3 มิถุนายน 2553 14:58 น.
ลานเทวา
ค่อยค่อยคืบ สืบล่วงท่วงขณะ
ในเผินผ่านทัศนะ อารมณ์สรรค์
สรรพสิ่งอุบัติวาด อาตมัน
แต่งปรุงปันต่อเติม แต่เดิมนัย
เจตสิกพลิกพลิ้ว ลิ่วเกิดดับ
คณานับไหววาด พิลาศไหว
บางจำแลงแปลงกล ลวงหนไป
บางแปลกปลอมย้อมใจ ดังเที่ยงแท้
ค่อยค่อยใจไขว่คว้า หาที่มั่น
โดยโง่เขลาเท่าทัน การเผื่อแผ่
งมงายยังว่ายเวียน ในเปลี่ยนแปร
หลับตาแลรู้สึก พิลึกลั่น
ตราบภาวะมืดดับ พ้นศัพท์เสียง
อวิชชาจรายเรียง หรือไหวหวั่น
ฟังเถิดเสียงมารยา สารพัน
ให้ต่างกันเพียงงาม ในความคิด
ค่อยค่อยคืบ สืบล่วงท่วงขณะ
พ้นผ่านเผินทัศนะ วิปริต
เป็นมรรคาชั่วดี เป็นชีวิต
เป็นนานาสารทิศ ให้แสวง
จึงต่างเรา ต่างท่านต่างผ่านล่วง
สิ่งทั้งปวงต่างสำคัญ ต่างขันแข่ง
สุดแต่ใจกรำเชื่ยว สุดเรี่ยวแรง
สืบแสดงมิรู้สิ้น ถวิลนั้น
…………………………..
โดยคำ ลานเทวา
31 พฤษภาคม 2553 14:42 น.
ลานเทวา
เธอผู้พลัดหลง ในความมืดบอดแห่งนาคร
ปรารถนาที่นำพาไร้ทางทิศ สร้างภาพฝันเธอดื่มด่ำความเปล่ากลวงของอารยะจารีต
กระสันต์อันทาบทอ มิอาจต่อเติมรูปธรรม
วิเวกแห่งบรรณาลัย ในคืนเพ็ญเด่นดวง
ปราศจากอ้อมกอดอันอบอุ่น ของชายผู้เป็นที่รัก
ค่ำคืนที่ยาวนาน
รอยก้าวเธอผ่านล่วงแล้วซึ่งความเปลี่ยวเปล่าของหลืบเมือง
แม้บางซีกฟ้าจักเจิดแจ้งด้วยแสงไฟประดับราตรีกาล
บทเพลงจากมุมมืดของสถานเริงรมย์ บอกเล่าเรื่องราวนางฟ้า และ ดวงดาว
ดอกราตรีเบ่งบานท่ามกลิ่นเหล้าและควันบุหรี่
ชายหนุ่มผู้หลับไหลอยู่กับพิษสุรา ฝันหวานถึงปรารถนาอันซ่อนเร้น
เขาพร้อมจะตื่นขึ้นมาหยิบยื่นเศษเงินอันน้อยนิดเพื่อแลกกับการสมสู่
เข็มนาฬิกายังท่องวนไปเรื่อยเรื่อย คล้ายรอการมาบรรจบพบเจอ
เธอผู้พลัดหลง ในความมืดบอดแห่งนาคร
กับปรารถนาที่นำพาไร้ทางทิศ สร้างภาพฝันเธอดื่มด่ำความเปล่ากลวงของอารยะจารีต
กระสันต์อันทาบทอ จักต่อเติมเป็นรูปธรรม
ดับความวิเวกแห่งบรรณาลัย ในคืนเพ็ญเด่นดวง
ด้วยอ้อมกอดของชายแปลกหน้า
ค่ำคืนที่ยาวนาน จะผ่านไปอีกคืน
…………………………………
โดยคำ ลานเทวา
25 พฤษภาคม 2553 12:57 น.
ลานเทวา
เสียงสิทธิมนุษยชน ดังแผ่วอยู่บนฟากฟ้าที่หม่นมัว
ม่านควันดำทมึน พวยฟุ่งทะยานขึ้นตอบรับสดับรู้
เบื้องล่างมีความตายนิรนามรอการพิสูจน์แจ้งสิทธิแห่งลมหายใจ
อีกฟากเมือง เสียงสิทธิเสรีที่ถูกก้าวล่วงกระซิบกระซาบในความหวาดผวา
ท่ามกลาง ความขัดแย้งที่ไม่รู้จักสิ้นจบ
ใช่ มันกลืนกินไปทั่วทุกดินแดน ในแผ่นดิน
จากย่านอุตสาหกรรม ไปยันถิ่นแคว้นแดนเกษตรกรรม
ข้า ผู้มืดบอด จากยะถาอันเปล่าเปลืองแห่งยุคสมัย
คลำคว้าหาความว่างเปล่า ในพันธะแห่งรัฐ
เพียงเพื่อได้ประทังความฝันอันแร้นแค้นของชีวิต
ข้า ไม่รู้หรอก สหายเอย เสียงที่เขาเพรียกว่าสิทธิ นั้น
ดังมาจากส่วนใด ในจักรวาลอันไกลโพ้น
ข้ารู้เพียง ชีวิตข้าเริ่มไม่ปลอดภัย
พ่อ แม่ พี่น้อง ลูกหลานข้าเริ่มไม่ปลอดภัย
บ้าน เมือง ถิ่นฐานของข้า เริ่มไม่ปลอดภัย
จากสิทธิ ที่พวกเจ้าเพรียกร้อง
……………………
21:49:16 น.
22 พฤษภาคม 2553
23 พฤษภาคม 2553 18:31 น.
ลานเทวา
รอนรอน ตะวันลับ
ฟังเสียงกู่ไม่กลับ ก็ห่วงหา
เหงายามนี้ไร้อุ่น ใดกรุ่นพา
จะสบซึ้งแววตา ก็สิ้นไร้
ว้าเหว่อีกแล้วหนอ เจ้ายาจก
ฟังเสียงลมสะทก ก็หวั่นไหว
รอแต่ข่าวหนาวนี้ จะมีใคร
พอซุกไออบอุ่น ละมุนรัก
เดียวดาย อีกแล้วเจ้า
เปลี่ยวโลกเศร้าอดสู ใครรู้จัก
ฟังแต่เสียงปลอบใจ ละไมนัก
ว่าเหงาแค่ทายทัก แล้วผ่านเลย
เหงาเอยเหงาสารพัด ดัดจริต
เหงาไปทุกห้วงคิด มิอาจเอ่ย
ยินแต่เสียงใจพร่ำ ลมรำเพย
ไร้อุ่นเชยชิดชื่น ข้ามคืนเหงา
………………………
โดยคำ ลานเทวา
6 พฤษภาคม 2553 16:37 น.
ลานเทวา
ค่อยค่อยคืบกระเถิบ คลาน
หัวเราะยิ้มเบิกบาน เสียงอ้อแอ้
ประเดี๋ยวก้มประเดี๋ยวเงย เชยตาแล
ประเดี๋ยวงอนงอแง น้ำตาไหล
ดูน้ำลายหยดพา น้ำตาเปื้อน
คลานหัวโขกฝาเรือน ก็ร้องไห้
เอาของเล่นเคยชอบ มาปลอบใจ
ค่อยค่อยเพลาเงียบไป เสียงสะอื้น
คาบขบทึ้งนมคา เกือบค่อนขวด
ก็ทิ้งพรวดกลิ้งร่าง ไปทางอื่น
ทำโก่งตัวหน้าเจือนเจือน เหมือนจะยืน
ก่อนละเลงเยี่ยวกับพื้น ที่เจิ่งนอง
ลูกใครหว่า ไอ้เสือ
เล่นซุกซนไม่เบื่อ ยิ้มแก้มป่อง
ดูใสแป๋วแววตา หน้าพองพอง
กำเล่นขี้อีกกอง ลูกของใคร ?
……………………………
โดยคำ ลานเทวา