4 กุมภาพันธ์ 2553 10:35 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 8

แก้วประเสริฐ


             ลุ่มลึกอิสราวดี  8

      ฟ้าเริ่มสาง...เสียงไก่ป่าขันเจื่อนแจ้ว    เหล่านกทั้งหลายเริ่ม
ต้นชีวิตใหม่ออกหากินภายในป่าเขา  เสียงกร๊อบแกร๊บของใบไม้
แห้งเป็นระยะๆ    ซึ่งสัตว์ต่างๆกำลังค้นหาอาหารเพื่อเลี้ยงชีพ
ล้อมๆรอบเต็มไปด้วยหมอกที่ปกคลุมพื้นที่ภายในป่าจนแทบมองไม่เห็น  
       อากาศเย็นชื่นฉ่ำ..เสียงลมพลิ้วไหวอย่างรุนแรงกระทบกับกิ่งก้าน
ใบไม้เกิดสำเนียงหวีดหวิวร่ำๆไป     ร่างชายหนุ่มนอน กกกอด
เจ้าลิงขนสีทองยังหลับใหลอยู่     นางพรายทั้งสองก็นั่งอยู่ข้าง
เคียงคอยไล่แมลงที่จะมารบกวน   
        สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือบรรดาเหล่าหมอกต่างๆหาได้เข้า
มาในบริเวณที่ร่างชายหนุ่มนอนอยู่สักนิดก็หาไม่ กับแลดูคล้าย
เป็นม่านปกคลุมร่างของเขา 
       
        จวบจนแสงทองของอาทิตย์เริ่มสูงลอยขึ้น   พระอาทิตย์ยาม
รุ่งอรุณลอยเป็นดวงใหญ่กลมโตสีแดง  ทำให้เมฆหมอกที่ล้อม
รอบทอประกายสีสดใสเหนือบริเวณขุนเขาทั้งหลายที่รายล้อม
รอบเป็นอาณาบริเวณกว้าง  แต่ก็หาได้ลบล้างหมอกทั้งหลายให้
หมดสิ้นไปได้ไม่
       ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกตัวทรงร่างขึ้นอย่างช้าๆพลางบิดความเมื่อย
ขบที่เขาได้นอนคุดคู้ด้วยอากาศหนาวของอากาศประกอบด้วยหมอก
และความชื้นของน้ำค้าง   ที่ยังจับอยู่ตามใบไม้ทั้งหลายยามกระทบ
กับแสงส่งประกายแววหลากหลายสีดุจอัญมณีวูบวาบไปทั่ว
        เขาหันกลับมามองร่างน้อย  ที่จะว่าน้อยก็ไม่เชิงบัดนี้ร่างของเจ้า
ลิงนั้นเขารู้สึกว่ามันเติบโตขึ้นมากกว่าเดิมนัก ที่ยังพลิกร่างไปๆมาๆ
เหมือนชายหนุ่มจะนึกอะไรได้  จึงรีบหันไปดูรอบข้างก็แลเห็นนาง
พรายทั้งสองส่งยิ้มมาให้เขา   หรือว่านางมิได้หลับนอนนั่งเฝ้าเขา
ตลอดทั้งคืนกระมัง       เขาหันไปยิ้มให้กับหล่อนพร้อมกล่าวว่า
        “น้องของพี่เจ้ามิได้หลับนอนเลยหรือ”
ได้ยินเสียงแผ่วเบาตอบกลับมาจากแม่ประกายแดง
         “ยังหรอกพี่ท่าน   พวกข้าจะหลับก็ตอนพระอาทิตย์ส่งแสงแรง
เท่านั้น    จึงนั่งคอยเฝ้าดูแลพี่ท่านอยู่จ้าค่ะ”
         “อ้อๆๆงั้นหรือ...”  
เขารำพึงเบาๆด้วยนึกได้ว่ากลางคืนเป็นเวลาของเหล่าภูตทั้งหลาย 
          “นี่ก็พระอาทิตย์ทอแสง รำไรเช่นนี้  เห็นทีน้องเราจะไป
พักผ่อนได้แล้ว  ส่วนทางนี้พี่จะดูแลเอง ด้วยพี่คิดว่าหากเราได้
หนังเสือสมิงตัวนี้มาใช้ประโยชน์ก็คงจะดีไม่น้อง  น้องเราว่ากระไร”
      พรายประกายเขียวก็ตอบว่า
         “อันหนังสือสมิงนี้  มีคุณประโยชน์มากนักด้วยมันสะสมอาถรรพ์
ไว้มากมาย  ย่อมมีประโยชน์และให้คุณมาก  ด้วยมันสามารถต้านทาน
อาวุธต่างได้เจ้าค่ะ”
          “ อ้าวๆๆ...แล้วทำไมมันถึงได้สิ้นชีพไม่อาจทนทานอาวุธดาบของพี่
ได้ล่ะน้องนาง”
          “เหตุที่เป็นเช่นนี้  ด้วยอำนาจดาบนี้สร้างด้วยพุทธคุณและมวลสารโลหะ
อันปลุกเสกแล้ว ตลอดจนว่านต่างๆที่มีคุณสมบัติขจัดลบล้างอาถรรพ์ต่างๆได้
รวมถึงอาวุธมีดน้อยนี้ด้วย   ซึ่งเป็นธาตุกายสิทธิ์ยากยิ่งที่จะหา 
 คนสร้าง    ต้องแก่กล้าวิทยาคมจึงสามารถหล่อหลอมดาบเล่มนี้ได้  
ไม่มีอำนาจร้ายและสิ่งใดจะต้านทานอำนาจวิเศษของดาบนี้ได้เลย  

            ถึงแม้ว่าเสือสมิงตัวนี้ไม่ว่าอาวุธใดยากจะทำลายมันได้ 
ด้วยมันจะคงกระพันชาตรี    สร้างพละกำลังให้มันอย่างมหาศาล 
ตลอดจนสามารถควบคุมวิญญาณที่มันฆ่าแล้วให้จำยอมต้อง
ตกอยู่ในอำนาจของมันได้เจ้าค่ะ”       ประกายแดงตอบชายหนุ่ม
       “ นั่นซิน้องเรา  พี่ถึงสงสัยนักทำไมถึงฆ่ามันอย่างง่ายดายนัก
อ้อๆๆ....ด้วยเหตุนี้นี่เองกระมัง”     ชายหนุ่มรำพึงตอบไป
          “น้องทั้งสองรู้คุณค่าอาวุธที่ส่งประกายกำราบภูติต่างๆได้  และอาวุธนี้มัน
จะเลือกนายของมันเอง  แสดงถึงว่าผู้ที่ครอบครองเป็นคนมีบุญวาสนาเท่านั้น
ดังนั้นน้องจึงปรึกษากันแล้วหวนกลับมาเพื่อคอยรับใช้พี่ท่าน   ก็ด้วยเหตุนี้นี่เองเจ้าค่ะ”
           “เอาล่ะน้องเรา  เธอไปพักผ่อนได้แล้ว   เดี๋ยวพี่หลังจากไปชำระล้างร่างกาย
ที่ยังลำธารข้างๆเนินโน้นแล้วก็จะกลับมาถลกหนังเสือสมิงเก็บไว้จ๊ะ”
            “งั้นน้องไปพักก่อนนะพี่ท่าน”
            “ตามสบายเถอะน้อง  ขอบใจมากนะที่อุตส่าห์คอยเฝ้าดูแลพี่ทั้งคืน”
             “เป็นหน้าที่ของน้องอยู่แล้วพี่ท่าน   น้องไปก่อนนะ”

         พอนางพรายทั้งสองกล่าวจบ ชายหนุ่มแลเห็นแสงวูบพุ่งมายังฝักดาบทั้งสอง
จึงทราบแน่แก่ใจว่าหล่อนคงจะอาศัยอยู่ที่ฝักดาบและมีดแน่นอน       ดังนั้นจึงหัน
มาทางเจ้าลิงขนทอง  ซึ่งมันตื่นขึ้นเมื่อไหร่ไม่รู้นั่งมองเขาสนทนากับนางพรายอยู่
       พอหมอกเริ่มจางเห็นสภาพต่างๆได้แล้ว   เขาจึงส่งสัญญาณทำมือไม้ประกอบ
เพื่อจะให้มันไปหาอาหารผลไม้ก่อน       
         เจ้าขนทองนั้นรับรู้อากัปกิริยาของชายหนุ่ม พลางร้องเจี๊ยกๆๆตอบรับ
แล้วตีลังกาพุ่งตัวโหนเถาวัลย์ละลิ่วหายไปทันที     
เขารวบรวมภาระบางอย่างที่มีไม่มากไต่เถาวัลย์ลงมาจากต้นไม้ใหญ่
แล้ววางกองไว้ใกล้ๆกับ  ซากของเจ้าเสือร้ายแล้วจึงไปชำระ
ร่างกายให้สะอาดและเก็บน้ำใส่ให้เต็มกระบอกด้วย
          หลังจากเขาอาบน้ำชะระกายดีแล้ว   จึงนำมีดเล็กออกมาตรงไปยังร่างซากของ
เสือร้ายพร้อมลงมือชำแหละแยกสิ้นส่วน   เขาเอาเพียงแค่หนังที่ออกสีขาวนวลมีลาย
สีเหลือจางๆสอดสลับเป็นทาง    เมื่อได้ตามความต้องการแล้วส่วนเหลือเขาก็นำกลบฝัง
ตามแต่สามารถทำได้

         ในระหว่างที่เขาชำหละนั้นก็คิดไปพลางว่าจะทำอย่างไรไม่ให้หนังนี้เน่าเปื่อยไป
ครั้นแล้วก็ให้นึกถึงยายของเขา   เมื่อเขายังเด็กรู้ความนั้น  เห็นยายเอาขมิ้นผงมาโรยของ
สิ่งหนึ่ง  เขาถามยายว่าทำไมถึงใช้ขมิ้นผงโรยเนื้อสดๆล่ะ   
         ยายเขาตอบว่าเพื่อรักษาเนื้อไม่ให้เน่าและมันจะแห้งเร็ว  
นี่อะไรหรือเขาชี้ไปยังกองเนื้อเล็กๆสดๆ  ยายตอบว่านี่คือ
รกแมว  ที่มีทนสิทธิ์ในตัวสร้างความร่มเย็นและความเจริญ  และบอกว่าแมวมันไม่ให้
ใครๆง่ายๆนะ   นอกจากมันจะให้เองหากเราไปไล่มันเพื่อเอารกมันก็ไม่มีผลอะไรเลย
ส่วนใหญ่แล้วแมวมันจะกินรกมันจนหมด ยกเว้นมันให้คุณเท่านั้นถึงจะยอมมอบให้

         ชายหนุ่มนึกได้ว่าจะรักษาสภาพหนังเสือสมิงตัวนี้ได้อย่างไร   เมื่อเขานำมันไป
ล้างที่ยังลำธารให้สะอาดแล้ว   ก็เดินไปตามทางที่เขาไปตัดต้นไม้ไผ่พบกอขมิ้น เมื่อ
พบแล้วจึงขุดมา  หัวขมิ้นมันช่างใหญ่มากนักเขานึก  แต่ก็ไม่เป็นปัญหาเขานำมันไป
เท่าที่ต้องการเท่านั้น   เมื่อได้หัวขมิ้นแล้ว จึงหันไปตัดไม้รวกและปล้องไผ่เพื่อนำมา
มาใส่ลูกธนูที่เขาจะคิดทำมันขึ้น
         เมื่อได้ครบถ้วนตามที่คิดไว้ก็กลับมายัง  ที่เก็บสัมภาระโคนไม้แล้วนำหนังสือ
คลี่ออกเอาหัวขมิ้นออกมาทุบแถวลำธารผสมกับน้ำมาทายังหนังสดของหนังสือแล้ว
ก็นำมันไปตากแดด  โดยคลี่แผ่แล้วหาก้อนหินใหญ่มาทับมุมของหนังเสือมิให้ม้วน
         ระหว่างการรอคอยให้หนังเสือแห้งนั้น  เขาก็เริ่มเหลากิ่งไม้รวกทำคันธนูและลูก
ดอก   ใช้เอ็นของลิงขนดำทำเป็นสายธนู  เขาทดลองความเหนี่ยวของคันธนู
ซึ่งหักไปหลายๆครั้ง  ในที่สุดเขาก็ได้คันธนูพร้อมลูกดอก
    แล้วนำลูกดอกไปใส่ยังกระบอกซึ่งใช้เอ็นลิงพันเป็นที่สะพาย 
  เศษหนังเสืออีกส่วนหนึ่งเขานำมาทำเป็นย่ามไว้เพื่อใช้เก็บสัมภาระจำเป็น
เพื่อเดินทางต่อไป

         สักครู่ใหญ่ๆเจ้าลิงขนทองก็กลับมาพร้อมด้วยผลไม้มากมายหลาย ชนิดเขาและลิง
ต่างกินผลไม้  แต่เขาไม่วายเรียกนางพรายงามทั้งสองให้มาร่วมกินด้วย เขารู้อาการตอบ
รับด้วยฝักดาบและมีดที่เหน็บเอวและสะพายบนบ่ายกระดุกกระดิกเล็กน้อย  เมื่อกินผลไม้
อิ่มแล้ว  เขาก็เริ่มฝึกหัดเจ้าขนทองทันที สอนด้วยวิธีขว้างก้อนหินก่อน

        จนกระทั่งเจ้าขนทองสามารถขว้างก้อนหินได้แม่นยำแล้ว  ก็เริ่มตัดไม้รวกมาทำเป็น
กระบองและสอนท่าทางการใช้กระบอกทั้งวิธีรับและตอบโต้รวมถึงแทนดาบได้ด้วย
เนื่องจากเจ้าขนทอง  มีความเฉลียวฉลาดจำได้แม่นยำและรวดเร็วเพียงไม่กี่วันนักมันก็สามารถ
ใช้อาวุธที่เขาสอนได้เป็นอย่างดี
        เมื่อเขาสอนเจ้าขนทองได้เป็นผลสำเร็จแล้ว  ก็ทอดถอนใจเห็นที่จะต้องมุ่งหน้าออกเดินทาง
เสียแล้ว  เขาคิดว่าคงจะเป็นวันพรุ่งนี้ก็จะเริ่มออกเดินทางค้นหาทางกลับยังที่พักเดิม  แต่ก็คิดไป
ว่าไม่รู้จะพบทางหรือไม่  หรือว่าเราจะต้องวนเวียนค้นหาอยู่ในถิ่นแถวนี้อีกนานสักเท่าไหร่หนอ
พลางรำพึงรำพันกับตนเอง   ซึ่งยังไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรพบอะไรกันแน่......
จึงทอดถอนใจกล่าวในสิ่งที่เขาต้องการออกมาด้วยน้ำเสียงแฝงเศร้าสร้อยนิดๆ

  * ดวงตะวันลอยลับจับทิวฟ้า
แสงนภาแวววาวพราวสดใส
หัวอกร้าวรันทดหมดหัวใจ
สิ่งเคยไสวอติกาลไร้ผ่านมา

     มีลิงน้อยคอยอยู่คู่พรายเจ้า
ที่คอยเฝ้ายั่วยวนชวนหรรษา
มีอนาคตต่อไปกรายเยื้องมา
โอ้วาสนาฉันท์ใดให้หวั่นเกรง

     ฝากระทมแฝงไว้ในป่าลึก
ห้วงใจนึกระบมข่มโฉงเฉง
ดุจดั่งสัตว์สอดทิ่มปิ่มอลเวง
แม้นมีเพลงพฤกษาลัดดาวัลย์

     กลิ่นหอมเอยไม้ป่าดารดาษ
ที่เคล้าพาดนาสิกจนพลิกขวัญ
มิอาจชื่นดวงจิตแทบปลิดชีวัน
โอ้ทางนั้นยากสุขเฝ้าปลุกหทัย......*

        ยิ่งคิดไปชายหนุ่มก็ให้หมองไหม้รันจวนจิตยิ่งนัก  เขาแหงนมองฟ้า
ที่ฉาบไปด้วยเมฆต่างๆ ลอยละล่องดุจท้องทะเลคลื่น  ใยจึงเหมือนตัวเขา
ทำให้เขาอดหดหู่ใจเสียมิได้   แต่ช่างเถอะในเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว
ใยเลยจะแก้ไขได้ คงต้องปล่อยไปตามบุญเพรงวาสนาเสียแล้วหนอเรา
        เพลาค่ำย่ำเหยีอดย่างเข้ามาอีกวาระหนึ่ง   นางพรายทั้งสองก็ออกมา
เมื่อเห็นใบหน้าของชายหนุ่มหมองเศร้า  ก็พลอยเศร้าใจไปด้วย ถึงแม้ว่า
นางจะมาอยู่กับชายหนุ่มได้ไม่กี่เวลาก็ตามที  
          แต่อากัปกิริยาที่อ่อนโยนมิเคยเลยจะรังเกียจเดียดฉันท์
หรือสร้างความหนักใจให้แก่นางทั้งสองได้  กับแสดงถึง
ความรักอย่างจริงใจจนหมดให้แก่นางอย่างไร้เล่ห์เพทุบายตลอดจน  
ความห่วงใยมากกว่าตัวเขาเสียอีก
         ด้วยเหตุฉะนี้นางถึงกลับหลั่งน้ำตา  ยากที่จะเข้าไปช่วยเหลือเขาได้
นอกจากมาปลอบใจสร้างความหฤหรรษ์ต่างๆ
เพื่อให้เขาได้ลดทอนสิ่งเหล่านี้เพลาๆเสียบ้าง   
แต่ก็เพียงแค่สร้างหัวร่อให้แก่เขาได้นิดๆหน่อยเท่านั้น
         เขาจึงกล่าวกับนางทั้งสองว่า
       “น้องรักเรา   เห็นทีเมื่อดวงตะวันขึ้นเราทั้งหมดจะต้องออกเดินทางเสีย
แล้ว  แต่พี่จิตกังขาไม่รู้จบสิ่งหนึ่งนะ”
         “อะไรหรือ  พอจะให้น้องช่วยท่านพี่ได้บ้างไหม”  นางพรายเขียวถาม
         “พี่กังวลคือ ไม่สามารถอ่านเขียนภาษาที่บันทึกไว้ในหนังสือได้เลย
และไม่รู้ว่าจะไปเล่าเรียนได้ที่ใดนะน้องเรา”
          “ท่านพี่น้องเองก็ผ่านการศึกษามาก็มาก เมื่อกลับมาเยี่ยมบ้านป่าก็ออก
เดินชมดอกไม้ที่ขึ้นในป่า  แล้วก็มาจบชีวิตเสียก่อนที่จะได้กลับไปในเมืองจ๊ะ”
           “หรือน้องรักเรา  หากน้องอ่านภาษานี้ได้ช่วยสอนพี่จะได้ไหมจ๊ะ”
ชายหนุ่มดีใจ  ที่แม่นางพรายแดงแจ้งว่าสามารถร่ำเรียนการเขียนอ่านได้
จึงล้วงไปในอกเสื้อ  พลางหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาซึ่งเขาพกติดตัวตลอด
เพียงหวังว่าถ้าหากวันใดมีโอกาสพบชาวบ้าน
ก็ขอจะพึ่งพาอาศัยช่วยแปลหนังสือเล่มนี้  เพื่อที่เขาจะได้รับรู้ความลับสักที
         แต่ในเมื่อนางพรายแดงสามารถอ่านได้ก็ดี  เพื่อเขาจะได้อาศัยนางใน
การช่วยแปลและช่วยสอนการเขียนอ่านภาษาที่เขาอ่านไม่ออกเอาเสียเลย
         แล้วก็ยื่นหนังสือเล่มนั้นให้แก่นางพรายแดง  นางพรายแดงก็รับหนังสือ
มาพลิกอ่านดู   พลางกล่าวว่า
       “พี่ท่านหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ว่าด้วยการวางกลยุทธ์ต่างๆคิดว่าคง
จะเป็นตำราพิชัยสงครามมากกว่า   เอ๊ะ!!!????.... แต่ตอนท้ายๆนั้นกลับบันทึก
เกี่ยวกับเวทย์มนต์ต่างๆไว้ด้วย   อุ๋ย!!!!???.....”   นางอุทานเบาๆ
       “อะไรหรือน้องเรา  มีอะไรหรือถึงได้ร้องแบบหน้าตื่นเช่นนี้เล่า???”
ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย
       “ ดีจังเลยๆ....”  พรายสาวอุทานพร้อมใบหน้าแช่มชื่นทันที
        “บันทึกนี้..ไม่เพียงแค่เวทย์มนต์เท่านั้นยังกล่าวถึงวิญญาณที่ไม่ถึงฆาต
จะคืนกลับมีร่างได้อีก  หากทำถูกต้องพิธีโดยอาศัยร่างที่คนถึงฆาตเข้าไป
อาศัยอยู่   แต่ทว่า????...”
         “แต่ทว่าอะไรหรือน้องเรา”   ชายหนุ่มยิ่งสงสัย
          “เพียงแต่คนที่จะทำได้ต้องเป็นผู้ที่ถือศีลตลอดเจ็ดวันและต้องเป็นคน
ที่มีบุญวาสนาบารมีที่สร้างสมมาก่อนเท่านั้นจ๊ะ”     พรายสาวตอบชายหนุ่ม.......

                 *  แก้วประเสริฐ.  *

n016.gif				
3 กุมภาพันธ์ 2553 10:40 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 7

แก้วประเสริฐ


              ลุ่มลึกอิสราวดี  7

    ความมืดได้ปกคลุมบริเวณนั้น  ดวงจันทร์ที่ส่งแสงหลบเข้าสู่
ก้อนเมฆ  เสียงหรีดหริ่งเรไรที่เคยได้ยินหายไปหมด  นับตั้งแต่
เสือลายพาดกลอนเข้ามายังบริเวณนั้น   ชายหนุ่มพยายามสอด
สายตาไปยังโคนต้นไม้  แต่ความมืดสนิททำให้ไม่สามารถแล
เห็นสิ่งต่างๆได้    แม้กระทั่งดวงตาสีเขียวปัดของเจ้าเสือร้าย
ทำให้เขาแน่ใจว่า  ก้อนหินที่เขาขว้างไปนั้นคงจะทำลายดวงตา
ไปเสียแล้ว    ชายหนุ่มรู้สึกยินดีในฝีมือการขว้างของเขาที่สยบ
เสือร้ายแต่กับสร้างความดุร้ายโหดเหี้ยมเพิ่มให้แก่มันยิ่งขึ้น

     ครั้นเมื่อแสงสว่างกลับคืนมาสู่อีกครั้ง     เขาแลเห็นเจ้า
เสือร้ายกำลังพยายามปีนขึ้นมายังต้นไม้ที่เขาพักอยู่  ใกล้เข้ามา
เนื่องจากต้นไม้มีรอยตะปุ่มตะป่ำพอให้เล็บของมันตะกายขึ้น
มาได้และเป็นต้นไม้ใหญ่      เสียงเจ้าลิงน้อยส่งเสียงร้อง
ก้องกังวานในความเงียบสงัด
   ตอนแรกเขาไม่คิดที่จะสังหารมัน แต่เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้
เขาจึงหยิบดาบออกมาพลางชัก   เสียงกังวานของดาบสะท้านไปทั่ว
ทำให้เสือร้ายหยุดชะงักการพยายามได้พักเดียวมันก็ไต่ขึ้นมาอีก
แต่ความสลัวของความมืดทำให้ไม่ถนัดในการกระทำการเลย
  พอดีกับแสงของดวงจันทร์หลุดพ้นใบไม้ที่สาดลอดช่องเข้ามา
กระทบกับร่างของเสือร้ายที่ทะยานขึ้นอย่างช้าๆ    เขาจึงจับไปยัง
กลางของดาบ   ด้วยหมายจะพุ่งเข้าใส่มัน   พอได้จังหวะและสาย
ตาแลเห็นชัดขึ้น    ชายหนุ่มจึงพุ่งดาบเข้าใส่ร่างเสือร้ายหมายที่
แสกหน้า

     เสียงเสือร้ายร้องก้องดังลั่นแล้วล่วงหล่นจากการไต่ต้นไม้ทันที
มันดิ้นทุรนทุราย ยิ่งดิ้นเท่าไหร่คมมีดที่ทะลุหัวมันยิ่งทำให้บาดแผล
เปิดกว้างมากยิ่งขึ้น      ร่างของมันกระตุกเล็กน้อยก็สงบเงียบทันที
เขาเองก็ไม่กล้าที่จะลงไปตรวจดูสภาพมันให้แน่ใจว่ามันตายสนิท
หรือยัง       ทันใดนั้นเองเสียงหวีดหวิวร้องก้องแผ่วเบาเขาแลเห็น
จุดดวงไฟหลายๆดวงลอยออกมาจากร่างของเสือร้าย บ้างวนเวียน
บ้างก็ลอยลับหายไป
    เขานึกฉงนในใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น    แต่แล้วก็นึกได้ว่า
เมื่อร่างของเสือร้ายตายลง  วิญญาณที่สิงสถิตอยู่คงจะหนีออกจาก
ร่างเพื่อไปเกิดหรือหาที่อยู่ใหม่   ตามที่พรานป่าได้กล่าวไว้และถูก
บันทึกลงในหนังสือที่เขาอ่านมานั่นเอง    เมื่อเขารอจนดวงไฟนั้น
ลอยหายไปแล้วจึงแน่ใจว่าเสือร้ายคงจะตายแน่นอน   
    ในทันใดนั้นปรากฏดวงไฟสองดวงได้หวนลอยกลับมาอีกทำ
ให้ฉงนและสงสัยเหตุใดดวงไฟทั้งสองดวงถึงไม่ละหนีจากไปเล่าแต่
กลับวนเวียนและลอยมาสู่ยังคบไม้ที่เขาพักพิงอยู่  เขาตะลึงงงงันต่อ
สิ่งที่ได้รับ       แต่แล้วเมื่อดวงไฟสองดวงหยุดลอยนิ่งกับที่ก็ปรากฏ
เป็นควันหนาทึบล้อมรอบดวงไฟทั้งสองดวงแล้วค่อยๆจางลง

    กลับกลายเป็นร่างของหญิงสาวบ้านป่าสองคน    ทำให้ชายหนุ่ม
ตกใจมาก    ถึงกับอ้าปากค้างแต่ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา    บัดดลหญิงสาว
ทั้งสองก็ย่อร่างลงยกมือขึ้นไหว้เขา      เสียงแผ่วเบาล่องลอยมาจากร่างนั้น
ร่างหนึ่งแต่งกายเสื้อแขนกระบอกนุ่งผ้าโสร่งลาย มีสไบสีแดงและอีกร่างหนึ่ง
มีสไบสีเขียวพาดสะพายเฉียงทั้งคู่   ท่าทางเขารู้สึกร่างที่พาดสไบแดงนั้นจะมี  
อายุอานามมากกว่า    คนที่สะพายสไบสีเขียวเอ่ยขึ้นก่อนแผ่วเบาๆล่องลอย
ตามลมมา     
    “ข้าทั้งสองยังไม่ถึงที่ตายแต่มาถูกเสือร้ายทำร้ายฆ่าเสียก่อน  วิญญาณข้า
ไม่สามารถจะหาที่อยู่ใดไม่หรือไปเกิดได้    ข้าทั้งสองไปแล้วแต่คิดและปรึกษา
กันว่า  เมื่อไม่ตกอยู่ในอำนาจเสือร้ายแล้วและไม่สามารถไปอาศัยที่ใดๆและเกิด
จึงหวนกลับมาอีก”
   หลังจากชายหนุ่มตั้งสติได้และเห็นร่างนั้นเป็นหญิงสาวสวยงามมากคงจะไม่
เป็นภัยต่อเขาแน่แล้ว   จึงกล่าวถามนางว่า
   “แล้วจะให้ข้าช่วยเหลืออะไรพวกเธอได้ล่ะ????....”
   “ข้าทั้งสองตกลงกันแล้วว่าจะมาขอพึ่งพาอาศัยใบบุญท่านก่อนและจะคอย
ช่วยเหลือท่าน เจ้าค่ะ”
   “ด้วยรู้ว่าในกาลต่อไปท่านเป็นผู้มีบุญบารมีพอจะเป็นที่พึ่งพิงแก่พวกข้าได้”
หญิงงามในภาพสไบสีเขียวกล่าวขึ้นบ้าง
   “ข้าๆ..????..หรือเป็นผู้มีบุญบารมี”  ชายหนุ่มทำหน้างุนงง
   “ใช่แล้วจ้า  ท่านเป็นผู้มีบุญและมีอัชฌาสัยดีงามคงจะเป็นที่พึ่งพิงแก่พวกข้า
ทั้งสองได้เจ้าค่ะ”    หญิงรูปงามทั้งสองตอบพร้อมเพียงกัน
        
   ทำเอาชายหนุ่มถึงกับหัวร่อออกมา
   “ผู้มีบุญ?????...หึหึ  ผู้มีบุญชายหนุ่มพึมพร่ำในลำคอ”  
แต่ก็ไม่วายอดถามวิญญาณหญิงทั้งสองเพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง
   “เราหรือที่ท่านแน่ใจแล้วว่าจะเป็นที่พึงพิงแก่ท่านได้”   ชายหนุ่มกล่าวย้ำอีกครั้ง
   “ใช่แล้วจ๊ะ  นายท่าน”   วิญญาณในร่างหญิงสาวรูปงามทั้งสองตอบพร้อมกัน
   “นายท่าน????...”  ชายหนุ่มหัวร่อลั่น
   “ท่านแน่ใจหรือแล้วจะให้ข้าช่วยเหลือพวกเจ้าได้อย่างไรกันล่ะ ไหนลองบอกมาซิ”
   “ไม่ต้องช่วยเหลืออะไรพวกข้าหรอกนายท่าน   เพียงแต่ท่านรับปากพวกเราเท่านั้น
ก็คงจะพอเพียงแล้วล่ะ ส่วนที่อยู่อาศัยนั้นเราจะเร่รอนรอบๆกายท่านนี่แหละ”  หญิงทั้งสองตอบ
   ชายหนุ่มอดสงสัยต่อการกระทำของวิญญาณทั้งสอง  ที่จะมาขออาศัยเขาแล้วหล่อนก็สวย
เสียด้วยมันจะดีหรือ   ชายหนุ่มอดกังขามิได้ลืมไปว่านั่นเป็นแค่เพียงวิญญาณหาได้มีตัวตนใดไม่
จึงกล่าวว่า    
   “อ้าวแล้วเจ้าทั้งสองจะนอนที่ไหนหรือ”  
 ข้ายังหนุ่มแน่นอีกอย่างหนึ่งมันจะไม่ดีงามแก่พวกเจ้านะ
        
   คราวนี้หล่อนหันมามองหน้ากันแล้วพลันหัวร่อ   ใบหน้าที่กำลังหัวร่อช่างงดงามเสียนี่กระไร
   “พวกข้าบอกแก่นายท่านว่า  เพียงแค่ท่านรับปากเท่านั้นอื่นๆไม่ต้องห่วงพวกข้าหรอก”
   “ไม่ได้ซิ...พวกหล่อนเป็นหญิงนะ”   ชายหนุ่มกล่าวขึ้น
      แต่แล้วเขาก็ต้องสะดุ้งเมื่อนึกได้ว่านั่นเป็นแค่วิญญาณสองดวงเท่านั้นหาได้มีตัวตนใดๆไม่
เขาจึงหัวร่อให้กับตัวเองถึงความลืมตัวโง่เขลาไป     แล้วพลางกล่าวกับวิญญาณทั้งสองว่า
   “เอาล่ะๆๆ...ไหนๆเมื่อท่านต้องการเช่นนี้ เราก็รับปาก  แต่ว่าเจ้าทั้งสองต้องเชื่อฟังข้านะ   และอย่าทำให้ข้าต้องเดือดร้อนในภายหน้าล่ะ”   ชายหนุ่มกล่าว
   เฮ้..ๆๆๆ...แล้วเราจะเรียกพวกหล่อนชื่ออะไรล่ะ   เขานึกหากพวกหล่อนยอมตกลงเงื่อนไข
ที่เขากล่าว
   “ข้าทั้งสองให้สัตย์แก่ท่านว่า  จะเชื่อฟังคำสั่งท่านทุกๆอย่าง เพียงเพื่อขอให้เราทั้งสองได้
มีทีพักพิงอาศัยเท่านั้นเจ้าค่ะ”    วิญญาณทั้งสองกล่าวขึ้น
   “เอาล่ะเป็นอันตกลงกันนะ....เอ๊า!!ๆ...เอาอย่างนี้ดีกว่า คนที่คาดสไบแดง
 เราขอตั้งนามเจ้าว่า
“ประกายแดง”  ส่วนคนที่คาดสไบเขียว เราจะเรียกเจ้าว่า “ประกายเขียว”  
เจ้าว่าเห็นเป็นประการใด”
   หญิงสาวทั้งสองก้มตัวลงกราบชายหนุ่มทันที  
   “ในเมื่อนายท่านยอมรับข้าทั้งสองไว้รับใช้   จะเรียกข้าอย่างไรก็ได้เจ้าค่ะ”
แล้วนางทั้งสองก็พึมพรำชื่อของตัวเอง  “ประกายแดง”  “ ประกายเขียว”
 เอ๊ะไม่เลวนา ชื่อไพเราะเสียด้วยเรา   แล้วหล่อนก็หันหน้ามองกันแล้วยิ้มให้กัน 
   พลางหันมาทางชายหนุ่มกล่าวว่า 
   “ ลิงน้อยน่ารักนี่ล่ะเจ้าค่ะ  เรียกชื่อว่าอะไรล่ะหรือเจ้าค่ะ”
    คราวนี้ชายหนุ่มมึนงง จริงซินะเรายังไม่ได้ตั้งชื่อเรียกเจ้าลิงน้อยเลยนับแต่ช่วยเหลือและอยู่
ด้วยกันมา
    พลางชายหนุ่มหันไปลูบหัวเจ้าขนสีทองพลางเอ่ยว่า
    “งั้นๆ...เจ้าทั้งสองเรียกลิงน้อยนี้ว่า  “ประกายทอง” ก็แล้วกันนะ”
พลางหันไปลูบหัวเจ้าลิงน้อยและเรียกว่า  “ประกายทอง” พลางตบหัวมันเบาๆ
เพื่อบอกเจตนาของเขา
     ลิงน้อยนั้นมันส่งเสียงร้องเสมือนดีใจกระโดดโลดเต้นใหญ่แล้ววิ่งขึ้นไปยังกิ่งไม้ทันที
ชายหนุ่มทดลองความฉลาดของมันทันที   พลางเรียกชื่อมันเพื่อย้ำ
    “เจ้าประกายทองๆ...มานี่ซิ”
     สิ้นเสียงของชายหนุ่ม  เจ้าลิงน้อยเหมือนมันจะรู้ชื่อมันพลันห้อยโหนพุ่งร่างมาหาชายหนุ่ม
แล้วรีบซุกหน้าที่หน้าอกทันที    ทำให้ชายหนุ่มยิ้มแล้วลูบหัวมันเหมือนจะให้รางวัลมัน
    แล้วหันไปกล่าวกลับวิญญาณทั้งสองว่า   
   “ไหนๆเราก็มาร่วมเป็นพวกเดียวกันแล้ว จะขอให้พวกเราถือเป็นพี่น้องกันก็แล้วกัน  ข้าเอง
นั้นเขินกับคำเรียกของพวกเจ้า  ว่า”นายท่าน”จริงๆนะ”
   “งั้นพวกข้าก็จะเรียก”นายท่าน” ว่า “พี่ท่าน” ก็แล้วกันเพื่อจะได้
เหมาะสม   ส่วนน้องประกายเขียวนั้นอายุอานามอ่อนกว่าข้า 
    จึงต้องเป็นน้องข้า  
 ส่วนเจ้าประกายทองข้าจะเรียก???....”
แล้วหล่อนก็หยุดชะงัก
    “ไม่ต้องห่วงหรอกงั้นข้าขอตั้งให้เป็นน้องสุดท้องก็แล้วกันนะ”   
ชายหนุ่มตอบ
     ในเมื่อตกลงกันได้  ทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวต่างก็หัวร่อต่อกันและกัน  ส่วนเจ้าลิงน้อยมันคล้ายๆ
จะฟังและเข้าใจคำพูดของพวกเขา  จึงได้แต่ร้อง เจี๊ยกๆ!!!. พร้อมแสยะยิ้มแลเห็นเขียวแก้วแวววาวใส
ออกมานอกริมฝีปากมัน
     ทันใดนั้นหญิงสาวคนโตกล่าวกลับชายหนุ่มว่า  
    “เขียวแก้วของเจ้าประกายทองน้องเรานี้   มีอิทธิฤทธิ์มากนะพี่ท่าน สามารถปราบภูตผีปีศาจ
และวิชาไสยดำได้ด้วยล่ะ”  หล่อนกล่าว
    “อ้าวๆๆๆ???!!!!...แล้วทำไมพวกน้องๆไม่กลัวเขียวแก้วเสียล่ะ”ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย
    “ครั้งแรกพวกน้องๆก็กลัวเช่นกันพี่ท่าน   แต่พอพี่ท่านยอมรับพวกน้องแล้วอำนาจของเขี้ยวแก้ว
ก็ทอนลงจนเป็นปกติจ๊ะพี่ท่าน”  หญิงสาวทั้งสองกล่าวตอบชายหนุ่ม
    “อืมม???...เป็นงั้นหรือ   พี่ถึงสงสัยว่าเหตุใดถึงพวกน้องๆไม่กลัวเกรง”
    “ เอาล่ะๆ...นี่ก็ใกล้ฟ้าสางแล้ว  พวกน้องๆจะไปอยู่ที่ใดล่ะ???...”  ชายหนุ่มถาม
    หญิงสาวทั้งสองมองหน้ากันแล้วกล่าวพร้อมกันว่า
    “พี่ท่านในช่วงกลางวันนั้น  พี่ท่านให้ข้าอาศัยอยู่หรือจะแกะไม้ให้ข้าอาศัยก็ได้นะพี่ท่าน”
    “ เอาอย่างนี้ดีกว่า   ให้น้องทั้งสองประกายแดงไปอาศัยในฝักดาบ  ส่วนประกายเขียวก็เข้ามาอาศัย
ในฝักมีดเล่มเล็กก็แล้วกันนะ”
    “พี่ท่านชาญฉลาดมากจ๊ะ  เมื่อพวกน้องๆได้ที่อาศัยแล้ว  ก็จะเพิ่มฤทธิ์แก่ดาบและมีดให้พี่ท่าน
เพิ่มประสิทธิภาพมายิ่งๆขึ้นจ๊ะ”
   ใช่แล้วชายหนุ่มก็มีความคิดเช่นนั้นจริงๆ   อ้าวแล้วดาบเราล่ะยังอยู่ในร่างเสือร้ายที่ตายอยู่เลย
   ประกายแดงเหมือนจะรู้ใจ  พลางกล่าวกับชายหนุ่มว่า
  “พี่ท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอก   เดี๋ยวน้องจัดการเอง”  หล่อนกล่าวจบ ร่างก็พลันสลายหายไปทันที
   ในทันใดนั้น  มีดดาบก็ลอยพุ่งตรงมายังเบื้องหน้าชายหนุ่มทันที   เขางงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น.........

                   *  แก้วประเสริฐ.  *

n016.gif				
2 กุมภาพันธ์ 2553 13:48 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 6

แก้วประเสริฐ


                    ลุ่มลึกอิสราวดี  6

     แสงอาทิตย์เริ่มจะสนธยาทอแสงอยู่เหนือยอดเขา   ทำให้บรรยากาศเริ่ม
จะเย็นขึ้นตามลำดับ ท้องฟ้ายามแสงอาทิตย์ทอทาบยังหมู่เมฆที่ลอยฟ่อง
ฉาบรังสีออกหลายๆสี ทำให้เกิดทัศนียภาพสวยงามนัก ประกอบด้วย
ภูเขา แมกไม้   สายลมที่พัดเฉื่อยๆ ทำให้เกิดความซาบซึ้งแก่ชายหนุ่มยิ่ง
นัก  
        เขาเดินกลับมายังที่เจ้าลิงน้อยขนสีทอง ซึ่งบัดนี้มันลุกขึ้นกระโดด
โลดเต้นแต่ไม่ได้ไปไหน เพียงเฝ้ากองสัมภาระที่เขาวางไว้  ชายหนุ่ม
เดินเข้าไปหาเจ้าลิงน้อยแล้ว         พลางลูบหัวมันเบาๆ  มันหันมา
แสยะเหมือนจะยิ้มตอบเขา   แล้วมันก็กระโดดเข้ามายังร่างพร้อมซุกหัว
เข้ายังหน้าอก     มันลืมตาใสแปลกดวงตามันก็เป็นสีทองเรื่อๆเขานึกว่า
        สีทองนี้คงจะมีแค่ขนมันเท่านั้น     แม้ดวงตามันก็ส่งประกายเรื่อๆ
สีทองเช่นเดียวกัน      นับตั้งแต่เขาเคยรู้จักลิงมาก็มากพอประมาณแต่
ไม่เคยพบลิงสีทองเลย  นอกจากค่างที่อยู่ในสวนสัตว์ดุสิตแต่ขนสีมัน
ก็ไม่เหมือนเจ้าลิงน้อยนี้      รูปร่างก็เล็กกว่ากันมากมายนัก

         ด้วยความสงสัยเรื่องเขี้ยวของมัน      เขาจึงจับหน้ามันหันมาแล้ว
เอามือแหวกไปที่ปากมัน     มันก็เฉยๆปล่อยให้เขาแหวกที่ปากมันดู
สายตาที่ชายหนุ่มพบ       คือเขี้ยวสีขาวยาวมากแหลมคมเหมือนดังที่เขา
นึกไว้ปรากฏว่ามันเป็นแก้วชนิดหนึ่งที่ส่งแสงแวววาว    เขาสอดมือ
เข้าไปจับเขี้ยวมันดู       ใช่แล้วมันเป็นแก้วจริงๆค่อนข้างแข็งแรงเสีย
ด้วยเขาคิด       เมื่อขจัดความสงสัยหมดไปเขาค่อยๆวางเจ้าลิงน้อยลง
แล้วหยิบผลไม้ส่งให้มัน      มันยื่นมือมารับของพร้อมยกเข้าใส่ปาก
กัดกินทันที            
            รอจนสักครู่ที่เขายื่นผลไม้ให้อีกจนแน่ใจว่ามันอิ่ม   เขาก็เลย
ยกกระบอกน้ำไม้ไผ่ยืนให้มันพร้อมทำท่าทางประกอบ    มันจ้องตา
เขม็งที่กระบอกไม้ไผ่   เขาค่อยๆยกขึ้นดื่มทำเป็นตัวอย่างให้แก่มัน
          นั่นแหละมันถึงเข้าใจ  แม้ว่าเขากับมันจะพูดกันไม่รู้เรื่องแต่
อาศัยสัญญาณธรรมชาติที่มีแก่ทุกหมู่เหล่าสัตว์  คือ  สันชาติฌาน
สื่อสารทางกายที่สามารถสื่อกันได้        เมื่อเขาให้น้ำมันดื่มแล้ว
ก็มานั่งคิดถึงแผนการที่จะเดินทางต่อไป    แต่ตอนนี้เขาต้องหา
ที่พักเพื่อหลับนอนก่อน       จึงลุกขึ้นเดินสำรวจไปรอบๆบริเวณนั้น 
             ซึ่งอุดมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ๆสูงชัน ส่วนเจ้าลิงน้อยก็เดินตาม
เขาต้อยๆ  พร้อมทั้งกระโดดโลดเต้นไปตามนิสัยสันดานลิง     แต่ก็ยัง
ไม่ห่างกายเขามากนัก        เขาจัดแจงปูผ้าที่จะอาศัยพักหลับนอนใน
ค่ำคืนนี้ที่ยังแอ่งดินว่างๆมีหญ้าเล็กน้อยคลุมอยู่   ดูเหมือนเจ้าลิงน้อย
จะรู้ความหมายของเขา      มันรีบดึงผ้าออกทันทีเสมือนไม่ให้เขานอน
ที่นี่      แล้วมันก็นำผ้าคาดเอวโหนตัวขึ้นไปยังต้นไม้ใหญ่     ซึ่งแตก
ก้านสาขาใหญ่โต  ระหว่างกิ่งก้านนั้นเป็นคาคบกว้างขวางพอที่จะอาศัย
ได้
            เขามองดูการกระทำของมัน    เห็นมันเอาผ้าคาดเอวเขาไปวาง
บนคาคบ        แล้วไต่ลงมาพลางดึงมือเขาเสมือนบอกให้เขารู้ว่าให้ขึ้น
ไปอาศัยหลับนอนบนคาคบต้นไม้ใหญ่นั้น     เขาเข้าใจในความหมายของ
มันจึงได้หันมาเก็บสัมภาระเพื่อจะทำตามมัน   มันก็รีบเข้ามาแย่งแล้วก็
ปีนขึ้นไปเก็บบนคาคบด้วย   เขานึกในใจมันนี่ฉลาดนักและเรียนรู้อากัปกิริยา
ของเขาได้อย่างรวดเร็ว        เขาซิจะทำอย่างไรที่จะปีนขึ้นไปยังคาคบต้น
ไม้ใหญ่ได้   ด้วยมันใหญ่กว่าที่เขาจะโอบแล้วปีนขึ้นไปได้  เขาเดินหาทาง
ที่จะขึ้น     เสมือนเจ้าลิงน้อยมันจะเข้าใจและรู้ท่าทางเขา  มันส่งเสียงร้อง 
“คร๊อกๆๆ”
แล้วปีนขึ้นไปบนต้นไม้อีกครั้งหนึ่ง      คราวนี้มันดึงสายเถาวัลย์ที่ห้อย
ระโยงรยางค์เต็มไปหมดแล้วมันก็นำมาพันกับลำต้นไม้แถวบริเวณคาคบ     
             
           พลางหย่อนสายเถาวัลย์ลงมายังที่ชายหนุ่มทันที     เมื่อเห็นการกระทำ
เช่นนี้เขาเข้าใจและหัวร่อนึกในความแสนรู้ของมันยิ่ง    ชายหนุ่มจึงได้นำ
เถาวัลย์มาแล้วค่อยๆโหนร่างของเขา     โดยดึงตัวเถาวัลย์แล้วยืนเท้าสองข้าง
ก้าวดึงร่างขึ้นแล้วสองเท้าถีบลำต้นในลักษณะเอียงร่างตั้งฉากกับลำต้นจึง
ทำให้ผ่อนคลายความตึงมือไม่หนักแรง     
              ใช้เวลาไม่นานนักเขาก็ขึ้นไปยังคาคบได้  เขาเห็นเจ้าลิงน้อยขนทอง
แสยะเหมือนกับยิ้มให้เขา   เขารีบดึงร่างมันมากอดแล้วจูบไปยังใบหน้ามัน 
 มันหลับตาพริ้มแสดงอาการรับรู้การแสดงของเขา
        แล้วรีบจัดการปูผ้าให้เหมาะสมกับสภาพคาคบทันทีและนั่งฟัง
เสียงนกร้องกันแซดไปหมด  ซึ่งสำเนียงแตกต่างกันไปคนละเสียงกัน

        มืดแล้วแสงพระอาทิตย์จางหายไป  แต่ยังดีที่พระจันทร์เริ่มส่งแสงสีนวลใย
เต็มดวง     แสงของมันสาดส่องผ่านใบไม้มายังคาคบพอเห็นเลือนราง   พลาง
หันมาขยี้ขนหัวและใต้ค้างเจ้าลิงน้อยที่คุดคู้บนตักเขา     ชายหนุ่มนั่งนึกถึง
ว่าวันพรุ่งนี้เขาจะทำอย่างไร    และแล้วก็พลันนึกได้ว่าในระหว่างที่ไปตัดต้นไผ่
นั้นระยะทางเดินไปเขาพบกอไม้เล็กๆและเขาลองดึงใบมันมาฉีกดมด้วยมัน
คุ้นๆอย่างไรชอบกล   เมื่อได้กลิ่นจึงรู้ว่าเป็นต้นขมิ้นนั่นเองและใบบางใบมัน
เหี่ยวเฉาแล้วแต่เขาไม่สนใจด้วยไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร       
             ที่ใกล้ๆต้นกอไผ่ปล้องๆนั้น  ที่ใกล้ก็มีกอไผ่ลวกแต่สีของมันออก
สีทองคล้ายๆไผ่สีทองที่เขารู้จักแต่ไม่สนใจมัวสนใจในการเก็บน้ำเท่านั้น
บัดนี้เมื่อเขานึกถึงวิชาท่าร่างในหนังสือเกี่ยวกับ “ธนู”  จึงทำให้เขานึกได้
ถ้าหากเขานำมันทำลูกธนูและคันก็พอจะใช้ได้   
           ไว้พรุ่งนี้เช้าก่อนเขาจะไปตัดมันและมาทำ    
 เขานึกๆไปหลายๆอย่างแต่ก็มาคิดว่าหาก    เจ้าลิงน้อยแสนรู้ตัวนี้
หากเกิดการต่อสู้มันก็คงจะเหมือนการต่อสู้ระหว่างสัญชาติฌาน
สัตว์นั่นเอง    จะทำอย่างไรดีที่จะสอนการต่อสู้ให้มัน   เห็นทีว่าเขาจะต้อง
หยุดการเดินทาง ณ ที่นี้สักพักจนกว่าจะสอนเจ้าลิงน้อยแสนรู้ตัวนี้ก่อน
ด้วยมีแววฉลาดพอจะสั่งสอนได้  เพื่อใช้ป้องกันตัวในการต่อสู้ต่อไป  
            เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว เขาก็เอนกายตัวลงนอนข้างๆแล้วกอดเจ้าลิงน้อย
ไว้ในในที่อก     เสียงสัตว์ออกหากินกลางคืนร้องเป็นระยะๆแต่ยังไกลมาก
เขาชินชาเสียแล้วจึงได้ผล๊อยหลับไป   จะนานเท่าไรไม่ทราบมารู้ตัวอีกที
เมื่อเจ้าลิงน้อยขนทองมาเขย่าร่างๆเขาแล้วเอามือน้อยๆมันปิดปากเขาไว้
                เสมือนไม่ให้เขาร้อง    เขาได้ยินเสียงดังโฮกๆ!!....ปี๊บๆๆๆ สลับกัน
เขาลุกขึ้นนั่งทันที     เสียงนั้นหายไปสักครู่เขาก็ได้กลิ่นฉุนๆคล้ายๆสัตว์เน่า
ที่ตายหลายๆวันลอยตามลมเข้ามา   มันฉุนมากฉุนและเหม็นจนเขารู้สึกเกิด
อาการท้องขย่อนจะอาเจียน    ไม่รู้เจ้าลิงน้อยมันไปหาใบไม้อะไรมาเคี้ยวๆ
มันเอามาจากที่ใดเขาไม่ได้สังเกต   เมื่อมันเคี้ยวจนแหลกละเอียดแล้วมัน
ก็ยื่นมาให้เขา   เขาเอื้อมมือไปรับแต่ไม่รู้เจตนาของมัน   แล้วมันก็คายใบไม้
ที่เหลืออยู่ออกมา    แล้วยัดเข้าปากมันอีก นั่นแหละเขาถึงได้รู้เจตนามัน
             ชายหนุ่มซึ่งเหม็นและฉุนต่อกลิ่นเน่าๆลอยมาจนแทบจะเป็นลมก็รีบ
เอาก้อนใบไม้ที่เจ้าลิงน้อยยื่นมาให้   ใส่เข้าปากทันทีพอก้อนใบไม้นั้นถูก
น้ำลายเขา   เขารู้สึกว่ามีรสขมๆฝาดๆและกลิ่นหอมชอบกล  น้ำลายเขาไหล
ลงในลำคอรู้สึกชุ่มชื่น    อาการเหม็นเน่าและฉุนคล้ายๆสัตว์ตายค่อยๆจาง
หายไป   เขาพึ่งจะรู้คุณค่าของใบไม้ที่เจ้าาแสนรู้นำมาให้จึงรีบยกมือลูบไปที่
หัวมัน   และสายตาก็มองไปยังเบื้องล่างที่แสงจันทร์สาดส่องถึงแต่ก็ยังขมุกขมัว
เลือนรางเต็มที     ไม่เห็นมีอะไรเขาคิดแต่อาการของเจ้าลิงแสนรู้กระสับกระส่าย
ทันที          
             ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงร้องเรียกเขาและชื่อเขาออกมา  แปลกๆเขาคิด
ในเมื่อบริเวณแถวนี้เขาเดินทางไม่พบหมู่บ้านคนสักหลังเดียว  เอ๊ะแล้วเหตุใด
จึงรู้จักชื่อเขาด้วย  เสียงร้องเรียกชื่อเขาแผ่วเบาโหยหวนนัก เป็นเสียงของยายแก่
ที่ชรามาก   แต่เขาก็เพียงได้ยินเสียงแต่ตัวเขายังไม่เห็นร่างนั้นเลย
        “ พ่อธวัชๆ   ช่วยยายด้วยเถอะพ่อคุณ.... ช่วยยายด้วย”  เสียงร้องเรียกชื่อเขาอีก
เขาสะดุ้ง ????....   
        คราวนี้เขามองไปก็พบเห็นร่างหญิงชราแก่หลังค่อมก้มหน้า แต่มือแกกระเดียด
กระบุงหรือกระจาดไม่แน่ใจนัก    แกก้มหน้าแล้วนอนลง   เสียงร้องเรียกเขาอีก
พลางดิ้นทุรนทุราย  เขาชักใจอ่อนเหมือนถูกมนต์สะกด พลางจะลุกขึ้นยืน
        แต่เจ้าลิงน้อยแสนรู้กลับกระชากร่างเขาค่อนข้างแรงให้นั่งลง  นั่นแหละเขาถึง
ได้รู้สึกตัวขึ้นมา    พลางยื่นใบไม้ที่เคี้ยวแหลกแล้วยื่นให้เขา  คราวนี้ชายหนุ่มรู้แล้ว
ถึงเจตนาของสัตว์แสนรู้ตัวนี้รับมาแล้วรีบยัดเข้าปากเขาทันที   แต่คราวนี้รสแปลกๆ
แต่ออกขมมากๆเสียด้วย  อาการมึนงงคล้ายถูกสะกดหายไปทันที
         เมื่อเสียงร้องของหญิงชราเรียกชื่อเขาหลายครั้งๆไม่ได้ผล ร่างหญิงชราก็รีบลุก
ขึ้นยืนทันที  แล้วแหงนหน้ามองมายังคาคบไม้ที่เขาอาศัยอยู่  เจ้าลิงน้อยรีบนำตัวมัน
เข้ามาบังร่างเขาไว้ พลางขู่ๆแยกเขี้ยวขาวโพลนออกมาทันที   เขามองลอดช่องแขน
ไปดู  
           คราวนี้เขาต้องตกใจมาก  เมื่อแลเห็นใบหน้าของหญิงชราที่ค่อนข้างจะเหี่ยว
ย่นมากจากแสงนวลที่สาดส่องมา    แต่ให้ตายซิ!!!...เขาคิดทำไมดวงตาของหญิง
คนนี้จึงใหญ่โต  ไม่ใหญ่โตเปล่าๆกับมีสีเขียวปัด   แต่กระนั้นก็ยังส่งเสียงร้องอย่าง
น่าเวทนาโหยหวนยิ่งนักเรียกชื่อเขาอยู่ร่ำๆไป   
            ฉับพลันสมองของเขาก็คิดถึงเรื่อง “สาง”ที่เคยอ่านในหนังสือได้ว่า “สาง”
มันก็คือ “เสือสมิง” นั่นเองหากมันฆ่าใครมามากๆทั้งคนและสัตว์เมื่อแก่ตัวมากๆ
มันก็จะเป็น “สาง”ในลักษณะคล้ายสัตว์กึ่งผีนั่นเอง  
             นั่นซิเขาคิด มันถึงเรียกชื่อเขาได้ถูกต้องทั้งๆที่เขาและมันไม่เคยจะรู้จักกัน
เลย   และชื่อนี้ก็ยังไม่เคยบอกให้ใครๆฟังด้วยเพราะไม่รู้จะบอกให้ใครฟัง
เขาพิจารณา     สงสัยจะเหมือนในหนังสือที่เขาอ่านเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับแล้วกระมัง
             เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เขาค่อยๆล้วงมือเข้าไปหยิบก้อนหินมาทีเดียวสามก้อน
ที่เก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงออกมา    เจ้าลิงน้อยหันมาทางเขาแล้วเอามือกดหัวเขา
เหมือนไม่ให้เขามองสิ่งเหล่านี้   แต่เขาตัดสินใจได้แล้วและเชื่อว่ามันคือ “เสือ”แน่นอน
จึงขว้างก้อนหินออกมาทีเดียวสามก้อน   ปรากฏว่าได้ผลแสงสีเขียวมรกตสองดวงนั้น
หายวับไปทันที   และแล้วเสียงร้องก้องคำรามดั่งลั่นไม่หมดเสียงดิ้นและต้นไม้เล็กๆ
หัก   เขาแลเห็นร่างมันแล้ว   โอ้โหวๆ!!....ร่างมันเมื่อโดนกระทบแสงจันทร์ออกสีขาว
นวลและมีลายพาดเป็นริ้วๆไปหมด ร่างมันสูงใหญ่พอๆกับน้องม้าทีเดียวเขารำพึง
           หากแม้นว่าในขณะที่มันเรียกชื่อเขานั้น  หากเขาไม่ได้เจ้าลิงน้อยช่วยเหลือ
เห็นทีจะต้องจบชีวิตลงแน่นอนด้วยความไม่รู้ตัวของเขา   เขาคิดว่ามันคงจะไปแล้ว
แต่แล้วมันมิได้ไปดังที่เขาคิด  มันเดินส่ายไปส่ายมาวนเวียนเป็นคล้ายวงกลม  หรือว่า
สายตามันจะเสียด้วยเขาไม่ได้เห็นดวงกลมสีเขียวๆอีกแล้ว   แต่เสียงคำรามด้วยความ
โกรธของมันพร้อมกับตะกรุยเล็บใส่ต้นไม้ใหญ่ที่เขาอาศัยอยู่ด้วยตามกลิ่นสัญชาติฌาน
สัตว์............

                    *  แก้วประเสริฐ. *

n016.gif				
1 กุมภาพันธ์ 2553 13:25 น.

ลุ่มลึกอิสราวดี 5

แก้วประเสริฐ


               ลุ่มลึกอิสราวดี  5

     ร่างชายหนุ่มเดินลดเลี้ยวไปตามทางเนินไหล่เขาทางวัชพืช     
 สองข้างโอบไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยมุ่งหน้าเข้าสู่ภูเขาลูกใหม่       
สิ่งที่ทำให้เขาฉงนใจมากขึ้น  ยามเดินไปยิ่งลึกเข้าสู่แนวป่าเท่าไหร่  
 ต้นไม้ยืนต้นยิ่งใหญ่มากยิ่งขึ้นเท่านั้นเขาสังเกตเห็น
แมลงปอ หรือ แมลงต่างๆตัวใหญ่ผิดปกติมีรูปร่างขนาดเท่ากำปั้นมือของเขาเห็น
จะได้      ชายหนุ่มชะงักหยุดกับที่และเริ่มพิจารณาสิ่งรอบข้างที่ผิดสังเกตทันที
ใช่แล้วมันใหญ่มากจริงๆเสียด้วย    สิ่งแวดล้อมรอบข้างเขาช่างผิดกับตอนมามาก
นักอะไรเกิดขึ้นหรือ  
   ทำไมสิ่งต่างๆล้วนแล้วแต่ใหญ่โตไปเสียสิ้นแต่เขารู้สึกหนัก
มือขึ้นดาบที่เขาถือซึ่งยาวพอประมาณสร้างความตึงมือให้แก่เขา    ด้วยเกิดจากความ
อ่อนล้าในการถือนานๆและไม่สะดวกในการใช้มือหากมีการปีนป่ายเกิดขึ้นข้างหน้า
หากเขาไม่หาวิธีลดทอนลง   ดังนั้นเขาจึงค้นหาเถาวัลย์ขนาดเล็ก เพื่อใช้ในการเก็บ
ดาบและมีดน้อยมิให้ต้องเกะกะต่อไป   

         เมื่อพบแล้วเขาทดลองดึงทดสอบความเหนียวแน่นของเถาวัลย์นั้น     
ซึ่งทำความพอใจให้แก่ชายหนุ่ม   ดังนั้นเขาจึงนำมีดน้อยออกมาตัด
ได้พอขนาดแล้ว  นำมันมาพันกับฝักดาบทั้งปลายฝักและก่อนจะถึงตัวดาบ
โดยนำเถาวัลย์มาขมวดพันเกลียว   ทั้งฝักดาบและฝักมีดน้อยของเขา
  ส่วนฝักดาบที่มีตัวมีดอยู่เขานำมันขึ้นมาสพายแล่งบนไหล่ด้านขวา
       ส่วนฝักมีดน้อยเขานำมาร้อยยังผ้าคาดเอวเพื่อป้องกันการสูญหาย     หากเบื้องหน้าเขา
จะพบสิ่งหรืออุปสรรคใดๆก็จะได้ไม่ต้องล่วงหายไป  เขาปรับการจัดการกับดาบและมีด
ให้สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวทดลองดูจนเกิดแน่ใจแล้ว   
         ครั้นชายหนุ่มทำสำเร็จเขาก็ออกเดินทางต่อไป     เสียงร้องของพวกแมลงต่างๆ
ล้วนแล้วดังก้องกังวานมาก   บ่งบอกถึงการบินของมันล้วนแล้วแต่มีขนาดใหญ่ทั้งสิ้น 
 เขาคิดนี่เราหลงเข้ามายังเมืองพวกยักษ์หรือไงนะสิ่งต่างๆจึงล้วนแล้วแต่ใหญ่ไปหมดเขาคิด
        ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงเหมือนการต่อสู้กันของพวกสัตว์จำพวกค่าง หรือลิง ด้วย
เสียงมันบอกถึงลักษณะของสัตว์ต่างๆ   เสียงร้องเจี๊ยกๆจ๊ากๆดังระงมไปทั่วบริเวณข้างหน้า
ที่เขากำลังจะเดินผ่าน   
        ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเขาจึงรีบมุ่งหน้าไปยังต้นเสียงทันที
สายตาที่แลเห็น   คือการต่อสู้ระหว่างลิงสองฝ่ายที่เขาคิดเช่นนั้นด้วยสีของลิงที่มีรูปร่าง
ใหญ่โตมากแตกต่างกันมาก  คือลิงที่มีขนสีดำสนิทประมาณสักเกือบสิบตัว กับลิงที่มีขน
สีทองประมาณห้าหรือหกตัวนี่แหละ  ต่างฝ่ายต่างชุลมุนต่อสู้กัน  
        บ้างถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ
บ้างตายนอนถูกเขี้ยวของอีกฝ่ายกัดตาย  ชายหนุ่มสังเกตเห็นที่ใบหน้ามีเขี้ยวลิงล้วนแล้ว
แต่ใหญ่โตทั้งสิ้น  ขนาดของลิงสองฝ่ายนั้นไล่เลี่ยกันแต่เขารู้สึกว่าฝ่ายลิงสีดำนั้นจะตัวใหญ่
กว่าลิงขนทอง 

            เขาแอบมองดูยังต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆบริเวณต่อสู้  พลางล้วงก้อนหินมาถือไว้ในมือทั้งคู่
ของเขาด้วยเผื่อหาก พวกใดพวกหนึ่งหลงมาทางเขาและเห็นเขาอาจจะคิดว่าเป็นศัตรูมันและ
จะเข้าทำลายเขาจึงเตรียมการไว้ป้องกันตัวก่อน     การต่อสู้ผ่านไปนานพอประมาณจน
ชายหนุ่มรู้สึกหิวจึง   วางก้อนหินไว้อีกมือหนึ่งส่วนอึกมือหนึ่งล้วงหยิบผลไม้ขึ้นมากัดกินแต่
สายตาก็ยังจ้องดูการต่อสู้อยู่      
         เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ๆผลแพ้ชนะก็เริ่มจะมองเห็นคือฝ่าย
ลิงขนสีดำจะได้เปรียบทั้งจำนวนและที่เหลืออยู่  ส่วนลิงขนสีทองเหลืออีกสองสามตัวแต่ด้วย
นิสัยของนักสู้ของลิงขนสีทองที่เห็นพวกมันตายไปก็มิได้เสียกำลังใจแต่ประการใดก็ยังพยายาม
เข้าต่อสู้คงคิดว่าจะตายตามพวกมันไป      ในจำนวนสองสามตัวนั้นมีลิงตัวเล็กเขาเข้าใจว่าคงจะ
เป็นลูกลิงที่กำลังเติบโตอยู่ร่วมด้วย     
ถึงแม้มันจะตัวเล็กและยังเด็กมากนักแต่ใจจิตมันใหญ่ผิด
กับรูปร่างมันและพยายามเข้าช่วยตัวอื่นๆมิได้คิดจะหลบหนีไป       
จนกระทั่งเหลือเจ้าตัวน้อย
เพียงตัวเดียวมันก็พยายามดิ้นรนต่อสู้ต่อไปมิได้คิดกลัวตายแต่ประการใด
          ทำให้เขาอดสงสารมันมิได้    
          หากเขาไม่เข้าไปช่วยเหลือเจ้าลิงตัวน้อยนี้เห็นที่จะต้องตายตาม
พวกมันแน่นอน
          ดังนั้นเขาจึงนำก้อนหินที่ถือไว้ในมือก่อนแล้ว   เล็งไปยังตัวใหญ่ที่สุดที่เขาคิดว่าคงจะ
เป็นหัวหน้าลิงขนสีดำและขว้างก้อนหินไปยังดวงตามันทันที  ผลปรากฏว่าลิงตัวใหญ่ที่เขาคิด
วางมือจากกระชากร่างลิงเล็กตัวนั้นทันที      มันร้องเสียงลั่นพร้อมขู่ดังๆยกมือขึ้นกุมดวงตาทันที
แต่กระนั้นสัญชาติฌานมันมิยอมกลับพุ่งร่างเข้าหาเล็กตัวเล็กอีกครั้ง   
        คราวนี้ชายหนุ่มขว้างก้อน
หินอีกก้อนเข้าไปยังดวงตาที่เหลือเพียงข้างเดียวของมันอีก  
        ร่างของลิงใหญ่ขนสีดำสะดุ้งเฮือก
ร้องกังวานลั่นเลือดไหลออกจากดวงตาทั้งสอง  สายตามันบอดสนิทแต่ด้วยความดุร้ายกระหาย
เลือดของมันได้ส่งเสียงร้องเรียกพวกทันที  พวกลิงขนสีดำต่างแยกย้ายกันค้นหาสิ่งที่ทำให้
หัวหน้าได้รับบาดเจ็บทันทีพวกมันเหลือประมาณห้าตัวเห็นจะได้  ชายหนุ่มรีบคว้าหยิบก้อนหิน
มาถือไว้อีกแล้วรีบขว้างหินเข้าใส่ยังตัวที่ห่างไกลเพื่อเรียกร้องความสนใจมันให้ไปทางอื่นแต่
กระนั้นก็ยังหาได้ผลไม่    
        พวกมันมิสนใจตัวที่ได้รับอันตรายและล้มตายไปมันก็แยกย้ายกัน
ค้นหาเขาซึ่งพวกมันคิดว่าคงมีสิ่งที่ทำร้ายหัวหน้ามัน   
        มีตัวหนึ่งถลาใกล้เข้ามายังต้นไม้ที่เขา
ได้หลบอยู่          

        ร่างมันใกล้ๆตัวเกินกว่าที่เขาจะขว้างก้อนหินได้ ดังนั้นเขาจึงรีบชักดาบออกมา
เสียงดังกังวานทันทีเมื่อตัวดาบกระทบกับฝักดาบหลุดออกมา  เขารีบเผ่นทะยานเข้าใส่ร่างมัน
ทันทีพร้อมกับยกดาบขึ้นฟาดฟันไปยังร่างเจ้าทโมนไพรสีดำ   
       ด้วยความคมของดาบที่เขามีอยู่
ทำให้ร่างอันมหึมาของลิงร่างยักษ์ขาดกระเด็นออกเป็นสองท่อนทันที  เขามองเห็นเกิดความ
ได้ใจ  จึงพุ่งร่างเข้าไปยังลิงตัวเล็กขนสีทองพลางฟาดฟันดาบในมือของเขาเข้าใส่ยังร่างของ
ลิงที่กำลังพันตูกับลิงน้อยตัวนั้น   เพียงพริบตาเขาก็สังหารเจ้าร่างยักษ์นั้นลงอีก  แต่ลิงที่เหลือ
ขนสีดำเพียงสองตัวมันรู้แล้วว่าใครที่ทำร้ายพวกมันแต่ด้วยความอำมหิตในสันดานมันมิได้
กลัวตายพุ่งร่างทั้งสองเข้ามาพร้อมส่งเสียงร้องขู่แล้วกระโจนเข้าใส่เขาทันที   ตัวแรกโดนฟัน
มือขาดไป แต่มันก็มิได้ลดละยกมือที่เหลือเขาตะกรุยหมายจับ  
        มือเจ้าลิงเฉียดกายเขาไปนิด
เดียวด้วยเขาเบี่ยงตัวหลบเสียทัน     ชายหนุ่มนึกหากเป็นสมัยก่อนเขาคงจะต้องถูกเจ้าลิงยักษ์
จับตัวได้    แต่บัดนี้เขาได้ฝึกปรือท่าร่างตามภาพวาดในหนังสือมาอย่างเชี่ยวชาญแล้วทำให้
เกิดปฏิกิริยาในการต่อสู้สามารถหลบหลีกหลุดพ้นได้       เขาคว้ามีดน้อยชักออกแทงสวน
ใส่ยังร่างเจ้าลิงยักษ์     
         เสียงมันร้องโหยหวนปรากฏว่าไส้มันทะลักขาดหลุดออกมาจาก
ลำตัวมันทันที  เสียงร้องลั่นพร้อมสิ้นเสียงร่างมันก็หงายล้มลง

        อีกตัวหนึ่งที่เหลือชะงักคราวนี้มันมิกล้าเข้ามาใกล้ๆเขาคงเห็นพวกมันล้มตายด้วยสิ่งของ
ที่อยู่ในมือเขานั่นเอง   แต่มันก็ยังส่งเสียงคำรามขู่หันรีหันขวางเมื่อมันเห็นพวกมันตายด้วย
นิสัยสันดานที่เหี้ยมโหดมันได้กระโจนเข้าใส่เขาอีกครั้งหลังจากที่มันลังเลอยู่    ดังนั้นเขาจึง
นำมีดน้อยสอดใส่ฝักแล้วรีบหยิบก้อนหินขว้างเข้าใส่ร่างมันทีเดียวสองก้อน  หินทั้งสองก้อน
ได้เข้าเป้าอย่างจัง   ร่างลิงชะงักกลางอากาศทันที    
        ทันใดนั้นร่างสีทองผ่านสายตายเขาไป
แว๊ปหนึ่งด้วยความเร็วที่เขาแทบจะมองไม่ทัน    เห็นร่างเจ้าลิงน้องขนสีทองทะยานพุ่งเข้า
ใส่ร่างลิงขนสีดำที่มือมันทั้งสองกุมอยู่ที่ดวงตาทั้งสองที่มีเลือดไหลออกมามากมาย    ร่างเจ้า
ลิงน้อยก็ตรงเข้ากระโดดใส่ด้านหลังลิงยักษ์สีดำแล้วแยกเขี้ยวกดลงไปยังต้นคอลิงร่างยักษ์
    สิ่งที่เขาเห็นคือประกายสีขาวแวววาววับจากเขี้ยวของเจ้าลิงน้อยที่ฝังลึกเข้าสู่ร่างลิงยักษ์
        มันช่างคมอะไรเช่นนั้นเขาคิดปรากฏว่าต้นคอลิงร่างยักษ์ฉีกขาดกระจาย หัวของมันแทบ
หลุดจากบ่าด้วยแรงกระชากของลิงน้อยตัวนี้      ภายหลังเสร็จยุทธภูมิลิงสิ้นสุดลงคงเหลือ
เจ้าลิงน้อยเพียงตัวเดียว    เมื่อเขาเห็นว่าได้ช่วยลิงน้อยที่พึ่งจะเติบโตได้สำเร็จแล้วเขาก็หันหลัง
กลับทันที         เพื่อจะออกเดินทางต่อไป


        ทันใดนั้นเขาก็ต้องสะดุ้งอีกครั้งหนึ่งเมื่อมือข้างหนึ่งของเขาถูกกระชากเบาๆเขาเหลียว
หันไปมองเห็นลิงน้อยตัวนี้กุมมือเขาแล้วส่งเสียงร้องเบาๆ     
        เขาหัวร่อด้วยความเอ็นดูสัญชาติฌาน
บอกเขาว่าเจ้าลิงน้องคงจะมาทำความสนิทสนมกับเขาแน่    ชายหนุ่มหยุดลงแล้วนั่งลงพลางเอื้อม
มือหยิบผลไม้ที่ยังเหลืออีกไม่มากนัก   ยื่นส่งให้เจ้าลิงน้อย ทันใดเจ้าลิงน้อยกระโดดโลดเต้นและ
เข้ามาหยิบผลไม้ในมือเขาแล้วนำไปกัดกิน  ทันทีที่มันอ้าปากเพื่อกัดกินผลไม้นั้นเขาสังเกตเห็น
เขี้ยวมันทั้งสองซึ่งผิดแผกกว่าเขี้ยวสัตว์อื่นๆที่มีสีขาวออกเหลืองๆ      
       แต่นี้มันมีประกายคล้ายๆ
เป็นแก้วชนิดหนึ่งส่งกระทบแสงแวววามด้วย    
       เขานั่งมองดูมันกินเห็นว่ามันคงจะยังไม่อิ่มจึงได้   
       จึงหันไปล้วงผลไม้ขึ้นมาอีกและ
หยิบผลไม้ทั้งหมดที่เหลือส่งให้มัน    
       คราวนี้มันยื่นมือมารับอีกจนใบสุดท้ายมันกลับยื่นส่ง
มาให้เขาบ้าง   ชายหนุ่มยิ้มแล้วเอื้อมมือไปรับมากัดกินบ้างส่วนมันเองก็กินพร้อมๆเขา  ชายหนุ่ม
หัวร่อลั่นด้วยความดีใจ   
       จึงทดลองเอื้อมมือไปลูบหัวมันดูเพื่อทดสองปรากฏว่ามันแสดงอาการ
เฉยๆตอบรับการกระทำของเขา       
       ดังนั้นเขาจึงขยี้เบาไปไปยังหัวมันแล้วดึงร่างมันเพื่อเข้ามา
กอดปรากฏว่ามันอ่อนตามมือเขาทันที  เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็ดึงร่างมันเข้ามากอดแสดงให้มันรู้
ว่าเขาก็มีความรักต่อมัน     
        ลิงน้อยเขาคิดว่ายังเป็นลูกลิงอยู่ได้ซุกหน้าลงมันหน้าอกเขาพร้อม
หลับตาพริ้มแล้วหลับไปแสดงถึงความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าในการต่อสู้ที่ผ่านมาเขาจึงปล่อยให้
มันนอนหลับบนหน้าอกเขานานทีเดียว   
        และในระหว่างนั้นก็คิดไปต่างๆนาๆทันใดนั้นเขานึก
ได้ว่าสิ่งที่เขาฝึกฝนมานั้นยังขาดเพียงแค่ฝึกธนูเท่านั้นด้วยในตำราก็บ่งบอกวิธีการซึ่งเขาจำได้
แม่นยำ  แต่เขาคิดว่าเขาหัดขว้างก้อนหินแล้วคงไม่จำเป็นต้องใช้   แต่หากระยะไกลๆคงจะขว้าง
ไม่ถึงแน่นอนเกินระยะกำลังของเขา    
        หากได้ฝึกไว้ก็คงจะดีแต่อุปกรณ์นั้นหาไม่ได้ซิด้วยไม่
มีคันธนูและลูกธนูใช้ในการฝึกฝน     
        มาบัดนี้เหตุใดทำให้เขานึกขึ้นมา  คงจะเป็นการต่อสู้ของลิงสองฝ่ายและที่เหลือจะเข้า
มาทำร้ายเขา
   
        หากเขาฝึกฝนธนูไว้บ้างก็คงจะไม่ให้พวกลิงสีขนดำเข้ามาใกล้เขาได้แต่นี้การ
ขว้างก้อนหินเมื่อหลายๆก้อน แต่ละก้อนล้วนแล้วใหญ่และหนัก ทำให้แขนเขาอ่อนล้าไปมาก
และเมื่อเหลือบไปเห็นพวกลิงยักษ์ขนสีดำที่นอนตายอยู่   
        ทำให้เขานึกได้ว่าหากได้เส้นเอ็น
พวกมันมาทำสายธนูก็คงจะดีหรือเอามาแทนเถาวัลย์สำหรับคล้องดาบและมีดน้อยก็จะถาวร
กว่า   ด้วยเถาวัลย์นั้นพอแข็งตัวก็จะกระด้างไม่สะดวกในการพันและย่อมจะแตกหักไป
      เมื่อเขาคิดได้เช่นนี้แล้วก็ค่อยๆวางร่างเจ้าลิงน้อยขนทองพลางเอาผ้าคาดเอวเขาหนุนหัว
มันไว้    
     เจ้าลิงน้อยคล้ายๆจะอ่อนเพลียมากนอนคุดคู้หลับใหลไป  เขาก้าวพร้อมมีดน้อยส่วน
ดาบนั้นเขาสะพายอยู่เบื้องเขาอยู่แล้วย่างเดินไปยังลิงขนสีดำที่นอนตาย  
 เขาใช้เวลาชำแหละ
ลอกหนังและดึงเส้นเอ็นที่เขาคิดว่าพอเหมาะในการทำสายคันธนูตลอดจนใช้ผูกด้ามดาบและมีด
น้อยของเขา   และนำไปตากแดดซึ่งตอนนี้กำลังเที่ยงวันแสงแดดกำลังแรงจ้า  พร้อมทั้งจัดการฝังร่างเจ้าลิงที่นอนตายทั้งหลายด้วย    
       เมื่อจัดการกลบฝังร่างทั้งหมดแล้วเขานึกได้ว่าหาก
เดินทางต่อไปซึ่งหนทางก็จะลำบากในเรื่องน้ำที่จะใช้ดื่มกิน    
เขาจึงมองไปยังรอบๆบริเวณนี้
พลันสายตาก็เห็นกอไผ่ขึ้นระเกะระกะ แต่ต้นมันช่างใหญ่โตมากนัก 
  เขาจึงเดินเข้าไปหาเพื่อเลือก
ต้นที่พอขนาดจะใช้ทำกระบอกน้ำเพื่อเดินทาง   
เมื่อค้นลำต้นได้พอขนาดที่ต้องการแล้วเขาจึง
ได้นำดาบออกมาตัดระหว่างปล้องข้อที่กั้นลำต้นเป็นท่อนๆมิให้ทะลุ    
        เพียงแต่ใช้มีดน้อยเจาะรูด้านริมของปล้องข้อเพื่อใช้สำหรับดื่มกินน้ำ   เอาแค่แค่พอ
ใช้เท่านั้นแล้ว และตัดกิ่งไผ่ให้พอเหมาะสำหรับใช้อุดช่องว่างมิให้น้ำไหลออกมาหากเขาได้ใส่น้ำ
แล้วจึงไปตัดเถาวัลย์มาพันปลายกระบอกทั้งสองด้าน  เพื่อใช้สำหรับสะพายใส่บ่า  เขาทำแค่
เพียงสามปล้องเท่านั้นเพื่อเหมาะสำหรับเดินทางไม่หนักเกินไปนัก       
        เมื่อเขาจัดการสิ่งที่ต้องการแล้ว   ก็เดินไปยังร่างลิงน้อยที่หลับใหลอยู่เขาปล่อยให้เจ้าลิง
น้อยนอนต่อไป  
       ในเมื่อมีเวลายังว่างเช่นนี้เขาก็เที่ยวเดินหาผลไม้มาเก็บตุน
ตลอดจนหาแหล่งน้ำและเติมใส่ในกระบอกไม้ไผ่จนเต็ม  
       เพื่อใช้ในการเดินทางต่อไป....

           *  แก้วประเสริฐ. *

n016.gif				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแก้วประเสริฐ