กล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่ ไถหนาน ฟอร์โมซา7 กรกฎาคม 2531 (1988) (ต้นฉบับภาษาจีน)ในบางดินแดน ไม่มีการเกิด ความตาย ความเสื่อม หรือการทำลาย แต่บนโลกของเรา เรามีปรากฏการณ์เหล่านี้ทั้งหมด มีดินแดนมากมายที่มไม่มีการเกิด ไม่มีการทำลาย ไม่มีการปนเปื้อน และไม่มีความไม่บริสุทธิ์ พวกเขาคงอยู่ตลอดไป เพียงหลังจากที่เราไปถึงมิติเหล่านี้เท่านั้น เราจึงจะสามารถบรรลุความเป็นอมตะ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในโลกใบนี้ ผู้คนมากมายถามว่า ทำไมเราไม่บำเพ็ญเพื่อยกระดับทางกายภาพ พวกเขาคิดว่าแทนที่จะบำเพ็ญเพื่อยกระดับจิตใจ เราควรจะบำเพ็ญเพื่อให้ร่างกายเนื้อบรรลุการมีอายุยืนก่อน พวกเขาเข้าใจวิถีของเล่าจื้อแห่งลัทธิเต๋าผิด พวกเขาได้ยินว่า ผู้บำเพ็ญชาวเต๋าสามารถบรรลุความเป็นอมตะได้ อย่างไรก็ตาม เราก็รู้ว่าผู้บำเพ็ญชาวเต๋าในโบราณกาลทั้งหมดได้จากเราไป ไม่มีใครเหลืออยู่เลย ถ้าพวกเขาเป็นอมตะ แล้วพวกเขาไปอยู่ที่ไหน? หยุดฝันได้แล้วเราต้องการจากโลกที่มีอายุสั้นมากใบนี้ อยู่เหนือ 3 โลกและบรรลุชีวิตอมตะ ด้วยเหตุนี้ เราจึงควรบำเพ็ญวิถีแห่งความเป็นอมตะ เพียงเมื่อเราค้นพบและมาถึงโลกที่เป็นอมตะแล้วเท่านั้น ความฝันของเราจึงจะเป็นจริงได้ เรารู้ว่าโลกเช่นนี้มีอยู่จริง เพราะผู้คนมากมายได้ไปที่นั่นมาก่อน และได้บอกเราเกี่ยวกับโลกเหล่านั้น พระเยซูคริสต์ พระศากยมุนีพุทธเจ้า พระมูฮัมหมัด และอื่นๆ ได้บอกเราเกี่ยวกับการมีอยู่ของโลกต่างๆ ที่เป็นนิรันดร์ มีความสุขกว่า และรุ่งโรจน์ยิ่งกว่าโลกใบนี้วิถีลับเพื่อบรรลุความเป็นอมตะกล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่ เผิงหู ฟอร์โมซา26 มกราคม 2532 (1989) (ต้นฉบับภาษาจีน)ความเป็นอมตะของกายทางจิตวิญญาณสามารถบรรลุได้โดยการบำเพ็ญวิถีแห่งพระพุทธเจ้า แห่งนักบุญ มันคือความเป็นอมตะที่ถูกกล่าวถึงโดยเล่าจื้อตอนที่เขาพูดว่า คนที่บรรลุถึงเต๋า (สัจธรรม) จะกลายเป็นอมตะ หรือคนที่บรรลุ "เต๋า ซึ่งยากจะบรรยาย" จะกลายเป็นอมตะ อย่างไรก็ตามถ้าเราต้องการเป็นอมตะ เราควรจะไปยังดินแดนอมตะ แม้ว่าเราสามารถอาศัยในโลกนี้อย่างอมตะ.... สมมุติเราสามารถมีชีวิตยืนยาว ยาวเท่าๆ กับโลก เราก็จะต้องตายในวันหนึ่ง เพราะโลกจะถูกทำลายในวันหนึ่ง นี่คือโลกชั่วคราว มันไม่สามารถคงอยู่ตลอดไป ดังนั้นเพื่อจะบรรลุความเป็นอมตะอย่างแท้จริง เราจะต้องไปยังดินแดนของพระพุทธเจ้า(พุทธเกษตร) หรืออาณาจักรของพระเจ้า วิธีที่สุดยอดหรือวิถีสูงสุดที่จะนำไปสู่อาณาจักรของพระเจ้าก้คือ ธรรมวิถีกวนอิม เราจะต้องพึ่งพาการสั่นสะเทือนภายใน หรือพลังแห่งพระพุทธเจ้า(พุทธานุภาพ) หรือ "ถ้อยคำของพระเจ้า" (Word or Sound)) เพื่อยกระดับกายทางจิตวิญญาณของเราแสงและเสียงภายในสำคัญยิ่งต่อการบรรลุชีวิตนิรันดร์กล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่ ปารีส ฝรั่งเศส24 เมษายน 2536 (1993) (ต้นฉบับภาษาฝรั่งเศส)วิดีโอเทป #359เพื่อบรรลุชีวิตนิรันดร์ เราต้องอาศัยแสงและเสียงภายใน ถ้าปราศจากมัน จะไม่มีความสุขไม่ว่าบนโลกหรือบนสวรรค์ เราจะไม่เคยไปถึงภาวะแห่งความสมบูรณ์แบบทั้งๆ ที่เราได้พยายาม เป็นคนที่สง่างาม หรือมีคุณธรรมมากแค่ไหนก็ตาม คุณสมบัติเหล่านี้เป็นของภายในโลกเท่านั้น ทั้งหมดที่เรียกกันว่า ความงาม สัจธรรม หรือคุณธรรมที่แสดงให้เห็นในโลกวัตถุนี้ เป็นของเลียนแบบที่ด้อยกว่า
ออร่า แตกต่างจากแสง ออร่ามีสีต่างๆ กัน : บางครั้งสีดำ บางครั้งสีกาแฟ และบางครั้งสีเหลืองหรือแดง มันขึ้นอยู่กับอารมณ์ในขณะนั้น แต่เมื่อคุณเห็นคนที่มีออร่าทางจิตวิญญาณที่แรงกล้า คุณจะรู้ว่ามันแตกต่างกันกล่าวโดยอนุตราจารย์ชิงไห่ สหประชาชาติ นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา26 มิถุนายน 2535 (1992) (ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) ดีวีดี #260ผู้คนที่รู้แจ้งจะมีแสงที่ยิ่งใหญ่รอบตัวเขา นั่นแตกต่างจากออร่า ทุกคนมีออร่า แต่แสงที่ยิ่งใหญ่ของคนที่รู้แจ้งนั้นแตกต่างกัน มันใหญ่กว่า ชัดกว่า และเจิดจรัสกล่าวโดยอนุตราจารย์ชิงไห่ มิวนิก เยอรมนี1 พฤษภาคม 2536 (1993) (ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) วีดีโอเทป # 366แสงรอบพระพุทธเจ้าและพระเยซูนั้นถูกเรียกว่า รัศมีทรงกลด ซึ่งเป็นสนามแม่เหล็กของผู้รู้แจ้ง ยิ่งบุคคลนั้นรู้แจ้งมากเท่าไร แสงนี้รอบตัวเขาหรือเธอก็จะยิ่งสว่างไสว แต่เพียงเมื่อคุณเปิดตาปัญญาแล้วเท่านั้น คุณจึงจะสามารถเห็นว่าคนๆ หนึ่งมีแสงหรือไม่ คนที่มองเห็นแสงภายในได้เป็นคนที่มีแสงภายนอกเช่นกัน คนที่มองไม่เห็นแสงภายในนั้นมีแสงที่ริบหรี่มากหรือมืดมาก หรือมีแสงภายนอกน้อยมาก เราเรียกสิ่งนี้ว่าออร่า ออร่าของคนที่รู้แจ้งอย่างสมบูรณ์นั้นเจิดจ้ามากๆ ศิษย์ที่สามารถมองเห็นแสงนี้ เพราะเขาหรือเธอรู้แจ้งแล้ว เป็นศิษย์ที่ตาปัญญาถูกเปิดแล้ว และเขาหรือเธอสามารถมองเห็นว่าพระพุทธเจ้าหรือพระเยซูมีแสง ดังนั้นพวกเขาจึงวาดภาพเหมือนกับที่พวกเขามองเห็น... บางคนมีพลังจิตอยู่บ้างเช่นกัน พวกเขาไม่ได้บำเพ็ญวิถีกวนอิมด้วยซ้ำ แต่พวกเขามีตาปัญญาที่เปิดออกเล็กน้อย พวกเขาสามารถมองเห็นว่าใครมีแสงวิเศษเช่นกัน ใครมีแสงสีทอง และใครมีแสงสีกาแฟเข้ม แต่ความรู้ที่ดีที่สุดคือตัวคุณเอง คุณคือครู คุณคือพุทธะ และฉันต้องการแสดงให้คุณเห็นถึงปัญญาอันยิ่งใหญ่ของคุณกล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่ โคลัมโบ ศรีลังกา29 เมษายน 2543 (2000) (ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) วีดีโอเทป#687ถ: ท่านสามารถเห็นและวิเคราะห์ออร่าของผู้คนรอบๆ ท่านได้หรือไม่?อ: ฉันไม่สนใจ ฉันสนใจเพียงจิตวิญญาณเท่านั้น ซึ่งสว่างไสวเสมอ เจิดจ้าเสมอ ชั่วนิรันดร์และมีอยู่ทุกหนแห่งเสมอกล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่ ฮาวาย สหรัฐอเมริกา28 มีนาคม 2536 (1993) (ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) วีดีโอเทป#343แน่นอนว่าผู้คนที่บำเพ็ญทางจิตวิญญาณสามารถมองเห็นออร่าของคนอื่น แต่นั่นเป็นเพียงออร่าของโลกทิพย์ ตัวตนที่มีวิวัฒนาการระดับสูงจะแค่มองจิตวิญญาณของคนๆนั้น ซึ่งมีหรือไม่มีออร่า จิตวิญญาณนั้นสมบูรณ์แบบเสมอ สว่างยิ่งกว่าพระอาทิตย์เป็นล้านๆ ดวงมารวมกัน บางครั้งมันแค่ถูกปกคลุมไว้กล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่ เอเธนส์ กรีซ20 พฤษภาคม 2541 (1999) (ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) วีดีโอเทป#653การรักษาโรคโดยการใช้พลังทางจิตวิญญาณนั้นไม่เป็นธรรมชาติ มันไปยุ่งกับออร่าของผู้คน กับจักระของผู้คน กับจิตวิญญาณและสนามแม่เหล็กของผู้คน มันยากที่จะแก้ไขในภายหลัง มันยังเป็นการวุ่นวายกับจิตและธรรมชาติของผู้คนด้วยกล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา24 กุมภาพันธ์ 2534 (1991) (ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) วีดีโอเทป#155อันที่จริง อะไรก็ตามที่เราได้ทำไปแล้วหรือที่เราทำ แม้ว่าไม่มีใครรู้ แม้ว่าไม่มีใครเคยเห็นว่าเราทำสิ่งเหล่านี้มาก่อนหรือไม่เคยพบเราด้วยซ้ำ พวกเขาจะยังคงตรวจพบบางอย่างจากออร่าของเรา จากสนามพลังงานของเรา สนามแม่เหล็กของเรา และก็ตอบสนองตามนั้น นั่นคือเหตุที่เราจะต้องระวังตลอดเวลาที่จะรักษาตัวเราให้บริสุทธิ์ บริสุทธิ์และสะอาดอย่างไม่มีที่ติ และพยายามรักษามันอย่างมีสติเช่นนี้อยู่เสมอ มิฉะนั้นอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นกับเรา เราจะไม่สามารถโทษใครอื่นได้กล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่ ซีหู ฟอร์โมซา19 กุมภาพันธ์ 2539 (1996) (ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) วิดีโอเทป # 527มีอีกประเด็นเกี่ยวกับว่า ทำไมเราต้องรักษาตัวเราเองให้สูงส่งและบริสุทธิ์ เพราะผู้คนสามารถมองเห็นเรา --- ผู้ที่มองเห็น นักปราชญ์ และความบริสุทธิ์ในหัวใจ --- สามารถมองเห็นออร่าของเรา ถ้าเราทำบางอย่างถูกต้อง ถ้าเราตระหนักถึงพระเจ้า เรารักพระเจ้าและเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ออร่าของเราจะเป็นสีทอง โชติช่วง ถ้าเราทำบางอย่างผิดพลาด - ถ้าเราทำร้ายผู้อื่นทางอารมณ์ ทางกาย ทางจิตใจ หรือทางจิตวิญญาณ -- ออร่าของเราจะมืด ผู้คนสามารถมองเห็นเรา ดังนั้นเราจึงไม่สามารถหลอกลวงได้ นั่นคือเหตุที่เราจะต้องรักษาตัวเราเองให้งดงามกล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่ ปูเน่ อินเดีย23 พฤศจิกายน 2540 (1997) (ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) ธรรมสาร ฉบับ 91,ดีวีดี #600
กล่าวโดย อนุตราจารย์ชิงไห่ แซนโฮเซ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา 16 กรกฏาคม 2537 (1994)(ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) วีดีโอเทป #438คุณถามฉันเสมอ : ทำไมฉันไม่ทำทำแค่ตีปีศาจ และเตะพวกเขาออกไป แล้วทำให้ทั้งโลกเป็นอิสระ หรือทำให้ลูกศิษย์เป็นอิสระ อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้กรรมของพวกเขาทั้งหมดหายไปเหมือนกับข้าวราดแกง แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็จะจบสิ้น ทำไมยังมีกรรมเหลือค้างสำหรับชาตินี้ ซึ่งบางครั้งลูกศิษย์มีประสบการณ์ที่ทุกข์ทรมานและเจ็บป่วยด้วย แต่มันก็ดีกว่าเมื่อก่อนมากแล้ว เพราะนั่นคือคุณกำลังทำความสะอาดบ้านของคุณทุกๆวันด้วยการทำสมาธิและ "ไม้กวาด" มังสวิรัติ มันไม่ใช่อย่างนั้นหรือ ผู้คนทำความสะอาดบ้านกันด้วยไม้กวาดด้ามยาว มันทำมาจากต้นไม้ หรือเมื่อคุณกินกะหล่ำปลีหรืออะไรทำนองนั้น คุณจะได้รับเส้นใยมากมายซึ่งเป็นการทำความสะอาดระบบร่างกายของคุณด้วย นั่นทำให้คุณมีสุขภาพดีขึ้นในแต่ละวัน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกคุณยังคงดูอ่อนเยาว์มากกว่าก่อนการประทับจิตไม่ต้องการร้านเสริมสวยถูกไหม ไม่ ไม่ต้องการเลยจริงๆดังนั้นเหตุผลว่าทำไมอาจารย์ไม่สามารถลบล้างกรรมของลูกศิษย์ได้อย่างสมบูรณ์หรือกรรมร่วมของโลก หรือแทรกแซงสถานการณ์ที่ไม่น่าชื่นชอบชนิดใดๆ ก็เป็นเพราะทั้งคู่ต้องเคารพกฎของโลกนี้ มันก็เหมือนกับสนามฟุตบอลที่ผู้เล่นต้องเคารพกฎเดียวกัน เราสามารถพูดคุยกันได้ แต่ไม่สามารถทำลายพวกเขาเพียงเพราะมีบางคนอยู่ภายในกลุ่มของเรา เมื่อเขาเตะคนอื่นที่เขาไม่ควรเตะ เราไม่สามารถทำอะไรได้ เขาต้องถูกไล่ออกไป ไม่ได้หมายความว่าเพียงเพราะเขาเป็นเพื่อนของเรา เราจะสามารถปกป้องเขาได้ เช่นเดียวกันเมื่อกลุ่มตรงข้ามเป็นฝ่ายชนะหรือทำบางสิ่งที่ถูกต้อง เราก็ไม่สามารถเตะพวกเขาหรือทำลายพวกเขาได้แค่เพียงเพราะพวกเขาอยู่ฝ่ายตรงข้ามคล้ายกันกับโลกใบนี้ที่มีสองฝ่ายกำลังเล่นเกมกัน หนึ่งคือบวก - ด้านพวกเรา - และอีกอันคือลบ หรือที่เรียกว่าด้านศัตรู มันสร้างปัญหาให้กับพวกเราเสมอ สร้างอุปสรรคและทุกๆสิ่ง แต่พวกเราเป็นหนี้พวกเขาในบางสิ่งบางอย่างมาก่อน พวกเราอาศัยอยู่ในโลกนี้ พวกเรามีความสัมพันธ์ระหว่างกันกับพวกเขาในช่วงชีวิตมากมาย ดังนั้นในตอนนี้เราไม่สามารถลืมสิ่งที่เราเคยทำต่อพวกเขา หรือบางสิ่งที่เพื่อนๆของเราได้กระทำต่อพวกเขาในอดีต แล้วเราจะทำเพียงแค่ปกป้องเพื่อนของเราโดยจัดการกับฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่เป็นธรรม หรือในแบบที่ไม่ยุติธรรมไม่ใช่ว่าเราไม่มีพลัง ไม่ใช่ว่าอาจารย์ทำสิ่งใดไม่ได้ อาจารย์สามารถเปลี่ยนแปลงจักรวาลทั้งจักรวาลได้ แต่พวกเราต้องยุติธรรม มิฉะนั้นเราจะไม่มีคุณค่าเพียงพอที่จะเป็นนักบุญหรือเป็นผู้บำเพ็ญอย่างนักบุญ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมบางครั้งคุณจึงเห็นอาจารย์มากมายต้องอดทนมาก เช่น พระศากยมุนีพุทธเจ้า ท่านสามารถไปดินแดนพุทธะ(พุทธเกษตร)ใดๆหรือทำสิ่งใดก็ได้ที่ท่านต้องการ ท่านสามารถดูแลกรรมของเหล่าลูกศิษย์ได้ ท่านสามารถทำให้ผู้คนกลายเป็นอรหันต์ได้อย่างรวดเร็ว แต่ท่านไม่สามารถเปลี่ยนกรรมของสถานที่เกิดของท่านเองได้ เมื่อเกิดสงครามความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องเพราะท่านไม่อยากปฏิบัติต่อผู้คนหรือสิ่งมีชีวิตอื่นอย่างไม่ยุติธรรม นั่นทำให้ท่านต้องเสียชื่อเสียง ผู้คนมากมายรวมถึงลูกศิษย์ในเวลานั้นเสียความศรัทธาในตัวท่านและคิดว่าท่านไม่สามารถทำสิ่งใดได้ ถึงแม้สมาชิกในตระกูลตัวเองถูกทำร้าย พวกเขากำลังถูกฆ่าฟันซึ่งท่านทำสิ่งใดไม่ได้เลย ท่านเพียงไปที่นั่นและพูดกับพวกเขาเท่านั้น นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ท่านกระทำ ท่านพยามยามทำให้พวกเขาเชื่อผลกระทบที่เต็มไปด้วยอันตรายของสงครามและผลแห่งกรรม แต่พวกเขาไม่ฟัง พลังกรรมที่ดึงดูดพวกเขาเข้าด้วยกันกล้าแข็งเกินไป พวกเขายึดติดด้วยกันและตายด้วยกันพระพุทธเจ้าไม่สามารถแทรกแซงได้เพราะท่านเป็นผู้เล่นที่ยุติธรรม เช่นเดียวกับพระเยซูคริสซ์ ท่านมีพลังอิทธิปาฏิหาริย์มากมายตามตำนาน ดังนั้นท่านต้องกระทำได้หรือสามารถรักษาตัวท่านเองได้ แต่ท่านไม่ทำ ท่านปล่อยให้มันเป็นไป มิลาเรปาแห่งธิเบตท่านหยั่งรู้ว่าท่านกำลังจะตายจากยาพิษ ท่านได้บอกกับผู้หญิงคนที่จะวางยาพิษว่า "เธอจงไปรับเงินค่าจ้างที่วางยาพิษฉันจากคนนั้นก่อน แล้วฉันจะดื่มมันลงไป มิฉะนั้นถ้าฉันดื่มมันแล้วและตาย เขาอาจจะไม่ให้เงินเธอ"ดังนั้นพวกท่านหยั่งรู้ล่วงหน้าก่อนที่ท่านจะตาย พระศากยมุนีพุทธเจ้าหยั่งรู้ด้วยว่าท่านกำลังจะตาย ท่านพูดแล้วว่า "ฉันจะเข้าสู่มหาปรินิพพานในอีกสามเดือน" นั่นหมายความว่าจากโลกนี้ไป ซึ่งท่านยังหวังว่าพระอานนท์จะบอกท่าน "โปรดอย่าตาย" แต่บางทีพระอานนท์อาจกำลังคิดมากเกินไป หรือคิดถึงเรื่องอื่นอยู่เขาอาจหิวคิดถึงจาปาติ ทำให้เขาไม่ได้ยินพระพุทธเจ้าพูดในเวลานั้น พระพุทธเจ้าพูดเป็นนัยๆถึงสามครั้ง แต่พระอานนท์กลับไม่พูดอะไร เขาน่าจะกำลังคิดถึงจาปาติมากกว่า การที่เธอออกไปบิณฑบาตรเพียงวันละครั้งเท่านั้น มันยากที่จะเฝ้ารักษาจิตให้เพ่งศูนย์ห่างจากจาปาติได้ ดังนั้นเขาไม่ได้ขอให้พระพุทธเจ้าอยู่ต่อไปในโลกนี้ หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าผิดหวัง พระองค์พูดว่า "ตกลงสามเดือนต่อจากนี้เราจะไปจากโลกนี้" แต่แล้วพระอานนท์ตื่นจากฝันจาปาติ และเขาร้องไห้ "โอ้ได้โปรดอย่าไป!" แต่มันสายไปแล้ว พระพุทธเจ้าถามถึงสามครั้งแล้วเธอไม่ตอบ นั่นถูกกำหนดแล้ว และพญามาร ราชาแห่งมายาอยู่รอบๆพระพุทธเจ้าเสมอ เมื่อพระอานนท์ไม่ตอบ พญามารจึงพูดว่า "เห็นไหม ไม่มีใครต้องการท่าน! ดังนั้นท่านต้องไป"พระพุทธเจ้าพูดว่า "ดีแล้ว" ท่านรู้แล้ว แต่ท่านยังคงทำ ท่านสามารถรอเวลาอื่นเมื่อพระอานนท์กินอิ่มเต็มที่และทำสมาธิดี มีจิตใจที่แจ่มชัดแล้วค่อยถามคำถามนี้ ซึ่งพระอานนท์ควรจะรู้ว่าจะพูดอะไร "โอ้ได้โปรดอาจารย์ อย่าไป!" แต่ท่านเลือกพูดผิดเวลา บางทีท่านควรจะไปไม่ว่ากรณีใดก็ตาม แค่เหมือนกับมิลาเรปาหรือเหมือนกับพระเยซูคริสซ์ ท่านรู้ก่อนที่ท่านจะไป ท่านพูดว่า "นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะเห็นฉัน หลังจากพรุ่งนี้ หรืออีกเดี๋ยวเดียวเธอจะไม่เห็นฉันอีกต่อไป " ท่านรู้สิ่งนั้น ท่านยังบอกลูกศิษย์ว่าคนที่จุ่มขนมปังในซอสนั้นแบบนั้นแบบนี้ เป็นคนที่ขายท่านอาจจะเพื่อเงินสองร้อยดอลลาร์ดังนั้นคนที่ถูกเรียกว่าอาจารย์เหล่านี้ของโลก พวกท่านรู้ทุกสิ่ง พวกท่านรู้ถึงสิ่งที่ท่านสามารถกระทำ แต่บางครั้งพวกท่านเล่นไปตามที่มันเป็น เพราะโลกนี้กำเนิดขึ้นมาจนมีสิ่งมีชีวิตแล้ว พวกท่านไม่สามารถทำลายมันได้ เนื่องจากมีผู้คนมากมายอยากจะอาศัยอยู่ ประชากรโลกทั้งหมดยึดติดกับโลกนี้และไม่อยากปล่อยไป ดังนั้นแม้ว่าพระพุทธเจ้าจะไม่ทำลายมัน พระเจ้าจะไม่ทำลายมัน ถ้าหากกรรมไม่หนักจนเกินไป ถ้าหากมันยังคงสมดุลย์ แล้วโลกนี้ยังคงดำรงอยู่ แต่ถ้าโลกยังอยู่ก็ย่อมมีการให้และรับกรรมซึ่งมันจะไม่เคยจบ วันนี้พวกเขาฆ่าเขา แล้ววันอื่นลูกๆของเขาจะฆ่าพวกเขา และลูกๆของพวกเขาจะฆ่าลูกๆของเขาและอื่นๆ จนกระทั่งผู้คนกลุ่มนี้จะตื่นขึ้นด้วยตัวเองแล้วตระหนักถึงความเปล่าประโยชน์ของวงจรชั่วร้ายที่ไม่มีวันจบสิ้นชั่วนิจนิรันดร์ แล้วพวกเขาหยุดแก้แค้นและอยู่นิ่งๆ ทุกๆสิ่งก็จะให้ผลแตกต่างออกไปผู้คนบนโลกนี้เอาแต่เล่นและเล่นตลอดเวลาไม่เคยหยุด พระพุทธเจ้าจึงต้องมาที่นี่ ท่านต้องเคารพกฎกติกาการเล่นของที่นี่ด้วย มิฉะนั้นพระพุทธเจ้าก็จะไม่สามารถมาในสถานที่แห่งนี้ได้ตั้งแต่แรก ยกตัวอย่าง ถ้ามีประธานาธิบดีคนใดอยากจะเข้าร่วมทีมฟุตบอล ถึงเขาจะเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาและได้รับการเคารพทั่วทั้งโลก เขาจะสามารถเข้าร่วมได้โดยปราศจากการผ่านกฎใดๆ ของทีมฟุตบอลไหม คำตอบคือไม่! ผู้ร่วมทีมจะปฏิเสธเขา ไม่ใช่ว่าเขาเป็นประธานาธิบดีแล้วจะสามารถไปที่สนามฟุตบอลแล้วเตะบอลไปรอบๆได้เลยเช่นเดียวกับโลกนี้ ที่เป็นเหมือนสนามเล่นเกมของสรรพสัตว์ ระดับจิตสำนึกแบบนี้ โลกนี้จึงเป็นสนามเล่นของผู้ที่อาศัยอยู่ในโลกเช่นมนุษย์ สัตว์ ภูตผีและปีศาจ คนเหล่านี้อยู่รอบๆโลกที่มองไม่เห็น ดังนั้นแม้ว่าพระเจ้าอยากจะมาที่นี่และชวนลูกๆของพระองค์บางคนมาที่บ้านหรือลองหาคนเหล่านั้นที่อยากจะมาบ้านกับพระองค์ พระองค์ก็ต้องเคารพกฎของที่นี่ยกตัวอย่างเช่น หากประธานาธิบดีเกิดชอบผู้เล่นฟุตบอลบางคน บางทีเขาอยากเป็นเพื่อนกับดาราฟุตบอล ทางเดียวที่จะไปที่สนามและเป็นเพื่อนกับคนๆนั้นก็คือการเป็นผู้เล่นเสียเองด้วย อย่างน้อยที่สุดก็เป็นเพียงครั้งคราวหรืออย่างเสแสร้ง ดังนั้นเขาต้องเรียนรู้กฎและเคารพพวกเขา แล้วสุดท้ายหรืออย่างช้าๆ ทีละน้อยเขาสามารถเป็นเพื่อนกับดาราฟุตบอล แล้วเขาจึงสามารถพูดคุยกับเขา ช่วยเขา หรือรักเขาได้ ให้ความสนใจต่อเขาหรือให้ความรักแก่เขาได้ มิฉะนั้นเขาจะไม่สามารถเข้าไปข้างในได้ เพราะเขาเป็นประธานาธิบดี แม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าของสนามฟุตบอลทั้งหมด เขาก็จะไม่สามารถเข้ามาข้างในสนามได้ เพราะแม้แต่เจ้าของสนามก็ไม่สามารถมาข้างในได้ หรือแม้แต่คนที่รวยที่สุดในโลกก็ไม่สามารถเข้ามาในสนามฟุตบอลเพื่อเล่นและวนไปเวียนมาได้...
ข้าพเจ้าได้สดับมาว่า...คำกล่าวที่ว่า "มนุษย์เป็นสัตว์สังคม" ด้วยการปฏิสัมพันธ์กันของคนในสังคม จึงมีการถ่ายทอดความเชื่อ ค่านิยมต่างๆ ทางความคิด ทางถ้อยคำ ทางการแสดงออกในรูปแบบต่างๆ กัน ตามแต่จารีต วัฒนธรรม การศึกษา หรือพื้นเพปูมหลังของคนเหล่านั้น ได้ก่อให้เกิดค่านิยม ทัศนคติ แนวความคิดหรือมุมมองต่างๆ ในรูปแบบองค์รวม จนถูกหล่อหลอมให้เกิดเป็น "สังคม" โดยรวมที่มีความซับซ้อนและแตกต่างกันไปในแต่ละมุมโลกไม่น่าแปลกที่คนในสังคมเดียวกันจะมีแนวความคิดในมุมมองต่างๆ ที่ใกล้เคียงกันและแตกต่างจากสังคมอื่นๆ แม้ระบบโซเชี่ยลจะมีอิทธิพลสูงมากขึ้นในปัจจุบันที่ดูเหมือนจะหล่อหลอมให้ไปสู่สิ่งที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นสังคมเดียว ในทางตรงกันข้ามกลับมีผลกระทบยิ่งทำให้สังคมเพิ่มความขัดแย้งกันมากขึ้นไปอีก เมื่อพบว่าความเชื่อ ค่านิยม ทัศนคติ ต่างๆ เหล่านี้ของสังคมหนึ่ง แตกต่างไปกับอีกสังคมหนึ่ง นั่นเกิดจากสาเหตุใด? แน่นอนถ้าพิจารณาระดับปัจเจกชน แล้วพบว่าปัจเจกชนเป็นพวกที่ไม่รู้หรือรู้ผิดเกี่ยวกับความจริงแท้แห่งเป้าหมายที่คนในสังคมคาดหวังจะให้เป็นไป จริงๆแล้วคนในสังคมต้องการสิ่งใดกันแน่? ความอยู่ดีกินดี ความสุข หรือความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน? ปัจเจกชนเหล่านี้ก็ย่อมจะสร้างสถาบันครอบครัวจนถึงสังคม ประเทศชาติในแบบเดียวกัน นั่นคือสังคมแห่งอวิชชา สังคมแห่งความมืดบอดสิ่งที่ปรากฏให้เห็นสะท้อนในสังคมมาจากหน่อยย่อยเหล่านี้ หากรากฐานของตึกไม่แข็งแรง ทั้งตัวตึกก็ตกอยู่ในอันตราย พร้อมจะเสื่อสลายลงได้ในทุกเวลานาที ผู้รู้กล่าวว่าปัญญานั้นมีอยู่แล้วเต็มเปี่ยมในแต่ละปัจเจกชน แม้เขาเหล่านั้นจะไม่เคยผ่านระบบการศึกษาใดๆ เลยจากสังคม การตระหนักรู้ในตนเองจะทำให้เขาได้รับปัญญากลับคืนมา และเข้าใจจุดมุ่งหมายของการได้ถือกำเนิดเกิดมาอีกครั้ง สังคมก็มีจุดมุ่งหมายดุจเดียวกัน สังคมแห่งปัญญาจึงเป็นสังคมแห่งความสุขโดยแท้ เนื่องเพราะปัญหาทั้งหลายเกิดจากการด้อยซึ่งปัญญา และความทุกข์ก็เป็นเฉกเช่นเดียวกันการตลาดในยุคปัจจุบันมุ่งเน้นให้มองหาความต้องการของคนในสังคมและพยายามตอบสนองต่อความต้องการนั้น มากกว่าจะรับผิดชอบความเสื่อมทรามของสังคมที่ตามมา การผลิตสินค้าและบริการจึงมีทิศทางไปสู่ทางนั้น นั่นคือตอบสนองความต้องการอันไม่มีที่สิ้นสุดของคนในสังคม จนถึงกับมีคำกล่าวที่ว่า "มุ่งสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า"หรือไม่ก็ "ลูกค้าคือพระเจ้า" การแข่งขันกันแบบรุนแรงดุเดือดทางธุรกิจจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ คำถามคือใครจะเป็นผู้มารับผิดชอบความเสื่อมทรามของสังคม? เมื่อผู้ชนะได้รับการสรรเสริญว่าเป็นผู้สำเร็จ ส่วนผู้พ่ายแพ้พบแต่ความทุกข์ ในเมื่อการผลิตและบริการยังคงพยายามตอบสนองความต้องการของปัจเจกชนที่ขาดปัญญา ผลที่ตามมาก็คือความเหลื่อมล้ำทางสังคม ความยากจน ภาระหนี้สิน อาชญากรรม ยาเสพติด คอรัปชั่น และความไม่ยุติธรรมต่างๆ มากมายในสังคม แล้วท้ายที่สุดสังคมจะมีสภาพเป็นเช่นใด?การตลาดที่แท้จริงจึงควรมุ่งไปในเรื่องความเข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ มากกว่าเปลือกภายนอก หรือทำเพียงแสวงหาผลกำไรเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้แก่เจ้าของหรือผู้ถือหุ้นเท่านั้น โดยหลงลืมเป้าหมายสูงสุดของการสร้างสังคนตลอดจนสร้างโลกใบนี้ เมื่อทุกคนเอาแต่กอบโกยก็ย่อมไม่มีใครจะแบ่งปัน รัฐจึงต้องเข้ามามีบทบาทในการรักษาสมดุจ และเข้าใจถึงเป้าหมายของการสร้างสังคมอย่างแท้จริง...
กล่าวโดยอนุตราจารย์ชิงไห่ ลิสบอน โปรตุเกส7 พฤษภาคม 2542 (1999)(ต้นฉบับภาษาอังกฤษ) ดีวีดี#645ไม่ใช่ว่าหลังจากทำสมาธิแล้ว ร้อยทั้งร้อยเราจะได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราต้องการเสมอไป เพราะมันไม่ใช่แบบนั้น ประเด็นก็คือไม่ว่าเราจะได้สิ่งที่เราต้องการหรือไม่ แต่เราก็ยังคงมีความสุข แล้วเราก็จะพบหนทางที่จะให้ได้บางสิ่งบางอย่างมาแทน แทนที่จะยืนกระทืบเท้าอยู่ตรงนั้นและรู้สึกเป็นทุกข์เกี่ยวกับสิ่งที่เราสูญเสียไปหรือสิ่งที่เราไม่สามารถได้มา เราจะกลายเป็นคนที่ฉลาดขึ้น ยืดหยุ่นมากขึ้น และแล้วเราก็จะลองวิธีต่างๆ มากมายเพื่อให้ได้สิ่งอื่น และก็เพลิดเพลินกับกระบวนการนั้น นั่นคือสิ่งที่ดีเกี่ยวกับการทำสมาธิ เราจะมีความสุขเกือบตลอดเวลาฉันแค่ไม่อยากให้คุณมีภาพลวงตาที่ว่า เมื่อคุณทำสมาธิแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะมาหาคุณ แต่บางครั้งสิ่งต่างๆก็ไม่ได้ดีมาก ซึ่งพวกมันจะไม่มา และบางครั้งพระเจ้ามอบสถานการณ์ที่ไม่ปกตินักให้กับคุณ และถ้าเราไม่ทำสมาธิเราก็จะไม่เข้าใจสถานการณ์นั้น เราจะเริ่มรู้สึกเป็นทุกข์ถ้ามันไม่ได้เป็นอย่างที่เราต้องการ ดังนั้นมันไม่ใช่ว่า ถ้าเราทำสมาธิทุกอย่างก็จะเป็นไปอย่างราบรื่นเสมอ มันไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป แต่เราจะสามารถหัวเราะกับเหตุการณ์นั้นได้แทนที่จะร้องไห้เกี่ยวกับมันมีบางอย่างที่เราสามารถทำได้เสมอถ้าเราเผชิญกับอุปสรรคเมื่อเรามีปัญญาที่เก็บสำรองไว้อยู่ภายในหลังจากที่เราได้รับมันมาผ่านการรู้แจ้งนั่นคือเหตุผลที่ผู้คนส่วนใหญ่บูชานักบุญ ผู้ที่สละแล้ว นักบวช และพระ และอื่นๆ ผู้คนบูชาคนเหล่านั้นผู้ซึ่งเป็นพระหรือนักบวชจริงๆ ผู้ซึ่งได้รับการรู้แจ้งภายในจริงๆ เนื่องจากความสุข ความพอใจ และความเชื่อถือได้อันคงเส้นคงวาของพวกเขา และผู้คนจำนวนมากติดตามพวกเขา แม้ว่าบางครั้งคนเหล่านั้นไม่ได้เสาะหาชื่อเสียงหรือโชคลาภหรือผู้ติดตามเลย แต่ผู้คนก็ชอบที่จะมาและผูกมิตรกับพวกเขา กับคนที่เป็นนักบุญเหล่านี้และส่วนใหญ่แล้วคนเหล่านั้นที่บำเพ็ญทางจิตวิญญาณมักจะโชคดีเสมอกล่าวโดยทั่วไป นักเรียนของอาจารย์ต่างๆเพลิดเพลินกับความสุข โชค และการทำให้ความปรารถนาใดๆที่พวกเขาเคยมีในชีวิตให้สำเร็จ เป็นอย่างนั้นทางกาย ทางจิตใจหรืออารมณ์ และแน่นอนทางจิตวิญญาณด้วย และในวันที่พวกเขาจากร่างกายเนื้อไป พวกเขาก็ตรงไปยังสวรรค์ ไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนั้น ดังนั้นเพื่อที่จะให้มีความสุขแม้แต่ในชีวิตทางกายภาพนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงสวรรค์ เพื่อที่จะให้มีความสุขที่นี่ ให้ใช้ชีวิตอย่างน่าพอใจที่นี่ และให้เป็นคนที่ฉลาดมากขึ้นที่นี่ เราจึงควรจะทำสมาธิ ฉันหวังว่าฉันไม่ได้ทำให้คุณขุ่นเคือง เราอาจจะฉลาดมากอยู่แล้ว แต่เราไม่ได้ใช้พลังสมองของเราเพียงพอ เราใช้เพียงแค่ 5% หรือ 10% เท่านั้น และเราก็ฉลาดมากแล้ว! เราประดิษฐ์สิ่งต่างๆ มากมายนัก ดังนั้นสมมุติว่าคุณทำสมาธิและใช้พลังสมองของคุณมากขึ้น แน่นอนว่าคุณจะฉลาดยิ่งขึ้นคนทั่วไปใช้พลังสมองของเขาหรือเธอเพียงไม่เกิน 10% เท่านั้น นั่นเป็นข้อเท็จจริงที่พวกเรารู้กันทุกคน ซึ่งมันเป็นข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้นเราเอา 80% หรือ 90% ไปวางไว้ที่ไหน? มันสูญเปล่า นั่นคือเหตุที่เราไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์ เราไม่รู้สึกสมบูรณ์ เรารู้สึกท้อแท้ผิดหวังและเรารู้สึกอ่อนแอ เพราะเราไม่ได้ใช้ประโยชน์จากพลังอันสมบูรณ์ของเรา ดั้งนั้นการทำสมาธิ เราสามารถพูดถึงมันอีกแบบหนึ่ง คือ เพื่อให้ใช้ประโยชน์จากพลังอันสมบูรณ์ได้ นั่นคือวัตถุประสงค์ของการทำสมาธิ นั่นก็คือความหมายชองการทำสมาธิ ก็คือเพื่อใช้พลังอำนาจอันสมบูรณ์ของเราให้ได้เพื่อว่าเราจะได้กลายเป็นผู้มีความสามารถรอบด้านเหมือนกับพระเจ้า หรืออย่างน้อยที่สุดก็เหมือนกับลูกๆ ของพระเจ้า มิฉะนั้นเราจะไม่มีพลังเพียงพอที่จะดูแลปัญหาเล็กๆหรือเรื่องเล็กๆ ในบางครั้ง และเราก็จะทำเรื่องต่างๆ ได้ไม่สมบูรณ์พอใจเรา เพราะเราขาดพลังหรือขาดปัญญา ดังนั้นการรู้จักพระเจ้าก็คือการรู้จักตัวเราเองโดยบริบูรณ์ และเมื่อเรารู้จักตัวเราเองโดยบริบูรณ์แล้ว เราก็จะรู้จักพระเจ้า ดังนั้นเพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า เราจึงเป็นเหมือนพระองค์ในแบบที่พระองค์สร้างเรามา เพราะพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นดั่งภาพเหมือนของพระองค์เอง...www.suprememastertv.com