19 กันยายน 2551 10:37 น.

สองสหาย

ตราชู

สองสหาย
(แรงบันดาลใจในการเขียนเรื่องนี้ ผมได้จากเรื่องสั้น เกลอเก่า ของ ท่านอาจารย์สุวัฒน์ วรดิลก ในหนังสือ เหนือจอมพลยังมีจอมคน ครับผม)

		๑.


	เฮ้ย ไอ้บูรณ์ เป็นไงวะ สบายดีหรือ ไม่เจอกันตั้งนาน วันนี้ ลมอะไรหอบมาถึงบ้านกูนี่ คำทักทายนั้นร่าเริง กิริยาของผู้พูดเองก็กระชุ่มกระชวยกระตือรือร้น ยิ้มร่า หัวเราะลงลูกคอเอิ๊กอ๊าก กรากเข้ามาจับมือมิตรสนิทบีบกระชับแน่น

	ก็สบายๆตามประสากูนั่นแหละ ฝ่ายนั้นตอบเริงร่า ปิติตื่นเต้นปานๆกัน ลมอะไรน่ะหรือ ลมปากซิ่โว้ย อยากคุยกับมึงชิบหาย สถานการณ์บ้านเมืองแบบนี้ คุยกับใครไม่ถูกใจเหมือนมึงหรอก
	จะแดกอะไร เบีย เล่า น้ำส้ม น้ำเยี่ยว หรือน้ำอะไรก็สั่ง กูจัดการให้ เจ้าบ้านบริการเต็มที่
	มึงก็รู้ อย่างกูมันต้องแบบไหน ไม่ต้องพูดมาก
	เออ รอเดี๋ยว อีกฝ่ายลุกหายไปสักพักก็กลับมา สุรายี่ห้อดังจากต่างประเทศสองขวด รวมถึงน้ำแข็งเย็นเฉียบพร้อมสรรพ เขาวางของทั้งหมดลงบนโต๊ะ จัดแจงรินเหล้า ผสมน้ำแข็ง ส่งให้สหายก่อนรินเพื่อตนเอง

	จน เครียด กินเหล้า จน เครียด กินเหล้า ผู้มาเยือนทำท่าล้อเลียนโฆษณาซึ่งเคยได้รับความนิยมในช่วงหนึ่ง ยกแก้วกระดก ซดเมรัยไหลรี่ลงคอ
	เครียดเหี้ยอะไรวะ มึงสอนหนังสืออยู่มหาวิทยาลัย ซ้ำยังติวพิเศษให้นักศึกษา รับทรัพย์จม ผิดกับกู ลาออกจากตำแหน่งอาจารย์มาเคว้งอยู่นี่ รับเขียนคอลัมน์ให้หนังสือพิมพ์ก็รายได้ไม่แน่นอน
	ก็เครียดเรื่องการเมืองอย่างที่กูเกริ่นไว้นั่นแหละ ไอ้ห่า มันจะเอายังไงกันวะ ฝ่ายแขกเริ่มระบาย
	หมายถึงพวกไหน ในธรรมเนียบหรือนอกธรรมเนียบ
	ทุกๆพวกนั่นหละ กัดกันอยู่ได้ กูหละกลุ้ม
	กูเห็นมึงลงนามในแถลงการณ์ร่วมกับอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่มึงสอนอยู่มิใช่หรือ ว่าด้วยเรื่องประชาภิวัฒน์อะไรนั่นน่ะ
	กูเห็นด้วยในหลักการ ไม่เห็นด้วยในวิธีการ มันเร่งรัดเกินไป แต่จะเสนออะไรได้ กูไม่ใช่อาจารย์เด่นดังระดับแถวหน้านี่ เกิดซวยขึ้นมา ข้อเขียนกูไปกวนตีนฝ่ายไหนเข้า มันก็ซัดกูจมน่ะซิ่
	เออ จริง คนฟังพยักหน้า เดี๋ยวนี้มันยุคคนเหยียบคน ต่างคั่วมันสับกันเละ
	มึงล่ะ เห็นไง ประเทศเรามีทางออกไหมวะ
	ได้นายกใหม่มาแล้ว ทางฝ่ายฮึ่มๆคงต้องหาทางลงหละ กูว่า ขืนยังดื้อแพ่งหละก็ เป็นจำเลยสังคมแหงๆ จะถูกด่าทันทีว่าไม่ให้โอกาสรัฐบาลใหม่ จ้องแต่จะเจี๋ยนอย่างเดียว อีกหน่อยก็จุดกระแสไม่ติด

	มึงว่า นายกใหม่ นอมินีไหมวะ
	ตอบยากโว้ย คนท่าทางเรียบร้อย ดูลำบากกว่าคนโผงผางแยะ ให้เวลา ผลงาน เป็นเครื่องพิสูจน์ดีกว่า ถ้ากล้ายึดพาสปอร์ตแดงพี่เมียหละก็ ถือว่าสอบผ่านขั้นต้น ขั้นต่อไป ไอ้คดีคาราคาซังที่พัวพันกับพี่เมียรวมถึงพรรคพวก ก็ต้องเคลียให้ลง
	เฮ้ย หาอะไรแดกเป็นกับแกล้มดีกว่าว่ะ ซดแต่เหล้าเพียวๆแบบนี้ เซ็ง คนมาเยี่ยมเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน ซึ่งเจ้าของที่พำนักเองก็ถูกใจนัก
	เดี๋ยวกูลงมือทำพล่าเนื้อให้มึงแดก มีเนื้อสดอยู่ในตู้เย็น รับรอง สะใจโก๋

	ตอนนี้มึงยังเขียนบทความอะไรอยู่หรือเปล่าวะ การพูดคุยเริ่มขึ้นใหม่ พร้อมๆกับการเสพรสพร่าอันเผ็ดร้อน เนื้อวัวคลุกเลือด ใส่เครื่องในครบ อร่อยลิ้นนักหนา


เรื่องอำนาจสองคั่วไง ก็รู้ๆกันอยู่มิใช่หรือ ว่านี่มันเป็นการต่อสู้ระหว่างอนุรักษ์นิยมกับทุนนิยม กูก็เลยขอแสดงความเห็นนิดหน่อย ในฐานะประชาชนคนกระจ๊อกคนหนึ่ง
	ความเห็นว่าไง สนับสนุนเจ็ดสิบสามสิบหรือ คำถามสัพยอกเจือหัวเราะ
	ไอ้ตุ๊กตานั่นน่ะ เราๆก็รู้กันอยู่ว่าเป็นเพียงโยนหินถามทาง เอาเข้าจริง จะเปลี่ยนเป็น ห้าสิบต่อห้าสิบ หรืออะไรก็ได้ภายหลัง แต่ที่แน่ๆ การเมืองใหม่น่ะ จะมีทั้งแต่งตั้ง ทั้งเลือกตั้ง
	มึงสนับสนุนการเมืองใหม่หรือไง
	ตอบตรงๆ หลักการน่ะกูไม่ขัด เพราะมันเป็นอุดมคติที่ถ้าเป็นอย่างนั้นได้มันก็ดี ให้คนทุกสาขา ทุกอาชีพ มีตัวแทน ราษฎรไม่ต้องตกอยู่ใต้อิทธิพลของทุน มีอิสรเสรีในการพูด มีสภาเป็นของประชาชน และอื่นๆอีกจิปาถะ สารพัดจะดี แต่ ถ้าดูกันตามสภาพความเป็นจริง มันเป็นไปไม่ได้ หรือเป็นได้ยากมาก รากฐานของระบบสังคมเรายังอิงระบอบอุปถัมภ์ ติดอยู่กับจารีต ประเพณีเรื่องความกตัญญู กตเวที ฉะนั้น การเลือกตัวแทนของแต่ละสาขา เอาเข้าจริงก็หนีไม่พ้นระบบพวกใครพวกมัน หรือคนนี้ฉันรักฉันเลือก ไปๆมาๆก็ไม่พ้นวังวนหละวะ เส้นใครใหญ่ คนนั้นก็เติบโต การเมืองใหม่มันก็จะกลายเป็นการเมืองเก่า ถอยหลังไปไกลโน่น
	ระบอบอุปถัมภ์ ทวนคำพลางยิ้ม จ้องหน้าเพื่อน มึงนี่พูดเหมือนคนที่กำลังจะถูกดำเนินคดีข้อหาหมิ่นเลยนี่หว่า แต่ก็จริง กูเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์ เมืองไทย ยังไงๆอำมาตยาก็ยังครองอำนาจส่วนใหญ่ในมือ  ต้องรอโครงสร้างไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปก่อนนั่นแหละ การเมืองภาคประชาชนแท้ๆจึงจะมีทาง
	บูรณ์ มึงคิดเหมือนกูก็ดีแล้ว กูมีอะไรจะให้มึงอ่าน นี่ กล่าวพร้อมหยิบเอกสารปึกหนึ่งจากลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือขึ้นมาส่งให้ถึงมือ  กูเขียนเสร็จแล้ว แต่ยังไม่กล้าเอาไปส่งที่สำนักพิมพ์ไหน พายุยังไม่สงบ เดี๋ยวกูโดนกระทืบ เอามาให้มึงอ่านเพราะมึงเป็นเพื่อนรักกู มึงเก็บไว้เลยนะ ของกูยังมีไฟน์ในคอม
	เออ ขอบใจ แหม ชักอยากอ่านเสียแล้วศิ อยากรู้นักว่า... เสียงโทรศัพท์มือถือของผู้พูดดังแทรกขัดจังหวะขึ้นมากลางคัน  เขาจึงหยิบมันขึ้นมา เสียเวลากับโทรศัพท์ติดตามตัวเพียงไม่ถึงห้านาทีก็เก็บอุปกรณ์สื่อสารไร้สายนั้นเข้ากระเป๋าเสื้อ หันมาบอกมิตรสนิท
	กอปร กูต้องขอตัวก่อนหละโว้ย ที่ ม. มีประชุม ไม่รู้เรื่องอะไร กูต้องรีบไปให้ทัน ยุ่งฉิบ ทำไมต้องประชุมด้วยวะ
	มึงไปเถิด เป็นอาจารย์ก็ต้องทำใจหน่อย งานเยอะ เงินก็ดีไม่ใช่หรือ
	 สำหรับกู ไม่พอใช้ว่ะ ต้องหาอย่างอื่นทำ เขียนตำราบ้าง รับจ้างทำวิทยานิพนธ์บ้าง หรืออะไรก็ได้ ขอให้มันมีเงินเข้ามา ตอนนี้ อะไรคว้ามาหมุนเป็นเงินได้กูเอาหมดแหละ ไปก่อนนะ แล้วเจอกันวันหลัง 

	นั่นคือบทสนทนาระหว่างนายกอปรกิจ เกรียงไกรเกริกเกียรติสกุล กับนายสมบูรณ์ ปิติธำรงธนทรัพย์ ก่อนที่ทั้งสองจะจากกันไปท่ามกลางบรรยากาศอันสดใส กระจะกระจ่างด้วยแสงแดดแจ่มจ้านวันนั้น

๒.

ขบวนการจัญไร หมิ่นไม่เลิก

โดย ผู้ก่อการออนไลน์ หนังสือพิมพ์บนโลกไซเบอร์ เพื่อความรวดเร็วในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร

	ตามที่ปรากฏเป็นข่าวเกรียวกราวต่อเนื่อง ถึงขบวนการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของกลุ่มทุนสามานย์อันหมายสั่นคลอนสถาบันที่เคารพรักยิ่งของปวงชนชาวไทย และหนังสือพิมพ์ของเราได้เกาะติดความเคลื่อนไหวของคนเลวๆคณะนี้มาไม่ขาดระยะ ล่าสุด เราได้รับบทความชิ้นหนึ่ง จากผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม ส่งมาให้เรา บทความชิ้นดังกล่าว ชื่อ แค่เพียงเป็นผลผลิตซ้ำวาทกรรมชุดเก่า ผู้เขียนเป็นอดีตอาจารย์ของมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง ชื่อ นายกอปรกิจ เกรียงไกรเกริกเกียรติสกุล บทความของเขา (ซึ่งเราไม่อาจนำมาลงเผยแพร่ในที่นี้ได้) มีเนื้อหาเข้าข้าง ให้ท้าย บุคคลในขบวนการหมิ่นเจ้าอย่างเห็นได้ชัด เขากล่าวว่า โดยส่วนตัวไม่ตื่นเต้นอะไร เพราะเคยได้ยิน ได้อ่านถ้อยคำจาบจ้วงทำนองนี้มาหลายครั้ง นั่นย่อมแสดงว่า นายกอปรกิจคนนี้ มีจิตใจชั่วช้า เพราะเขาเคยชินกับพฤติกรรมต่ำทรามโดยปราศจากความรู้สึกเจ็บแค้น ที่น่าประณามไปกว่านั้นก็คือ เขากล่าวในตอนท้ายๆของบทความว่า ระบอบอุปถัมภ์ไม่มีวันตาย แม้จะ.... (ข้อความต่อไปเขียนไม่ได้) ภายหลังจากอ่านบทความจบลง ทางคณะบรรณาธิการของเรา มีความเห็นตรงกันว่า งานเขียนของนายกอปรกิจ เข้าข่ายผิดกดหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ จึงเห็นพ้องกันที่จะส่งฟ้องศาลให้ดำเนินคดี เพื่อกำราบ ปราบปรามเดรัจฉานเนรคุณให้หมดสิ้น เราเชื่อมั่นว่า พระสยามเทวาธิราช ตลอดจนพระบารมีแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงคุ้มครองป้องกันภยันตรายพสกนิกรผู้จงรักภักดีทุกคน แหละจะทรงบันดาลความหายนะ สำหรับพสกนิกรกาลีบางหมู่เหล่า ในที่สุด

---				
29 สิงหาคม 2551 16:57 น.

คนละด้าน

ตราชู

คนละด้าน

	๑.
 ธรเพื่อนรัก

	เราเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงนาย เพราะความอัดอั้นตันใจหลายอย่างเหลือเกิน มันเหมือนน้ำที่ไหลเข้ามา ไหลเข้ามา จนท้นเขื่อน หากปล่อยไว้ไม่ระบาย สักวัน เขื่อนก็จะพินาศ ฉะนั้น ถ้าจดหมายฉบับนี้รบกวนเวลาของนาย เราขอโทษด้วย ถือเสียว่า ช่วยอ่านเพื่อแบ่งเบาทุกข์ในอกเพื่อนก็แล้วกันนะ ขอบคุณมาก

	ธร เราไม่เข้าใจเลย ทำไม ทำไม นายจึงไปร่วมชุมนุมกับพวกนั้น พวกบุกธรรมเนียบรัฐบาล พวกยั่วยุทหารให้ออกมารัฐประหาร ลากประเทศถอยหลังไปสู่ระบอบเผด็จการ ภายใต้บังคับบัญชาของอำมาตย์ ของ ..... (เราคงไม่จำเป็นต้องระบุ เพราะนายเติมต่อเองได้)นายก็รู้ ว่าพวกนั้นเดินเกมอะไรอยู่ ลืมไปแล้วหรือ ว่าเราเคยร่วมต่อสู้เผด็จการมาด้วยกัน หรือว่านายลืมแล้ว โดยสิ้นเชิง

	สามสิบเอ็ดปีก่อน นายก็ระลึกได้ เช้าวันพุธวันนั้น พวกเรามือเปล่า พวกมันสัตว์นรกอาวุธครบมือ มันทำกับเราเหมือนเป็นศัตรูต่างชาติต่างเมืองผู้รุกรานก็ปานกัน  ตีห้าครึ่งกว่าๆ ลูกระเบิดเอ็มเจ็ดสิบเก้าตูมลงมากลางสนามฟุตบอล พวกเรามีทั้งเสียชีวิตและบาดเจ็บ จะพาคนเจ็บส่งโรงพยาบาลมันยังขัดขวางปิดทางเข้าออกเหมือนจงใจ ปล่อยให้ตายอย่างทรมานกระนั้นแหละแล้วมันก็กราดยิง ยิง ยิง ยิงแบบไม่นับ ไม่ปรานี ไม่มีความเป็นมนุษย์อยู่เลยในวิญญาณอำมหิต ต่อจากนั้น พอประตูธรรมศาสตร์พัง นายก็รู้ มันฆ่าพวกเราอย่างไรบ้าง เราคงไม่จำเป็นต้องเล่าซ้ำมิใช่หรือ? หลังเหตุการณ์วันนั้น พวกที่เหลือตายถูกจำคุก ตั้งข้อหาร้ายแรง ทนตรากตรำในกรงขัง ในขณะไอ้ฆาตกรลอยนวน ข้อสำคัญ เจ้าแห่งฆาตกรตัวจริงนั่งอยู่ข้างบนโน่น โน่นสูงลิบนู่น ใครบ้างล่ะจะกล้าแตะต้อง บ้านเมืองต้องตกอยู่ใต้อุ้งตีนทหารเป็นเวลานาน ครั้งพฤษภามหาโหด นายก็เข้าร่วมต่อต้านด้วย เราถูกไล่ยิงมาด้วยกัน ใช่ไหม? แล้วทำไมเล่า ทำไม สิบกว่าปีผ่านไป นายถึงวางทีวางท่าเสมือนหนุนทหาร นายเชื่อหรือว่าค่าราชการจะวิเศษวิโสปานท่านเซียน ในเมื่อพวกเขาก็คือมนุษย์ หากมีกิเลสขึ้นก็ทำเลวได้เหมือนๆกันทุกรูปทุกนามนั่นแหละ สมัยนี้ ประเทศต่างๆเกือบทั่วโลกเป็นทุนนิยมไปหมดแล้ว ถ้าข้าราชการผันตัวเองไปเป็นนายทุนบ้างจะไปมีใครห้าม ข้อสำคัญ ข้าราชการนายทุนนั้น คือมหันตภัยอันร้ายกาจ เพราะมีอำนาจบารมีบดบัง ใครล่ะจะหาญตรวจสอบ จริยธรรม ฮึ เขียนด้วยมือก็ลบด้วยตีนง่ายจะตายไป ทำไม นายไม่ปล่อยให้ประชาธิปไตยเดินไปตามครรลองเล่า 

	ที่จริง เราไม่ชอบผู้นำคนปัจจุบันเลย แต่ ถ้าจะให้เขาลง ตุลาการ ศาล ก็กุมอำนาจอยู่ในมือพร้อมสรรพ (แม้จะเป็นอำนาจซึ่งมีผู้ชักใยก็ตาม) ใช้กฎหมายค่อยๆสอยทีละคดี ทีละกระทง ในที่สุดก็สำเร็จ จัดชุมนุมพร้อมกับยื่นหลักฐานความทุจริตไปเรื่อยๆ มันอาจจะนานหน่อย หาก ก็ยังดีกว่าหักหาญรานรุกบุกบั่นหั่นเถือกันแบบนี้ พวกนั้นเดินหมากอย่างไร เมื่อคืน พลเอกคนหนึ่งออกมาประกาศ เราหูไม่ฝาดหรอก เขาว่าเขาจะใช้ยุทธวิธีทางทหารนำการเคลื่อนไหว นัยแฝงคืออะไร? เราคงไม่ต้องขยายต่อนะ ในท้ายสุด ระบอบทหาร ระบบอำมาตย์อย่างที่เราได้กล่าวแล้วในย่อหน้าต้นๆ  ก็จะกลับมาอีก นายคิดว่านั่นเหมาะสมแล้วหรืออย่างไร?

	เขียนมาแค่นี้ หวังว่านายคงจะเข้าใจ และไม่ถือโกรธเรานะ

รักเพื่อนเสมอ

ชูเกียรติ เกียรติชู

๒.

เกียรติเพื่อนรัก

	เราอ่านจดหมายของนายจบแล้ว ตั้งใจว่าจะตอบ เพื่อความกระจ่าง มิใช่กระจ่างจำเพาะตัวเราอย่างเดียว แต่กระจ่างในความเข้าใจของนายเช่นกัน ถามเราว่า ทำไม เราไปร่วมกับพวกบุกธรรมเนียบ พวกยั่วยุทหาร พวก.... สุดแต่นายจะก่นด่าว่าประณาม ขอยืนยัน ประกาศในที่นี้ว่า พวกเราร่วมกันกู้ชาติอย่างบริสุทธิ์ใจ พวกเราไม่ต้องการรัฐประหารเลย (ถ้าไม่จำเป็นถึงขีดสุด) พวกเรายังคงยืนยันหลักประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข เพียงแต่ ประชาธิปไตย ต้องเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากกว่านี้ ก็เท่านั้นเอง

	เกียรติ สามสิบปีผ่านมา นายยังเก็บความพยาบาทเอาไว้ในใจอยู่หรือ ความเจ็บแค้นช่วยให้อะไรดีขึ้นมาบ้าง อภัย อภัย อภัย นายไม่เคยคิดจะทำเลยใช่ไหม ตรองให้ลึกๆซิ่เพื่อน ตอนนั้น ประเทศเพื่อนบ้านเรากลายเป็นคอมฯ กันไปหลายแห่งแล้วนะ และนายกล้ายืนยันไหม ว่าถ้าเขาไม่ฆ่าเรา เราจะไม่ทำลายเขา

	จักโน้มฟ้าให้เทียมดิน
หวังหลอกกินอีกนั้นอย่าหมาย
ช่องว่างระหว่างชั้นอันตราย
จักทำลายให้ยับอยู่กับมือ อยู่กับมือ หรือ


	ลุกยืนขึ้นท้า
พวกฟ้าพวกดาว
รวมใจที่ปวดร้าว
ปลิดดาวลงดิน ฯลฯ ทั้งหลายเหล่านี้ พวกเราอ่านกัน ร้องเพลงกัน จุดมุ่งหมายคืออะไร? ในท่ามกลางสงคราม มีหลักปฏิบัติอยู่ว่า ผู้ลงมือก่อนย่อมได้เปรียบ ฉะนั้น พวกเขาจึงไม่ผิด แหละจะว่าไป นายแน่ใจได้แค่ไหน ว่า แกนนำใหญ่ๆของพวกเราในขณะนั้น จะมิได้เป็นฝ่ายลงมือยั่วยุฝ่ายตรงข้ามก่อน ตามหลัก ตายสิบเกิดแสน ยอมสูญเสีย เพื่อได้พลพรรคเพิ่ม หลังเหตุการณ์จบลง พวกเราหนีเข้าป่าไปร่วมกับ พคท.  ตั้งมากมาย ถ้าการฆ่าหมู่วันนั้นเป็นแผนของทาง พคท. ช่วยเร่งปกิฏิริยาของฝ่าย ซึ่งเราเรียกว่าฝ่ายขวาล่ะ นายจะว่าอย่างไร ทุกอย่างมันเป็นไปได้เพื่อน ในท่ามกลางภาวะอันแหลมคม เราแยกแยะไม่ออกหรอกว่าใครทำใครก่อน เรารู้เพียง เมื่อเขาฆ่าเรา เราก็ต้องฆ่าเขาตอบแทน ตอนนั้นเราก็คิดเหมือนนาย เหมือนพวกเราอีกหลายคน แต่พออุณหภูมิทางการเมืองลดลง เรามานั่งทบทวนดู ถึงรู้ว่าคิดผิด วิธีตอบแทนการฆ่าที่ดีที่สุดก็คือ ฆ่าความอาฆาตของใจของเราทุกฝ่ายต่างหาก

	นายบอก ประเทศเกือบทั่วโลกเป็นทุนนิยมไปหมดแล้ว เราถามหน่อย ประเทศไทยจำเป็นต้องตามก้นเขาต้อยๆหรืออย่างไร อยู่อย่างพอเพียง ใครสบาย ก็ประชาชนนั่นแหละสบาย อนาคตข้างหน้า หากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นทั่วโลก  เราก็รอด เพราะเรามีเงินคงคลังเหลือ อีกอย่าง รูปแบบสงครามมันเปลี่ยนจากศาสตราวุธมาเป็นธนาวุธแล้ว ไม่เหมือนยุคก่อน ต่างชาติเขารุกเราด้วยทุน ความพอเพียงเป็นปราการสิ่งเดียวที่จะต้านอยู่ เมื่อภาครัฐบาลไม่ฟุ้งเฟ้อ ภาคประชาชนไม่ฟุ่มเฟือย เขาก็ครอบงำทางการเงินไม่ได้ แต่นี่ รัฐบาลชุดนี้มันฉ้อฉลปล้นชาติ แดกเช้าแดกเย็นจนเงินแทบจะเกลี้ยงคลัง เราจึงนิ่งเฉยไม่ไหว นายพูดถึงข้าราชการ เราเห็นด้วยส่วนหนึ่ง จริง ข้าราชการมีละโมบ เพราะยังเป็นปุถุชน แต่ก็คงไม่ใช่โลภมาก กินเท่าไรก็ไม่พอเหมือนนักธุรกิจหรอก นายว่า ยากจะตรวจสอบข้าราชการเพราะมีเงื้อมเงาบารมีคอยบัง นายลืมรัฐธรรมนูญไปแล้วหรือมิใช่ นี่เป็นกฎหมายเหนือกฎหมายทั้งปวง กฎหมายอื่นๆที่ร่างขึ้นมาเพื่อป้องปราม ตลอดจนปราบปรามผู้ทุจริตมิจฉาก็มีหลายมาตรา ผิดว่าไปตามผิด ใครล่ะจะกล้าขัดรัฐธรรมนูญ ขัดหลักเนติธรรม (นอกจากรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งหน้าด้านแค่นจะแก้กฎหมายสูงสุดของประเทศ แหละแถถูทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายอย่างน่าละอายเหลือเกิน)

	เรื่องจะให้เขาลง ถ้าใช้วิธีตามที่นายว่า เขาก็ดิ้นแถไปเรื่อย แล้วเมื่อไรมันจะจบ หลอกประชาชนไปวันๆ นั่งเสวยสุขสำราญบานใจ ประเทศก็เปลี้ยลง เปลี้ยลง จนหมดแรง หมดลมหายใจ หรือนายอยากให้เป็นเช่นนั้น? เราไม่ยอม พวกเราไม่ยอม นี่จึงมีเหตุผลเพียงพอให้เราต้องออกมา ถามว่าทำไมเราต้องบุกธรรมเนียบ นี่ก็คือยุทธศาสตร์กุมกล่องดวงใจ อาจผิดกฎหมายในข้อบุกรุกสถานที่ราชการ ทว่า ไม่ผิดในเจตนารมณ์อันหวังดีต่อชาติแน่นอน สู้กับโจร บางขณะ เราจำต้องใช้วิธีบางอย่างของโจรมาประยุกต์จึงจะได้ผล ถามว่า ถ้าทหารออกมา บ้านเมืองจะพังไหม ทหารเดี๋ยวนี้ไม่ได้มาถือปืนยิงประชาชนปังๆๆๆเหมือนเมื่อก่อนหรอก เรารับรอง เสร็จหน้าที่แล้วเขาก็ไป ดู คมช. เป็นตัวอย่างซิ่ อย่ายึดติดความคิดเก่า รูปแบบเก่าๆอยู่เลยเพื่อน

	เราคงชี้แจงได้แค่นี้ นายจะเห็นด้วยหรือไม่ สุดแต่นายเถิด

รักเพื่อนเสมอ ตลอดไป

กำธร เกริกกรุงไทย

	ปล. สถานที่ชุมนุม อาหารอร่อยมากกกก เลือกกินได้ตามชอบใจ สาวๆสวยๆเยอะแยะ ดนตรีเล่นกันหลายวง ผู้ปราศรัยหลายคนพูดโคตรมัน ว่างๆ นายมาดูบ้างก็ได้ อุดมการณ์แตกต่างไม่เป็นไรหรอก คงไม่มีใครว่า ถ้านายไม่ด่าเขาก่อน

(๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑)

บทกวีและบทเพลงอ้างอิง

๑.	บทกวี ฟ้าสูง แผ่นดินต่ำ ของ ท่านรวี โดมพระจันทร์
๒.	เพลง ลุกขึ้นสู้ ของ วงดนตรี คาราวาน ครับผม

หมายเหตุ

	ผมเขียนเรื่องนี้จบลง ก่อนหน้าที่จะได้รับฟังข่าวตำรวจสลายผู้ชุมนุม ณ สะพานมัฆวานครับ จุดประสงค์ก็เพียงเพื่อ แสดงบรรยากาศการเมืองอันแตกแยก โดยพยายามถ่ายทอดความคิดของคนสองฝ่าย ผ่านทางจดหมายสองฉบับ ทั้งนี้ มิได้มุ่งเจตนาโจมตีฝ่ายใดทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงลองเข้าไปนั่งในหัวใจของทั้งสองฝ่ายดูเท่านั้นครับผม				
19 มิถุนายน 2551 11:25 น.

เพื่อชัยชนะของเรา

ตราชู

เพื่อชัยชนะของเรา

ประเทศไทย ปี พ.ศ. ๒๕๗๕

ฉากที่ ๑

พระอาทิตย์ยามเที่ยงแผดเปรี้ยงร้อนเร่า ปานเทวดาเจตนาส่งคบเพลิงมาผลาญเผากำลังใจของคลื่นมหาชนซึ่งคลาเคลื่อนอยู่คลาคล่ำเต็มตลอดพื้นที่อันไพศาลแห่งถนนราชดำเนินให้เหือดหาย แต่ ถ้าเทวดามีวัตถุประสงค์เช่นนั้น ก็อย่าพึงหมายว่าจะสมหวัง ฝูงชนคับคั่งหลั่งหลากด้วยกำลังเชี่ยวกรากเกินน้ำป่า ถั่งท้นล้นบ่าระลอกแล้วระลอกเล่า หนุนแน่นนองเนืองและต่อเนื่อง เสียงประกาศจากรถนำขบวนคงกึกก้องดั่งฟ้าร้องคำราม เท่าๆกันกับสำเนียงโห่สนั่นครั่นครืนของผู้รับฟังซึ่งดังดุจถล่มพิภพ

	พี่น้องผู้ร่วมอุดมการณ์ทั้งหลาย สันทัด กุลทองลิ้ม ผู้นำกลุ่มพันธกิจประชากรเพื่อประชาธิปไตยป่าวร้องกังวานไกล พ.ศ. นี้ ๒๕๗๕ หนึ่งร้อยปีประชาธิปไตยไทย แต่... พี่น้องครับ เป็นที่ประจักษ์ดีว่า เรา ยังไม่ได้ประชาธิปไตยกลับคืนอย่างเต็มรูปแบบเลย พวกมัน ผู้พูดเน้นคำ เมื่อกล่าวถึงรัฐบาลชุดปัจจุบัน พวกมัน ไอ้พวกหน้าหนา หน้าด้าน ร่วมกันแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ดีที่สุดจนหมดทุกมาตรา เพียงเพื่อให้คนคนเดียวพ้นผิด พ้นข้อกล่าวหา พวกเรายอมไม่ได้ ใช่ไหมครับ คำขานรับ ใช่ ใช่ อึงคนึงสันทัดรอจนสำเนียงอึงอลค่อยจางลงแล้วจึงกล่าวต่อ นี่คือมติของพวกเรา ฉะนั้น เคลื่อนต่อไปครับ ไม่ว่าพวกมันจะตอบโต้ด้วยวิธีใดๆก็ตาม ไม่มีทางสลายกำลังพวกเราได้เป็นอันขาด ประชาธิปไตยต้องเป็นของชาติเราในวันนี้ กรุณาเปล่งเสียงไชโยเพื่อชัยชนะของเราหน่อยครับ สิ้นวาจาของเขา ถนนทั้งสายก็เอิกเกริก ไชโย สะทึกสะเทือนเลื่อนลั่น ธงไตรรงค์สะบัดโบกพลิ้วระเริงลม ขบวนรุดคืบสืบก้าว ดวงตาทุกคู่มุ่งหมาย เปล่งประกายเจิดจ้าราวท้าตะวันให้อับอายพ่ายแพ้ แพ้ให้กับดวงใจอันแสวงเสรีภาพแหละความเป็นธรรม

ฉากที่ ๒

	วันนี้ ไอ้กระผมมีความจำเป็นที่จะต้องพูดกับทุกท่าน ความจริงก็อยากพูดมานานแล้ว อดทนมานาน จนกระทั่งเห็นว่าไม่ไหวจริงๆ เห็นทีจะต้องชี้แจงอะไรกันสักนิดหละครับ นายสมรรถ สาธรเทศ นายกรัฐมนตรี ผู้นำรัฐนาวา แถลงผ่านวิทยุกระจายเสียง แหละโทรทัศน์ได้ยินไปทั่วเมือง ท่านทั้งหลายคงทราบกันดีนะครับ กำลังนี้เนี่ย มีบุคคลกลุ่มหนึ่ง ยั่วยุให้เกิดความวุ่นวาย โดยมีเป้าหมายสั่นคลอนรัฐบาลทั้งคณะ ผมขอย้ำอีกครั้งนะครับว่า รัฐบาลชุดนี้ มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ฉะนั้น ผมยอมไม่ได้หรอกครับ พวกคุณสี่ห้าคนจะมาเคลื่อนไหวปิดถนนแบบนี้ ถือว่าสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ซึ่งผม ในฐานะนายกรัฐมนตรี ยอมไม่ได้ที่จะให้กฎหมู่มาอยู่เหนือกดหมาย ขอร้องกันก็แล้ว เตือนกันก็แล้ว พวกคุณยังดื้อดึง ผมจึงจำเป็นครับ จำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่งให้พวกคุณออกไปจากถนนให้ได้ ผมเตรียมกำลังตำรวจทหารไว้พร้อม ถ้าพูดกันดีๆไม่ฟังก็คงต้อง.....ต้อง....ผลักดันกันหละครับ ผมจะขอเตือน...จะเรียกว่าขอร้องก็ได้ ขอให้พวกคุณออกไปจากถนนหลวงเสีย เพื่อความสงบเรียบร้อยของชาติ จากความหวังดีของผมแหละคณะรัฐบาลครับ นั่น เป็นเพียงช่วงต้นๆของถ้อยคำเท่านั้น หาก ประโยคขนาดไม่สั้นไม่ยาวนี่แหละ กลับทรงพลังอำนาจเกินประมาณ เพราะมันผลักดันผู้คนมากมายให้ทยอยออกจากเหย้า ย่ำเท้าสู่จุดหมายเดียวกัน ถนนราชดำเนิน! แน่นอน ปราศจากสิ่งขัดขวาง ในเมื่อครั้งนี้ ฝ่ายรัฐยั่วยุเสียก่อน

	ฟังไอ้หน้ากะโล่มันพูดแล้วอดไม่ไหวว่ะ ส่วนใหญ่ฮึดฮัดกัดกรามบอกกันคล้ายๆเช่นนั้นเมื่อต่างไต่ถามกันไปมา จึงมิน่าแปลกใจเลย ที่จำนวนมวลชนเต็มล้นแนววิถีในอีกมิช้า แม้ว่าพยับเมฆตั้งเค้าทะมึนกลางนภากาศ ก็มิมีใครคิดถอย

	พี่น้องคงได้ยินไอ้นายกวางก้ามข่มขู่แล้วใช่ไหมครับ เป็นเสียงกึ่งตะโกนกึ่งปราศรัยของพลตรีจำรูญ เสมา หนึ่งในห้าแกนนำกลุ่มพันธกิจฯ นี่คือไผ้ใบสุดท้ายของพวกมัน ไอ้พวกอันธพาล ผู้ชุมนุมโห่ฮา ปรบมือกราว มันหมดหลักฐาน หมดเหตุผลชี้แจงกับประชาชน มันเลยคิดจะปราบปราม ไม่ต้องกลัวครับพี่น้อง ให้มันปราบ ผม สรรพนามลงน้ำหนักหนักแน่น ผม กับแกนนำจะยอมให้มันจับ ส่วนพี่น้องทางนี้ อย่ายอมแพ้ ช่วยแก้แค้นให้ด้วยนะครับ สำเนียงอึกทึกขานรับตามเคย เวลาเดียวกัน กำลังเจ้าหน้าที่ปราบจลาจลก็ตั้งแนวสกัดเห็นอยู่ตรงสะพานข้างหน้าห่างไปไม่กี่ร้อยเมตร ใกล้เข้าไป ใกล้เข้าไป ใกล้เข้าไป ขบวนผู้แสวงหาประชาธิปไตย จวนจะเผชิญหน้ากับกองกำลังจัดตั้งของทางรัฐบาลแล้ว! ประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งของเมืองไทยกำลังจะถูกจดจาร ณ ที่นั่น

ฉากที่ ๓

ประกาศ คณะผู้พิทักษ์ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ฉบับที่ ๑

ดังได้ปรากฏเป็นที่ประจักษ์โดยทั่วกันแล้วว่า สถานการณ์ความแตกแยกภายในชาติปัจจุบันนี้ นำมาซึ่งเหตุจลาจลวุ่นวาย ก่อความเสียหายให้แก่ชีวิต เลือดเนื้อ ของพี่น้องประชาชน แหละยังความบอบช้ำให้แก่ประเทศชาติเป็นอันมาก ดังนั้น เพื่อ ป้องกันมิให้เกิดหายนะพิบัติลุกลามแผ่ขยายออกไปเกินกว่าที่เป็นอยู่ ทางคณะผู้พิทักษ์ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข จึงตัดสินใจเข้าควบคุมการปกครองแผ่นดินเป็นการชั่วคราว ขอให้ประชาชนทั้งหลาย โปรดอยู่ในความสงบ ทางคณะฯ ขอให้คำมั่นว่า จะดำเนินการทุกวิถีทาง เพื่อนำสันติสุขกลับคืนมาสู่บ้านเมืองของเราโดยเร็วที่สุด
ผู้ประกาศ
พลเอกอนุพัณฑ์ เผ่าจันทรา หัวหน้าคณะ

	ปานประหนึ่งกรุงเทพมหานครกลายเป็นเมืองร้าง ณ ราตรีนั้น ถนนทุกสายแทบปราศจากรถยนต์สัญจร นานๆครั้ง จึงจะแล่นมาให้เห็นสักคันหนึ่ง ผู้คนเงียบเชียบ  ต่างคอยฟังข่าวอยู่กับบ้านด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง รถถังยังจอดตรึงกำลังจังก้า ทหารทุกนายเตรียมอาวุธประจำครบ นี่คือภาระของนักรบ ผู้พร้อมปฏิบัติกิจของตนทุกเวลา ไม่มีดอกกุหลาบโปรยปรายประดับรายล้อมพาหนะของเหล่าทแกล้ว จะมีก็แต่เศษซากปรักหักพังเกลื่อนกล่น ผลพวงภายหลังสงครามคือความประลัยวายวอด นี่คือสัจจะอันเที่ยงแท้

	สันทัด กุลทองลิ้ม เพ่งสายตาจับจ้องซี่กรงหนาทึบที่กั้นขวางอยู่อย่างปราศจากประโยชน์ แม้เขาจะรู้ดีว่า ซี่โลหะแข็งแกร่ง ไม่มีทางหักแหกแหวกถ่างออกไปได้ เขาก็ยังจ้องมองมันนิ่งเฉย เพราะไม่รู้จะทำสิ่งใด ใช่ซิ่! นักโทษการเมืองอย่างเขาจะทำอะไรได้เล่า ข้อหาก่อความวุ่นวาย มันใหญ่โตฉกาจฉกรรจ์น้อยเสียเมื่อไหร่ เขาถูกระแวดระไวแทบจะทุกอิริยาบถเท่าๆกันกับแกนนำกลุ่มพันธกิจอื่นๆ ทอดถอนใจออกมาอีกเฮือก เมื่อคิดว่า หากพลเอกอนุพัณฑ์ไม่ประกาศกฎอัยการศึก เขาต้องมีประชาชนมาให้กำลังใจแน่นทัณฑสถาน ความเงียบรอบๆกายจะปลาตไปสิ้น ด้วยเสียง สันทัดสู้สู้ สันทัดสู้สู้ พร้อมกับมือหลายคู่ชูสะพรึ่บ แต่นี่ อนิจจา!

	ภาพแห่งความหลังชนิดสดๆร้อนๆย้อนมาสู่ภวังค์อีกครา ช่างดุเดือดเลือดพล่านเสียนี่กระไร ภายหลังจากการเปิดฉากเจรจาโดยสันติอยู่เป็นเวลานานไร้ผล แก๊สน้ำตาลูกแรกจากมือตำรวจก็ตูมขึ้น ผู้ชุมนุมอลหม่านในทันใด คำผรุสวาท ไอ้เหี้ย ไอ้สัตว์ ดังระเบ็งเซ็งแซ่ อิฐ หิน ไม้ ตลอดจนวัตถุใกล้มือ โผนเผ่นเต้นผางเข้าปะทะกับกระบองแหละอาวุธของคนในเครื่องแบบสีกากีอย่างลืมตัว ลืมตาย พันตูกันนัวเนียอยู่ตรงบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์นั่นเอง เขาตะโกนคอหอยแทบแตกเป็นเสี่ยง ร้องขอให้ พี่น้องหมอบลง หมอบลงครับ อย่าทำร้ายเขา อย่าทำร้ายเขา หมอบลงครับ หาก จะมีใครฟังเล่า มิหนำ กลับยิ่งแค้นคลั่งทวีคูณ ตรงเข้าทุบทำลายป้อมตำรวจ สัญญาณไฟจราจร ป้อมยาม ฯลฯ แตกกระจายวินาศเปรี้ยงปร้าง ถึงตอนนี้ เขาไม่แน่ใจเสียแล้ว ว่ามีมือที่สาม สี่ ห้า (หรือมากกว่านั้น) เข้าแทรกแซงด้วยหรือเปล่า เพราะมันร้ายแรงเกินคาด เปลวไฟลุกพรึ่บสว่างโพลงขึ้นตรงตึกสถานที่ราชการแห่งหนึ่ง แหละนั่นคือไฟมัจจุราชเบิกฤกษ์ให้กองกำลังรถถังแล่นสะท้านสะเทือนแผ่นดินเข้าจอดเทียบ ไม่มีใครยอมร่นลงมาจากจุดมิคสัญญีนั้น ตรงกันข้าม ยิ่งเห็นรถถัง ยิ่งเพิ่งพลังโทสะสาดพลุ่ง ระเบิดมือจากใครก็ไม่รู้กัมปนาท บึ้ม แหละนั่นเอง เปรียบเสมือนส่งสัญญาณอันตรายขีดสุด เพราะต่อจากนั้นอีกเพียงไม่นาน เอ็มสิบหกก็แผดแหลมระรัว ชั้นแรกขึ้นฟ้าก่อน ต่อมาจึงกราดใส่กลุ่มคน ปังๆๆๆๆ ถี่ยิบหูดับตับไหม้ ประกายแปลบปลาบแลบพ่นออกจากกระบอกปืนทุกครั้งที่มันอุโฆษ ชีวิตแล้วชีวิตเล่าก็ร่วงพรูๆผล็อยๆราวใบไม้ต้องพายุกรรโชกนั่นเชียว สันทัดทิ้งตัวราบกับพื้นถนน สบถเอ็ดอึงในใจ ระยำหมา อยากรู้นัก นี่เป็นคำสั่งของนายสมรรถ สาธรเทศ นายกฯ ผู้ควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมใช่ไหม ทำไมถึงโหดเหี้ยมนักหนา แต่ จะไปถามใครได้ล่ะ ข้างกายเขาก็พลตรีจำรูญ เสมา ผู้ตกอยู่ในภาระรับผิดชอบเช่นเดียวกัน คือต้องพยายามยับยั้งวิกฤตชนิดสุดความสามารถ ซึ่งเขาก็รู้ดีว่ามิอาจควบคุมอะไรได้สักอย่าง เลือดกำลังนองผืนพสุธา น้ำตาก็กำลังไหลลงสรงธรณี สมองเขาหมุนติ้ว ยังมิทันสติสัมปชัญญะจะกลับคืน ก็ถูกควบคุมตัวเสียแล้ว เขาถูกรวบไปพร้อมๆกับพลตรีจำรูญนั่นเอง

	ผู้นำคนสำคัญของกลุ่มพันธกิจระบายลมหายใจอีกหน อีกครั้งแล้วสินะ สำหรับการหมุนทวนกลับมาของกงล้ออุบาทว์ รัฐประหารครั้งนี้ จะนำประเทศไปสู่ทิศทางใดหนอ ชายวัยกลางคนหลับตาลง ช่างเถอะ อย่าเพิ่งไปคิดเลย อนาคตรออยู่ข้างหน้าแล้ว ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่มันต้องเป็นเถิด เขาเพ่งมองลูกกรงห้องขังซ้ำอีกรอบ พลางรำพึง อิสรภาพเอ๋ย เรากับเจ้าแยกกันประเดี๋ยวหนึ่งก่อนนะ คงไม่นานหรอก เราจะได้คืนกลับมาอยู่เคียงกันดังเดิม

ฉากที่ ๔

	ห้องชุดภายในคฤหาสน์จันทร์แจ่มจ้าของพันตำรวจโททรัพย์สิน ทินธวัชแลดูโอ่อ่า ตกแต่งประดับประดาวิจิตร เจ้าของห้องนั่งเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ สูบบุหรี่เรื่อยๆ ไม่มีอะไรจะต้องรีบเร่งรีบร้อนสำหรับเขา แขกคนสำคัญซึ่งนัดรับประทานอาหารมื้อนี้ด้วย ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางผิดนัด ทรัพย์สินคลี่ยิ้มกว้าง เมื่อประตูห้องเปิดออก บุรุษผู้ถูกเชิญก้าวเข้ามาด้วยท่าทีสง่างาม เขาแต่งกายภูมิฐาน ย่างเท้าเดินมานั่งลงตรงเก้าอี้ตัวใกล้ๆกับของเจ้าของเหย้าอย่างสนิทสนม

	ไงวะ ไอ้ลิ้ม นั่นคือประโยคปฏิสัณฐานจากเจ้าบ้าน ขอให้อั๊วะเรียกลื้อแบบเคยๆแล้วกันนะ มันติดปากแก้ไม่หายเสียที ก็แหม เรามันสนิทชิดเชื้อกันมานานแล้วนิ่ จะให้อั๊วะเรียก คุณสันทัด กระดากปากว่ะ อีกฝ่ายหัวร่อร่าถูกอกถูกใจก่อนสนอง
	ไม่เป็นไรหรอกครับท่าน ผมน่ะดีใจเสียด้วยซ้ำที่ท่านไม่เจ้ายศเจ้าอย่าง
	ไง ติดคุก คำถามเชิงสัพยอกกลั้วหัวเราะจากทรัพย์สิน ฮะ ทั้งบ้านทั้งเมืองเขายังคิดว่าลื้อนอนซังเตอยู่เลย เจ้าตัวกลับมานั่งอยู่นี่ ติดคุกแต่ในนาม โก้ไหมวะ สันทัดหัวเราะทุ้มๆเอื่อยๆ
	ก็เป็นความกรุณาของท่านแหละครับ ผมถึงได้นอนตารางแค่คืนเดียว ไม่งั้นก็คงอ่วม
	เฮ้ย อ่วมห่าอะไร อั๊วะช่วยลื้ออยู่แล้ว ว่าแต่นี่แน่ะ เรากินกันไปคุยกันไปดีกว่า นั่นเสมือนคำอนุญาตกลายๆ สันทัดจึงเริ่มลงมือจัดการกับเนื้อแกะหนานุ่ม ย่างจนสุกเหลืองหอมกรุ่นในจานตรงหน้าพร้อมๆกับผู้เอ่ยปากเชิญเขามาร่วมโต๊ะ อาหารโอชะ บวกกับเรื่องสนทนาออกรส ทำให้บรรยากาศค่ำคืนนี้แสนวิเศษ
	ลื้อมันสุดยอดจริงๆ ตบตาคนได้ทั้งเมือง ผู้มียศพันตำรวจโทยกย่อง ใครๆก็เข้าใจว่าเราสองคนเกลียดกันแทบจะฆ่ากันตาย
	ท่านต่างหากล่ะครับ สุดยอดขุนพล อดีตแกนนำกลุ่มพันธกิจประชากรเพื่อประชาธิปไตยเยินยอกลับไปบ้าง แผนการทั้งหมด ท่านเป็นต้นคิด ผมเองเป็นที่ปรึกศา ผู้ริเริ่มย่อมสมควรแก่การคารวะมิใช่หรือครับ ถ้าท่านไม่เริ่มถอดรายการเมืองไทยปลายสัปดาห์ของผมออก ผมก็ไม่มีหนทางก่อหวอดได้หรอก จริงไหมครับ
	มันก็ช่วยๆกันแหละน่า จะแปลงประเทศทั้งประเทศให้เป็นแหล่งทุน ก็ต้องจัดฉากให้มีคนต่อต้านซิ่ มันถึงจริงจัง อั๊วะก็โหมด่าลื้อสารพัดว่าเสียผลประโยชน์ ฝ่ายนั้นผสมโรง
	อีตอนเราเล่นละครกัดกัน เอ้ย ทะเลาะกันนั่นน่ะ ผมกลัวท่านโกรธจังเลย เห็นสีหน้าท่านถมึงทึงแล้วใจหาย
	โกรธเหี้ยอะไรวะ แกล้งไปงั้นเอง แล้วเห็นไหมล่ะ เราเดินแผนระยะยาวด้วยกันทั้งคู่ ลื้อทำให้คนสงสาร เห็นใจอั๊วะมากขึ้น มากขึ้น ยิ่งไอ้ทบมันยึดอำนาจอั๊วะเมื่อสี่ปีก่อน คะแนนสงสารอั๊วะยิ่งมหาศาล เขาหมายถึงการยึดอำนาจของพลเอกสมทบ บุญวัชรินทร์ ซึ่งในตอนนั้นได้รับดอกไม้จากประชาชนส่วนหนึ่งในกรุงเทพฯ เป็นขวัญกำลังใจ
	รัฐประหารปี ๒๕๗๑ นั่นหรือครับ อีตอนนั้น พูดตรงๆ ผมห่วงท่านมากที่สุด ต้องระเห็จไปเมืองนอกตั้งปีกว่าๆ
	ตามกัดอั๊วะถึงเมืองนอก แถมตอนอั๊วะกลับมายังทำท่าขัดขวางนี่นะห่วง กล่าวพลางแกล้งแสดงทีท่างอนจนดูน่าขัน
	โถ ท่านครับ อาคันตุกะก็ใช่ย่อย ลากเสียงออดอ้อนให้ฟังน่าสงสาร ถ้าผมไม่ทำอย่างนั้น ท่านจะมีคนรักมากมายถึงปานนี้หรือครับ
	เออ จริง ทรัพย์สินพยักหน้าหงึกๆ อั๊วะขอบคุณลื้ออีกร้อยครั้งเลยว่ะ ในกรณีที่ลื้อได้รับเงินก้อนโตจากทหารชุดนั้นแล้วเอามาแบ่งปันให้อั๊วะใช้ ไอ้ตอนถูกตัดสินอายัดทรัพย์นั่นน่ะ อั๊วะไม่เห็นแคอะไรเลย ยังเหลืออีกเยอะ จะกลับมาตักตวงคืนเมื่อไหร่ก็ได้
	ว่าแต่ อีตอนท่านวางแผนดึงนายสมรรถขึ้นมาเป็นนอมินีเนี่ย เหนือเซียนจริงๆ จำได้ไหมครับ ตอนคุยโทรศัพท์ลับๆกัน ผมยังค้านท่านเลย ว่าจะเอาคนโผงผางพรรค์นั้นขึ้นนั่งตำแหน่งหัวหน้าพรรคใหม่ของท่านมิฉิบหายหรือ
	แล้วอั๊วะตอบลื้อว่าไง
	ท่านว่า ก็เพราะอั๊วะรู้ว่ามันต้องฉิบหายน่ะซี ถึงได้ตั้งมัน แล้วก็จริง ตานี่ใจเร็ว ขึ้นมาไม่เท่าไรก็รื้อรัฐธรรมนูญยกกระบิ ผมเลยก่อประท้วงง่ายดาย กระแสขึ้นไว สันทัดตอบความ
	ใครๆก็รู้ ไอ้สมรรถมันจอมแดกยังกะอะไรดี ทรัพย์สินเพิ่มเติมเสริมต่อ แถมแดกแล้วกลบไม่มิด เผลอทำตรงนั้นรั่วบ้าง ตรงโน้นรั่วบ้าง ลื้อเลยสบาย ยิ่งไอ้ฉลวย ผู้พูดระบุถึง ร้อยตำรวจเอกฉลวย ใหญ่บำเรอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก่อนหน้าพลเอกอนุพัณฑ์ทำรัฐประหาร ไอ้เหี้ยนั่นกุ๊ยเราดีๆนี่เอง มีอะไรแหกปากไปก่อน ถุย ลูกเลวยังยกลูกขึ้นมาได้ อั๊วะอยากจะอ้วก
	เถื่อนๆ ถ่อยๆอย่างนั้นแหละครับดี มันไม่ใช่หรือครับที่สั่งตำรวจให้ปราบปรามเด็ดขาด แล้วส่งนักเลงมาเผาตึก ก่อกวนทหารจนต้องยิง
	ลื้อรู้ได้ไง อั๊วะยังไม่ได้กระซิบบอกเลยนี่หว่า เจ้าของคฤหาสน์อลังการฉงน
	นั่งคิดในคุก ปะติดปะต่อเอาก็รู้ครับ พฤติกรรมแบบนี้จะมีใครทำ
	ในที่สุด ทรัพย์สินยิ้มสาสมจิต อนุพัณฑ์ นักเรียนทหารรุ่นเดียวกับอั๊วะก็ลุกขึ้นมาช่วยอั๊วะ ทุกอย่างมันลงล็อกเป๊ะ
	เขาเรียก เพื่อนตายไม่ทิ้งกันครับ สันทัดเป็นลูกคู่ที่ดีดังเก่า อีกไม่นาน หัวหน้าคณะพิทักษ์ฯ คงเสนอชื่อท่านขึ้นนั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเหตุผล เป็นผู้เดียวที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศให้การยอมรับนับถือในขณะนี้ ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าครับ
	เฮ้ย ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นหรอกว่ะ ลิ้ม ฝ่ายนั้นวางทีท่าใจเย็น ของมันแหงๆอยู่แล้ว เพียงแต่ช้าๆหน่อยแหละดี โบราณท่านว่า อะไรนะ ช้าเป็นการนานเป็นคุณใช่ไหม อั๊วะคิดว่าคงอีกระยะหนึ่งแหละ สำหรับลื้อ" กระดาษชิ้นหนึ่ง ถูกยื่นมาตรงหน้า
	อะไรครับท่าน สันทัดสนเท่ห์
	สองหมื่นสามพันล้าน คำตอบแผ่วกระซิบใกล้หู ค่าเหนื่อยของลื้อ หาทางลี้ภัยไปเมืองนอก ซื้อบ้านสักหลัง ตั้งตัวที่นั่นซะ คนนามสกุลกุลทองลิ้มนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนรับมันมาใส่กระเป๋าเสื้อ
	หลบไปสักปีสองปี คำแนะนำดังมาอีก แล้วกลับมา เชื่อเถอะ อีกไม่นาน คนก็ลืม ไอ้กลุ่มพันธกิจประชากรเพื่อประชาธิปไตยเนี่ย สลายมันไปเสียก็หมดเรื่อง คนไทยลืมง่ายจะตายไป อ้อ แล้วข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับกลุ่มอำนาจเก่า ลื้อส่งมาให้อั๊วะหมดแล้วใช่ไหม
	ครับท่าน ทาสน้ำเงินผู้ซื่อสัตย์รับคำ ตอนผมเล่นบทบาทจงรักภักดี ผมสืบล้วงจนรู้ตื้นลึกหนาบางหมดหละครับ ว่าตรงไหนคือจุดอ่อน
	มันต้องให้ได้อย่างงั้นซีวะ เพื่อนยาก อภิมหาเศรษฐีตบเข่าตัวเองฉาดใหญ่ ริจะทำลาย ต้องทำลายถึงราก ลื้อนี่มันโคตรของโคตรสายลับจริงโว้ย รอเดี๋ยวก่อนเถอะ อีกไม่นาน อั๊วะจะแจกจ่ายพื้นที่ในประเทศให้ต่างชาติเช่า รายได้เราแบ่งกัน ไหนจะเปิดบ่อนกาสิโนอีก โอ๊ย พันชาติก็เก็บกินไม่หมด มา นายเงินชูแก้ววิสกี้ขึ้น ดื่ม ดื่มเพื่ออั๊วะกับลื้อ เพื่อชัยชนะของเรา

(๑๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๑)

หมายเหตุ

	ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้น เพียงปรารถนาจะเสียดสียั่วล้อสถานการณ์บ้านเมืองเล่นๆเท่านั้นครับ หากมีเนื้อหา ข้อความใดๆกระทำความขุ่นเคืองแก่ท่านผู้หนึ่งผู้ใด โปรดได้รับการขอขมาจากใจจริงของกระผมด้วยครับผม				
9 พฤษภาคม 2551 10:45 น.

ด้วยความจงรักภักดี

ตราชู

ด้วยความจงรักภักดี

	พระบรมฉายาลักษณ์องค์นั้นผนิดแนบอยู่บนฝาผนังเบื้องหน้าของเขา ในขณะเฝ้ามองด้วยใจบูชาคารวะสูงสุด ชายหนุ่มเห็นพระปิ่นเกล้าปกสยามทรงแย้มพระสรวลพระราชทานความเมตตาเป็นนิตย์ ความปิติตื้นตันล้นพ้นเกินประมวลประมาณ ก่อให้เกิดก้อนสะอื้นวิ่งรี่ขึ้นมาจุกแน่นที่ลำคอ วันนี้ เจ้าก้อนสะอื้นนั้น ดูจะใหญ่โตกว่าวันอื่น และมันกำลังจะขับน้ำตาของเขาออกมาในอีกไม่ช้า

	ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม เป็นสำเนียงแผ่วเบาสั่นเครือด้วยความรู้สึกสะเทือนใจสาหัส เมื่อคุกเข่ากราบทูลขึ้น ข้าพระพุทธเจ้าเสียใจเหลือเกิน เสียใจที่มิอาจยับยั้งเหตุการณ์ได้ ขอใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท โปรดทรงพระราชทานอภัยโทษข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิดพระเจ้าข้า จบถ้อยคำ เขานิ่งอึ้ง ภาพความเป็นไปที่เกิดขึ้นไม่นาน ยังคงติดตา แหละแน่นอน ตราตรึงถึงวิญญาณนั่นเทียว เรื่องราวเล็กๆ ในซอยเล็กๆแห่งนี้ มันอาจถูกกล่าวขวัญถึงอย่างเกรียวกราวเอิกเกริกในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่แล้วในที่สุด ก็คงไม่มีใครนำพา คงตรงข้ามกับเขา ผู้เห็นการแสดงออกซึ่ง ความจงรักภักดี ในวันนั้น ที่พฤติกรรมทั้งหลายทั้งปวงยังติดตามหลอกหลอน ยากจะเลือนไปง่ายๆ

	วันเกิดเหตุ เป็นเวลาเย็น เขาเดินเรื่อยๆมาตามถนนในซอย มุ่งหน้ากลับบ้านตามปกติ แต่แล้ว เสียงเอะอะเอ็ดอึงซึ่งได้ยินจากข้างหน้า ทำให้อดแปลกใจไม่ได้ เกิดอะไรขึ้นหรือนี่? เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น เพียงอึดใจเดียว ก็ได้เห็น....

	ผู้ชายคนหนึ่ง ถูกชายห้าคนจับกุมคุมตัวไว้อย่างแข็งแรง ผู้สูญเสียอิสรภาพพยายามดิ้นรนสุดฤทธิ์ หาก ก็มิอาจต้านทานพลังยึดอันเหนียวแน่นเหล่านั้นได้ ชายทั้งห้าแสดงอากัปกิริยาตรงกัน คือเกรี้ยวกราดอย่างน่ากลัวยิ่ง
	ไอ้เหี้ย ไอ้สัตว์ ไอ้ชิงหมาเกิด คนอย่างมึงมันต้องจับตัดหัว หั่นเป็นท่อนๆ โยนศพให้หมาแดก ไอ้อัปรีย์ เสนียดแผ่นดิน คนหนึ่งระดมผรุสวาทเข้าใส่ ก่อนกำหมัดกระแทกเปรี้ยงเข้าปากครึ่งจมูกครึ่งของอีกฝ่าย โลหิตแดงเข้มทะลักกระฉูด ชายเคราะห์ร้ายร้องลั่น สบถด่าตอบโต้กลับบ้าง คนที่เหลือกรูเข้ากลุ้มรุม
	กล้วย บางคนพุ่งของลับออกทางปากแจกให้ มึงเลวแล้วยังไม่สำนึก มันต้องเอาให้ตาย
	ใช่ ใช่ เอาให้ตาย คนที่เหลือแซ่ซ้อง มือเท้าก็วัดเหวี่ยงไม่ยั้ง ต่อย ทุบ เหยียบ กระทืบ ฯลฯครั้งแล้วครั้งเล่า จนร่างชายผู้ประสบชะตากรรมกระดอนลอยขึ้นกลางอากาศ แล้วตกลงมาบนพื้นดินหลายต่อหลายหน กลิ้งไปกลิ้งมาไม่ผิดลูกฟุตบอล เขากระเสือกกระสนดิ้นทุรนทุราย เลือดจากบาดแผลชโลมอาบชุ่มโชก

	ดั่งต้องมนต์สาปสะกด ชายหนุ่มยืนตะลึงงันอยู่เป็นครู่ มาได้สติก็ต่อเมื่อกิจกรรมสามัคคีบาทารอบใหม่กำลังจะเริ่มอีกครา
	เดี๋ยวก่อนครับ เดี๋ยวก่อน ตะโกนละล่ำละลัก พลางพุ่งตัวแทรกกั้น นี่เกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมต้องทำร้ายกันถึงขนาดนี้ด้วย
	คุณยังไม่รู้อะไร มีคนหันขวับมากระโชกโฮกฮากตอบ ไอ้ส้นตีนเนี่ย มันบังอาจเอารูปในหลวงมาขยำแล้วโยนทิ้ง มันชั่วยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานทุกชนิด พอพวกเราไปถามว่าทำอย่างนั้นทำไม มันเสือกตอบ กูไม่รู้ กูไม่รู้ หนอย ย่ำยีหัวใจคนไทย ทำกับพ่อหลวงขนาดนี้ยังเสือกบอกกูไม่รู้ ไอ้สันขวาน
	เขาเป็นใคร มาจากไหนล่ะครับ
	โอ๊ย มันจะมาจากไหน โคตรพ่อโคตรแม่มันเป็นภูตผีปีศาจตัวไหนก็ไม่สำคัญ มันสมควรตายก็แล้วกัน ชายคนเดิมระเบิดอารมณ์ ทำท่าจะยำใหญ่ต่อ เขายกมือขึ้นโบกพยายามห้ามปราม เวลาเดียวกันนั้นเอง ชายหญิงอีกจำนวนหนึ่ง นับได้สักสิบคนก็ตามมาร่วมวง
	ในเมื่อเรายังไม่รู้ว่าเขามาจากไหน ทำไมไม่ไต่สวน สอบถามก่อนล่ะครับ ถ้าเขาจงใจหมิ่นในหลวงจริง กฎหมายก็จัดการได้ พวกคุณมาตั้งศาลเตี้ยกันแบบบ้านเมืองไม่มีขื่อแปจะถูกหรือครับ
	แล้วมึงเป็นใคร สัตว์ วาจาสำราก คือคำตอบที่เขาได้รับ พวกกูบอกแล้วไง ว่ามันสมควรลงนรก กฎหมายน่ะมีก็มี แต่ทำได้แค่เอามันเข้าคุก ไม่สมใจพวกกู พวกกูทนไม่ได้ อย่าว่าแต่พวกกูเลย ข่าวนี้แพร่ออกไป ใครก็อยากฆ่าไอ้นี่ทั้งนั้น มึงมาเซ้าซี้ถาม เป็นพวกเดียวกันกับมันใช่ไหมล่ะ ไม่ทันจะอ้าปากตอบ ชายหนุ่มก็ได้ยินใครอีกคนในกลุ่มนั้นโพล่งขึ้นดังๆ
	กูจำหน้ามึงได้แล้ว มึงเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่.....ใช่ไหม เคยเห็นหน้ามึงออกหนังสือพิมพ์ เฮ้ย พวกเรา ไอ้นี่มันเป็นพวกเดียวกับ.....จ้องโจมตีสถาบันนี่หว่า เอามันอีกตัวเป็นไง นั่น เขากลายเป็นจำเลยอีกคนแล้วหรือไร จำเลยแบบกะทันหันเสียด้วย อ้าปากตั้งใจชี้แจง แต่.... อนิจจา พายุโทสะรุนแรงเกินกว่าเขาจะยับยั้ง มิหนำ ยังถูกผู้ชายอีกสี่คนซึ่งเข้ามาสมทบใหม่ช่วยกันล็อคตัว มีดหนึ่งเล่มจากมือกำยำของใครที่เขาเคยเห็นหน้าแต่ไม่รู้จักชื่อจ่อคอหอยเตรียมเฉือนลูกกระเดือก หากเขากระดิกตัวแม้สักนิดเพื่อแสดงทีท่าปกป้องผู้บังอาจหมิ่นในหลวง เขามีหวังฝังซากอยู่ตรงนี้เที่ยงแท้ ชายหนุ่มจึงทำอะไรมิได้ นอกจาก ต้องดู

	ความสะใจ สาแก่จิต เพิ่มอีกทวีคูณตรีคูณ เมื่อผู้เข้ามาช่วยลงทัณฑ์ มีอาวุธติดมือพร้อมสรรพ ไม่จำเป็นต้องซักไซ้กันให้ยาก พวกเขาได้รับฟังเรื่องราวมาก่อนแล้ว ต่างตั้งใจมาด้วย ความจงรักภักดี ทั้งสิ้น ภาพต่อมา จึงเป็นฉากรุมสะกรำอันหฤโหดแหละหฤหรรษ์ ชายซึ่งยังไม่มีใครรู้ตื้นลึกหนาบาง หัวนอนปลายเท้า ถูกฟาด ถูกจ้วงฟันกระหน่ำนับไม่ถ้วน หน้าตาแตกยับ สรีระเหวอะหวะขาดวิ่น สลบแน่นิ่งไป นั่น ยิ่งเพิ่มความดุดันมันมือให้คนที่มาแก้แค้นแทนพ่อมากขึ้นจนห้ามไม่หยุด ท้ายที่สุด คำพิพากษาประหารก็มาถึง มันเกิดขึ้นเมื่อเด็กหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งอาสาทำหน้าที่เพชฌฆาต ท่ามกลางเสียงเรียกร้อง เอาให้ตาย เอาให้ตาย ดังขรม
	เดี๋ยวกูส่งมึงไปหายมบาลเอง ทุกคนถอยไปก่อน  จบเสียงคำรามกระหายชีวิตเยี่ยงพญามัจจุราช ชายคนนั้นก้าวขึ้นนั่งบนรถยนต์ประจำตัว ไขกุญแจรถ ติดเครื่องครางกระหึ่ม เหยียบคันเร่ง นำพาหนะคู่ชีพเคลื่อนที่ช้าๆ ช้าๆ ช้าอย่างเลือดเย็น 

	มีเสียงดัง โพล๊ะ ละม้ายลูกมะพร้าวถูกทุบเต็มที่ถนัดชัดเจน ในยามล้อรถบดขยี้ลงบนกะโหลกศีรษะทั้งใบของผู้ถูกตัดสินโทษตาย เลือดสดๆแดงข้น ระคนก้อนสมองเหลวเละทะลักเรี่ยราดเต็มถนน เสียงผู้หญิงร้องวี๊ด และผู้ชายครางฮือ รถฆาตกรคันดังกล่าวยังคงสนุกสนานต่อ มันเคลื่อนขึ้นลงทับอวัยวะทุกส่วนบนร่างนั้นหลายต่อหลายเที่ยว กระดูกหักลั่นกร็อบกร็อบราวกิ่งไม้หักก็ปานกัน แหละครั้นมันจบปฏิบัติการลง ก็ไม่มีลมหายใจของคนผู้บังอาจหลงเหลืออีกแล้วแม้แต่น้อย การมาถึงของเจ้าหน้าที่ตำรวจหลังจากนั้นอีกครู่เดียวจึงมิอาจช่วยชีวิตเขาได้เลย

	ภายหลังจากถูกปล่อยตัว ชายหนุ่มวิ่งกลับบ้านอย่างคนเสียขวัญ มือเท้าสั่น ใจเต้นระรัวสะท้าน นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนฆ่าคนต่อหน้าต่อตา อาการสะดุ้งผวา ทำให้เขานอนไม่หลับตลอดคืน ประสาททุกเส้นเขม็งเกรียวเครียด ทำไมนะ ทำไม คนไทยบางคนยังหนีไม่พ้นการตัดสินปัญหาข้อขัดแย้งด้วยกำลัง มันละม้ายวันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ เหลือเกิน เพียงแต่นั่น เกิดขึ้นกลางเมืองหลวง หากนี่ เกิดขึ้นในขอบเขตปริมณฑลอันไม่สู้สลักสำคัญนักในสายตาคนทั่วไปก่อนหน้าวันนั้น นักศึกษาถูกกล่าวหา หมิ่นสถาบัน นำไปสู่ฆาตกรรมสยองในวันรุ่งขึ้น สามสิบปีกว่ามาแล้ว เราไม่เคยนำบทเรียนมาเรียนรู้เลยหรือไร? โอ้! ไทยนี้รักสงบ ฮึ่ ช่างน่าละอายนัก เพลงชาติไทยควรปรับปรุงเนื้อเสียที จะร้องปาวปาวหลอกตัวเองต่อไปทำไม เขาคิดด้วยความปวดร้าว ขื่นขม ดูเถอะ... แม้ตัวเขาเอง ยังเกือบพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วย ใช่... เขาเป็นอาจารย์จริงๆ สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยซึ่งมีเพื่อนร่วมวิชาชีพบางคนเคยออกมาแสดงความคิดเชิงคัดค้านรัฐประหาร ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ เขาก็เคยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ออกความเห็นในทำนองนั้นเช่นกัน จึงถูกเหมารวม  จัดเข้าเป็นพวกสนับสนุนอดีตผู้นำประเทศคนนั้น มีเจตนาหมิ่นสถาบันไปเสีย ทั้งๆที่เขาก็คัดค้านลัทธิทุนนิยมสุดคั่วชนิดหัวชนฝา แต่... ใครเล่าจะเข้าใจ ในเมื่อเขาไม่มีโอกาสแถลงสักคำเดียว สังคมไทยอันแตกแยก แบ่งคนออกเป็นสองฝักสองฝ่าย จ้องทำลายกันตลอดเวลา อีกเมื่อไหร่เล่า สามัคคีจะหวนคืน?

	ความสลดหดหู่โจมจู่ทับทวีอีกอเนก เมื่อผลชันสูตรศพเละเทะของชายแปลกหน้า ประกอบทั้งการสอบสวนหาหลักฐานเพิ่มเติมปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน  ของทางตำรวจ ได้ข้อสรุปคือ เขามีชื่อ มีนามสกุลเช่นเดียวกับคนไทยทั่วไป เพียงแต่ สติสัมปชัญญะของเขาบกพร่องก็เท่านั้น เขาเป็นคนไข้ของโรงพยาบาลศรีธัญญา! หลบหนีจากที่นั่น เตร็จเตร่ไร้จุดหมาย ไร้ความทรงจำโดยสิ้นเชิงมากระทั่งถึงที่นี่ วันนั้น มีคนเห็นเขาเก็บพระบรมฉายาลักษณ์อันอาจปลิวตามแรงลมจากบ้านของใครสักคนขึ้นมาดู ก่อนกระทำในสิ่งซึ่งตัวเขาเองปราศจากสำนึก เนื่องจากไม่มีใครรู้ว่าเขาคือชายวิกลจริต เขาจึงพบอวสาน วันที่ญาติพี่น้องเขามารับศพ ชายหนุ่มก็เป็นคนหนึ่งซึ่งไปยืนดูอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ ถ้อยคำซึ่งแม่ของผู้ตายร่ำไห้เปล่งออกมา ยังกึกก้องหูไม่รู้จางหาย

ไอ้ชมเอ๋ย แม่มารับ กลับบ้านเรานะลูก เอ็งสละชีวิตเพื่อในหลวงท่าน ให้คนอื่นเห็นเป็นตัวอย่างว่าอย่าล่วงเกินท่านอีก เอ็งได้ตายเพื่อในหลวงแล้ว

	ชายหนุ่มดึงภวังค์อันกระเจิดกระเจิงกลับมาสู่ปัจจุบัน เบื้องหน้าของเขา พระบรมฉายาลักษณ์บนฝาผนังยังเปี่ยมรอยแย้มพระสรวลการุณย์ สะท้อนถอนใจพลางรำพึง โอ้พระทูลเกล้าของลูก พระทรงกอปรทศพิธราชธรรมครบถ้วน พระขันติ พระเมตตาเป็นเลิศยากหาผู้เสมอเหมือน ทรงระงับพระราชหฤทัยได้ทุกครั้งขณะทรงประสบกระแสผันผวนนานัปการ ไม่เคยเลยที่จะทรงพระพิโรธใครให้เห็น ทรงแข็งแกร่งเกินภูผา ขณะเดียวกันก็ทรงเยือกเย็นกว่าสายน้ำ แต่ไฉน ข้าทูลละอองธุลีพระบาทบางคนจึงไม่ก้าวเดินตามรอยพระองค์ กลับเห็นการฆ่าเพื่อพระราชันเป็นเรื่องปกติ หากพระทรงทราบว่า คนไทยฆ่าคนไทย ด้วยความจงรักภักดี จะทรงรู้สึกเช่นไรเล่า? นึกมาถึงตรงนี้ เจ้าก้อนสะอื้นก็ตีบตัน ขับน้ำตาให้หลั่งริน เขาฟุบหน้าลงเบื้องพระพักตร์พระบรมฉายาลักษณ์พระเจ้าอยู่หัว และเริ่มร่ำไห้อยู่ ณ ที่นั้นเอง

(เขียนจบลง ณ วันที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ และปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ ครับผม)

หมายเหตุ

	ผมตัดสินใจเขียนเรื่องนี้ขึ้น ภายหลังเกิดกรณี คุณโชติศักดิ์ อ่อนสูง ขึ้น เมื่ออ่านกระทู้บนเว็ปบอร์ดหลายแห่ง ก็พบข้อความของบางท่าน โกรธแค้นถึงขนาดเสนอให้จัดการกับชายผู้นั้นด้วยความรุนแรง ในความเห็นของผม คุณโชติศักดิ์ กระทำสิ่งแสลงใจจริง ผมเองก็รับไม่ได้ แต่การติเตียน ควรกระทำด้วยเหตุ ด้วยผล มิใช่ใช้อารมณ์เป็นหลักมิใช่หรือ? หากคนไทยรักในหลวง ไยมิประพฤติโดยเสด็จพระองค์ ผู้ทรงสุขุมลุ่มลึก ใครจะวิพากษ์วิจารณ์สิ่งใดก็ไม่เคยทรงตอบโต้ ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ทรงประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อพสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอด พระเกียรติคุณกำจายไปทั่วโลก ฉะนั้น ใครคิดลบหลู่ หรือดูหมิ่น ย่อมแพ้ภัยตนเองอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นจะต้องจัดการเขาแบบไร้อารยธรรมเช่นนั้น  นี่คือแรงบันดาลใจในการสร้างเรื่องสั้นนี้ขึ้นครับผม				
24 พฤศจิกายน 2550 13:57 น.

ดอกฝ้ายในแดนฝุ่น

ตราชู

ดอกฝ้ายในแดนฝุ่น

	ท่านผู้อ่านทุกท่านเคยได้ยินคำกล่าวในทำนองนี้ไหมครับ ว่า หากเราต้องการจะได้สิ่งใดจากใคร เราต้องหยิบยื่นสิ่งนั้นให้เขาก่อน นับเป็นประโยคอมตะเชียวหละ ผมนี่ ถือเรื่องการผูกมิตรเป็นเรื่องสำคัญ คุณว่าไหมครับ การที่เรามีเพื่อนเยอะๆเนี่ย อย่างน้อยก็ทำให้เราไม่หงอยเหงา อีกทั้ง เวลามีปัญหาก็สามารถพึ่งพาอาศัยกันได้ เพราะฉะนั้น คนอย่างผมจึงชอบมีเพื่อน ชอบสุงสิงกับคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย สร้างความรำคาญให้เขาบ้าง ได้เพื่อนใหม่ๆมาบ้าง คละๆกันไปแหละครับ ยิ่งมาช่วงหลังๆ เมื่อต้องอยู่บ้านคนเดียวด้วยแล้ว ไอ้เจ้าความเอกา (แหม สำนวนโบราณไปหน่อยไหมไม่รู้) ก็เร่งเร้า ทำให้ผมอยากมีเพื่อนแยะๆมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

	เรื่องของเรื่องก็คือ เดิมที บ้านเราอยู่กันเป็นครอบครัวเดี่ยว ประกอบด้วย คุณพ่อ คุณแม่ พี่สาว และก็ผม รวมสี่ชีวิต ครั้นต่อมา คุณพ่อคุณแม่ท่านย้ายภูมิลำเนาไปต่างจังหวัด เนื่องจากได้งานทำที่ดีกว่าอยู่ในเมือง ทั้งเป็นงานซึ่งท่านถูกใจเสียด้วย ท่านจึงไม่ลังเลที่จะทิ้งชีวิตจำเจของเมืองหลวงไปสู่ชนบทอันมีอากาศบริสุทธิ์  เราสองคนพี่น้องก็เลยช่วยดูแลบ้านให้ท่าน โอกาสเหมาะๆก็ทิ้งบ้านขึ้นไปเยี่ยมท่าน หรือไม่ ท่านก็ลงมาเยี่ยมเรา กาลต่อมา ปรากฏว่า พี่สาวผมเกิดพบรักกับชายหนุ่มนักธุรกิจ จนตกลงใจเดินเข้าประตูวิวาห์และประตูบ้านของเขาผู้สามี บ้านหลังนี้ก็เสมือนตกเป็นของผม ที่จริง คุณพ่อคุณแม่ท่านเสนอให้ขายมันเสีย แล้วขึ้นมาอยู่กับท่าน ไม่ก็เช่าคอนโดมิเนียมเป็นรังนอน แต่ผมไม่ยอม ก็แหม บ้านเราอยู่กันมาตั้งนานนี่ จู่ๆจะขายไป ผมเสียดายแย่ วิธี รักษาบ้านไว้ก็คือ ผมรับอยู่โยงเฝ้ายามให้ตลอดเวลา ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ในเมื่องานของผม ทำอยู่กับบ้านก็ได้ ผมเป็น เอ....ใช้คำว่านักแปลดีไหม คำว่านักในภาษาไทย  ถ้าหากนำไปวางไว้หน้าคำใด จะให้ความหมายไปในข้าง ผู้มีความเชี่ยวชาญในทางนั้นๆ เช่น นักร้องก็ต้องร้องเพลงเก่ง นักกีฬาก็ต้องเล่นกีฬาคล่อง นักแปล ก็ต้องแปลอะไรๆได้โดยไม่ติดขัด ไอ้ผมน่ะแปลกุกๆกักๆ พอหาเงินยาไส้ได้เป็นคราวๆ ขอเรียกตัวเองว่า คนแปลข่าวก็แล้วกันครับ มีข่าวจากต่างประเทศก็แปลเป็นภาษาไทย ส่งไปให้หนังสือพิมพ์เขาผ่านทางอีเมล สิ้นเดือนทีเขาก็โอนเงินเข้าบัญชีที ผมอยากใช้เงินก็ไปเบิก ผมซื่อสัตว์ต่อหน้าที่เสมอมา ทางนั้นเองก็ไม่เคยเบี้ยว เราเลยยังทำงานร่วมกันอยู่ด้วยดีทั้งสองฝ่าย

	ปัญหาก็เกิดตรง ผมต้องอยู่คนเดียวนี่แหละครับ ตกอยู่ในสภาพคล้ายๆเพลงของคุณนีโน่เลย อะไรนะ อ้อ นึกออกแล้ว เพลงท่อนสุดท้าย เนื้อร้องว่า
	เป็นคนขี้เหงา เข้าใจบ้างซี
มีใครบ้างเป็นห่วงเป็นใย นั่นสิ ถ้าหากคนขี้เหงาอย่างผม มีใครคอยเอาใจใส่สักคน คงจะดีไม่น้อยเลย ไม่ผิดใช่ไหมครับ ที่ผมกำลังมองหาใครคนนั้นอยู่ 

	จะพูดตรงๆ ผมเคยเห็นน้องฝ้ายแบบผาดๆหลายครั้งเหมือนกัน เพียงแต่ในช่วงที่เราอยู่กันพร้อมหน้าสี่ชีวิต ผมไม่ค่อยให้ความสนใจเธอนัก ก็ตามประสาวิถีของสังคมป่าคอนกรีตนั่นเอง คือต่างคนต่างอยู่ บ้านกูบ้านมึง ไม่ผูกพันซาบซึ้งอะไร พูดจากันพอเป็นพิธีแล้วก็จบ แต่ครั้นผมอยู่ตัวคนเดียว น้องฝ้ายกลับเพิ่มความสำคัญให้ผมต้องเพ่งพิศเนืองๆ เธอสวยน่ารักเอาการเชียว ผิวขาวละเอียด ใบหน้ารูปไข่นั้นหมดจดเกลี้ยงเกลา นัยน์ตากลมโต ริมฝีปากบางจิ้มลิ้มพริ้มเพรา มองแล้วเพลินแท้ๆ ผมเริ่มหาทางเจรจากับเธอถี่กว่าเดิม เริ่มชวนคุยด้วยประโยคยาวๆ สัมภาษณ์เชิงจีบ เอ้ย ไม่ใช่ เชิงผูกมิตร กระทั่งเราคุ้นเคยกันทีละนิดละหน่อย บ้านน้องฝ้ายเธออยู่ห่างจากบ้านผมไม่เท่าไหร่ คุณแม่ของเธอชื่อขวัญตา หรือที่ผมเรียกน้าขวัญ มีอาชีพเป็นแม่ค้าขายข้าวแกง แกงบรรจุถุงจำพวก ไข่พะโล้ ผัดพริกขิง พะแนงหมู เขียวหวานไก่ แกงส้ม ฯลฯ จัดว่าขายได้เรื่อยๆ รุ่งเช้า ลูกค้าก็มาอุดหนุน ซื้อไปใส่บาตรพระบ้าง ซื้อไปราดข้าวกินบ้าง ผมเนี่ยมาฝากท้องตอนเช้าๆไว้กับน้าขวัญแทบจะเรียกได้ว่าประจำ ซื้อแกง เพื่อจะมองน้องฝ้ายกินแกงไปพลาง นึกถึงหน้าหวานๆของเธอไปพลาง โรแมนติกน้อยไปหรือ ส่วนพ่อของฝ้าย ชื่อประสิทธิ์ ผมเรียกน้าสิทธิ์ เป็นโชเฟอร์แท็กซี่ ออกรถตระเวนแต่เช้าตรู่ กว่าจะกลับมาหาลูกเมียก็มืดค่ำ ผมเคยขึ้นรถแท็กซี่น้าสิทธิ์ในบางครั้ง เมื่อออกจากบ้านประจวบกับเวลาที่แกออกรถ หาก ก็น้อยครั้งนัก สรุปว่า ผมออกจากมักคุ้นกับน้าขวัญมากกว่า น้าขวัญคุยเก่ง ถึงบางคราวจะช่างบ่นบ้างก็เถอะ เจอผมเดินผ่านร้าน แม้ไม่ได้มาซื้ออาหาร เธอก็ทักทายผมเสมอๆ 

	และแล้ว วันหนึ่ง คุณพ่อคุณแม่ท่านก็ลงมาจากเมืองเหนือ หอบหิ้วผลไม้ประดามีมาฝากลูกชายตั้งมากมาย ผมก็เลยแบ่งส่วนหนึ่งไปฝากน้องฝ้าย โดยมอบกับน้าขวัญ ผมไปกดออดบ้านเธอด้วยมือ พอเสียง ติ๊งต่อง สิ้นกังวานไปไม่นาน น้าขวัญก็เดินออกมา
	อ้าว นึกว่าใคร คุณจุมพลน่ะเอง เชิญค่ะเชิญ หญิงวัยกลางคนปราศรัยด้วย อาการยินดีต้อนรับนั้นออกมาจากใจจริงมิได้เสแสร้ง ตอนนั้นแม่ค้าผู้มีเสน่ห์ปลายจวักกำลังง่วนทำกับข้าวสำหรับเตรียมขายวันต่อไป
	สวัสดีครับ น้าขวัญ ผมทำความเคารพ ผมมากวนหรือเปล่าครับ
	โอ๊ย กวนอะไรคะ เพื่อนบ้านกันแท้ๆ เธอตอบยิ้มแย้ม ฉันดีใจต่างหากล่ะ ที่คนบ้านใกล้เรือนเคียงมาหา
	ผมเอาผลไม้เมืองเหนือมาฝากครับ พอดีคุณพ่อคุณแม่ท่านลงมาหา ขนมาให้เป็นเข่งๆ กินคนเดียวไม่หมดหรอกครับ
	ขอบคุณมากๆค่ะ ท่าทางฝ่ายรับบอกชัดว่าดีอกดีใจเต็มประดา เชิญเข้ามาในบ้านก่อนซีคะ นั่งคุยกันก่อนแล้วค่อยกลับ ในเมื่อเจ้าของเหย้าอนุญาต ผมจะพลาดช่วงเวลางามๆก็โง่ดักดานหละ ในที่สุด ผมก็มานั่งครึ้มอกครึ้มใจอยู่ในห้องรับแขกบ้านน้าขวัญ คนนำน้ำมาบริการมิใช่ใครอื่น น้องฝ้าย น้องฝ้าย โอ้! ช่างวิเศษอะไรปานนั้น
	วันนี้ฝ้ายไม่ไปเรียนกวดวิชาเพิ่มเติมที่มหาวิทยาลัยหรือครับ ผมชวนหญิงสาวคุย ตาก็จ้องมองใบหน้าเนียนๆอย่างเคลิ้มฝัน
	หยุดดูหนังสือสอบแล้วค่ะ เสียงเธอใสปานระฆังเงิน (ฮั่นแน่ พูดยังกับผมเคยได้ยินเสียงระฆังเงินมากับหูแน่ะ) ฝ้ายใกล้จะสอบแล้ว พักนี้ดูหนังสือตั้งเยอะ เครียดจัง ประโยคสุดท้ายคล้ายอุทธรณ์
	ปล่อยใจสบายๆ อย่าหักโหมซิ่ครับ ผมขอยืมหน้าที่ครูฝ่ายแนะแนวการศึกษามาทำชั่วขณะ กะตารางเป็นช่วงๆ ว่าเช้าเราจะอ่านอะไร บ่ายจะอ่านอะไร เย็นอ่านอะไร แล้วพอตกดึก ก็อ่านอีกสักวิชา อ่านไปจนกว่าจะง่วง พอง่วงนะให้หยุดอ่านทันที เพราะตอนนั้น อ่านอะไรสมองก็ไม่รับหรอกครับ มันอยากนอนอย่างเดียว เราต้องพักผ่อนให้พอ ตื่นขึ้นมา ถ้ารู้สึกว่าหายเพลีย พอจะอ่านหนังสือไหวค่อยอ่านต่อ
	ขอบคุณค่ะพี่พลที่แนะนำ พูดไม่พูดเปล่า เธอส่งยิ้มให้ผมด้วย
	จบปริญญาตรีแล้ว ต่อโทหรือเปล่าเอ่ย ผมซักไซ้ต่อเลย
	ถ้าเป็นไปได้ จะต่อนิเทศน์ศาสตร์สาขาเดิมนั่นแหละค่ะ ฝ้ายชอบ
	อยากเป็นดาราหรือไง ผมสัพยอก แถมลูกยอให้อีกหนึ่งลูก ถ้าฝ้ายเป็นดารานะ พี่ว่า เล่นหนังเล่นละครไม่กี่เรื่องก็ ได้เป็นนางเอกแล้ว
	คุณพลล่ะก็ ชอบส่งเสริมมันเสียจัง น้าขวัญขัดจังหวะ ยัยฝ้ายน่ะ วันๆมีอะไร นอกจากคิดอยากดังกับเขา เพื่อนฝูงมันจูงไปทางไหนก็ไปตาม
	แหม แม่ละก็ ลูกสาวกระเง้ากระงอด แม่อยากเห็นหนูตกยุคหรือไงคะ สมัยนี้ต้องอินเทรนแล้วล่ะค่ะ
	เออ อินเทรน ด้วยวิธีการมารีดไถแม่เนี่ยนะ ผู้อาวุโสกว่าค่อน
	แม่เนี่ย ชอบว่าหนูอยู่เรื่อย ดูสิคะพี่พล เธอพ้อแม่แล้วหันมาฟ้องผม
	เป็นสาวเป็นนางน่ะ อย่าให้มันปรู๊ดปร๊าดนัก น้าขวัญอบรมลูกสาว ตัวเองยังหาเงินไม่ได้ จะใช้จ่ายอะไรคิดเสียมั่ง พ่อแม่เหนื่อยนะกว่าจะหาได้แต่ละบาท
	รู้แล้วค่ะ หญิงสาวคงประสงค์จะตัดความรำคาญมากกว่ารับคำจริงๆจังๆ
	ตอนนี้น่ะรู้ แต่เดี๋ยวก็มาขออีก ผู้เป็นแม่ดักคอ พักหลังๆนี่ รู้สึกเที่ยวบ่อยจังนะ เดี๋ยวขอไปกับเพื่อนคนโน้น คนนี้ เฮ่อ
	พี่พล ช่วยหนูด้วย ฝ้ายหาพวกพ้อง แม่ไม่เข้าใจหนู พี่พลช่วยอธิบายทีเถิดค่ะ เอาล่ะซี ผมในฐานะคนนอกจะไปพูดอะไรได้ บรรยากาศชักไม่สู้ดีแล้วแฮะ
	ผมว่า ต่างวัยก็ต่างมุมมองน่ะครับ คนกลาง จะทำอะไรได้ดีไปกว่าพยายามไกล่เกลี่ย เรื่องพรรค์นี้ธรรมดา สมัยผมเป็นหนุ่มรุ่นๆ ก็ขัดอกขัดใจกับพ่อแม่บ่อยไป พอโตเข้าหน่อย ถึงเข้าใจท่านมากขึ้นว่าท่านหวังดีและรักเรามาก พ่อแม่น่ะครับ ถึงอย่างไรก็ยังมองลูกว่าน่ารัก เป็นเด็กตัวน้อยๆอยู่วันยังค่ำ เอ่อ...... น้าขวัญครับ ผมมานั่งที่นี่สักพักแล้ว เห็นจะต้องขอตัวกลับไปทำธุระที่บ้านต่อหละครับ
	ฉันขอบคุณมากนะคะสำหรับของฝาก แล้ววันหลังจะทำพะแนงเนื้อไปให้
	ไม่รบกวนหรอกครับคุณน้า ผมซื้อทานดีกว่า
	ไม่เป็นไรค่ะ เพื่อนบ้านกัน ต่างฝ่ายต่างให้ อีกฝ่ายยังคงเจตนาเอื้อเฟื้อ สมัยนี้ได้เพื่อนบ้านถือว่าวิเศษนักหนา คุณพลว่างๆก็เชิญที่นี่ได้ทุกเวลานะคะ มาคุยกับฉัน กับน้องบ้างพอแก้เหงา ผมรับคำก่อนอำลากลับเรือน

	ตั้งแต่นั้นมา ผมกับครอบครัวน้าขวัญก็ใกล้ชิดกันมากขึ้น ถึงแม้ผมไม่อยากจะกินแกงฟรีๆ หาก ทุกครั้งที่น้าขวัญอุตส่าห์ลำบากลำบนทำมาให้ ผมก็มิอาจปฏิเสธลง กับข้าวเหล่านั้น ส่วนใหญ่ น้าขวัญจะส่งตัวแทน คือน้องฝ้ายคนสวย ยกมาให้ถึงที่ ผมรับของฝากแล้วชวนลูกสาวคนให้ของคุย ถ่วงเวลาให้เธออยู่นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ และพอเธอจะกลับ ผมก็มีของไปกำนัลน้าขวัญฝากเธอกลับไปบ้าง นี่แหละครับ น้ำใจไมตรี ซึ่งรินหลั่งหล่อเลี้ยงบรรเทาความเหงาของผมให้เหือดหายไปเกือบหมด

	มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมกลับจากเที่ยวห้างสรรพสินค้าคนเดียว (ยังไม่กล้าบ้าบิ่นถึงขนาดชวนน้องฝ้ายไปเป็นเพื่อนหรอกครับ) ผมซื้อของกระจุ๋มกระจิ๋มสำหรับผู้หญิงมาฝากฝ้าย พอไปให้เธอ ก็ปรากฏว่า หญิงสาวไม่อยู่บ้าน
	หมู่นี้ไม่รู้เป็นไง สอบเสร็จแล้วระเริง ออกเที่ยวแทบไม่เว้นวัน ผู้เป็นแม่มาบ่นให้ผมฟัง
	คงต้องการพักผ่อนสมองตามประสาวัยรุ่นน่ะครับ ผมแก้ต่างให้เธอกลายๆ
	พักเพิ๊กอะไรกันคะ กลับดึกๆดื่นๆ พอดุเข้าหน่อยก็หูทวนลม มีลูกสาวเนี่ยเครียดนะคะคุณ เราเลี้ยงเขาโตได้แต่ตัว ใจน่ะเลี้ยงยาก จะเกรี้ยวกราดตึงตังมากนักเดี๋ยวเตลิด
	สักพักพอเที่ยวอิ่มแล้ว เธอก็กลับมาเองแหละครับ ผมช่วยคลายความวิตกของน้าขวัญเท่าที่จะพอช่วยได้ เสียงเพื่อนบ้านวัยกลางคนถอนใจเฮือก
	หวังว่าอย่างงั้นแหละค่ะ พี่สิทธิ์เขาก็ปลอบฉันอย่างงั้นเหมือนกัน มีลูกสาวเนี่ย เราตามไม่ทันเขาก็กลุ้มนะคะ ต้องแก้กลุ้มตามประสา ไปวัดบ้าง ไปทำบุญบ้าง เอ้อ พอพูดถึงทำบุญขึ้นมาก็นึกได้ วันอาทิตย์หน้า ยังไงๆจะต้องบังคับยัยฝ้ายให้อยู่บ้าน เพราะฉันต้องไปร่วมงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ของคุณทองคำแก พี่สิทธิ์ก็ต้องออกรถ" เธอปรารภเรื่องลูกสาวแค่นั้น แล้วชวนผมคุยเรื่องจิปาถะต่ออีกสักพัก ผมก็ขอตัว ไม่ลืมซื้อขนมจีนน้ำพริกติดมือกลับมาด้วยหนึ่งถุง

	วันนั้น ผมจำได้ดีว่าวันอาทิตย์ ขณะผมกำลังนอนเอกเขนกสบายอารมณ์อยู่บนเก้าอี้โซฟา ก็ได้ยินเสียงรถกระบะแล่นมาจอดหน้าบ้าน อีกประเดี๋ยว เสียงกดออดก็ดังกระทบหู ตามติดมาคือสำเนียงใสๆของเธอ น้องฝ้าย
	พี่พล พี่พลคะ เปิดประตูหน่อยค่ะ ฝ้ายมีของมาฝาก ผมขมวดคิ้ว สงสัยเล็กๆขึ้นมาว่า เอ๊ะ ของฝากจากฝ้ายมันใหญ่โตขนาดต้องบรรทุกกระบะมาเชียวหรือนั่น แต่ด้วยความเชื่อใจในฐานะคนกันเอง ผมจึงลุกเดินไปทำหน้าที่เจ้าของถิ่นพำนัก ต้องต้อนรับแขก เท้าพาตัวมาถึงหน้าประตู สายตาเห็นชายฉกรรจ์สี่ห้าคนเดินมากับน้องฝ้าย ใจก็คิดว่า คงจะเป็นเพื่อนเธอกระมัง หลังจากฝ้ายเสร็จธุระที่บ้านผมแล้ว คงนัดเพื่อนไปไหนกันต่อแน่ๆ แต่..... ผมคิดผิดถนัด

	พอประตูเปิดออก ชายฉกรรจ์ทั้งหมดที่เห็นพลันโถมเข้าใส่ราวพยัคฆ์ร้ายกระโจนขย้ำเหยื่อ ไม่ทันเตรียมตัวตั้งรับ คนหนึ่งก็กระแทกเข่าอัดโครมเข้าตรงหน้าท้อง ผมล้มหงายผลึ่งความปวดเสียดจุกแน่นแล่นปล๊าบ มันกระทุ้งซ้ำซ้ำอีกหลายอึ้กจนอาหารภายในกระเพาะสำรอกออกมา ผมร้องไม่ออก อีกสองคนตามประชิด รัวกำปั้นเข้าใส่ไม่ยั้ง ตุ้บตั้บเหลือจะนับถ้วน ต่อจากนั้น พวกมันก็ลากผมถูลู่ถูกังเข้าไปข้างในบ้าน
	ตรงไหนวะยัยฝ้าย ห้องน้ำน่ะ ใครคนหนึ่งตะโกนถาม
	นั่นค่ะ นั่น คุณพระช่วย! นรกเป็นพยานเถิด! น้องฝ้ายเธอชี้ทิศทางให้กับคนผู้รุมทำร้ายผม
	ไอ้ยง มึงไปหาผ้ามาสักผืน ยัดปากมันไม่ให้ร้อง ไอ้ชัย มึงส่งเชือกมา เดี๋ยวพวกเรามัดมันขังห้องน้ำนั่นแหละ แล้วมาช่วยกันขน คนร่างล่ำหนา ท่วงทีจะเป็นหัวหน้าแบ่งสรรภาระกิจ เพียงมิช้า อิสรภาพของผมก็สิ้นสูญ ถูกขึงพืดนอนแผ่กับพื้นห้องน้ำชนิดหมดประตูสู้ เพราะพวกมันรุมกินโต๊ะยกใหญ่ พอมันจัดการกับผมเสร็จ ก็สนุกหละ หูผมได้ยินเสียงรื้อค้นข้าวของ เสียงผลัก ดัน ยก เคลื่อนย้าย ทว่า สำเนียงอันทำให้ผมปวดร้าวเกินพรรณนา คือน้องฝ้าย เธอแจกแจงหมดว่าอะไรอยู่ตรงไหนในบ้าน มันเพลิดเพลินกับการปล้นสะดม ซึ่งผมคะเนเอาว่า ทรัพย์สินน่าจะถูกขนไปใส่รถกระบะนั่น เวลาล่วงไปเท่าไรมิรู้ หากนานแสนนานในความรู้สึกของผม พวกมันก็กลับเข้ามา
	เฮ้ย เหลืออะไรยังไม่ได้เอาไปอีกวะ สำรวจดูให้ทั่วๆนะเว้ย ไอ้หัวหน้าสั่งกำชับ
	ก็เอาไปเกือบจะเกลี้ยงบ้านแล้วหละ เสียงตอบระคนหัวเราะคึกคะนอง
	ไอ้ห่านั่นล่ะ ทำยังไงกับมันดี ใครสักคนหารือสมาชิกในแก๊ง
	ปล่อยไว้ทำเหี้ยอะไรวะ หัวหน้าโจรคำรามเหี้ยมเกรียม ให้มันอยู่เรียกตำรวจมาหิ้วคอพวกเราหรือไง ไอ้สัตว์
	จริงด้วยพี่ สมุนอีกคนขานรับสนับสนุน เก็บมันเลย แป๊บเดียว
	ฝ้ายว่าอย่าให้รุนแรงขนาดนั้นดีกว่าพี่ ผมได้ยินลูกสาวน้าขวัญห้ามปราม ฆ่าแกงกันมันเรื่องใหญ่นะพี่นะ
	ใจอ่อนขึ้นมาแล้วหรือ ฝ้าย เธอถูกกรรโชกตวาด อย่าลืมซิ่ เธอเป็นคนแนะนำให้พวกเรามาปล้นมัน เกิดเสียดาย เกิดอาลัยอาวรณ์คนรักเก่าหรือไง
	ปละปละเปล่าพี่ หญิงสาวละล่ำละลัก
	ถ้างั้น เงียบ หัวหน้ายื่นคำขาด ฝ้ายมิได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกมาอีก พวกมันก็ปรี่ตรงมาห้องน้ำ ตลอดเวลาที่รับฟังการสนทนาเหล่านั้น ประกอบกับเห็นอิริยาบถกระเหี้ยนกระหือรือของพวกมัน ใจผมเต้นโครมๆ
	ปืนหรือมีดดีวะ หัวหน้าหยั่งความเห็น
	มีดดีกว่าพี่ เงียบดี นั่นคือข้อเสนอของบริวาร ผมตัวชาดิก มือเท้าเย็นเฉียบ หาก เหงื่อเจ้ากรรมซิ่ทะลักพรูพรู สั่นเทาไปทั้งกายเพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เองว่า ความกลัวตายถึงขีดสุดเป็นอย่างไร ยิ่งเห็นพวกมันย่างสามขุมใกล้เข้ามา ใจผมก็แทบจะขาดอยู่แล้วโดยมันไม่ต้องแทง ร่างยมทูตในคราบมนุษย์ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาเป็นลำดับ กระทั่งประชิดถึง ผมแหกปากสุดเสียง แต่มันก็ดังได้แค่อู้อี้ เพราะผ้ายัดปากก้อนโตยังไม่ถูกดึงออก นัยน์ตาผมเบิกโพลงด้วยความตระหนก เมื่อเห็นคมมีดขาววับสะท้อนปลาบ มันถูกเงื้อขึ้น ก่อนที่จะ...... ซวบบบบบบ
ผมร้องโอ๊ยตะเบ็งลั่น ประจักษ์ดีในพลังของวัตถุอันจ้วงกระซวกผ่านผิวเนื้อ ชำแรกเข้ากระดูก คว้านทะลุทะลวงลึกลงไปภายใน ปานว่าจะแล่แล่งอวัยวะทุกส่วนให้ผ่าแยกเป็นเสี้ยวๆ แหละนั่นก็คือสติสมประดีห้วงสุดท้าย ต่อมา โลกทั้งใบดับวูบ ผมไม่มีโอกาสรู้ได้เลยว่า อะไรเกิดขึ้นกับตน ทุกอย่างเปลี่ยนผันกลายเป็นมหาอนธการมืดดำ ดำราวห้วงเหวลึกสุดของมหาอเวจี แหละผมก็กำลังถูกดูดลิ่วๆดิ่งดิ่วลึกลงไปสู่เหวนั้น เพื่อรับทัณฑ์ทรมานชั่วนิรันดร

	รู้สึกตนว่ายังไม่ตาย เปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง ก็พบว่า ตัวเองนอนพักรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในโรงพยาบาล คุณพ่อ คุณแม่ พี่สาว ตลอดถึงญาติกาท่านอื่นๆผลัดกันมาดูแลมิได้ขาด ภายหลังจากศัลยแพทย์ผ่าตัดเอามีดปลายแหลมที่คนร้ายมอบเป็นของขวัญ โดยซุกทิ้งไว้กับชายโครงของผมออกมาโดยปลอดภัย  อาการผมก็ดีขึ้นตามลำดับ โชคดี คมอาวุธมิถูกอวัยวะสำคัญ มิฉะนั้น ผมคงก้าวเข้าสู่พิภพมัจจุราช (ใครถึงฆาตดับชีวี สุวรรณตรวจดูบัญชี ใครทำดีให้ไปสวรรค์) ไปแล้วแหงๆ ระยะเวลาเกือบเดือนที่พักฟื้น ขนมนมเนยเพียบ ผลไม้เยอะแยะ โอ๊ย อาหารการกินสมบูรณ์กว่าตอนผมอยู่บ้านคนเดียวเสียอีกครับ นางพยาบาลก็สาวๆ สวยทั้งนั้น ชุดขาวบริสุทธิ์สดใส งามเหมือนนางฟ้าฟ่องเมฆมาเสกเวทย์กายสิทธิ์ชุบชีวิตผมก็ปานกัน

	อ่านมาถึงตรงนี้ ท่านอาจนึกหมั่นไส้ผม ในข้อที่ เพิ่งรอดตายมาใหม่ๆไม่เท่าไรก็ตลกคึกคัก ทำราวกับปราศจากทุกข์ร้อนโดยสิ้นเชิง ผมขอเรียนตรงๆครับ ว่าเรื่องใหญ่ๆอันถือเป็นสารัตถสำคัญนั้นมีแน่ๆ แต่ แหม คนอย่างผม มักจะชอบเล่าสิ่งสนุกสนานมากกว่าเรื่องซีเรียส ก็เลยนำความสุขในโรงพยาบาลมาถ่ายทอดสู่ท่านก่อน ส่วนต่อไปจะสรุปความเกี่ยวกับคดีแล้วหละครับ

	ถ้าเผอิญพี่สาวไม่ได้มาทำธุระ และถือโอกาสแวะเยี่ยมน้องชายในตอนบ่ายของวันนั้น ผมคงไม่ได้เป็นผม มานั่งเขียนเรื่องราวเล่าให้ท่านฟังหรอกครับ พี่เล่าว่า มาถึงบ้าน เห็นสภาพความเสียหายก็เข่าอ่อน ซ้ำเห็นผมนอนสลบ หายใจรวยๆอยู่บนพื้นห้องน้ำ เลือดหลั่งท่วม เธอก็แทบล้มผาง สูดลมหายใจ คุมสติพักใหญ่ จึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากน้าถนอมผู้เป็นเพื่อนบ้านกับเราอีกคนหนึ่ง  น้าถนอมแกรีบพาผมส่งโรงพยาบาลทันที พอน้องชายถึงมือหมอ พี่ก็รีบลุกลี้ลุกลนโทรศัพท์ตามคุณพ่อคุณแม่ลงมาจากเมืองเหนือ ทีนี้ข่าวก็สะพัดไปในหมู่ญาติหละครับ แพร่ไปถึงสื่อมวลชนด้วย ผมเลยได้ออกข่าวอาชญากรรมกับเขามั่ง ถึงมิใช่คดีดัง หรือคดีเด็ดก็เถอะน่า พูดถึงคดี ก็ได้ช่องแถลงถึงเรื่องผลการสืบสวนของตำรวจหละครับ เอาแบบสรุปๆแล้วกันครับ เบื้องต้น ท่านผู้พิทักษ์สันติราษฎร์มาตรวจบ้านเรา สืบเบาะแสจากบ้านใกล้เคียง ว่ามีใครเห็นอะไร อย่างไร เมื่อไหร่บ้าง แล้วก็คืบเข้าหาเป้าหมายทีละนิดๆ เมื่อผมฟื้นตัวพอให้ปากคำได้   ก็ถูกซักถามถี่ยิบ ผมบอกไปหมดหละครับว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตำรวจไทยเราก็เก่งเหลือเกิน ใช้เวลาไม่นาน รวบโจราได้สามตัว เอ้ย คน เหลืออีกสอง มันหนีไปกบดานยังควานไม่พบ ที่ทำให้ผมสลดล้ำลึกก็คือ น้องฝ้าย น้องฝ้ายถูกรวบตัวในครั้งนี้ด้วย ข้อหาผู้ให้ความร่วมมือกับโจร แหละจากการถูกจับนั่นเอง เรื่องราวทั้งหมดของเด็กสาวก็ถูกเปิดเผยให้เรารับรู้

	ฝ้ายก็เช่นเดียวกับเด็กสาววัยรุ่นทั่วๆไปในยุคโลกไร้พรหมแดน กระแสเชี่ยวกรากของวัฒนธรรมเทศ ผนวกกับลัทธิทุนนิยม วัตถุนิยม ซึ่งไหลบ่าท่วมทุกหัวระแหง ผู้คนตัดสินคุณค่ากันตรงสิ่งของ เงินทอง แน่นอน เธอย่อมหลีกไม่พ้นจากการถูกดูดกลืน เธอใฝ่ฝันถึงอนาคตสดใส อันมีนิยามเกี่ยวข้องกับความร่ำรวย ชื่อเสียง เกียรติยศ ฯลฯดังนั้น เมื่อไอ้ชัย หรือชื่อจริงคือ วุฒิชัย อำพรางนิสัยชั่วไว้ภายใต้เปลือกของหนุ่มเจ้าสำอาง หน้าตาดูดี (ในสายตาเธอ) รสนิยมหรู ใช้สินค้าราคาแพง พูดจาหวานหู เข้ามาติดพัน ฝ้ายก็เคลิ้มหลง มารู้ตัวก็ต่อเมื่อ พรหมจารีถูกมันพร่า ใช่แต่เท่านั้น ไอ้ชัยยังชักชวนก๊วนเวนตะไลอีกสี่คน ร่วมเสพสมกับเธอในคืนเดียวแบบรุมโซม ยังมิหนำใจ มันยังสอนให้เด็กสาวลิ้มรสยาเสพติดด้วยวิธีการฉีดเข้าเส้นเลือด ชัยขู่บังคับสาวน้อย มิให้นำเรื่องราวไปฟ้องร้อง มิฉะนั้น มันจะนำภาพการร่วมรักออกเผยแพร่บนเว็ปไซต์ อนิจจา! ฝ้ายผู้อ่อนเยาว์ต่อโลก ต่อชีวิต ถูกมันกับพรรคพวกใช้ความกลัวของเธอเป็นเครื่องต่อรอง เรียกร้องรสสวาทครั้งแล้วครั้งเล่า แถมยัดเยียดยานรกให้เธอเพิ่มเติม โอ้! ฝ้ายผู้น่าเวทนา

	เมื่ออาการกระหายต่อสิ่งเสพติดทวีขึ้นถึงขนาด และเงินขาดมือ พวกมันก็บังคับให้หญิงสาวเป็นผู้นำทางไปปล้นใครสักคนที่เธอรู้จัก ถ้าเธอไม่พาไป โทษซึ่งจะได้รับคือรุมโซมจนกว่าจะตาย! เรื่องก็ปะติดปะต่อครบบรรจบกันพอดีกับเหตุการณ์อันเกี่ยวกับผม หลังจากสะดมเสร็จ มันห้าตัว เอ้ย คน แยกย้ายกันหลบหนี ฝ้ายไปกับชัย หาก ไปไม่พ้น ถูกจับจนได้ น้าขวัญรู้เรื่องลูกสาวถึงกับล้มป่วยเข้าโรงพยาบาล หมอตรวจพบอาการเต้นผิดปกติของระบบหัวใจ สาเหตุก็เนื่องจากเพราะตรมตรอมเกินกล่าว น้าสิทธิ์เงียบขรึมซึมลงจนผมอดสงสารไม่ได้ บาดแผลของผู้ปกครองลูก เมื่อแก้วตาของตนกลายเป็นดวงแก้วราน หัวอกพ่อแม่ก็ยิ่งร้าวระแหง อนาคตของฝ้ายคงหนีทัณฑสถานหญิงไปไม่พ้น แหละแน่นอน ยามใดที่เธอย่างเท้าเข้าสู่เรือนจำ ทั้งพ่อทั้งแม่ก็เปรียบเสมือนถูกขังจองจำไว้กับเรือนด้วยความเทวษอาดูรณ์มากกว่าเธอหลายร้อยหลายพันเท่านัก ฝ้ายจะรู้หรือเปล่าหนอ?

	กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยก็นานพอสมควร ตกลง คุณพ่อคุณแม่ท่านสั่งเด็ดขาดให้ผมขายบ้าน แล้วขึ้นไปอยู่กับท่านที่จังหวัดพะเยา ทุกวันนี้ ผมอยู่เมืองเหนือ การงานก็ไปได้เรื่อยๆตามประสาคนแปลข่าวต๊อกต๋อยคนหนึ่ง ภายภาคหน้า หากมีลู่ทาง คงได้อาชีพเสริม นานๆสักครั้ง ผมจะลงมาเที่ยวกรุงเทพ นั่งรถผ่านไปดูบ้านเก่าซึ่งแปรเจ้าของไปแล้ว แวะไปกินข้าวแกงน้าขวัญ ผู้มีฝีมือคงเส้นคงวาไม่เคยเปลี่ยน หากจะมีเปลี่ยนก็คือ น้าขวัญซูบเซียวกว่าเก่ามาก ความรันทดปรากฏในแววตาสามารถแลเห็นได้ และครั้งหนึ่ง ผมแทบกลืนข้าวไม่ลง เมื่อแม่ค้าวัยกลางคนบอกว่า
	ฉันทำห่อหมกปลาช่อนค่ะคุณ  เย็นนี้จะเอาไปเผื่อยัยฝ้ายเขา เธอหยุดนิดหนึ่ง ก่อนหลุดคำ ที่คุก ออกมาอย่างยากเข็ญ คำนั้นสะดุดๆ เพราะเจ้าตัวพยายามข่มสะอื้น ผมเองก็สะอึกนิ่ง ความเศร้าอ้อยอิ่งแผ่ออกครอบคลุม ถามว่าผมโกรธฝ้ายไหม ผมตอบตรงๆครับว่า แสลงใจบ้าง หาก ก็เข้าใจดี ฝ้ายเป็นเพียงหนึ่งในเด็กสาวจำนวนมหาศาล ผู้ตกอยู่ท่ามกลียุค สังคมกำลังฆ่าพวกเธอ กำลังปล้นพวกเธอทุกขณะ ใช่แต่เท่านั้น ใครก็ตามที่อ่อนแอ อ่อนโอน ก็ยากนักจะรอดหายนะ สมัยแห่งภัยอุบาทว์อันเกิดจากโรคคลั่งวัตถุ หลงมายา ฝังรากลึกมาเนิ่นนานจนเรื้อรัง คงต้องการเวลาอีกยาวใกลในการบำบัดเยียวยา ผมถอนใจยาว เยือกๆในความรู้สึก มีดอกฝ้ายอีกสักกี่ดอกกันเล่าที่ถูกกระชากลงมาคลุกพื้นในแดนฝุ่น มีดอกไม้อีกกี่ดอกก็มิรู้ กำลังถูกทึ้งถอนทำลาย มีฆาตกรรมเลือดเย็นอีกมากมายซุกซ่อนอยู่ในความศิวิไลซ์ แหละฆาตกรมันก็ไล่หลัง การพัฒนา  กับ ความเจริญ มาติดๆ ถึงเวลาหรือยังที่ทุกฝ่ายจะร่วมกันแก้ปัญหา แทนการกล่าวโทษซึ่งกันและกัน สำหรับผมรู้ว่ามันถึงเวลาแล้ว แต่ คนสำคัญๆของบ้านเมืองเรา เขารู้หรือเปล่า ผมไม่ทราบจริงๆครับ

(เขียนจบลงเมื่อ วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐)				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟตราชู
Lovings  ตราชู เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟตราชู
Lovings  ตราชู เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟตราชู
Lovings  ตราชู เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงตราชู