7 พฤศจิกายน 2552 23:11 น.
คีตากะ
หลายเดือนที่ผ่านมา เสียงจากสายวิทยาศาสตร์ ซึ่งปกติแล้ว จะเป็นแนวอนุรักษ์นิยม ได้แสดงความแตกตื่นที่ต่างกันไปเมื่อมาถึงเรื่องภาวะโลกร้อน
เราเปลี่ยนจากการถกเถียงเรื่อง ความไม่แน่นอน ที่อยู่เบื้องหลังวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศ ไปสู่การเตือนที่เกือบถึงระดับหวาดผวาได้อย่างไร จากเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่ปกติแล้วเป็นคนเคร่งขรึมในเรื่องผลกระทบระดับหายนะที่แก้ไขไม่ได้ มีสองเหตุผล
ประการแรก ยังไม่มีความไม่แน่นอนอย่างแท้จริงในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์มามากกว่าหนึ่งทศวรรษ พันธมิตรที่ชั่วร้ายระหว่างบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิล และนักการเมืองอนุรักษ์นิยม ได้รณรงค์อ้างเหตุผลที่ผิดๆ และได้รับงบประมาณอย่างดี แต่ให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเพื่อสร้างความสงสัยและข้อโต้แย้ง ในมติที่เกือบเป็นเอกฉันท์จากเหล่านักวิทยาศาสตร์ ในเรื่องนี้พวกเขาได้รับการช่วยเหลือ และช่วยให้รอดพ้นโดยสื่อ ซึ่งชอบเรื่องโต้เถียงมากกว่าความจริง และโดยคณะบริหารของบุช ซึ่งได้พยายามบิดเบือนวิทยาศาสตร์ และสั่งให้นักวิทยาศาสตร์ผู้ที่พยายามพูดถึงเรื่องภาวะโลกร้อนเก็บเงียบ
ในบทบรรณาธิการหนึ่งของหนังสือพิมพ์ บัลติมอร์ ซัน ฉบับวันที่15 ธันวาคม 2547 ผู้เขียนได้กล่าวถึง จุดเปลี่ยนหนึ่งวงจรสะท้อนกลับที่เพิ่มกำลังด้วยตนเอง ซึ่งอุณหภูมิที่สูงขึ้น ทำให้เกิดมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่กักเก็บความร้อนอันทรงพลัง ให้หลุดจากโครงสร้างที่คล้ายกับน้ำแข็ง ที่เรียกว่า คลาเทรท ซึ่งยกอุณหภูมิ และทำให้เกิดมีเทนถูกปลดปล่อยมากขึ้น แม้ว่าจะมีหลักฐานที่ชัดเจนว่า กระบวนการนี้ ได้ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนขั้นรุนแรงสองครั้งในอดีต ชุมชนวิทยาศาสตร์ยังไม่ได้พุ่งประเด็นไปที่ น้ำแข็งมีเทน ในปี 2547 แม้แต่ในกลุ่มของผู้ที่มองโลกในแง่ร้ายบางคน ผู้ที่เราเคยเชื่อถือ คาดว่า เราเหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งทศวรรษ ก่อนที่อะไรเช่นนี้ จะเกิดขึ้นอีกครั้ง เราคิดผิด
ในเดือนสิงหาคม 2548 ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด และมหาวิทยาลัยทอมส์ที่รัสเซีย ได้ประกาศว่า ถ่านหินเลนไซบีเรียขนาดใหญ่ ซึ่งมีขนาดเท่ากับประเทศเยอรมันและฝรั่งเศสรวมกันกำลังละลาย และปล่อยก๊าซมีเทนนับพันล้านตัน อย่างที่มันเคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต
ครั้งล่าสุดที่มันอุ่นเพียงพอที่จะทำให้เกิดวงจรสะท้อนกลับนี้ คือเมื่อ 55ล้านปีที่แล้ว ในช่วงพาลีโอซีน-อีโอซีน เทอร์มอลแม็กซิมัม หรือ พีอีทีเอ็ม ตอนที่ภูเขาไฟปะทุได้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียงพอที่จะกระตุ้นการผุดมีเทนขึ้นมาเองอย่างเป็นอนุกรม ความร้อนที่เกิดขึ้นทำให้เกิดการสูญเสียมากมาย และมันใช้เวลานานกว่า 100,000ปีที่โลกจะฟื้นกลับมา
มันดูเหมือนว่า เรากำลังปริ่มอยู่ที่จุดกระตุ้นเหตุการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นมาก ในการประชุมที่อเมริกัน อคาเดมี่ เพื่อการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ ที่เมืองเซนต์หลุยส์ เมื่อไม่นานมานี้ คุณเจมส์ ซาโชส ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำด้านพีอีทีเอ็ม รายงานว่า ก๊าซเรือนกระจกกำลังสะสมในชั้นบรรยากาศ ในอัตราเร็วสามสิบเท่าที่เคยเป็นในช่วง พีอีทีเอ็ม
เราอาจจะเพิ่งได้เห็นการจู่โจมครั้งแรกในสิ่งที่อาจเป็นการเดินทางสู่นรกบนโลก ที่ไม่อาจหวนกลับคืนมาได้
มีวงจรสะท้อนกลับอื่นๆที่เราไม่ได้คาดคิดไว้ ตัวอย่างเช่น คลื่นความร้อนที่ยุโรป ที่ทำให้ประชาชน 35,000คนที่เสียชีวิตในปี 2546 และยังทำลายพื้นที่ป่าในยุโรป ทำให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ มากกว่าที่พวกเขาประเมิณไว้ ซึ่งตรงข้ามกับสมมุติฐานที่เรากำหนดไว้ในโมเดล ที่ใช้ป่าไม้เป็นฟองดูดซับคาร์บอนส่วนเกิน
สิ่งเดียวกันเกิดขึ้นกับระบบนิเวศอื่นๆ อีกมากมาย ที่โมเดลของเราและนักวิทยาศาสตร์ ใช้เป็นตัวดูดซับคาร์บอน ป่าอเมซอน ป่าบอรีล (หนึ่งในป่าที่ดูดซับคาร์บอนได้มากที่สุด) และดินในที่ที่มีอุณหภูมิปานกลางกำลังปล่อยคาร์บอนมากกว่าที่มันดูดซับ เนื่องจากความแห้งแล้ง โรคภัย แมลงรบกวน และการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวกับกระบวนการสันดาปที่เกิดจากภาวะโลกร้อน โดยสรุปแล้ว สิ่งต่างๆมากมาย ที่เราได้คิดว่าเป็นตัวดูดซับคาร์บอนในโมเดลของเรา ไม่ได้ดูดซับคาร์บอนส่วนเกิน แต่มันกำลังถูกคั้นออกมาและปล่อยคาร์บอนส่วนเกินแทน
น้ำแข็งขั้วโลกกำลังละลายอย่างรวดเร็วกว่าที่โมเดลทำนายไว้ ทำให้เกิดวงจรสะท้อนกลับอีกวงจร การมีน้ำแข็งน้อยลงหมายถึง พื้นที่ที่เป็นน้ำมากขึ้น ซึ่งจะดูดซับความร้อนมากขึ้น ซึ่งหมายถึงน้ำแข็งที่น้อยลง เช่นนี้เรื่อยๆ ที่แย่ไปกว่านั้น เราได้คาดการณ์ต่ำเกินไปอย่างยิ่ง ในเรื่องของอัตราความเร็วซึ่งน้ำแข็งบนภูเขากำลังละลาย โมเดลอากาศเปลี่ยนแปลงได้ทำนายว่ามันใช้เวลานานกว่า1,000ปี ที่แผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์จะละลาย แต่ในที่ประชุมเอเอเอเอส ที่เซนต์หลุยส์ นายอีริค ริกนอท ของนาซ่าได้นำเสนอผลการศึกษาที่แสดงว่า แผ่นน้ำแข็งกรีนด์แลนด์กำลังแยกเป็นส่วนๆและไหลสู่ทะเล ในอัตราเร็วเกินกว่าที่นักวิทยาศาสตร์คนใดได้ทำนายไว้ และมันกำลังเร่งขึ้นทุกปี ถ้าแผ่นน้ำแข็งกรีนด์แลนด์ละลาย มันจะยกระดับน้ำทะเล ให้สูงขึ้น 21ฟุต เพียงพอที่จะทำให้เกิดน้ำท่วมทุกท่าเรือที่อเมริกา
ที่ทะเลแอนตาร์กติกมีวงแหวนสะท้อนกลับอันตรายอีกวงจรที่อาจเป็นไปได้ ประชากรของตัวเคยได้ลดดิ่งลง80% ในเพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการสูญเสียแนวปะการัง เนื่องจากสูยเสียทะเลน้ำแข็ง ตัวเคยเป็นสิ่งมีชีวิตที่สำคัญที่สุดในห่วงโซ่อาหารทางทะเล และมันยังแยกคาร์บอนจำนวนมากออกจากชั้นบรรยากาศ ไม่มีใครคาดการณ์การลดจำนวนลงของพวกเขา แต่ผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนและความเป็นอยู่ของระบบนิเวศทางทะเลนั้นรุนแรง สิ่งนี้จะเป็นวงจรสะท้อนกลับด้วยเช่นกัน การมีตัวเคยน้อยลง หมายถึงการมีคาร์บอนอยู่ในบรรยากาศมากขึ้น ซึ่งหมายถึงทะเลที่อุ่นขึ้น ซึ่งหมายถึงน้ำแข็งน้อยลง ซึ่งหมายถึงปริมาณตัวเคยที่น้อยลงในวัฐจักรทางลบขนาดใหญ่นี้
เจมส์ เลิฟลอค นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญระดับโลกคนหนึ่งเชื่อว่า อีกไม่นานนัก ในอนาคตของมนุษย์จะเหลือเพียงคนไม่กี่คู่ในแอนตาร์กติก มันจะเป็นเรื่องง่ายๆที่จะเพิกเฉยศาสตราจารย์เลิฟลอคว่า เป็นคนบ้าคลั่ง แต่อย่างนั้นจะเป็นการกระทำที่ผิดพลาด เมื่อปีที่แล้ว ในการสัมนาภาวะโลกร้อนที่เมือง เอ็กซีเดอร์ ประเทศอังกฤษ เรื่องหลีกเลี่ยงสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลง นักวิทยาศาสตร์ได้เตือนว่า ถ้าเราให้ความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกเกิน400ppm เราอาจกระตุ้นให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงและหวนคืนกลับไม่ได้ เราได้ผ่านจุดสำคัญในปี2548 มาแล้ว แต่ได้รับความสนใจเล็กน้อยและไม่มีการกล่าวถึง
ความไม่แน่นอนทางวิทยาศาสตร์ ในเรื่องภาวะโลกร้อนไม่ใช่ว่า มันกำลังเกิด หรือว่า มันเกิดขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์ หรือแม้แต่ว่ามันจะทำให้เราสูญเสีย เงิน มากเกินไปที่จะจัดการกับมันในตอนนี้หรือไม่ เรื่องนั้นเป็นที่เข้าใจแล้ว และในตอนนี้ นักวิทยาสาสตร์กำลังถกเถียงกันว่า มันสายเกินไปหรือยัง ที่จะปกป้องหายนะระดับโลก หรือว่า เรายังมีโอกาสเล็กๆ ที่จะป้องกันผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุดของภาวะโลกร้อน
ลูกๆของเราอาจให้อภัยเรา หนี้ที่เรามอบให้กับพวกเขา พวกเขาอาจให้อภัยเรา ถ้าการก่อการร้ายยังคงอยู่ พวกเขาอาจให้อภัยเรา ที่ได้สร้างสงคราม แทนที่จะสร้างสันติสุข พวกเขาอาจให้อภัยเรา ที่ทำลายโอกาศในการหยุดยั้งเรื่องนิวเคลียร์ แต่พวกเขาอาจถ่มน้ำลายรดกระดูกของเรา และสบถสาบานชื่อของเรา ถ้าเรามอบโลกที่แทบจะอยู่อาศัยไม่ได้ให้พวกเขา ตอนที่เรามีอำนาจในการรักษามันไว้ ตอนที่เรามีอำนาจรักษามันไว้ และพวกเขามีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้น
แหล่งที่มะ: www.commondreams.org
งานเขียนของ จอร์น แอทเชสัน ปรากฏใน the Washington Post, the Baltimore Sun, the San Jose Mercury News, the Memphis Commercial Appeal, และวารสารราชการอีกมากมาย
23 ตุลาคม 2552 20:52 น.
คีตากะ
ของขวัญจากศิษย์พระบรมครูองค์ชีวกโกมารภัจ
บทที่ 1
สภาพของพลังชีวิต
มิติที่ 1 เป็นพลังชีวิตที่แท้จริง เป็นพลังแบบอากาศธาตุ อยู่ในส่วนลึกสุดของจิตวิญญาณ พลังชีวิตนี้แยกตัวมาจากพระผู้สร้างโลกสร้างมนุษย์ บริสุทธิ์ผุดผ่องมาแต่ก่อนเกิด ปราศจากราคีใด ๆ
มิติที่ 2 ถูกบรรจุลงในกายเนื้อ เริ่มมีกิเลสเกาะกุม เริ่มต้องการอาหารหล่อเลี้ยงชีวิต
มิติที่ 3 เป็นวิญญาณที่แทรกซ้อนเข้ามา เช่น วิญญาณของสัตว์ หรือเจ้ากรรมนายเวรที่เคยก่อกรรมทำเข็ญไว้
ฉะนั้น การกินอาหารของมนุษย์ จึงแบ่งออกไปหล่อเลี้ยงร่างกายมนุษย์เป็น 3 มิติ เช่นเดียวกัน
มิติที่ 1 ไม่ต้องการอาหารใด ๆ นอกจากพลังงานตามธรรมชาติ คืออากาศธาตุ 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ
มิติที่ 2 ต้องการอาหารหล่อเลี้ยงบ้าง แต่เป็นอาหารที่ค่อนข้างสะอาด เช่น พวกพืช ผัก ผลไม้
มิติที่ 3 ต้องการอาหารสด คาว เต็มไปด้วยซากศพ อาหารที่ปรุงด้วยเนื้อหนังมังสา
จะเห็นได้ว่าแต่ละมิติจะต้องการอาหารไม่เหมือนกัน คนที่ถือศีลกินเจ เป็นพวกที่ได้ปรับร่างกายให้มาอยู่ในมิติที่ 1 และที่ 2 จะไม่ยอมรับอาหารสดคาวใด ๆ คนเหล่านี้จะรู้สึกอ่อนเพลียไม่สบายทันทีเมื่อบริโภคเนื้อสัตว์ แต่จะรู้สึกแข็งแรงสดชื่นเมื่อได้รับบริโภคอาหารประเภทพืชผักผลไม้ ส่วนที่มีมิติที่ 3 อยู่ในตัวนั้น จะรู้สึกมีกำลังวังชาแข็งแรงเมื่อได้กินอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ความจริงเป็นความรู้สึกที่หลอกตัวเอง เพราะเนื้อสัตว์เหล่านี้ความจริงเข้าไปบำรุงวิญญาณที่สิงอยู่ในตัวท่านให้แข็งแรงต่างหาก ไม่ใช่ไปบำรุงตัวท่านเอง ข้าพเจ้าขอรับรองว่าท่านได้ชำระล้างร่างกายของท่านให้สะอาดบริสุทธิ์ ให้คืนมาอยู่ในมิติที่ 1 และที่ 2 จะมีกลิ่นกายที่เรียกว่าเป็น ความแรง เหลืออยู่น้อยมาก รวมถึงระบบขับถ่ายตลอดจนกระทั่งอารมณ์ต่าง ๆ ก็มีความรู้สึกเบาบางมากจนเกือบไม่มีอารมณ์ใด ๆ หลงเหลืออยู่ จะกลายเป็นคนที่มีอารมณ์เย็นอย่างยิ่งยวด มีสติสัมปชัญญะ ที่มั่นคงยิ่งกว่าบุคคลธรรมดา อย่างที่เรียกกันว่ามี พลังจิตสูง สิ่งเหล่านี้เป็นอาการของคนที่มีกำลังจะสลายตัวจากการเป็นตะกอนคืนสู่สภาวะของน้ำที่สะอาดเป็นขั้น ๆ ไป จนกระทั่งสู่ความเป็นมิติที่ 1 คืออากาศที่บริสุทธิ์ หมดสิ้นความเป็นตะกอนใด ๆ โดยสิ้นเชิง
บทที่ 2
มนุษย์ เป็นตะกอนของเทพเจ้าที่ประกอบด้วยธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ จริงหรือไม่
วรกายหรือความบริสุทธิ์แห่งเทพเจ้าแบ่งแยกออกให้เห็นชัด ประดุจความบริสุทธิ์สะอาดของ น้ำกลั่น เปรียบเสมือนวรกายของเทพเจ้าเบื้องสูงสุด เป็นความสะอาดที่กลั่นกรองครั้งแล้งครั้งเล่าจนสะอาดบริสุทธิ์หมดสิ้น ซึ่งสิ่งปฏิกูลทั้งปวง ปราศจากสี กลิ่น และรส เปรียบกับสภาวะจิตก็แน่วแน่ อยู่ในอุเบกขาฌาน ปราศจากอารมณ์ใด ๆ สิ้นเชิง
น้ำสะอาด เปรียบเสมือนวรกายเทพเจ้าเบื้องกลาง ยังมีกลิ่น รส น้ำขุ่น เปรียบเสมือนวรกายเทพเจ้าเบื้องต่ำ คือ เริ่มมีกิเลสเกาะกุมอยู่บ้าง ทำให้กระแสน้ำนั้นขุ่น แลเห็นเป็นรูปอากาศธาตุ ส่วนมนุษย์หมายถึงผู้มีกิเลสเกาะกุมหนาแน่นถึงขั้นตกตะกอน
ฉะนั้นมนุษย์ไม่อาจแลเห็นคนละมิติกัน คงได้รับกระแสสัมผัสทางร่างกายแบบอากาศธาตุเท่านั้น จะแลเห็นกันได้ต่อเมื่อต่างได้ปรับร่างกายและจิตใจให้มาอยู่ในมิติเดียวกัน เช่นเทพเจ้าลงมาเป็นตะกอนก็เห็นมนุษย์ หรือมนุษย์คืนจากความเป็นตะกอนไปเป็นน้ำที่บริสุทธิ์ก็ย่อมเห็นเทพเจ้า ฉะนั้น เมื่อวรกายของเทพเจ้ามีกำเนิดมาจากอากาศธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ มนุษย์ซึ่งตกตะกอนมาจากสิ่งนี้ กายเนื้อจึงหนีไม่พ้นการเป็นอากาศธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ จะสังเกตได้ว่า
1. สีของผิว (ธาตุดิน) สีผิวของมนุษย์ใกล้เคียงกับสีของดิน เมื่อมนุษย์ล้มตายไปแล้วจะเผาหรือฝังก็สลายเน่าเปื่อยไปเป็นดินตามเดิม เพราะเป็นธาตุเดียวกัน จะไม่สลายตัวไปเป็นธาตุอื่นที่ไม่ใช่ธาตุดินโดยเด็ดขาด
2. เลือด (ธาตุน้ำ/ไฟ) กลายเป็นเลือด ปกติน้ำจะต้องมีสีขาวและความเย็น แต่เลือดเป็นของเหลวมีสีแดงและอุ่นทั้งนี้ เนื่องจากการรวมตัวของ น้ำ/ไฟ กลายเป็นเลือด หล่อเลี้ยงร่างกายให้ได้รับความอบอุ่น ถ้าธาตุหนึ่งธาตุใดรุนแรงไป ธรรมชาติก็จะแก้ไขโดยที่มนุษย์ต้องดื่มน้ำเสมอ เพื่อระงับความร้อนของธาตุไฟ ถ้าเลือดจางหมายถึงธาตุไฟเสื่อมคุณภาพ ก็มีวิธีรักษาหาหยูกยาที่เพิ่มความร้อน คือ เพิ่มกำลังงานให้แก่ธาตุไฟมาดื่มกิน เมื่อมนุษย์ล้มตาย ธาตุทั้ง 2 นี้ หมดอำนาจบังคับ จะสลายตัวออกจากกันคืนสภาพเป็นน้ำตามเดิม แต่เนื่องจากการตายของมนุษย์คือการนิ่งสนิทหมดประโยชน์ใด ๆ โดยสิ้นเชิง ทางพระก็ถือเสมือนผู้เข้าสภาวะอุเบกขา คือนิ่งสนิทด้วยประการทั้งปวง เลือดจึงกลายสภาพจากน้ำเป็นน้ำเหลือง คือน้ำมีสีเหลืองเหมือนสีของผู้จำศีล คือน้ำนั้นหมดสภาพที่จะทำประโยชน์ใด ๆ ได้โดยสิ้นเชิง
3. ธาตุลม (วาโยธาตุ) ธาตุลมมีความจำเป็นสำหรับมนุษย์มาก เพราะจะต้องทำหน้าที่พัฒนาเลือด คือธาตุน้ำและไฟไปหล่อเลี้ยงร่างกายให้ทั่วถึง มนุษย์จึงต้องมีการหายใจเอาอากาศธาตุคือลมเข้าสู่ร่างกาย นับว่าธาตุลมมีความสำคัญยิ่งต่อระบบร่างกายของมนุษย์ ผู้ใดมีสภาพของธาตุลมอ่อน ก็จะมีอาการหน้ามืด คลื่นเหียร วิงเวียน อย่างหนึ่งที่เรียกว่า คนเป็นลม ความจริง ขาดธาตุลม ที่จะพัดพาให้น้ำและไฟไปหล่อเลี้ยงร่างกายให้ทั่วถึง จึงต้องหายาลมมากิน เพื่อเร่งให้ธาตุลมเข้มข้นขึ้น ลมที่ใช้แล้วก็มีการเสื่อมสภาพเก็บเอาไว้ก็จะเป็นก๊าซพิษ ต้องมีการระบายออกเช่นเดียวกับการปล่อยก๊าซเสียของเครื่องจักรกลต่าง ๆ เช่นเดียวกัน และธาตุลมเป็นตัวจักรสำคัญยิ่ง ที่ช่วยให้มนุษย์เคลื่อนไหวแขนขาและร่างกายได้
เมื่อมนุษย์มีธาตุแท้ที่ประกอบด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เช่นนี้ การเจ็บไข้ได้ป่วยของมนุษย์ จึงมาจากการเสื่อมสภาพของธาตุทั้ง 4 นี้ เป็นสำคัญกว่าเหตุอื่น ประดุจขี้ขมวนหรือตะกอนที่ใกล้จะหมดสภาพของความเป็นประโยชน์อยู่แล้ว ยังเตรียมที่จะสลายตัวยุ่ยเปื่อย สูญหายไปโดยหมดประโยชน์ใด ๆ โดยสิ้นเชิง ผู้ใดที่รู้ซึ่งถึงความเป็นสภาพของมนุษย์ หมั่นปรับปรุงเพิ่มเติมธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ให้แก่ร่างกายมีสภาพสมดุลกันอยู่ในธาตุทั้ง 4 นี้ ก็จะเป็นผู้ที่มีพลานามัยและสุขภาพที่สมบูรณ์เป็นเยี่ยม
วิธีรักษาธาตุทั้ง 4 ให้คงสภาพอยู่ได้ก็ง่ายเหมือนเส้นผมบังภูเขา เมื่อมนุษย์กำเนิดมาจากสิ่งนี้ เราก็เข้าหาธรรมชาติ สรุปก็คือ อยู่กับธรรมชาติให้มากที่สุดกว่าการอยู่ในสภาพที่แปลกปลอมด้วยภาวะวิทยาศาสตร์ที่รังแต่จะทำลายสภาพของธรรมชาติให้หมดสิ้นไป และสุดท้ายก็คือทำลายแม้สภาพร่างกายของตนเอง ท่านก็จะเป็นคนสมัยโบราณที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ อันเป็นที่ต้องการอย่างยิ่งของคนในยุคปัจจุบัน ที่ต่างพากันแสวงหาด้วยวิธีการรักษาต่าง ๆ นานา ซึ่งเป็นการรักษาปลายเหตุ หรือไม่รู้ที่มาหรือต้นตอที่แท้จริงของร่างกายมนุษย์ ก็ทำให้การรักษานั้นเป็นไปโดยยาก
บทที่ 3
ต้นเหตุของการเป็นโรคที่แท้จริง
ต้นเหตุของการเป็นโรคที่แท้จริงมีอยู่ 3 ประการ ได้แก่
1. เกิดจากการสลายตัวของพลังธรรมชาติ เพราะธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุใดธาตุหนึ่งเกิดอ่อนแอ ปรวนแปรสภาพ ทำให้เลือดลมไม่สมบูรณ์ เนื่องจากใช้พลังงานในร่างกายออกมามากไปหรือได้รับการดูดซึงพลังจากภายนอกได้ไม่เท่าที่ควร
2. เกิดจากความอาฆาตพยาบาทของวิญญาณ อันเป็นต้นตอของโรคมะเร็ง จุดแก้ไขที่สำคัญที่สุด คือปรับสภาพการกินอาหารให้มาอยู่ในวิธีทางธรรมชาติให้มากที่สุด งดการกินเนื้อสัตว์ที่มีชีวิตทุกประเภทเพราะทำให้เป็นแผล ฝี หนอง เลือดเป็นพิษ เนื่องจากวิญญาณเหล่านี้สูบเลือดเนื้อกินเหมือนผีดูดเลือด
3. เกิดจากกฎแห่งกรรมทั่วไป เช่น ได้ก่อกรรมเวร ทุบต่อยเตะตีใครไว้ในอดีต เกิดมาก็มีอาการง่อยเปลี้ยเสียขา พิกลพิการได้ แม้แต่เหตุเล็กน้อยที่สุด เช่น การขโมยรองเท้าใครมาใส่ในอดีตก็อาจเป็นแผลที่ขาได้ ซึ่งข้าพเจ้าได้พบด้วยตนเอง และแก้ไขให้เป็นปกติแล้ว โรคเหล่านี้จะมีข้อสังเกตได้ว่าหมอจะหาสาเหตุไม่พบ ไม่มีอาการของเชื้อโรคปรากฎอยู่ ไม่มีทางรักษาได้ นอกจากจะค้นคว้าไปให้พบต้นตอที่ได้สร้างกรรมไว้ และแก้กรรมนั้นให้หมดไปเท่านั้น
บทที่ 4
โรคมะเร็ง
เป็นโรคที่รักษายากเป็นพิเศษ เชื้อโรคมีอานาจเหนือยา เหนือการรักษาของแพทย์ เนื่องจากเชื้อมะเร็งเป็นโรคที่มีชีวิตวิญญาณ เกิดจากการกินเนื้อสัตว์ของมนุษย์แทนพืชพันธุ์ธัญญาหาร สัตว์โลกที่มีชีวิตทั้งหลายทั้งปวงเป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นเพื่อประดับโลกให้สวยงาม เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน อาหารของสัตว์และมนุษย์ คือพืชพันธุ์ธัญญาหารที่มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์นานาชนิดอันเกิดจากพลังงานตามธรรมชาติ สัตว์มีความมักน้อยกว่ามนุษย์อาศัยผักหญ้าอย่างเดียวก็มีกำลังร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ให้มนุษย์ใช้งานได้ แต่มนุษย์เราซึ่งมีอาหารธรรมชาติอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์เหลือเฟือ กลับเสพเนื้อสัตว์เป็นอาหารแทน เนื่องจากการหลงผิด เพราะมีผู้แต่งตำราแนะนำไว้ให้เสพเนื้อสัตว์เป็นอาหาร เป็นเพราะอาหารจะมีพละกำลังแข็งแรง แต่สัตว์เหล่านี้ได้รับการทนทุกข์เวทนาจากการฆ่าแกงของมนุษย์ เกิดเป็นวิญญาณอาฆาตขึ้นสิงสู่ในร่างกายมนุษย์ ทำร้ายทำลายร่างกายให้เน่าเปื่อยผุพัง เช่นเดียวกับที่ได้ทำกับตนไว้ เป็นการใช้กรรมใช้เวรซึ่งกันและกัน เชื้อโรคเหล่านี้ไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ด้วยระบบของการแพทย์สมัยใหม่
ผู้รักษาจะต้องศึกษาให้ลึกซึ้งถึง กฎแห่งกรรม การผูกพันระหว่างชีวิตวิญญาณ สามารถที่จะร้องขอให้วิญญาณนั้นอโหสิ ให้อภัยแก่ผู้ก่อกรรมให้เป็นผลสำเร็จเสียก่อน แล้วจึงซ่อมแซมเนื้อเยื่อใหม่ที่ถูกเชื้อโรคร้ายทำลายไป จะต้องเป็นผู้ที่มีพลังจิตสะอาดเป็นผู้ที่มีความบริสุทธิ์ และเมตตาจิตต่อมนุษย์สัตว์ทั้งปวง ไม่เสพเนื้อสัตว์ใด ๆ โดยสิ้นเชิง เมื่อไม่กินเนื้อเขา เขาก็ไม่กินเนื้อเรา แม้แต่ผู้ป่วยเมื่อหายแล้ว ก็ต้องปฏิบัติให้ได้อย่างผู้รักษา โรคจึงจะหายขาดได้โดยไม่หวนกลับมาอีก ผู้รักษาจะต้องมีหลักธรรมะสูง พอที่จะเกลี้ยกล่อมจิตใจให้วิญญาณเหล่านั้นหมดความอาฆาตพยาบาทได้ อันเป็นการรักษาที่ออกจะลำบากยากเย็นยิ่ง
วิธีที่จะตัดรากฐานของการเป็นโรคมะเร็ง ก็ด้วยการฝึกให้จิตเกิดเมตตา ให้พยายามคิดอยู่เสมอว่าเพื่อนสัตว์ทั้งหลายก็มีชีวิตวิญญาณเช่นเดียวกันเรา ย่อมไม่ปรารถนาการตายด้วยวิธีเจ็บปวดทรมาน โดยเฉพาะสัตว์บ้าน ซึ่งมีความเชื่องชินกับเรา ไม่ทำร้ายเรา สัตว์ใหญ่บางชนิดแถมให้เราใช้พลังงานเสียด้วย แล้วเรากลับโหดร้าย ทารุณ กินเนื้อหนังมังสาเขาเป็นอาหาร เช่นนี้ เป็นการยุติธรรมแก่กันแล้วหรือ เมื่อค้นคว้าเหตุผลให้เกิดความเป็นธรรมขึ้นในจิตใจแล้ว ต้องระงับดับเสียซึ่งความอยาก คือ การหลงติดในรสอาหาร พึงคิดว่า เนื้อหนังมังสาเหล่านี้ถ้ามีประโยชน์และเป็นอาหารแก่มนุษย์จริง เหตุใดเมื่อฆ่าแกงแล้วจึงไม่สามารถกินได้ทันที อย่างเช่นพืชพันธุ์ธัญญาหารซึ่งกินกันดิบ ๆ ได้เลย จะต้องเอามาปรับปรุงแต่งให้มีรสชาติกันการเน่าเปื่อย มิฉะนั้นก็จะเกิดการเน่าเหม็น เสียหายกินไม่ได้ มีรสกลิ่นไม่ผิดอะไรกับซากอกุศเหมือนเนื้อหนังมังสาของเรา ตายแล้วก็ควรเผาควรฝัง ใครเอาเรามาต้มยำทำแกง นั่งกินให้เราเห็น เราก็ย่อมโกรธแค้น ขอให้ท่านสละทิ้งรสชาติซึ่งเย้ายวนชวนใจแต่ภายนอก ภายในก็คือ การชักนำให้ท่านเดินไปหาหลุมศพ คือ โรคมะเร็ง อันเป็นการตายที่เจ็บปวดทรมานเยี่ยงเดียวกับการเจ็บปวดของวิญญาณที่ถูกท่านแล่เนื้อเถือหนังเขากินเป็นอาหารอย่างเอร็ดอร่อยไม่ผิดกันเลย
อาหารธรรมชาติที่จะแบ่งเบาการหลงผิดในรสอาหารให้ท่านได้แก่ อาหารเจ ซึ่งผู้ปรุงพยายามค้นคว้าดัดแปลงจากพืชมาปรุงแต่งให้มีลักษณะและรสชาติใกล้เคียงกับอาหารสัตว์ จะผิดแปลกแตกต่างกันก็ยังเป็นการบรรเทาความหลงติดในรสอาหารให้เบาบางลง เหมือนบรรเทาอาการลงแดงให้แก่ คนเสพฝิ่น ถ้าท่านปฏิบัติได้ถึงขั้นกินอาหารโดยธรรมชาติ งดเว้นเนื้อสัตว์และสิ่งที่ชีวิตทั้งปวง ท่านจะเป็นคนที่มีสุขภาพร่างกายดีเลิศ ร่างกายจะไม่เป็น ฝีหนอง การตายของท่านจะเป็นการตายแบบสำเร็จ ไม่มีการทนทุกข์เวทนาใด ๆ ไม่เหมือนการตายในแบบวิญญาณอาฆาต ตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ร่างกายผุกร่อน เจ็บปวดทรมาน ดิ้นรนกระวนกระวาย อยู่ท่ามกลางวิญญาณที่รุมล้อมแล่เนื้อเถือหนังท่าน ทวงชีวิตและวิญญาณของท่าน ให้เกิดการเจ็บปวดเช่นเดียวกันที่ทำไว้กับเขา อันเป็นการตายที่เจ็บปวดทรมานน่าสะพึงกลัวอย่างยิ่ง
ข้อสังเกต ผู้ที่กินเนื้อสัตว์แต่ไม่เป็นโรคมะเร็ง มักจะเป็นผู้ที่มีจิตเป็นกุศล ใจบุญสุนทาน ช่วยเหลือความทุกข์ยากของผู้อื่น กุศลเหล่านี้จะมาทดแทนเหมือนสีดำที่หมั่นเอาสีขาวมาเพิ่มเติมอยู่เสมอ ก็ทำให้เคราะห์กรรมนั้นเจือจางลงได้ ส่วนมากโรคมะเร็งจึงมักเป็นกับผู้ที่ขูดเลือดขูดเนื้อมนุษย์เห็นแก่ตนเองเป็นที่ตั้ง ขาดการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และใจบุญสุนทาน จึงต้องชดใช้กรรมให้แก่วิญญาณเหล่านี้เป็นการทดแทน บางรายเป็นมากถึงขนาดรักษาจนหมดเนื้อหมดตัวก็ยังไม่หาย ท่านที่ระลึกได้ถึงกฎแห่งกรรมอันนี้ ขอได้ละเลิกความเห็นแก่ตัว สร้างบุญสร้างกุศลในทุกอย่างที่ถือว่าเป็นความดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มีเมตตาจิตต่อมนุษย์และเพื่อนสัตว์ด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าท่านละเลิกจากการบริโภคเนื้อสัตว์ได้ ก็จะตัดขาดจากการเป็นโรคภัยไข้เจ็บ เป็นแผล ฝี หนอง หน้าจะเปล่งปลั่งสดใส ไม่มีสนิมเกาะกิน คือไม่เป็นฝ้า เป็นสิว อีกต่อไป
โรคที่เกิดจากการกินเนื้อสัตว์
บิด ท้องร่วง ท้องเดิน กระเพาะอาหาร ริดสีดวงทวาร มะเร็ง หัวใจ เบาหวาน
ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน ฯลฯ เกิดจากการกินเนื้อสัตว์ใหญ่ เล็กทุกชนิด
หวัด ไอ จาม ไซนัส ฯ เกิดจากการกินไขมันที่ผลิตจากไขของสัตว์ทุกชนิด
ปวดฟัน แผล ฝี หนอง ฯลฯ เกิดจากการกินกุ้ง หอย ปู ปลา เนื้อสัตว์เล็กทุกชนิด และกินทั้งเนื้อ ทั้งกระดูกเป็นเหตุที่สำคัญของโรค ฟันผุ เหมือน เรากินกระดูกเขา เขากินกระดูกเรา
อาการของโรคที่เกิดจากความอาฆาตของสัตว์ มาในรูปแบบที่แตกต่างกันเช่น บางคนเกิดกระดูกงอกที่หัวเข่า หมอเอ็กซเรย์ ปรากฎเหมือนรูปกรามหมูโค้งอยู่ในรูปหัวเข่า ได้ซักถามถึงอาหารที่ชอบ ปรากฏว่าชอบส่วนที่เป็นกระดูกอ่อนของหมูที่เคี้ยวดังกรุบ ๆ เป็นที่สุด บางคนเกิดอาการกล้ามเนื้อของกรามอักเสบเพื่อให้เคี้ยวอาหารไม่ได้ พยายามรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ ก็ไม่หายขาด ปรากฎว่า ตามปกติบุคคลนี้เป็นผู้ที่รับประทานอาหารเก่ง ชอบเสาะหาอาหารเนื้อสัตว์ที่แปลก ๆ และอร่อยทานโดยไม่เลือกชนิดจึงลงโทษให้กรามอักเสบ เพื่อให้เคี้ยวอาหารไม่ได้
มีอยู่คนหนึ่ง เป็นโรคเยื่อหูอักเสบมีขี้หูเปียกเน่าเหม็นเป็นประจำ ประวัติส่วนตัวเป็นผู้ปรุงอาหารเก่งมาก รู้เคล็ดลับในการทำอาหารถึงกระทั่งว่า มีปลาชนิดหนึ่งมีเส้นเอ็นที่ซ่อนอยู่ในช่องหู เป็นเหตุที่ทำให้ปลาตัวนั้นมีกลิ่นคาวจัด เวลาทำอาหารต้องใช้ไม้เข้าไปแคะพันเส้นเอ็นนั้นให้ติดกับปลายไม้ แล้วดึงออกมา ทำให้ปลานั้นหมดความคาวไปได้ และสามารถปรุงอาหารได้อย่างเอร็ดอร่อยเป็นที่ติดอกติดใจ โดยที่หลาย ๆ คนปรุงอาหารด้วยปลาชนิดนี้ไม่ได้ เมื่อบุคคลที่ว่านี้มีอายุมากเข้าก็เกิดอาการโรคหูอย่างที่ว่านี้ และรักษาไม่หายเสียด้วย หมอลงความเห็นว่าให้เข้าโรงพยาบาลผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อที่เสียออกไป แม้กระทั่งกรามอักเสบก็ลงความเห็นว่าควรผ่าตัด
เมื่อถึงขั้นนี้ก็สันนิษฐานได้ว่า วิญญาณของสัตว์อาฆาตถึงที่สุด บังคับให้ถึงขั้นผ่าตัด เมื่อถึงขั้นผ่าตัด เมื่อถึงขั้นแล่เนื้อเถือหนังซึ่งกันและกันแล้ว โรคที่ว่านี้อาจหายขาดได้ เพราะหมดเวรกรรมซึ่งกันและกัน สำหรับสัตว์ไม่เป็นไรเพราะเขาเป็นวิญญาณไปแล้ว แต่คนเราซิ ยังมีชีวิตอยู่ แต่ในสภาพที่อวัยวะภายในภายนอกไม่สมประกอบถูกตัดทอนออกไป บางคนก็ปรากฎบาดแผลให้เห็นอยู่ภายนอก เปรียบเสมือนเครื่องจักรก็พิกลพิการขาดความสมบูรณ์หรือบกพร่องไป ท่านจะมีชีวิตอยู่ด้วยความสุขได้อย่างไร
ถ้าท่านยังไม่มีโรคที่ทำให้เกิดความรุนแรง ถึงขั้นผ่าตัด ท่านควรจะรีบคิดถึงโทษของการกินอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์เสียตั้งแต่บัดนี้ เพื่อตัวของท่านเองการหลีกพ้นให้พ้นจากสภาพของกฎแห่งกรรม ไม่มีทางอื่น นอกจากงดเว้นการกินอาหารเนื้อสัตว์ที่มีชีวิต ท่านจะเป็นผู้ประเสริฐด้วยความไม่เป็นโรค ถ้าท่านกลัวขาดวิตามินให้ปฏิบัติดังนี้
โดยปกติสภาพเลือดของคนในยุคปัจจุบันนี้ เนื่องจากกินอาหารเนื้อสัตว์เป็นประจำ ทำให้เลือดที่บริสุทธิ์สูญเสียไป เลือดที่บริสุทธิ์เกิดจากอากาศธาตุที่บริสุทธิ์ที่มนุษย์หายใจเข้าไปมีเหลืออยู่เป็นจำนวนน้อยมาก ถ้าแบ่งเลือดออกเป็น 4 ส่วน จะเป็นเลือดที่เกิดจากเลือดเนื้อสัตว์เสีย 3 ส่วน เมื่อท่านงดอาหารเนื้อสัตว์ในขั้นแรก เป็นความจริงที่เลือดบริสุทธิ์จะเหลืออยู่เพียงส่วนเดียว อันเป็นเหตุให้ท่านรู้สึกอ่อนเพลียบ้าง ความจริงเลือดบริสุทธิ์นี้จะเพิ่มตัวเองได้โดยอัตโนมัติ โดยได้จากการหายใจเอาอากาศที่บริสุทธิ์เข้าไป เพราะวิตามินต่าง ๆ มีอยู่ในแสงแดด ก็เข้าไปกับอากาศก็จะเพิ่มจำนวนเลือดในตัวท่านขึ้นทันที แต่เนื่องจากสภาพอากาศบริสุทธิ์ ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษเช่นในเมืองนี้ มีอยู่น้อยมาก ท่านต้องอาศัยยาที่เป็นตัวนำของเลือดที่ดีเข้าไปช่วยเพิ่มเลือดให้เร็วขึ้นดังนี้
1. ดอกมะลิแห้ง (ปลอดสารพิษ) เป็นดอกไม้ที่บริสุทธิ์ ดูดพลังงานจากอากาศธาตุไว้ได้มาก ให้นำดอกมะลิที่บูชาพระแห้งแล้ว หรือตากแดดให้แห้งก็ได้ คั่วให้เหลือง ใช้ชงรับประทานแทนน้ำชาอุ่น ๆ ครั้งละหยิบมือทุกวัน ความบริสุทธิ์จากดอกมะลิจะเข้าไปฟอกเลือดท่านให้สะอาด ท่านจะไม่มีอาการไอจาม น้ำมูกเสมหะเหนียวข้นอันบอกถึงความสกปรกของเลือดว่ามีมากหรือน้อย การไอ หรือจาม เป็นอาการที่สภาพของเลือดที่บริสุทธิ์ ไม่ยอมรับสิ่งที่สกปรกที่จะเข้าไปผสมกันให้เกิดเป็นพิษ จึงเกิดการระคายเคืองจนเกิดการไอจามให้แยกออกจากกัน ถ้าสิ่งสกปรกมากเกินไปก็เกิดอาการไอจามจนเป็นไข้ตัวร้อน เพราะเกิดการอักเสบของอวัยวะภายในขึ้น อย่างที่เรียกว่า ไข้หวัด
2. ลูกสมอแห้งกับเกลือ ลูกสมอเป็นผลของพืชที่ดูดซึมพลังงานจากแสงอาทิตย์ หรืออากาศธาตุที่บริสุทธิ์ไว้ได้ครบทุกชนิดมีทั้งรสเปรี้ยว ฝาด ขม หวาน ในตัวเองครบทุกรส จึงเป็นวิตามินรวมที่สำคัญปกติตัวยาที่จะสกัดมาเป็นวิตามินรวม จะต้องมาจากตัวยาหลายชนิดเดียวกัน เอามาผสมกันเข้าถึงจะเกิดเป็นวิตามินรวมขึ้น แต่ลูกสมอที่คุณภาพในตัวเองครบบริบูรณ์ เลือดที่สมบูรณ์จะต้องได้รับการบำรุงด้วยวิตามินรวมลูกสมอจึงเป็นยาบำรุงเลือดที่สำคัญที่สุด และไม่ต้องยุ่งยากอะไรเลย เมื่อกลั่นออกมาเป็นน้ำก็หมายถึงว่าท่านได้เลือดที่บริสุทธิ์มาดื่มกินได้ทันที โดยไม่ต้องไปปรุงแต่งด้วยตัวยาอย่างอื่น หรือหามาจากอาหารเนื้อสัตว์ที่ก่อให้เกิดโทษแทนประโยชน์
สำหรับเกลือก็คือ ธาตุดิน ที่บริสุทธิ์ ท่านไม่ต้องวิตกกังวลว่าจะเป็นต่อมไทรอยด์เพราะขาดธาตุไอโอดีนซึ่งจะต้องไปเสาะหามาจากอาหารทะเล เช่น กุ้ง ปู หอย ซึ่งตรงกันข้ามการกินสิ่งมีชีวิตพวกนี้ดูจะเป็นต้นเหตุให้เกิดโรคไทรอยด์เสียมากกว่า จะมีสิ่งเดียวเท่านั้นที่ท่านอาจจะปฏิบัติได้ค่อนข้างยาก เพราะการดื่มน้ำลูกสมอต้มกับเกลือ จะหาความเอร็ดอร่อยเหมือนบริโภคอาหารเนื้อสัตว์ไม่ได้ ท่านอาจจะปฏิเสธในข้อนี้ แต่ถ้าท่านนึกถึงกฎแห่งความจริง และโทษทุกข์ที่เกิดกับท่านภายหลังที่บริโภคอาหารเนื้อสัตว์แล้ว ท่านควรใช้พลังจิตต่อสู้กับความหลงติดในรสอาหารเพื่อตัวท่านเอง พยายามเลือกเฟ้นอาหารที่ปรุงแต่งด้วยเนื้อสัตว์ให้น้อยที่สุด ค่อย ๆ จะเลิกไป จนพ้นจากความเป็นทาสสู่ความเป็นไทแก่ตัวท่านเองในที่สุด
วิธีต้มลูกสมอแห้งกับเกลือ ลูกสมอแห้ง 3 กำมือ เกลือเม็ดใหญ่ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะปาด ๆ ต้มด้วยหม้อดินขนาดกลางใส่น้ำให้ท่วมลูกสมอประมาณ 3 ส่วนของหม้อ ตั้งไฟให้เดือด เคี่ยวให้งวดเล็กน้อย ให้มีรสเข้มข้นพอดี ใช้ดื่มประจำหลังจากรับประทานอาหาร หรือจิบบ่อย ๆ เวลาไอ หรือจามเป็นยาช่วยเพิ่มเลือด บำรุงเลือด ในขณะที่ท่านหยุดกินเนื้อสัตว์ ท่านไม่ต้องกลัวว่า จะขาดเลือดหรือขาดวิตามิน หรือง่อยเปลี้ยเสียขาแต่ประการใด
ยาทั้ง 2 ขนานนี้ เป็นตำราแท้ดั้งเดิมมาแต่สมัยเริ่มสร้างโลกมนุษย์ เจ้าของตำรับได้แก่ องค์อัครมหาพรหม พระบรมครู พระบุตรหัวปีของพระผู้สร้างโลกสร้างมนุษย์ หรือในภาคสุดท้ายที่จุติมาโปรดในโลกมนุษย์ก็คือพระบรมครูแพทย์ชีวกโกมารภัจ พระบรมครูการแพทย์แห่งโลกมนุษย์ ผู้ใดระลึกถึงพระคุณท่าน เวลาต้ม จุดธูปปักกลางแจ้ง 1 ดอก ระลึกถึงพระนามท่าน ยาจะเพิ่มคุณภาพเข้มข้นเพราะอำนาจพลังที่พระบรมครูจะเพิ่มให้กับจิตที่บริสุทธิ์ของท่าน
ว.รัตนภูมิ ถ่ายทอดด้วยพลังปัญญาจากพระบรมครู
26 สิงหาคม 2552 13:48 น.
คีตากะ
แก่นแท้ของศาสนาเกือบทุกศาสนาบนโลกคือ วิทยาศาสตร์ ในขณะที่โลกกำลังพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปอย่างรวดเร็ว แน่นอนจุดสุดท้ายปลายทางของถนนทั้ง 2 สายย่อมมาบรรจบกัน เสมือนสายน้ำที่ก่อเกิดจากแควน้ำน้อยใหญ่ไหลมารวมกัน ต่างที่มา ต่างถิ่นฐาน ก่อนจะกลายเป็นทะเลหรือมหาสมุทรในทีสุด
......................................................................................................................
คำทำนายเกี่ยวกับวันโลกาวินาศ หรือวันสิ้นโลก จากสำนักต่างๆ ได้ถูกเปิดเผยต่อสายตาประชาชนครั้งแล้วครั้งเล่า จนก่อให้เกิดความสับสนไปทั่วทุกมุมโลก ในขณะที่ปัญหาวิกฤติโลกก็ยังคงไม่ได้รับการแก้ไข มีเพียงชนกลุ่มน้อยที่เตรียมพร้อมและเข้าใจว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับธรรมชาติ จากสัญชาติญาณที่คลุกคลีอยู่กับธรรมชาติมาช่วงระยะเวลายาวนาน นักบำเพ็ญ นักพรต นักการศาสนา นักวิทยาศาสตร์ นักทำนาย แม้แต่นักกวี ต่างล้วนแสดงความคิดที่เห็นพ้องตรงกันว่า โลกจะถึงจุดจบภายในปลายปี ค.ศ. 2012 หรือ พ.ศ. 2555
เช่นเดียวกับ ชาวมายา (ชนเผ่ามายาแห่งอเมริกากลาง) ที่ทำปฏิทินใช้เองตั้งแต่ 1,000 ปีที่แล้ว ชนเผ่ามายานี้มีความสามารถในการคำนวณการโคจร การเกิดดับของดวงดาวอย่างไม่น่าเชื่อ คือเขาสามารถคำนวณว่า โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์โดยใช้เวลา 365 วัน ตั้งแต่ 1,000 ปีที่แล้ว ซึ่งตรงกับปฏิทินที่ชาวโลกปัจจุบันใช้กัน แล้วยังสามารถคำนวณเกี่ยวกับระบบสุริยะจักรวาลได้อย่างแม่นยำมาก ชาวมายายังกำหนดวันสุดท้ายของปฏิทินของพวกเขาคือ วันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) พวกเขาบอกด้วยว่า วันนั้นโลกจะถึงจุดสิ้นสุด (โดยบอกไว้เมื่อ 1,000 กว่าปีที่แล้ว).....
คำประกาศจากองค์การ NASA ว่าในวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) วันนั้นแกนโลกของเราจะพลิกกลับขั้ว คือ ขั้วโลกเหนือจะมาอยู่ที่ขั้วโลกใต้ ช่วงเวลานั้น โลกของเราจะไม่มีสนามพลังแม่เหล็ก เพื่อป้องกันตัวเองจากสนามพลังแม่เหล็ก และ รังสีต่างๆจากอวกาศ แล้ววันนั้นจะเป็นวันเดียวกับที่ ดวงอาทิตย์จะพลิกกลับขั้วเช่นกัน เพราะดวงอาทิตย์จะพลิกกลับขั้วทุกๆ 11 ปี ปีล่าสุดคือปี พ.ศ. 2544 ถ้ามาถึงวันนี้ก็ 11 ปีพอดี (2544 + 11 = 2555) ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังพลิกกลับขั้วนั้น ดวงอาทิตย์จะแผ่สนามแม่เหล็ก และรังสีความร้อนสูงมายังโลก ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่โลก ไม่มีสนามแม่เหล็กป้องกันตัวเอง ผลคือ น้ำแข็งขั้วโลกละลายฉับพลัน น้ำท่วมโลกฉับพลัน ไม่มีทางหนีได้ทัน ในวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)
นาย Gordon-Michael Scallion เป็นผู้หยั่งรู้อนาคต (futurist) มีญาณทัศนะ(Spiritual Visionary) คือมองเห็นอนาคตด้วยญาณ มีความแม่นยำมาก สามารถทำนายการเกิดแผ่นดินไหวในสหรัฐฯที่ผ่านมาได้อย่างถูกต้องแม่นยำ เขาได้ทำนายว่า น้ำกำลังจะท่วมโลก จนหลายประเทศหายไปจากแผนที่ ประเทศที่เป็นเกาะจะจมน้ำทั้งหมด ประชากรโลกที่รอดตายมีเพียง 10% เท่านั้น เขาเชื่อว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นในระหว่างปี 1998-2012 (พ.ศ.2541-พ.ศ.2555) และเขาได้สร้างแผนที่โลกใหม่หลังน้ำท่วมครั้งใหญ่ ภายใต้ชื่อ Future Map Of The World ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1978 (พ.ศ. 2521) จากแผนที่ของเขาประเทศไทยเหลือพื้นที่เพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น (ภาคเหนือและภาคอีสาน)
หลวงปู่สรวง ออยเตียนสรูล" กล่าวไว้ว่า พ.ศ. 2550 ถึง 2555 หางนาคกวาดน้ำให้โลกมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว กำลังจะกวาดน้ำขึ้นมาล้างโลก จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ คนไม่ดีไม่มีศีลธรรม จะล้มตายมาก ส่วนคนดีมีศีลธรรม จะอยู่รอดปลอดภัยได้
ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่(Suma Ching Hai) ผู้นำจิตวิญญาณโลก/ศิลปิน กล่าวในการประชุมสัมมนาผ่าน Video Conference เรื่อง ทางออกเพื่อโลกที่สวยงามในภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง โดยมี ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา และนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิอีกหลายท่านเข้าร่วมสัมมนาเมื่อ วันที่ 15 สิงหาคม 2552 ณ ห้องประชุมมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ว่า นับจากนี้โลกจะเหลือเวลา 3-4 ปี (ค.ศ.2012) ก่อนจะเกิดหายนะครั้งใหญ่ จากภัยพิบัติทางธรรมชาติต่างๆที่จะเกิดขึ้นโดยเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน ซึ่งมาจากน้ำมือของมนุษย์แทบทั้งสิ้น การบริโภคเนื้อสัตว์เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการถางป่าจำนวนมากทั่วโลกเอามาใช้ในการทำทุ่งหญ้าเพื่อทำฟาร์มปศุสัตว์ ซึ่งฟาร์มมากมายเหล่านี้นี่เองเป็นแหล่งผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซมีเทนจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้โลกเกิดปรากฎการณ์ภาวะเรือนกระจก(Green House Effect) และเป็นตัวการสำคัญที่เร่งทำให้เกิดภาวะโลกร้อนมากกว่าก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากรถยนต์ทั่วโลกรวมกันเสียอีก ทางออกของมนุษยชาติคือการลดก๊าซเรือนกระจกลง ด้วยการหันมาทานพืชผักหรือเป็นมังสวิรัติแทนการบริโภคเนื้อสัตว์ (ลดความต้องการทางการตลาดหรือ Demand ลง) ทางออกนี้ยังสอดคล้องกับหลักศาสนาของทุกศาสนาบนโลกรวมทั้งคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนให้มนุษย์มีความรักเมตตาโดยการ ห้ามฆ่าสัตว์ อีกด้วย นอกจากนั้นควรลดการใช้ทรัพยากร เชื้อเพลิง(น้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ) หันมาใช้พลังงานทดแทน ใช้ชีวิตอย่างประหยัดและมีคุณธรรม โลกก็อาจจะถึงจุดจบช้าลงอีก....
ปัญหาภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ๆที่มนุษย์ยุคปัจจุบันยังไม่รู้จักกันเท่าที่ควร อุณหภูมิบริเวณขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้สูงขึ้น 4 องศาเซลเซียส ทำให้น้ำแข็งบริเวณขั้วโลกละลายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะบริเวณทะเลอาร์กติก ไซบีเรีย กรีนแลนด์ และแอนตาร์กติก องค์การนาซาคาดว่าน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือจะลายหมดภายในฤดูร้อนของปี ค.ศ. 2012 ผลกระทบที่ตามมาเมื่อโลกปราศจากน้ำแข็งช่วยสะท้อนพลังงานจากแสงดวงอาทิตย์ก็คือ ความร้อนถึง 90% จากดวงอาทิตย์จะสามารถถูกส่งผ่านทะลุถึงพื้นผิวน้ำได้ ซึ่งจะเป็นการเร่งภาวะโลกร้อนให้สูงยิ่งขึ้นไปอีก ก๊าซมีเทนก้อน(Methane Hydrate) ที่สะสมจากการย่อยสลายของซากพืชซากสัตว์นับล้านๆปีภายใต้ชั้นน้ำแข็ง(permafrost)บริเวณขั้วโลก ใต้มหาสมุทร แหล่งน้ำ และพื้นแผ่นดิน กำลังละลายและถูกปลดปล่อยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004 จนถึงขณะนี้ นอกจากนี้อุณหภูมิจากภาวะโลกร้อนที่เพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 2 องศาเซลเซียส สามารถทำให้ก๊าซมีเทนปริมาณมากกว่า 1,000 ล้านตัน ถูกปลดปล่อยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ อันจะนำไปสู่การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตจำนวนมากบนโลก ก๊าซมีเทนเป็นก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนได้รุนแรงมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 72 เท่า ตกค้างยาวนานกว่า 20 ปี แหล่งกำเนิดก๊าซมีเทนที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในอุตสาหกรรมการทำฟาร์มปศุสัตว์ และเป็นต้นตอสำคัญที่สุดในการก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน ซึ่งจะต้องได้รับการหยุดยั้งอย่างเร่งด่วน....
ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา (อดีตนักวิทยาศาสตร์องค์การนาซา) ยังคาดการณ์อีกว่า ผลจากการที่น้ำแข็งขั้วโลกละลาย จะทำให้มวลของน้ำบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกเพิ่มสูงขึ้นมหาศาลจนเกิดการเสียสมดุล ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของแกนโลก(ปัจจุบันแกนโลกเอียงจากแนวดิ่งทำมุม 23.5 องศา) ซึ่งจะก่อให้เกิดแผ่นดินไหวและพายุที่รุนแรงบ่อยขึ้นบริเวณภูมิภาคนี้ ผลจากภาวะน้ำทะเลหนุนขึ้นสูงซึ่งประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งทะเล 200-1,000 ล้านชีวิตทั่วโลกจะต้องรีบอพยพโดยด่วน (โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีเมืองหลวงอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียง 1 เมตร ซึ่งนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าอุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้น 4 -5 องศาเซลเซียสจะทำให้ระดับน้ำทะเลหนุนสูงขึ้นอีก 5 เมตร) ถ้าแผ่นน้ำแข็งทางตะวันตกของแอนตาร์กติกละลายหมด ระดับน้ำทะเลทั่วโลกจะสูงขึ้นอย่างน้อย 3.3 ,3.5 เมตร จะส่งผลกระทบกับประชากรกว่า 3.2 พันล้านคน(ประมาณครึ่งหนึ่งของประชากรโลก) ที่อาศัยอยู่ภายในระยะห่างจากแนวชายฝั่งทะเล 200 ไมล์ นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ถ้าหากน้ำแข็งที่แอนตาร์กติกละลายหมด ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นมากจนยากจะคาดการณ์ บางคนกล่าวว่าระดับน้ำทะเลอาจเพิ่มสูงถึง 70 เมตร ซึ่งนั่นหมายถึงทุกชีวิตบนโลกนี้จะพบกับหายนะ ในขณะนี้ มีเกาะอย่างน้อย 18 แห่งทั่วโลกกำลังลังจมหายและมากกว่า 40 แห่งตกอยู่ในภาวะเสี่ยงจากการเพิ่มสูงขึ้นของระดับน้ำทะเล ภาวะโลกร้อนยังทำให้ธารน้ำแข็งบนเทือกเขาซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญของโลก เช่น แม่น้ำคงคา แม่น้ำโขง ฯลฯ กำลังละลายไปอย่างรวดเร็วในแต่ละปี ซึ่งจะส่งผลกระทบที่อันตรายต่อการอยู่รอดของประชากรมากกว่า 2 พันล้านคน โดยประชากร 1 พันล้านคนจะได้รับผลกระทบจากการหายไปของธารน้ำแข็งหิมาลัย โดยธารน้ำแข็ง 2 ใน 3 ของโลกซึ่งมีมากกว่า 18,000 แห่งกำลังหายไป การละลายของธารน้ำแข็งเป็นภัยที่ก่อให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและแผ่นดินถล่ม นอกจากนั้นการละลายอย่างต่อเนื่องจะทำให้ฝนตกน้อยลง เกิดภัยแล้ง และเกิดการขาดแคลนน้ำ แม่น้ำสายสำคัญของโลก เช่น ไนล์(แอฟริกา) ดานูบ(ยุโรป) รีโอ แกรนด์(อเมริกาหนือ) ลา พลาดา(อเมริกาใต้) เมอร์เรย์-ดาร์ลิง(ออสเตรเลีย) แยงซี(จีน) สาละวิน(พม่า) สินธุ(ปากีสถาน) คงคา(อินเดีย) และโขง(สิบสองปันนา) ที่หล่อเลี้ยงชีวิตประชากรกว่า 870 ล้านคน กำลังเหือดแห้งลงอย่างรวดเร็วจากภาวะโลกร้อน สิ่งมีชีวิตในน้ำจืดกว่า 10,000 สายพันธุ์กำลังสูญพันธุ์ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ยังคาดการณ์ว่าในไม่ช้ามนุษย์จะต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนน้ำจืดทั้งแหล่งน้ำบนดินและใต้ดิน พื้นที่ทางการเกษตรมากมายจะได้รับความเสียหาย ภาคอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก จนเกิดปัญหาทางด้านเศรษฐกิจและสังคมรุนแรงตามมา....
ภาวะโลกร้อนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ(Climate Change) ปัญหาที่ยิ่งใหญ่และรุนแรงเท่าที่เรารับรู้กันกันอยู่แล้วก็คือ การเกิดปรากฏการณ์ เอล นิโญ(El Nino) และ ลา นิโญ(La Nino) ที่ก่อให้เกิดความผกผันของการไหลเวียนของกระแสน้ำในมหาสมุทรและกระแสอากาศโลกบริเวณเส้นศูนย์สูตรเหนือมหาสมุทรแปซิฟิก ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล ธารน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเริ่มละลาย รวมทั้งเกิดพายุรุนแรง ภาวะแห้งแล้ง คลื่นความร้อน และไฟป่าอยู่บ่อยๆ เช่น ในปี ค.ศ. 2003 คลื่นความร้อน(heat wave)เข้าทำลายบ้านเรือนในยุโรป กว่า 10,000 หลังคาเรือน และก่อให้เกิดไฟป่าครั้งรุนแรงที่สุดในออสเตรเลีย นอกจากนั้นการเพิ่มสูงขึ้นของอุณหภูมิในทะเลยังก่อให้เกิดพายุเฮอริเคนและพายุโซนร้อนที่รุนแรงและยาวนานขึ้น ซึ่งจะสังเกตได้ว่ามันเพิ่มสูงขึ้น 100% เมื่อเทียบกับ 30 ปีที่ผ่านมา นอกจากนั้นการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศทางทะเลยังทำให้เกิดพื้นที่ตายในทะเล(Oceanic dead zones)มากกว่า 400 แห่ง ซึ่งเป็นบริเวณที่ขาดก๊าซออกซิเจนที่จำเป็นต่อสิ่งมีชีวิต สาเหตุมาจากการปล่อยของเสียมากมายจากฟาร์มปศุสัตว์ลงสู่แม่น้ำและมหาสมุทร หลายชาติได้ตระหนักถึงมหันตภัยดังกล่าว ทำให้ในปี 2550 องค์การอุตุนิยมวิทยาโลกแห่งสหประชาชาติและกรรมาธิการวิทยาศาสตร์นานาชาติ ทุ่มงบประมาณถึง 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อโครงการวิจัย 228 โครงการ ในการที่จะติดตามสุขภาพบริเวณขั้วโลก และทำการวัดผลกระทบจากปรากฏการณ์ภาวะโลกร้อน รวมถึงผลกระทบของรังสีแสงอาทิตย์ที่มีต่อบรรยากาศขั้วโลก ไปจนถึงชีวิตสัตว์น้ำที่อยู่ใต้มหาสมุทรน้ำแข็งแอนตาร์กติกอีกด้วย นับเป็นโครงการวิจัยนานาชาติขนาดใหญ่ที่สุดในรอบ 50 ปี โดยนักวิทยาศาสตร์กว่า 5,000 คน จาก 63 ชาติ ได้เดินทางสู่ขั้วโลกเมื้อวันที่ 1 มีนาคม 2550 ขณะที่โครงการดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในสิ้นปี 2552 รายงานผลการวิจัยศึกษาของนานชาติ ได้เผยแพร่ข่าวคาดการณ์ภาวะโลกร้อนในอนาคตเอาไว้มากมาย เช่น โลกร้อนที่สุดในรอบ 400 ปี ใจกลางโลกร้อนจัดมีอุณหภูมิสูงถึง 3,676 องศาเซลเซียส ใกล้เคียงกับอุณหภูมิที่ผิวพื้นดวงอาทิตย์ ซึ่งร้อนถึง 5,526 องศาเซลเซียส ธารน้ำแข็งขั้วโลกใต้บางลง หวั่นทำให้น้ำทะเลสูงขึ้น สัตว์นับล้านๆชนิดจะสูญพันธุ์ ฯลฯ........
อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น จะทำให้การระเหยของน้ำทะเล มหาสมุทร แม่น้ำ ลำธาร และทะเลสาบ เพิ่มมากขึ้น เป็นผลให้ฝนตกมากขึ้น แต่กระจุกตัวอยู่ในบางพื้นที่ ทำให้เกิดอุทกภัย ส่วนบริเวณอื่นก็จะเกิดปัญหาภัยแล้ง เนื่องจากฝนตกน้อย สภาวะอากาศที่มีความชื้นจึงเหมาะกับการแพร่ระบาดของโรคต่างๆ การเพิ่มของพาหะนำโรค รวมทั้งเกิดเชื้อโรคสายพันธุ์ใหม่ ไปจนถึงการกลายพันธุ์ของเชื้อโรคที่เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว สุขภาพที่เสื่อมลงเนื่องจากอุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้รัฐบาลในแต่ละประเทศต้องสูญเสียงบประมาณจำนวนมากมายมหาศาลไปกับงานด้านสาธารณสุข ผลจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศทำให้ประชากรเสียชีวิตจำนวน 315,000 คนต่อปี ประชากรกว่า 325 ล้านคนทั่วโลกได้รับผลกระทบ(เจ็บป่วยจากโรคต่างๆ) นำมาสู่การสูญเสียทางเศรษฐกิจมากกว่า 125 พันล้านเหรียญสหรัฐฯทุกปี นอกจากนั้นการลดจำนวนลงของสัตว์ป่าอย่างรวดเร็วจากการสูญพันธุ์ยังไม่มีรูปแบบที่แน่นอนที่จะใช้เปรียบเทียบ นักวิทยาศาสตร์ทำนายว่าสัตว์ป่าจำนวน 16,000 สายพันธุ์กำลังตกอยู่ในอันตรายและอาจจะสูญพันธุ์อย่างรวดเร็วถึง 100 เท่ากว่าอดีตที่ผ่านมา ในเนปาลและออสเตรเลีย ไฟป่าได้ทำให้เกิดภาวะแห้งแล้ง ในแอฟริกา ประชาชนในโซมาเลีย เอธิโอเปียและซูดาน กำลังประสบกับภัยแล้งและกลายเป็นทะเลทราย โดยสาเหตุมาจากการตัดไม้ทำลายป่าจำนวนมากเพื่อใช้ในการทำทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ กำลังส่งผลกระทบต่อประชากรมากกว่า 1.2 พันล้านคน และมากกว่า 100 ประเทศกำลังตกอยู่ในภาวะเสี่ยง แหล่งน้ำต่างๆกำลังเหือดแห้งลง เช่น ในเมืองใหญ่ของ Beijing เดลฮี กรุงเทพฯ ทางตะวันตกของสหรัฐฯ ขณะที่แม่น้ำ Ganges จอร์แดน ไนล์ แยงซี มีปริมาณน้ำลดลงอย่างมากในแต่ละปี ในประเทศจีนเกิดภัยแล้งเลวร้ายที่สุดในรอบ 5 ทศวรรษ พืชผลทางการเกษตรสูญเสียจำนวนมากอย่างน้อย 12 จังหวัดทางเหนือ ต้องใช้ทุนของชาติกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภัย.....
เมื่อเร็วๆนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้กล่าวถึงทฤษฎีที่เรียกว่า hydrate hypothesis ที่อธิบายว่า กิจกรรมของมนุษย์ได้ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนขึ้นอย่างเป็นวัฎจักร จากการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก(ไอน้ำ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โอโซน มีเทน ก๊าซไนตรัสออกไซด์ สารประกอบฟลูออโรคาร์บอน) ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศมาเป็นระยะเวลายาวนานนับล้านๆปี ทำให้โลกมีอุณภูมิสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แบคทีเรียในดินได้เปลี่ยนซากพืชซากสัตว์ให้กลายไปเป็นมีเทนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมีปริมาณมหาศาลเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเกิดความไม่สมดุล ในขณะที่โลกยังคงร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่องจนทำให้เกิดการละลายของชั้นดินเยือกแข็งคงตัว(permafrost) ที่เป็นเสมือนแผ่นกักเก็บก๊าซมีเทนเอาไว้ การปลดปล่อยอย่างมหาศาลของก๊าซมีเทนจาก มีเทนก้อน(methane clathrates or hydrates) จึงเกิดขึ้น ทำให้อัตราการอุ่นเป็นไปอย่างรวดเร็วและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในท้ายที่สุดเมื่อมหาสมุทรอุ่นขึ้นจากผลข้างต้น จะทำให้ก๊าซมีเทนจำนวนมหาศาลถึง 10,000 พันล้านตันใต้ท้องมหาสมุทรที่เรียกว่า clathrates ถูกปลดปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศเข้าแทนที่อากาศ และทำให้สิ่งมีชีวิตมากมายบนโลกต้องขาดอากาศหายใจสิ้นชีพลง(90%) ซึ่งกระบวนการนี้ก่อเกิดเป็นวัฏจักรและเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งบนโลก โดยสัณนิฐานได้ว่านี่อาจเป็นเหตุของการสูญพันุธุ์ของไดโนเสาเมื่อ 251 ล้านปีที่ผ่านมา การร้อนขึ้นของยุคจูแรสซิกตอนต้นเมื่อ 180 ล้านปีก่อน และการร้อนมากที่สุดเมื่อประมาณ 55 ล้านปีมาแล้ว ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์โลกมาแล้ว 8-9 ครั้ง และเคยเกิดขึ้นกับดาวอังคารเมื่อประมาณ 40 ล้านปีก่อน รวมทั้งดาวศุกร์อีกด้วย...
ข้อตกลงเรื่องการลดภาวะโลกร้อนจะไร้ผล เพราะพื้นที่ทางการเกษตรถูกเผาไหม้จำนวนมหาศาลกระจายไปทั่วโลกในปี ค.ศ. 2012 และเป็นสาเหตุของความอดอยาก การล่วงล้ำอำนาจอธิปไตย การเจ็บป่วย และเกิดสงคราม ไปทั่วทุกระดับของโลก ประเทศมหาอำนาจ เช่น สหรัฐ รัสเซีย และจีน จะต่อสู้กันเพื่อควบคุมแหล่งทรัพยากรที่สำคัญของโลก ประชากรมากกว่า 4.5 พันล้านคนจะตายจากผลที่มาจากภาวะโลกร้อนในปี ค.ศ. 2012 ดาวเคราะห์โลกจะขับเคลื่อนเข้าสู่ความหายนะอย่างน่าตระหนก....
บทสรุปของโลกอยู่ในกำมือของมวลมนุษยชาติ หายนะขั้นรุนแรงจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่? มนุษย์ย่อมเป็นผู้เลือก แม้จะโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือเกิดจากความโลภของมนุษย์ก็ตาม ต้นเหตุสำคัญมาจากหลายปัจจัย แต่ปัจจัยหลัก อันเป็นใจความสำคัญของเรื่องราวและสอดคล้องทั้งหลักวิทยาศาสตร์และศาสนานั่นคือ สัตว์จำนวนมากมายมหาศาลถูกเข่นฆ่าทั้งทางตรงและทางอ้อม ตั้งแต่ระดับครัวเรือนจนถึงอุตสาหกรรมในช่วงเวลาที่ผ่านมา การบริโภคเนื้อสัตว์ก่อให้เกิดการทำลายป่ามากมายเพื่อใช้ทำฟาร์มปศุสัตว์ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน และภัยพิบัติทางธรรมชาติมากมายตามมา สิ่งที่อันตรายที่สุดคือการอุ่นขึ้นของมหาสมุทร นำไปสู่การปลดปล่อยก๊าซมีเทนและก๊าซพิษอื่นๆ ปริมาณมหาศาลที่สะสมมานับเป็นเวลาล้านๆปีภายใต้มหาสมุทร แพร่กระจายเข้าแทนที่ก๊าซออกซิเจนที่ใช้ในการดำรงชีพของสิ่งมีชีวิต ก่อให้เกิดการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตบนโลกมากกว่า 90% ก่อเกิดเป็นวัฏจักรเหมือนในประวัติศาสตร์โลกที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง รวมทั้งการสูญสิ้นสิ่งมีชีวิตบนพื้นผิวดาวอังคารและดาวศุกร์ ทางแก้ก็เพียงแค่การลดก๊าซเรือนกระจกลง ด้วยการหันมาทานพืชผักผลไม้แทนการบริโภคเนื้อสัตว์ เพื่อลดความต้องการลง และยังเป็นการหยุดการรุกล้ำผืนป่าทางธรรมชาติ อันเป็นแหล่งต้นน้ำกักเก็บความชื้น ช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รวมทั้งมลภาวะทางอากาศ และผลิตก๊าซออกซิเจนให้แก่สิ่งมีชีวิตบนโลก นอกจากนั้นควรลดการใช้พลังงานฟอสซิล (น้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ ฯลฯ) หันมาใช้พลังงานทดแทน (พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ ฯลฯ) ใช้ชีวิตอย่างประหยัดและมีคุณธรรม ก็จะสามารถรักษาโลกใบนี้เอาไว้ได้......
.................................................................................................
ค้นข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.suprememastertv.com :www.godsdirectcontact-thai.com
ข้อมูลโดย
...คีตากะ...
13 พฤษภาคม 2552 16:00 น.
คีตากะ
ความสงสัยใคร่รู้ของผมเป็นเหตุ ทำให้ต้องเดินทางไปในที่ต่างๆมากมายเพื่อหาคำตอบบางอย่างในจิตใจ...ผมคงจะนอนไม่หลับเป็นแน่ ถ้าไม่ได้คำตอบที่ค้างคาใจมานาน ซึ่งนับวันมันยิ่งเพิ่มทวีความรุนแรง กระตุ้นจิตใจให้ต้องค้นหาคำตอบ ในขณะที่ปัญหาหรือประเด็นของคำถามคืออะไรกันแน่ กลับยิ่งยากกว่าการจะค้นหาคำตอบเหล่านี้เสียอีก บางครั้งเรื่องราวทั้งหมดนี้มันอาจเป็นความวิตกจริตของผมไปเองก็เป็นได้.....
ที่วัดพระนอน เมืองแพร่มีการค้นพบคัมภีร์โบราณชุดหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าได้เขียนไว้ในสมัยก่อนกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2310) เมื่อนำมาแปลโดยพระครูนิภัทร กิจอาทร ปรากฏว่าเป็นเรื่องของการทำนายชะตาของโลก ตรงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและตรงกับคำทำนายของนอสตราดามุส มีใจความบางตอนดังนี้
น้ำจะท่วมฟ้า
ปลาจะกินดาว
มนุษย์จะรู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ จะเห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น มนุษย์จะสามารถขี่ลม ไปได้ในพื้นที่และอากาศมีรอยเหมือนงู ในที่ต่ำจะถูกถมให้สูง ในที่สูงจะถูกขุดแผ่นดินให้ราบเรียบ
ชนชาติผิวขาวจะย่นย่อระยะทางให้สั้นเข้า โลกจะเล็กลง คนพูดทางไกล แสนไกลจะได้เห็นหน้ากันและกัน โลกจะมีตาทิพย์หูทิพย์ เสียงทิพย์ บนท้องฟ้าจะมีลูกไฟ พุ่งเข้าหากัน ผู้คนจะพกพาอสรพิษติดกายไว้ต่อสู้ เพราะอวิชชา
โจรผู้ร้ายตาสองชั้น จะนำพิษมาทำลายโลกมนุษย์ ผู้หญิงจะกลายเป็นผู้ชาย ผู้ชายจะกลายเป็นผู้หญิง
ในขณะที่โลกกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤติจากภาวะโลกร้อน ความถดถอยทางด้านเศรษฐกิจ ความเสื่อมทรามทางด้านสังคม และความวุ่นวายทางการเมือง มันเหมือนเป็นสัญญาณเตือนภัยอะไรบางอย่างหรือเปล่า สำหรับมนุษยชาติ....
ผมตั้งคำถามเหล่านี้ ต่อผู้รู้ในสาขาต่างๆและก็คาดหวังว่า คำตอบที่ได้รับจะสามารถทำให้ผมนอนหลับได้อย่างผ่อนคลายเสียที...แต่คำตอบเหล่านั้นกับยิ่งทำให้ผมเพิ่มความวิตกกังวลหนักยิ่งขึ้นต่อโลกใบนี้เข้าไปอีก คำตอบต่างๆมีดังต่อไปนี้...
นักวิทยาศาสตร์ : ผลการวิจัยล่าสุดของเราได้ระบุอย่างชัดแจ้งซึ่งมันได้นำไปสู่ข้อสรุปจากสมมติฐานต่างๆแล้วว่า โลกกำลังร้อนขึ้นอย่างรวดเร็วจนยากพยากรณ์เวลาได้ถึงจุดจบสุดท้ายของโลก เนื่องจากเราได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆที่เป็นประโยชน์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา และสิ่งเหล่านี้ไม่เคยมีอยู่ในแบบจำลองที่เราใช้ในการพยากรณ์จุดวิกฤติของโลกมาก่อนหน้านี้ รวมทั้งในทฤษฎีต่างๆก็ไม่มีการกล่าวถึงมาก่อน แต่สิ่งหนึ่งที่เราได้ค้นพบใหม่จนสามารถไขปริศนาที่มีมายาวนานในวงการวิทยาศาสตร์ว่า การปะทุขึ้นมาอย่างฉับพลันของก๊าซมีเทนจากมหาสมุทร เป็นสาเหตุของการสูญพันธุ์ 90% ของสิ่งมีชีวิตทางทะเล และ 75% ของสิ่งมีชีวิตบนบก เมื่อ 250 ล้านปีก่อน เพราะเราสงสัยมาตลอดระยะเวลายาวนานว่าทำไมไดโนเสาจึงสูญพันธุ์อย่างรวดเร็วและพบว่าในชั้นบรรยากาศขณะนั้นมีคาร์บอนหลงเหลือเป็นปริมาณมากมายในชั้นบรรยากาศ แท้ที่จริงมันขึ้นมาจากใต้มหาสมุทรนี้เอง เรารู้สึกยินดีกับการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์ครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง...
นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม : ภาวะโลกร้อนก่อให้เกิดปัญหาที่ยิ่งใหญ่และรุนแรง เท่าที่เรารับรู้กันอยู่แล้วก็คือ การเกิดปรากฏการณ์เอล นิโญ(El Nino) และลา นิโญ(La Nino) ที่ก่อให้เกิดความผกผันของการไหลเวียนของกระแสน้ำในมหาสมุทรและกระแสอากาศโลกบริเวณเส้นศูนย์สูตร เหนือมหาสมุทรแปซิฟิก , ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล , ธารน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเริ่มละลาย รวมทั้งเกิดพายุรุนแรง ภาวะแห้งแล้ง คลื่นความร้อน และไฟป่าอยู่บ่อยๆ ทำให้หลายชาติตระหนักถึงมหันตภัยดังกล่าว นอกจากนั้นจากการค้นพบใหม่ล่าสุดของเรายัง พบว่าสาเหตุการตายและสูญพันธ์ของสัตว์ทะเลจำนวนมาก ไม่ได้เกิดมาจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่เย็นเกินไปหรือสาเหตุอื่นๆ แต่มีสาเหตุมาจากก๊าซพิษจากท้องทะเลที่ผุดขึ้นมาแทนที่ออกซิเจนซึ่งก๊าซพิษดังกล่าวคือก๊าซมีเทนและไฮโดรเจนซัลไฟท์ที่เป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน จุดตายในทะเลซึ่งเป็นแหล่งสะสมของก๊าซพิษส่งผลให้การประมงได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง...นอกจากภาวะน้ำทะเลที่หนุนขึ้นสูงแล้ว ภาวะโลกร้อนยังส่งผลให้เกิดการสูญเสียแหล่งน้ำจืดที่สำคัญบนโลกเพราะการเหือดแห้งอย่างรวดเร็วอีกด้วย....
นักธรณีวิทยา: การเพิ่มอย่างรวดเร็วของแก็สเรือนกระจกเพิ่มความร้อนขึ้นในยุคจูแรสซิกต้อนต้นประมาณ 180 ล้านปีมาแล้ว โดยมีอุณภูมิเฉลี่ยสูงขึ้น 5 องศาเซลเซียส การร้อนขึ้นเกิดทำให้อัตราการกร่อนของหินเพิ่มมากถึง 400% การกร่อนของหินในลักษณะนี้ทำให้เกิดการกักคาร์บอนไว้ในแคลไซต์และโดโลไมต์ ไว้ได้มาก การปลดปล่อยมีเทนโดยกะทันหันจากสารประกอบคลาเทรท ได้กลายเป็นสมมุติฐานว่าเป็นทั้งต้นเหตุและผลของการเพิ่มอุณหภูมิโลกในระยะเวลาที่นานมากมาแล้ว รวมทั้งเหตุการณ์สูญพันธุ์เพอร์เมียน-ไทแอสซิก ประมาณ 251 ล้านปีที่ผ่านมาและทั้งการร้อนมากสุดพาลีโอซีน-อีโอซีน ประมาณ 55 ล้านปีมาแล้วด้วย...ก๊าซมีเทนในชั้นของถ่านหิน เป็นแหล่งก๊าซที่พบมานานตั้งแต่ในอดีต และทำความเสียหายให้แก่ชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก โดยฉะเพาะในอุโมงของเหมืองถ่านหินใต้ดินของประเทศต่างๆทั่วโลก ก๊าซมีเทนที่ระเหยออกมาจากชั้นถ่านหินสะสมอยู่ในอุโมงและติดไฟระเบิดทำให้เหมืองถล่มและฆ่าคนงานของเหมืองเป็นจำนวนมาก แม้กระทั่งปัจจุบันก็ยังมีเหมืองถ่านหินระเบิดในประเทศจีนทำให้คนงานตายนับร้อยคน ในปี ค.ศ. 1968 เกิดการระเบิดของเหมืองถ่านหินครั้งใหญ่ที่เมือง Farmington ,มลรัฐ West Virginia ทำให้เกิดความเสียหายมาก กรมเหมืองแร่ของสหรัฐอเมริกา (U.S. Bureau of Mines) ได้เริ่มทำการวิจัยหาทางกำจัดก๊าซมีเทนออกจากชั้นถ่านหินก่อนที่จะเปิดทำเหมืองอุโมงใต้ดิน จนกระทั่งปี ค.ศ. 1971 กรมเหมืองแร่ได้ทำหลุมผลิตก๊าซจากชั้นถ่านหินเป็นผลสำเร็จโดยใช้วิธีการจากการผลิตน้ำมันและก๊าซของแหล่งน้ำมัน ทำให้เหมืองถ่านหินใต้ดินไม่ระเบิดอีกต่อไป เมื่อเริ่มทำการผลิตไล่ก๊าซออกจากเหมืองใต้ดินและมีผลผลิตก๊าซมีเทนปริมาณมากขึ้นจึงเริ่มทำการผลิตเพื่อการค้า ปรากฏว่าปริมาณก๊าซมีเทนในถ่านหินมีมากเกินความคาดหมาย ปัจจุบันในสหรัฐอเมริกาแหล่งถ่านหินกลายเป็นแหล่งผลิตก๊าซมีเทนในปี ค.ศ. 1995 มีหลุมผลิตรวม 6,300 หลุมและผลิตก๊าซได้ 973 พันล้านลูกบาศก์ฟุตต่อปี (BCF/yr ) ขณะนี้ได้มีการสำรวจและผลิตก๊าซมีเทนจากถ่านหินในประเทศออสเตรเลีย อินโดนีเซีย อินเดีย จีนและกลุ่มประเทศที่มีแหล่งถ่านหินในยุโรปในประเทศไทย ถ่านหินเกิดในแอ่งเทอร์เชียรีทั้งบนบกและในทะเล แหล่งบนบกมีทั้งหมดประมาณ 22 แอ่ง ในภาคเหนือ 15 แอ่ง ภาคกลาง 3 แอ่งและภาคใต้ 4 แอ่ง นอกจากนั้นในหลุมผลิตก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบจากทะเลในอ่าวไทย ส่วนใหญ่จะมีชั้นถ่านหินซึ่งแยกจากชั้นน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ ชั้นถ่านหินในอ่าวไทยมีความหนาและแผ่กระจายกว้างกว่าบนบก ในหลุมที่ผลิตก๊าซและน้ำมันดิบหมดไปแล้วและยังคงมีแท่นผลิตเหลืออยู่ สามารถที่จะพัฒนาเป็นหลุมผลิตก๊าซมีเทนจากชั้นถ่านหินเหล่านี้ได้ เท่าที่ทราบมีอยู่ 5 แหล่งที่ยังมีแท่นผลิตและอุปกรณ์ซึ่งสามารถที่จะผลิตก๊าซมีเทนได้ เมื่อรวมแหล่งถ่านหินที่สามารถผลิตก๊าซมีเทนได้ทั้งประเทศจะมีหลายพันล้านล้านลูกบาศก์ฟุต (TCF) และเมื่อเปรียบเทียบของเสียจากการเผาไหม้ที่ได้จากก๊าซ น้ำมันและถ่านหินจะมีผลแตกต่างกันมาก ก๊าซจะเป็นเชื้อเพลิงที่สะอาดที่สุด ถ้าใช้ก๊าซมีเทนแทนน้ำมันและถ่านหินจะเป็นการลดมลภาวะที่จะเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมอย่างมากและเป็นการลดเงินตราต่างประเทศที่จะต้องใช้ในการซื้อน้ำมัน อีกประการหนึ่งราคาก๊าซมีเทนที่ผลิตจากแหล่งถ่านหินบนบกจากแหล่งต่างๆในประเทศไทยจะมีราคาประมาณ 2.5 เหรียญสหรัฐต่อ 1 ล้าน btu ในขณะที่ราคาน้ำมันจากต่างประเทศมีราคาประมาณ 5 เหรียญต่อ 1 ล้าน btu ซึ่งเป็นราคาที่ต่างกันหนึ่งเท่าตัว ถ้าน้ำมันมีราคาสูงขึ้นอีกก็จะยิ่งมีความแตกต่างกันมาก แต่ราคาก๊าซมีเทนที่ผลิตได้เองภายในประเทศจะมีราคาเท่าเดิมและไม่ต้องเสียดุลย์เงินตราต่างประเทศ จากผลการวิเคราะห์พบว่าถ่านหินที่ได้จากการเปิดเหมืองบนบกในประเทศไทยเป็นถ่านหินตั้งแต่ Lignite A ถึง Sub-bituminous A,B,C และ Bituminous ซึ่งเป็นถ่านหินที่ให้กำเนิดก๊าซมีเทน และยังมีถ่านหินที่อยู่ระดับลึกลงไป ซึ่งทราบมาจากการเจาะสำรวจพบถ่านหินในระดับลึกจำนวนมาก ถ่านหินที่อยู่ในระดับลึกนี้มีคุณภาพดีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับถ่านหินที่กล่าวมาข้างต้น และคล้ายคลึงกับถ่านหินในสหรัฐอเมริกาที่ผลิตก๊าซมีเทนอยู่ในปัจจุบัน การที่จะยื่นขอสัมปทานเพื่อสำรวจผลิตก๊าซมีเทนจะต้องปฏิบัติตามกฏหมายปิโตรเลียมจะต้องจ่ายค่าตอบแทนให้รัฐบาลสูงและมีข้อบังคับให้ทำการสำรวจในวงเงินที่สูง ซึ่งไม่มีความจำเป็นต่อการสำรวจผลิตก๊าซมีเทน การขุดเจาะสำรวจก๊าซมีเทนจากแหล่งถ่านหินเป็นการลงทุนน้อยจะมากกว่าการเจาะน้ำบาดาลไม่มาก รัฐบาลควรจะแก้ไขกฎหมายปิโตรเลียมหรือออกกฎหมายสำรวจและผลิตถ่านหินกับก๊าซมีเทนใหม่ให้ข้อบังคับมีการลงทุนน้อยลง นักธุระกิจคนไทยสามารถที่จะเข้ามาลงทุนสำรวจและผลิตก๊าซมีเทนได้ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง แหล่งถ่านหินบนบกของประเทศไทยส่วนใหญ่จะถูกขอเป็นประทานบัตรหรืออาชญาบัตรผูกขาดสำรวจแร่ ตามกฎหมายแร่ ซึ่งมีความแตกต่างจากกฎหมายปิโตรเลียม พื้นทีแหล่งถ่านหินบนบกจึงถูกครอบครองโดยบริษัทเอกชนและหน่วยงานของรัฐ ควรจะได้มีการแก้ไขหรือส่งเสริมให้มีการสำรวจและผลิตก๊าซมีเทนในพื้นที่เหล่านั้น ก๊าซมีเทนหรือ NGV ที่ใช้เติมรถยนต์และใช้ในโรงงานผลิตไฟฟ้าในปัจจุบัน เป็นผลพลอยได้จากการผลิตก๊าซธรรมชาติจากแหล่งน้ำมันในอ่าวไทย ซึ่งในขณะนี้เรากำลังส่งเสริมให้รถแท็กซี่และรถยนต์บ้านนำมาใช้ซึ่งมีราคาถูกกว่าน้ำมันมาก ก๊าซ NGV 1 กก. ราคา ประมาณ 8.60 บาท ให้พลังงานขับเคลื่อนรถยนต์เท่ากับน้ำมันเบ็นซีน 1 ลิตร ซึ่งขณะนี้ราคาประมาณ 25 บาท ขณะนี้รัฐกำลังส่งเสริมให้มีการผลิตรถยนต์ที่สามารถใช้ก๊าซ NGV ได้โดยตรง รัฐบาลควรจะได้มีการส่งเสริมสนับสนุนการสำรวจก๊าซนี้อย่างจริงจัง เพราะเรามีทรัพยากรธรรมชาตินี้อยู่แล้วซึ่งกระจายอยู่เกือบทั่วประเทศยกเว้นภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากการคาดคะเนน่าจะมีปริมาณสำรองถึง สิบล้านล้านลูกบาศก์ฟุต สามารถจ่ายให้โรงไฟฟ้าขนาด 4,000 Megawatts/วัน เป็นเวลา 30 ปี ลองเปรียบเทียบกับการนำมาใช้ในรถยนต์อาจจะทำให้โรงงานผลิตรถยนต์เกิดความมั่นใจว่าเมื่อผลิตรถยนต์ชนิดนี้ออกมาแล้วจะมีก๊าซ NGV ใช้ไปอีกนาน ขณะนี้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติกำลังดำเนินการสำรวจและทดลองผลิตก๊าซมีเทนจากแหล่งถ่านหินในแอ่งแม่ละเมา จังหวัดตาก แต่มีงบประมาณน้อยมาก ไม่สามารถทำการสำรวจและทดลองผลิตให้ครบตามขั้นตอนที่ควรจะเป็น นอกจากนั้นเรายังค้นพบล่าสุดว่า คาร์บอนส่วนใหญ่ ประมาณ 93% อยู่ในมหาสมุทร ไม่ใช่อยู่ในต้นไม้หรือในชั้นบรรยากาศ ดังนั้น ขณะนี้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือ พวกเรากำลังเพิ่มปริมาณคาร์บอนมากมายในชั้นบรรยากาศ มันกำลังมาอย่างรวดเร็วมากกว่าที่มันจะสามารถไปยังส่วนของพื้นผิวชั้นบรรยากาศโลกหรือไปยังมหาสมุทร ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุว่า ทำไมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จึงขึ้นมาอย่างรวดเร็วมาก ก๊าซมีเทนหรือก๊าซเรือนกระจก เวลานี้ได้ถูกปล่อยออกมาจากชั้นพื้นดินที่แข็งตัว(Permafrost)ของอาร์คติก และเกิดเป็นฟองผุดขึ้นผ่านทะเลสาบต่างๆเป็นการเร่งภาวะโลกร้อนในวิถีทางที่ไม่ได้รับการอธิบายไว้ในเวลานี้ ชั้นพื้นดินที่แข็งตัว(Permafrost)เป็นเช่นระเบิดเวลา รอคอยที่จะระเบิดออก ขณะที่มันยังคงละลายก๊าซมีเทนหลายหมื่นเทอราแกรม ซึ่งสามารถถูกปล่อยออกมาสู่ชั้นบรรยากาศทำให้เกิดภาวะอากาศร้อนขึ้น แหล่งของก๊าซมีเทนที่รับรู้ใหม่นี้ยังไม่ได้รวบรวมไว้ในโมเดลของภูมิอากาศ
ผู้นำทางจิตวิญญาณโลก : จากการได้ใช้โทรจิตพบว่าโลกกำลังจะถึงจุดจบเช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับดาวอังคารเมื่อประมาณ 40 ล้านปีที่ผ่านมา การพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของโลกในปัจจุบันยังห่างไกลมากนักเมื่อเทียบกับดาวอังคาร ครั้งหนึ่งอุณหภูมิของดาวอังคารได้เพิ่มสูงขึ้นตลอดระยะเวลานับหลายล้านปีจากกิจกรรมการดำเนินชีวิตของมนุษย์บนดาวอังคาร จนกระทั่งก๊าซมีเทน ก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟต์ และก๊าซไนตรัส ได้ถูกปลดปล่อยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศอย่างฉับพลัน มนุษย์ สัตว์และพืช ขาดออกซิเจนในการหายใจต่างล้มตายเป็นจำนวนมากถึง 90% ของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดทันที โดยเฉพาะมนุษย์ 10% ที่เหลือรอดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งนั้นเป็นพวกที่อาศัยอยู่ในชั้นใต้ดิน ในถ้ำ อุโมงค์ หรือสามารถลงสู่ชั้นใต้ดินได้ทัน ส่วนที่อาศัยอยู่บนบกและในทะเลล้วนตายหมดสิ้นโดยจะใช้เวลาประมาณ 4 วันที่ต้องทรมานจากภาวะการขาดออกซิเจนและการสูดก๊าซพิษเข้าไป โดยกระบวนการทำลายร้างจากภัยพิบัติครั้งนั้นใช้เวลาเพียง 3 เดือนเท่านั้น โดยไม่มีสัญญานบอกเหตุใดๆล่วงหน้า จึงทำให้มนุษย์ที่นั่นเพิกเฉยและไม่มีการเตรียมพร้อมอะไร ดาวอังคารจึงสูญสิ้นสิ่งมีชีวิตบนพื้นผิวของดวงดาว สภาวะอากาศของดาวอังคารไม่สามารถมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้เพราะปกคลุมไปด้วยก๊าซพิษและขาดออกซิเจน โดยเฉพาะก๊าซมีเทน จากนั้นระยะเวลาผ่านไป สิ่งมีชีวิตที่เหลือรอด 10% ก็ลดน้อยลงเหลือเพียง 5% 3.8% และปัจจุบันมีมนุษย์ใต้ดินบนดาวอังคารเหลือรอดเพียง 0.2 %จากทั้งหมดซึ่งคิดเป็นจำนวนประมาณ 2 ล้านคนในปัจจุบัน มนุษย์ใต้ดินต้องพยายามขุดดินลงลึกเข้าไปอีกเพื่อหนีก๊าซพิษด้านบน โดยส่วนใหญ่จะตั้งถิ่นฐานอยู่รวมกันและอาศัยอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำใต้ดิน ส่วนสัตว์ก็มีบางชนิดที่รอด ซึ่งเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ใต้ดินและบางชนิดเป็นพวกที่มนุษย์นำติดไปด้วยขณะอพยพ เช่น วัว จะมีประมาณ 20กว่าตัวในปัจจุบัน เนื่องจากมนุษย์ดาวอังคารมีความล้ำหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์มากกว่าโลก พวกเขามีเครื่องมือทันสมัยสามารถแยกก๊าซออกซิเจนจากแหล่งน้ำใต้ดินเพื่อนำมาใช้หายใจและฟอกอากาศด้วยการรีไซเคิลทั้งน้ำ อากาศ ส่วนอากาศเสียก็จะปลดปล่อยขึ้นสู่ด้านบนผิวดวงดาว นั่นจึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์บนโลกเคยตรวจพบก๊าซมีเทนบนพื้นผิวดาวอังคาร และก็ถกเถียงกันไปต่างๆนาๆ ชาวดาวอังคารส่วนใหญ่มีชีวิตที่เรียบง่ายและเป็นมังสวิรัติ ชาวดาวอังคารบางคนสามารถใช้โทรจิตในการติดต่อสื่อสารระหว่างกันและกัน รวมทั้งมีระบบอินเตอร์เนตความเร็วสูงและประสิทธิภาพสูงกว่าบนโลกมาก มีทีวี มีรถที่สามารถบินได้ ลักษณะคล้าย UFO สาเหตุที่ชาวดาวอังคารเลือกวัตถุที่มีรูปร่างทรงกลมเป็นยานพาหนะก็เพราะว่ามันมีแรงเสียดทานน้อยกว่าและสามารถเปลี่ยนทิศทางได้อย่างรวดเร็วเวลาขับเคลื่อน การปกครองที่นั่นจะแตกต่างจากโลก ผู้นำจะถูกเลือกขึ้นมาจากผู้ที่มีความสูงส่งทางด้านจิตวิญญาณ สุขภาพของพวกเขาแข็งแรงมาก ประเทศของเขาจึงไม่มีโรงพยาบาล ไม่ต้องมีหมอหรือพยาบาล ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงมีอายุยืนยาวถึง 200ปี โดยเฉลี่ย การที่มีเทคโนโลยีที่สูงมากทำให้พวกเขาสามารถที่จะซ่อนเร้นและสามารถหลบหลีกจากการตรวจจับของมนุษย์โลกได้ เหตุผลหนึ่งที่ชาวดาวอังคารเกรงกลัวที่จะติดต่อกับชาวโลกก็เพราะกลัวเชื้อโลกบนโลกและเชื้อโรคทางจิตวิญญาณแพร่เข้าสู่ประเทศของพวกเขา แต่พวกเขาก็พอใจในความเป็นอยู่และอยู่แบบพอเพียง ประหยัด และมุ่งเน้นด้านศีลธรรมมากกว่าเศรษฐกิจ เพราะประวัติศาสตร์ของพวกเขาจากการทำลายธรรมชาตินั้นมีผลบั้นปลายอย่างไร ชาวดาวอังคารจึงไม่เคยคิดยึดครองโลก เนื่องจากระดับจิตใจที่สูงส่งมีคุณธรรม พวกเขาอยู่ด้วยการพึ่งพาและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แบ่งปันซึ่งกันและกัน เนื่องจากการใช้เชื้อเพลิงเป็นจำนวนมากและการเบียดเบียนธรรมชาติ ตลอดจนการทำลายชีวิตพืชและสัตว์เป็นจำนวนมากตลอดเวลานับหลายล้านปี ผลกรรมอันนี้จะทำให้โลกถึงจุดจบเช่นเดียวกับดาวอังคารเมื่อ 40 ล้านปีที่แล้ว ถ้ามนุษย์ทุกคนหันกลับมากินพืชผักหรือเป็นมังสวิรัติ เพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากฟาร์มปศุสัตว์ทั่วโลกโลกนี้ก็จะสามารถรอดพ้นจากภัยพิบัติจากธรรมชาติในครั้งนี้ และนี่เป็นวิธีเดียวเท่านั้น ซึ่งชะตาโลกนี้ขึ้นอยู่กับทางเลือกของมวลมนุษยชาติ หรือจะปล่อยให้เป็นเหมือนกับดาวอังคาร.....
12 พฤษภาคม 2552 02:17 น.
คีตากะ
สัตว์โลกล้วนเป็นไปตามกรรม
ฉันพยายามที่จะค้นหามาตลอดเวลาว่าสิ่งใดกันเล่าหรือกรรมอันใดที่นำพาฉันและเธอมาประสบพบกัน ตลอดระยะหนึ่งปีที่เรารู้จักกันมันมีความผูกพันบางอย่างที่ยากจะอธิบาย ฉันเป็นคนโง่ๆคนหนึ่งที่มักจะหาเหตุและผลถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ แม้พระพุทธองค์จะเคยกล่าวว่าอย่าไปขุดคุ้ยเกี่ยวกับเรื่องของวิบากกรรม แต่ความสงสัยใคร่รู้ของฉันมันกับทวีคูณเพิ่มมากขึ้นเมื่อมาพบเธอ....
การบำเพ็ญปฏิบัติธรรมของฉันที่จัดเป็นพวกนักปฎิบัติธรรมที่ขี้เกียจสันหลังยาวและขาดวินัยในการบำเพ็ญ ฉันควรจะเป็นพวกหนุ่มเจ้าสำราญขี้เหล้าเมายามากกว่าจะมาเดินทางสายนี้เหมือนพวกคนแก่ๆที่ใกล้จะถูกหามเข้าวัด เพราะสิ่งที่ฉันได้รับการประนามจากคนรอบข้างมาตลอดระยะเวลา 13 ปีแห่งการบำเพ็ญปฏิบัติธรรมคือคำว่าเพี้ยนหรือไม่ก็บ้า การเปลี่ยนจากการกินเนื้อสัตว์มากินแต่ผักไมใช่เรื่องสนุกนักสำหรับหนุ่มวัยรุ่นอย่างฉัน ฉันควรจะไปวุ่นอยู่กับพวกสาวๆสวยๆหรือเฮฮาอยู่กับเพื่อนฝูงมากกว่าจะมานั่งปลีกวิเวกและทำในสิ่งที่น่าเบื่อเยี่ยงนี้......
แต่วันนี้อย่างน้อยการบำเพ็ญปฏิบัติของฉันก็สามารถไขปริศนาบางอย่างที่เกี่ยวกับเธอ แม้มันอาจเป็นเพียงข้อสมมุติฐานเท่านั้นแต่ฉันก็เชื่อความรู้อันนี้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ฉันเคยคิดว่าเธอคือเนื้อคู่ของฉัน เพราะเรารักกันมากจนอาจบางที จะรักกันมากจนเกินไป ความรักทำให้ฉันตาบอดมาตลอดชีวิต และผลสุดท้ายก็มักจะจบลงด้วยความเศร้าทุกครั้งไป ฉันจึงสงสัยเป็นที่สุดว่าเหตุผลอันใดที่เธอสามารถผ่านด่านบททดสอบต่างๆมาจนถึงวันนี้ วันที่เราแต่งงานกัน....เธอคือเนื้อคู่ของฉันอย่างนั้นหรือ...คือเนื้อคู่ที่ติดตามกันข้ามภพข้ามชาติจนมาได้เจอะเจอกันอีกครั้งหนึ่งเหมือนกับในนิยายหรือละครแบบนั้นหรือ? แต่ในที่สุดความลับก็ถูกเปิดเผยจนได้ เมื่อฉันได้มาพบเจอเธอและอยู่ใกล้กับเธอมากขึ้น ฉันจึงรู้ได้ว่าที่แท้เธอคือใคร?
การได้มีโอกาสพบเจอเธอถึงสองครั้งฉันก็รู้ได้ว่า รูปกายภายนอกที่ดูงดงามแบบสตรีเพศทั่วไป น้ำเสียงที่ไพเราะนุ่มนวลอ่อนหวานของสตรี เรือนร่างอันเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนใจของเธอนั้น ไม่อาจปิดบังหรือหลอกลวงสายตาของฉันได้ แท้ที่จริงเธอไม่ใช่เนื้อคู่ของฉัน ! แต่เธอคือคนๆนั้น คนๆนั้นในอดีตที่ความทรงจำของฉันยังไม่เคยลืมเลือน และภาพนั้นยังคงติดตาติดใจตามหลอกหลอนฉันมาตลอดชีวิต ที่รักเธอคือคนๆนั้น คนที่ฉันเคยมีและเคยพลัดพรากจากกันไปตลอดชีวิต คนที่ฉันคิดมาเสมอว่าจะไม่มีวันได้พบอีกแล้วในชีวิตนี้ แต่แล้วก็ได้พบ ไม่มีใครจดจำเธอได้นอกจากฉัน.....
ครั้งหนึ่ง...เธอเคยมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้พร้อมกับฉันและญาติพี่น้อง เมื่อราวๆ 33 ปีที่แล้ว เธอเป็นหนุ่มเจ้าสำอาง เป็นหนุ่มเจ้าสำราญ สูงประมาณ 180 เซนติเมตร ใบหน้าหล่อเหลา คิ้วดกคมเข้ม และมีวาทะศิลป์เป็นเลิศ มันไม่แปลกเลยที่เธอจะมีสาวๆมารุมล้อมมากมาย เธอไม่ได้ร่ำเรียนอะไรมากนักมันก็น่าแปลกที่ผู้ชายอย่างเธอจะเข้าเมืองหลวงเพื่อไปเรียนเป็นช่างเย็บผ้า ซึ่งนี่ควรเป็นงานที่สตรีชมชอบมากกว่าสุภาพบุรุษอย่างเธอ เธอในวันนี้กับเธอในวันนั้นไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากนัก เธอในวันนี้ก็ยังคงชมชอบเย็บปักถักร้อยและยังเคยได้รับรางวัลในเรื่องนี้สมัยที่เธอยังเรียนหนังสืออยู่ ก็เธอเคยเรียนมันมาทั้งชีวิตในอดีต เธอจึงเชี่ยวชาญเรื่องเหล่านี้เป็นพิเศษ....
เธอในวันนี้...วัยเพียง 18 ปี สูง 166 เซนติเมตร หน้าตาน่ารัก ผิวขาวสะอาด รูปร่างของเธอมีส่วนคล้ายผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ด้วยเหตุนี้เธอจึงมักโดนเพื่อนๆล้อว่าเป็นพวกกระเทย แต่เปล่าเธอเป็นทอมมากกว่า และนี่เองเป็นสาเหตุที่เธอเคยมีแฟนเป็นผู้หญิง และมีแต่ผู้หญิงที่มารุมล้อมชมชอบเธอ จนครั้งหนึ่งเธอก็ทำตัวเป็นทอมเสียเลยและเป็นสาเหตุที่พ่อกับแม่ของเธอในปัจจุบันกลัดกลุ้มยิ่งนัก แต่เมื่อเธอเริ่มโตขึ้น เธอจึงรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชาย และก็กลับมาเป็นผู้หญิงเต็มตัวตอนวัย 17 ปี เธอยังคงเกิดในราศีเดิมของเธอเหมือนในอดีตและช่วงเวลานี้เองที่ฉันได้พบเธอ โดยที่ฉันไม่เคยสงสัยเธอมาก่อนเลย..
เธอในวันนั้น... ยังคงพูดภาษาและสำเนียงคล้ายคลึงกับเวลานี้ แม้จะเกิดคนละภาคกันก็ตาม ใช่สิในอดีตเธอเคยไปเที่ยวที่นั่น และรู้สึกประทับใจในดินแดนแห่งนั้น อาจเป็นเพราะความงดงามของธรรมชาติ สภาพอากาศ และน้ำมิตรไมตรีของคนดินแดนนั้น เธอถึงกับเคยบอกภรรยาของเธอว่าอยากจะไปเกิดที่นั่นตอนที่เธอเคยมีชีวิตอยู่ แล้วมันก็เป็นจริงในวันนี้ สนุกไหมล่ะกับความตั้งใจในอดีตของเธอ แล้ววันนี้เธอจึงต้องมานั่งร้องไห้เพื่อที่จะหวนกลับมาที่อยู่เดิมของเธอ แต่ไม่นานหรอกฉันจะพาเธอกลับมาเองที่รัก ก่อนที่เธอจะจากไปเธอเคยมอบดอกลั่นทมหรือลีลาวดีโดยใส่ซองจดหมายส่งให้คนรักของเธอ และวันนี้ดอกไม้ที่เธอชมชอบมันมากที่สุดยังคงเป็นดอกลีลาวดี แต่ภรรยาของเธอสิกลับบอกว่ามันเป็นดอกไม้อัปมงคลที่สุด เพราะคนรักของเธอมอบให้เธอแล้วก็จากไปโดยไม่มีวันหวนกลับมา ภรรยาของเธอได้แต่ปลูกดอกลีลาวดีไว้หน้าบ้านราวกับว่าจะรำลึกถึงใครบางคน แล้วฉันจะพาเธอไปดูมันกับตาในสิ่งที่เธอเคยสร้างบาดแผลและทิ้งเอาไว้ในจิตใจของคนที่รักเธอมากที่สุด...
เธอในวันนี้ ...น่ารักแสนซน เหมือนลิงทโมน เธอชอบขึ้นต้นไม้สูงๆมากกว่าจะทำตัวเรียบๆร้อยๆเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆเขา เรื่องการบ้านการเรือนของเธอจึงแย่มากจนแม่ของเธอส่ายหัวและบอกกับฉันว่า ใครได้ไปเป็นภรรยานับว่าโชคร้ายเป็นที่สุดเพราะเธอทำอะไรไม่เป็นสักอย่างแม้แต่หุงข้าว ฉันเดาว่าเธอไม่เคยสนใจที่จะทำมันมากกว่าเหมือนกับที่เธอไม่เคยสนใจที่จะเป็นเพศหญิงอย่างที่เธอควรจะเป็น เธอกำลังสับสนทางเพศ แต่ฉันรู้เพราะในอดีตเธอเป็นผู้ชาย มันก็เลยเป็นแบบนี้ การได้ร่างกายผู้หญิงหาใช่เรื่องง่ายดาย เธอต้องมีความอดทนและละเอียดอ่อนมากกว่านี้ เธอคงต้องทำใจ ดังนั้นคนโชคร้ายคงเป็นฉันสิน่ะ.....
เธอในวันนั้น...เป็นคนเจ้าชู้ระดับ 5 ดาว เธอมีภรรยาน้อยเก็บซ่อนและปล่อยให้ภรรยาหลวงต้องนอนระทมทุกข์นานนับหลายปี เธอทิ้งให้ผู้หญิงที่เธอขอแต่งงานด้วย ซึ่งวัยเพียง 18ปี ต้องนอนรอคอยเธอวันแล้ววันเล่า บัดนี้ผลกรรมอันนั้นจึงย้อนกลับมาหาเธอ ที่เธอต้องแต่งงานกับฉันด้วยวัยเพียง 18ปีเช่นกัน แต่เชื่อฉันๆจะหักกงล้อแห่งกรรมในครั้งนี้ด้วยมือของฉันเอง และจะนำพาเธอสู่อิสรภาพจากกงกรรมกงเกวียนบ้าๆในชีวิตนี้ เพราะฉันมาเพื่อการนั้นโดยเฉพาะ เธอรักการพนันเป็นที่สุดและร่ำรวยจากมัน หมอดูเคยทำนายเธอไว้ว่าราศีของเธอตกพญานาค 7 เศียร นั่นหมายถึงถ้าเธอมีชีวิตอยู่ต่อไปเธอจะร่ำรวยกลายเป็นเศรษฐี แต่น่าเสียดายที่เธอมีชีวิตอยู่ได้เพียง 38 ปีเท่านั้นก็ต้องลาโลกนี้ไปแล้ว เพราะรายได้ของเธอมาจากความไม่บริสุทธิ์นั่นคือการพนัน....
เธอในวันนี้...อ่อนหวานและช่างเจรจา แต่สำหรับฉันๆของเรียกมันว่าพวกขี้คุยหรือขี้โม้มากกว่า นี่คือคำที่ภรรยาของเธอในอดีตกล่าวขวัญถึงเธอเสมอๆ คำพูดดีๆมันก็ฟังเข้าท่าดีหรอกน่ะ แต่ฉันไม่ค่อยจะเชื่อมันเท่าไหร่ เพียงแค่เธอเพิ่มความสัตย์จริง และความจริงใจเข้าไปมันก็ใช้ได้แล้ว ไม่ใช่โกหกพกลมไปเรื่อยเปื่อย เธอไม่ต้องสงสัยหรอกว่าทำไมฉันจึงเป็นคนเดียวที่สามารถจับโกหกของเธอได้ เพราะฉันรู้จักเธอดีหน่ะสิ เธอเคยถามฉันว่าข้อความที่เขาเขียนไว้ในร้านถ่ายรูปที่เราไปถ่ายรูปด้วยกันว่า ปัญญาอ่อนที่สุดคือการโกหก หมายความว่าอะไร และครั้งนั้นฉันก็ตอบเธอไปว่า จะไม่ปัญญาอ่อนได้อย่างไรเพราะการโกหกนั้นตายแล้วตกนรก ไม่เคยได้ยินเพลงเขาร้องหรอกเหรอ โกหกนั้นตายตกนรก โกหกนั้นตายตกนรก และนี่แหละเป็นสาเหตุที่วันก่อนเธอไปพบโยคีซึ่งนั่งทำนายโชคชะตาอยู่บนเก้าอี้ตะปู แล้วเธอก็ยื่นมือไปให้ทำนาย และเธอก็ได้รับคำทำนายทันทีว่า เธอมาจากดินแดนที่มืดมิด ที่ๆมีต้นเงี้ยวและทัณฑ์ทรมานมากมาย และจะมีคนมาพาเธอกลับไปสู่ที่ๆเธอเคยอยู่ในอดีต ฉันหัวเราะก๊ากเมื่อเธอเล่าจบ นั่นไปได้บอกเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นกับเธอหรอกหรือ ส่วนคนๆนั้นจะเป็นใครถ้าไม่ใช่ฉัน....
เธอในวันนั้น...ยังคงทำอาชีพคล้ายคลึงกับวันนี้นั่นคือเกษตรกร เพียงแต่เธอเปลี่ยนจากการเลี้ยงวัวไปทำนาแทนเท่านั้น ซึ่งแต่เดิมภรรยาของเธอก็ยังคงทำนาทั้งหลังและก่อนที่เธอจะลาโลกนี้ไป เธอเป็นพวกอารมณ์ศิลปินเปลี่ยนแปลงไปได้อยู่เสมอเหมือนกระแสลม และมันก็คล้ายคลึงกับฉันแต่ต่างกันที่เธอไม่ค่อยมีเหตุผลอะไรเลย และชอบเอาแต่ใจ และนี่แหละเป็นสาเหตุของความวิตกจริต และอาการเครียดง่ายๆ อารมณ์ปรวนแปรง่าย อ่อนไหว และบ่อน้ำตาตื้น ร้องไห้ได้ทั้งวัน บางครั้งฉันก็รู้สึกรำคาญ แต่ฉันเข้าใจเธอ อีกสิ่งหนึ่งที่เธอรักเป็นที่สุดนั่นคือมวย เธอชอบดูมวยและชอบพนันมวยเป็นที่สุด เธอมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น แต่ก็กีฬานะเป็นเรื่องธรรมดา นี่เองวันนี้เธอจึงต้องไปเกิดเป็นลูกนักมวย เธอจึงได้ฝึกมวยตั้งแต่เด็กเสมือนมันเป็นส่วนหนึ่งของเธอ และน้อยครั้งที่เธอจะแพ้เชิงมวยให้กับใคร เธอพอมีฝีมือดังนั้นเพศหญิงจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอ เธอจึงมักไปมีเรื่องทะเลาะต่อยตีกับทอมบ้างกับผู้ชายบ้าง และส่วนใหญ่ก็จะถูกเธอน็อกตั้งแต่ยังไม่ได้ทำอะไร เพราะเธอรู้จักจุดอ่อนในร่างกายของมนุษย์ดี เธอจึงสามารถสยบคู่ต่อสู้ได้ภายในพริบตา แต่สิ่งที่เธอรู้สึกได้นั่นคือความว่างเปล่าและความเจ็บปวดในจิตใจ เพราะการเอาชนะผู้อื่นด้วยพละกำลังหาใช่ทางออกที่ถูกไม่ แต่คืออหิงสา การไม่เบียดเบียนผู้อื่น นั่นคือความรักและอภัยต่างหาก นับวันเธอจึงเพิ่มศรัตรูขึ้นทุกวันตั้งแต่เด็ก จนปัจจุบันก็ยังมีคนที่ยังคอยตามคิดบัญชีเพื่อแก้แค้นเอาคืนกับเธอ เธอจึงคงว้าเหว่าและเป็นเด็กหญิงที่โดดเดี่ยวที่สุดในหมู่บ้านเพราะไม่สามารถคบหากับใครได้อย่างจริงใจ และต่างคอยระแวงกันอยู่ ก็ใครจะไปรู้ว่าจะโดนหมัดน็อกเมื่อไหร่ แม้แต่ฉันเองก็ยังเกรงๆเธออยู่ ถ้าเกิดไปทำอะไรให้เธอโกรธขึ้นมา ฉันก็คงมีสภาพไม่แตกต่างอะไรกับคนเหล่านั้น ดีที่ฉันเป็นนักวิ่ง ความเร็วอาจจะช่วยฉันไว้ได้บ้าง แต่ฉันก็ยังรู้ว่าเธอมีอาวุธลับตามมาอีก เพราะฉะนั้นนอกจากความเร็วเพียงอย่างเดียวคงยังไม่พอ คงต้องอาศัยจังหวะและทิศทางที่ดีด้วย...
เธอในวันนี้...ไม่ได้แตกต่างอะไรนักกับเธอในวันนั้น ด้วยผลกรรมที่เธอชอบพูดโกหก ฟันของเธอจึงบิดเบี้ยวไม่ได้รูปและแปลกว่าคนทั่วไป เวลายิ้มจึงดูประหลาด ถ้าไม่ยิ้มจะไม่มีทางรู้ และการที่เธอเคยทอดทิ้งภรรยาและลูกๆอีก 3 คนให้ตกทุกข์ได้ยากอยู่กับความยากจน เธอจึงถูกทอดทิ้งและรู้สึกโดดเดี่ยวและไม่ค่อยอยากจะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ และกลัวการถูกทอดทิ้งเป็นที่สุด เธอจึงอกหักตั้งแต่เด็กซ้ำแล้วซ้ำเล่า หาคนรักจริงไม่ได้ ทุกคนต้องการคบเธอเพียงเพื่อผลประโยชน์ และฉันก็เช่นเดียวกันฉันคบเธอก็เพื่อผลประโยชน์นั่นคือการพาเธอเข้าสู่สัจธรรมเพื่อการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป การที่เธอชอบมวยหรือการต่อสู้ พ่อของเธอในปัจจุบันซึ่งเป็นนักมวยจึงมักใช้เธอเป็นกระสอบทรายเสมอๆเวลาที่เมาเหล้า เธอเองก็ถูกหมัดน็อกมาหลายต่อหลายครั้งแล้วจนต้องพยายามหลบหนีออกจากบ้านหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยสำเร็จสักครั้ง คงมีเพียงฉันกระมังที่สามารถพาเธอออกมาได้ด้วยการแต่งงานกับเธอ...สนุกไหมล่ะนักมวย...
เธอในวันนั้น...ชอบการพนัน เธอในวันนี้จึงชอบการแข่งขันและเป็นนักล่ารางวัล ไม่ชอบทำงานปกติที่คนเขาชอบทำกัน เธอจึงเรียนหนังสือตกๆหล่นๆ แต่กลับได้รับรางวัลมากมายจากการแข่งขันกิจกรรมต่างๆที่ทางโรงเรียนจัดขึ้น การชอบการพนันและเจ้าชู้เป็นสาเหตุของการตายของเธอ เธอตายเพราะถูกลอบฆ่า ฆาตกรดักซุ่มอยู่หลังต้นไม้และยิงเธอด้วยปืน ขณะที่เธอกำลังขับรถมอเตอร์ไซด์คู่ชีพกลับบ้านเพื่อมาพบภรรยาและลูก นัดแรกคมกระสุนถูกยิงเจาะเข้าที่กึ่งกลางหลังของเธอ แต่เธอยังพยายามอดทนอดกลั้นต่อความเจ็บปวดจากฤทธิ์บาดแผลฝืนขับรถมอเตอร์ไปได้อีกประมาณไม่ถึง 100 เมตร ตรงนั้นเป็นทางโค้งหักศอกการที่เธอเสียเลือดไปมากทำให้เธอหมดแรงเสียหลักพลาดท่าล้มลง ฆาตกรจึงติดตามมาได้ทันและใช้ปืนยิงซ้ำเข้าที่ศรีษะอีก 2 นัด กระสุนทะลุออกท้ายทอยเธอจึงเสียชีวิตคาที่ทันที ด้วยวัยเพียง 38 ปีด้วยเหตุนี้ปัจจุบันเธอจึงกลายเป็นคนที่กลัวเสียงดัง เช่น เสียงฟ้าร้อง เสียงปืน เสียงปะทัด เป็นต้น เมื่อภรรยาของเธอมาพบศพเข้าเธอถึงกับร่ำไห้แทบจะขาดใจเป็นลมล้มพับไปหลายรอบ และฉันก็อยู่ในเหตุการณ์นั้น แต่ฉันยังเด็กมากด้วยวัยเพียง 3 ขวบจึงยังไม่รู้ประสีประสาอะไร แต่ก็ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้านับตั้งแต่กาลบัดนั้นมา ชื่อของฉันที่เธอเป็นคนตั้งให้ซึ่งจำเอามาจากชื่อรายการชิงแชมป์มวยในทีวีสมัยนั้น ฉันยังคงรู้ความหมายและที่มาของมันได้ดี บัดนี้เธอและฉันได้พบกันอีกครั้ง แต่ไม่ใช่ในฐานะบิดากับบุตรแต่เป็นสามีกับภรรยา หากแต่ความรักยังคงเป็นเช่นเดิมดุจกาลก่อนมิเคยเปลี่ยนแปลงไปชั่วกัลปาวสาน...........