25 มีนาคม 2551 09:30 น.

รู้แจ้งฉับพลัน...ชาติเดียวหลุดพ้น

คีตากะ

มีคนมักบอกว่า ให้เชื่อฟังคำสั่งสอนของคนโบราณแล้วชีวิตจะประสบความสำเร็จ มันก็เกิดข้อโต้แย้งของบางคนขึ้นมาว่า คำสอนของคนโบราณสอนให้ใคร? เราก็มาตอบได้ว่า เขาสอนให้คนโบราณโน้น เดี๋ยวนี้มันยุคไหนแล้ว บางอย่างก็ล้าสมัย อย่างเช่นคำว่า เรียนสูงๆจะได้เป็นเจ้าคนนายคน เราว่าปัจจุบันนี้เห็นคนเรียนสูงๆเป็นแต่ลูกจ้าง ไม่เป็นข้าแผ่นดินก็เป็นลูกจ้างบริษัทเอกชน อาจเป็นได้ว่าสมัยโบราณ คนที่จะได้มีโอกาสร่ำเรียนหนังสือคงจะมีน้อย ก็เลยเหมาไปเลยว่าใครเรียนสูงๆจะได้เป็นเจ้านาย แต่ทุกวันนี้คนเรียนสูงๆตกงานก็มีให้เห็นกันเกร่อ ปัจจุบันการศึกษาก็เปลี่ยนแปลงไปแยะ พูดมากไปไม่ค่อยได้มีคุณครูที่น่านับถืออยู่มาก แต่อยากยกคำพูดของคนบางคนที่ได้ยินมาเขาบอกว่า ไม่มีสถาบันไหนสอนให้คนเป็นเจ้าของกิจการ ส่วนใหญ่สอนให้เป็นลูกจ้าง เรามานั่งคิดดูก็เห็นว่ามีส่วนจริง ใครๆก็พูดว่าเรียนสูงๆจะได้มีงานทำดีๆ ความหมายก็คือส่งเสริมให้เป็นลูกจ้างอยู่ดี ไม่เห็นบอกว่าเรียนสูงๆจะได้เป็นเจ้าของกิจการ มันก็น่าคิดเหมือนกัน เคยได้ยินคนรวยบางคนพูดว่า การจะร่ำรวยหรือยากจนอยู่ที่ตรงการเลือกอาชีพ ถ้าเลือกอาชีพที่มีโอกาสรวยก็มีสิทธิรวย ถ้าเลือกอาชีพที่ทั้งชาติไม่มีโอกาสรวยก็ย่อมไม่รวย ฟังแล้วมันก็น่าสนใจ เขาให้สังเกตจากคนที่เคยทำอาชีพนั้นจนปลดเกษียณว่าสุดท้ายส่วนใหญ่เป็นอย่างไร รวยหนี้ รวยทรัพย์ รวยน้ำใจ รวยเพื่อน หรือรวยอะไร ? ก็คิดว่าทุกคนมีมุมมองแตกต่างกันไป...
แม้แต่เรื่องของศาสนาที่เป็นเรื่องอ่อนไหวในสังคม ก็มีความเชื่อแบบคล้ายคลึงกันนี้มาแต่โบราณเหมือนกัน ศาสนาดั้งเดิมได้แตกนิกายออกไปมากมาย และกลายเป็นประเด็นถกเถียงกันไม่จบไม่สิ้น จนถึงที่สุดกลายเป็นสงครามศาสนาชนิดอยู่ร่วมแผ่นดินกันไม่ได้ ก็มีให้เห็นอยู่เนืองๆ
มันก็คงวุ่นกันตรงนี้แหละ ที่นำคำสอนของคนโบราณมาใช้ในยุคปัจจุบันโดยไม่มีการพินิจไตร่ตรองอย่างรอบคอบ อย่างเช่นศีลบางข้อของพระสงฆ์ที่ห้ามพกพาเงินกับตัว ทราบมาว่าสาเหตุเพราะพระสงฆ์สมัยโบราณมักเดินธุดงค์ไปตามป่าเพื่อการฝึกภาวนาสมาธิ และเงินสมัยโบราณทำจากเหรียญโลหะเสียส่วนใหญ่เวลากระทบกันจะมีเสียงดัง อาจรบกวนการปฏิบัติธรรมได้โดยง่าย พระพุทธเจ้าจึงห้าม บัญญัติเป็นศีล แต่ถ้าเป็นสมัยปัจจุบัน เงินส่วนใหญ่เป็นธนบัตรทำจากกระดาษ เรื่องจะเกิดเสียงรบกวนคงจะยาก แต่ถ้ามายึดเอาตายตัวก็คงเพิ่มความลำบากให้กับชีวิตมากขึ้นและไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าที่ควร แต่พอใครคิดจะมาเปลี่ยนแปลงก็จะต้องเกิดเรื่องแน่นอน ถูกตราหน้าว่าพวกนอกรีต นอกธรรม เหมาเอาเลย แต่คงไม่ถึงกับสุดโต่งเหมือนบางคนที่ชอบพูดว่ากฎมีไว้ให้ฝ่า นี่ก็คงเกินไป เพราะกฎเกณฑ์ต่างๆมีไว้เพื่อรักษาสังคมให้สงบสุขเรียบร้อยมากขึ้น ถ้ามันสมเหตุสมผลพอกับยุคสมัย ไม่เช่นนั้นก็จะล้าหลังมีไว้เพื่อสอนคนโบราณ ใช้ไม่ได้กับคนสมัยนี้ 
	โดยเฉพาะเรื่องที่สูงสุดที่ไม่ค่อยมีใครกล้าพูดมากกลัวโดนข้อหาอวดอุตริทางธรรม
อย่างเช่น นิพพาน คนที่ควรจะมีสิทธิพูดจะต้องเคยนิพพานมาแล้ว คนไม่เคยไม่ควรพูด เพราะมันจะกลายเป็นเพียงแค่ความรู้ไม่ใช่มาจากประสบการณ์ และเสี่ยงกับการสร้างวจีกรรม ฟังดูแล้วมันก็น่ากลัวจนเกินไป เปรียบไปแล้วมันก็คล้ายกับบุรุษไปรษณีย์ ที่ไม่ใช่เป็นคนเขียนจดหมายเองแต่มีหน้าที่ส่งจดหมาย ถ้าถามว่าข้อความในจดหมายคืออะไร หรือในกล่องพัสดุนี้มีอะไร เขาก็ไม่สามารถตอบได้ เพราะเขามีหน้าที่ในการส่งอย่างเดียว แค่รักษาสิ่งของหรือจดหมายจนถึงมือผู้รับในสภาพที่เรียบร้อยก็เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว ฉันใดก็ฉันนั้น บางครั้งเคยพบว่าคนที่พูดบางคนมีความคิดที่ดีมากๆแต่ไม่เคยลงมือปฏิบัติเลยสักครั้ง ถ้าเราเพียงแต่เปิดใจให้กว้างนำเอาความคิดของเขาลองไปปฏิบัติจนเกิดมรรคเกิดผลขึ้นมาก็ถือว่าการฟังได้ประโยชน์อย่างมาก คนพูดอาจไม่เคยปฏิบัติมา แต่เขาอาจเคยได้ยินได้ฟังคนที่เขาเคยประสบความสำเร็จมาแล้วจำมาพูด นั่นก็เป็นประโยชน์ต่อคนฟังเช่นกัน คนฟังจึงควรมีวิจารณญาณให้มากในการเลือกที่จะกลั่นกรองข้อมูลที่เป็นประโยชน์ อันนี้คงต้องขึ้นอยู่กับระดับสติปัญญาของแต่ละคน เฉกเช่นการจะเข้าถึงนิพพาน อันเป็นเรื่องที่สำหรับบางคนมันอาจจะไกลเกินเอื้อม แต่สำหรับบางคนก็เป็นเรื่องง่ายๆ ถึงกับมีบางคนเปรียบเทียบว่าง่ายกว่าการยืนเข้าแถวซื้อของเสียอีก เรื่องราวทำนองนี้เราก็เคยได้ยินได้ฟังมามากแม้เราจะไม่รู้ว่านิพพานเป็นอย่างไร แต่ก็อยากเสนอแนวความคิดเผื่อจะเป็นประโยชน์กับบางคนที่สนใจ สิ่งแรกต้องเกริ่นตั้งแต่สมัยพุทธกาลว่า แม้พุทธศาสนาเองก็ยังแตกออกเป็นฝักเป็นฝ่ายมากมาย แต่ที่เห็นชัดๆคือนิกายมหายานกับเถรวาทหรือหินยาน แค่สองนิกายนี้ก็ถกเถียงกันไม่รู้จักจบจักสิ้นตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน เราก็ฟังเขาเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง แต่ความที่เราเคยศึกษาทั้งสองนิกายมาบ้างพอสมควรและเห็นข้อดีข้อเสียของแต่ละฝ่ายก็รู้สึกเศร้าใจที่แม้ธรรมะจะมีหนึ่งเดียว แต่ความที่จิตใจคนแตกต่างกันไป จึงทำให้เกิดข้อโต้แย้งมากมายในข้อทฤษฎีและข้อปฏิบัติ เราไม่พูดถึงนิพพานคืออะไร? แต่พยายามหาวิถีทางในการก้าวไปสู่สิ่งนี้ หนทางใดที่เหมาะกับอุปนิสัยของใครก็ควรเดินไปตามเส้นทางนั้น เพราะเราเชื่อว่าแม้จะมีวิถีทางที่ดีที่สุดแต่ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถกระทำได้ เพราะคำว่าอัตตา ตัวเดียว ทุกคนก็มี ตัวกู ของกู ด้วยกันทั้งนั้น มีความคิด มีนิสัย ความชอบแตกต่างกันไปตามประสบการณ์ที่สั่งสมมายาวนาน แต่เราอยากจะมากล่าวด้วยเหตุด้วยผลมากกว่า เราเข้าใจว่าพระพุทธองค์สามารถที่จะหยั่งรู้และแยกแยะภาวะจิตของสรรพสัตว์ได้อย่างกระจ่างแจ้ง ดูได้จาก ทศพลญาณ  พระองค์สามารถจะสั่งสอนอบรมสรรพสัตว์ตามระดับสติปัญญาของแต่ละบุคคลได้ จึงได้เกิดเรื่อง ดอกบัวสี่เหล่าขึ้น ใครที่หนาแน่นด้วยความหลงผิดก็ต้องฝึกฝนกันหนักหน่อย ใครมีปัญญาสูงก็สอนแบบเบาหน่อย เปรียบเสมือนนักเรียนที่มีระดับสติปัญญา หรือไอคิวแตกต่างกันนั่นเอง คนฉลาดย่อมเข้าใจอะไรได้ง่ายกว่าคนไม่ฉลาด ย่อมเป็นสัจธรรม หลักธรรมจึงมีถึง แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ก็เพื่อให้เหมาะกับอุปนิสัยของสรรพสัตว์ที่แตกต่างกัน บางคนเหมาะกับเถรวาท บางคนเหมาะกับมหายาน แต่เป้าหมายหลักก็เพื่อเข้าถึงธรรมอันสูงสุด อะไรเรียกว่า หลักธรรมสูงสุด พระพุทธองค์เองย่อมเป็นตัวอย่างของการเป็นผู้เข้าถึงหลักธรรมสูงสุด ซึ้งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของสภาวะจิตล้วนๆไม่เกี่ยวกับรูปธรรมใดๆ แต่ข้อหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมี ผู้นำทางหรือคนชี้แนะ บางคนบอกว่าก็หลักธรรมในคัมภีร์ต่างๆที่จารึกไว้นั่นไง แต่อย่าลืมว่า คัมภีร์เหล่านั้นใช้สอนคนสมัยโบราณ และเรื่องส่วนใหญ่ก็เป็นการที่พุทธองค์ชี้แนะสั่งสอนพุทธบริษัทกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น อยู่ที่ว่าสอนใคร? ระดับภูมิธรรมขั้นไหน? เหมือนกับระบบการศึกษา คนเรียนดอกเตอร์จะมานั่งเรียนในโรงเรียนประถมไม่ได้ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าเราบอกว่าดอกเตอร์สูงสุด การเรียนการสอนระดับนี้ต้องไม่เหมือนกับการเรียนชั้นประถมแน่นอน แล้วมันจะยิ่งละเอียดอ่อนขนาดไหนถ้ามันไม่ใช่การเรียนรู้แค่ระดับสมองแต่มันลึกถึงระดับวิญญาณ ที่ยากพิสูจน์จับต้องและแยกแยะระดับชั้นหรือภูมิธรรมได้ง่ายๆ เราไม่เปรียบเทียบว่านิกายไหนดีกว่ากัน ให้เป็นไปตามความชอบส่วนบุคคลน่าจะเหมาะกว่า แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่า การจะเดินทางไปในที่ที่เราไม่เคยไป เช่น ไปต่างจังหวัดหรือไปต่างประเทศ ถ้าเราไปด้วยตนเองมันก็จะมีผลเพียงสองอย่างคือ ไปถึงจุดหมายกับไปไม่ถึงจุดหมาย แต่ถ้าเรามีผู้นำทางหรือเรียกว่าไกด์ซึ่งเขาเป็นผู้ชำนาญทางและเคยไปที่แห่งนั้นมาแล้ว ผลมันก็จะรับประกันได้แน่นอนกว่าว่าจะไปถึงจุดหมายและไม่เกิดการหลงทาง โดยเฉพาะเสียเวลาจากการหลงทิศหลงทางไป จนถึงกับแย่ที่สุดคือหาไม่พบจุดหมายปลายทางเลย เสียเงิน เสียเวลา เสียพลังงาน โดยเฉพาะเสียความรู้สึก และในที่สุดเราก็พบว่าตัวเราล้มเหลว พระพุทธองค์เป็นตัวอย่างของไกด์ที่ดี ผลก็คือในสมัยพุทธกาลมีผู้เข้าถึงธรรมขั้นสูงได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งแตกต่างกับปัจจุบัน ที่มีแต่นักพูดและหานักปฏิบัติได้ยาก และในบรรดานักปฏิบัติส่วนใหญ่ก็หลงทาง มีส่วนน้อยมากที่ประสบความสำเร็จด้วยตนเองโดยไม่มีอาจารย์ชี้แนะ แม้พระพุทธองค์เองตั้งแต่เล็กจนโตก็มีอาจารย์คอยชี้แนะมาตลอด ล้วนเป็นอาจารย์ระดับประเทศทั้งสิ้น อาจารย์ดังแห่งยุค ซึ่งในอินเดียและเนปาลสมัยก่อนเต็มไปด้วยผู้บำเพ็ญ จนปัจจุบันก็ยังมีให้เห็นกันอยู่มากมาย วิถีทางแตกต่างกันไปแต่จุดหมายเดียวกัน โดยเฉพาะบริเวณเทือกเขาหิมาลัย ล้วนเป็นที่ชุมนุมของเหล่านักบุญ และพระพุทธองค์ก็เคยจาริกไป การจะค้นหาไกด์นำทางที่ดีเป็นเรื่องที่ยาก โดยเฉพาะคนที่จิตใจคับแคบย่อมยากที่จะฟังใครง่ายๆ แต่เรามีคัมภีร์โบราณมากมายมีนิกายมากมาย ศาสนามากมาย ถ้าเรานำมาศึกษาเปรียบเทียบให้ดี เปิดใจให้กว้าง ไม่ยึดติดจนเกินไปกับความเชื่อเดิมๆ ที่บางครั้งก็ล้าสมัย แล้วนำมาเปรียบเทียบกับอาจารย์ดีอาจารย์ดังในปัจจุบัน คิดว่าคงไม่สุดวิสัยเกินไปที่จะหาพบอาจารย์ดีสักคนหนึ่ง มีคำกล่าวว่า ทุกยุคทุกสมัยจะมีนักบุญหรือพุทธะมาเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์เสมอ แต่ถ้าเราไม่มีบุญสัมพันธ์หรือไม่คิดจะค้นหาก็ย่อมยากยิ่งที่จะได้พบเจอ อีกอย่างสังคมที่ต้องดิ้นรนแบบปากกัดตีนถีบ ต่อสู้เพื่อความอยู่รอดก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน เวลาของชีวิตก็เหลือน้อยลงจนไม่เหลือเวลาเพื่อเป้าหมายสูงสุดของชีวิตนี้ นั่นคือ การหลุดพ้น เป็นอิสระจาก โลภ โกรธ หลง คำสอนต่างๆก็มีมากมายจนเกินไปแล้ว แต่มีสักกี่คนที่มีประสบการณ์จริงๆ รู้แจ้งจริงๆ เพียงแค่รู้ต่างกับรู้แจ้ง การรู้ต้องอาศัยตำรา ครูอาจารย์ช่วยสอน แต่การรู้แจ้งมาจากประสบการณ์จากภายใน สิ่งแรกหาได้จากภายนอก แต่สิ่งหลังหาได้จากภายในจิตใจ และถ้ามีอาจารย์คอยชี้แนะก็ย่อมไปได้เร็วกว่ามาก โดยเฉพาะในปัจจุบันยิ่งจำเป็นต้องมีอาจารย์ เพราะมายาที่จะล่อลวงจิตใจให้หลงทางได้มีมากมายกว่าอดีตนัก ไม่มีอะไรตายตัวและต้องยืดหยุ่นตามสถานการณ์ ปรับเปลี่ยนไปตามกระแสโลก เหมือนโรคภัยไข้เจ็บที่กำเนิดขึ้นมากมาย บ้างก็กลายพันธุ์จากเดิม บ้างก็เกิดขึ้นมาใหม่ มีให้เห็นอยู่ การบำบัดรักษาก็ต้องเท่าทันโรคภัยต่างๆเช่นเดียวกัน ไม่เช่นนั้นก็ถูกเรียกว่าล้าหลัง ไม่ทันโลก ถ้าเป็นรถก็เรียกว่า ตกรุ่น อะไรประมาณนั้น

	ถ้าเราพบอาจารย์ดีแล้วมันก็ง่ายขึ้นเยอะ เราก็เพียงแต่ทำตามที่อาจารย์ชี้แนะ และเดินตามท่านโดยไม่ท้อถอยกลับหลัง ไม่ยอมแพ้กลางทางเชื่อว่าจุดหมายปลายทางย่อมเป็นที่หวังได้ เพราะอาจารย์ดีที่แท้จริงนั้นหาใช่สามัญชนคนธรรมดาไม่ แม้ท่านจะจากโลกนี้ไปแล้ว ท่านก็จะยังคงสามารถช่วยเหลือศิษย์ไปจนตลอดรอดฝั่งได้ในที่สุด จึงมีคำกล่าวว่าการได้เพียงพบหน้าอาจารย์ดีสักครั้งก็ถือว่าหลุดพ้นแล้วทันที แม้คนผู้นั้นจะไม่รู้ว่าคนๆนั้นเป็นอาจารย์ดีก็ตาม หรือแม้กระทั่งเกลียดชังก็ตาม ในที่สุดอาจารย์ดีก็ยังคงช่วยเหลือคนผู้นั้นได้อยู่ดี ก็ขึ้นชื่อว่าอาจารย์ดีย่อมกระทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว คนธรรมดาสามัญย่อมไม่สามารถกระทำได้ ย่อมเป็นสิ่งจริงแท้แน่นอน มิเช่นนั้นก็ไม่คู่ควรกับคำว่า อาจารย์ดี อาจเป็นได้แค่อาจารย์ดังเท่านั้น ซึ้งล้วนมีให้เกร่อเต็มบ้านเต็มเมือง......อีกเรื่องหนึ่งที่ล่อแหลมเป็นอย่างมากที่จะกล่าวถึง คือเรื่องของ  กรรม การที่นักปฏิบัติส่วนใหญ่ล้มเหลวกลางทางเหตุผลส่วนหนึ่งมาจากกรรมนี่เอง กรรมคือนิสัยหรือความคิดที่ฝั่งแน่นมาจากอดีต จนกลายเป็นความเคยชิน ทำให้คิดแบบเดิม พูดแบบเดิม และกระทำแบบเดิม ชีวิตก็เลยเป็นแบบเดิมๆ มีคนกล่าวว่า ความคิดเปลี่ยน ชีวิตก็เปลี่ยน น่าจะใช้ได้ดี แม้พุทธองค์จะห้ามมิให้คิดถึงเรื่อง กรรม เพราะเป็นเรื่องซับซ้อน ละเอียดอ่อน แต่พระองค์ก็กลับมีวิธีที่จะพิชิตกรรมนี้ได้ การที่ทรงหยั่งทราบว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งเที่ยงแท้แน่นอน กล่าวคือ ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง กรรมก็เช่นเดียวกัน สามารถแก้ไขได้ ซึ่งอาจเป็นเรื่องเหนือความเข้าใจของมนุษย์ เรามักได้ยินบ่อยๆว่าใครทำกรรมอะไรตัวเองก็ต้องชดใช้ ถูกต้องถ้านั่นเป็นปุถุชน แต่ถ้าเป็นอาจารย์ดีหรือพุทธะท่านเหล่านั้นจะมีวิธีรับมือได้เสมอ เพราะไม่มีอะไรที่อาจารย์ดีทำไม่ได้ แม้กระทั้งในพุทธประวัติยังสามารถทำให้นรกว่างได้แม้เพียงชั่วขณะก็เคยมีมาแล้ว ท่านเข้าใจระบบการทำงานของมัน ที่ปัจจุบันเรียกว่า อินพุท เอ๊าพุท รู้ความเป็นมาเป็นไป จึงสามารถแก้ไขได้โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า พุทธานุภาพ ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ที่ปัจจุบันยังไปไม่ถึง เป็นวิทยาศาสตร์ขั้นสูง แท้ที่จริงโลกนี้ล้าหลังอย่างมาก ไม่มีสิ่งใดที่อาจารย์ดีทำไม่ได้ เพราะท่านมีปัญญามากกว่าคนธรรมดา มากกว่านักวิทยาศาสตร์ที่เก่งที่สุดในโลก ท่านคือยอดนักวิทยาศาสตร์ และเยี่ยมยอดในทุกศาสตร์สาขาวิชา เพราะท่านคือต้นกำเนิดของศาสตร์ต่างๆนั่นเอง เพราะท่านเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ อะไรที่ธรรมชาติสร้างขึ้น ล้วนอยู่ในความสามารถของท่าน แม้แต่โลกใบนี้ แม้แต่จักรวาลทั้งจักรวาล มีดาวเคราะห์ต่างๆเป็นต้น ท่านย่อมรู้จักหมด ไม่มีอะไรที่ท่านไม่รู้เพราะท่านได้ชื่อว่าสัพพัญญู ท่านจึงสามารถแก้ไขกรรมต่างๆของศิษย์ได้และทำให้เขาเหล่านั้นเข้าถึงธรรมได้อย่างปลอดภัยและใช้เวลาเพียงสั้นๆ ท่านไม่ได้สอนอะไรเพียงทำให้ทุกคนเป็นเหมือนกับตัวท่าน เพราะท่านรู้ว่าสรรพสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน และรวมทั้งท่านด้วย ท่านไม่ได้สอนอะไรใหม่ เพราะนี่คือธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นอย่างนี้ ตั้งแต่ก่อนมีโลกและจักรวาล ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ มีสิ่งเดียวที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้คือสิ่งนี้นี่เอง สิ่งที่เรียกว่าจิตเดิมแท้ หรือหน้าตาดั้งเดิมหรือธรรมชาติพุทธะหรือเต๋า หรือพระเจ้า นี่คือความจริงของชีวิตข้อเดียว นี่คือสัจธรรมสูงสุด ผู้ที่เข้าถึงสิ่งเหล่านี้เรียกว่านิพพาน นั่นเอง มิใช่ตาย เพราะคนที่นิพพานต้องนิพพานเวลาเป็นๆถ้าคนที่นิพพานแล้วตายเรียกว่า ดับขันธปรินิพพาน ไม่รู้ศัพท์ถูกต้องหรือเปล่า ไม่เคยเรียนมาเสียด้วย การอธิบายมีมากเกินไปแล้ว ถึงเวลาต้องค้นหาอาจารย์ดีและปฏิบัติมันด้วยใจ จนเกิดมรรคเกิดผลเห็นแจ้งขึ้นมาจริงๆนั่นแหละจึงเรียกว่ายอดคน ตามกำลังสติปัญญาของแต่ละคนก็แล้วกัน........สาธุ


				
6 มีนาคม 2551 12:10 น.

เรื่องบ่น ตอนที่สอง

คีตากะ



           และแล้ว ! ก็เป็นเหมือนเก่า..ในที่สุดเราก็ก้าวเข้ามาสู่จุดเริ่มต้น กลับมาสู่ชนบทแดนกันดาร ห่างไกลความเจริญ นี่คือบ้านเกิด ท่ามกลางป่าไพรและท้องทุ่ง มีคนเคยบอกว่า รก ของเราถูกฝังไว้ที่แห่งนี้ เราจึงไม่สามารถหนีไปไหนได้ไกล ไม่ว่าจะไปไกลแค่ไหน สุดท้ายต้องวนกลับมาที่เดิม.....

          ที่นี่คือสถานที่ในการหยุดเพื่อตรวจสอบระบบความคิดของตัวเอง......เพราะชีวิตถูกสร้างขึ้นมาจากความคิดอันเข้มข้นของตัวเราเอง เราเชื่อเช่นนั้น ความคิดคือสิ่งกำหนดชะตาชีวิต ความคิดเปลี่ยนโลกเปลี่ยนชะตาชีวิต...หลายคนเคยพูดเช่นนั้น เราก็เชื่อเช่นนั้น เพียงแต่ว่า อาจไม่ใช่เพียงแค่ความคิด น่าจะมีเรื่องของกรรม ซึ่งก็คือความคิดในอดีตเช่นกัน ประกอบเป็นองค์รวมอยู่ด้วย สรรพชีวิตล้วนเป็นไปตามกรรม เหมือนกับเวลาตอนเด็กๆที่เล่นลูกบอลลูกเล็กๆ บางครั้งเราเตะมันอัดกับกำแพงแรงเท่าใด มันก็จะกระเด้งกลับมาแรงเท่านั้น....

          ความรู้สึกตอนที่ต้องตื่นนอนแต่เช้า แปดโมงเพื่อ เร่งรีบเข้าทำงาน และคอยเวลาห้าโมงเย็นเพื่อรอเวลาเลิกงาน มันเป็นช่วงเวลาที่ทรมานมากจริงๆสำหรับชีวิต ราวกับว่าถูกคุมขังอยู่ในคุก แต่เวลานี้เราดูเหมือนว่าจะมีอิสระมากขึ้นเหมือนจะมีความสุขดีแต่เรื่องปวดหัวอย่างอื่นก็ยังคงมีใหม่ๆอยู่เสมอ ราวกับว่าวที่สายป่านถูกตัดขาดลอยละลิ่วไปไร้ทิศทาง ทั้งอิสรเสรีและเลื่อนลอย

          ถ้าพิจารณาแล้วคำว่าไร้แก่นสารนั้นไม่สมควรกล่าวในเวลานี้ เพราะชีวิตคือความไร้แก่นสารประการหนึ่งตั้งแต่เริ่มต้น มีคนบอกเราว่าชีวิตย่อมมีจุดมุ่งหมายของมัน แม้จะจบลงด้วยความตายก็ตาม เราเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะเราไม่เคยตายเลยไม่รู้ว่าจากนั้นจะไปไหนต่อ แต่สิ่งหนึ่งที่เราเชื่อคือคำกล่าวที่ว่าชีวิตแท้ที่จริงต้องการความสุข และการเกิดมาก็เพื่อนเป้าหมายนี้....แต่อะไรเล่าคือความสุข ? แต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนบอกดูหนังฟังเพลงเป็นความสุข บางคนบอกมีคนรักเป็นความสุข บางคนบอกการได้ท่องเที่ยวเป็นความสุข บางคนว่าเรื่องกินสิเป็นความสุข บางคนบอกว่าสังคมมีเพื่อนเยอะๆเป็นความสุข บางคนบอกว่าร่ำรวยสิจึงเป็นความสุข บางคนบอกได้ร้องเพลงก็พอแล้ว บางคนบอกว่าการนอนป็นความสุข บางคนชอบทำงานหนักเป็นความสุข บางคนบอกสันโดษเป็นความสุข แต่ละคนก็มีความสุขในมุมมองของตัวเอง และใครก็อย่ามาวิพากษ์วิจารณ์.....

         แต่ถ้าใครถามว่าความสุขที่เป็นสุขที่นิรันดร์ หลายคนที่พอรู้หน่อยก็ต้องบอกว่านิพพาน ซึ่งคำนี้ฟังง่ายแต่แปลยาก บางคนบอกว่าหมายถึง การดับเย็นจากกิเลส หรือการหมดจากทุกข์ ดับจากทุกข์ เรามีความเชื่อว่าทุกคนต้องเคยเจอความทุกข์มาแล้วทุกคน แต่มีกี่คนที่เจอคำว่านิพพาน และใครจะมีชีวิตที่เป็นนิพพาน ยังมีบางคนพูดถึงนิพพานชั่วคราว นิพพานถาวร เป็นอย่างไรก็ยากเข้าใจ น่าเสียดายที่เราไม่เคยนิพพาน เลยไม่รู้ บางคนถึงกับบอกว่า นิพพานแปลว่าตาย ยิ่งปวดหัวไปใหญ่ ก็คงปล่อยมันไป ว่ากันไป.......แต่เชื่ออย่างหนึ่งว่า นิพพานต้องมีความสุข แล้วแต่ใครจะชอบ จะรักนะกัน....

        กลับมาบ้านก็เจอแต่ข่าวๆๆๆ เพราะปกติไม่ค่อยดูข่าว แต่พ่อเขาชอบดูก็เลยต้องดูเป็นเพื่อนเขา อยู่กันแค่สองคน แม่ก็ไปเลี้ยงหลานให้น้องชาย เราจึงต้องทำงานแทนแม่ ทำกับข้าว ซักผ้า ล้างจาน ทำความสะอาดบ้าน งานของผู้หญิงเราทำหมด เราออกมาทำธุรกิจส่วนตัว และประกาศว่าจะไม่ยอมเป็นลูกจ้างให้ปวดหัวอีก ใครๆก็พูดง่าย แต่ไม่เคยทำได้สักที แม้แต่เราก็พูดมาหลายรอบ แต่สุดท้ายยังคงกลับไปทำงานบริษัทอยู่ดี คราวนี้ก็อีกแหละ ความตั้งใจดี แต่ปัญญาไม่พอ เอาตัวไม่รอด แต่เราล้มลุกคลุกคลานอย่างไรก็ไม่ยอมแพ้แน่นอนนี่ก็ผ่านงานมาตั้ง 5 บริษัทแล้ว สงสัยจนอายุเกินที่เขาจะรับเข้าทำงานจึงจะหยุดได้กระมัง.....

        ข่าวการบ้านการเมืองยิ่งน่าเวียนหัว ละครไทยดูไปก็น้ำเน่า เน้นการตลาดขายโฆษณาอย่างเดียว คนก็ดูกันจัง ยิ่งละครเรื่องเด็ดๆ ค่าโฆษณา นาทีเป็นแสน เราเคยทำการตลาดมาบริษัทหนึ่ง เคยถามเจ้าของกิจการว่าทำไมสินค้าเราถึงไม่ทำโฆษณาทางทีวี เขาบอกว่าเคยทำมาแล้วแต่ไม่ได้ผล เพราะแบรนด์ของคู่แข่งเข้มแข็งติดตลาดมากกว่า แถมลงทุนทีใช้เงินเป็นล้าน ทุกวันนี้บริษัทนี้เน้นส่งออก 95% ขายในประเทศแค่ 5% เลยไม่ต้องทุ่มงบโฆษณา เน้นขายตรงมากกว่า วางตามโมเดิ้นเทรด ห้างร้านต่างๆไว้ให้แบรนด์ติดตาเท่านั้น เท่ากับเป็นการโฆษณาไปในตัว.....

        ข่าวเรื่อง คนรวยเล่นหุ้น คนจนเล่นหวย ฟังคนโน้นพูดที คนนี้พูดที เราชาวบ้านตาดำๆธรรมดายิ่งปวดเศียรเวียนเกล้าไปใหญ่ พูดมากก็โดนด่า ว่าเป็นพวกไร้การศึกษาซะงั้น บ้างก็ว่าไหนๆจะเล่นกันแล้วก็ทำให้ถูกกฎหมายไปเลยเอาเงินเข้ารัฐช่วยเหลือเด็กยากจนขาดทุนการศึกษา บ้างก็ว่าเป็นการส่งเสริมอบายมุขทำประเทศล่มจม ไม่รู้จะฟังใคร หาโอเลี้ยงกินดีกว่าแก้เซ็ง มันอึดอัดคับข้องใจยังไงชอบกล....

       ต่างคนก็ต่างมุมมอง...ว่ากันไป  อะไรถูกอะไรผิดเดี๋ยวก็รู้เองแหละ บางคนว่าโลกนี้ไม่มีดำกับขาว มีแต่สีเทาๆมัวๆ น่าจะจริงนะ น่าสังเกตว่าสิ่งนี้ได้สะท้อนภาวะจิตใจของคนออกมา ว่าที่จริงยังคงสีเทาๆ ไม่ดำสนิทและขาวบริสุทธิ์ นี่แหละมนุษย์ตัวจริง เป็นๆ ทุกคนก็มีอัตตาทิฐิ ด้วยกันทั้งนั้น ตัวเองต้องถูกต้องเสมอ ไม่ยอมฟังใคร ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น กูอยู่เฉยๆดีกว่าประเทศฉิบหายกูก็ฉิบหายไปด้วย..นั่นสิ บ้านหลังเดี๋ยวกันเสาหายไปข้าง หลังคาหลุดไปบ้าง มันก็คงซวยกันอยู่ดี จะหนีไปไหนล่ะ หรือจะเข้าป่า ก็คงอดตายในป่า เพราะเดี๋ยวนี้คนมันทำลายป่ากันจะหมดประเทศแล้ว ดินฟ้าอากาศแปรปรวนไปหมด นี่จะหน้าร้อนแท้ๆ เมื่อเช้าดันหนาวจนเกือบจะเป็นไข้ ดูมันสิธรรมชาติไปกันใหญ่ คงเริ่มเพี้ยนตามคนนั่นแหละ กรรมละคราวนี้ ความฉิบหายมาเยือน...

      พวกคนจนก็บอก...พวกคนรวยมันโกงเขามาใครจะทำเงินได้เยอะๆขนาดนั้นมันต้องโกงชัวร์ ส่วนพวกคนรวยก็บอก....พวกคนจนมันโง่ไม่มีสมอง ทำธุรกิจไม่เป็น ทำงานเพื่ออุดมการณ์ ให้มันกินอุดมการณ์แทนข้าวไปเถอะ ไม่รู้จะฟังใครต่างคนก็ต่างสาดโคลนใส่กัน ถ้าพูดถึงความสุขสบายทางกายรวยก็อาจจะดี แต่ถ้าสบายใจไม่ต้องดิ้นรนมากไม่แน่จนอาจจะดี เพราะยังไงคนรวยตายก็เอาอะไรไปไม่ได้ซักอย่างและจะเป็นทุกข์มากเวลาจะตาย พวกนี้กลัวตายเป็นที่สุด เสียดายชีวิตที่สุขสบาย ส่วนคนจนตายก็เอาความยากลำบากติดตัวไปไม่ได้ อาจจะอยากตายเร็วๆเสียด้วยซ้ำ ไม่ค่อยกลัวตาย เพราะอาจคิดว่าชาติหน้าตากูรวยมั่งนะกัน เพราะจริงๆคงไม่มีใครคิดเกิดมาจนหรอก ใครก็ต้องอยากรวย อยากสบายทั้งนั้น แต่ไม่มีปัญญาเท่านั้นเอง....

      คนมีปัญญาเท่านั้นที่สามารถพลิกวิกฤติเป็นโอกาส และมองเห็นโอกาสในทุกๆที่ๆ ทุกสถานการณ์ หากเป็นนักธุรกิจก็เห็นโอกาสในการทำเงิน การลงทุน หากไม่มีโอกาส ยังสามารถสร้างโอกาสขึ้นมาได้อีก ส่วนคนไม่มีปัญญาอย่าว่าแต่ไม่เคยเห็นโอกาส ยังนอนรอโอกาส ไม่รู้จักโอกาส ที่ซ้ำร้ายยิ่งไปอีกคือมีโอกาสแล้วยังไปทำลายโอกาสอีก เช่นเราเป็นต้น มีโอกาสร่ำรวยตั้งไม่รู้กี่ทีกลับไปทำลายหมดเลย.....กรรมของตู แต่นี่ก็เป็นแค่โลกียปัญญา....

       โลกุตรปัญญา เป็นอย่างไร? คงต้องไปถามพวกบำเพ็ญเพียรทางจิต วิปัสสนากรรมฐาน พระเจ้าพวกนั้น เราก็ไม่ค่อยรู้เป็นคนไม่มีโลกุตรปัญญา แต่เคยได้ยินได้ฟังมามาก ว่าคนที่มีปัญญาชนิดนี้จะสามารถกลายเป็นยอดคน เช่นในเรื่องสามก๊ก ขงเบ้งถือได้ว่าเป็นยอดคน หยั่งรู้ดินฟ้าปานเทพยดาประมาณนี้แหละ ถ้าขงเบ้งบำเพ็ญต่อไปในป่าไม่ออกมาทำศึก ก็อาจบรรลุธรรมขั้นสูงก็เป็นได้ การมารบราฆ่าฟัน สร้างเวรกรรม ขงเบ้งอายุสั้นตายแค่อายุประมาณ 40 เท่านั้น จริงเปล่าไม่รู้? มีคนบอกว่าขงเบ้งกับฮิตเลอร์มีอะไรเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งที่ทำให้รบกี่ครั้งไม่เคยแพ้ ในแวดวงคนบำเพ็ญบอกว่า แท้ที่จริงพวกนี้ใช้โลกุตรปัญญาไปในทางที่ไม่ค่อยถูกต้องนัก การบำเพ็ญจิตทางลัทธิเต๋าของขงเบ้งทำให้เขาสามารถถอดจิตได้ และก่อนจะรบเขามักจะถอดจิตออกไปดูข้าศึกวางแผนกันบ่อยๆ จึงสามารถรับมือและซ้อนแผนข้าศึกได้ราวกับตาเห็น ที่มีอยู่ครั้งที่ขงเบ้งสามารถสยบทัพทั้ง 7 ทัพที่ยกมาพร้อมกันจากทุกทิศทาง เพียงนั่งอยู่ในกระโจมวางแผนเท่านั้น ทัพทั้ง 7 ถอยแตกกระจายไม่เป็นขบวน ใครจะคาดคิดว่าขงเบ้งเพียงแค่นั่งถอดจิตไปดูศัตรูจนรู้ไส้รู้พุงหมดแล้วก็อาจเป็นได้.....เหลือเชื่อจริงๆๆๆ...ฮิตเลอร์ก็คงถอดจิตได้เหมือนกัน เดี๋ยวประวัติศาสตร์จะเพี้ยนกันไปใหญ่...กรรมแล้วตู ว่าไปตามเขา......หาเรื่องใส่ตัวและ! ไปนอนดีกว่า.....
				
25 กุมภาพันธ์ 2551 19:26 น.

ปริศนาแห่งหยินหยาง

คีตากะ

 ปราศรัยโดยท่านอนุตตราจารย์ชิงไห่ที่ศูนย์ซีหู หมู่เกาะ ฟอร์โมซา
                                 เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม  ค.ศ. 1994
                    



ทำไมคนส่วนมากจึงชอบมีเพื่อนชายหรือเพื่อนหญิงกัน? มันก็เป็นเพราะว่าเขาหรือเธอขาดหยิน(ลักษณะของเพศหญิง)
หรือหยาง(ลักษณะของเพศชาย)เราเกิดมาด้วยความปรารถนาที่จะค้นหาพระเจ้าก่อนที่เราจะทำได้สำเร็จ เราก็รับเอาอะไรก็ได้ที่สะดวกง่ายดายที่สุด ดังนั้นเราจึงแสวงหาเพื่อนชายหรือเพื่อนหญิงหรือแต่งงานกัน เป็นต้น  เมื่ออยู่ในช่วงความรัก แต่ละคนก็จะให้หยินหรือหยางแก่อีกคนหนึ่งพวกเขาทั้งสองจึงมีความสุขมาก สบายใจและพึงพอใจมาก ดังนั้นเมื่อเธอกำลังอยู่ในความรักจริงๆละก็ ว้าว! เธอจะมีความสุขมาก เพราะว่าเธอได้ให้อย่างเป็นไปตามธรรมชาติและเธอก็จะมีหยินและหยางตามธรรมชาติ พระเจ้าได้จัดการให้มันเลื่อนไหลถ่ายเทไปมาในระหว่างตัวเธอทั้งสอง อย่างไรก็ตามคนมักจะมีแนวโน้มที่จะลืมในเวลาต่อมา และก็กลายเป็นไม่เป็นไปตามธรรมชาติ เมื่อรักกันไปนานๆขึ้นพวกเขาก็คาดหวังจากกันและกัน! พวกเขามีความสุขรักกันเรื่อยมา เพราะว่าพลังของหยินและหยางได้เสริมเติมซึ่งกันและกันให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกสมบูรณ์เต็มตามธรรมชาติ แล้วพอวันหนึ่ง พวกเขาก็จะเคยชินกับความรู้สึกอย่างนี้ขึ้นมา คิดว่ามันเป็นเพราะอีกคนที่ทำให้พวกเขามีความสุขมาก ไม่ได้ตระหนักว่าพระเจ้าต่างหากที่กำลังบรรจุมอบมันให้แก่พวกเขาตามธรรมชาติอยู่ เมื่อเธอไม่ได้คิดอะไร พระเจ้าก็ได้ปล่อยให้พลังงานนี้ไหลผ่านไปสู่พวกเธอทั้งสองพร้อมๆกัน และช่วยเติมให้เธอทั้งสองคนสมบูรณ์อย่างเป็นไปตามธรรมชาติ นี่เป็นการให้ตามธรรมชาติในเวลาที่เธอไม่ได้กำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นเธอทั้งสองคนจึงมีความสุข
พอเธอเริ่มคิด เราก็เริ่มจะพูดว่า" คิดถึง" คิดถึงอีกฝ่ายหนึ่ง เราคิดว่าเรามีความสุขเพราะคนนั้น แล้วเราก็เริ่มมีการยึดติด และต้องการที่จะผูกมัดเขาให้ติดอยู่ข้างเราตลอด อยากจะเก็บรักษาความสุขนี้ตลอดไปให้เหมือนตอนที่เธอกำลังรักกันใหม่ๆ พอเราเริ่มคิดอย่างนี้พลังงานนั้นก็จะเปลี่ยนรูปเป็นพลังงานที่จำกัด เราคิดว่ามันมาจากอีกฝ่ายหนึ่งแทนที่จะคิดว่ามันมาจากพระเจ้า ดังนั้นพลังงานที่มาจากพระเจ้านี้จึงถูกตัดขาดไปทันที เข้าใจไหม? พลังของความคิดของเรามีกำลังแรงมาก จนไม่ว่าสิ่งใด ๆ ก็จะกลายเป็นจริงขึ้นมาตามนั้น ดังนั้นขณะที่ความคิดของเธอผุดขึ้น ระบบนี้ก็จะถูกตัดขาดจากกันแล้วทั้งสองคนก็ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน เพราะว่าพวกเขารู้สึกว่าพวกเขากำลังขาดอะไรไปบางอย่าง ! พวกเขาก็จะเฝ้าแสวงหา เมื่อไม่ได้รับความพอใจ พวกเขาก็จะยึดจับ ผูกมัดและเกาะติดซึ่งกันและกันและก็จมลึกลงไปในความทุกข์ทรมานมากขึ้นด้วยกัน
แรกเริ่มพวกเขาเป็นคน 2 คน แต่ตอนนี้พวกเขาเกาะติดกันราวกับกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ยังคงมีอัตตา 2 ตัว ! (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) พวกเธอเข้าใจไหม? พลังงานมาติดกัน แต่อัตตาไม่ติดกัน (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) แล้วปัญหาก็เริ่มขึ้นตรงนี้เอง ดั้งเดิมพวกเราแต่ละคนก็มีพลังงานและอัตตาเป็นของตัวเอง ควบคุมชีวิตของเราเองและเป็นอาจารย์ของพวกเราเอง ก่อนที่จะรู้จักอีกคน เราเป็นอาจารย์ของตัวเราเองเสมอ ! วันนี้ฉันจะดูทีวี ทานอาหารมังสวิรัติอย่างหนึ่ง และตัวฉันเองที่อยากจะทานมัน โดยไม่สนใจใคร พอคนสองคนเข้ามาอยู่ด้วยกัน และต่อมากลายเป็นหนึ่งเดียวพวกเขาก็มาช่วยเสริมความสมบูรณ์ให้แก่กันและกันและก็มีความสุขด้วยกัน อย่างไรก็ตาม อัตตาของพวกเขาไม่ต้องการข้าอีกต่อไปแล้ว ! ก็ลาก่อน ! นี่เป็นระบบที่อัตโนมัติ และเป็นธรรมชาติ เข้าใจไหม? เธอจะได้รับในสิ่งที่เธอขอ ดังนั้นคัมภีร์ไบเบิ้ลจึงกล่าวว่า ถ้าเธออธิษฐานต่อพระเจ้า และแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าภายในแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะถูกมอบมาให้เธอ ถ้าทั้งหมดที่เธอขอนั้นคือแค่หยดเล็กๆ เธอก็จะได้รับเพียงแค่นั้น อันนี้เป็นไปตามระบบอัตโนมัติ นี่คือเหตุผลว่าทำไมคนในโลกจึงหาพระเจ้าไม่พบ พวกเขาสวดคัมภีร์มากมายหลายอย่างในแต่ละวัน แต่ก็ไม่ได้เห็นใครเลย ไม่ว่าพวกเขาจะอธิษฐานขออะไรก็จะไม่ได้รับคำตอบ เข้าใจไหม? พวกเขามัวพึ่งพาคนด้วยกันเองหรือไม่ก็พึ่งพาถ้อยคำที่พิมพ์หรือจารึกเอาไว้และพระเจ้าจะทำอะไรได้?
เมื่อเรากำลังอยู่ในความรักกับใครสักคน ความมีชีวิตชีวาของเราก็จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฝ่ายนั้น แยกจากกันไม่ได้ แยกจากกันไม่ได้แต่ว่ามีสองหัว เมื่อสองหัวนั้นมุ่งหน้าไปคนละทิศคนละทาง มันก็จะมีปัญหายุ่งยากลำบากมาก ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทโต้เถียงกัน เข้าใจไหม? ตอนนี้พวกเธอเข้าใจแล้วนะว่าทำไมถึงมีการทะเลาะวิวาทกัน? คิดดูให้ดีแล้วพวกเธอก็จะเข้าใจได้ ทั้งคู่อยากจะเป็นเจ้านาย บางครั้งไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้เจตนา เป็นเพียงนิสัยอย่างหนึ่ง เราเคยชินกับการอยู่คนเดียวเป็นโสดตั้งแต่เกิดจนกระทั้งบัดนี้ 20 หรือ 30 ปี เราเดินคนเดียว ตัดสินใจเองเสมอว่าเมื่อไรเราจะกินและเมื่อไรเราจะเข้าห้องน้ำ (หัวเราะ) อ้อ! นั่นยังพอเจรจาต่อรองกันได้ ! (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) แต่ส่วนมากการเจรจาต่อรองจะไม่ค่อยได้ผล แต่ละคนยังคงความเห็นว่าพวกเขาเป็นฝ่ายถูกต้องอย่างแข็งขัน บางทีอาจจะไม่ได้เจตนา เป็นเพียงนิสัยเท่านั้น ไม่ได้ตระหนักว่าพวกเขาควรจะคำนึงถึงอีกฝ่ายหนึ่งด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้น การแต่งงานและความรักเป็นส่วนมากมักจะพังทลายลงเมื่อถึงระยะหนึ่ง เราไม่สามารถจะไปตำหนิพวกคนข้างนอกนั้นได้จริงๆ หรอก ที่วันนี้รักกันแต่พอวันพรุ่งนี้ก็ไม่รักแล้ว แต่งงานกันวันนี้และหย่ากันปีหน้า..พวกเขาเพียงแต่ไม่เข้าใจถึงสภาพทางจิตใจและระบบอย่างนี้
เมื่อคนสองคนกำลังอยู่ในความรักกัน พวกเขาก็เสริมเติมความสมบูรณ์ให้แก่กันและกันฝ่ายหนึ่งให้พลังหยินและอีกฝ่ายหนึ่งให้พลังหยาง(ถอนหายใจ ! ) มันช่วยรักษาเราได้ดีเหลือเกิน(อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) น่ารื่นรมย์มาก แล้วพวกเธอก็จะติดมัน เข้าใจไหม ? เพราะว่ามนุษย์ก็เป็นตัวแทนของพระเจ้าเช่นกัน พวกเขาถูกประกอบติดมาด้วยเครื่องกำเนิดพลังงานอย่างหนึ่ง ที่คล้ายคลึงกับเครื่องกำเนิดพลังงานของพระเจ้า! ดังนั้นเมื่อคนคนนั้นรักกัน มันก็คล้ายกับพระเจ้ากำลังรักเธอ เธอจึงมีความสุขมาก ถ้าเธอสองคนรักกันล่ะก็ เธอทั้งคู่ก็จะถูกชาร์จพลังงานอย่างเต็มเปี่ยม ใช่ไหม? เธออาจสังเกตเห็นว่าคนที่กำลังอยู่ในความรักดูเหมือนคนโง่ ๆ ที่ไม่สนใจอะไรเลย(อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เวลาที่เจ็บปวดที่สุดก็คือ เมื่อพวกเขาถูกละทิ้งไป หรือเมื่อความรักนั้นถูกตัดขาดสะบั้นราวกับว่าความมีชีวิตชีวาได้สูญหายไป กระแสไฟฟ้าถูกตัดขาดจากกันอย่างฉับพลัน ดังนั้นมันจึงเจ็บปวดมาก นี่คือเหตุผลว่าทำไมคนจึงชอบที่จะอยู่ในความรัก ก็เนื่องจากความสุขนั่นเอง ที่จริงแล้วความสุขไม่ได้เนื่องมาจากคนคนนั้น แต่เนื่องมาจากความจริงที่ว่า พลังงานที่ทำให้มีชีวิตนั้นถูกเติมให้สมบูรณ์เต็มที่
เราจะไม่ผิดหวังเลย ถ้าหากว่าเราแสวงหาเครื่องกำเนิดพลังที่มีอานุภาพสูงสุดตั้งแต่ตอนแรก ซึ่งคงทนถาวรให้เราใช้ได้ตลอดไป มันไม่เป็นไรหรอกที่จะมีคู่ ฉันเพียงแต่เกรงว่า เราอาจจะไม่ต้องการมีใครเลยในเวลานั้น มันไม่เป็นไรหรอกที่จะมีใครสักคนหรือไม่มีใครเลย เพียงแต่มันจะยุ่งยากมากขึ้น ถ้าหากว่าเธอมีอัตตาเพิ่มขึ้นอีกตัว(อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) มิฉะนั้นเธอก็มีอัตตาเพียงตัวเดียว ป้องกันความยุ่งยากของอัตตา 2 ตัว เวลานอนตอนกลางคืนคนหนึ่งอยากจะเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ อีกคนอยากจะปิด คนหนึ่งชอบให้เปิดไฟไว้ อีกคนต้องการให้ปิด แม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ก็ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทได้ ใช่ไหม? แล้วมันก็จะยิ่งแย่ลงไปอีกหลังจากที่พวกเธอมีลูกออกมาคนหนึ่ง ฝ่ายหนึ่งก็อยากให้ลูกทำตัวอย่างนี้ อีกฝ่ายก็ต้องการอีกวิธี ฝ่ายหนึ่งสอนลูกอย่างนี้ อีกฝ่ายก็สอนอีกอย่าง ไม่มีใครยอมแพ้ และทั้งคู่ก็คิดว่าตัวเองถูก เพราะว่าพวกเขาก็เป็นพระเจ้าทั้งคู่ ขอโทษที ! (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ)
ที่จริงแล้ว วิญญาณอีกครึ่งหนึ่งของพวกเราจะไม่พบในโลกนี้ ต่อเมื่อเราได้ค้นพบตัวตนอันแท้จริงของเราแล้ว เราก็จะได้พบอีกครึ่งหนึ่งของวิญญาณของเรา เพราะฉะนั้น ถึงแม้เราจะประสบความสำเร็จในชีวิตแต่งงาน ความมั่งคั่ง ความสมบูรณ์ในสิ่งใดๆ ในโลกนี้ เราก็จะยังมีความรู้สึกเหมือนว่าเรากำลังขาดอะไรไปบางอย่าง ! เป็นเพราะว่าคนเพียงคนเดียวไม่มีพลังเพียงพอที่จะให้อีกคนมีชีวิตชีวาขึ้นมาใหม่ได้ เว้นเสียแต่เราจะเข้าใจว่าความมีชีวิตชีวาของทั้งสองฝ่ายจริงๆ แล้วมาจากไหน แล้วเราก็ไม่ต้องกังวลว่าพลังของเราจะถูกตัดขาด มันอาจจะพูดง่ายแต่เข้าใจยาก อย่างน้อยที่สุดพวกเธอควรจะมีความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วก็จงพยายามอย่างดีที่สุดที่จะบำเพ็ญอย่างขยันขันแข็งในแต่ละวัน กำลังใจของเราก็จะเข้มแข็งขึ้นและสิ่งใดที่เราปรารถนาก็จะกลายเป็นความจริงได้ นั่นคือเวลาที่เราได้ครอบครองมหาพลานุภาพ พลังอำนาจปาฏิหารย์ซึ่งไม่สามารถจะมองเห็นได้ จากนั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องท่องมนตร์คาถาใดๆ เพียงแต่คิดถึงมันแล้วพวกเธอก็จะมีทุกสิ่งทุกอย่าง..



                               .GOOD   LUCK.
				
15 กุมภาพันธ์ 2551 00:59 น.

เหตุใดคนเราจึงต้องบำเพ็ญ

คีตากะ

 
"ชีวิตของเราได้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหลังจากที่เราได้ใช้พลังอันแท้จริงและปัญญาของเราแล้ว  ซึ่งเป็นสติปัญญาเดิมแท้ของเรา ทุกอย่างจะมา  ความสามารถพิเศษทุกอย่างจะปรากฏขึ้น  ธรรมชาติแห่งความรักและธรรมชาติที่ซ่อนเร้นของเราจะปรากฏขึ้น  ความสามารถพิเศษทุกอย่างของเราจะมา โดยที่ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน" 

~ อนุตราจารย์ชิงไห่~
 
"เมื่อเราบรรลุถึงความสงบสุขภายใน  เราก็จะบรรลุทุกสิ่งทุกอย่าง ความพอใจและความสมปรารถนาทุกอย่างทั้งทางโลกและสวรรค์ ล้วนมาจากอาณาจักรของพระเจ้า  การตระหนักรู้ภายในถึงความสอดคล้องกลมกลืนชั่วนิรันดรของเรา  ถึงปัญญานิรันดร์ของเรา และถึงมหาพลานุภาพของเรา  หากเราไม่ได้รับสิ่งเหล่านี้  เราก็จะไม่มีวันพอใจ ไม่ว่าเราจะมีเงินหรือมีอำนาจขนาดไหน  หรือไม่ว่าจะมียศตำแหน่งสูงสักเพียงไรก็ตาม"

~ อนุตราจารย์ชิงไห่~
 
"จงค้นหาทรัพย์สมบัติชัวนิรันดร์ของเธอ  และเธอจะสามารถนำสมบัติเหล่านั้นออกมาจากแหล่งซึ่งไม่มีวันใช้ได้หมด  นี่คือพระพรอันไม่มีที่สิ้นสุด!  ฉันไม่มีคำพูดที่จะโฆษณาสิ่งนี้ได้  ฉันได้แต่กล่าวสุดดี และหวังว่าเธอคงจะเชื่อคำกล่าวของฉัน   หวังว่าพลังของฉันจะสามารถส่งผลกระทบถึงหัวใจเธอ  และช่วยยกเธอขึ้นสู่ความรู้สึกที่มีปิติสุข  แล้วเธอก็จะเชื่อ  หลังจากการประทับจิตแล้วเธอจะเข้าใจความหมายของสิ่งที่ฉันพูดนี้ได้อย่างถ่องแท้  ฉันไม่มีวิธีที่จะอธิบายถึงพระพรอันยิ่งใหญ่นี้  ซึ่งพระเจ้าได้มอบให้แก่ฉัน  และให้ฉันมีสิทธิที่จะแจกจ่ายออกไปแก่ผู้อื่นฟรีๆ  โดยไม่คิดค่าตอบแทนหรือมีข้อแม้ใดๆ "

~ อนุตราจารย์ชิงไห่~
 
" คำสอนของเราก็คือ อะไรก็ตามที่เธอจำเป็นต้องทำในโลกนี้  ก็จงทำไป ทำจนสุดความสามารถ จงมีความรับผิดชอบ และก็นั่งสมาธิทุกๆ วันด้วย  แล้วเธอก็จะได้รับความรู้มากขึ้น  ได้รับปัญญามากขึ้น  และได้รับความสงบสุขมากขึ้น  เพื่อที่เธอจะได้รับใช้ตนเองและรับใช้โลกนี้  อย่าลืมว่าเธอมีความดีของตัวเธอเองอยู่ภายใน  อย่าลืมว่าเธอมีพระจ้าอยู่ภายในตัวเธอ  อย่าลืมว่าเธอมีพุทธะอยู่ภายในใจของเธอ" 

~ อนุตราจารย์ชิงไห่~
 
"ผู้ที่ประเสริฐบริบูรณ์ก็คือ  ผู้ที่เป็นมนุษย์สมบูรณ์เต็มตัว  ผู้ที่เป็นมนุษย์เต็มตัวจะประเสริฐบริบูรณ์  ขณะนี้  เราเป็นมนุษย์เพียงครึ่งเดียว  เราทำสิ่งต่างๆ ด้วยความลังเลใจ  เราทำสิ่งต่างๆ ด้วยอัตรา  เราไม่เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้ที่จัดทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดนี้  เพื่อความเพลิดเพลิน  และเพื่อประสบการณ์ของเรา  เราแบ่งแยกบาปและบุญ เราถือทุกอย่างเป็นเรื่องสำคัญใหญ่โต แล้วก็ตัดสินตัวเองและคนอื่นไปตามนั้น  เราทุกข์ทรมาณจากการตั้งข้อจำกัดของตัวเอง  ว่าพระเจ้าควรจะทำอะไร  เข้าใจไหม?  ที่จริงแล้ว พระเจ้าอยู่ภายในตัวเราและเราจำกัดพระองค์ไว้ เราอยากเล่น อยากจะสนุกสนานเพลิดเพลิน แต่เราไม่รู้ว่าจะทำอะไร  เราจึงได้แต่พูดกับคนอื่นว่า "อา!  เธอไม่ควรจะทำอย่างนั้นนะ "  และก็พูดกับตัวเองว่า "ฉันไม่ควรจะทำอย่างนั้น  ฉันต้องไม่ทำอย่างนั้น  ฉันต้องไม่ทำอย่างนี้  แล้วฉันควรจะเป็นมังสวิรัติไปทำไมกัน ? นั่นแหละ ! ฉันก็รู้อย่างนั้น  แต่ฉันเป็นมังสวิรัติเพราะว่า  พระเจ้าภายในตัวฉันต้องการแบบนั้น" 

~ อนุตราจารย์ชิงไห่~
 
"เราถูกแยกออกจากพระเจ้าก็เพราะว่าเรามีธุระวุ่นวายมากเกินไป  ถ้ามีคนกำลังพูดคุยกับเธออยู่  แล้วเสียงกริ่งโทรศัพท์ก็ดังอยู่ตลอดเวลา  แต่เธอกลับวุ่นวายอยู่กับการทำครัว หรือพูดคุยกับคนอื่นอยู่  ก็ไม่มีใครจะติดต่อกับเธอได้  พระเจ้าก็เช่นเดียวกัน  ท่านกำลังเรียกเราอยู่ทุกวัน  แต่เราไม่มีเวลาให้ท่านเลย และคอยแต่จะวางหูโทรศัพท์ใส่ท่าน" 

~ อนุตราจารย์ชิงไห่~
 
				
15 กุมภาพันธ์ 2551 00:42 น.

ความอ่อนน้อมถ่อมตนทำให้เข้าถึงสัจธรรม

คีตากะ

ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ซีหู ฟอร์โมซา 
13  สิงหาคม 2532  
  
บุคคลที่อ่อนน้อมถ่อมตนจะเข้าถึงพุทธโพธิสัตว์ได้ง่ายมาก จิตใจที่บริสุทธิ์จะเข้าถึงสัจธรรม เรายิ่งยโสโอหังก็ยิ่งห่างไกลจากสัจธรรม  เหตุใดจึงห่างไกลจากสัจธรรมเป็นเพราะเราพึ่งพิงอาศัยทางโลก  หากเราไม่ได้พึ่งพิงอาศัยทางโลกเราจะไม่ยโสโอหัง  เราอาศัยเงินทอง อำนาจ ความฉลาดและฐานะซึ่งเป็นการอาศัยทางโลก  อาศัยพึ่งพิงในสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ สัจธรรมไม่ใช่โลกมนุษย์และไม่ใช่สิ่งของที่ไม่เที่ยงแท้ทั้งหลาย  ฉะนั้น เรายิ่งพึ่งพิงทางนี้ เราก็จะยิ่งห่างไกลอีกทางหนึ่งที่เป็นทางตรงกันข้าม ตามทฤษฎีเชิงตรรกศาสตร์ได้อธิบายไว้เช่นนี้ ซึ่งไม่มีอะไรยากแก่การเข้าใจ

ไม่มีเงินทอง ไม่มีอำนาจ ยามแก่เฒ่าก็ไม่มีใครดูแล ซึ่งคนแบบนี้จะมีความอ่อนน้อมถ่อมตนค่อนข้างมาก ฉะนั้น บ่อยครั้งพวกเธอจึงเห็นว่าอาจารย์ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างดี หรือปฏิบัติต่อนักโทษในเรือนจำอย่างดี  แต่สำหรับพวกเธอแล้วบางครั้งกลับไม่ค่อยดีเท่าไหร่อาจารย์ต้องขออภัยด้วย แต่ธรรมชาติมันแสดงออกมาเป็นแบบนี้ อาจารย์ไม่ได้ตั้งใจดีกับพวกเขา และในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ตั้งใจจะไม่ดีกับพวกเธอ  อาจารย์เป็นเพียงกระจกบานหนึ่งเท่านั้นพวกเธอส่องมาอย่างไรก็สะท้อนกลับอย่างนั้น  อย่าโทษอาจารย์เลยนะว่าทำไมต้องทำกับพวกเธออย่างนั้น  และอย่าเปรียบเทียบว่า "ทำไมอาจารย์ดีกับคนนั้นเหลือเกิน แต่ไม่ดีกับฉันเลย"  ถ้าอาจารย์ดีกับใครบางคนเธอลองสังเกตดูเขาก็ทราบแล้วว่าเขาต้องมีอะไรดีที่ทำให้อาจารย์ดีกับเขามาก เขาอาจจะไม่ได้สวยกว่าเธอก็ได้ ไม่แน่  บางทีอาจจะอยู่ในสภาพฟันหลุดหมดแล้วก็ได้ แถมอาจารย์ยังต้องเอาเงินให้เขาอีกด้วย แต่อาจารย์ก็ดีกับเขามากเหลือเกินเพราะใจเขาบริสุทธิ์มาก ถ่อมตนมาก ไม่มีมลทินใดๆ ไม่มีสิ่งกีดขวาง ไม่มีอัตตาใดๆ และไม่มีอะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยว ใจเขาจะเปิดกว้างสุดประมาณเกือบรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล

หากเรายังมีอะไรไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวตัวเราก็จะกลายเป็นมีขีดจำกัด -- ฉันคือขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ ฉันคือคนที่มีคุณธรรม ฉันคือคนที่เข้าถึงสัจธรรม เราจะยังมีพรมแดนและมีช่องว่างมุมหนึ่งที่ยังไม่ได้ถูกเปิดออกมา บุคคลที่บริสุทธิ์ถ่อมตนทั้งหลายไม่มีอะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยว แต่การที่ไม่มีอะไรเลยคือการที่มีพร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง
 
  
				
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ