17 มกราคม 2549 21:19 น.

เรื่องสั้นสั้น.. พระจันทร์กับบ่อน้ำ

หมอกจาง


.

บ่อน้ำเก่าแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่กลางลานโล่ง

มันคิดเสมอ ว่ามันเป็นแค่บ่อน้ำเก่าๆ ที่ไม่มีค่าอันใด

นานๆครั้งจึงจะมีคนแวะเวียนมาตักน้ำบ้าง แค่บางครั้งบางคราว

นอกจากนี้มันยังไม่สวยงามอีกด้วย

ใช่มันเป็นแค่บ่อน้ำเก่าๆบ่อหนึ่งเท่านั้น

เจ้าบ่อน้ำ ชอบพระจันทร์

ทุกครั้งที่พระจันทร์เคลื่อนข้ามผ่านมัน มันจะรู้สึกว่าพระจันทร์นั้นช่างสวยงาม

ทุกคืนมันรอคอยที่จะให้พระจันทร์มาเยือน

แต่บางครั้ง บางคืน จันทร์ก็ไม่มา

บางคืนที่มา บางทีก็แค่ซีก แค่เสี้ยว

แต่ถึงจะเป็นแค่ซีกเดียว เสี้ยวเดียว พระจันทร์ก็ยังคงงดงามอยู่ดี

ทุกๆอย่าง วนเวียน เป็นอย่างนี้มาเนิ่นนาน

เจ้าบ่อน้ำไม่เคยกล้าที่จะเอ่ยปากพูดคุยกับดวงจันทร์

จนวันหนึ่ง พระจันทร์เต็มดวง งดงาม

งามเสียจนเจ้าบ่อน้ำ อดใจไว้ไม่ไหว

ท่านงามเหลือเกิน ดวงจันทร์ รู้ไหมว่าข้าเฝ้ารอที่จะได้ชมการมาเยือนของท่านทุกๆค่ำคืน

ดวงจันทร์ยิ้มและเอ่ยตอบ

ท่านก็งดงามเช่นกัน บ่อน้ำ

บ่อน้ำแปลกใจ

ข้าไม่มีสิ่งใดงดงามเลยดวงจันทร์

งั้นข้ามีสิ่งใดงดงามเล่าบ่อน้ำ ดวงจันทร์ถาม

ท่านมีแสงอันสวยงามเย็นตานั่นอย่างไรล่ะ อีกทั้งรูปทรงที่งดงามไม่ว่ากลมหรือเสี้ยว ทั้งความอ่อนโยนที่ข้ารับรู้ได้ในแสงสวยนั้น

ถ้าเจ้าเรียกว่านั่นคือความสวยงาม สิ่งเหล่านั้น เจ้าก็มีอยู่เช่นกันบ่อน้ำ ข้ามองเห็นมันในทุกครั้งที่ข้าเคลื่อนลอยผ่านเจ้า

ดวงจันทร์ บ่อน้ำครวญ ข้าเป็นเพียงบ่อน้ำที่ไม่มีความงดงามใดๆ ที่ท่านเห็นเป็นเพียงแสงสะท้อนจากความงดงามของท่านเพียงเท่านั้น

ก็เจ้าเรียกสิ่งนั้นว่าความงดงามมิใช่หรือ บ่อน้ำ

ใช่ แต่ความงดงามนั้นคือความงดงามแห่งท่านที่สะท้อนผ่านผิวของข้า หาใช่ความงดงามแห่งตัวข้าเองไม่

บ่อน้ำ ดวงจันทร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

 มิใช่ทุกอย่างหรอกนะ ที่จักสะท้อนเงาของข้าได้

.....................................

บ่อน้ำนิ่ง เงียบงัน ครุ่นคิด

แสงจันทร์ที่ส่องจ้ากลางบ่อน้ำ ค่อยๆเคลื่อนผ่านไป

ไม่มีใครรู้ ว่าเจ้าบ่อน้ำนั้นคิดอะไร

เจ้าบ่อน้ำ ยังคงรอคอยการมาเยือนของพระจันทร์เช่นเดิม ทุกๆคืน

และมันก็ยังจำคำพูดนั้นของพระจันทร์ได้เสมอ ไม่เคยลืม

....................................


บ่อน้ำ... มิใช่ทุกอย่างหรอกนะ ที่จักสะท้อนเงาของข้าได้


....................................

คำตาม.. ( ญาติห่างๆของคำนำ : )

เคยไหม..เวลาที่ได้อ่านหนังสือสักเล่ม แล้วรู้สึกซาบซึ้งไปกับสิ่งที่ถูกเขียนไว้เป็นตัวหนังสือ

เคยไหม..เวลาที่อ่านบทกวีสักบท แล้วรู้สึกได้ถึงความงดงามในบทกวี

เคยไหม..ที่ฟังเพลง แล้วรู้สึกสะเทือนใจไปกับบทเพลงนั้น

รักในหนังสือ รักในบทกวี รักในบทเพลง

ทึ่ง กับผู้ที่สร้างสรรค์งานเหล่านั้นขึ้นมา ว่าสร้างเหล่านั้นขึ้น..จากหัวใจที่งดงามเพียงใด

แต่รู้ไหม ว่าขณะเดียวกัน มันย่อมแสดงถึงความงดงามในใจคุณ

เพราะตัวหนังสือที่ลึกซึ้ง ก็ย่อมต้องการสมองที่ลึกซึ้งช่างตรอง จึงจะเข้าใจได้ในความลึกซึ้ง

บทกวีที่อ่อนไหว ก็ย่อมต้องใช้หัวใจที่อ่อนไหวในการอ่าน ในการการซึมซับรับรู้

และบทเพลงที่สะเทือนใจย่อมไม่อาจถูกดื่มด่ำด้วยอารมณ์ที่หยาบกระด้าง

หากผู้สร้างสรรค์เป็นพระจันทร์ ผู้เสพอย่างน้อยก็ย่อมเป็นบ่อน้ำใสสะอาด

ด้วยว่ามิใช่ทุกอย่าง ที่อาจสะท้อนเงาแห่งพระจันทร์

มิว่างานใดที่เสพแล้วรู้สึกได้ถึงความงดงาม จงรู้ไว้เถิดว่า ก็เนื่องเพราะหัวใจคุณนั้น มีความงดงามเฉกเช่นกัน
				
8 มกราคม 2549 10:53 น.

วันวุ่นๆ กับโจ๊กไหม้หนึ่งหม้อ

หมอกจาง


ผมเรียนอยู่ต่างประเทศ..
ดูจะเป็นเรื่องปกติที่นักเรียนไทยในต่างประเทศมักจะหางานพิเศษทำ
และก็ยิ่งเป็นเรื่องปกติ ถ้างานพิเศษที่จะทำกันนั้นคืองานในร้านอาหารไทย
ครับ ผมก็เป็นคนปกติๆคนนึงนี่แหละ

หลายคนที่ภาษาอังกฤษดีๆมักทำอยู่ข้างหน้าเป็น Waiter หรือ Waitress ก็ว่ากันไป
ส่วนคนไหนที่ใจรัก หรือภาษาไม่ค่อยจะเอาอ่าวก็จะเข้ามาช่วยงานอยู่ในครัว ซึ่งงานจะค่อนข้างหนักกว่า
ผมเลือกทำอยู่ในครัว..
อยากจะบอกอยู่เหมือนกัน ว่าเพราะใจรัก แต่ก็กระดากปากที่จะต้องโกหกคำโต..
เอาเป็นว่าผมเข้ามาอยู่ในครัวด้วยเหตุผลที่รู้ๆกันอยู่ละกัน..

ตำแหน่งในครัวผมเนี่ย เค้าเรียกว่าเป็นภาษาอังกฤษว่า Kitchen Hand ซึ่งผมก็มักจะบอกใครๆว่าผมทำงานเป็น Kitchen Hand เพราะดูโก้ดี ซึ่งจริงๆมันก็คือลูกมือหรือเบ๊ในครัวนั่นแหละ

ว่าไปแล้วก็ไม่เลวร้ายอะไรนักกับตำแหน่งนี้ เพราะในครัวมีอยู่เพียงสองคนที่ออกคำสั่งเอากับผมได้ คือพี่อรัญ ที่เป็นทั้งพ่อครัวและเจ้าของร้านในคนๆเดียวกันซึ่งนับความสามารถพิเศษ อีกคนคือพี่เอ๋ น้องเมียพี่อรัญชื่อเหมือนจะสวยหวาน แต่อันที่จริงแล้วแกเป็นผู้ชาย ร่างใหญ่ ดำ ล่ำสัน หน้าตาคล้ายๆพี่ออฟ พงษ์พัฒน์ เวลาที่ไม่หล่อที่สุด แกทำหน้าที่ผู้ช่วยพ่อครัว จากนั้นตำแหน่งถัดมาก็เป็นผมนี่แหละ

ครับ ในครัวเราทำกันสามคนเท่านั้นแหละ..

ส่วนเด็กเสิร์ฟข้างหน้าก็จะหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไป อย่างวันนี้ที่มาทำงานก็มีเจ้าโอ๋ เจ้าหน่อยแล้วพี่ไก่
พี่ไก่เป็นผู้อาวุโสสุด มีความเป็นผู้นำสูง เป็นตัวต้นเสียงเวลานินทาเจ้าของร้าน เจ้าหน่อยนี่ลีลาไม่แพ้กันเป็นลูกคู่ที่ฮามาก แต่ละคำไม่รู้คิดมาได้ยังไง ส่วนโอ๋นี่สาวสวยหวาน ออกแนวเงียบๆมากกว่า พอใจที่จะฟังคนอื่นนินทา นานๆถึงจะผสมโรงสักที

ร้านเปิดห้าโมงเย็น พี่อรัญแกจะเข้ามาที่ร้านตอนหกโมง แต่เด็กที่ทำงานทุกคนต้องเข้าร้านสี่โมงครึ่ง เตรียมของ จัดร้าน กินข้าวกินปลากันให้เรียบร้อย เพื่อให้ทุกอย่างพร้อมก่อนที่ลูกค้าจะเข้า

ไอ้ช่วงสี่โมงครึ่งถึงหกโมงนี่แหละครับ ช่วงนินทาเจ้าของร้าน

ข้างหน้าก็จะนินทากันเรื่องข้างหน้า คุยกันสไตล์ผู้หญิงน่ะ มีเสียงสูงต่ำเป็นระยะ
ข้างในผมกับพี่เอ๋คุยกันก็เป็นอีกแบบอีกมุมนึง แบบผู้ชายๆ

ผมไม่ได้แบ่งแยกเพศหญิงชายอะไรนะ แต่ถ้าใครที่เคยสังเกตุ เรื่องที่ผู้หญิงจับกลุ่มคุยกัน กับเรื่องที่ผู้ชายคุยกันถึงแม้จะเป็นเรื่องเดียวกัน มุมที่มอง วิธีที่คิดก็จะมีอะไรแตกต่างกันอยู่

ผมไม่ชอบคุยกับพวกสาวๆที่ร้านนักเวลาที่มีรายการนินทาเจ้าของร้าน เพราะบางครั้งผมก็รู้สึกมันก็เป็นเรื่องยิบย่อยเสียจนรู้สึกว่ามันไม่มีประเด็น ประมาณว่าลงฉันไม่ชอบขึ้นมาอะไรๆก็ผิดไปหมดประมาณนั้น เลยฟังผ่านๆเสียมากกว่า บางครั้งฟังๆไปก็อดเห็นใจพี่อรัญไม่ได้ ไม่ใช่ว่าแกเป็นคนดีเด่อะไรนัก แต่ผมว่าคนเราแต่ละคนก็มีเรื่องดีเรื่องไม่ดีปะปนกันอยู่ในตัว การไปสรุปเหมารวมว่าแกเป็นคนไม่ดี ไม่ว่าทำอะไรก็คงเพราะด้วยเจตนาที่ไม่ดีก็ดูออกจะไม่ยุติธรรมนัก

การนินทา บางคนบอกว่าเป็นการระบายออกไม่ให้เครียดเกินไปนักกับที่ทำงาน แต่ผมว่าถ้ามันมากเกินไปก็น่าจะทำให้เครียดยิ่งขึ้น เพราะเหมือนว่าเจ้านายหรือไม่ก็ที่ทำงานมันดูไม่มีอะไรดีไปเสียทั้งนั้น ด้วยว่าแง่ดีๆมักจะถูกมองข้ามไปในการนินทา

ผมมักจะฟังพี่เอ๋แกบ่น เพราะพี่เอ๋แกก็เจออะไรๆเกี่ยวกับพี่อรัญเยอะ ก็ตามแบบเจ้าของร้านกับลูกน้องน่ะแหละ แต่แกเป็นคนปากหนัก ไม่ค่อยบ่นเรื่องจุกจิก แต่เห็นเงียบๆอย่างนั้นเถอะ เรื่องประชดเสียดสีนี่ทั้งร้านไม่มีใครสู้แกเลย 

วันนี้แกก็บ่นให้ผมฟัง

วันนี้ทำงานกันดีๆนะเว้ย หงุดหงิดๆเดี๋ยวมีอารมณ์เสีย แกก็พูดเสียงเล่นๆตามสไตล์แก ถ้าพี่อรัญไม่อยู่พี่เอ๋แกก็เป็นพี่ใหญ่สุดในร้าน
เป็นไรหงุดหงิดล่ะพี่
หงุดหงิดเจ้าของร้านน่ะสิ
มีไรล่ะ ผมแย๊บต่อ
เมื่อเช้าดันมาถามได้ ว่าเมื่อวานตอนก่อนแกมามัวทำอะไรกันอยู่หั่นเนื้อหั่นไก่ได้นิดเดียวเอง
ผมนึกทบทวนเมื่อวานเป็นวันที่ยุ่งชนิดมหากาฬวันหนึ่ง ลูกค้าเข้าตั้งแต่ยังไม่ทุ่ม จนเกือบปิดร้าน มาติดๆกันจนทำแทบไม่หวาดไม่ไหว แล้วก่อนหน้าที่ลูกค้าเข้าล่ะ..
มีคนเอาของมาส่งนี่พี่ ผมบอกตามที่จำได้ ตั้งสองเจ้า ข้าวสาร น้ำตาล น้ำปลา เครื่องกระป๋อง ผัก อะไรจิปาถะ แต่ละเจ้าก็ไม่มีลูกน้องมาช่วย มากันตัวคนเดียวทั้งนั้นผมกับพี่เอ๋ต้องสวมวิญญาณจับกัง ออกไปแบกข้าว แบกน้ำตาลกันเหยงๆ
ก็ใช่ไง ผมก็นึกตั้งนานว่า เอ๊ะ..กูทำไรอยู่ เบลอๆไปพักค่อยนึกได้ ว่ากูไม่ได้อู้อะไรนี่หว่า แบกข้าวสารเหยงๆ นี่ติ้วยังไม่ได้เอาไปขึ้นเงินเลยเนี่ย แล้วดันมาถามเหมือนว่าเราอู้กัน ฟังแล้วหงุดหงิดจี๊ดเลย แกบ่นไป เหน็บไปตามแบบแก 
แหม..ติ้วยังไม่ได้ขึ้นเงิน ยังกะแบกข้าวสารอยู่ท่าข้าว คิดได้ไงเนี่ย

บางทีกลุ่มข้างหน้าก็มีเหน็บกันเองให้ข้างไหนได้ฮากัน
เจ้าหน่อย ที่มาช่วยหั่นผักเตรียมของอยู่ในครัว ยืนดูพี่ไก่กับเจ้าโอ๋ซุบซิบกันอยู่ ซึ่งก็คงไม่พ้นเรื่องเจ้าของร้าน จู่ๆก็เปรยขึ้น
พวกข้างหน้าเนี่ย น่าไปทำราชการเนาะ
ครับ..งงกันไปหมดทั้งร้าน ทั้งข้างหน้า ข้างใน
ทำไมล่ะ ผมอดไม่ได้ต้องถาม
ขี้นินทากันทั้งนั้นเลย เราเคยดูทีวีพวกข้าราชการในทีวีวันๆก็เห็นเอาแต่นั่งนินทากันทั้งวัน ผมกับพี่เอ๋ที่กำลังหั่นเนื้อไก่อยู่ถึงกับฮาแตก พี่เอ๋เอามีดเคาะเขียงไปหัวเราะไป
เนี่ยดูซิ เจ้าหน่อยยังไม่เลิก เรานี่นะ เมื่อก่อนก็ไม่เคยได้เป็นคนชอบนินทาสักหน่อย อยู่ๆไปเลยติดนิสัยนินทาไปกับเค้าด้วยเลย น่าน..
โห..ไม่ช่างนินทาที่ไหนล่ะ เจ้าหน่อยนี่แหละตัวหัวโจกเลย พูดมาได้หน้าตาเฉย ว่าติดมาจากคนอื่น
ถ้าไอ้พวกข้างหน้าที่นินทาเป็นข้าราชการกันล่ะก็ ไอ้หน่อยนี่ซีแปด ระดับ ผอ. แน่นอน พี่เอ๋เหน็บเข้าให้ ซึ่งเจ้าหน่อยได้แต่ค้อน ไม่กล้าเถียงด้วยพยานหลักฐานนั้นทนโท่
แหมม..พี่เอ๋อ้ะ

และแล้วมันก็๋เป็นอีกวันหนึ่งที่ยุ่งวายร้าย
ตอนแรกๆก็เงียบๆดีอยู่ พอหลังจากทุ่มนึงผ่านไป แขกเริ่มเข้ามาแบบชนิดที่เรียกว่ากะเอาให้ตาย โหมระลอกแล้วระลอกเล่า วิ่งวุ่นกันเป็นมือระวิง เสร็จไปโต๊ะนึง มีอีกโต๊ะ อีกโต๊ะ ตามมาติดๆจนรายการสั่งอาหารถูกเหน็บเรียงไว้เป็นพรืดบนราว คำสั่งจากพี่อรัญก็มาเป็นชุด
หยิบผักมาเติมให้พี่หน่อย
หุงข้าวด้วย
สะเต๊ะสุกยัง
จัดจานๆ จัดสวยๆหน่อยสิ
จานจะหมดแล้ว ไปล้างเพิ่มมาเร็ว
เอ้า นั่นทอดมันไหม้หมดแล้ว เอาขึ้นสิ
ก็ได้แต่บ่นในใจ..พี่ครับ ผมคนนะครับ ไม่ใช่นารายณ์อวตาร มีแค่สองมือจะไปทำตามพี่สั่งทันที่ไหนล่ะ

และแล้วสามทุ่มกว่าๆพายุร้ายก็ผ่านไป ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ความสงบ ทิ้งแต่ร่องรอยกลาดเกลื่อน ผักหล่นตรงโน้นตรงเนื้อ เศษเนื้ออะไรต่อมิอะไรข้างเขียง น้ำแกงเปรอะเป็นด่างดวง แล้วก็จานอีกกองพะเนิน เหล่านี้คือเครื่องหมายที่บอกว่า งานของผม ยังไม่จบง่ายๆ

มองไปข้างหน้า งานเริ่มซาลง พนักงานเสิร์ฟสามคนเริ่มเคลื่อนเข้ามารวมตัวกันเป็นระยะ ไม่แขกก็เจ้าของร้านที่ต้องตกเป็นหัวข้อสนทนา
พี่เอ๋ๆ เรามาพนันกันดีกว่าว่าสามคนนั้นจะรวมตัวกันทุกกี่นาที ผมว่าสิบนาทีเอ้า
ผมว่าห้า เบียร์คนละขวด พี่เอ๋ยิ้มกริ่มแบบเล่นด้วย
โอเค ว่าแล้วผมก็ก้มหน้าก้มตาล้างจานต่อ

ทางด้านพี่อรัญแกก็แช่ข้าวหม้อใหญ่ไว้ ผมผ่านไปเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าแกจะทำอะไร
คืนนี้ได้กินโจ๊กกันแน่ๆพี่ ผมกระซิบบอกพี่ไก่ที่เก็บจานจากโต๊ะมาให้ล้าง วันไหนที่ขายดี ในฐานะเจ้าของร้าน พี่แกจะอารมณ์ดีทำกับข้าวเลี้ยงเสมอ โจ๊กนี่เป็นหนึ่งในเมนูเด็ดที่แกทำไม่บ่อย เพราะค่อนข้างยุ่งยากหลายขั้นตอน พี่อรัญแกทำโจ๊กได้สุดยอดมาก ชนิดที่เรียกว่าโจ๊กกองปราบที่ว่าดังๆถ้าเอามาเทียบยากที่จะบอกว่าใครเหนือกว่า ยิ่งมาอยู่ต่างประเทศ หาโจ๊กแบบบ้านเรากินไม่ได้ง่ายๆอย่างนี้ รสชาติมันก็ยิ่งเหมือนจะอร่อยกว่าที่มันเป็นอีกเท่าตัว

พี่อรัญแกร้องเพลงไป ปั่นไก่ไป จากนั้นก็ปั่นข้าว ผมถามว่าปั่นทำไม เพราะทุกทีเห็นแกค่อยๆเคี่ยวให้เละไปเอง แกก็บอก
วันนี้ต้องปั่น สี่ทุ่มแล้ว ขืนเคี่ยวให้เละพวกคุณไม่ได้กลับบ้านกันพอดี
ผมก็ล้างจานของผมต่อ พี่เอ๋แกก็เก็บของ พี่อรัญแกก็สาละวนกับโจ๊กของแก 

หลังจากสังเกตกันไปสักพัก เรื่องเบียร์ผมกับพี่เอ๋ก็ไม่มีใครได้กินใคร เพราะผิดทั้งคู่ เนื่องจากข้างหน้าจะรวมตัวจับกลุ่มกันทุก 2 นาที ซึ่งเป็นความถี่ที่เราไม่คาดฝัน

สักพักพี่อรัญแกก็โวยวาย
ว่าแล้ว ท่าทางหัวเสียใช่เล่น
เป็นไรพี่
โจ๊กไหม้น่ะ ไฟแรงไป
อ้าว ผมกับพี่เอ๋อ้าวพร้อมกัน แต่ก็เฉยๆไม่เดือดร้อนอะไร มีพี่อรัญคนเดียวที่ดูเครียด
จริงๆมันต้องเคี่ยวไฟอ่อนๆแต่ผมเผลอเร่งไปแรงไปหน่อย กลัวพวกคุณจะไม่ทันได้กินกัน เลยไหม้
ไม่เป็นไรมั้งพี่ คงไหม้ไม่มาก
พี่อรัญแกก็ไม่พูดอะไร ถ่ายหม้อเปลี่ยนหม้อ ต้มใหม่ใช้ไฟอ่อนกว่าเดิม แต่โจ๊กหม้อนั้นมันก็มีกลิ่นไหม้ไปเสียแล้ว แกวนเวียนมาคนแล้วก็ตักขึ้นดูอยู่หลายรอบ น้ำยังเหลว ไม่ข้น ยกดม กลิ่นก็ยังคงเหม็นไหม้
สงสัยคือนี้ได้กินข้าวไข่เจียวกันแทน แกพูดเสียงเล่นๆ แต่หน้าดูเจื่อนๆ คงผิดหวัง ผิดหวังที่ตั้งใจจะทำของอร่อยให้ลูกน้องกิน แล้วมันออกมาไม่ได้ดังหวัง

ผมมองดูพี่อรัญ ผมว่าผมเข้าใจความรู้สึกของแก

ผมว่ามันก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่เขียนหนังสือที่นี่หรอก เขียนโดยไม่ได้อะไรตอบแทน นอกจากการมีความสุขที่ได้เขียน และยิ่งกว่านั้นอยากได้รู้ ว่าคนอ่านมีความสุขเมื่อได้อ่าน

คนทำอาหารอย่างแก แค่ได้เห็นคนกิน กินฝีมือแกอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่มีเรื่องกำไรขาดทุนมาเกี่ยวข้อง นั่นแกก็ปลื้มใจแล้วนะผมว่า

นั่นคือรางวัลที่เพียงพอแล้ว

บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่แกอุตส่าห์เตรียมเครื่องปรุงทำโจ๊กหม้อนี้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ไฟอ่อนๆบนเตายังคงเคี่ยวโจ๊กไปเรื่อยๆ เข็มนาฬิกาก็ค่อยๆกระดิกไป จนเกือบสี่ทุ่มสี่สิบ
พี่อรัญ กลับแล้วค่ะ พี่ไก่ โอ๋ หน่อย ลากลับ
เผื่อจะทันรถเที่ยวสี่ทุ่มสี่สิบค่ะพี่ พี่ไก่เป็นต้นเสียง แกมักจะนำน้องๆกลับเร็วเสมอ เจ้าโอ๋เจ้าหน่อยจากที่เคยอยู่ช่วยจนปิดร้านแล้วกลับพร้อมๆกัน เดี๋ยวนี้จึงกลับเร็วตามอย่างพี่ไก่ 
พี่อรัญรับไหว้ ผมมองหน้าแก เข้าใจ 

โจ๊กยังคงใส ไม่ข้น กลิ่นไหม้คงไม่หายไปได้

สิบนาทีหลังจากนั้น ผมกับพี่เอ๋ก็ช่วยกันล้างครัว เก็บครัวจนเสร็จ
กินข้าวไข่เจียวไหมเรา พี่อรัญแกถามขึ้น โจ๊กท่าทางจะไม่ไหวแล้วหละ
ลองกินโจ๊กดีกว่าพี่ มีอะไรบางอย่างทำให้ผมพูดออกไปอย่างนั้น
มันเหม็นไหม้นะ
เอาน่า พี่ ไม่เท่าไหร่ ไม่เปรี้ยวเหมือนโจ๊กจ่าเป็นใช้ได้
พี่อรัญแกหัวเราะ

โจ๊กจ่าเป็นเรื่องที่ว่าจ่ากับพลทหารกินเหล้ากัน จนเมาหลับไปทั้งคู่ จ่าตื่นมาอ้วกใส่หม้อไว้ตอนดึก พลทหารตื่นมาหิว นึกว่าโจ๊กเลยซัดซะเรียบ พอจ่าตื่นขึ้น พลทหารก็บอก แหม..จ่า โจ๊กจ่าเมื่อคืนนี่อร่อยดีนะ แต่คงหนักน้ำส้มเลยเปรี้ยวไปหน่อย..
เป็นเรื่องตลกที่พี่อรัญแกชอบมาก เที่ยวเล่าให้ใครต่อใครฟังไปทั่ว

ล้างหน้าล้างตัวเสร็จ กลับเข้ามาในครัว มีโจ๊กสองชามใหญ่วางไว้เรียบร้อย ผมกับพี่เอ๋ยกออกไปนั่งกินด้วยกัน คุยกันไป กินกันไปจนเรียบหมดทั้งสองชาม
อร่อยดีพี่ ไม่เหม็นไหม้เท่าไหร่หรอก แต่ใสไปนิด ผมบอกพี่อรัญตอนเอาชามมาล้าง
รีบไง มันต้องเคี่ยวนานกว่านี้ แต่ไม่มีเวลา แกออกตัว สีหน้า ดูแช่มชื่นขึ้น

ผมกลับรถเที่ยวสุดท้าย
แทนที่จะถึงบ้านเร็วขึ้นชั่วโมงนึง กลายเป็นว่าผมถึงบ้านเอาเที่ยงคืน เพื่อโจ๊กไหม้ๆชามนึง
แต่เชื่อไหมว่ามันเป็นโจ๊กที่ผมกินแล้วรู้สึกดีที่สุด
รู้สึกดีที่เห็นหน้าพี่อรัญตอนที่มีคนอร่อยกับโจ๊กหม้อนั้น ที่แกตั้งใจทำถึงจะมีเหตุผิดพลาดไปบ้าง
รู้สึกดีกับตัวเอง ที่ไม่หลงลืมละเลยความรู้สึกของคนรอบข้าง

ผมไม่โทษเพื่อนร่วมงานทั้งสามคนที่กลับไปก่อน โดยที่ไม่รอกินโจ๊กเหม็นไหม้หม้อนั้น
พวกเขาอาจมีธุระ
พวกเขาอาจรีบร้อน
พวกเขาอาจเพียงแค่ไม่ทันนึกถึง ก็เมื่อโจ๊กมันไหม้แล้วจะกินไปทำไม
บางที พวกเขาอาจเพียงแค่คุ้นเคย คุ้นเคยกับการละเลยความรู้สึกคนรอบตัวซึ่งถูกตีความว่าเป็นแค่เรื่องปลีกย่อยในบางครั้ง
คุ้นที่จะคิดว่า เมื่อคนนึงกลับได้ ก็ไม่แปลกอะไรที่อีกสองคนจะกลับด้วย
คุ้นเคยจนชาชิน..
ชาชินที่จะละเลย

นึกถึงเพลงหนึ่งที่วง Oasis เคยร้องไว้และผมรักในเนื้อเพลง แม้จะไม่ตรงกับเรื่องที่เกิดครั้งนี้นัก แต่มันคือความเศร้าเดียวกันที่มองเห็นในสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆตัวเรา

And we cheat and we lie
Nobody says its wrong
So we dont ask why
Cause its all just the same at the end of the day
Were throwing it all away
Were throwing it all away
Were throwing it all away at the end of the day

เราต่างหลอกลวง ต่างโกหก จนชาชิน 
ในเมื่อไม่มีใครสักคนบอกว่ามันผิด เราก็ไม่ถามว่าทำไมมันจึงไม่ผิด 
เพราะสุดท้าย เมื่อผ่านพ้นวัน เราก็ต่างโยนมันทิ้งไป ลืมๆมันไป 

โดยไม่เคยคิดที่จะหวนมาทบทวนในสิ่งที่ได้ทำ

ใช่ เราต่างปล่อยตัวให้ถูกกลืน กลืนไปกับสิ่งที่ใครๆเขาก็ต่างทำกัน กลืนไปกันการอิงกับพฤติกรรมของคนอื่นๆ จนหลงลืมว่า กับบางเรื่องราวนั้น มันไม่เกี่ยวว่าใครต่อใครเขาทำเขาคิดกันอย่างไร มันเกี่ยวกับการที่เราสมควรทำอย่างไรต่างหาก

ผมเข้าใจความรู้สึกพี่อรัญ ไม่ใช่เพราะผมเป็นคนดีหรือเป็นคนละเอียดอ่อนกว่าคนอื่น แต่เพราะผมก็เคยรับรู้ความรู้สึกเดียวกันนั้น ผมจึงรู้ถึงความเจ็บปวดของมัน..

ความรู้สึกของคนที่ถูกละเลยความรู้สึก


---------------------------------------------------------


กลับถึงบ้าน ผมโทรหาผู้หญิงคนหนึ่ง คนสำคัญของผม เล่าเรื่องโจ๊กหม้อนั้นให้เธอฟัง
เล่าได้แค่ถึงตอนโจ๊กไหม้ และพี่ไก่พร้อมน้องๆลากลับ.. เธอคนนั้นก็พูดแทรกขึ้นมาทันที
โห..ยังงี้พี่อรัญเค้าก็เสียใจแย่สิ
ผมยิ้ม
นี่..
หืมม..
รู้ไหม ทำไมเค้าเล่าเรื่องนี้ให้ตัวเองฟัง
ทำไมล่ะ
เพราะ เค้าจะบอกว่านี่แหละที่ทำให้เค้ารักตัวเอง
ไม่เข้าใจอ้ะ เสียงพูดกลั้วหัวเราะของเธอนั้นเขินๆ
เพราะตลอดมา ไม่เคยสักครั้งที่ตัวเองจะละเลยความรู้สึกของคนอื่น ไม่ว่าใครก็ตาม
อืมม
อืมม
ถ้าโทรศัพท์หน้าแดงได้ ตอนนี้มันคงแดงเข้มทีเดียว..



------------------------------------------------------


				
19 ตุลาคม 2548 20:48 น.

..ผึ้ง..

หมอกจาง


ในห้องทำงาน ผมนั่งเงียบๆกับความคิดที่วุ่นวาย..
ฮึ่มมม ฮึ่มมม เสียงบางอย่างครางขึ้นมา
แรกเลยผมคิดว่ามันเป็นเสียงของคอมพิวเตอร์ ซึ่งกำลังสั่งให้รันโปรแกรมอยู่ ซึ่งเวลาที่เครื่องร้อนมากๆมันก็จะส่งเสียงคล้ายๆแบบนี้..
สักพักเสียงนั้นก็ดังใหม่ สลับกับเสียงแปะๆๆๆๆ
เอ..หรือว่าไฟจะช๊อตในเครื่อง?
ผมเงี่ยหูเข้าไปฟังใกล้ๆก็รู้สึกเหมือนกับว่าเสียงนั้นมันไม่ได้ออกมาจากคอมพิวเตอร์
พักใหญ่..กว่าที่ผมจะค้นพบว่า เสียงนั้นเกิดจากผึ้งตัวหนึ่ง..

ห้องทำงานผมมีหน้าต่างเป็นกระจกเลื่อนขึ้นลง ธรรมดาผมจะแง้มไว้เล็กน้อยพอให้มีลมเย็นๆจากภายนอกลอดเข้ามา..

เจ้าผึ้งตัวนี้ก็คงลอดเข้ามาทางช่องนั้น
และตอนนี้..มันกำลังหาทางออก

ที่หน้าต่างกระจกมีรูปโปสเตอร์ขนาดย่อมๆที่เจ้าของห้องคนเก่าแปะไว้ ผมเห็นว่ามันน่ารักดีเลยไม่ได้แกะออก
พอผ่านแดด ผ่านเวลา รูปนั้นก็ไม่ได้แนบติดกับกระจกต่อไป มันพองเผยอออกมา มีเฉพาะส่วนที่แปะกาวสองหน้าไว้เท่านั้นที่ยังยึดกับกระจกอยู่

เสียงแปะๆที่ผมได้ยินคราวแรกและคิดว่ามีอะไรผิดปกติในคอมพ์นั้นคือเสียงที่เจ้าผึ้งตัวนั้นลอดไปลอดมาผ่านใต้โปสเตอร์ที่เผยอนั้น

ผมนั่งฟังเสียงหึ่งๆของมันอยู่พักนึง คิดว่าสักประเดี๋ยวมันคงจะหาทางออกได้ เพราะกระจกผมก็ยังแง้มไว้เหมือนเดิม มันคงค้นพบได้ไม่ช้า ว่ามันเข้ามาทางไหน
แต่ความเป็นจริงกลับไม่ใช่อย่างนั้น
มันบินขึ้น บินลง บินขึ้น บินลง ส่งเสียงหึ่งๆสลับกับแปะๆอยู่อย่างนั้น ไม่มีทีท่าว่าจะหาทางออกได้

ผมลุกขึ้นไปแง้มหน้าต่างออกให้กว้างกว่าเก่าอีกเกือบคืบแล้วมานั่งทำงานต่อ

สักพักนึงผมก็พบว่ามันยังคงหาทางออกไม่ได้

ผมลุกไปเลื่อนหน้าต่างอีกครั้ง คราวนี้เลื่อนขึ้นไปจนเลยครึ่งหน้าต่าง ช่องที่เปิดออกนั้นราวฟุตนึงได้


แต่เจ้าผึ้งตัวนั้นมันก็ยังหาทางออกไม่ได้อยู่ดี..

ผมเลยละมือจากงานแล้วนั่งดูมัน
ไม่ช้าผมก็ค้นพบว่าทำไมเจ้าผึ้งตัวนี้มันถึงหาช่องที่ผมเปิดไว้ให้ไม่พบ..

อย่างที่บอก หน้าต่างของผมเป็นกระจกใส มีกรอบเป็นอลูมิเนียม ที่กรอบด้านล่างแถบอลูมิเนียมจะถูกออกแบบให้ยื่นออกมาเพื่อความสะดวกในการยกเปิดปิด

เจ้าผึ้งตัวนี้มันพยายามที่จะออกไปด้านนอกกระจก ออกไปสู่ท้องทุ่งที่มันมองเห็น ด้วยการบินปะทะกระจก ลัดเลาะไปรอบๆครั้งแล้วครั้งเล่า เข้าแตะเข้าปะทะเพื่อทดสอบว่าตรงไหนที่มันจะลอดออกไปได้

แต่แปลกที่มันไม่เคยออกนอกกรอบอลูมิเนียม..

เมื่อมันเคลื่อนตัวมาเรื่อยๆจนลงมาถึงกรอบอลูมิเนียมด้านล่าง มันก็เลาะๆไปตามขอบจนสุดและบินขึ้นไปใหม่ วนเวียนอยู่อย่างนี้

ผมจึงเข้าใจ..ว่าทำไม ไม่ว่าผมจะเปิดหน้าต่างออกกว้างสักเท่าไร ผึ้งตัวนี้มันก็ยังหาทางออกไปไม่ได้

มันติดอยู่ในกรอบอันนั้น..

ไม่ว่ากรอบเลื่อนไปทางไหน มันก็ยังคงตามกรอบไป ไม่ว่าช่องเปิดไปสู้อิสระจะกว้างสักแค่ไหน มันก็ไม่เคยมองเห็น..

สำหรับมัน..ช่องทางไปสู่โลกภายนอกที่มองหา ปิดตายอยู่ตลอดเวลา

ผมนั่งดูและแปลกใจว่าทำไม แทนที่มันจะบินถอยหลังสักนิด เพื่อที่จะเห็นอะไรกว้างขึ้น และไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะต้องเห็นทางออกที่ผมเปิดไว้ให้
 
..แต่มันก็ไม่เคยถอยหลัง

บางที..มันมีความมุ่งมั่นมากเกินไป บางที..มันมีความพยายามมากเกินไป

ผมได้แต่ดู นึกจะเอาหนังสือไล่ให้มันบินไปทางอื่นแต่ก็กลัวว่ามันจะหันมาเล่นงานเอา

นั่งทำงานไปก็เหลือบดูไปเป็นระยะ เสียงหึ่งๆแปะๆก็ยังคงดังอยู่เป็นระยะ

บ่ายจนหัวค่ำมันก็ยังหาทางออกไม่ได้ หมดแรง..คลานต้วมเตี้ยมอยู่บนโต๊ะทำงานผม


ผมนึกสงสารมันยื่นปากกาไปให้หวังว่ามันจะไต่มาเกาะ และผมอาจจะช่วยโยนมันออกไปได้.. ถ้ามันยังมีแรงบิน

พอปากกาถูกยื่นไปใกล้ๆ มันก็พยายามที่จะไต่ปากกาขึ้นมา แต่พอขยับปากกานิดนึงก็หล่น.. คงไม่มีแรงเหลือแล้วจริงๆ

คราวนี้ผมถือปากกานิ่งๆ.. มันไต่ขึ้นจนสุดปลายปากกา แล้วขึ้นมาบนมือผม หยุดและขยับก้น..

ผมสะบัดมือทันที ด้วยกลัวมันต่อย มันกลิ้งลงไปกองบนโต๊ะทำงานอีกครั้ง..

เห็นสภาพมันแล้วก็นึกเสียใจที่ทำไป แต่มันมีเหล็กไน ยังไงเสียผมก็อดที่จะระแวงไม่ได้..

อดสงสัยตัวเองไม่ได้ ว่าเราจะวางใจเฉพาะผู้ที่ไม่มีทางทำอะไรเราได้เท่านั้นเองหรือ..

ผมพยายามกลั้นใจ ตั้งสติใหม่ เอามือยื่นไปให้เจ้าผึ้งมันไต่ขึ้นมาอีกครั้ง มันค่อยๆต้วมเตี้ยมขึ้นมาใหม่ช้าๆ

แต่พอผมเดินไปใกล้หน้าต่าง ผมก็รู้ว่ายังไงเสียผึ้งตัวนี้ก็คงออกไปข้างนอกไม่ได้แล้ว..

ลมกลางคืนข้างนอกพัดแรง แม้ว่าจะไม่พัดเข้ามาในห้องผมก็ตาม สภาพของเจ้าผึ้งตอนนี้ ถ้าผมโยนออกไป มันไม่มีทางจะต้านลมได้แน่ๆ แค่อากาศธรรมดาผมยังไม่แน่ใจเลย ว่ามันจะบินไหว

ผมปิดหน้าต่าง วางมันบนโต๊ะเหมือนเดิม แต่คราวนี้หยิบกระดาษทิชชู่มาทบ วางมันลงบนนั้น..

มันอยู่นิ่งสักพักก็หงายท้อง พอผมค่อยขยับให้มันคว่ำเหมือนเดิม มันก็คว่ำได้ ขยับปีก ขยับขาพอให้รู้ว่ายังไม่ตาย

ฟ้าข้างนอกมืดสนิทแล้ว..

นึกถึงบทกวีเล็กๆที่เคยเขียนไว้..


ดาวเอยดาวหอม..
ฉันเป็นผึ้งหวังตอมเพียงดอมดาว
ขยับปีกจนปีกร้าว
พอแรกเช้าก็หล่นลงสิ้นใจ..


เจ้าผึ้งตัวนั้นหงายท้องอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีทีท่าว่าจะขยับตัวได้อีก

เงยหน้ามองฟ้า ลมแรง ฟ้าใส ดาวเกลื่อนฟ้ายังคงแจ่ม

หวนนึกถึงตัวเอง หวนนึกถึงดาวน้อยดวงนั้น ดวงที่ผมไม่เคยสักครั้งที่จะลดละความพยายาม ไม่คิดที่จะถอยจะถอนตัว..

อีกนานไหมนะกว่าจะเช้า..

แล้วตอนนี้..ปีกของผมร้าวไปแค่ไหนกัน..


----------------------------------------------


				
8 ตุลาคม 2548 08:51 น.

..เขา..

หมอกจาง


สิ้นเสียงประตูเปิดแล้วก็ปิดดังโครม.. ผมก็กลับเข้ามาอยู่ในห้อง ห้องของตัวเอง

จากบ้านแก้วกลับมายังที่พักผม ไกลพอดู ผมไม่รู้หรอกว่าขับกลับมาอย่างไร ในหัวไม่มีความสนใจอื่นนอกจากเรื่องของแก้ว..

คนที่ทำให้ผมหงุดหงิดที่สุดชนิดที่ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำมาก่อนได้เลยในชีวิต แต่ก็นั่นแหละนะ..ผมก็ไม่เคยรักผู้หญิงคนไหนเท่าแก้วเหมือนกัน

อาจจะเป็นด้วยเหตุนี้ละมั้ง ผมถึงได้หงุดหงิดขนาดนี้..

ถ้าผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนที่ผมแคร์ที่สุด ผมคงไม่เก็บเรื่องของเธอมาใส่ใจมาเป็นอารมณ์ ก็คงเออออห่อหมกปลอบเธอด้วยคำหวานๆไปตามเรื่อง

นั่นสิ..เพียงแค่ปลอบ เพียงแค่บอกกับเธอถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เพียงเท่านั้นก็จบ.. เท่านั้นเอง

..โยนกุญแจรถไว้ข้างหมอน เปิดตู้เย็น หยิบเบียร์มารินใส่แก้ว นั่งสงบสติอารมณ์ตัวเอง..

ทำไมผมต้องหงุดหงิดขนาดนี้ น้อยใจขนาดนี้นะ..

เรื่องที่แก้วถามมาน่ะ มันไม่จริงสักนิดเดียว  ..ผมไม่เคยบอกรักผู้หญิงคนนั้น.. ไม่แม้แต่กระทั่งคิด กระทั่งให้ความสนใจกับเธอคนนั้น ผมเล่าความสัมพันธ์ ความรู้สึกของผมที่มีต่อผู้หญิงคนนั้นให้แก้วฟัง ตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอเอ่ยปากถามถึง
..เพื่อนร่วมงานกันธรรมดาน่ะแก้ว ผมไม่ได้คิดอะไรกับเขาหรอก
แล้วเขาคิดอะไรกับคุณหรือเปล่าล่ะ
อืมม..ไม่รู้แฮะ ต้องถามเค้าเอง อาจจะนะ..ผมยิ่งหน้าตาดีๆอยู่ ผมพูดยั่วให้แก้วหัวเราะเพื่อที่เธอจะได้สบายใจขึ้น ใจจริง..ผมรู้อยู่เต็มหัวใจว่าเพื่อนร่วมงานผม..ผู้หญิงคนนั้น คิดยังไงกับผม.. แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดออกไปให้แก้วไม่สบายใจทำไม..

แต่ผู้หญิงคนนั้น เป็นคนที่ชอบเอาชนะ อะไรที่เธออยากได้ เธอต้องเอาให้ได้ ไม่ว่าวิธีไหน
ชั้นจะเอาคุณมาเป็นของชั้นให้ได้ คอยดู เธอพูด สบตาผมอย่างท้าทาย ในวันที่ผมบอกกับเธอว่า ผมไม่สนใจเธอและผมจะไม่มีวันนอกใจแก้วเป็นอันขาด
..เธอมั่นใจในเสน่ห์ ในวิธีการของเธอ ผมก็มั่นใจความหนักแน่นของผมเหมือนกัน แต่แก้วนี่สิ..

วันเสาร์คุณไปที่ไหนมา แก้วถามผมในวันหนึ่ง
ผมไปประชุมไง ก็บอกคุณแล้วนี่นา ผมตอบเรื่อยๆ แก้วคงลืม
มีคนบอกแก้วว่า เห็นคุณไปเดินกับ..เธอ..คนนั้น เสียงแก้วลังเล เหมือนไม่แน่ใจว่าควรถามไหม
ผมเปล่า..แก้ว บ่อยครั้ง หลายครั้ง ที่ผมบอกกับแก้วว่าให้ทำใจให้หนักแน่น ผมไม่มีวันไปมีคนอื่นนอกจากแก้วเด็ดขาด ก่อนพบกับแก้วผมอาจคบกับคนโน้นคนนี้ไปตามประสาคนที่ไม่คิดจริงจังอะไรกับใคร เหมือนผึ้งที่แวะชมดอกไม้ดอกนั้นที ดอกนี้ที ดอกไม้บางดอก..หอมกลางวัน ดอกไม้บางดอก..หอมกลางคืน.. แต่แก้วคือดอกไม้ดอกเดียวที่ทำให้ผมละจากดอกไม้ทุกๆดอก ตั้งแต่เจอแก้ว..ผมรู้ทันทีว่านี่คือดอกไม้เพียงดอกเดียว..ที่ผมอยากได้

..แต่ดอกแก้วดอกนี้ก็กลีบบางเสียเหลือเกิน..



ผมอยากได้ความเชื่อใจ.. ผมอยากได้ความเชื่อมั่นจากผู้หญิงที่ผมรัก..ในทุกๆเรื่อง

บางที..นี่อาจเป็นสิ่งที่ผู้ชายต้องการที่สุด หรืออย่างน้อย ก็คือสิ่งที่ผู้ชายอย่างผมต้องการที่สุด

จำได้..ว่ามีหนังอยู่ไม่กี่เรื่องที่ทำให้ผมร้องไห้ อาจจะฟังดูตลกถ้าผมบอกว่าหนึ่งในนั้นคือหนังเด็กเรื่อง Shark Tale
ตัวเอกที่เป็นปลาที่มีความทะเยอทะยาน อยากเป็นผู้มีชื่อเสียง อยากเป็นคนที่ใครๆรู้จักและยอมรับ จนหลงลืมปลาอีกตัวที่รักเขา ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร มีชื่อเสียงหรือไม่ก็ตาม.. ปลาตัวที่มองเขาอย่างเชื่อมั่นเสมอมา

.. I wanna be somebody.. 

เขาเล่าความใฝ่ฝันของเขาให้เธอฟังในวันหนึ่ง

สุดท้ายหลังจากผ่านเรื่องราวต่างๆมากมาย ปลาตัวนั้นกลับมาหาปลาที่รักเขาอีกครั้งหนึ่ง เขาบอกว่าเขาไม่ต้องการอะไรอื่นนอกจากเธอ

..แต่คุณก็มีชื่อเสียงแล้วนี่ ใครๆก็รู้จักคุณ ใครๆก็ชื่นชมคุณ คุณเป็น Somebody อย่างที่คุณอยากเป็นแล้วไง คุณยังต้องการฉันทำไมอีก..

แล้วปลาตัวที่กลับมานั้นก็ตอบ..ด้วยประโยคที่ทำให้ผมร้องไห้

.. Without you, Im nobody..

ผมแค่ต้องการความเชื่อมั่นจากคุณแค่นั้นเอง..แก้ว จากคุณ..เพียงคนเดียว แววตาที่มองผมเหมือนอย่างที่คุณเคยมอง ไม่ใช่แววตาอย่างวันนี้..

ผมคงไม่ตามไปอธิบายกับคุณในทุกๆเรื่องที่ผมไม่ได้ทำ มันไม่ได้หมายความเพียงแค่เรื่องของเธอคนนั้น แต่ถ้าคนสองคนไม่เชื่อใจกันเป็นพื้น คำถามมันคงไม่มีวันหมด และคำอธิบาย..ก็คงไม่มีวันพอ

ผมถึงไม่อธิบายอะไรให้คุณฟังในวันนี้ มันจะมีประโยชน์อะไร ลงว่าถ้าคุณไม่เชื่อใจ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ คำถามมันก็จะมีมาไม่สิ้นสุด..

..ไม่สิ้นสุด จนผมเคยนึกกลัว ว่าความรักเราจะสิ้นสุดลงก่อนคำถาม..

ทำไม..คุณไม่เชื่อใจผม เหมือนที่ผมเชื่อใจคุณ

ทุกครั้งที่ผมถามหาความเชื่อใจ คุณบอกเสมอว่าคุณเชื่อใจ แต่สิ่งที่คุณแสดงออกมันไม่ใช่อย่างนั้น..

แก้ว..ผมรู้คุณรักผม ไม่น้อยกว่าที่ผมรักคุณ

แต่บางที ความรักมันก็ช่างเหนื่อยเหลือเกิน จนผมนึกสงสัยว่าระหว่างการมีความรัก กับการไม่มีความรัก อย่างไหนมันดีกว่ากัน

ก็แค่ความสงสัย..ที่ตอนนี้ผมเอง..ก็ยังไม่อยากได้คำตอบ


----------------------------------------------------------




				
26 กันยายน 2548 21:20 น.

ตกหล่นที่ริมลาน

หมอกจาง


วันนี้วันว่าง อากาศค่อนข้างสดใส แรกก็คิดที่จะทำงานที่คั่งค้างอยู่ให้เสร็จ แต่ปลายสัปดาห์อยากให้หัวตัวเองได้พักผ่อนบ้าง ผมเลยเลือกที่จะออกไปเดินเล่นข้างนอก

ในเมืองเล็กๆที่ผมอยู่ ที่ที่จะให้ไปเดินเล่นมีไม่เยอะ อีกอย่างผมเป็นคนที่มักไม่ค่อยมีความคิดใหม่ๆอะไรเท่าไรในเรื่องเที่ยว ที่ไหนที่ผมเคยไป ผมก็ชอบที่จะไปมันซ้ำๆอยู่นั่นแล้ว แม้ว่าผมจะรู้จัก จะจดจำมันได้แทบทุกซอกทุกมุมแล้วก็ตาม

ตวัดเป้ขึ้นหลัง ซาวอะเบาท์ใส่ไว้ในเป้ ไว้ฟังฆ่าเวลาขณะนั่งรถเมล์เข้าเมือง


จากบ้านเข้าไปในเมืองค่อนข้างไกล ฟังเพลงได้เกือบจบแผ่น ตลอดทางมีฝรั่งบ้าง เอเชียบ้าง ขึ้นรถลงรถกันเป็นระยะ เท่าที่ผมสังเกตดู คนเอเชียในเมืองนี้เพิ่มมากขึ้นจนเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าถ้าผมเดินสวนกับคน 10 คน ในนั้นจะต้องเป็นเอเชียอย่างน้อยสี่คน

ถึงที่หมาย เป็นแหล่งชอปปิ้งเซ็นเตอร์เล็กๆใจกลางเมือง อากาศดี มีคนเดินค่อนข้างมาก สำหรับผม ส่วนใหญ่ที่จะแวะก็มีเพียงแค่ร้านซีดีกับร้านหนังสือ แล้วก็ตบท้ายด้วยการเข้าไปนั่งร้านกาแฟ สั่ง Latte สักแก้วละเลียดกิน แล้วจากนั้นก็ค่อยกลับบ้าน

ก็เป็นอยู่อย่างนี้ วนเวียนอยู่อย่างนี้ ซ้ำไปซ้ำมาแทบทุกอาทิตย์

ที่ตรงลานเล็กๆ ตรงกลางชอปปิ้งเซ็นเตอร์แห่งนี้ จะมีคนมาเปิดการแสดงแลกเงินในทุกๆวันหยุด ภาษาบ้านเราคงเรียกว่า วณิพก ที่นี่เขาก็มีศัพท์เรียกเหมือนกัน น่าเสียดายที่ผมจำไม่ได้

พวกนักแสดงแลกเงินเหล่านี้เป็นนักแสดงกันจริงๆ ไม่ใช่แค่เพียงสักแต่เล่นอะไรไปตามเรื่องตามราวแล้วขอเศษเงินที่จะให้ด้วยความสงสาร เขาฝึกซ้อมกันอย่างจริงจัง แสดงและเล่นเป็นอาชีพ พวกที่แสดงกายกรรม การละเล่นผาดโผนเช่น มัดตัวเองด้วยโซ่แล้วพยามยามดิ้นให้หลุดด้วยการกระแทกทุ่มตัวลงกับพื้น หรือมีคนหนึ่งซึ่งขี่จักรยานล้อเดียวที่สูงราวสี่ห้าเมตรพร้อมวางแก้วน้ำไว้บนหัว จากนั้นโยนมีดสามเล่มสลับไปมาโดยที่พยายามทรงตัว ไม่ให้แก้วนั้นหล่นและจักรยานล้ม คนพวกนี้จะมีความเป็นมืออาชีพสูงมาก มีการโน้มน้าวคนดู เรียกร้องความสนใจให้คนเข้ามาเยอะๆ ตรึงคนดูให้อยู่จนจบการแสดง และทำให้คนดูสามารถหย่อนเงินลงในหมวกเขาที่เปิดรับได้เมื่อการแสดงจบ ผมว่างๆก็จะแวะเข้าไปดู และส่วนใหญ่ที่แวะเข้าไปดูก็มักจะเสียเงินทุกที อย่างน้อยสิ่งที่เขาทำทั้งหมดนับตั้งแต่การฝึกซ้อม การแสดง เรียกรอยยิ้ม เสียงหัวเราะและเสียงปรบมือจากคนดู เขาก็น่าจะได้อะไรตอบแทนกลับไปบ้าง

มีบ้างบางคนมาเล่นดนตรี มีเด็กผู้หญิงอายุราวสิบกว่าขวบมาสีไวโอลินด้วยท่าทางตั้งใจ ผู้ปกครองนั่งมองให้กำลังใจอยู่ห่างๆ มันไม่ใช่เรื่องน่าอายของคนที่นี่ที่จะให้ลูกเปิดการแสดงแบบเปิดหมวก ที่ริมทาง เขาคงแค่อยากให้ลูกเขาได้เรียนรู้ที่จะแสดงออก เงินที่ได้เป็นแค่รางวัลเล็กๆที่ไม่สำคัญ หากแต่น่าปลื้มใจสำหรับเด็กผู้หญิงคนนั้น

ครั้งหนึ่ง ตรงตรอกเล็กๆข้างลานโล่งเห่งนี้ ตรอกที่น้อยคนจะเดินแวะเวียนเข้าไป ผมเห็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ท่าทางอารมณ์ดี เป็นศิลปินเต็มตัว กำลังเล่นกีต้าร์ของเขาอยู่ เล่นด้วยความตั้งใจ มองหน้าและส่งยิ้มให้ผู้ชมของเขาซึ่งมีเพียงคนเดียว ซึ่งเป็นเด็กชายอายุราวสี่ห้าขวบเท่านั้น ในมือเด็กชายมีเหรียญ 50 เซ็นท์ซึ่งแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าจะไม่วางให้จนกว่านักดนตรีจะเล่นเพลงจบ ผมฟังเสียงกีต้าร์ ฟังเสียงร้องและรอยยิ้มที่มีความสุขบนใบหน้าของเขา มันเหมือนกับว่าเขาไม่ได้กำลังเล่นให้เด็กชายตัวเล็กๆฟัง หากแต่กำลังเล่นให้โลกทั้งโลกฟัง
แต่ไม่หรอกมั้ง..บางทีถ้าเขากำลังเล่นให้โลกทั้งโลกฟังจริงๆ มันคงไม่กินใจขนาดนี้ และเขาก็อาจไม่มีความสุขขนาดนี้ก็เป็นได้
สุดท้าย..เด็กชายก็วางเหรียญ 50 เซ็นต์นั้นลงพร้อมรอยยิ้มกว้าง ผมรู้เมื่อผมได้เห็นรอยยิ้มของเด็กคนนั้น..ว่าที่หนุ่มนักดนตรีต้องการ ไม่ใช่เหรียญ 50 เซ็นต์นั้นหรอก..
รอยยิ้มนั้นมีค่าเท่าไรไม่รู้ ผมรู้แต่ว่า..มันคงไม่อาจแลกมาได้ด้วยเงินทอง ไม่ว่าเท่าไรก็ตาม



อีกครั้งหนึ่งที่ลานเล็กๆแห่งนี้ มีนักร้องผู้หญิงอายุราวสัก 4-50 ปีได้เธอมาพร้อมกับเครื่องขยายเสียงอันเล็ก มาตอนเย็นที่ใครต่อใครพากันกลับบ้านเกือบหมดแล้ว ลานดูว่างจนแทบจะร้าง ผม..ซึ่งเดินผ่านเธอเพื่อจะไปยังป้ายรถเมล์เพื่อกลับบ้าน ก็ยังอดนึกสงสัยไม่ได้ ว่าทำไมเธอถึงมาเอาป่านนี้ ยังนึกขำอยู่ในใจว่า เธอมาเปิดแสดงเอาตอนนี้แล้วใครจะให้เงินเธอ

แล้วผมก็ได้คำตอบในเวลาไม่นานเลย


เธอเตรียมอุปกรณ์เสร็จแล้วก็เริ่มร้องเพลง ร้องสดๆ ไม่มีดนตรีประกอบ ในขณะที่ลานร้างผู้คน ตะวันจรดอยู่ตรงขอบฟ้า ร้านรวงปิดหมดทุกร้าน แต่เธอก็ร้อง ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง..เธอร้องเพลง Smoke Get In Your Eyes..

ผมเคยฟังเพลงนี้มาก่อน หลายครั้ง หลายคนร้อง แต่อาจจะด้วยบรรยากาศ หรือน้ำเสียงของเธอที่เติมชีวิตลงในลานว่างแห่งนั้น ผมสาบานได้ ว่าเพลง Smoke Get In Your Eyes ในวันนั้น เพราะที่สุดเท่าที่ผมเคยฟังมาในชีวิต

ผมหยุดฟังจนจบเพลง เดินย้อนกลับไป หยิบเงินในกระเป๋าหย่อนให้เธอพร้อมทั้งเอ่ยขอบคุณ..

วันนั้นผมหวังเพียงว่าเธอจะกลับมาที่นี่อีก มาเติมเต็มความว่างเปล่าด้วยเสียงเพลงของเธออีก แต่หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยพบเธอ

บางครั้ง บางเวลา ความว่างเปล่าที่เกิดขึ้นในยามที่ผมเดินคนเดียวบนลานที่เต็มไปด้วยผู้คนขวักไขว่จะดึงความทรงจำของผมกลับไปสู่เพลงนั้นเสมอ

..Smoke Get In Your Eyes..



วันนี้หนุ่มนักดนตรีไม่อยู่ตรงที่เก่า มองหาตรงตรอกเล็กๆนั่นก็ไม่เห็น นักกายกรรมก็อยู่ในช่วงพักรอสำหรับจะขึ้นแสดงรอบต่อไป

สิ่งที่สะดุดตาผมกลับเป็นคุณลุงร่างผอมคนหนึ่ง หน้าตาที่ยับย่นดูออกว่าเป็นคนเอเชีย แกใส่วิกผมผู้หญิง สวมกระโปรงยาว ยาวชนิดที่เรียกว่าแกยืนอยู่บนกล่อง ชายกระโปรงยังคลุมลงมาถึงพื้น บนหัวสวมพวงมาลัยดอกไม้ปลอมคล้ายสาวฮาวาย ที่เอามีห่วงฮูลาฮูปที่แกต้องเต้นส่ายเอวเลี้ยงเอาไว้ตลอดเวลา แกเต้นไปพร้อมทั้งปรบมือตะโกนเรียกความสนใจจากผู้คนที่เดินผ่านไปมา

ผมหยุดยืนมองแกนิดหนึ่งแล้วก็เดินผ่านไป รู้สึกแปลกๆ ที่เห็นคนแก่อายุขนาดนี้ มาแต่งตัวเป็นผู้หญิงเต้นฮูลาฮูปแล้วเต้นเพื่อแลกเศษเงิน มันออกจะดูเกินไปอยู่บ้าง

ผ่านไปครึ่งค่อนชั่วโมงผมเดินย้อนกลับมาทางเดิม ก็ยังเห็นแกยืนเต้นอยู่เหมือนเดิมโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดพัก นึกแปลกใจเลยหยุดดู ผ่านไปสิบนาที สิบห้านาที แกก็ยังคงเต้นส่ายเอวอยู่อย่างนั้น ปรบมืออยู่อย่างนั้น ถามฝรั่งไว้หนวดที่ยืนดูอยู่ใกล้ๆ เขาบอกว่าเขายืนดูอยู่ก่อนหน้าผมนานแล้ว เขาก็ไม่เห็นแกหยุดเต้นเหมือนกัน

ด้านหน้าแกมีแผ่นกระดาษเขียนเป็นภาษาอังกฤษด้วยลายมือโย้เย้ เห็นฝรั่งหลายคนเดินเข้าไปอ่านแล้วก็โยนเศษเงินลงในกล่องข้างหน้าแก แกก็ขอบคุณทุกคนไป ผมอยากรู้เลยเดินเข้าไปอ่านบ้าง ข้อความบนกระดาษนั้นมีใจความว่า

ผมเป็นทหารผ่านศึกจากสงครามเกาหลี ที่ขาข้างหนึ่งต้องพิการไปเพราะกระสุนเจาะผ่าน (คุณสามารถเปิดผ้าที่คลุมอยู่ดูได้ หากคุณต้องการ) ที่ผมออกมาเต้นที่นี่ ก็เพื่อรวบรวมเงินกลับไปสร้างโบสถ์คริสต์ในถิ่นทุรกันดารที่บ้านเกิดผม เกาหลีใต้ เพื่อให้ชาวบ้านยากไร้ที่นั่นได้มีโอกาสพบและรู้จักกับพระเจ้า หากคุณต้องการช่วยเหลือ กรุณาหย่อนเงินของคุณลงในกล่อง

ผมถอยออกมา มองหน้าแกด้วยความรู้สึกที่ต่างออกไปจากเดิม จากที่เข้าใจผิดว่าแกทำทั้งหมดนี้เพื่อตัวของแกเอง..

ผมเปิดกระเป๋า หยิบเงินออกมา มันไม่ใช่เศษเงิน..ผมรู้ แต่ผมก็เต็มใจที่จะให้แก

ขอบคุณ ขอบคุณ แกขอบคุณผมด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่งๆ ปากพยายามเหยียดออกส่งยิ้มหากแต่ดูเหนื่อย ผมรู้ว่ายิ้มแกจริงใจจากแววตา..

คุณก็เป็นคริสต์เหรอ ผมนึกว่าคุณเป็นพุทธเสียอีก คนเอเชียที่ผมเคยคุยด้วยส่วนใหญ่เป็นพุทธ ฝรั่งไว้หนวดคนเดิมชวนผมคุย
เปล่าหรอก ผมปฏิเสธ ตายังคงมองที่ลุงคนที่เต้นอยู่บนกล่องนั่น ผมเป็นพุทธ
ฝรั่งคนเดิมมองหน้าผมด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ

แล้วคุณบริจาคทำไมล่ะ เขาเขียนไว้ว่าจะเอาไปสร้างโบสถ์คริสต์ คุณอ่านไม่ออกเหรอ
ผมอ่านออก ผมจบบทสนทนาแค่นั้นแล้วเดินออกมา คร้านที่จะอธิบาย

จริงๆแล้วผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม..

ผมให้ไปก็เพราะตื้นตันกับสิ่งที่แกทำ ด้วยความรู้สึกอยากให้ ไม่สำคัญว่าศาสนาอะไร แต่กับสิ่งที่แกทำ ผมรับรู้ได้ ว่ามันดี มันยิ่งใหญ่

พอมาย้อนนึกๆ ผมก็คิดว่าผมเริ่มจะเข้าใจ

บางทีศาสนาไม่ใช่สิ่งสูงสุดหรอก

ศาสนาคือสิ่งที่เกิดขึ้นทีหลัง ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษย์นับหมื่นๆปี ศาสนาเพิ่งเกิดมากันได้ไม่กี่พันปีเอง

ศาสนา..เกิดจากมนุษย์

แล้วอะไรล่ะที่อยู่ก่อนหน้านั้น อะไรที่อยู่เบื้องหลังที่ทำให้เกิดเป็นศาสนาขึ้นมา

ผมเชื่อ..ว่าความดีงามในจิตใจของคน มีมาก่อนศาสนาใดๆเนิ่นนานแล้ว

ความห่วงใยผู้อื่น ความรัก ความเอื้ออาทร ความรู้สึกดีที่ได้เห็นผู้อื่นมีความสุข มีรอยยิ้ม

ผมเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ถูกปลูกฝังขึ้น หากแต่มีอยู่แล้วในหัวใจทุกดวง

ความรักนั้นเรามีมากันตั้งแต่แรก แต่การแบ่งแยกต่างหากที่ถูกปลูกฝังขึ้นทีหลัง

กับลุงนักเต้นคนนั้น การที่จะตื้นตันไปกับสิ่งที่แกทำ ผมไม่จำเป็นที่จะต้องนับถือศาสนาเดียวกันกับแก

เราทุกคน ต่างมีหัวใจดีๆอยู่เหมือนกันคนละหนึ่งดวง

และนั่นก็เพียงพอแล้ว...
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงหมอกจาง