสวิรัติและสืบเนื่องมาจากภัตตาคารอาหารมังสวิรัติอย่างเช่นเต้าหู้ก็ได้กลายเป็นที่รู้จักต่อชาวทิเบต

ผู้นำอาหารมังสวิรัติชาวทิเบตท่านอื่น
วีรบุรุษมังสวิรัติที่แท้จริงท่านอื่นจากทิเบตคือพระเกชี ทัพเทน เพวเย ผู้ซึ่งหลังจากได้จำศีลเป็นเวลานานหลายปีได้ก่อตั้งขบวนการความเมตตาสากล (www.universalcompassion.org) ในปี 2541 ขบวนการนี้ส่งเสริมอาหารมังสวิรัติและความเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วยวิธีการต่างๆ กัน รวมไปถึงการแจกจ่ายใบปลิวมังสวิรัติทั่วเมืองดารัมซารา


vg6-2.jpg


ปี 2542 เพวเยได้ถูกคัดเลือกให้เป็นประธานของสมาพันธ์ International Gelug Society ซึ่งเป็นตัวแทนของธรรมเนียมชาววัดในทิเบต และได้ผ่านในมติให้นักบวชและแม่ชีทุกคนใน Gelug เป็นมังสวิรัติในปีต่อมาพระสงฆ์ของ Gelug ก็ได้เลือกเขาให้เป็นตัวแทนในสภาของชาวทิเบตในเมืองดารัมซารา ซึ่งเขาได้เสนอกฎหมายที่เป็นประวัติศาสตร์ ประกาศให้ปี 2547 เป็นปีมังสวิรัติของทิเบต ซึ่งชาวทิเบตทุกคนต้องเป็นมังสวิรัติ ต่อมาสภาก็ได้ออกกฎซึ่งการเป็นมังสวิรัติได้รับการสนับสนุนแต่ไม่ได้บังคับ นับเป็นการนำมังสวิรัติเข้าไปสู่จิตใจของชาวทิเบต การปกครองเช่นนี้อาจจะถือได้ว่าเป็นกฎที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สมัยของพระเจ้าอโศกมหาราชในปี 200 ก่อนคริสตกาลซึ่งได้ก่อตั้งการเกิดมังสวิรัติในอินเดีย

อนุชนรุ่นใหม่ของผู้สนับสนุนมังสวิรัติชาวทิเบต 
ในบทนำของนิตยสารไทม์ในทิเบตปี 2547 บูชุง เค เซอร์ริ่ง ผู้อำนวยการรณรงค์ในทิเบตประจำกรุงวอชิงตันดีซี ได้พูดคุยถึงแนวโน้มใหม่สู่การเป็นมังสวิรัติของชาวทิเบตดังนี้

ประเด็นของการกินเนื้อสัตว์ได้กลายเป็นการพูดคุยกันในที่สาธารณะของชาวทิเบตเมื่อไม่นานมานี้ การเปลี่ยนแปลงที่ละเอียดอ่อนในความคิดของประชาชนทิเบตได้เกิดขึ้น เมื่อชาวทิเบตที่หนุ่มสาวเยาวัยกว่ากำลังเลือกอาหารมังสวิรัติ ในทุกวันนี้แม้กระทั่งหมู่คนที่สูงอายุได้พยายามที่จะเปลี่ยนนิสัยการกินเนื้อสัตว์ที่มีมาแต่นมนาน

หนึ่งในผู้ที่สนับสนุนอาหารมังสวิรัติชาวทิเบตที่มีอายุน้อยและทรงพลังที่สุดคือ รัสเซล ซารีวา ผู้ก่อตั้งอาสาสมัครชาวทิเบตเพื่อสัตว์ในต้นปี 2548 ด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนสองคนและการสนับสนุนด้านการเงินจากดาไลลามะ นายซารีวาก็ได้เดินทางภายใต้โครงการ “All India Vegetarian Tour (ทัวร์ทั้งอินเดียเป็นมังสวิรัติ)” ไปยังชุมชนชาวทิเบตที่อยู่ห่างไกลทั่วอินเดีย ซึ่งเขาได้แสดงปาฐกาถาและได้ฉายาภาพยนต์สารคดีเกี่ยวกับมังสวิรัติ ในช่วงของการจาริกเดินทางพระสงฆ์ชาวทิเบตและพระสงฆ์ชาวตะวันตกมากมายได้กลายมาเป็นมังสวิรัติโดยที่มีคน 700 คนสัญญาว่าจะกินมังสวิรัติโดยการเซ็นเอกสาร นอกจากนั้นนายซารีวาก็ได้ออกนิตยสารมังสวิรัติเป็นทางการฉบับแรกที่เป็นภาษาอังกฤษ และภาษาทิเบตเมื่อเร็วๆ นี้ มีคนแนะนำให้เขาหยุดพักเขาก็ได้ตอบว่า “เวลากำลังเหลือน้อยลงเราจะต้องช่วยชีวิตสัตว์ในตอนนี้”

ชาวทิเบตหนุ่มที่มีแรงบันดาลใจอีกคนหนึ่งคือ เท็นซิ่น คุนกา ลูดิ้ง ซึ่งได้กลายเป็นมังสวิรัติตั้งแต่อายุ 10 ขวบ หลังจากที่ได้ฟังเรื่องความทุกข์ทรมานของวัวที่ถูกใช้เป็นเนื้อสัตว์ ด้วยความช่วยเหลือของบิดาของเขา เขาได้ก่อตั้งสมาคมชาวมังวิรัติแห่งทิเบต (T4VS) เท็นซิ่นใช้เวลาจำนวนมากของเขาในการช่วยเหลือสัตว์จรจัด และหวังที่จะซื้อที่ดินในเดลีเพื่อที่จะทำเป็นศูนย์ช่วยเหลือและฟื้นฟูสัตว์

พันธกิจหลักของ T4VS ก็คือการเผยแพร่มังสวิรัติด้วยวิธีการทุกรูปแบบ เท็นซิ่นได้คิดวิธีการที่ชาญฉลาดมากมายเพื่อให้เข้าถึงผู้คนโดยการใช้แผ่นพับ สติ๊กเกอร์หรือโปสเตอร์ บทความ ข่าว และวีซีดี ในปัจจุบันนี้ T4VS กำลังพัฒนาเว็บไซต์ www.T4VS.com และทำวีซีดีใหม่ที่มีเรื่องของพระลามะอันเป็นที่เคารพสูงสุดพูดถึงมังสวิรัติทั้งหมดด้วยเงินของเท็นซิ่น และเงินบริจาคเล็กน้อยจากออฟฟิศส่วนตัวของดาไลลามะ ด้วยเงินของบริจาคของดาไลลามะ เท็นซิ่นได้พูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ท่านนับเป็นดาไลลามะองค์แรกที่เป็นหัวหน้าองค์กรมังสวิรัติและเจแห่งทิเบตองค์กรแรก สิ่งนี้นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของทิเบตเรา”

เพื่อเป็นการเห็นถึงความสำคัญของปีมังสวิรัติในทิเบต T4VS เมื่อเร็วๆ นี้จึงได้จัดทัวร์ดนตรีร็อค ซึ่งจากคำกล่าวของเท็นซิ่นได้บอกว่า “เพื่อเป็นการเผยแพร่ความรักและความเมตตาสู่ทุกผู้ทุกคนที่กินเนื้อสัตว์ ผู้ที่เป็นมังสวิรัติผู้ที่ไม่ใช่เป็นมังสวิรัติและชาวพุทธ และผู้ที่ไม่ใช่ชาวพุทธยินดีต้อนรับเข้าร่วมและสนับสนุนเรา” การเป็นบวกเช่นนี้ ได้ดึงดูดผู้ที่ไม่ใช่มังสวิรัติจำนวนมาก ขณะนี้เท็นซิ่นหวังที่จะทำงานร่วมกับกลุ่มอื่นๆ เพื่อส่งเสริมวิถีชีวิตมังสวิรัติ

โยคีเท้าเปล่า
โยคีอายุ 93 ปี ชาทรัน รินโปเช อาจารย์ที่สอนการทำสมาธิของโรงเรียนนิงมา ซึ่งเป็นประเพณีชาวพุทธที่เก่าแก่ที่สุดของทิเบตได้ใช้เวลาในชีวิตส่วนใหญ่ของเขาอาศัยอยู่ตามลำพังในถ้ำและเดินท่องเที่ยวเท้าเปล่าในเทือกเขาหิมาลัย เกี่ยวกับอาหารมังสวิรัติท่านได้กล่าวว่า “ในประสบการณ์ของข้าพเจ้า ได้พบชาวลามะมากมายในชาม อันโด-ทุกส่วนของทิเบต-ที่ไม่กินเนื้อสัตว์” และเพื่อเป็นการส่งเสริมวิถีชีวิตมังสวิรัติ ท่านลามะได้เขียนเรื่องการกินเนื้อสัตว์ ซึ่งเขาได้กล่าวว่า “การได้ทราบถึงความไม่ดีของเนื้อสัตว์และแอลกอฮอล์ ข้าพเจ้าได้สัญญาที่จะไม่กินเนื้อสัตว์และแอลกอฮอล์ ข้าพเจ้ายังได้ประกาศต่อพระสงฆ์ทั้งหลาย ดังนั้นใครก็ตามที่ฟังข้าพเจ้าก็ขออย่าได้ฝ่าฝืนธรรมะข้อนี้”


vg6-3.jpg


เกี่ยวกับความเชื่อที่ว่าชาวพุทธทิเบตสามารถเปลี่ยนเนื้อของสัตว์ที่พวกเขากำลังจะกินให้เป็นพลังงาน เพื่อทำให้สัตว์หลุดพ้นและด้วยการทำเช่นนี้ทำให้ถึงระดับที่สูงกว่าการรู้แจ้ง เขาได้กล่าวว่า ด้วยพลังเหนือธรรมชาติที่ได้รับจากการนั่งสมาธิ เป็นความจริงที่มีบางคนที่สามารถชุบชีวิตสัตว์จากความตายและช่วยให้พวกมันไปเกิดใหม่ในสถานะที่สูงกว่าโดยได้รับการรู้แจ้งจากการกินเนื้อปริมาณเล็กน้อยของพวกมัน แต่สิ่งนี้ไม่ได้กระทำเพื่อการยังชีพ แต่เพื่อจุดมุ่งหมายในการช่วยเหลือสัตว์เหล่านั้นเท่านั้น ตัวของข้าพเจ้าเองไม่มีพลังเช่นนั้นและด้วยเหตุผลนั้นข้าพเจ้าจึงไม่เคยกินเนื้อสัตว์ ข้าพเจ้าจะสร้างบาปและได้รับกรรมที่เป็นลบ ข้าพเจ้าไม่เสแสร้งคล้ายกับว่ามีพลังของเนื้อสัตว์ ข้าพเจ้าเพียงแต่หลีกเลี่ยงมันทั้งหมด

มีลาเลอปาในปัจจุบัน
ดรับวัง รินโปเช อาจารย์ที่สอนสมาธิจากเชื้อสายคายูของมิลาเลอปา ได้ใช้เวลาหลายปีเช่นกัน ในการจำศีลและในขณะนี้ได้สอนคนให้มีชีวิตด้วยมังสวิรัติบริสุทธิ์ และทำสมาธิโดยท่องชื่อศักดิ์สิทธิ์ในฌานครั้งหนึ่ง ที่กระทำโดย ลามะดรับวัง คน 70 คนได้ปฏิญาณที่จะเป็นมังสวิรัติ และหลังจากที่เขาได้ไปเยี่ยมหมู่บ้านจำนวนมากในเมืองลาดัก ชาวเมืองก็สัญญาที่จะปิดตลาดขายเนื้อของพวกเขาเป็นเวลาหนึ่งวันต่อสัปดาห์ เกี่ยวกับพื้นฐานของการเป็นมังสวิรัติ ดรับวังได้พูดว่า “ถ้าหากบุคคลคนหนึ่งมีความตั้งใจที่แน่วแน่อย่างแรงกล้า บุคคลผู้นั้นจะหลีกเลี่ยงการกระทำชั่วร้ายทั้งหมดและภายใต้สถานการณ์ใดๆ แน่นอนเราพบกับความยากลำบากในการเป็นมังสวิรัติเต็มตัว แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเกิดอุปสรรคนั้นขึ้น เราควรจะจำไว้ว่าสรรพสัตว์ทุกตน ณ จุด จุดหนึ่งทุกคนได้เคยเป็นพ่อแม่ของเรามาก่อน”


vg6-4.jpg


บทสรุป
กรณีของชาวมังสวิรัติชาวทิเบตผู้สูงส่งที่ได้พูดถึงข้างต้นนั้น ได้เปิดเผยว่าจิตสำนึกของมนุษยชาติได้ถูกยกระดับขึ้นแล้วจริงๆ บุคคลที่มีคุณธรรมเหล่านี้ได้เปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมที่มีมานานนับพันปีอย่างชาญฉลาด ซึ่งได้แสดงให้เห็นว่ายุคมังสวิรัติได้ใกล้เข้ามาสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับศาสนาพุทธทิเบตและมังสวิรัติโปรดเยี่ยมชมที่ www.shabkar.org หรือ www.veggiedharma.org




ฺBe Veg, Go Green 2 Save the Planet				
4 ตุลาคม 2556 22:37 น.

นักวิทยาศาสตร์และนักประดิษฐ์ที่มีชื่อเสียงเป็นมังสวิรัติ

คีตากะ

vg5.jpg











โดยกลุ่มข่าวฟลอริดา สหรัฐอเมริกา (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)


      เพื่อที่จะเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติของโลกเหล่านักคิดและนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของโลกจำนวนมากในประวัติศาสตร์ ได้บริโภคมังสวิรัติและได้ยืนยันถึงความจำเป็นจากจุดยืนถึงคุณธรรมและทางด้านตรรกะ

ยกตัวอย่างเซอร์ ไอแซ็ค นิวตัน “บิดาแห่งวิชาฟิสิกส์” และลีโอนาโด ดาวินชี่ นักฟิสิกส์ซึ่งได้ค้นพบในเรื่องที่สำคัญของไฮดรอลิก ทัศนศาสตร์ และเครื่องกล ทั้งสองต่างก็เป็นมังสวิรัติ อันที่จริงดาวินชี่ มีความศรัทธาอย่างแรงกล้าในมังสวิรัติจนเขาถึงกับซื้อไก่ที่อยู่ในกรงและปล่อยมันให้เป็นอิสระ นอกจากนั้นสีนิวาสะ รามานุจัน (2330 – 2463) ซึ่งเป็นนักคณิตศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงร้อยปีที่ผ่านมานี้ก็เป็นมังสวิรัติ

นักมังสวิรัติที่กระตือรือร้นอีกคนหนึ่งเป็นนักประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่เป็นนักฟิสิกส์และวิศวกรก็คือนิโคล่า เทสลา (2399-2486) ได้ประดิษฐ์ระบบไฟฟ้ากระแสสลับ ซึ่งให้พลังสร้างความเจริญในปัจจุบัน ได้ใช้ชีวิตกินอาหารที่หรูหราและสั่งอาหารตามสั่งที่โรงแรมโอดอปแอสตอเรียในนิวยอร์ก เกี่ยวกับประโยชน์ทางด้านร่างกายและจิตใจของอาหารมังสวิรัติ เทสลาได้เขียนไว้ว่าโดยหลักการทั่วไปการเลี้ยงวัวควายเพื่อเป็นอาหารนั้นเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ เป็นการดีกว่าแน่นอนที่จะปลูกพืชผัก และผมคิดว่ามังสวิรัติเป็นการเลิกนิสัยแบบคนป่า ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสรรเสริญการที่เรายังชีพด้วยอาหารที่เป็นพืชและทำงานของเราอย่างเป็นประโยชน์ไม่ใช่เป็นเพียงทฤษฎี แต่เป็นความจริงที่ได้มีการแสดงให้เห็นเป็นอย่างดี ชนเผ่ามากมายที่เกือบจะกินผักแต่อย่างเดียวมีร่างกายและความแข็งแกร่งที่ดีกว่า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอาหารจากพืชบางชนิดเช่น ข้าวโอ๊ต ประหยัดกว่าเนื้อสัตว์และดีกว่าเนื้อสัตว์ ทั้งทางด้านกำลังกายและทางด้านจิตใจ ยิ่งไปกว่านั้นอาหารที่ว่านี้ อวัยวะย่อยอาหารของเราจะทำงานน้อยกว่าและจะทำให้เราพึงพอใจมากกว่า และมีไมตรีจิต ซึ่งทำให้เป็นสิ่งที่ดีอันยากที่จะคาดการณ์ได้ จากความจริงเหล่านี้เราควรพยายามทุกหนทางที่จะหยุดความโหดร้าย การเข่นฆ่าสัตว์อย่างโหดเหี้ยม ซึ่งทำร้ายคุณธรรมของเรา

เทสลาผู้ที่มองการณ์ไกลยังได้กล่าวว่า วันหนึ่งมวลมนุษย์จะเรียนรู้ค้ำจุนตัวเองโดยตรง โดยการใช้สนามพลังงานของจักรวาล นอกจากนั้นโทมัส เอดิสัน (2390-2474) นักประดิษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์รวมทั้งเป็นมังสวิรัติด้วยได้เขียนว่า “มังสวิรัติมีอิทธิพลทรงพลังเหนือจิตใจและการกระทำของมัน รวมไปถึงสุขภาพและความกระฉับกระเฉงของร่างกายเราจะยังคงเป็นคนป่าเถื่อน เว้นแต่ว่าเราจะหยุดทำร้ายสรรพสัตว์อื่นๆ ทั้งหลาย”

นักมังสวิรัติผู้มีชื่อเสียงอีกท่านหนึ่ง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (2422-2498) ซึ่งได้ถูกจัดให้เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20 และเป็นผู้ที่ส่งเสริมสวัสดิภาพตลอดชีวิต “ไม่มีอะไรที่จะยังประโยชน์ให้สุขภาพของมนุษย์ และเพิ่มโอกาสในการมีชีวิตอยู่บนโลกมากเท่ากับการวิวัฒนาการสู่อาหารมังสวิรัติ” ในคำกล่าวที่คล้ายกันนี้ เขาได้กล่าวว่าหน้าที่ของเรา คือทำให้ขอบเขตความเมตตาของเราเปิดกว้างขึ้น ที่จะรวมเอาสิ่งมีชีวิตทั้งหลายและธรรมชาติทั้งหมดในความงามของมัน” และในวันที่เขากลายเป็นมังสวิรัติ เขาได้เขียนไว้ในไดอารี่ว่า “ตกลงผมก็มีชีวิตอยู่โดยปราศจากไขมัน ปราศจากเนื้อสัตว์ ปราศจากปลา แต่ผมรู้สึกดีทีเดียวในลักษณะนี้ ผมรู้สึกอยู่เสมอว่ามนุษย์ไม่ได้เกิดมาเป็ผู้ที่กินเนื้อสัตว์”



vg5-w.jpg



ตั้งแต่ไอน์สไตน์ได้เสนอทฤษฎีแห่งสัมพันธภาพเมื่อร้อยปีก่อน โลกก็ไม่เคยได้พบอัจฉริยะที่เทียบเท่าเขาอีกเลย อย่างไรก็ตาม นักฟิสิกส์ร่วมสมัยอีกท่านหนึ่งคือ เอ็ดเวิร์ด วิดเทิลได้ถูกมองโดยหลายคนว่าเป็นผู้สืบทอดของเขา และยังเป็นที่รู้จักในฐานะเป็นนักทฤษฎีสตริงคนแรกสุด นอกเหนือจากความเก่งกาจทางวิทยาศาสตร์ของเขาแล้ว วิดเทิลก็คล้ายคลึงกับไอน์สไตน์ ตรงที่เขาก็เป็นมังสวิรัติและทำงานเกี่ยวกับปัญหาทางฟิสิกส์แบบเดียวกัน ในตึกของมหาวิทยาลัยพรินเทิลเดียวกันกับที่ไอน์สไตน์ทำงานอยู่

ผู้อุปถัมภ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของวิดเทิล คือไบรอัน กรีน ซึ่งได้แย้งทฤษฎีของไอน์สไตน์ว่า อวกาศสามารถขยายออกไปได้ แต่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เมื่ออายุได้ 9 ขวบ กรีนสามารถคูณตัวเลข 30 หลักในใจของเขาได้ และแน่นอนเขาก็เป็นมังสวิรัติด้วยต่อไปข้างล่างนี้ เป็นบทความที่คัดตัดทอนมาจากบทสัมภาษณ์พิเศษเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์คุณธรรมและมังสวิรัติ ที่นายกรีนได้ให้สัมภาษณ์กับธรรมสารอนุตราจารย์ชิงไห่

ถ:  ทำไมคุณจึงคิดว่าอัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดจำนวนมากจึงเป็นมังสวิรัติ?

บ: จากประสบการณ์อันมีขีดจำกัดของผม นักมังสวิรัติคือคนที่เต็มใจที่จะท้าทายระเบียบของสิ่งต่างๆ ที่เป็นปกติและเป็นที่ยอมรับ ยิ่งไปกว่านั้นมักจะเป็นคนที่เต็มใจเสียสละความสุขส่วนตัวของพวกเขา เพื่อทำในสิ่งที่พวกเขาคิดว่าถูกต้อง คุณสมบัติแบบเดียวกันนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นเสมอที่จะทำการฝ่าฟันที่ยิ่งใหญ่ในศิลปะและวิทยาศาสตร์

ถ: ทำไมคุณจึงคิดว่านักวิทยาศาสตร์ท่านอื่นๆ จึงยังไม่เป็นมังสวิรัติ?

บ: ผมอยากจะถามว่า โดยทั่วไปทำไมคนส่วนใหญ่จึงยังไม่เป็นมังสวิรัติ ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้มีคำถามถึงเรื่องการกินเนื้อสัตว์ พวกเขาได้กินกันมาตลอด คนเหล่านี้จำนวนมากเอาใจใส่ในเรื่องสภาพแวดล้อม บางคนก็เอาใจใส่มาก แต่ด้วยเหตุผลบางประการ – แรงแห่งนิสัยวัฒนธรรมการต่อต้านที่จะเปลี่ยนแปลง มีการเชื่อมโยงที่ไม่ปะติดปะต่อกัน ซึ่งทำให้ความรู้สึกเหล่านี้ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นการเปลี่ยนพฤติกรรม

ถ: อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้คุณเป็นมังสวิรัติ?

บ: พูดตามตัวอักษร มันเป็นอาหารซี่โครงหมูที่คุณแม่ของผมทำเมื่อผมอายุได้ 9 ขวบ ซี่โครงทำให้เกิดการเกี่ยวข้องกับเนื้อสัตว? และสัตว์ที่มันมาโดยตรง ผมรู้สึกตกใจกลัว และประกาศว่าผมจะไม่กินเนื้อสัตว์อีก และผมก็ไม่เคยกินอีกเลย การเป็นเจเกิดขึ้นในภายหลังต่อมา ผมได้ไปเยี่ยมฟาร์มที่ได้ช่วยชีวิตสัตว์ในรัฐที่อยู่เหนือนิวยอร์กและได้เรียนรู้มากมายเกี่ยวกับอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์นม ซึ่งรบกวนจิตใจมาก จนผมไม่สามารถสนับสนุนมันได้อีกต่อไป ภายในไม่กี่วันผมก็เลิกกินผลิตภัณฑ์นมทั้งมด



vg5-g.jpg



ในปัจจุบันนี้นักวิทยาศาสตร์ที่ไม่ได้เป็นมังสวิรัติก็เข้าใจถึงกายภาพพื้นฐานของมังสวิรัติ และเข้าใจว่ามันสามารถทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ดีในโลกได้อย่างไร ยกตัวอย่างนักฟิสิกส์ชาวสหราชอาณาจักรอาราน คาลเวิร์ค เมื่อเร็วๆ นี้ได้พูดถึงข้อความเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนและวิถีมังสวิรัติว่า “การกินอาหารมังสวิรัติจะทำประโยชน์ให้กับสภาพแวดล้อมมากกว่าการเผาน้ำมันและก๊าซที่น้อยลง”

จากตัวอย่างข้างต้น เราจะเห็นได้ว่านักวิทยาศาสตร์ผู้ที่มีชื่อเสียงตลอดประวัติศาสตร์ ได้ยืนยันถึงประโยชน์ของอาหารมังสวิรัติจากจุดยืนทางด้านคุณธรรมและความเมตตา รวมทั้งมุมมองที่ว่ามันจำเป็นในการสร้างความผาสุกให้กับโลกของเรา ดังนั้นในการเปลี่ยนนิสัยในด้านการกินของเราเท่านั้น เราก็สามารถทำประโยชน์ได้เหลือคณานับมาสู่มวลนุษย์



Be Veg, Go Green 2 Save the Planet				
4 ตุลาคม 2556 22:38 น.

ดาราภาพยนต์ ลินดา แบลร์ เป็นมังสวิรัติและมีเมตตา

คีตากะ

vg2-1.jpg










โดยแผนกบันเทิง ลอสแองเจอลิส, แคลิฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา
(ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)


      เมื่ออายุได้ 14 ปี ดาราหญิงลินดา แบลร์ ก็มีชื่อเสียงไปทั่วโลก จากภาพยนต์ที่ได้รับรางวัลออสการ์ ดิเอสโซซิส ที่แสดงเป็นเด็กสาวชื่อ เรแกน แม็คนิว ตลอดเวลาที่ผ่านมานางสาวแบลร์ได้ถูกเสนอชื่อสำหรับรางวัลอคาร์เดมี่ และได้รางวัลลูกโลกทองคำและรางวัลพีเพิ้ลช้อยส์ และได้ทำงานร่วมกับดารามีชื่อเสียงอย่างเช่น อลิสเบ็ท เทเลอร์ มาร์ติน ซีน แอนโทนี่ ฮอบกิ้นส์ เค๊อร์ก ดักลาส ริชาร์ด เดอร์ตัน และเลสรี่ นิวซั่น

นอกเหนือจากความสำเร็จในด้านการแสดงของเธอแล้ว นางสาวแบลร์ยังเป็นที่รู้จักอย่างดี และเป็นที่เคารพสำหรับการสนับสนุนในเรื่องสิทธิของสัตว์ และเป็นนักประพันธ์ของหนังสือเรื่องโกอิ้ง วีแกน (GOING VEGAN) นับตั้งแต่เป็นเด็กเธอมีบุญสัมพันธ์อย่างมาก และมีความรักให้กับสัตว์ อุทิศเวลาและพลังงานของเธอในการช่วยเหลือสัตว์ต่างๆ ที่ต้องการความช่วยเหลือจากงานกับองค์กรต่างๆ อย่างเช่นอาหารสำหรับเด็ก, ประชาชนสำหรับการปฏิบัติเพื่อคุณธรรมต่อสัตว์ (PETA..) โดยการใช้อิทธิพลของเธอ และเสียงของเธอในการให้การศึกษากับสาธารณชนเกี่ยวกับสัตว์ต่างๆ ที่อยู่ในภาวะฉุกเฉิน นางสาวแบลร์ยังได้ก่อตั้งลินดา แบลร์ เวิลด์ฮาร์ต เฟาน์เดชั่น (Linda Blair World Heart Foundation) ซึ่งช่วยเหลือฟื้นฟูและรับเลี้ยงสัตว์ต่างๆ ที่กำลังจะถูกฆ่า

ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2548 สมาชิกจากสมาคมอนุตราจารย์ชิงไห่นานาชาติ มีความยินดีที่ได้สัมภาษณ์นางสาวลินดา แบลร์ สำหรับรายการโทรทัศน์ การเดินทางผ่านอาณาจักรอันสุนทรีย์ ต่อไปนี้เป็นข้อความบางตอนที่คัดมาจากการสัมภาษณ์

ถ: คุณกลายเป็นมังสวิรัติและเป็นผู้ที่กระตือรือร้นเกี่ยวกับเรื่องสัตว์อย่างไร?

ล: ในปี 2531 ฉันกำลังอ่านบทความเกี่ยวกับเรื่องยาฆ่าแมลง ฝนกรด และเราทำฟาร์มสัตว์กันอย่างไรและนั่นก็คือสิ่งที่ฉันกลายเป็นมังสวิรัติ และมันได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของฉันอย่างแน่นอน ฉันไม่เคยมีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวเลยนับตั้งแต่นั้นมา ฉันไม่ได้เปลี่ยนแปลงน้ำหนัก และถ้าใครรู้ว่าฉันอายุเท่าไร คุณก็จะทราบว่า มีอะไรบางอย่างในนั้น คุณเพียงแต่มีความตระหนักมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องอาหารและการทำร้ายสัตว์ สิ่งที่เรากำลังทำกับสัตว์ กับโลก ความจริงก็คือว่าทุกอย่างไปพร้อมๆ กัน พูดถึงด้านสภาพแวดล้อมวิธีการทำปศุสัตว์ของเรามีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม มีผลกระทบต่อก้นแม่น้ำ มีผลกระทบต่อมหาสมุทร มีผลกระทบต่ออากาศ และนั้นคือสิ่งที่คนจำนวนมากไม่ได้ตระหนักถึง ดังนั้นไม่เพียงแต่มันจะโหดร้ายสำหรับสัตว์ เพราะว่ามันถูกเรียกว่าเป็น "ทำปศุสัตว์แบบโรงงาน" แต่มันยังเป็นสิ่งที่ไม่ดีอีกด้วยสำหรับโลกและแน่นอนเด็กๆ ก็กำลังเผชิญกับโลกอ้อนและเบาหวานด้วย ซึ่งนับเป็นสถิติที่สูงมากและถ้าหากมีวิธีการเพียงเพื่อให้การศึกษากับคนต่อไป และเป็นตัวอย่างให้กับพวกเขา เพราะว่าพวกเขาจะได้เห็นว่า มีบางอย่างในการเป็นมังสวิรัติ มีบางอย่างในสิ่งที่ฉันกำลังพูดอยู่ แน่นอนฉันเป็นนักมังสวิรัติแบบเจ

ได้เข้ารับการรักษาพยาบาลเมื่ออายุได้ 19 ปี ซึ่งบุคคลจำนวนมากไม่ได้ตระหนักถึง ระหว่างความเครียดและอาหารเลวๆ ดังนั้นฉันก็ได้ผ่านเรื่องนั้นมาแล้ว จริงๆ นะ ชีวิตของฉันได้รับผลกระทบ และหมอก็พูดว่า "ถ้าหากคุณไม่เปลี่ยนแปลงนิสัยการกินของคุณ และไม่เปลี่ยนแปลงระดับความเครียดของคุณ" ซึ่งก็คือช่วงเวลาที่การนั่งสมาธิได้เข้ามาสู่ชีวิต เขาพูดว่า "คุณจะต้องตาย" คนจำนวนมากไม่รู้เรื่องนี้

ถ: ตอนนี้คุณได้ทำหน้าที่เกี่ยวกับการช่วยเหลือโดยใช้บ้านของคุณ โปรดเล่าให้เราฟังเกี่ยวกับเรื่องนั้น

ล: ฉันได้ตระหนักว่า มีคนจำนวนมากมายเพียงไรที่ได้ส่งสัตว์ของพวกเขาเข้ามา เพราะว่าพวกมันไม่เข้ากับบ้าน เพราะว่าพวกเขากำลังมีปัญหา พวกเขาไม่รู้จะจัดการกับพวกมันอย่างไร ฉันจึงพูดว่าฉันจำเป็นจะต้องทำสถานพักพิง ฉันจำเป็นจะต้องช่วยชีวิตแม่และทารกทั้งหลาย มันทำให้ฉันรู้สึกหัวเสียจริงๆ ฉันจึงก่อตั้งมูลนิธิลินดา แบลร์ และมีฉันเพียงคนเดียวยังไม่ถึง 1 ปีด้วยซ้ำ โดยพื้นฐานแล้วก็เพื่อให้สาธารณชนเดินทางร่วมไปกับฉัน และพร้อมๆ กันเราจะสร้างความแตกต่าง เพราะผู้คนทราบว่าฉันจะพูดออกมา ฉันมีชื่อเสียงที่ดีมากในการพูดความจริง ด้วยการร่วมมือกัน เราสามารถสร้างความแตกต่างได้ มันจะเป็นการต่อสู้ที่ยากมาก เพราะว่าหน้าที่ซึ่งคุณมีสุนัขต่อสู้กันคุณก็จะมียาเสพติด และปืน และความรุนแรง เราสามารถเก็บกวาดรักษาความสะอาดไม่เพียงเฉพาะลอสแองเจลิสเท่านั้น แต่อเมริกาด้วย นั่นคือสิ่งที่ฉันตั้งใจจะทำเพื่อทำความสะอาดของอเมริกาและลดอาชญากรรม และการบังคับใช้กฎหมายที่ฉันใช้พูดเห็นพ้องกับสิ่งที่ฉันกำลังพูด พวกเขาทราบว่าการต่อสู้อยู่ที่ไหน พวกเขาให้การสนับสนุน

ถ: แน่นอน ช่างเป็นสิ่งที่ดีที่จะช่วยชีวิตสุนัขและพามันกลับบ้าน ฉันทราบว่าท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้ช่วยชีวิตสุนัขประมาณ 5 ตัว และท่านทำให้ฉันทึ่งที่ท่านเลี่ยงดูสัตว์เหล่านี้และฝึกฝนมันได้เป็นอย่างดี ในเหตุการณ์หนึ่งของท่าน ท่านมีสุนัขอยู่ 2-3 ตัว นั่งอยู่ที่ตรงนั้น ช่างอ่อนหวานมาก พวกมันเป็นสุนัขช่วยชีวิต พวกมันกลายเป็นสุนัขมังสวิรัติ และท่านดูแลพวกมันและทำความสะอาดพวกมัน พวกมันได้รับการฝึกฝนมาอย่างสมบูรณ์ ท่านให้เวลาจริงๆ ที่จะดูแลพวกมัน

ล: และพวกมันก็รู้ เวลาที่คุณให้กับเด็ก เวลาที่คุณให้กับสัตว์ คุณจะได้รับมันกลับมา 10 เท่า และมันจะให้ความรักไม่มีเงื่อนไขของพวกมันและมิตรภาพแก่คุณซึ่งทำให้คนประหลาดใจ

ออฟร่า วินฟรีย์ (Oprah Winfrey) กำลังทำงานกับ โฮเวิร์ด ลินแมน (Howard Lyman) ซึ่งเป็นพ่อคนที่ 2 ของฉันหนังสือของเขามีชื่อว่าแมค คาวบอย (Mad Cowboy) และเขาเป็นนักเลี้ยงปศุสัตว์รุ่นที่ 4 และเขาเป็นมะเร็ง เขาพูดเกี่ยวกับเรื่องที่ว่า เพื่อนทุกคนของเขากำลังตายจากโรคหัวใจ เราสามารถกำจัดโรคหัวใจ มะเร็ง เบาหวาน ปัญหาน้ำหนักตัวได้ กลับไปสู่อาหารพื้นฐาน เป็นมังสวิรัติและก็เป็นเจ กินอาหารดิบ และคุณก็จะเข้าใจว่าเรากำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่เขาพูดความจริง เขาเอาชีวิตของเขาเป็นเดิมพัน ถ้าหากเขารอดจากโรคมะเร็งในกระดูกสันหลังของเขา เขาจะพูดความจริง และเขาก็พูดความจริง และฉันคิดว่าเราสามารถสร้างความแตกต่างได้ที่ข้างนอกนั่นเพียงทีละ 1 วัน แต่โรคร้ายมากมายในความเห็นของฉันมาจากอาหาร จากน้ำดื่ม คุณได้ยินเสมอๆ ว่าผู้หญิงที่มีครรภ์ไม่ควรจะกินปลา มีเหตุผลสำหรับเรื่องนั้น มันเป็นร่างกายของคุณ เด็กทารกของคุณ ชีวิตของคุณ อนาคตของพวกเขา

ถ: สาธารณชนจะประหลาดใจมากที่บุคคลมีชื่อเสียงจำนวนมาก จริงๆ แล้วก็เป็นมังสวิรัติ เมื่อเริ่มต้นสัมภาษณ์บุคคลผู้มีชื่อเสียงทั้งหลายที่เราต้องการให้ปรากฎในรายการของเรา มีคนมากมายเพียงไรที่เป็นมังสวิรัติ ฉันหมายถึงแม้กระทั่งโจคิน โฟนิค และ....

ล: โจคินเป็นมังสวิรัติ

ถ: พาเมล่า แอนเดอสัน, นาตาลี พอร์ตแมน และตัวคุณเอง ลินดา แบลร์ นับเป็นเกียรติมากที่คุณมาอยู่ที่นี่

ล: แจม คอมเวล

ถ: ใช่ แจม คอมเวล มันช่างเหลือสำหรับงานมนุษยธรรมที่คุณทำอยู่ ฉันคิดว่ามันวิเศษที่คุณกำลังใช้ชื่อเสียงของคุณเพื่องานที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้น นั่นเป็นเรื่องที่งดงามมาก

ล: สำหรับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ส่วนของการมีชื่อเสียงนับเป็นพระพรสำหรับงาน ฉันทำงานยังไม่เพียงพอจริงๆ อีกต่อไป เมื่อคิดถึงตัวฉันว่าเป็นงานอันสมบูรณ์ของฉัน งานของฉันก็คือการทำให้เกิดความแตกต่างในขณะที่ฉันอยู่ที่นี่ ฉันชอบอาชีพที่ใช้ฝีมือของฉัน ฉันไม่ชอบโครงการทั้งหลายที่เรามี ฉันไม่คิดว่ามันดี ฉันไม่คิดว่ามันมีพลังทางจิตวิญญาณที่ดี เรากำลังทำอยู่ที่ข้างนอกนั่น  ฉันคิดว่าเราจำเป็นต้องทำโครงการที่ให้ความรัก และความเอาใจใส่มากยิ่งขึ้น สนุกสนาน มีอารมณ์ขัน ให้ความบันเทิง และโครงการบางอย่างก็เป็นแบบว่าเป็นเกมรอในการเฝ้าดู ทำในสิ่งที่มันกำลังกระทำ และในระหว่างนั้นฉันก็พูดกับคนว่า "เข้าไปมีส่วนร่วมเลย! " มันยากจริงๆ แต่ฉันกำลังนำอเมริกาให้รวมตัวกัน ทีละชุมชน คุณจะประหลาดใจในอีกไม่กี่ปี จู่ๆ คนก็จะพูดว่า "ว้าว! ใช่ มีคนที่ดีจริงๆ บางคนในโลกและเราจะต้องรวมพลังกัน"

ฉันคิดว่าท่านอนุตราจารย์เป็นคนที่จะเปลี่ยนแปลงโลกในลักษณะที่คนจำนวนมากอาจจะยังไม่เห็นผลของมัน แต่เนื่องด้วยมนุษยธรรม สิทธิมนุษยชน สิทธิของสัตว์ ท่านได้เชื่อมโยงโลกในลักษณะที่ทรงพลังมากและสิ่งที่คนจำนวนมากไม่ตระหนักถึงก็คือ พลังแห่งการนั่งสมาธิ ความรัก ความสุข ความเป็นหนึ่งเดียว ความสงบ และความเข้าใจ คำตอบจะเข้ามาสู่ชีวิตของคุณจากการนั่งสมาธิ และคุณจะได้เรียนรู้ด้วยเกี่ยวกับความเมตตา และความแบ่งปัน และนั่นก็คือการเดินทางอันแท้จริงของจิตวิญญาณมนุษย์ ฉันคิดว่ามันเยี่ยมยอดที่มีรายการของท่าน ทำให้ท่านมีช่องทางใหม่ๆ ที่จะเปิดใจและแสดงให้ผู้คนทราบถึงความรู้และความรักของท่าน และเรารู้สึกขอบคุณมากสำหรับทุกอย่างที่ท่านได้ทำ



vg2-3.jpg



ภาพถ่ายที่มีลายเซ็นของลินดา แบลร์ พร้อมกับข้อความ "แด่ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ด้วยความรัก ความขอบคุณและพระพร ขอบคุณที่รักสัตว์"




vg2-2.jpg



หนังสือที่มีลายเซ็นของลินดา แบลร์พร้อมกับข้อความ "แด่ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ท่านทำสำหรับมนุษยชาติ สัตว์ต่างๆ และอนาคตของโลกเรา! รัก แสง มิตรภาพ 5 มิถุนายน 2548"



Be Veg, Go Green 2 Save the Planet				
9 กุมภาพันธ์ 2555 13:58 น.

วีรบุรุษมังสวิรัติแห่งจอเงิน

คีตากะ

vg1-1.jpg



โดยกลุ่มข่าวฟลอริดา สหรัฐอเมริกา (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)

ผู้รักสัตว์ตลอดชีวิต

       คริสเตียน  เบลล์อายุ 31 ปี ดาราภาพยนต์เรื่องดัง แบ๊ทแมน บิกิน มีบุญสัมพันธ์มาเป็นเวลายาวนานสำหรับสัตว์ บิดาของเขาคือเดวิด เบลล์ (2484-2546) เป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิของสัตว์อันมีชื่อเสียง ซึ่งกฎในชีวิตของเขาคือ "อย่าเดินผ่านเลยสิ่งมีชีวิตที่มีความต้องการ" เดวิดจะพานก แมว และสุนัขจรจัด กลับมายังบ้านรวมทั้งช่วยเหลือแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกคนเดียว และผู้ไร้ที่อยู่อาศัย คริสเตียนได้ติดตามพ่อของเขาไปยังสถานพักพิงมากมายและการประชุมสิทธิสัตว์ และจนถึงปัจจุบันนี้ก็เป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญในกลุ่มความผาสุกของสัตว์ ขณะนี้เขาอาศัยอยู่ในลอสแอลเจอลิสกับผู้จัดการหญิงที่ช่วยชีวิตแมว สุนัขและตัวพอซซั่ม

       เมื่อคริสเตียนมีอายุได้ 9 ขวบเขาได้อ่านหนังสือ ซาลอทเวสต์ ซึ่งเป็นเรื่องราวอันน่ารักของเด็กหญิงที่ได้ช่วยชีวิตหมูที่ชื่อวิลเบอร์จากการถูกฆ่า อย่างไรก็ตามคริสเตียนไม่เหมือนกับเด็กอื่นๆ นับล้านๆ คนที่สนับสนุนวิลเบอร์ แต่แล้วก็ไปกินพอร์คซ็อบ ที่แม่ของพวกเขาวางบนจานอาหารเย็นให้กับพวกเขา คริสเตียนได้ปฏิญาณนับจากนั้นเป็นต้นมาว่า จะไม่กินเนื้อสัตว์อีกต่อไป เขาได้รักษาคำสัญญาอันสูงส่งจนถึงขณะนี้ ทั้งๆ ที่มีการฝึกฝนอย่างหนักทางร่างกาย ซึ่งเขาจะต้องทำการฝึกฝนสำหรับหนังบางเรื่องของเขา ยกตัวอย่างเมื่อเร็วๆ นี้เขาจะต้องลดน้ำหนักของเขาลงจาก 180 ปอนด์เป็น 121 ปอนด์ (82 เป็น 55 กิโลกรัมหรือ 30% ของน้ำหนักร่างกายของเขา) สำหรับภาพยนต์เรื่อง The Machinist และภายใน 6 สัปดาห์ที่แสดงหนังเสร็จเขาก็ได้เพิ่มน้ำหนักตัว 59 ปอนด์ กลับมาใหม่ (27 กิโลกรัม) ซึ่งจำเป้นสำหรับการทดสอบหน้ากล้องสำหรับหนังเรื่อง แบ๊ทแมน บิกิน 5 เดือนต่อมาเมื่อเริ่มต้นถ่ายภาพยนต์เรื่องแบ๊ทแมนที่เป็นมังสวิรัติ 220 ปอนด์ (100 กิโลกรัม) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกล้ามเนื้อที่แน่น


แมงมุมหนุ่มที่ไร้เดียงสาแต่เป็นผู้ใหญ่


vg1-2.jpg

      เทอร์บี้ แม็คกาย (เกิดในปี 2518) ถือได้ว่าเป็นดาราที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคของเขา สืบเนื่องมาจากผลงานของเขาในเรื่องไอ้แมงมุม และการแสดงที่เก่งกาจในภาพยนต์เรื่องอื่นๆ รวมไปถึงภาพยนต์ 2 เรื่อง ที่กำกับโดยอังลี ซึ่งเป็นผู้กำกับภาพยนต์เรื่องแรกสุดของเขาซึ่งได้กล่าวว่า "เขามีลักษณะผสมของความไร้เดียงสาแบบเด็กๆ และดวงวิญญาณที่แก่มาก" และเกี่ยวกับการแสดงของเขาผู้กำกับอีกท่านหนึ่งได้กล่าวว่า "เทอร์บี้ไม่พูดมากเกินไป เขาพูดเฉพาะสิ่งที่สำคัญ" 
    
      เทอร์บี้ผู้ซึ่งอายุตั้งแต่น้อยๆ ไม่ชอบกินเนื้อสัตว์ได้เปิดเผยว่า "ผมอดไม่ได้ที่จะคิดถึงความเกี่ยวข้องกันระหว่างสัตว์กับอาหาร" และในการบรรยายถึงอาหารที่ไม่ใช่มังสวิรัติมื้อสุดท้ายของเขา เขาได้กล่าวว่า "ผมกินเบอร์เกอร์เนยแข็งกับแฮม แล้วจู่ๆ ก็มีภาพนี้เกิดขึ้นคือ ผมเห็นสัตว์ที่ถูกนำมาใช้ทำแฮม ผมจึงยืนกินเบอร์เกอร์เนยแข็งที่โง่ๆ นี้ต่อไปไม่ได้" ในปี 2535 เทอร์บี้จึงตั้งสัตย์ปฏิญาณที่จะกลายเป็นมังสวิรัติ

      และแล้วในปี 2540 เขาก็ได้เลิกแอลกอฮอล์และบุหรี่ด้วย ซึ่งนับเป็นการเคลื่อนไหวอันสำคัญสำหรับดาราภาพยนต์อายุ 19 ปี ซึ่งมักจะไปเที่ยวไนท์คลับในฮอลลีวูด สำหรับในช่วงเวลานี้เขากล่าวว่า "ผมจะต้องตัดสินใจผมสามารถเป็นวัยรุ่นและทำสิ่งต่างๆ ที่โง่เหล่านี้ซึ่งไปพร้อมกับมัน หรือเอาใจจดจ่อกับการแสดง"

       การเลิกกินเนื้อสัตว์และแอลกอฮอล์ไม่ได้หมายความถึงการเลิกความรื่นเริงของชีวิต เทอร์บี้ได้ยอมรับว่าหลายปีที่ผ่านมาเขาได้ใช้เงินจำนวนมากจากรายรับของเขาในการกินอาหารที่ดีๆ และเขาชอบพิซซ่ามังสวิรัติชั้นดีและเต้าหู้เป็นพิเศษ "ผมพิถีพิถันมากเกี่ยวกับเต้าหู้ของผม เพราะว่าการเตรียมถูกวิธีทำให้มันมีรสชาติเอร็ดอร่อยมาก" ครั้งหนึ่งเขาได้กินอาหารในภัตตาคารที่ดีกับกลุ่มแฟนหนัง เมื่อเขาพบว่าพวกเขาก็เป็นมังสวิรัติ !
     
      ก่อนการทดสอบหน้ากล้องสำหรับหนังเรื่องไอ้แมงมุมของเขา เทอร์บี้ไม่เชิงมีร่างกายเป็นแบบนักกีฬาและนักหนังสือพิมพ์บางคนได้บรรยายเขาว่า "นุ่มนิ่ม" หรือ "อ่อนปวกเปียก" ผู้อำนวยการสร้างหนังเรื่องไอ้แมงมุมรู้สึกประทับใจในฝีมือการแสดงของเขา แต่ไม่ค่อยแน่ใจเกี่ยวกับความสามารถของเขาที่จะทำให้ร่างกายของเขามีรูปร่างเหมาะสมสำหรับบทนำของภาพยนต์เรื่องนี้ เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าพวกเขา เทอร์บี้ได้รวบรวมทีมงานเพื่อเตรียมสำหรับการทดสอบหน้ากล้อง ซึ่งรวมไปถึงครูฝึกวิทยายุทธ์ โค้ชฝึกยิมนาสติก ตัวแสดงแทน และครูสอนโยคะ

      ผู้อำนวยการสร้างเรื่องไอ้แมงมุมไม่คิดว่า เขาสามารถพัฒนากล้ามเนื้อได้เพียงพอโดยปราศจากการกินเนื้อสัตว์และรบเร้าให้เขาเลิกกินมังสวิรัติ แต่ต้องขอบคุณที่ผู้ฝึกของเทอร์บี้รู้ดีกว่า และได้จัดให้เขากินอาหารที่ดีที่สุดที่มีโปรตีนและวิตามินสูง เบอร์เกอร์มังสวิรัติ และเต้าหู้ เมื่อการลองบทมาถึงเทอร์บี้ก้ได้แสดงฉากต่อสู้มากมาย ซึ่งเป็นที่น่าประทับใจและได้ถอดเสื้อของเขาออกเพื่อเผยให้เห็นถึงร่างกายที่มีกล้ามเนื้อของเขา ผู้กำกับถึงกับกล่าวว่า "เขาได้กลายเป็นฆ้อนขนาดใหญ่แห่งดาราแอ๊คชั่น"

       เกี่ยวกับบุคลิกส่วนตัวของเขา ครั้งหนึ่งเทอร์บี้ได้บอกกับคนที่สัมภาษณ์เขาว่า "ผมอาจมีลักษณะนิสัย ซึ่งบางคนอาจจะมองว่าดูไร้เดียงสา นั่นก็เป็นเพราะว่าผมได้ค้นพบสันติสุขและความสุขในวิญญาณของผม" และเมื่อหนังเรื่องไอ้แมงมุมออกฉาย และหนังสือพิมพ์ได้ถามเทอร์บี้ว่าเขาอยากมีพลังวิเศษอะไร ซึ่งเขาได้ตอบว่า "เมื่อไม่นานมานี้ผมอาจจะพูดว่า "บิน" ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ผมอาจจะอยากอยู่เหนือตนที่เป็นกายเนื้อของผมอยู่แบบเดิม แต่อยู่ในอีกมิติหนึ่งที่เป็นมนุษย์ทางจิตวิญญาณสามารถที่จะอยู่เหนือโลกวัตถุ ไม่ถูกผูกมัดกับมันอีกต่อไปเหมือนอย่างคีอาร์ นูลีฟ ในแมททริค นั่นจะเป็นพลังวิเศษที่แจ๋วที่สุด


บทสรุป

      คนจำนวนมากเป็นกังวลว่า การกลายเป็นมังสวิรัติจะทำให้เขามีร่างกายที่อ่อนแอหรือขัดขวางงานอาชีพของพวกเขา แต่ในกรณีของดาราที่ได้พูดถึงมานี้ ได้ท้าทายความคิดเห็นนี้ในทางกลับกัน การเป็นมังสวิรัติได้ทำให้คริสเตียน เบลล์ และเทอร์บี้ แม็คกาย แข็งแรงมากขึ้น มีความลึกซึ่งมากขึ้น และประสบความสำเร็จมากขึ้นกว่าการที่เขาจะเป็นคนกินเนื้อสัตว์




Be Veg, Go Green 2 Save the Planet				
4 ตุลาคม 2556 22:39 น.

ทะนุถนอมโอกาสของการบำเพ็ญในกลียุค

คีตากะ

ebook.jpg











ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
ศูนย์ฟลอริดา สหรัฐอเมริกา 9 มิถุนายน 2544
(ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ) วีดิทัศน์ # 719



ถ: ในการบรรยายธรรมครั้งหนึ่งของท่าน ท่านได้กล่าวถึง "มหาสมุทรแห่งความรัก" ซึ่งเป็นบทกวีบทหนึ่งของกาบีร์ ถูกต้องไหม?
อ: ถูกต้อง ฉันได้พูดถึงบทกวีของกาบีร์มากมายหลายครั้ง แต่มีอะไรหรือ เกี่ยวกับมหาสมุทรแห่งความรัก?

ถ: มันเกี่ยวกับเรื่องพระเจ้าผู้สูงสุด ซึ่งพวกเขาเรียกว่าสัตบุรุษ พระองค์ได้กลับชาติมาเกิดในแต่ละยุค และในกลียุค สัตบุรุษก็ได้ตกลงกับกาล (พระเจ้าของ 3 โลก) ที่จะพาวิญญาณจำนวนมากมายกลับบ้าน

อ: ใช่ นี่คือ กลียุค ยุคมืด จำเป็นจะต้องมีผู้ที่เข้มแข็งที่จะลงมาและพาทุกๆ คนขึ้นไป! รถคันใหญ่แข็งแรง! (ท่านอาจารย์หัวเราะ)

ถ: นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมวิญญาณจำนวนมากมายจึงได้รับการหลุดพ้นได้ง่ายดายเช่นนี้ใช่ไหม?

อ: ใช่ ถูกต้อง เธอก็รู้อยู่แล้วนี่ แน่นอนมันเป็นแบบนั้น มันเป็นยุคสุดท้ายของวัฏจักรนี้ ดังนั้น ใครก็ตามที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ก็จงรีบเร่งเสีย! ท่านพาทุกๆ คนขึ้นไป ด้วยเหตุนี้จึงมีความกรุณามาก แต่ก็ต้องใช้พลังมหาศาลเหมือนกับพายุเฮอร์ริเคนที่นำน้ำจำนวนมากมา ต้องใช้เฮอร์ริเคนที่จะพาน้ำเข้ามาสู่พื้นแผ่นดิน ฝนธรรมดานำน้ำเข้ามาไม่ได้ ดังนั้น ในขณะนี้ในเวลานี้ก็เหมือนกับ "ขายส่ง" เพราะเรามีที่ว่างมากและมีพระกรุณาธิคุณมาก ดังนั้น ทุกคนจึงสามารถรวมอยู่ในนั้น ไม่มีปัญหา เธอโชคดี! (ผู้ฟังปรบมือ) พระเจ้าใจดี แต่พระองค์ไม่เคยใจดีแบบนี้มาก่อน ในสมัยโบราณ อย่างมากที่สุดก็จะมีเพียงแค่หยิบมือ บางทีอาจจะเป็น 1,000 คน ไม่เคยมีมากมายแบบนี้ และพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะมาชุมนุมพร้อมกันมากมายแบบเปิดเผย พวกเธอนับว่าโชคดีจริงๆ 
ในสมัยโบราณ ถ้าหากพวกเขาต้องการที่จะมีสมาธิกลุ่ม พวกเขาจะต้องหลบซ่อนและวิ่งไปทั่วทุกแห่ง ใช้รหัสลับ ใช้การสัมผัสมือแบบลับๆ ใช้สัญญาณมือ อย่างเช่น มุดราส (การใช้มือ) หรือการคำนับที่เธอใช้ ----  แม้กระทั่งแบบนี้ (ท่านอาจารย์ทำท่าทาง)  -----  จำตาปัญญา ท่องพระนามศักดิ์ ทำกวนอิม แล้วเราก็มาอยู่ด้วยกัน นั่นเป็นสัญญาณลับที่ชาวคริสต์เตียนเคยมีเพื่อที่จะจดจำซึ่งกันและกัน เพราะว่าในสมัยนั้น พระเยซูก็ต้องหลบซ่อน ลูกศิษย์ทุกคนก็ต้องหลบซ่อนด้วยเช่นกัน พวกเขาไม่กล้าแม้กระทั่งที่จะรู้จักอาจารย์ในที่สาธารณะ โดยพูดว่า "ฉันไม่รู้จักเขา" แม้กระทั่งลูกศิษย์คนสำคัญอย่างปีเตอร์ ก็ปฏิเสธพระองค์ 3 ครั้ง
นี่คือพลังทางลบ -----  มีแรงกดดันมาก จนกระทั่งบุคคลที่ยิ่งใหญ่อย่างพระเยซู และลูกศิษย์ที่อุทิศตนอย่างปีเตอร์ ก็ยังไม่สามารถเปิดปากของพวกเขาได้ ในช่วงเวลานั้นมันมีแรงกดดันมาก แต่ในช่วงเวลานี้ พวกเราโชคดีมาก



เราเป็นโยคีที่โชคดีที่สุด

ถ: ฉันอยากถามท่านว่า ฉันจะต้องระดับสูงแค่ไหนทางด้านจิตวิญญาณในชาตินี้ เพื่อที่จะไม่ต้องกลับมา หลังจากที่ฉันตายไปแล้ว

อ: ขอให้สูง เท่าที่เธอทำได้ มิฉะนั้นแล้ว อาจารย์ก็จะผลักดัน อาจารย์จะพาเธอไปยังระดับอะไรก็ตามและชี้นำเธอต่อไปให้ขึ้นไปเบื้องบน มิฉะนั้นแล้วเธอก็จะต้องผ่านโลกทั้ง 3 กับอาจารย์ท่านอื่นๆ เธอจะต้องผ่านระดับที่ 3 เพื่อที่จะไม่ต้องกลับมา แต่ด้วยธรรมวิถีสูงสุดนี้ มันไม่เป็นไร เธอสามารถทำได้ เพราะบางครั้งมันไม่ใช่ความผิดของเธอ ที่เธอไปไม่ถึงระดับสูง
ตัวอย่างเช่น สมมุติว่า เธอได้รับการประทับจิตวันนี้ และตายในวันพรุ่งนี้ มันก็เป็นความรับผิดชอบของอาจารย์ที่จะพาเธอขึ้นไปจากที่ที่เธออยู่ ก่อนที่เธอจะจากกายเนื้อนี้ไป หรือก่อนที่อาจารย์จะจากกายเนื้อไป เราโอเค ในช่วงเวลานี้เราเปิดเต็มที่เพื่อช่วยเหลือทุกๆ คน ใครก็ตามที่มีความจริงใจ พลังอาจารย์จะช่วยเหลืออย่างมากมาย ในศตวรรษนี้ มีความกรุณามาก

ถ: ทำไมศตวรรษนี้จึงพิเศษมาก เมื่อเทียบกับหลายพันปีก่อน?
อ: เพราะว่าสวรรค์เปิด "ขายส่ง" เป็นช่วงๆ (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เหมือนกับการขายเลหลังในโรงรถ: ทุกอย่าง 1 ดอลลาร์ มันขึ้นอยู่กับอาจารย์ท่านไหนลงมา เธอเห็นไหมว่า พวกเราทุกคนเป็นอาจารย์ แต่อาจารย์บางท่านก็จำได้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง พวกท่านรู้แจ้งในชาตินี้ อาจารย์บางท่านรู้แจ้งตลอดเวลา อาจารย์บางท่านไม่เคยจากสวรรค์มาก่อนและเพิ่งลงมาในครั้งนี้ อาจารย์บางท่านไปๆ มาๆ ตลอดเวลาและมีบุญสัมพันธ์กับสรรพสัตว์มากมายในโลกนี้ และเมื่อหล่อนหรือเขากลับลงมาอีก ก็มาหาเพื่อนเก่าทุกคน: "ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เธอต้องการ ก็โอเค พวกเรารู้จักกัน" (เสียงปรบมือ) บางทีพวกเราอาจจะเคยเป็นเพื่อนเก่ากันมาก่อนก็เป็นไปได้
ถ้าหากว่าอาจารย์เพิ่งมาใหม่ เขาก็จะไม่มีบุญสัมพันธ์มากนักกับสรรพสัตว์จำนวนมาก ดังนั้น เขาจึงพาลูกศิษย์ไม่กี่คนเป็นการเริ่มต้น แล้วก็ทำต่อไปอีกในคราวหน้า ถ้าหากอาจารย์เพิ่งจดจำได้อีกครั้งว่า เขาเป็นพุทธะในครั้งนี้ แน่นอน เขาก็จะต้องพัฒนาประสบการณ์ให้มากขึ้น ไม่ใช่ว่า อาจารย์ไม่ทราบ แต่ก็เหมือนกับสิ่งอื่นๆ เธอจะต้องฝึกฝน เธอฝึกฝนว่าจะต้องจัดการกับจิตของมนุษย์อย่างไร จัดการกับระบบข้าราชการของโลกนี้อย่างไร ปกป้องตัวเองจากการรังควานทั้งหลายของโลกนี้อย่างไร และรักษาตัวเธอเองให้ปลอดภัยอย่างไร เพื่อที่จะช่วยเหลือผู้คนอย่างเงียบๆ โดยไม่นำความยุ่งยากมาสู่ตัวเธอ
แต่อาจารย์ใหม่ไม่ทราบเรื่องนั้น อาจารย์ใหม่แสดงสีสันเต็มที่ เป่าแตร และทุกๆ อย่าง แต่บางทีหลังจาก 3 ปีครึ่ง เขาก็ตายไป หรือ 2 ปีครึ่ง หรือ 3 เดือนครึ่ง พลังทางจิตวิญญาณนั้นเป็นแบบเดียวกัน มันมาจากจักรวาล แต่วิธีการที่จัดการกับลูกศิษย์ วิธีที่จะจัดการกับอำนาจทางการเมืองในโลกนี้ : เรื่องพวกนี้จะต้องเรียนรู้ เพราะมันเป็นเรื่องทางจิตใจ สิ่งเหล่านี้เป็นความเชี่ยวชาญและความสามารถ มันไม่เกี่ยวกับการรู้แจ้งและวิญญาณ แน่นอน พวกเขามี เพราะยิ่งเธอรู้แจ้งมากเท่าไร เธอก็จะเรียนรู้ได้เร็วเท่านั้น แต่ถ้าเธอหรือหล่อนมีประสบการณ์อยู่แล้วชีวิตแล้วชีวิตเล่า ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้มากนัก
เพราะว่าบุคคลคนหนึ่งจะเรียนรู้มากมายในชาติเดียวได้อย่างไรกัน? แม้ว่าเธอจะรู้แจ้ง เธอก็ไม่สามารถที่จะเรียนเครื่องจักรกล การขับเครื่องบิน การแล่นเรือใบ บัญชีธุรกิจ ซอฟแวร์คอมพิวเตอร์ ฮาร์ดแวร์และสิ่งอื่นๆ ทุกสิ่ง เธอทำได้ แต่ชีวิตมันสั้นเกินไป สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งของทางวิญญาณ สิ่งเหล่านี้เป็นความสามารถ ที่เธอจะต้องใช้จิตและสมองของเธอ หรือมือ และร่างกาย เพื่อที่จะเข้าใจและให้มีความช่ำชอง ดังนั้น ท่านอาจารย์ได้เคยเรียนสิ่งเหล่านี้มาแล้ว เกี่ยวกับว่าจะเป็นอาจารย์อย่างไร -------  ไม่ใช่ว่าจะเป็นอย่างไร แต่หมายความว่า ในฐานะที่เป็นอาจารย์ เธอจะต้องเผชิญและเธอจะต้องสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้หลายสิ่งหลายอย่าง
ดังนั้น การเป็นอาจารย์ชนิดนี้จึงง่ายกว่าและรวดเร็วกว่า มันง่ายกว่า มันเป็นเพียงความรู้ของโลก วิธีการนั้นเป็นแบบเดียวกัน การสอนก็เป็นแบบเดียวกันพลังก็เป็นแบบเดียวกัน และสัจธรรมก็เป็นแบบเดียวกัน แต่ตัวของอาจารย์นั้นมีความสามารถหรือไม่มีความสามารถ: เกี่ยวกับเรื่องสาธารณชน เกี่ยวกับว่าจะสอนลูกศิษย์ให้ดีที่สุดอย่างไร และวิธีการที่รวดเร็วที่สุดที่จะก้าวหน้า อาจารย์สามารถสอนวิธีเดียวกันให้กับบุคคลกลุ่มเดียวกัน แต่อาจารย์ 2 คนที่แตกต่างกัน อาจจะสอนวิถีเดียวกันให้กับลูกศิษย์ 2 คน และคนที่มาจากอาจารย์คนหนึ่ง จะก้าวหน้าแตกต่างออกไปหรือรวดเร็วกว่าลูกศิษย์อีกคนหนึ่งที่มาจากอาจารย์อีกท่านหนึ่ง มันเป็นแบบนั้น มันยังขึ้นอยู่กับว่า คำสอนนั้นถูกถ่ายทอดให้กับจิตของเขาหรือหล่อนอย่างไร เพราะว่า ถ้าหากจิตใจนั้นไม่เข้าใจ จิตก็จะไม่ยอมรับมัน เธอก็ไม่สามารถก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว เธอไม่รู้สึกดีนัก เธอไม่รู้สึกเชื่อใจ หรือเธอไม่มีความมั่นใจ (เสียงปรบมือ)


มีสมาธิอยู่ที่ตาปัญญาเสมอ

ถ: ฉันได้ยินว่า ท่านพูดในวีดิทัศน์ว่า เมื่อเรามองที่ตาปัญญาของบุคคลหนึ่ง มันจะช่วยพวกเขาด้วย มันทำให้ฉันรู้สึกดีจริงๆ ที่ทำแบบนั้น และฉันหวังว่า ฉันจะจำได้ที่จะทำแบบนั้น สิ่งที่ฉันอยากจะเข้าใจให้ดีไปกว่านี้ก็คือ มันช่วยผู้อื่นได้อย่างไร?

อ: มันก็คือว่า เมื่อตัวเธอเองทราบว่า เธอกำลังทำอะไรอยู่ ถ้าหากว่า เธอกำลังคิดถึงตาปัญญาอยู่แล้ว ก็หมายความว่า ตัวเธอจำได้ถึงศูนย์กลางทางจิตวิญญาณแห่งปัญญาและการรู้แจ้ง และถ้าตัวเธอจำสิ่งนั้นได้ แน่นอน บรรยากาศของเธอก็จะเป็นทางจิตวิญญาณ ดังนั้น บุคคลผู้นั้น แน่นอน ก็จะได้รับประโยชน์จากเธอ ก็เหมือนกับเมื่อยืนอยู่ข้างๆ น้ำพุ: แม้ว่าเธอจะไม่ได้กระโจนลงไปในนั้นโดยตรง น้ำบางส่วนก็จะมาถูกใบหน้าของเธอและทำให้เธอรู้สึกเย็น ในทำนองเดียวกัน ถ้าหากเธอยืนอยู่ข้างบุคคลที่ใส่น้ำหอม แม้ว่าตัวเธอเองจะไม่ได้ใส่น้ำหอม ตัวเธอก็จะมีกลิ่นน้ำหอมอยู่บ้าง ดังนั้น ตัวเธอจึงมีความสำคัญ สิ่งที่เธอเป็นก็คือ สิ่งที่ผู้อื่นได้รับ ด้วยเหตุนี้ เมื่อไรก็ตาม ที่เราจำอะไรก็ตามเกี่ยวกับศูนย์กลางทางจิตวิญญาณ เกี่ยวกับตัวตนแท้จริงของเรา บุคคลข้างเคียงเราก็จะได้รับประโยชน์ นี่คือ วิธีที่มันทำงาน





ความรักละลายทุกสิ่งทุกอย่าง

ถ: ท่านอาจารย์ หากมีบุคคลหนึ่ง เอาแต่โจมตีเธอด้วยพลังทางลบ เธอจะต้องรับมันหรือไม่ หรือว่า มีวิธีการอะไรไหมที่จะหยุดมันได้ ถ้าหากว่า มันมากเกินไปแล้วจริงๆ?

อ: ขอให้ท่องพระนามศักดิ์สิทธิ์และสวดอธิษฐาน นั่นคือวิธีการเดียวเท่านั้น ที่เธอสามารถโจมตีคนได้ นั่นคืออาวุธที่ดีที่สุด ฆ่าพวกเขาด้วยการเป็นมิตร ฆ่าศัตรูโดยการทำให้พวกเขากลายมาเป็นเพื่อน แล้วพวกเขาก็จะไม่เป็นศัตรูอีกต่อไป ไม่มีใครในโลกนี้ ที่เธอไม่สามารถเอาชนะด้วยความกรุณาและความรัก เว้นเสียแต่ว่า พวกเขาจะเป็นคนโง่หรืออะไรบางอย่าง แต่พวกเขาก็จะยังรู้สึกได้ถึงความกรุณาและความรักของเธอ ดังนั้นนั่นเป็นวิธีการเดียวเท่านั้น ที่เราสามารถตอบโต้การโจมตีของพวกเขา: ด้วยความกรุณา ความรัก ท่องพระนามศักดิ์สิทธิ์ และคำสวดอธิษฐาน ไม่ใช่สวดให้ตัวเธอ แต่ให้เขาหรือหล่อน เพื่อว่าพระเจ้าจะทำให้เขาหรือหล่อนรู้แจ้ง แล้วเขาหรือหล่อนก็จะไม่ทำเรื่องแบบนี้ให้กับเธออีกต่อไป




Be Veg, Go Green 2 Save the Planet				
Lovers  0 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 0 คน
Lovers  4 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟคีตากะ
Lovings  คีตากะ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ