12 กรกฎาคม 2550 17:23 น.

ตะแบกหรืออย่าแบก ?

คีตากะ

นั่งซึมเซาเฝ้ามองดอกตะแบก
คราฝนแทรกแรกแย้มแซมใบเขียว
สีม่วงอ่อนร่อนร่วงพวงซีดเซียว
ก่อนแห้งเหี่ยวภายใต้แสงตะวัน

ลำต้นใหญ่แผ่ใบขยายกิ่ง
เคยพึ่งพิงอิงอุ่นเจือจุนฉัน
ยามปัญหาถาโถมรุกโรมรัน
ชื่อเจ้านั้นเตือนฉันหมั่นปล่อยวาง

แบกสิ่งใดในเหตุสังเกตผล
จิตทุกข์ทนจนล้าพาหมองหมาง
เหนื่อยเพราะใจไปยึดทุกเส้นทาง
บ้าหอบฟางอย่างนั้นหมายมั่นทำ

จมจ่อมอยู่กับปัญหาสารพัน
ลืมจิตอันผ่องใสไกลถลำ
เคร่งเครียดไยในฝันอันมืดดำ
ทุกเช้าค่ำซ้ำซากมิพรากเลือน.....
				
19 มิถุนายน 2550 18:47 น.

ต่างเส้นทาง

คีตากะ

ฉันเลือกทางร้างเปลี่ยวโดดเดี่ยวเหลือ
หมอกคลุมเคลือเยื้อย่างกลางหุบเขา
มีหนามไหน่มายมากขวางขวากเท้า
ทางทึมเทาเปล่าร้างกลางอรัญ

เธอเลือกทางกลางเมืองอันเรืองรุ่ง
หอมจรุงฟุ้งเฟ้อละเมอฝัน
ชนเหิมเห่อเพ้อคลั่งอยู่ทั้งวัน
ต่างประชันขันแข่งสุดแรงรั้ง

ฉันเดินทางกลางดงพฤกษ์พงป่า
ถึงเหว่ว้าชาชินมิสิ้นหวัง
แม้นกันดารหาญสู้ดันทุรัง
ราวบ้าคลั่งยังมุ่งกลางทุ่งธาร

เธอเดินทางต่างไปวิไลแสน
ไม่ขาดแคลนแสนสบายหลายสถาน
แต่ปลายทางต่างพบประสบพาน
ด้วยสายธารล้วนสานร่วมเข้ารวมกัน...
				
6 มิถุนายน 2550 16:36 น.

เสียงถอนใจจากในป่า

คีตากะ

สังคมป่วยด้วยใจเป็นไข้หนัก
เกินที่จักรักษาเยียวยาหาย
หลงความสุขทุกข์ก่อรอสบาย
จิตวุ่นวายไร้สิ่งพึ่งพิงใจ

กิริยาดีวจีเพาะจิตเลาะร้าย
คอยทำลายหมายปองจ้องผลักไส
แข่งชิงดีชิงเด่นจนเป็นภัย
เหตุหัวใจไม่พบสงบจริง

บ้างด่าทอต่อว่าอารีหาย
จิตหยาบคายคล้ายมีภูตผีสิง
บางเฉยชาช้าเฉื่อยล้าเหนือยจริง
บ้างไล่วิ่งสิ่งใดไม่รู้ตน

บ้างฉลาดปราดเปรื่องทุกเรื่องหล้า
แต่ธรรมาฆ่าสิ้นกังฉินฉล
บางเปี่ยมธรรมล้ำลึกสำนึกตน
แต่อับจนหม่นใจไร้ปัญญา....				
6 มิถุนายน 2550 16:18 น.

บ้านแห่งวิญญาณ

คีตากะ

ทางไร้ทางร้างคนดั้นด้นถึง
เหนือคำนึงจึงปราศขาดถิ่นฐาน
ว่างจากตนพ้นทางหยั่งประมาณ
เกินคาดการณ์ฝันใฝ่จากใจคน

เหนือโลกหล้าหาไกลจากใจจิต
สุดเพ่งพิศทิศไหนไร้แห่งหน
จะว่าใกล้ไม่ไกลจากใจคน
จะว่าไกลไกลจนกว่าค้นเจอ

แหล่งกำเนิดเกิดถิ่นแห่งวิญญาณ
เป็นสถานบ้านเดิมก่อเริ่มเสนอ
สรรพชีวามาเกิดสุดเลิศเลอ
ชนมองเหม่อเพ้อหาทุกครากาล

ค้นหาไปไม่สิ้นสุดยั้งหยุดลง
เจตจำนงคงมั่นเพื่อฝันสาน
ได้สิ่งใดไม่พอต่อวิญญาณ
ด้วยต้องการพานพบสบตัวจริง..... 				
6 มิถุนายน 2550 15:44 น.

จันทร์ในหมู่เมฆ

คีตากะ

หมู่เมฆน้อยลอยผ่านดวงจันทรา
แสงเจิดจ้ามามัวสลัวหมอง
ทั่วทุกทิศมืดมิดสนิทมอง
กลืนแสงทองส่องหล้าลับตาไป

ยามอารมณ์ห่มใจไม่ต่างจันทร์
บังจิตอันเดิมแท้แม้แจ่มใส
กลายขุ่นมัวตัวตนหมองหม่นไป
คลุกเคล้าใจในอารมณ์ผสมกัน

คราเมฆจางห่างไปลอยไกลผ่าน
จันทร์สะคราญรานตาฟ้าเฉิดฉัน
ความมืดมนพ้นหายกลับกลายพลัน
ทุกวารวันผันแปรหาแน่นอน

จันทร์ข้างขึ้นข้างแรมลอยแซมฟ้า
ขับดาราสง่างามทรามสมร
ถึงเมฆามาบังบางครั้งตอน
ประหนึ่งพรสอนฟ้าคราไร้จันทร์...
				
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ