31 สิงหาคม 2557 00:48 น.

ศิลปะการต่อสู้ที่แท้จริง

คีตากะ

images?q=tbn:ANd9GcRaXCtbLNQ4i0GP0vSqb8r
ปราศรัยโดย ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
21 กุมภาพันธ์ 1993 (เดิมเป็นภาษาจีน)
        ถึงแม้ว่าการรู้แจ้งของเรานั้นยังมีขีดจำกัด การนำมาใช้ก็ยังดีกว่าที่จะรอเต๋า สัจธรรมอันยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้นขอให้นำมาใช้ในอะไรก็ตามที่เธอเข้าใจ อย่ารีบเร่งที่จะทำเรื่องปาฏิหาริย์ ที่จะดูเรื่องปาฏิหาริย์และเข้าใจโลกปาฏิหาริย์ ให้ทำเป็นขั้นตอน ไม่ต้องรีบเร่ง ตอนเป็นเด็กเมื่อเธอเรียน เอ บี ซี เธอก็เพียงแต่เรียนรู้มันให้ดี แล้วครูก็สอนประโยคให้กับเธอ  แล้วเธอก็เข้าใจประโยคเหล่านี้ไม่ใช่รึ ตอนนี้เธอก็รู้ว่าจะเรียนและอ่านอย่างไร เพราะฉะนั้นขอให้ใช้เวลา จะเป็นไปได้อย่างไรที่เธอเพียงแต่อยู่ในชั้นอนุบาล แล้วเธอจะสามารถอ่าน "สามก๊ก" แล้วเธอก็โทษคุณครูของเธอที่ไม่ยอมให้อ่านมัน เธอจะไปคาดหวังไม่ได้หรอกที่จะอ่านหนังสือหรือพระสูตรเมื่อเธอไปโรงเรียนเป็นครั้งแรกหรือหลังจากที่ไปโรงเรียนแค่ 2-3 วัน เธอจะมีความคาดหวังและโทษคุณครูไม่ได้หรอก ในเมื่อเธอไม่ได้เรียนสักนิดในสิ่งที่เธอได้รับการสอนมา
มีหนังอยู่เรื่องหนึ่ง เธออาจจะได้ดูมันมาแล้วชื่อว่า "คาราเต้ คิด" เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กชายอเมริกาที่ได้เรียนคาราเต้ หลังจากที่เขาได้ถูกทุบตีเขาถึงได้ไปหาชายชรา ชายผู้นั้นได้รับเขาไว้เนื่องจากเด็กชายคนนี้ได้เคยถูกทุบตีหลายครั้งหลายหน
โดยกลุ่มคาราเต้กลุ่มอื่น อย่างไรก็ตามก่อนที่จะสอนเด็กชายคนนี้ เขาได้ให้เด็กชายคนนี้สัญญาว่าเขาจะเชื่อฟังไม่ว่าเขาจะพูดอะไร จะทำทุกอย่าง ไม่ว่าเขาจะสอนให้ทำอะไร และจะเรียนรู้ให้ดี เด็กชายให้สัญญา เด็กชายถูกให้ทำอะไร? ล้างและขัดรถและพื้น ทำความสะอาดและทาสีกำแพงเป็นเวลาหลายวัน แม้ว่าเขาจะปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเขาก็หยุดพักไม่ได้ ในที่สุดเด็กชายก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป แล้วก็บ่นว่า "ฉันมาเรียนคาราเต้ แต่ท่านไม่ได้สอนอะไรให้ฉันเลย! "
เขาใฝ่กระหายมากที่จะเรียนคาราเต้เพื่อแก้แค้นและปกป้องตัวเขา  จนเขาคิดว่าครูของเขาไม่ได้สอนอะไรเขาเลย มันดูเหมือนว่าเขาไม่ได้เรียนคาราเต้ เขาบ่นว่าเขาถูกใช้และถูกกระทำเยี่ยงคนงานและทาส เขารู้สึกว่าเขาถูกหลอก และวิจารณ์ครูของเขามากมาย ดังนั้นครูจึงถามเขาว่า "เธอเช็ดรถเป็นอย่างไรบ้าง? " เขาบอกให้เด็กแกล้งทำเป็นเช็ดรถ แล้วเด็กชายนั้นก็ก้มลงและเริ่มต้นเช็ดรถในอากาศ ครูพูดว่า "ไม่ใช่ ยืนเช็ดก็ได้ ให้ทำท่านั้นไปเรื่อยๆ " แล้วครูก็โจมตีเขา  แล้วเด็กชายก็ใช้การเคลื่อนไหวอันนั้นสกัดกั้นเขาไว้ เขาทำมันได้ แล้วครูก็บอกเขาให้ "เช็ดกำแพงด้วยมือทั้งสอง" แล้วครูก็โจมตีเขาอีก เด็กชายสกัดกั้นกำปั้นอีกครั้งขณะที่เขากำลัง "เช็ดกำแพง" ครูโจมตีเขาไปเรื่อยๆ เด็กชายก็สกัดกั้นการโจมตีได้เรื่อยๆ โดยการเคลื่อนไหวแบบเดียวกับที่เขาทำงานประจำวันของเขา สิ่งที่ครูบอกให้เขาทำ ไม่ใช่เป็นงานธรรมดาๆ ทั่วไป แต่ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นท่าเคลื่อนไหวของกังฟู ยกตัวอย่าง ถ้าเราเช็ดแบบส่งเดช มันก็จะแตกต่างออกไป การเคลื่อนไหวของเขาเป็นเทคนิค เขาบอกให้เช็ดจากตรงนี้ไปตรงนั้น จากตรงนั้นเช็ดลง แล้วก็ไปทางซ้าย แล้วไปทางขวาแบบนี้ทั้งหมดเป็นท่าเคลื่อนไหวของกังฟู
ปกติเราจะฝึกท่าแบบเดียวกันในสตูดิโอ จะเป็นการดีกว่าที่จะใช้มันตลอดเวลา เขาได้สอนเด็กแค่สองเดือนเท่านั้น แล้วเขาก็มีความแคล่วคล่องในกังฟู ดังนั้นเขาจึงต้องใช้เทคนิคของเขาในงานเล็กๆน้อยๆ ประจำวันของเขา มิฉะนั้นแล้วเพียงแค่ฝึกวันละสองชั่วโมงครึ่งเป็นเวลาสองเดือน เราจะไปเปรียบเทียบกับผู้ที่ได้ฝึกมาหลายๆ ปีไม่ได้ -- โดยเฉพาะเมื่อเด็กชายนั้นไม่เคยฝึกกังฟูมาก่อน เขาเป็นแค่เด็กธรรมดาๆ และภายในสองเดือนเขาก็ได้รับการฝึกฝนและกลายเป็นเด็กที่เก่งที่สุดในสหรัฐอเมริกา นี่ก็เป็นเพราะครูของเขาบอกให้เขาใช้ท่าการเคลื่อนไหวในงานประจำวันของเขา อย่างเช่น การขัดพื้น ดังนั้นทุกอย่างที่เขาทำจึงกลายเป็นการฝึกกังฟู ด้วยวิธีนี้เขาก็ได้เรียนรู้เทคนิคทุกอย่างเป็นอย่างดีมากในเวลาแค่สองเดือน
ในทำนองเดียวกัน บางครั้งอาจารย์สอนเราบางอย่างและไม่ให้เรารู้ว่าเรากำลังถูกสอน ถ้าหากอาจารย์ประกาศออกมาว่า "ฉันกำลังสอนเธอ" มันก็จะแย่เกินไป ชีวิตของเขาก็คือคำสอนของเขา คำพูดและการกระทำของเขามีไว้เพื่อสอนเรา เขามีคุณสมบัตินี้อย่างเป็นธรรมชาติ ดังนั้นถ้าเรารอ คาดหวังให้เวทมนต์หรือสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น เราก็จะห่างไกลไปจากเป้าหมายของเรามากยิ่งขึ้น เราจะมองไปข้างหน้าไกลเกินไป ดังนั้นฉันจึงได้บอกเธอว่า เธอจะสังเกตเห็นได้และจะได้รับการรู้แจ้งจากแง่มุมต่างๆ กันในงานประจำวันของเธอ..
28 มิถุนายน 2557 00:12 น.

วิธีที่สามารถชำระล้างการก่อให้เกิดของร่องรอยทางพันธุกรรม

คีตากะ

u=1235080114,3584329867&fm=3
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
จากหนังสือความลับสู่การฝึกจิตวิญญาณที่ง่ายดาย
        มนุษย์ได้ทำสิ่งไม่ดีมากมายต่อเนื่องมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ดังนั้นมันยากมากที่จะลบสิ่งอ้างอิงที่ไม่ดีออกจากดีเอ็นเอ และบางครั้งเราเกิดอยู่ในร่างที่ถูกตราไว้ด้วยข้อมูลที่ดีและไม่ดีจำนวนมาก ซึ่งเราได้รับการถ่ายทอดมาอย่างช่วยไม่ได้ เราไม่สามารถทำอะไรได้เว้นแต่ว่าถ้าเรานั่งสมาธิ เราก็สามารถล้างและลบมันออกเพื่อให้มันจากไปอย่างไรร่องรอย ถ้าเราลบบางสิ่งออกทุกวัน ไม่มีร่องรอยของความเป็นลบนี้หลงเหลืออยู่ในเซลล์ของเรา แล้วเราก็สามารถทำสิ่งดีๆได้
      ด้วยเหตุนี้แม้ว่าเธอมีธรรมชาติของพระเจ้าและเธอมีพระเจ้าอยู่ภายในตัวเธอ แต่เธอต้องต่อสู้กับตราประทับเหล่านี้ของดีเอ็นเอในเซลล์ของเธอด้วย ด้วยเหตุนี้เธอจึงทำงานช้า ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่ดี และด้วยเหตุนี้บางครั้งเธอจึงทำสิ่งลบๆ แม้ว่าจะขัดแย้งกับความประสงค์ของตัวเธอเอง ดังนั้นแม้ว่าเราต้องการจะทำความดี ถ้าไม่มีการนั่งสมาธิหรือไม่มีพลังพระเจ้าที่ชำระล้างตราประทับของดีเอ็นเอในเซลล์แล้ว เราก็ไม่สามารถทำอะไรได้มาก
       ด้วยเหตุนี้โลกนี้จึงเป็นแบบนี้ ด้วยเหตุนี้คนจำนวนมากที่ต้องการทำความดีแต่ไม่สามารถดิ้นรนต่อสู้กับร่องรอยทางลบเหล่านี้ได้ ซึ่งมีอยู่เรียบร้อยแล้วก่อนที่เราจะเข้ามาในร่างกายนี้เสียอีก พวกมันอยู่ที่นั่นแล้ว ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมเธอต้องนั่งสมาธิและเป็นมังสวิรัติเพื่อว่าเธอจะไม่เพิ่มร่องรอยทางลบเข้าไปในดีเอ็นเอไม่ดีที่มีอยู่แล้วในตัวเธอให้มากขึ้นอีก เธอมีสิ่งไม่ดีมากพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีเพิ่มอีก
        ถ้าหากว่าเธอไม่สามารถนั่งสมาธิได้นานๆ นั่นเป็นเพราะดีเอ็นเอด้วยเช่นกัน เป็นไปได้ที่เธออาจได้ร่างกายที่ไม่เคยนั่งสมาธิเลยในอดีตชาติ บางทีอาจมาจากครอบครัวที่ ลูก หลาน เหลนของปู่ย่าตาทวด ไล่ลงไป ไม่มีใครในครอบครัวเคยนั่งสมาธิเลย บางครั้งเธอไม่สามารถเกิดในครอบครัวที่เหมาะสมด้วย เพราะว่าทุกวันนี้พวกเขากินยาคุมกำเนิดตลอด และมีการทำแท้งเป็นต้น ดังนั้นเธอจำต้องกระโดดเข้าไปในครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง แล้วเธอก็ได้รับดีเอ็นเอที่ไม่ดี มันแย่มาก นั่นเป็นข่าวร้าย แต่ข่าวดีก็คือเราสามารถชำระล้างมันได้ด้วยการนั่งสมาธิแสงและเสียง
         ดังนั้นด้วยเหตุนี้เราจึงอยู่ที่นี่ เชื่อฉันเถอะ ฉันไม่ได้เล่าอะไรเกี่ยวกับไสยศาสตร์ให้เธอฟัง และฉันไม่ได้เล่าเพื่อให้เธอเคารพฉัน เพื่อให้เธอให้เงินฉัน หรือเพื่อสิ่งใดๆ นี่คือสิ่งเดียวเท่านั้นที่ดีต่อตัวเธอเองและดีต่อโลกนี้
1 มิถุนายน 2557 21:49 น.

อรรถกถาเพิ่มเติมของครู

คีตากะ

  520841211080551.jpg      
      ฉันมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เบื้องต้นและจะอยู่ต่อไปตราบอวสานแห่งวันวารทั้งหลาย เพราะหาได้มีจุดจบไม่สำหรับการเป็นอยู่ของฉัน วิญญาณของมนุษย์เป็นแต่ส่วนของคบเพลิงที่ลุกโชติช่วงซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงแยกจากพระองค์ในวาระแห่งการสร้างสรรค์
         ภราดาของฉัน จงแสวงหาการปรึกษาซึ่งกันและกันเพราะภายในนั้นมีทางออกของความพลั้งพลาดและความเสียใจที่ไร้ประโยชน์ ปัญญาของคนหมู่มาก คือโล่ที่ปกป้องการกดขี่ เพราะเมื่อเราปรึกษากันและกัน เราก็จะลดจำนวนศัตรูของเราลง
        ผู้ไม่แสวงหาคำแนะนำคือคนโง่ ความโง่เขลาของเขาทำให้เขามืดบอดต่อสัจธรรม แลทำให้เขาชั่วร้ายดึงดื้อและเป็นภัยแก่พวกพ้องของเขาเอง
      เมื่อท่านจับประเด็นปัญหาได้อย่างกระจ่างชัด จงเผชิญหน้ากับมันด้วยความคิดที่แน่วแน่ เพราะนั่นแหละคือหนทางแห่งความเข้มแข็ง
       จงปรึกษาผู้สูงอายุเถิดเพราะดวงตาของเขาได้พบเห็นสิ่งต่างๆมานับเป็นปีๆ และหูของเขาได้ยินเสียงต่างๆ แห่งชีวิต ถึงแม้ว่าคำปรึกษาของเขานั้นไม่เป็นที่สบอารมณ์ท่าน ก็จงให้ความสนใจแก่เขาเถิด 
     อย่าหวังคำปรึกษาที่ดีจากทรราชหรือมิจฉาบุคคล หรือจากคนทะลึ่งหยาบคายหรือบุคคลผู้ละเกียรติ ความทุกข์ร้อนมีแก่ผู้ซึ่งคบและแสวงหาคำแนะนำจากมิจฉาบุคคล เพราะการตกลงปลงใจกับคนชั่วนั้นคือการเสื่อมเสียชื่อ และการสดับตรับฟังในสิ่งซึ่งไม่ถูกต้องก็เป็นการทรยศหลอกลวง
      ฉันไม่อาจจะนับตัวเองว่าเป็นที่ปรึกษาของมวลมนุษย์ได้ นอกเสียจากว่าฉันได้รับความรู้ที่กว้างขวาง การวินิจฉัยที่เฉียบแหลมและประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่มาแล้ว
       จงทำให้ความรีบด่วนช้าลงบ้าง และจงอย่าเชื่องช้าเมื่อโอกาสให้สัญญาณ เช่นนั้นแหละท่านจะเลี่ยงจากความผิดพลาดต่างๆ อย่างมหันต์ได้
       สหายของฉัน อย่าเป็นเช่นบุคคลซึ่งนั่งอยู่ข้างกองไฟ จ้องดูไฟที่กำลังดับและพัดวีอย่างไร้ผลบนกองขี้เถ้าซึ่งดับแล้ว อย่าได้เลิกความหวังหรือยอมจำนนต่อความสิ้นหวังเพราะว่านั่นคืออดีตที่ผ่านไปแล้ว แลการเศร้าโศกถึงสิ่งที่ไม่อาจจะกลับคืนมาได้นั้นเป็นส่วนเลวร้ายที่สุดของความอ่อนแอของมนุษย์
       เมื่อวันวานฉันเสียใจในการกระทำของฉัน และวันนี้ฉันเข้าใจความผิดพลาดของฉันและความชั่วที่ฉันได้นำมาสู่ตนเมื่อฉันได้หักลูกธนูและทำลายกระบอกใส่มันแล้ว
       พี่น้องของฉันเอ๋ย ฉันรักท่านไม่ว่าท่านจะเป็นใคร ไม่ว่าท่านจะนมัสการในโบสถ์ คุกเข่าในวิหาร หรือสวดภาวนาในมัสยิดของท่าน ท่านและฉันล้วนเป็นลูกหลานของศรัทธาหนึ่งเดียว เพราะหนทางหลากหลายของศาสนานั้นเป็นดังนิ้วมือทั้งผองของมือแห่งความรักแห่งพระผู้เป็นเจ้าสูงสุด เป็นหัตถ์ที่เอื้อมไปสู่ทุกคน ประทานความสมบูรณ์แก่วิญญาณทุกดวง กระหายที่จะรับทุกผู้ไว้
      พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานดวงวิญญาณอันมีปีกให้แก่ท่าน เพื่อจักได้ถลาบินขึ้นสู่ห้วงนภากาศแห่งความรักและเสรีภาพ ไม่เป็นที่น่าเวทนาดอกหรือ เมื่อท่านได้ตัดปีกของท่านออกด้วยมือของท่านเองแลสร้างความทุกข์ทรมานให้แก่ดวงวิญญาณของท่านโดยให้คืบคลานไปเหมือนตัวแมลงบนพื้นโลก?
       วิญญาณของฉันมีชีวิตอยู่เหมือนผู้ไล่ตามรัตติกาล ยิ่งมันบินเร็วขึ้นเท่าใดก็ยิ่งใกล้อรุณรุ่งมากขึ้นเท่านั้น
คำครู
คาลิล ยิบราน เขียน
น่านรังษี กิติมา แปล
30 พฤศจิกายน 2556 00:27 น.

ลังกาวตารสูตร

คีตากะ

398001907.jpg
แปลโดย พุทธทาสภิกขุ
        ลังกาวตารสูตร เป็นคัมภีร์หลัก (Text) ของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน เป็นคัมภีร์หนึ่งในเก้าคัมภีร์ซึ่งเป็นคัมภีร์สำคัญที่เรียกว่าสูตร สูตรหนึ่งนั้นมิใช่สั้นๆ เช่นที่เราเข้าใจกัน แต่เป็นหนังสือขนาดใหญ่ หรือคัมภีร์นั่นเอง
      
       ลังกาวตารสูตรพิมพ์ขึ้นเป็นภาษาสันสกฤต เมื่อปี ค.ศ. 1922 โดยท่าน Bunyin Nangio, M.A (Oxon) D. Litt. Kyoto. สูตรนี้แปลเป็นภาษาจีนครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 443 โดยท่านคุณภัทระ แห่งอินเดีย เป็นครั้งที่สองเมื่อปี ค.ศ. 513 โดยท่านโพธิรุจิ แห่งอินเดีย และครั้งที่สามเมื่อปี ค.ศ. 700 โดยท่านศึกษานันทะ แห่งอินเดียเหมือนกัน เป็นสูตรว่าด้วยศีลธรรมล้วน
      ภาคที่แปดแห่งลังกาวตารสูตรนี้ กล่าวถึงเรื่องการกินเนื้อสัตว์โดยเฉพาะ เรียกว่า "ภาคมางสภักษนปริวรรต"
      จากข้อความในภาคนี้ ย่อมเป็นการพิสูจน์ไว้อย่างเต็มที่ว่า สาวกในพระพุทธศาสนาจะเป็นบรรพชิตหรือฆราวาสก็ตาม จะไม่รับประทานเนื้อปลาหรือเนื้อสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่งเลย
      ต่อไปนี้เป็นข้อความบางตอน ซึ่งตัดตอนมาจากข้อความในภาคนั้น โดยเห็นว่าพวกเราแม้เป็นฝ่ายเถรวาท (หินยาน) ก็ควรได้อ่านฟังกันไว้บ้าง เป็นการประกอบการศึกษาธรรมเรื่องนี้ ด้วยใจอันเป็นอิสระ
254672623705119.jpg
      ข้อความในพระสูตรนั้น มีดังนี้ :
      "พระตถาคตเจ้าผู้ทรงอรหันต์ได้ตรัสรู้อย่างถูกถ้วนแล้ว และได้ตรัสความเป็นกุศลหรืออกุศลแห่งการบริโภคเนื้อสัตว์แก่เรา เพื่อว่าเราและสาวกอื่นๆ ในพระพุทธศาสนา ทั้งในปัจจุบันและอนาคตจะได้ประกาศสัจธรรมอันนี้แก่เขาเหล่าโน้นผู้บริโภคเนื้อสัตว์ เพื่อเป็นการทำลายความอยากเสพในเนื้อสัตว์ของเขานั้นๆ เสีย"
105255811242387.jpg
เนื้อทุกชนิดเป็นสิ่งที่ควรปฏิิเสธ

     พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า... "โอ, มหาบัณฑิต ! ด้วยน้ำหนักแห่งเหตุผลอันมากมายเหลือจะประมาณ บ่งแสดงว่า  เนื้อทุกชนิดเป็นสิ่งที่ควรปฏิเสธ โดยสาวกแห่งพระพุทธศาสนาผู้มีใจเปี่ยมอยู่ด้วยความกรุณา สำหรับเขาเหล่านั้น เราจักกล่าวแต่โดยย่อๆ"

      "โอ, มหาบัณฑิต ! ในวัฏฏสงสารอันไม่มีใครทราบที่สุดในเบื้องต้นนี้ สัตว์ผู้มีชีพได้พากันท่องเที่ยวไปในการว่ายเวียนในการเกิดอีกตายอีก ไม่มีสัตว์แม้แต่ตัวเดียวที่ในบางสมัยไม่เคยเป็น แม่ พ่อ พี่น้องชาย พี่น้องหญิง ลูกชาย ลูกหญิง หรือเครือญาติอย่างอื่นๆ แก่กัน

     สัตว์ตัวเดียวกัน ย่อมถือปฏิสนธิในภพต่างๆ เป็นกวางหรือสัตว์สองเท้าสัตว์สี่เท้าอื่นๆ เป็นนก ฯลฯ ซึ่งยังนับได้ว่าเป็นเครือญาติของเราโดยตรง สาวกแห่งพระพุทธศาสนาจะทำลงไปได้อย่างไรหนอ จะเป็นผู้สำเร็จแล้วหรือยังเป็นสาวกธรรมดาก็ตาม ผู้เห็นอยู่ว่าสัตว์เหล่านี้ทั้งหมดเป็นภราดรของตน แล้วจะเชือดเถือเนื้อหนังของมันอีกหรือ?"

35308483988047.jpg
     "โอ, มหาบัณฑิต ! เนื้อสุนัข เนื้อลา อูฐ ม้า โค และเนื้อมนุษย์เหล่านี้เป็นเนื้อที่ประชาชนไม่รับประทาน แม้กระนั้นเนื้อของสัตว์เหล่านี้ ก็ถูกนำมาปลอมขายในนามของเนื้ออื่นๆ ในตลาดเพราะเห็นแก่เงิน
     เพราะเหตุนี้ เนื้อสัตว์จึงเป็นสิ่งไม่ควรกิน โดยสาวกแห่งพระพุทธศาสนา"
     "โอ, มหาบัณฑิต ! เพราะว่าเนื้อย่อมเกิดจากเลือดและน้ำอสุจิ เพราะฉะนั้น มันจึงเป็นสิ่งไม่ควรบริโภคสำหรับสาวกแห่งพระพุทธศาสนา ผู้ประสงค์ต่อความสะอาดบริสุทธิ์ (หลุดพ้นทุกข์ทางจิตใจ) และเพราะมันเป็นการสร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นในระหว่างกันและกัน"
22746822331101.jpg
        "โอ, มหาบัณฑิต ! เพราะฉะนั้น เนื้อนี้จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภคโดยบรรพชิตแห่งพระพุทธศาสนา ผู้ประสงค์มิตรภาพในเพื่อนสัตว์ด้วยกันทุกถ้วนหน้า
       ตัวอย่างอันประจักษ์เช่น เมื่อสัตว์ได้เห็นนายพรานป่า ชาวประมง หรือนักกินเนื้ออื่นๆ เดินมาแม้ในระยะอันไกล สัตว์ทั้งหลายก็สะดุ้งกลัวเสียแล้ว บางครั้งหรือสัตว์บางชนิดขาดใจตาย
      ทำนองเดียวกัน สัตว์ตัวน้อยๆ อื่นๆ ในท้องฟ้าบนบกหรือในน้ำก็ตาม เมื่อได้เห็นนักกินเนื้อแต่ที่ไกล หรือได้กลิ่นด้วยจมูกอันไวของมัน ก็จะพากันวิ่งหนีไปไกลพร้อมกับความรู้สึกอยู่ในใจว่า เขาเหล่านั้นเป็นผียักษ์อสุรกายผู้ล้างผลาญ นั่นเพราะความกลัวต่อความตายของมัน
        เนื้อเป็นสิ่งที่ควรกินสำหรับผู้ใจดำอำมหิต เป็นสิ่งที่มีกลิ่นน่ารังเกียจ เป็นต้นเหตุแห่งความเสื่อมเสียและเป็นสิ่งที่จะถูกห้ามกันโดยสัตบุรุษ"
     
545284565072507.jpg
       "โอ, มหาบัณฑิต ! เนื้อนี้เป็นของไม่ควรบริโภคโดยพุทธสาวก"
     
      "โอ, มหาบัณฑิต ! สัตบุรุษย่อมบริโภคเฉพาะแต่อาหารที่สมควรแด่ท่านผู้บริสุทธิ์ ไม่ยอมบริโภคเนื้อสัตว์และเลือด เพราะฉะนั้น ควรที่สาวกแห่งพระพุทธศาสนาจะต้องไม่บริโภคเนื้อสัตว์เลย"
       "พระพุทธเจ้าผู้ซึงสุขุมและเยือกเย็น มีพระทัยเต็มเปี่ยมไปด้วยความกรุณา เป็นที่พึ่งที่ป้องกันภัยแก่ดวงใจของสรรพสัตว์ทั้งปวง และมีพระสัมปชัญญะสมบูรณ์พอที่จะไม่ปล่อยให้เป็นโอกาสสำหรับความเสื่อมเสียระบาดขึ้นได้เลยนั้น ย่อมจะทรงบัญญัติเนื้อสัตว์ว่าเป็นสิ่งไม่ควรบริโภค"
      "โอ, มหาบัณฑิต ! ในโลกนี้มีคนเป็นอันมาก ซึ่งกล่าวคำเท็จเทียมต่อพระพุทธดำรัสให้ผิดไปจากความจริง เขากล่าวกันว่า บรรดาผู้ซึ่งคัดค้านอาหารอันสมควรแด่ท่านผู้บริสุทธิ์แห่งสมัยเพรงกาล ย่อมกินอาหารเหมือนนักกินเนื้อ ย่อมเที่ยวใส่ความทุกข์เจ็บปวดให้แก่สัตว์เล็กสัตว์น้อยที่มีชีวิตอยู่ในอากาศ บนบกและในน้ำ เที่ยวรบกวนรังควานมันทั้งที่นี่และที่นั่นอยู่เสมอ
      สมณภาพของเขา (ความเลื่อมใสศรัทธา) ถูกทำลายเสียย่อยยับแล้ว พราหมณ์ภาพของเขา (ความบริสุทธิ์) ถูกทำให้เศร้าหมองเสียแล้ว เขามิได้ประกอบด้วยศรัทธาและสมาจาร คนชนิดนี้แหละที่กล่าวคำเท็จเทียมมากมายหลายชนิดแด่พระพุทธวจนะ" 
323843152029440.jpg
       "โอ, มหาบัณฑิต ! มีกลิ่นที่น่ารังเกียจ ไม่น่าบริโภคอยู่ในเนื้อสัตว์ เช่นเดียวกับกลิ่นแห่งศพ แม้เหตุผลเพียงเท่านี้ เนื้อสัตว์ก็เป็นของไม่ควรบริโภคสำหรับพุทธศาสนิกชนอยู่แล้ว ถ้าหากว่าศพถูกเผาและเนื้อสัตว์อย่างใดอย่างหนึ่งก็ถูกเผา มันก็จะมีกลิ่นอันน่ารังเกียจ ไม่แตกต่างอะไรกันเลย ดังนั้น บรรพชิตในพระพุทธศาสนาผู้หวังความบริสุทธิ์ จะไม่บริโภคเนื้อใดๆ เลย"
     "เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกเกียจกันแล้ว สำหรับท่านผู้บริสุทธิ์และสาวกของท่าน ในกรณีที่จะพยายามเพื่อโมกษะ (ความหลุดพ้น) และความตรัสรู้ เพราะฉะนั้นสาวกผู้ดำเนินตามทางอันสูงยิ่งนี้ ทั้งครอบครัวลูกหญิงชายย่อมรู้อยู่อย่างเต็มใจว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกเกียจกัน ในทุกๆ กรณีที่พยายามเพื่อสมาธิ"
      "โอ, มหาบัณฑิต ! เพราะฉะนั้น เนื้อทุกๆ ชนิดเป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภคสำหรับพุทธศาสนิกชนซึ่งเป็นผู้ที่ปรารถนาจะมีสาธุคุณในทางจิต ทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น"
      "นักกินเนื้อย่อมเป็นเหยื่อแห่งโรคหลายชนิด เช่นโรคไส้เดือน โรคพยาธิ โรคเรื้อน โรคเจ็บในท้อง ฯลฯ"
      "โอ, มหาบัณฑิต ! เรากำลังประกาศว่า การกินเนื้อสัตว์เป็นการกินเนื้อบุตรของตนเองอยู่ดั่งนี้ แล้วจะกล่าวไปอย่างไรได้ที่เราจะบัญญัติให้สาวกของเรากินเนื้อสัตว์ ซึ่งเป็นของจัดไว้ต้อนรับคนพวกใจอำมหิต เป็นของถูกห้ามโดยสัตบุรุษทั้งหลาย เต็มไปด้วยมลทิน ปราศจากคุณธรรมใดๆ ไม่เหมาะที่จะบริโภคสำหรับผู้บริสุทธิ์ และเป็นของควรห้ามเด็ดขาด โดยประการทั้งปวง"
k4+(Custom).jpg
     "โอ, มหาบัณฑิต ! เราได้บัญญัติไว้แล้วว่า สำหรับอาหารอันสมควรซึ่งได้กำหนดนิยมกันมาแล้วโดยบรรดาท่านผู้บริสุทธิ์แห่งสมัยเพรงกาล ได้แก่อาหารที่ปรุงขึ้นจากข้าว ลูกเดือย ข้าวสาลี สารแห่งหญ้ามุญชะ อูรทะ และมสุร ฯลฯ นมส้ม น้ำนม นม น้ำตาลสด กุท น้ำตาลและน้ำตาลกรวด ฯลฯ
      "โอ, มหาบัณฑิต ! ในกาลก่อน มีพระราชาครองราชสมบัติอย่างผาสุกพระองค์หนึ่งนามว่า ราชาสิงหะเสาทโส ต่อมาได้กลายเป็นผู้ละโมบอย่างบ้าคลั่งในการบริโภคเนื้อ ในที่สุดถึงกับใช้เนื้อคนเป็นอาหาร เนื่องจากความอยากเป็นไปแก่กล้าหนักเข้าเพราะเหตุนั้น พระองค์จึงถูกโค่นราชบัลลังก์โดยพระสหาย เสนาบดีและประยูรญาติของพระองค์เอง
      ต่อจากนั้น ต้องสละราชสมบัติ ถูกเนรเทศออกไปจากแว่นแคว้นของพระองค์โดยประชาชนต้องรับทุกข์ทรมานอันใหญ่หลวงเนื่องจากเนื้อสัตว์เป็นต้นเหตุ"
     "โอ, มหาบัณฑิต ! ก็ในปัจจุบันชาตินี้เอง เขาเหล่านั้นซึ่งเคยชินเกินไปในการกินเนื้อสัตว์ เมื่อความอยากเป็นไปรุนแรงเข้าก็กินเนื้อคนได้ ย่อมเป็นผู้ละโมบในการกินและเป็นเหมือนยักษ์ปีศาจร้าย ครั้นถึงอนาคตชาติหน้า เพราะอำนาจจิตติดฝังแน่นในการอยากกินเนื้อ เขาย่อมตกไปสู่กำเนิดแห่งสัตว์ที่กินเนื้อเป็นอาหาร เช่น เสือ สิงโต จระเข้ แมว สุนัขจิ้งจอก นกเค้า ฯลฯ"
783859139308333.jpg
       "โอ, มหาบัณฑิต ! มิใช่เพราะเนื้อจะเป็นของต้องกิน หรือการฆ่าเป็นของต้องทำก็หามิได้ ในกรณีนั้นๆ ส่วนมากทั้งหมดเป็นเพราะการเห็นแก่เงิน จึงฆ่าสัตว์ที่มีชีวิต ถึงแม้จะเป็นสัตว์เชื่องและปราศจากอันตรายแต่อย่างใดก็ถูกฆ่า การฆ่าเพราะเหตุอื่นนั้นมีน้อยที่สุด มันเป็นการทรมานใจเขามาก ในเมื่อใจเต็มไปด้วยความอยากกินเนื้ออย่างแรงกล้า คนก็กินเนื้อคนได้ จะต้องกล่าวไปทำไมกะเนื้อสัตว์ เนื้อนก ฯลฯ เหตุเนื่องจากความเขลาเข้าใจผิดมนุษย์จึงได้รับกรรมความกระวนกระวายใจโดยความอยากในเนื้อสัตว์ คนฆ่านก ฆ่าแกะและปลา โดยใช้ข่ายหรือเครื่องมือดัก การฆ่ามันเหล่านั้นซึ่งเป็นสัตว์ที่เชื่องและหาอันตรายมิได้ นั่นก็เพื่อหวังจะให้ได้เงิน !"
      "โอ, มหาบัณฑิต ! ในกรณีแห่งอาหารที่เราได้บัญญัติแก่สาวกนั้น มิใช่เป็นเนื้อสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่งเลย ซึ่งเป็นของควรกิน สัตว์ซึ่งเป็นของไม่ควรกิน ไม่มีเหตุผลอันสมควรกิน ไม่ใช่สิ่งที่นำมาส่งเสริมให้ควรกิน
      ในอนาคตกาล ในหมู่สงฆ์ของเราจะเกิดมีคนบางคนซึ่งกำลังสมาทานข้อปฏิบัติแห่งบรรชิต และกำลังปฏิญาณตนเป็นศากยบุตร กำลังครองผ้ากาสาวพัสตร์ จะเป็นผู้มัวเมาและประกอบตนคลุกเคล้าอยู่ในความเพลิดเพลิน เขาจะมีจิตที่เต็มไปด้วยความปรารถนาลามก บัญญัติข้อปฏิบัติที่ผิดแบบแผนขึ้นใหม่ เขาเหล่านั้นเป็นผู้อยากเสพเพราะติดรส และจะเรียบเรียงพระวจนะให้มีข้อความเท็จ อันจะเป็นเครื่องยืนยันและโต้แย้งอย่างพอเพียงสำหรับการกินเนื้อสัตว์กัน เขาจะบัญญัติสิ่งที่ตถาคตมิได้บัญญัติไว้ เขาจะกล่าวข้อความที่ส่งเสริมการกินเนื้อสัตว์ เขาจะกล่าวว่าเราตถาคตได้บัญญัติไว้ในเรื่องนี้ เช่นนี้ และว่าเราตถาคตนับมันเข้าไว้ในสิ่งทั้งหลายที่ควรกิน และว่าพระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงเสวยเนื้อสัตว์โดยพระองค์เอง"
     แต่ โอ, มหาบัณฑิต ! เรามิได้เคยบัญญัติเนื้อสัตว์ไว้ในสูตรใดๆ หรือกล่าวว่ามันเป็นของควรกิน หรือนับมันเข้าในประเภทของดีที่ควรกิน"
    
61218673828989.jpg
      "โอ, มหาบัณฑิต ! อริยสาวกทั้งหลาย ไม่บริโภคแม้แต่สิ่งที่คนธรรมดาชอบกินนิยมกันว่าดี เขาเหล่านั้นจะมาบริโภคเนื้อและเลือดซึ่งเป็นของควรปฏิเสธได้อย่างไรเล่า
        เหล่าสาวกของตถาคต เป็นผู้เดินตามแนวแห่งสัจธรรม คนผู้มีปัญญาเป็นเครื่องคิดค้นของตนเอง และบรรดาพุทธศาสนิกชนทั้งหลายอื่นๆ (แห่งพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ ) ก็เป็นเช่นเดียวกัน เขาเหล่านั้นมิใช่ผู้กินเนื้อสัตว์ พระตถาคตเจ้าทั้งหลายในกาลก่อนๆ ก็เป็นดังนั้น
      พระตถาคตเจ้าทั้งหลาย มีสัจธรรมเป็นพระกายของพระองค์ ทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่ด้วยสัจธรรม ไม่ทรงดำรงกายด้วยเนื้อสัตว์ ท่านเหล่านั้นไม่เคยเสวยเนื้อสัตว์อย่างใดๆ เลย พระองค์ทรงเพิกถอนความอยากในโลกวัตถุได้หมดสิ้นแล้ว ท่านเหล่านั้นปราศจากมลจิต (ความมัวหมอง) อันเป็นมูลแห่งความทุกข์ ท่านเต็มเปี่ยมไปด้วยปรีชาญาณอันไม่ข้องขัดในอันจะหยั่งทราบสิ่งซึ่งเป็นกุศลและอกุศล ทรงทราบสิ่งทั้งปวง เห็นแจ้งสิ่งทั้งปวง"
     "พระองค์ทรงมองไปที่สรรพสัตว์คล้ายกับเป็นบุตรของพระองค์เอง ทรงประกอบด้วยมหาเมตตากรุณาคุณโดยทำนองเดียวกันนี้ เราตถาคตเห็นสรรพสัตว์เช่นเดียวกับบุตรของเราเอง เราจะบัญญัติให้สาวกของเราบริโภคเนื้อลูกของเราได้อย่างไรเล่า? และเราเองก็จะบริโภคมันได้อย่างไรเล่า? มันไม่มีข้อควรสงสัยเลยในเรื่องว่า เราได้บัญญัติให้สาวกบริโภค หรือเราได้บริโภคมันโดยตนเองหรือไม่"
prajadprathai-2012-02-10-1328821803-7030
     ในที่สุด ได้ตรัสคำที่ผูกเข้าเป็นคาถาซึ่งจะยกมาในที่นี้แต่บางคาถา มีใจความว่า : 
     "โอ, มหาบัณฑิต ! พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้แล้วว่า สุรา เนื้อสัตว์และหอมกระเทียม เป็นสิ่งที่พุทธศาสนิกหรือมหาพุทธศานิกใดๆ ไม่ควรบริโภค"
     "บรรพชิตควรเว้นเสมอจากเนื้อสัตว์ หัวหอมและนานาประเภทแห่งเครื่องดื่มอันมึนเมา กระเทียมและหัวผักกาด"
     "เขาผู้ฆ่าสัตว์ชนิดใดๆ ก็ตามเพื่อเงิน และเขาผู้ซึ่งจ่ายเงินซื้อเนื้อนั้น ทั้งสองชื่อว่าเป็นผู้ประกอบอกุศลกรรม และจักจมลงในนรกโรรุวะและนรก ฯลฯ"
       "เราบัญญัติห้ามเนื้อสัตว์ไว้ในข้อความแห่งคัมภีร์เหล่านี้คือ 1. หัสติกักสยะ, 2. มหาเมฆะ, 3. นิรวาณางคลีมาลิกา, 4. ลังกาวตารสูตร"
อร่อยลิ้นยินดีเหลือเพื่อรสปาก
ถึงกับพรากชีวิตเขาเศร้าใจไหม
กว่าจะรู้ว่าบาปกรรมทำเท่าไร
ต้องลงไปชดใช้กรรมให้จำทน
จึงต้องเร่งบำเพ็ญเช่นพุทธะ
อีกต้องละชีวิตเขาเอากุศล
เปิดเมตตาให้สว่างกลางกมล
เพื่อหลุดพ้นการเวียนว่ายได้นิพพาน...
20 ตุลาคม 2556 15:24 น.

จงเป็นตัวอย่างอันเปล่งประกายแห่งการเสียสละและความรักที่แท้จริง

คีตากะ

3111994jis550pr7y.gif
 
 ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
คัดจากหนังสือ Secrete to Effortless Spiritual Practice
     
   ตราบเท่าที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราต้องอุทิศทั้งชีวิตเพื่อความดี เพื่อความก้าวหน้าของมนุษยชาติของทั้งโลก ของทั้งจักรวาล วิสัยทัศน์ของเราต้องยิ่งใหญ่มาก ยิ่งใหญ่กว่าการมีชีวิตอยู่ มันต้องสูงส่งมากอย่างที่เราไม่มีอะไรอื่นต้องเสียอีกแล้ว เราไม่กลัวสิ่งใดเลยในความยิ่งใหญ่ของทัศนะเช่นนี้ อุปสรรคทุกอย่างกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ความไม่สะดวกสบายส่วนตัวทุกอย่างกลายเป็นสิ่งไม่สำคัญ สำหรับวิสัยทัศน์เช่นนี้ ฉันไม่ได้รู้สึกว่าเรากำลังคุยกันเหมือนกับฝันเฟื่องหรือกำลังสร้างมโนภาพ แต่ฉันรู้สึกว่ามันจะเป็นจริงได้วันใดวันหนึ่ง มันอาจจะเริ่มงอกรากไปแล้ว แต่มันจะต้องแตกกิ่งก้านออกมาทุกทิศทางและแตกหน่อใหม่ ออกดอกใหม่ มันต้องเติบโตขึ้น โตขึ้น รวดเร็วขึ้นและห่อหุ้มโลกทั้งโลกด้วยจิตวิญญาณแห่งความรักและการรับใช้ การรับใช้อย่างไม่มีเงื่อนไข
 
       อะไรอย่างอื่นอีกที่เราต้องการจากโลกนี้ นอกจากเสื้อผ้าเพียง 2-3 ชุดและอาหารที่พอเพียงเพื่อให้ร่างกายคงอยู่ได้ ทำไมเราต้องกังวลเรื่องความมั่งคั่ง เรื่องทรัพย์สมบัติ เรื่องตำแหน่ง อำนาจ และการยอมรับในโลกนี้ด้วย ถ้าเรารู้ว่าเราไม่สามารถรับประทานอาหารได้วันหนึ่งมากกว่า 2-3 มื้อ ถ้าเรารู้ว่าเราต้องการเสื้อผ้าเพียงแค่ 2-3 ชุดเพื่อให้ร่างกายเราอบอุ่น เราไม่มีความกลัว ถ้าเราเข้าใจว่าความต้องการของเรามีน้อยมาก
      ถ้าเราสลัดเครื่องนุ่งห่มที่เป็นกายเนื้อนี้ออกไป แน่นอนเราก็จะได้รับอีกร่างกายหนึ่งถ้าเราต้องการมัน แต่ถ้าเราไม่ต้องการมันก็ไม่เป็นไรเช่นกัน ถ้าเราไม่กลับมาอีกมันก็ดีอีกเหมือนกัน ตราบเท่าที่เรายังอยู่ในโลกนี้ เราต้องใช้ชีวิตของเราให้มีความหมาย เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไรอื่นๆ อีกหรือ เราอาจจะตายเร็วหรือช้า และถ้าเรามองย้อนกลับไปจากโลกใบอื่น ไปยังอดีต ไปยังหลายสิบปีก่อนของชีวิตเรา และเราไม่เห็นสิ่งใดที่มีความหมาย ไม่เห็นสิ่งใดที่น่ายกย่องที่เกี่ยวกับการกระทำ คำพูด และความคิดของเรา แล้วเราก็จะรู้สึกมีภาระหนักหน่วงมาก ด้วยเหตุนี้คนทั้งหลายจึงต้อง(เวียนว่าย)กลับมาในโลกนี้อีก
      ไม่มีใครมานั่งตัดสินในสิ่งที่ออกมาจากความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตัวเราเอง นั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เราไม่สามารถวิ่งหนีมันไปพ้นได้ พระเจ้าอาจจะอภัยให้เรา โลกทั้งโลกอาจไม่รู้เกี่ยวกับการกระทำของเรา แต่ตัวเรารู้ เราเป็นเพียงผู้เดียวที่เราเองไม่สามารถหลอกลวงได้ เราไม่สามารถพูดโกหกกับตัวเราเอง และไม่สามารถวิ่งหนีไปจากตัวเราเองได้ ดังนั้นอะไรก็ตามที่เราทำ เราควรจะมั่นใจว่ามันเป็นประโยชน์ต่อตัวเรา เมื่อเราทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น เราก็จะทำประโยชน์ให้แก่ตัวเราเองด้วย เราเห็นได้อย่างชัดเจนด้วยตาของเราเองว่าเราทำอะไรลงไป และผู้คนได้รับประโยชน์จากมันอย่างไร โลกก้าวหน้าไปด้วยความพยายามของเราอย่างไร  เรารู้อย่างชัดแจ้ง เป้าหมายของเราต้องสูงส่ง ต้องสูง ต้องยิ่งใหญ่ มิฉะนั้นจะมีประโยชน์อะไรกับการใช้ชีวิตที่เหมือนอย่างกับสัตว์ ที่เกิดมาเพื่อกินอาหาร ทำงาน เลี้ยงลูก และไม่มีอะไรอื่นอีก ไม่มีความคิดที่สูงขึ้น ไม่มีเป้าหมายที่สูงส่ง ทำไมเราจะเป็นแค่คนธรรมดาที่ต่ำต้อยมาก ในเมื่อเรามีพลังอำนาจอันมหาศาลเช่นนี้ มีจิตวิญญาณที่สูงส่งเช่นนี้
       เราได้รับการถ่ายทอดหลักคำสอนอันสูงส่งจำนวนมากจากอาจารย์ต่างๆ ผู้ที่เมตตาต่อโลกของเราด้วยการมาปรากฏของท่าน ด้วยปัญญาของท่าน ด้วยพระพรอันชั่วนิรันดร์ของท่าน ทำไมเราจึงเป็นแค่สิ่งมีชีวิตธรรมดาๆ แทนที่ผู้กว้างขวาง เติบใหญ่ มีจิตวิญญาณยิ่งใหญ่เพื่อทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นจำนวนมากและต่อจิตสำนึกรู้ผิดชอบในตัวของเราเอง - เมื่่อเราเห็น เมื่อเรารู้สึก เมื่อเรารู้สิ่งที่เราได้กระทำไปในชีวิตของเรา ตราบเท่าที่เรายังหายใจเอาอากาศนี้อยู่ เราได้เรียนรู้ทุกๆ สิ่ง เพื่อทำประโยชน์ต่อผู้อื่น นั่นคือวิธีที่เราจะทำประโยชน์ให้แก่ตัวเราเอง นั่นคือวิธีที่จะทำให้จิตวิญญาณของเราสูงส่งและเติบใหญ่มากขึ้น เพื่อที่จะกลายเป็นเช่นนักบุญคนหนึ่ง..   
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ