23 กรกฎาคม 2551 07:55 น.

วนเวียน

หมอกจาง

ตอนเช้า กาแฟหนึ่งแก้วเมื่อตื่นนอน ใส่น้ำตาลสองก้อน คอฟฟี่เมทสองช้อน

เปิดทีวีดูรายการข่าว พิธีกรเล่าเรื่องราคาน้ำมันที่กำลังขึ้นแตะเพดานสี่สิบบาทต่อลิตร

ลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ เสียงพิธีกรยังคงเจื้อยแจ้ว กาแฟยังคงค้างอยู่ครึ่งค่อนแก้ว


เดินลงมาชั้นล่าง เดินดูแปลงดอกไม้ ดอกกุหลาบเริ่มโรยลงบ้างแล้ว นึกอยากปลูกดอกใหม่แต่ไม่มีที่ว่างเหลือ

นั่งทำงานที่ยังค้างคา จากสาย ไปเป็นเที่ยง ไปเป็นบ่าย

ออกไปหาข้าวกลางวันกิน กลับบ้าน หยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้ครึ่งเล่มขึ้นมาอ่าน


ใกล้ค่ำ งานยังคงไม่คืบหน้าไปไหน เดินลงไปดูแปลงดอกไม้ ออกจากบ้านไปคุยกับเพื่อน

ฟ้ามืด นั่งคิดอะไรเรื่องเปื่อย เสียงข่าวภาคค่ำพูดถึงเรื่องนายกฯไปเยือนจีน

นั่งมองโทรศัพท์ หยิบขึ้นมากดเบอร์..

วางโทรศัพท์ ถอนใจ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะโทร

................................................................

ตื่นเช้า พร้อมด้วยกาแฟหนึ่งแก้ว ใส่น้ำตาลสองก้อน คอฟฟี่เมทสองช้อน นึกถึงบางคนที่เคยบอกว่าชอบดื่มกาแฟที่ใส่น้ำน้อยๆ

เปิดทีวีดูรายการข่าว ราคาน้ำมันยังคงขึ้นไปใกล้แตะสี่สิบบาท

ปล่อยทีวีให้เปิดค้าง ปล่อยกาแฟให้หลงเหลืออยู่ในแก้ว เดินลงไปดูดอกไม้ที่สวนข้างล่าง

ดอกกุหลาบดูสลดลงนิดหน่อย มองหาที่ว่าง อยากปลูกดอกใหม่ที่มันสดชื่น แต่ก็มองไม่เห็นที่ว่างตรงไหน


ขึ้นมานั่งทำงานจนบ่าย งานไม่คืบหน้าจากเดิม

ออกไปหาข้าวกลางวันกิน กลับมาหยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้เมื่อวานมาอ่านต่อ


รู้ตัวอีกทีตอนเย็นมากแล้ว ปิดหนังสือค้างไว้ที่ครึ่งเล่ม ลงมากวาดลานบ้านข้างล่าง ใบไม้ร่วงจนดูรก

มองใบว่านบางใบที่เหี่ยวเฉาตรงขอบใบ ใครบางคนเคยบรรจงใช้กรรไกรอันเล็กขลิบตรงสีน้ำตาลนั้นออก


ค่ำ ข่าวยังคงรายงานเรื่องนายกฯไปเยือนประเทศจีน

ออกมายืนนอกระเบียง ดาวบนฟ้าทอประกายระยิบระยับ

หยิบโทรศัพท์มาพลิกๆดูแล้ววาง

...................................................................

...

...

...

...

...

...
...

...



...

......................................................................

กาแฟหนึ่งแก้ว น้ำตาลสองก้อน คอฟฟี่เมทสองช้อน

ข่าวภาคเช้ายังคงเป็นราคาน้ำมันที่แตะหลักสี่สิบบาท

วางแก้วกาแฟทิ้งไว้หน้าจอทีวี ควันสีขาวลอยกรุ่นทักทายพิธีกรที่อ่านข่าวเจื้อยแจ้ว

ไม่ชอบชุดพิธีกรหญิงวันนี้เลย มันทำให้นึกถึงใครบางคน


มองหาไปรอบๆ ยังคงไม่มีที่ว่างที่จะปลูกกุหลาบอีกสักดอก

นั่งทำงานนานกว่าทุกวัน แต่เมื่อลุกออกไปกินข้าวกลางวัน งานก็ยังคงอยู่ที่เดิม


หยิบหนังสือมาอ่าน พลิกดูหาว่าอ่านไปถึงหน้าไหน ที่คั่นหนังสือคั่นไว้ตรงครึ่งเล่ม


ลมเย็นๆพัดผ่านมาเยือกหนึ่ง ฝนคงตกไกลๆ เจ็บแปลบในอกอย่างประหลาด

วางหนังสือและลุกขึ้นเดิน ทุรนทุรายในความรู้สึก


หยิบโทรศัพท์มือถือมากดเบอร์จนครบ กดออก แต่แล้วก็วางสาย

...............................................................

..

....

..

....

..

....

..

....

.........................................................................

ตื่นตอนเช้า พยายามกินกาแฟให้หมด แต่ก็ไม่หมด

นั่งดูข่าวเรื่องราคาน้ำมัน แต่ก็เหมือนกับทุกๆวัน ซึ่งราคากำลังจะแตะหลักสี่สิบบาท สุดท้ายก็ลุกขึ้นเดินลงไปข้างล่างขณะที่พิธีกรยังคงอ่านข่าวไม่จบ

นั่งมองดอกกุหลาบนานกว่าปกติ มันโรยแล้ว กลีบเป็นสีน้ำตาลไหม้ แต่ยังหรอก มันยังไม่โรยสักหน่อย กลีบด้านในมันน่าจะยังสดอยู่บ้างแหละ

เปิดงานขึ้นมาทำ หมดเปลืองเวลาไปค่อนวัน เพื่อจะได้งานเท่าตรงจุดเริ่มต้น


มองนาฬิกาเพื่อดูเวลาข้าวกลางวัน แต่ก็นึกแปลกใจ ทำไมเข็มนาฬิกาต้องเดินเป็นวง ทำไมไม่เดินหน้าไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ นะ

นึกถึงนาฬิกาอยู่ดีๆ ก็ไพล่ไปนึกถึงตุ้มหูของใครบางคน ที่เพียรเสยผมอวดด้วยกลัวว่าจะมองไม่เห็นตุ้มหูคู่สวยอันนั้น

หยิบหนังสือมาเปิดอ่านตรงหน้าเดิม หน้าเดียวกับทุกๆวัน




บางทีกุหลาบต้นนั้นมันอาจเหี่ยวเฉาไปนานแล้วก็เป็นได้

ถ้าไม่ถอนออก ก็คงไม่มีที่ว่างจะปลูกดอกใหม่

หนังสือเมื่อจบหน้า ถ้าไม่พลิกหน้าต่อไป เรื่องราวก็คงไม่อาจดำเนินไปไหนได้



ข่าวนายกฯไปเยือนจีนดังออกมาจากทีวีช่วงข่าวภาคค่ำเป็นรอบที่ร้อย



บางที คืนนี้อาจจะกลั้นใจกดโทรศัพท์ให้ครบหมายเลขและโทรออกเสียที..






				
13 กรกฎาคม 2551 23:51 น.

แล้ววันหนึ่งฉันจะนอนตายอยู่ใต้ต้นไม้ความทรงจำ

หมอกจาง

แล้ววันหนึ่งฉันจะนอนตายอยู่ใต้ต้นไม้ความทรงจำ
ศพของฉันอาจเน่าเฟะ เต็มไปด้วยหนอนและน้ำหนอง
ดอกไม้สีขาวทิ้งกลีบคลุมศพฉันบางบาง
แต่ถึงกระนั้น เธอก็ยังคงเห็นรอยยิ้มที่ฉาบอยู่บนใบหน้า

สักวันหนึ่งฉันจะละทิ้งร่างนี้
ทิ้งความทุกข์และความปวดร้าวประดามีที่ทนแบกรับ
ก้าวไปข้างหน้า ถึงแม้ว่าไม่มีชีวิต
ฉันเลือกที่จะตายเพื่ออยู่รอด และรักษาดวงวิญญาณเอาไว้
ด้วยว่าหากฉันยังมีชีวิตอยู่ จิตวิญญาณฉันคงพังทลายลงในสักวัน

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้สีขาว
สวยงามและหอมหวน
ทุกทุกกลีบดอกไม้ ล้วนแต่มีเรื่องราวเขียนอยู่
แต่ทว่ามีเพียงฉันที่มองเห็น มีเพียงฉันที่เข้าใจ
และก็มีเพียงฉัน ที่ยังทนปวดร้าว

วันหนึ่งเธอจะพบว่า ฉันนอนตายอยู่ใต้ต้นไม้ความทรงจำ
ภายใต้สายลมสดชื่นและกลิ่นหอมของดอกไม้สีขาว
ฉันทิ้งความปวดร้าวไว้ที่ตรงนั้น ปล่อยให้มันผุพังและเปื่อยสลาย
เพื่อที่จะนำพาไปเพียงแต่ดวงวิญญาณ ..ที่หลงลืมทุกสิ่งอย่าง				
16 มิถุนายน 2551 22:39 น.

นิทานกิ้งก่า

หมอกจาง

กาลครั้งหนึ่ง มีเจ้ากิ้งก่าตัวหนึ่ง วิ่งลัดเลาะไปตามสุมทุมพุ่มไม้
และมันก็รู้สึกว่า โลกใบนี้สวยงามและกว้างใหญ่นัก

มันวิ่ง วิ่ง และ วิ่ง 
อย่างร่าเริง อย่างอยากรู้อยากเห็นและอย่างตื่นตาตื่นใจ

เมื่อมันวิ่งผ่านดอกไม้ มันหยุดชมสีสันและดมกลิ่ม
เมื่อวิ่งผ่านพุ่มไม้มันหลงใหลในสีสวยของผลไม้ผลเล็กๆ
มันก้มลงเลียน้ำค้างที่ห้อยค้างบนใบเฟิร์นขดกลมยามที่มันกระหาย
และเมื่อหิวมันก็มองหาเพียงแมลงเล็กเล็กสักตัวสองตัว เพื่อที่จะคิดว่าท้องมันได้รับอาหารเพียงพอแล้ว

มันวิ่ง วิ่ง วิ่ง และ วิ่ง
โดยไม่เคยสักครั้ง ที่จะหันมองกลับหลัง
ด้วยมันคิดว่า แม้มันจะหันไปมอง สิ่งที่มันเห็นก็ย่อมไม่ต่างจากที่เคยเห็น
โลกที่มันผ่านมาก็ย่อมเป็นอย่างที่เคยเป็น
เป็นเหมือนอย่างที่มันเพิ่งพบเห็น และเป็นเหมือนก่อนหน้านั้น

แต่มันจริงอย่างนั้นหรือ
เจ้ากิ้งก่าไม่เคยคิดที่จะพิสูจน์

มันวิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่ง และ วิ่ง
ขอบฟ้าใกล้เข้ามาเรื่อยเรื่อย แต่สิ่งที่ให้มันดูเหมือนจะยังไม่รู้จักจบสิ้น
ดอกไม้ยังคงเบ่งบานแปลกตา ผีเสื้อยังคงเป็นผีเสื้อสีสันใหม่ใหม่
ผลไม้ยังมีให้ลิ้มลองไม่หมดไม่สิ้น
มันเร่งรุดไปข้างหน้าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่รู้จักเกรงใจ

ด้วยว่ามันเป็นเพียงกิ้งก่าตัวเล็กเล็ก
ที่รอยเท้าแผ่วเบาเท่ารอยลม และร่างกายอ่อนนุ่มเหมือนปุยนุ่น

เป็นเช่นนั้นจริงหรือ ?
เสียงสายลมกระซิบถามที่ข้างหู
จริง-เจ้ากิ้งก่าตอบ

เป็นเช่นนั้นแน่หรือ
เสียงใบหญ้าไถ่ถามมาจากเบื้องล่าง
และเจ้ากิ้งก่ายังคงตอบว่า-จริง

เจ้าแน่ใจอย่างนั้นหรือ
ปุยเมฆถอดทอนมาจากเบื้องบน

เจ้ากิ้งก่าจึงหยุดและค่อยค่อยเหลียวมองอย่างช้าช้า

และมันก็ได้พบ ว่าโลกเบื้องหลังของมันนั้นเต็มไปด้วยความบอบช้ำ

พุ่มไม้ทลายราบไปทาง ดอกไม้ถูกขยี้ด้วยรอยเท้าขนาดใหญ่
ฝูงนกแตกตื่นโบยบินขึ้นสู้ท้องฟ้า ต้นไม้ใหญ่หักโค่นระเนระนาด

ผิวน้ำสั่นระริกอย่างขวัญเสีย เสียงผืนดินครวญคราง-โอดโอย
ผีเสื้อกระพือปีกอย่างอ่อนล้า ก่อนทิ้งตัวลงนอนตายที่พงหญ้าเบื้องล่าง
ทุกสิ่งล้วนแหลกลาญลง ไม่เหมือนเดิม

โลกที่มันเห็นไม่เหมือนเดิม

ทำไม? – มันถาม

สายลมไม่ตอบ
ต้นหญ้าไม่ตอบ
ปุยเมฆเอาแต่ทอดถอนใจ

กระทั่งในที่สุด ผิวน้ำที่ไหวระริกก็ค่อยๆสงบลง กระซิบแผ่วแผ่ว
-ว่าเจ้าเดินมาดูอะไรนี่สิ

อย่างขลาดกลัวและลังเล
เจ้ากิ้งก่าค่อยๆก้าวไปที่ผิวน้ำ 

มันได้ยินเสียงสะเทือนและรู้สึกถึงการกระเพื่อมไหว

และเมื่อมันชะโงกหน้าลงไปมองผิวน้ำ
มันก็เห็นตัวมันเอง

ร่างกายอันใหญ่โตของตัวมันเอง


เจ้าไม่ใช่กิ้งก่า แต่เจ้าคือไดโนเสาร์ – เสียงปุยเมฆบอก
				
21 พฤษภาคม 2551 13:12 น.

เฟืองตัวหนึ่งที่ป้ายรถเมล์

หมอกจาง

วันนั้นเป็นวันที่แปลกประหลาด

อันที่จริงวันนั้นโดยตัวของมันเองก็ดูไม่แปลกประหลาดสักเท่าไหร่ ถ้าไม่นับรถราที่เงียบสงบ จนเหมือนกับว่าถนนของกรุงเทพไม่มีรถ อากาศที่มีลมหนาวพัดผ่านเป็นระยะจนดูไม่เหมือนว่ามันจะเป็นกลางฤดูฝน และผู้คนที่เดินไปมาเรื่อยเปื่อยโดยไม่สนใจอะไรที่มันดูผิดที่ผิดทาง

อะไรที่ผิดที่ผิดทางอย่างเช่น ผู้ชายคนหนึ่งนั่งคุยกับเฟืองตัวเล็กๆตัวหนึ่งริมฟุตปาท

.....................................

วันนั้นเป็นวันที่แปลกประหลาด 

ผมนั่งรอรถเมล์ แต่นึกขี้เกียจที่จะยืนรอเสียเฉยๆ ที่ป้ายนั้นก็ไม่มีที่ให้นั่งเสียด้วย ผมก็เลยนั่งมันที่ริมฟุตปาทนั่นแหละ

ลมหนาวพัดเฉื่อยเนือย รถราโล่งถนน รอมาสิบห้านาที รถเมล์ก็ยังไม่มีผ่านมาสักคัน ไม่ว่าคันที่ผมรอ หรือคันที่ผมไม่ได้รอ

พอรอได้ครบยี่สิบนาที อะไรสีเงินเล็กๆก็กำลังเคลื่อนผ่านหน้าผมไป ตอนแรกผมนึกว่าเหรียญกำลังกลิ้ง มันเล็กสักเท่าเหรียญสลึง สีเงินแวววาว พอเพ่งดูดีๆ มันไม่ได้กลิ้ง มันกำลังเดิน

และมันไม่ใช่เหรียญ มันเป็นเฟืองตัวหนึ่ง

...........................................

“นายกำลังจะไปไหนน่ะ” ผมเอ่ยปากทัก นึกแปลกใจตัวเองที่ไม่แปลกใจที่เห็นเฟืองเดินได้ด้วยตัวของมันลำพัง

“ไปเรื่อยๆ” เสียงเล็กๆนั้นหดหู่ “หาที่ตายมั้ง”

“พวกหาที่ตายนี่เค้าต้องดูท่าทางรีบๆไม่ใช่รึ?” ผมไพล่ไปนึกถึงพวกมอไซค์ซิ่ง –จะรีบไปหาที่ตายเรอะ- ยายแถวบ้านผมแกด่าของแกแบบนี้ประจำ

“ไม่หรอก” เจ้าเฟืองตัวเล็กพูดไปเดินไป แต่มันตัวเล็ก แถมเดินช้า เลยไม่ได้คืบหน้าไปสักเท่าไหร่ “พวกที่รีบๆน่ะ มักไม่ได้ตั้งใจจะตายหรอก พวกที่ตั้งใจจะตายจริงๆจังๆน่ะมักจะไม่รีบหรอก” มันพยักหน้าหงึกหงักเวลาพูด “ความตายน่ะ อยู่ใกล้เรานิดเดียว ไม่รู้จะรีบไปทำไม”

“หยุดคุยกันก่อน” ผมเอามือไปกั้นทางไว้ไม่ให้มันเดิน เจ้าเฟืองตัวเล็กทำท่าจะปีน ผมเลยเอามือค้อมๆลงมาเหมือนกำลังปิดหลังคา คราวนี้มันเปลี่ยนเป็นเดินอ้อม พอผมเอามือไปขวางมันก็อ้อมมาอีกทาง เอาล่อเอาเถิด ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดคุยดีๆ ผมเลยเอามือขึ้นแล้วลุกขึ้นยืน

“ถ้านายไม่หยุด ฉันจะกระทืบ” เจ้าเฟืองน้อยนั่นหยุด พูดเสียงอ่อย “อ้าว”

“ ไม่ต้องอ้าว คุยกันก่อน”

“จะคุยอะไรล่ะ”

“คุยเรื่อยเปื่อย ฉันรอรถเมล์อยู่และกำลังเบื่อ”

“ถ้าฉันไม่คุย นายจะกระทืบฉันจริงๆหรือ”

“อื้มม” ผมผงกหัว “บางที ถ้าฉันได้กระทืบอะไรสักอย่าง อาจจะช่วยให้หายเบื่อได้ และนายก็อยากตายอยู่แล้วไม่ใช่รึ?”

“อยากตาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอยากถูกกระทืบตายหรอกนะ” ในที่สุดเจ้าเฟืองสีเงินอันเล็กก็โดดมานั่งข้างผมบนฟุตปาทแต่โดยดี

............................................

“นายมาจากไหน? และกำลังจะไปไหน?” ปรากฏว่าเจ้าเฟืองนั่นกลับเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน

“ฉันมาจากที่ที่ฉันกำลังจะไป” ผมตอบแบบรวบรัด ซึ่งเจ้าเฟืองดูออกจะงงๆ..

“มันฟังดูไม่มีเหตุผลนะ” มันมองหน้าผม “ที่นายกำลังจะไปในที่ที่นายจากมาน่ะ”

“มีสิ มีเหตุผลเพียงพอเลยหละ” ผมเถียง “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้านายจากมันมานานพอ”


“แล้วนายล่ะ กำลังจะไปไหน?”

“ฉันกำลังจะไปตายมั้ง ไม่รู้สิ” เสียงดูลังเล ไม่แน่ใจ “อันที่จริง ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าฉันควรไปไหนดี”

“ แต่ถ้านายอยากรู้ว่าฉันมาจากไหนล่ะก็.. ฉันมาจากเครื่องจักรที่ทันสมัยและละเอียดแม่นยำที่สุดที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อปีที่แล้วนะ” คราวนี้เสียงมันฟังดูโอ้อวดนิดๆ

“ขนาดนั้นเชียว”

“ขนาดนั้นสิ” ผมสังเกตว่าเจ้าเฟืองยืดอกขึ้นมาน้อยๆเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ “ตอนเครื่องจักรเครื่องนั้นถูกสร้างเสร็จน่ะ มีผู้เชี่ยวชาญจากที่ต่างๆทั่วโลกแห่กันมาดูเชียวนะ เค้าบอกกันว่า นี่คือความก้าวหน้าครั้งใหญ่เลยทีเดียว”

“แล้วทำไมนายถึงออกมาร่อนเร่ทำไมอยู่แถวป้ายรถเมล์นี่ ถ้านายออกจะไฮเทค และมีความสำคัญขนาดนั้น”

“ทำไมน่ะเหรอ” ถอนหายใจ “เพราะเครื่องจักรที่ว่านั่นถูกทุบทำลายไปแล่วน่ะสิ”

“หา”

“อืมม”

“ทำไมทำลายกันง่ายๆอย่างนั้นล่ะ”

“ก็ไม่ง่ายไม่ยากหรอก แค่เป็นเรื่องปกติ” มันพูด “พอมีมนุษย์สร้างอะไรที่ทันสมัยกว่าใหม่กว่าขึ้นมา สิ่งที่เก่ากว่า ไม่เป็นที่ต้องการ ก็ย่อมตายไป ตกยุคไป ก็เท่านั้น”

....................................

“ก่อนไปเป็นเฟือง นายเป็นอะไรมาก่อน?” ผมถาม และเจ้าเฟืองก็ตอบเสียยาวยืด

“ถามได้ ฉันก็ต้องเป็นเหล็กชั้นดีน่ะสิ เหล็กกล้าชนิดหายากเชียวนะ บางคนอยากได้ฉันไปทำมีด บางคนอยากได้ฉันไปทำขวาน แต่ฉันไม่สนใจอะไรอย่างนั้นหรอก แค่เหล็กเลวๆก็เป็นได้ พวกมีด พวกขวานน่ะ”

“สำหรับฉันน่ะมีความฝัน ว่าจะต้องได้เป็นอะไรสักอย่างที่มีความสำคัญ ที่มีเพียงฉันเท่านั้นที่ทำได้”

“แล้วมาวันหนึ่ง ก็มีคนท่าทางมีความรู้เขามาบอกกับฉัน ว่าเขาตามหาเหล็กชั้นดีอย่างฉันมานานมาก เขาต้องการให้ฉันไปเป็นเฟืองให้เครื่องจักรของเขา เครื่องจักรที่ดีที่สุด ที่มีความละเอียดสูงสุด ที่ทันสมัยที่สุดที่ทุกคนต้องทึ่ง”

“ฉันตกลงใจไปกับเขา ผ่านการหลอม การตี การสกัด ขึ้นรูป เคลือบน้ำยา แต่งโน่นแต่งนี่อย่างพิถีพิถัน จนสุดท้ายก็ออกมาอย่างที่เห็นนี่แหละ” มันยืดตัวอวดซี่เฟือง “ดูสิ ซี่เฟืองแต่ละซี่ของฉัน สร้างขึ้นมาด้วยความละเอียดพิเศษเฉพาะตัว เฟืองทั่วๆไปไม่สามารถมาสบกับฉันได้หรอกนะ ต้องเป็นเฟืองที่ถูกสร้างมาโดยเฉพาะเหมือนกันเท่านั้น”

“ตอนนั้นนะ ฉันรู้สึกตัวเลยว่าฉันพิเศษเหนือใครๆ เหนือพวกเฟืองในเครื่องจักรอื่นๆทั้งหมด ไม่ต้องพูดถึงเพื่อนพ้องฉันบางคนที่เป็นเหล็กเป็นขวานเลยนะ คนละชั้นกันมาก ใครๆก็ต่างยกย่องพวกฉัน ชื่นชมพวกฉัน ป้อยอกันต่างๆนาๆ ว่าถ้าขาดฉันเสียแล้ว เครื่องจักรที่วิเศษที่สุดในโลกเครื่องนี้ก็คงไม่มีวันทำงานได้”

“อืมม..”

“แต่อันที่จริงไม่ใช่อย่างนั้น พวกเขาไม่มีทางยอมให้มันเป็นอย่างนั้น อุปกรณ์ทุกชิ้น เฟืองทุกตัว ล้วนมีชิ้นสำรองที่ถูกสร้างขึ้นรอไว้ไม่ขาดสาย เพื่อที่ว่าเครื่องจักรของพวกเขาจะทำหน้าที่ต่อไปได้ ถ้ามีชิ้นใดชิ้นหนึ่งชำรุดลง เฟืองชนิดพิเศษแบบฉันน่ะ มีวางรออยู่ในโรงซ่อมเป็นกะตั๊ก” มันถอนใจ

“แล้วตอนนี้พวกเฟืองเฉพาะพวกนั้นล่ะ” ผมถามแทรกขึ้น

“ก็เหมือนกับฉันแหละ” มันถอนใจ “หลังจากเครื่องจักรของเราตกรุ่น เราก็กระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง เพราะเมื่อไม่มีเครื่องจักร การสบ การหมุนของเราก็ไม่มีความหมายใดๆมากไปกว่าการเล่นสนุกไร้สาระเท่านั้น” เสียงมันเศร้า

“เครื่องจักรใหม่เขาไม่ต้องใช้พวกนายรึ ?”

“ไม่หรอก เครื่องจักรใหม่ที่เขาสร้างขึ้นไม่ใช้เฟือง พวกเราเลยหมดประโยชน์ ครั้นจะไปประกอบเข้ากับเครื่องจักรตัวอื่นๆก็ไม่ได้ เพราะเราคือเฟืองพิเศษที่ถูกสร้างมาเฉพาะ ยอดเยี่ยมกว่าเฟืองทั่วๆไป”

“ก็เลยประกอบไม่เข้าชุดกับเค้า?”

“ทำนองนั้น”


ความเงียบพัดผ่านมาอึดใจหนึ่ง และเมื่อความเงียบพัดผ่านไป เจ้าเฟืองก็เปรยขึ้นมาเบาๆ


“บางที ฉันก็เคยคิดๆนะ ว่าถ้าตอนนั้นฉันเลือกที่จะเป็นขวานธรรมดาๆหรือมีดธรรมดาๆสักอัน ชีวิตฉันในตอนนี้อาจจะไม่หวือหวาอะไรมาก แต่ก็คงมีใครสักคนที่ต้องการฉันอยู่บ้างแหละ”

“นายเสียใจเหรอ”

“ไม่หรอกมั้ง” เจ้าเฟืองตัวน้อยตอบอย่างครุ่นคิด “ฉันคงแค่นึกเสียดายมากกว่า”

.........................................

รถเมล์มาแล้ว 

บทสนทนาจบลงด้วยการที่ผมกระโดดขึ้นรถเมล์โดยไม่ได้กล่าวคำอำลากับเจ้าเฟืองตัวนั้น พอรถออก ผมมองกลับไปตรงที่เดิมเมื่อครู่ก็เห็นแต่ความว่างเปล่าตรงนั้น ไม่มีผู้ชายที่นั่งคุยกับเฟือง ไม่มีทั้งคน ไม่มีทั้งเฟือง ไม่มีแม้แต่การพูดคุย

บางที เจ้าเฟืองนั่นมันอาจกำลังเดินทางต่อไปที่ไหนสักที่ และบางทีสักวันมันอาจสามารถค้นพบที่ทางใหม่ของตัวเอง หรือไม่บางที มันก็อาจหาที่ตายอย่างสงบได้สมความตั้งใจ

หรือบางที มันก็อาจโดดขึ้นมาบนรถเมล์คันเดียวกับผมก็เป็นได้

..............................................




				
18 เมษายน 2551 19:44 น.

ปืนดอกไม้ [ไม่เหมาะกับเด็กและสตรีมีครรภ์]

หมอกจาง

ฉันเอาดอกไม้หย่อนลงปลายกระบอกปืน
จ่อเข้าที่หัวของฉันเอง
และลั่นไก

เปรี้ยง!!
เสียงดังสนั่นหวั่นไหว
หัวฉันแตกกระจาย มันสมองตกเปรอะเปื้อนพื้น

คนกวาดถนนถือไม้กวาดเดินมากวาด
เธอค่อยๆกวาดเศษสมองฉันทีละชิ้นใส่ลงในที่ตัก
ฉันมองดูพลางพึมพำขอโทษ
เธอบอกไม่เป็นไร

เลือดฉันไหลเหมือนลำธาร
มันเป็นสีแดงใส
ไหลไป ไหลไป ลัดเลาะข้ามถนน
ผ่านพงหญ้า ป่าละเมาะ

ปลาตัวโตหน้าตาหน้าเกลียดแหวกว่ายในลำธารนั้น
เด็กเด็กพากันไล่จับปลาสนุกสนาน
บางคนกระโดดลงดำผุดดำว่าย
“ตรงนี้มีเศษสมองอยู่ชิ้นหนึ่ง”
เสียงบางคนตะโกน

คนเล่าลือต่อต่อกันไป
ใครต่อใครพากันเล่าลือต่อต่อกันไป
ถึงผู้ชายที่ใช้ดอกไม้ระเบิดสมองตัวเอง

หนังสือพิมพ์ทุกฉบับลงข่าว
รายการข่าวทุกช่องรายงานอย่างเร้าใจ
ชาวบ้านแห่กันมาดูแน่นขนัด
ทุกคนรู้ แต่ไม่มีสักคนเข้าใจ

ฉันกลายเป็นดารา
เป็นคนที่ทุกคนต่างสนใจ
ทุกคนขอดูแผลบนหัวฉัน
และทำหน้าแสยง เมื่อเห็นว่ามันสมองฉันหายไป

หนังสือพิมพ์ทุกเล่มตีพิมพ์รูปบาดแผล
กล้องทีวีเก็บภาพฉัน ไม่ว่าในยามนั่ง ยืน หรือเดิน
เด็กเล็กเล็กฝ่าผู้คนมาเพื่อได้จับมือกับฉัน
แต่ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม

เวลาผ่านไปและผ่านไป
ดอกไม้สีแดงหงิกงองอกขึ้นที่ริมลำธาร
มันสมองของฉันคงถูกเผาทิ้งรวมไปกับกองขยะ
เด็กน้อยบางคนด้อมมองหาปลาในน้ำสีแดง และกลับไปด้วยสีหน้าผิดหวัง

ฉันเดินผ่านไปยังใจกลางเมือง ไม่มีใครสนใจฉัน
ฉันเดินขึ้นไปยังสำนักงานหนังสือพิมพ์
พวกเขาบอกให้ฉันนั่งรออยู่ครึ่งวัน เพื่อจะบอกว่าทุกคนกำลังทำงานวุ่นวายมาก
สถานีโทรทัศน์ก็เช่นกัน
โลกไม่ได้แย่ไปกว่าเดิม เพียงแค่ฉันอ่อนล้าลงไป

ฉันเอาดอกไม้หย่อนลงปลายกระบอกปืน
จ่อเข้าที่หัวของฉันเอง
และลั่นไก เปรี้ยง!!

ดอกไม้ปลิวหวือผ่านกะโหลกศีรษะที่ว่างเปล่า
ไม่มีเลือด ไม่มีมันสมอง
ไม่มีแม้กระทั่งใครสักคนจะหันมาดู

..............................................				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงหมอกจาง