18 พฤษภาคม 2549 11:28 น.

รักประสาไร้

ตราชู

รักประสาไร้
	ระรื่นรื่นลมชายรำพายเฉื่อย
ระเรื่อยเรื่อยเสภามาขับร่ำ 
ระรินรินร้องรับกับลำนำ
ระเรียงเรียงร้อยคำคำนึงใน
	โอ้ว่ายามความรักสลักมั่น
ถึงทนทุกข์ทุกวันไม่หวั่นไหว
สู้เดินดั้นแดนพงฝ่าดงไพร
ถึงลำบากยากไร้ไม่เกรงกลัว
	สิ้นเอมโอชโภชนาอาหาร
ต้องขึ้นเถินลงธารนทีทั่ว
ผลไม้ได้ชิมก็ชมชัว
กินบัวบุษบันแบ่งบานขจร
	เด็ดฝักหักรากกระชากฉุด
เผลาะผลุดรากเลื้อยอะล่อนจ้อน
ขุนแผนปล้อนปอกหง้าวดูขาวงอน
ว่าวอนลองกินเถิดน้องรัก
	หม่อมเอ๋ยฉันไม่เคยจะกินราก
กลัวคันปากแสบลิ้นจะกินฝัก
เชื่อพี่ลองหน่อยอร่อยนัก
กลัวแต่จักติดใจเมื่อได้รส
	ก็นั่นบัวหัวเดียวจะให้ข้า
อนิจจาตัวหม่อมจะยอมอด
หม่อมไม่มีฉันนี้ก็จะงด
บัวไม่หมดดอกเจ้าเฝ้าเสียดาย
	เออกระนั้นหม่อมดำลงไปชัก
ฉันจะเลือกหาฝักหักง่ายง่าย
เก็บบัวยั่วยวนชวนสบาย
ต่างค่อยคลายเหน็ดเหนื่อยที่เมื่อยล้าฯ
	จะหารักอย่างนี้ได้ที่ไหน
โลกยุคใหม่มุ่งมั่นหมั่นก้าวหน้า
ต่างวิ่งวุ่นตุนตวงแต่เงินตรา
ผูกชีวากับวัตถุจนจุใจ
	เลือกคู่ครองมองแค่เพียงมั่งคั่ง
ครั้นทรัพย์สูญเซซังก็เสือกไส
จะทนกัดก้อนเกลือไปเพื่อกระไร
เลิกราอย่าได้สะดวกดี
	วะแว่วแว่วเสภามาวาบหวาม
ได้ฟังความคิดนึกสะทึกถี่
ความรักประสาไร้คงไม่มี
เหลือแต่ลายสือนี้สื่อตำนาน
๗ ก.ย. 2548
หมายเหตุ
คำกลอนจำนวน ๔ บท ในเครื่องหมายอัญประกาศนั้น คัดตัดตอนมาจาก เสภาขุนช้างขุนแผน ตอนที่ ๒๑ (ขุนแผนลุแก่โทษ)
¬________________________________________________________________				
18 พฤษภาคม 2549 10:35 น.

ธรรมปัจจัย

ตราชู

ธรรมปัจจัย

ภุชงคประยาตฉันท์ ๑๒

                พิภพเราเขดาร้อน
ประจัญฟอนประจญไฟ
มนุสสานราศัย
ยะเยียบโศกวิโยคซึม

                พิภพมัวสลัวม่าน
ณ ถิ่นฐานซิ่เทาทึม
นภางค์คร่ำระกำครึม
สดับครืนสะอื้นคราง

                นราไข้ฤทัยเข็ญ
มิวายเว้นเทวษวาง
คะเนถึงคะนึงทาง
นิราศที่วิถีเทียว

                พิภพเราเขดาไร้
สงบได้เพราะสิ่งเดียว
พระธรรมแล้ผิว์แลเหลียว
ประสบแหล่งแจรงเลอ

                นภาสรรค์สุพรรณแสง
แจร่มแจ้งจรูญเจอ
สลิลปรายขจายเปรอ
ประโมทย์ปรุงผดุงปราณ

                ไสวทางสว่างทิศ
ประกอบกิจกุศลการ
พบูบ่งประจงบาน
วิบากพ้นทุรนภัย

                เสถียรธรรมประจำเที่ยง
มิหลีกเลี่ยงละครรไล
พิบูลย์ค่าประภาไข
ระเรียงคู่ฤรู้คลาย

                พระธรรมเพิ่มเฉลิมผ่อง
ประชาผอง ณ ทุกภาย
วโรภาสพระศาสน์ผาย
พิสุทธิ์ธรรม์นิรันดร์เทอญ

________________________				
18 พฤษภาคม 2549 10:14 น.

ท่วงทำนองและครรลองแห่งความรัก

ตราชู

ถ้วงทำนองและครรลองแห่งความรัก

โคลงจิตรลีลา (หรือโคลง ๕ พัฒนา ของ ท่านจิตร ภูมิศักดิ์)

	ยามโลกแห้ง			โหยหา
สายธารา					ถั่งรื้น
ยามโลกา				เลวเกิด
ภูมิหล้าพื้น				ผ่าวสิง
	มีสิ่งซึ้ง				สึงทรวง
เติมรินตวง				เริ่มต้น
น้อยสู่หลวง				หลากหลั่ง
ความไข้พ้น				ผ่านเข็ญ

รักเช่นท้น		ธารทอง
หมายครุ่นครอง			ครอบไว้
ฉันเธอปอง			เปรอเปี่ยม
เลอล้ำไล้				หลั่งโลม
	โสมส่องร้าง		ราคี
สาดรังสี				สู่หล้า
เช่นไมตรี				มีต่อ
มากพร้อมท้า			ถ่อยอธรรม์
	ปันรักได้			เรืองดล
แดนดำกล			เด่นเกื้อ
ผองชาวชน			ชูเชิด
เปรียบแม้นเนื้อ			มิ่งมณี
	มีรักให้			ราวเหม
รักซึ่งเปรม			ปรี่แล้ว
โลกย่อมเขม			ยงค่า
พราวพร้อยแพร้ว			พร่างสวย


อินทรธนูฉันท์ ๑๒ (ฉันทลักษณ์ซึ่งคิดขึ้นโดย อ. คมทวน คันธนู)

	หากมีรตีสมัคร
ใจรักจะรุ่งจะรวย
ยามท้อระย่อระทวย
รักแท้มิแปรประเทือง
	ลมโหมคระโครมผิว์เห็น
หน่วงเน้นประนังประเนือง
มรรคาประดาจะเคือง
คงมองคระลองละไม
โขดเขินฤเนินสิขร
หนาวร้อนระรุมกระไร
ท่องทางสว่างฤทัย
ก้าวทัน ณ ฉันแหละเธอ
	เนืองนองกะผองมนุษย์
จ้าจุดพลังลุเจอ
สุขมั่นสมรรถ์เสมอ
สืบมาสุภาประมวล
	รักถมภิรมยทัศน์
เร่งรัดมิเรมิรวน
แย้มหอมพะยอมจะหวน
ใฝ่หาอุราฤหรรษ์
	หากมีรตีสมาน
สำราญสฤษฎิ์นิรันดร์
สิ่งซึ่งคะนึงพิสัณห์
แสงช่วง ณ สรวงพิชัย

กาพย์ยานี ๑๑

	ทางเท้าที่เทาเที่ยว
ดำเนินเดียวได้ฉันใด
ทางผ่านต้องทานภัย
อันเทินพ้นท่วมท้นพูน
	หลีกลี้เหล่าผีหลาย
อาเกียรณ์ก่ายกันอากูล
พลาดสิ้นก็ภินท์สูญ
ต้องพังสิ้นชีวินทรีย์
	เกิดล้นเล่ห์กลหลอน
ให้ม้วยมรณ์อยู่มากมี
คอยย้ำคอยย่ำยี
เกินผันย้ายก็พ่ายเยิน
	รวมหมู่โดยรู้มั่น
ร่วมด้นดั้นเร่งดลเดิน
แม้ไกลย่อมไม่เกิน
ที่ย่างก้าวทางยาวไกล
	หมายมั่นเป็นขวัญมิ่ง
โดยใจจริงด้วยจริงใจ
ผ่านวันฤาพรั่นไหว
คงพรายหวังพร้อมพรั่งวาม
	รอชัยเรืองไรโชค
ไร้สิ่งโศกเรื่องเสื่อมทราม
รอเงาลำเพางาม
ไร้กลเงื่อนกลบเกลื่อนงำ
 	รักสายเรียงรายสร้อย
รุ้งผ่องร้อยราวไพรำ
ภัยกรมรรรทมกรำ
ถึงเกรียงไกรก็ไม่เกรง
		กลอนสุภาพ

				เมื่อสื่อรู้สู่รักตระสักระรื่น
อวยชุ่มชื่นชีพกระชับกระฉับกระเฉง
สายรุ้งวาวราวแวววามแก้วเชวง
ไม่ยำเยงย่นย่อรักก่อนิยาม
				คือความฝันมั่นฝ่ามุ่งหน้าเพราะใฝ่
คือโคมไขคงค่าแกล้วกล้ามิขาม
เมื่อจิตเน้นเจนนักตระหนัก ณ นาม
รัก นี้รามโรจน์เรื้องพ่างเรืองอุไร
				ใช่รักในใจหนุ่มร้อนรุ่มและหนาว
ใช่รักสาวซ่านซ่าประสาวิสัย
แต่รักเชิดเทิดชนทั่วท้นพิชัย
รักแท้ในเพื่อนมนุษย์พิสุทธิ์คะนึง
				ไร้ฉ้อฉลชิงชังโดยหวังจะชั่ว
ไร้มืดมัวมีมาด้วยหน้าขมึง
ไร้เบียนบุกรุกบั่นตะบันตะบึง
ไร้โกรธขึ้งขุ่นข้องหม่นหมองระคาย
				รักเช่นนี้ชี้นำชุ่มฉ่ำสนอง
รักลำยองยิ่งใหญ่โยงใยขยาย
รักเติมแบ่งแต่งบานละลานระบาย
รักจักร่ายรำร้องกึกก้องนิรันดร์
________________________________________				
17 พฤษภาคม 2549 14:43 น.

โลกหมอง

ตราชู

โลกหมอง
โคลง ๕ พัฒนา กลบทอักษรล้วน
(ได้แรงบันดาลใจจาก โคลงแบบอย่างของ ท่านคมทวน คันธนู
	เข็ญขุ่นแค้น				เขตคาม
เลวเล่ห์ลาม					หลอกล้อ
เตือนติดตาม					ตกต่ำ
ทุกข์แท้ท้อ					ถดถอย
	รอยรวดร้าว				รุมรึง
คึกขู่ขึง						ขบเขี้ยว
ทรามแทรกสึง					แซงสู่
คาบคั้นเคี้ยว					ข่มแขง
	แปลงเปลี่ยนปลิ้น-				ปลอกปลอม
หมมหมักมอม					มอดม้วย
พูนไผ่ผอม					เผือดผาก
ดับดิ้นด้วย					เดชดำ
	งำเงื่อนงุ้ม				งงงัน
เวียนวุ่นวัน					ว่างว้า
ถมโทษทัณฑ์					เท็จถี่
เฟือนฟ้าฝ้า					เฟื่องไฟ
	ครวญใคร่คร้าม-				ครั่นครอง
มิดมืดหมอง					หม่นไหม้
กูณฑ์เกิดกอง					กรรมก่อ
โหดเหี้ยมให้					ห่ามหาญ
อีทิสังฉันท์ ๒๐
	ยามอสูรผยองคะนองทะยาน
ระดื่นประสมระดมประสาน				กระแสเสียง
	ร้องระเร่าระร่ายระรายระเรียง
พะพาลทุภัยประลัยก็เพียง				พิภพพัง
	ปวงประดาประดาษปิศาจประดัง
ขมีขมันเขมือบขมัง					เขม้นหมาย
	คนระงมระกำคละคล่ำตะกาย
จะหนีโขยงเยอะโหงขยาย				ขย้ำยี
	ภัยพะวักพะวนทุรนทวี
ผจญกะเล่ห์กระเท่ห์กลี				ตลอดมา
	แม้จะมีพระร่ำพระคัมภิรา
ผิว์มานมนัสมนุษย์มนา				มิน้อมนำ
	เหตุฉะนี้สิเงาคละเคล้าชระงำ
ถลาแหละล้มลุหล่มถลำ				ทลายปลง
	เหตุฉะนี้สิหล้าประดาจะลง
ณ หลุมเลอะเลือนเลอะเลื่อนเลอะหลง			ฉะนั้นแล
(๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙)
_____________________________				
17 พฤษภาคม 2549 11:05 น.

รำลึกพฤษภาทมิฬ

ตราชู

เพื่อนๆที่รักทุกท่านครับ ณ บัดนี้ผมขอพาท่านย้อนอดีตไปเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๕ สิบสี่ปีที่ผ่านมา ขณะนั้น ชูพงค์ อายุ ๑๔ ขวบกำลังติดสาว (รักครั้งแรกครับ และก๊อกหักไปแล้วตั้งนาน) อยู่ ณ จังหวัดอุดรธานี เที่ยวสนุกระเริงจนไม่สนใจเรื่องอะไรทั้งสิ้น แม้เมื่อดูโทรทัศน์ จะได้ยินประกาศของทางรัฐบาล และรู้ข่าวการประท้วงชุมนุมใหญ่ที่กรุงเทพฯ ชูพงค์ก็ไม่รู้ร้อนรู้หนาว เอาแต่รักสาวอย่างเดียว
	จำได้เลาๆว่า กลับมากรุงเทพ วันที่ ๑๖ พฤษภา ดูเหมือนจะวันอาทิตย์เพื่อเตรียมรับเปิดเทอมซึ่งจะมาถึงในวันพรุ่ง พอตอนเช้าวันจันทร์ รู้ว่าโรงเรียนหยุด ตามประสาคนขี้เกียจก็เฮลั่นบ้านเลย แล้วก็เล่นทั้งวัน ถึงจะรู้ข่าวว่า เกิดการปะทะกันขึ้นระหว่างประชาชนกับทหาร ก็ยังสนุกสนานตามประสาเด็ก เสียดาย เสียดาย ผมน่าจะโตกว่านี้นะครับ จิตสำนึกจะได้มีขึ้นบ้าง
	สักประมาณวันที่ ๑๙ พฤษภากระมัง คุณยายท่านอพยพพวกเราไปอยู่บ้านบางกะปิ (ซึ่งก็คือบ้านถาวรในปัจจุบันของเราครับ เมื่อก่อน เราอยู่ซอยระนอง ๒ อันเป็นซอยเดียวกับบ้านพลเอกสุจินดา คราประยูร) เพราะมีนักศึกษามาออกันที่หน้าบ้านท่านสุฯ เพื่อทวงถามว่า เหตุใดจึงต้องใช้กำลังกับประชาชนด้วยทหารรักษาการเต็มไปหมด เราเลยลี้ภัยชั่วคราว 	
 ในบรรดาภาพอันพร่าเลือนหลายภาพ มีภาพหนึ่งแจ่มชัดมากในมโนคติของผม นั่นคือ เมื่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการ ตรัสเรียกพลเอกสุจินดา คราประยูร กับพลตรีจำลอง ศรีเมือง เข้าเฝ้าฯ หลังจากนั้นไม่นาน เสียงพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ก็ดังกระหึ่ม
	เมื่อเรื่องราวสงบ โรงเรียนเปิดเทอมตามปกติ ผมก็ดูจะลืมๆไปแล้วว่า ณ ถนนราชดำเนินเกิดอะไรขึ้น กระทั่งเวลาผันผ่าน ประสบการณ์ค่อยหล่อหลอม จนในที่สุด ผมค้นพบตัวตนที่แท้จริง จึงเจ็บใจตัวเองอยู่ไม่หาย ผมก็อายุเกือบจะเป็นหนุ่มแล้วในช่วงนั้น ทำไม ทำไม ต้องปล่อยให้ประวัติศาสตร์หน้าสำคัญอีกหน้าหนึ่งของประชาธิปไตยไทยผ่านไปด้วย ถ้าเพียงแต่ผมสนใจมากสักหน่อย ผมก็ถือว่าเป็นคนร่วมสมัย แน่นอน ต้องได้ข้อมูล ความรู้มากมายอย่างไม่ต้องสงสัย	มาถึงวันนี้สิบสี่ปีพอดี ผมอดรำพึงถึงเหตุการณ์วันนั้นไม่ได้จริงๆ เราไม่มีโอกาสรู้ว่าใครถูกใครผิดอย่างแจ้งชัด เราไม่รู้ว่าระเบิดมือลูกแรก หรือกระสุนตูมแรกกัมปนาทจากมือใคร แต่ที่เรารู้ก็คือ ประชาชนผู้บริสุทธิ์ (ถึงบางท่านจะว่า ถูกใช้เป็นเครื่องมือ ทว่าในเจตนาของทุกคนผู้เข้าร่วมชุมนุมคนนั้นใสสะอาด การไม่รู้ว่ากำลังตกเป็นเครื่องมือ มิใช่ความผิด) ต้องปลดเปลืองลงด้วย น่าอนาถนะครับ ต้นประชาธิปไตยของบ้านเมืองเรา ต้องใช้น้ำเลือดเป็นน้ำรด ใช้อินทรีย์ซากของมนุษย์เป็นปุ๋ย หาก ต้นไม้ดังกล่าวกลับเจริญเติบโตได้แค่บอนไซแคระเท่านั้นเอง
	อย่างไรก็ดี การชุมนุมหลายระลอกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๙ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน มีข้อน่าชมอยู่ประการหนึ่งว่า เรามิได้สูญเสียชีวิตผู้คนแม้แต่น้อย ภาวะตึงเครียดทั้งหมด คลี่คลายด้วยพระบารมีพระผ่านเกล้าเจ้าชีวิตของพวกเราแท้ๆ ผมขอยืนยันครับว่า ประชาธิปไตย กับ ประชาชน คือสิ่งเดียวกัน การต่อสู้เพื่อได้มาซึ่งสิทธิเสรีภาพ (โดยไม่รุกล้ำสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น) คือครรลองอันชอบธรรม เรา ในฐานะประชาชน แม้จะรู้ว่าเรากำลังปลูกบอนไซแคระ แต่ในเมื่อนี่คือต้นไม้ของบ้านเรา ของเราทุกคน เราก็ต้องดูแลเอาใจใส่มิใช่หรือ? 
	ร้อยกรองบทต่อไปนี้ ผมขอไถ่โทษจากท่านวีรชนทุกท่าน ในฐานที่มิได้ใส่ใจวีรกรรมของท่านเท่าที่ควร และขอย้ำเตือนพวกเรา ให้รำลึกถึงวันอันพึงจดจำนี้ร่วมกันครับ

รำลึก พฤษภาทมิฬ
สัทธราฉันท์ ๒๑
	คือตำนานชี้พิรีย์ชน					นิกรนรประจญ
ราญกะพาลรณ						   ตะลุยโรม
	คือตำนานจู่ริปูโจม					 มุปะทะพลวโถม
หาญรบาญโหม						  ฤเหือดแรง
	คือตำนานเดือดเลอะเลือดแดง			ยุคสมยแถลง
จารประวัติแจง						ประจักษ์จินตน์
	คือตำนานผู้จะสู้ภินทน์				เพราะระดะคณะทมิฬ
ดื่น ณ ผืนดิน						ทะมื่นดำ
	จงจารึกแจ้งแสดงจำ				พฤษภขณะฉนำ
ก่อพิโยคกรรม						กลีกูณฑ์
	สองห้าสามห้ามิราสูญ				พิปริตทวิคูณ
โอ้อุราดูร							ระดมแด
	ธารโลหิตหลั่งถะถั่งแล				กลอุทกกระแส
ปราณก็พลันแปร						ประลัยลง
	ปรายปราบปืนปลิดชิวิตปลง				ทุรอสุรประสงค์
ครองประภาพคง						ณ นาคร
	มือเปล่ามากมายมลายมรณ์				กิรติยศขจร
กอปรคุณากร						กระเดื่องคาม
	นานเนาเนืองนิตย์สถิตนาม				ระบุวจนนิยาม
คนมิย่นขาม						กะคนเลว
อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑
	เพลิงวาบปละปลาบแวบ
กระอุแปลบกระจายเปลว
เดินหนผิว์ดลเหว
ก็จะหาญทะยานฮือ
	ถึงแม้นปะแสนม่าห์
ปะทะมากะสองมือ
ฤทธิ์ร้ายอบายหรือ
บมิรานประหารเรา
	แล้วทรามก็ลามซ้ำ
ภยะงำชะเงื้อมเงา
เมฆทึมคละครึ้มเทา
วิถิทั่วสลัวทาง
	นายทุนสทุลแท้
ตะกระแกล่จะกลืนกลาง
มิ่งเมืองมิเปลื้องหมาง
กลิมนตะหม่นมัว
	ภัยพิษบผิดผัน
พละกลั่นสะพรึงกลัว
เปลี่ยนแต่ก็แค่ตัว
นรเต้นละเล่นตาม
	ฤาตัดมหัตตา
เลอะเทอะหล้าละเลงลาม
จึงเลือดจะเดือดหลาม
ก็ละลายสลายเลือน
	สื่อซ้ำฉนำศก
ชิวตกกระจายเตือน
ทุกข์ยังกระทั่งเยือน
ก็ยะเยียบฉะเฉียบเย็น
	กาลโหดพิโรธเหี้ยม
กุธเปี่ยมฉะนี้เป็น-
คราวขัดสหัสเข็ญ
คติคิดพินิจควร
	สำนึกผนึกแน่
กระจะแท้ผิว์ทบทวน
พึงหมั่นสมรรถ์มวล
มละถ่อยผละถอยเทอญ	

หมายเหตุ
ร้อยกรองบทนี้ ผมนำลงใน 
 

http://chu21.exteen.com
ซึ่งผมเป็นสมาชิกบลอกของเขาอยู่ก่อนแล้ว นำมาลงที่นี่อีกครั้ง เพื่อทุกท่านโปรดพิจารณาติชมครับ
ขอฝากสมาชิกคนใหม่ ไว้ในอุปการะของทุกท่านด้วยครับ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟตราชู
Lovings  ตราชู เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟตราชู
Lovings  ตราชู เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟตราชู
Lovings  ตราชู เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงตราชู