เจริโค ซัลไฟร์ มนุษย์กินอากาศ ผู้ฝึกสอนฟิตเนส ส่วนตัว (Jericho Sunfire The Breatharian) เจริโค ซัลไฟร์ อดีตเป็นนักรักบี้อาชีพ ผู้เล่นให้ชมรมฟุตบอลโอนแฮม รักบี้ ลีค และลอนดอน ครูเสเดอร์ ในเกรท บริเทน หลังจากหลายปีของการเป็นฟรุทาเรียน(กินเฉพาะผลไม้) ลิควิดาเรียน(กินเฉพาะของเหลว) และวอเตอเรียน(กินเฉพาะน้ำ) เขาถูกดึงดูดใจเข้าสู่วิถีบรีทาเรียน(กินอากาศ) เขาอธิบายว่า การปลอดจากอาหารช่วยเราในการพัฒนาและค้นหาตัวตนภายในของเรา ถ : คุณสามารถบอกเราได้ไหม ทำไมการเป็นบรีทาเรียนจึงสำคัญกับคุณมาก? ต : ความจริงที่ฉันเป็นบรีทาเรียนง่ายๆ คือ มันทั้งหมดเกี่ยวกับการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ของคุณและสัญชาติญาณของคุณเอง ถ : ดังนั้นคุณบอกเราสักเล็กน้อยเกี่ยวกับศักยภาพของมนุษย์? ต : เอาล่ะ ฉันเชื่อว่าศักยภาพของมนุษย์ คือพื้นฐานของสิ่งที่คุณทำจากมัน เรามีความสามารถในหลายสิ่งอันเป็นอนันต์อยู่แล้วที่เราไม่ได้แม้แต่เคยรู้เกี่ยวกับมัน วิทยาศาสตร์ไม่ได้แม้แต่สัมผัสถึง พวกเขาไม่สามารถอธิบาย ดังนั้นสำหรับฉัน ศักยภาพของมนุษย์โดยพื้นฐานเพื่อวางในเทอมของเลย์แมน มันทำได้ทุกสิ่ง จากหนทางที่สามารถเป็นไปได้ทั้งในการบ่อนทำลายและการพัฒนาตัวคุณ ถ : อะไรคือศักยภาพของมนุษย์ที่มากที่สุดในหลักการของคุณ? ต : ในหลักการของฉันมันคือสิ่งที่คุณทำมัน มันคือสิ่งที่คุณต้องการมันอย่างแท้จริง และมากแค่ไหนที่คุณต้องการ มันและสิ่งที่คุณตั้งใจที่จะทำจริงๆ เพื่อสิ่งที่ดีที่สุดที่คุณสามารถทำ ที่จริง แม้แต่เกินกว่าผู้ที่คุณคิดว่าคุณสามารถเป็น ถ : ดังนั้นสิ่งที่เราจำเป็นต้องทำเพื่อได้รับศักยภาพของมนุษย์สูงสุดของเราคืออะไร? ต : คุณจะต้องตั้งใจ ในความคิดของฉัน เพื่อที่จะดำรงชีวิต เดินและเดิน คุณต้องตั้งใจที่จะใส่ไปในงาน คุณต้องตั้งใจที่จะเสียสละ คุณต้องตั้งใจที่จะให้ผ่านไปอย่างมาก มันคือชีวิตสำหรับฉันและการพัฒนาส่วนตัวชนิดเหมือนกับขั้นตอนของการเริ่มต้นและถ้าคุณไม่ได้ผ่านการเริ่มต้นเหล่านี้แล้ว คุณจะไม่ได้ผ่านส่วนเฉพาะของชีวิต ถ : ดังนั้นคุณจะบอกเราเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นอุปสรรค์เพื่อเอาชนะได้ไหม เพื่อเข้าถึงศักยภาพของมนุษย์อันสูงสุดของเรา? ต : จิตใจ นั่นคือสิ่งหลัก ที่จริงแล้วสำหรับฉันมันคือสิ่งหนึ่งที่ใหญ่ยิ่ง ถ้าคุณไม่สามารถพัฒนาตัวคุณเองหรือพัฒนาศิลปะการปล่อยวาง แล้วคุณจะไปได้ไม่ไกลนัก ถ : ดังนั้นเมื่อคุณพูดถึงการปล่อยวาง คุณกำลังพูดถึงเกี่ยวกับนิสัยการยึดติดหรือ? ต : ใช่ นิสัยการบ่อนทำลายความสัมพันธ์ในอดีต มิตรภาพ โดยทั่วไปสิ่งต่างๆ ที่ดึงคุณกลับมาและคุณสามารถเปิดใจ คุณต้องทำตัวคุณเองให้รับสิ่งภายนอกและเปิดรับการเปลี่ยนแปลง ถ : เพื่อช่วยเขาในการพัฒนาของเขาเอง เขาเลือกที่จะใช้ชื่อ “เจริโค ซัลไฟร์” ต : เจริโค ซัลไฟร์ นั้นเป็นสิ่งซึ่งไม่สามารถทำลายได้ พลังอันไม่สามารถหยุดยั้งของธรรมชาตินั้นฉันรู้สึกว่าจำเป็นที่จะพัฒนาเพราะว่ามันเป็นระดับขั้นใหม่ของชีวิตฉัน ถ : บางทีความรู้สึกของเขาต่อตัวเองและความแข็งแกร่งภายในคือผลจากการฝึกอบรม เขาได้ถูกเลี้ยงดูโดยลำพังจากแม่ของเขา ดังนั้นเขาได้เรียนรู้ที่จะป้องกันตัวเองตั้งแต่เด็กและพัฒนาความรักต่อสัตว์ ต : ชีวิตของฉันในวัยเด็ก ฉันอยากจะบอกว่าลำบากมากเมื่อเปรียบเทียบกับหลายๆ คน แม่ของฉันเป็นอินเดียนตะวันตกและพ่อของฉันเป็นอเมริกาใต้ ดังนั้นมีระเบียบข้อบังคับมากหรือระเบียบวินัยค่อข้างหยาบกระด้างและขวานฝ่าซากตลอดเวลา กลับไปในยุค ๗๐ แม่ของฉันเป็นพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวและเธอยังวัยรุ่น และบางทีเธอไม่ได้ทำทางเลือกที่ถูกต้อง แต่เธอทำทางเลือกที่เธอทำและฉันในตอนเด็ก แม้ว่าเธอได้จัดหาให้ฉันในทุกๆสิ่งที่ฉันต้องการ ฉันอย่างน้อยได้รับในสิ่งที่ฉันต้องการ บางที เอาล่ะในความรักและพื้นที่สนใจ ดังนั้น ฉันต้องเป็นแบบปกป้องตัวเอง ฉันโดดเดี่ยวอย่างมากในวัยเด็กและฉันเก็บตัวเองจากตัวฉันเอง ฉันอ่อนไหวมาก อ่อนไหวสุดขั้ว ฉันรักทุกสิ่งถึงกระดูก
ถ : เขาเป็นนักเรียนที่ดีในโรงเรียนและเป็นที่จดจำในฐานะนักกีฬาที่มีชื่อเสียง ดังนั้นบอกเราเกี่ยวกับในโรงเรียนสิ่งต่างๆ เป็นอย่างไรสำหรับคุณ? ต : มหัศจรรย์มาก ! ฉันเป็นคนยุ่งมากที่โรงเรียน ฉันเป็นอย่างพวกเด็กเรียนคนหนึ่งในชั้นเรียน สิ่งหนึ่งที่แม่ของฉันมำเสมอคือเธอหาหนังสือที่ฉันต้องการมาให้เสมอและฉันสามารถบอกคุณ ฉันมีหนังสือจำนวนมาก หนังสือเกี่ยวกับนก,ดาว, ปลา ทั้งหมด มีสิ่งใดต้องทำบ้างกับธรรมชาติ ฉันมีหนังสือเกี่ยวกับมัน และฉันจะอ่านมันจริงๆ และฉันรู้เล็กน้อย ดังนั้น สำหรับฉันโรงเรียนเป็นเวลาที่เพลิดเพลินมากทางด้านวิชาการ ถ : ดังนั้นจากที่คุณมีอายุมากขึ้นเล็กน้อย คุณเป็นวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ โปรดบอกเราเกี่ยวกับความเกี่ยวข้องของคุณกับกีฬา ต : กีฬาเป็นใหญ่ เนื่องจากตั้งแต่ฉันเรียนอยู่โรงเรียนอนุบาล ฉันสามารถวิ่งได้เสมอ ฉันชนะเสมอในการแข่งขันวิ่งเร็วในการแข่งขันกีฬาของโรงเรียน สำหรับโรงเรียนประถม ฉันฉายแววและในโรงเรียนประถมคือที่ๆ ฉันเข้าใจจริงๆ การวิ่งเร็วเป็นความสามารถพิเศษของฉัน ฉันจะชนะได้เหรียญมากมายในวันกีฬา ฉันได้ของที่ระลึกอื่นๆ ได้รับความสนใจมากมาย รางวัล มันสนุกมาก แค่วิ่งกับเพื่อนของคุณและแรงสั่นสะเทือนทั้งหมดของการวิ่งเร็ว เร็วที่สุดที่คุณสามารถ ที่ซึ่งลมทั้งหมดผ่านผมของคุณ ความว่องไวของเท้าของคุณ คุณรู้ไหมมันเหมือนอยู่ในอีกโลกหนึ่งสำหรับฉัน ถ : ความว่องไวของเท้าของเขาทำให้เขาได้รับตำแหน่งในทีมรักบี้อาชีพที่อายุน้อยกว่าปกติ ต : และประมาณช่วงนั้นฉันมาถึงระดับชั้นมัธยม ฉันได้รับการแนะนำเข้าสู่รักบี้ลีคโดยชายคนหนึ่งเรียกว่า นิก สมิธ ผู้เป็นครูสอนพละและในเวลาเดียวกันเขาก็เป็นโค้ชของทีมรักบี้โรงเรียน และเขาสังเกตุเห็นความเร็วของฉัน อะไรที่เกี่ยวกับกิริยาท่าทางของฉัน และเขาให้ฉันทดลองสำหรับทีมของเขา และฉันพูดอย่างซื่อสัตย์หลังจากนั้นที่เหลือ อย่างที่พวกคุณพูดในประวัติศาสตร์ เพราะว่าเขาทำทีมเป็นครั้งแรกและฉันมีอายุราว ๑๓ ,๑๔ ปี ซึ่งยังเด็ก ทีมเริ่มแรกเป็นสิ่งที่เหมือนว่าผู้ใหญ่และฉันอยู่ในทีมต้องใส่ใจ และสิ่งที่เกิดขึ้นโดยพื้นฐานคือฉันได้ยินเกี่ยวกับลูกเสือยอร์กไชร์สำหรับมือสมัครเล่น ยอร์คไชร์ สควอด รุ่นอายุไม่เกิน ๑๗ ปี ยอร์คไชร์ สควอดค้นพบเกี่ยวกับฉันและลงมาดู พวกเขาชอบสิ่งที่พวกเขาเห็น และพวกเขาเสนอให้ฉันทดลองที่นั่น และฉันไปลอง ฉันไม่ได้ในครั้งแรก ฉันเล่นไม่ผ่าน แต่เพราะว่ายังเด็กมาก ฉันเพิ่งอายุ ๑๔ ปี ดังนั้นพวกเขาบอกว่าให้กลับมาปีหน้าและต้องรอ ดังนั้นปีต่อมาฉันจึงได้เข้ามาและผ่านไปถึงยอร์ค ไชร์ รุ่นอายุไม่เกิน ๑๙ ปีและสอบผ่าน เป็นตัวแทนเมืองและจากนั้นเป็นตัวแทนเกรท บริเทนในฐานะมือสมัครเล่นภายใต้รุ่นอายุไม่เกิน ๑๙ ปี เล่นสองแมทช์ ที่นั่นและขึ้นโปรที่ ๑๙ ปี และฉันขึ้นโปรกับโอลด์แฮม รักบี้ ลีค ฟุตบอลคลับ ชมรมแรกของฉันและฉันสามารถพูดอย่างซื่อสัตย์ มันเป็นเวลาที่ดีที่สุดของชีวิตฉัน ถึงแม้ว่าชีวิตของฉันยังไม่จบ ถ : ประสบการณ์ของเขาในรักบี้ ลีคช่วยปรับแต่งรูปร่างบุคลิคของเขาและให้ทักษะชีวิตที่จำเป็นแก่เขา ต : มันเป็นความสำพันธ์ที่ดีในสิ่งที่ฉันประสบความสำเร็จ น้ำใจในทีมรักบี้ ลีคเป็นรูปแบบพ่อของฉัน รักบี้ ลีค สอนฉันว่าควรจะเป็นมนุษย์อย่างไร มันสอนฉันว่าฉันมีหัวใจหรือไม่ มันสอนฉันว่าจะเคารพผู้อื่นอย่างไร มันสอนฉันเรื่องคุณค่าของชีวิตและทักษะชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่ฉันยังคงใช้อยู่ตอนนี้ ถ : ส่วนตัว เจริโค ซัลไฟร์ เป็นอดีตผู้เล่นรักบี้ มืออาชีพ ผู้ซึ่งเล่นให้กับสโมสรโอลด์แฮม ลีค ฟุตบอล และลอนดอนครูเซเดอร์ส ในเกรท บริเทน ในปีที่ ๖ ของการเล่นรักบี้อาชีพ เจริโค ได้ตัดสินใจสับเปลี่ยนงานอาชีพทำสิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุด ทำงานเป็นครูฝึกสมรรถภาพทางกายส่วนตัวมืออาชีพ หลังจากหลายปีของการเป็นฟรุทาเรียน ลิควิดาเรียน และวอเตอเรียน เขาถูกดึงดูดเข้าหาวิถีแบบบรีทาเรียน เจริโคร่วมแบ่งปันกับนักข่าวของโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ ถึงวิธีที่ทำให้เขาเปลี่ยนจากผู้กินอาหารปกติไปเป็นผู้กินเพียงผลไม้และของเหลว ถ : ดังนั้นโดยแรกเริ่มคุณเริ่มทำการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันเมื่อไรจากอาหารตะวันตกปกติ? ต : ฉันคิดว่าในปี ค.ศ.๑๙๙๔ ฉันรู้คร่าวๆ จริงๆเกี่ยวกับวันเดือนปีตอนนี้เพราะมันนานมากมาแล้ว แต่ฉันคิดว่าราวๆ ค.ศ.๑๙๙๔ มันอยู่ประมาณ อาจจะหนึ่งปีหรือสองปีภายหลังจากฉันเลิกการเล่นรักบี้ ฉันได้เริ่มการศึกษา ฉันต้องการทำงานออกแบบเกี่ยวกับภาพและวันหนึ่งฉันตื่นขึ้นมาภายหลังจากความรู้สึกที่ไม่ดีจริงๆ ไม่ดีอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี ฉันอยากจะบอกว่าเมื่อฉันมองย้อนกลับไปเกี่ยวกับมัน ฉันสามารถพูดได้เท่านั้นว่า ฉันรู้สึกผิดหวังเสมอ แต่ทว่าวันหนึ่งฉันตื่นขึ้นมาและมันรู้สึกไม่เข้าท่า มันใช้ไม่ได้ รู้สึกแย่มาก ฉันได้กลายเป็นคนที่มีความรู้สึกไวต่อความจริงซึ่งทำให้ฉันรู้สึกแย่มาก ฉันสามารถได้ยินเสียงฟืดฟาดของฉันเองเมื่อฉันหายใจ ฉันรู้สึกว่าอกของฉันกลายเป็นภาระที่หนักมากเพราะขยะทั้งหลายเพิ่งจะทับถมและพอกพูนและมันคล้ายกำลังขัดขวางปอดของฉันเป็นต้น ความคิดของฉันเอื่อยเฉื่อย ฉันซึมเศร้าอยู่ตลอดเวลา มันเพียงแค่รู้สึกแย่ แล้ววันหนึ่งหลังจากนั้น ฉันเห็นได้ชัดถ้าฉันกินอาหารที่ผ่านการปรุงมากกว่าหนึ่งคำหรือเต็มปาก ฉันจะอ้วก และในเวลาเดียวกันฉันมีแรงผลักดันตามสัญชาตญาณไปสู่ผลไม้และฉันจำสิ่งนี้ได้จนถึงวันนี้ มันคือมะม่วง มะม่วง ๒ ผล แตง และองุ่นหนึ่งพวง องุ่นสีเขียวและผลมะเดื่อไม่อบแห้งคือสิ่งที่ฉันออกไปและเอากลับมาจากร้านค้า มันเป็นห้างร้านอินเดียแดงตะวันตกที่ใหญ่ หนึ่งในจำนวนร้านค้าเหล่านั้นที่คุณสามารถได้ผลไม้จากรอบโลกและแค่ใช้มันในการดำรงชีวิตและนั่นคือสิ่งที่ฉันได้ทำกลับบ้านและฉันแค่แกะของเหล่านี้และมันช่างเหมือนลมหายใจของอากาศที่สดชื่นเช่นนั้นจริงๆ และเพลิดเพลินกับมันมากๆ เพราะฉันสามารถหายใจได้จริงๆ หลังจากนั้น ฉันรู้สึกหิวจริงๆ หลังจากนั้นฉันสามารถติดตามความจริง ดังนั้นเหมือนอย่างฉันได้พูดฉันสนุกสนานกับมันมาก ฉันได้ทำสิ่งเดียวกันนี้ ในวันถัดไป สิ่งเดิม ผลลัพธ์เดิมๆ ฉันชอบมันสำหรับฉันมันเหมือนการค้นหาอาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซู มันเหมือนการค้นหาปริศนาที่ขาดหายไปที่ฉันกำลังตามหามาแล้วเป็นเวลานาน การค้นหากุญแจที่เปิดประตูซึ่งไม่ได้ใส่กลอนที่ประตู และมันหายไป
ถ : นับจากนั้นมา เจริโค หยุดการกินเนื้อและอาหารผ่านการปรุงและแค่มีชีวิตอยู่โดยผลไม้และคุณแค่ทิ้งมันทั้งหมดในวันหนึ่งและกลายมาเป็นคนกินอาหารสด คนกินแต่ผลไม้เป็นอาหาร? ต : ฉันกลายเป็นคนกินผลไม้และตัวตนของฉันเองจะบอกคุณ ใช่ ฉันทำการเปลี่ยนแปลงทันที ฉันไม่สนใจในสิ่งที่ไม่มีความหมายอันอื่น เป็นวิถีที่กินผลไม้ที่เคร่งครัดและมันเป็นผลไม้อย่างแน่นอน ไม่มีถั่ว ไม่มีเมล็ด ไม่มีน้ำ และไม่มีพืชสีเขียว เพียงแค่ผลไม้ ฉันเพียงแค่จินตนาการว่า “เฮ้ ถ้ามีมังสวิรัติสิ่งนี้จะทำให้ฉันเป็นคนที่กินผลไม้เป็นอาหาร ถ้าฉันกินแต่ผลไม้” และฉันเชื่ออย่างจริงใจว่าฉันสามารถกินผลไม้สำหรับเวลาที่เหลือของชีวิตของฉัน ฉันไม่มีความกลัว ไม่มีความคิดกลัว ไม่มีข้อสงสัย ไม่มีความคิดว่ากำลังทำให้ตัวเองเจ็บป่วย คลื่นไส้อาเจียนหรือสิ่งอื่นที่คล้ายอย่างนั้น ดังนั้นโดยพื้นฐานนั่นคือวิธีที่ฉันเริ่มต้น ขณะนี้ฉันได้ทำสิ่งนั้นมาเป็นเวลา ๑๐ ปี อย่างคร่าวๆ ๑๐ หรือ ๘-๑๐ ปี ถ : เพราะว่าเขาไม่สามารถค้นหาข้อมูลใดๆ บนอินเตอร์เนตหรือกลุ่มสนับสนุนสำหรับคนกินอาหารสดหรือคนกินผลไม้เป็นอาหารขณะเวลานั้น เจริโคเรียนรู้ด้วยตัวของเขาเองเพื่ออยู่อย่างไรให้เหมาะเจาะกับสมองและร่างกายด้วยอาหารจากผลไม้ ต : โดยพื้นฐานฉันต้องเรียนรู้การก้าวย่างด้วยตัวของฉันเอง ฉันเรียนรู้เกี่ยวกับการทำความสะอาด ฉันเรียนรู้เกี่ยวกับการขับสารพิษ ฉันเรียนรู้เกี่ยวกับการชะล้างทางอารมณ์และพวกเขาสามารถทำอย่างจริงจังได้อย่างไร และโดยแท้จริงฉันได้กล้องถ่ายภาพดิจิตอล และทันทีที่ฉันได้สิ่งนั้น นั่นคือเวลาที่ทุกสิ่งได้เปลี่ยนแปลง เพราะฉันเริ่มต้นบันทึกภาพ ฉันเริ่มบันทึกภาพน้ำหนักของฉัน ขนาดของฉัน ฉันเริ่มทำวีดีโอเกี่ยวกับการออกกำลังกายที่ฉันได้ทำและสิ่งที่คล้ายนั้นและนั่นคือพื้นฐานในเวลาที่สิ่งต่างๆ ได้เปลี่ยนแปลงไปจริงๆ คุณถามผู้รู้ในเรื่องเกี่ยวกับขบวนการตามธรรมชาติและพวกเขาจะบอกคุณเมื่อคุณกำลังจะทำการขจัดสารพิษของคุณ คุณแค่เพียงอยู่เฉยๆ คุณยังอยู่ในเตียง คุณไม่ออกกำลังกาย คุณแล่นผ่านมันไปนั่นกำลังทำให้ฉันรู้สึกแย่ลง ดังนั้นฉันได้ตัดสินใจในวันหนึ่งว่าสมควรออกไปเพื่อมันและนำรูปร่างของฉันเองกลับคืนมา หยุดการเล่นเป็นผู้เคราะห์ร้าย หยุดการอยู่ในสภาวะแสนซึมเศร้าและสมควรนำสิ่งที่เกิดขึ้นมาทำงานอีกครั้งนั่นคือสิ่งที่ฉันได้ทำเหมือนอย่างฉันพูด ฉันได้กล้องถ่ายภาพดิจิตอล ฉันได้เริ่มเอาออกไปและสอนตัวฉันเองให้มีการออกกำลังกายอย่างก้าวหน้าที่ฉันรู้ว่าฉันมีในตัวฉันที่ฉันสามารถทำได้และฉันเริ่มบันทึกมันไว้อีกครั้งอย่างที่ฉันพูด นั่นคือเวลาเมื่อเหตุการณ์เริ่มต้นเปลี่ยนแปลงเพื่อเป็นผู้กินผลไม้เป็นอาหาร ถ : เจริโค ซัลไฟร์ ผู้มีชีวิตอยู่ด้วยปราณเป็นครูสอนสมรรถภาพทางกายส่วนตัวจากคนที่กินผลไม้เป็นอาหาร เจริโคเปลี่ยนกลายมาเป็นผู้กินของเหลวเป็นอาหารอยู่รอดด้วยน้ำผลไม้ อย่างค่อยเป็นค่อยไป เขาดำรงตัวของเขาเองด้วยน้ำและในที่สุดเพียงแค่จิบๆ น้ำเป็นครั้งเป็นคราว ต : แล้วฉันกระโดดข้ามไปยังวิถีที่ยังชีพด้วยของเหลวโดยไม่ได้คาดไว้ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้าใจลำบาก เพราะสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในที่สุดกินเวลาหลายปี ฉันคิดว่าในช่วงเวลา ๓ ปี เมื่อฉันมองย้อนกลับไปที่มัน ฉันสังเกตปริมาณของน้ำผลไม้และผลไม้ของฉันที่ฉันกำลังกินกำลังเปลี่ยนไป ปริมาณของน้ำผลไม้ที่ฉันกำลังกินกำลังลดลงและผลไม้ที่ฉันกำลังกินกำลังเปลี่ยนไปสู่จุดที่มันลดต่ำลง ฉันกำลังกินแค่ส้ม ในฤดูใบไม้ผลิและร้อน และผลองุ่นในฤดูใบไม้ร่วง และมันเป็นแตงโมในฤดูร้อน แล้วมันก็ถึงจุดที่มันเป็นเพียงแค่ส้มในฤดูใบไม้ร่วง หนาว ใบไม้ผลิ และแตงโมในฤดูร้อน และแล้วมันแค่เปลี่ยนไปเป็นส้มตลอดทั้งปี อาจจะหนึ่งปีและแล้วปีที่แล้วเป็นน้ำ ไม่มีผลไม้เลย เพียงแค่น้ำไม่มีผลไม้เลยแค่น้ำและอย่างไรก็ดี นั่นเป็นสิ่งที่ดูเหมือนช่วงเวลาสั้นๆ และมันถึงจุดที่ ฉันเอาจริงเอาจัง อาจกินแค่จิบๆ ทุกหนแห่ง ระหว่างวัน และอย่างไรก็ดี มันราวกับว่าฉันเป็นมูลเหตุสำหรับคนเหล่านั้นให้เกิดความกังวลใจ
ถ : มันเป็นธรรมชาติสำหรับเจริโคในระยะนี้เพื่อทดลองกับการเป็นผู้มีชีวิตด้วยลมปราณพึ่งพาพลังงานจักรวาลสำหรับการยังชีพ ดังนั้นแล้วคุณทำการขยับจากคนกินน้ำมาเป็นคนกินลมปราณหรือ? ต : ใช่ และอีกครั้งฉันทำวิถียังชีพด้วยลมปราณแบบเล่นๆ ไม่จริงจัง ขณะที่ฉันเป็นคนกินของเหลวและในเวลานี้ความจริงฉันทำเล่นๆ มากกว่า ใน ๖ เดือนที่ผ่านมาของการกินน้ำกับการกินลมปราณ และตามความเป็นจริง รู้สึกว่าดี ความจริงฉันกำลังพอใจกับมันและฉันกำลังเริ่มคิดจริงๆ “ดี ทนอีกหนึ่งนาที อาจมีบางสิ่งต่อสิ่งนี้” ฉันกำลังทำสิ่งนี้ในขณะร้อน เอาจริง การขับความร้อนชนิดเอาจริง การขับความร้อนที่ทำให้คุณคิดว่าคุณสามารถดื่มน้ำทั้งมหาสมุทรได้ ที่ทำให้คุณคิดว่าคุณจำเป็นต้องดื่มมหาสมุทรเพื่อรักษาความเย็น ดังนั้นพวกความวิตกกังวลและการปรับสภาพเหล่านั้นของที่นั่น ที่เราต้องจัดการด้วย เพราะเมื่อคุณมองมันอย่างสังเกต คุณไปที่ห้องเรียนสมรรถภาพทางกาย คุณเห็นอะไร คนออกกำลังกายและพวกเขามีขวดที่ภายในมีน้ำแข็งของพวกเขา ขวดเหล่านี้ใหญ่ขนาดจุ ๑.๕ ลิตรและพร้อมกับการควบแน่นอย่างดี และการปรับสภาพทั้งหมดของเราคือ ขณะออกกำลังกายหรือหลังการออกกำลังกาย เราจำเป็นต้องดื่มและขณะที่เป็นนักรักบี้ก่อนหน้านี้ นั่นเป็นการบังคับเราให้เชื่ออย่างแข็งขันอีกด้วย ดังนั้นฉันต้องจัดการกับปัจจัยอย่างนั้น มันไม่ง่าย ถ : แต่คุณได้ทำการปฏิวัติ? ต : ใช่ ถ : นี่ยังไม่ใช่แค่ก้าวแรก มันคือวิวัฒนาการ ต : มันเป็นๆ และฉันจะบอกคุณตอนนี้ มันคือสิ่งที่สวยงามอันหนึ่ง แต่เหมือนที่ฉันพูด ฉันต่อสู้กับมัน ฉันต่อสู้กับมันทุกวิถีทาง และในขณะนี้ สำหรับปีที่ผ่านมาฉันได้เป็นบรีทาเรียนที่ค่อนข้างไม่ยอมแพ้ใครง่ายๆ ยกเว้นจำนวนครั้งการทำความสะอาดมีหลายครั้ง เมื่อฉันเชื่อว่าฉันจำเป็นต้องทำความสะอาดเพื่อรักษาความสะอาด ดังนั้นฉันจึงทำ ถ : ดังนั้นไม่มีใครสามารถจริงๆนอกจากเขาผ่านตลอดของขบวนการวิวัฒนาการและการขจัดสารพิษออกและการทำความสะอาด เขาไม่สามารถไปโดยไม่มีน้ำใช่ไหม? ต : สำหรับฉันนั่นเป็นความหายนะของฉัน นั่นเป็นสถานที่ที่ฉันอยู่ในสภาพสกปรกเสมอ การลองก้าวไปโดยไม่มีน้ำ ขณะที่หลายปีผ่านไปมันทำได้ง่ายขึ้น แต่เหมือนอย่างที่ฉันพูดฉันเรียนสิ่งที่ยาก สภาพอากาศรุนแรง ดังนั้นฉันต้องเรียนรู้การปรับสภาพที่เรามีการก้าวไปสู่การไม่มีน้ำเพราะโดยพื้นฐานการก้าวไปโดยไม่มีอาหารหรือผลไม้ยากพอสำหรับมโนทัศน์ของใครๆ ฉันหมายถึงจินตนาการ ถ้าใครไม่บอกคุณเรื่องนั้นในวันนี้จากชั่วขณะนี้ไป คุณจะไม่มีทางกินอาหารอื่นอีก ถ้อยแถลงนั้นโดยปกติมักผลักดันความกลัวไปสู่ใครๆ ดังนั้นการไปโดยปราศจากน้ำสำหรับฉันหรือการคิดถึงมันเหมือนจุดสูงสุดในการปล่อยให้ผ่านไปและฉันได้ต่อสู่กับสิ่งนั้นด้วยกำลังกายทั้งหมดของฉัน ถ : ส่วนตัว เจริโคซัลไฟร์ เป็นอดีตผู้เล่นรักบี้มืออาชีพ ผู้ซึ่งเล่นให้กับสโมสรรักบี้ โอลด์แฮม ลีกฟุตบอลและลอนดอน ครูเซเดอร์ส ในเกรท บริเทน ในปีที่ ๖ ของการเล่นรักบี้อาชีพ เจริโคได้ตัดสินใจสับเปลี่ยนงานอาชีพ ทำสิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุด ทำงานเป็นครูฝึกสมรรถภาพทางกายส่วนตัวมืออาชีพ หลังจากหลายปีของการเป็นฟรุทาเรียน ลิควิดาเรียน และวอเตอเรียน เขาถูกดึงดูดเข้าหา วิถีบริทาเรียน คุณเจริโค รู้สึกโดยสัญชาตญาณว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อเห็นแก่ดาวโลกและสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ตอนไหนที่คุณเริ่มคิดถึงการเป็นผู้ที่กินอากาศ? ต : ผมไม่เคยคิด ผมต่อต้านมันมาก เหมือนมันมีสองอย่างพร้อมกัน สัญชาตญาณของผมตั้งไว้สองสภาวะ ตั้งวงล้อของการหมุน แต่ว่าโดยความคิดผมไม่มีมันอยู่เลย ความกลัวที่จะเลิกมัน แรกเริ่มผมก็รู้สึกอยู่ภายในลึกๆ แล้วว่ามีเรื่องใหญ่บางอย่างที่ต้องทิ้งไปและมันก็ไม่อยากจะทิ้ง ดังนั้น ผมไม่ได้ตั้งใจอะไร ในภาวะใดๆ ว่าจะเป็นผู้กินอากาศ ถ : ดังนั้นเกิดอะไรขึ้นในชีวิตของคุณที่ทำให้คุณกลายเป็นผู้ที่กินอากาศ?
ต : ผมไม่อาจพูดได้ว่าเป็นการปฏิรูปก็อย่างที่คุณพูดมา ไกด์ของผม ไกด์มนุษย์ต่างดาวของผมและการเปลี่ยนแปลงที่จะมาถึงในโลก ในสิ่งแวดล้อมในโลก มันมีบางอย่างเกิดขึ้นและเราจำเป็นต้องเปลี่ยนมันเวลานี้ ผมต้องทำภารกิจของผมเวลานี้ ภารกิจของผมจำเป็นต้องทำให้ได้เวลานี้ ผู้คนที่เหมือนผมที่สะท้อนสิ่งที่ผมทำอยู่จะรู้โดยสัญชาตญาณถึงบางสิ่งที่ลึกๆ แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ผมอยู่ตรงนี้ก็เพื่อเหตุนั้นที่พร้อมแล้วที่เห็นเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ดังนั้นเราสามารถกลับบ้าน และผ่านพ้นการเปลี่ยนแปลงนี้ ถ : คุณมีตัวอย่างที่เป็นผู้กินอากาศหรือไม่ หรือว่าพี่เลี้ยง? ต : มันเป็นสัญชาตญาณทั้งหมด ทำตามความกล้าของผม ความหัวแข็งของผมเอง และการแนะนำจากไกด์ของผม ไม่มีเงาของความสงสัยและผมไม่แคร์ที่จะพูดอย่างนั้น ถ : มันเป็นอย่างไรในการเป็นผู้กินอากาศ? เราถามคุณเจริโค ว่าการเปลี่ยนแปลงแบบไหนต่อร่างกายที่เขาต้องเผชิญ เมื่อเขาเปลี่ยนมาเป็นผู้กินอากาศ? ต : เวลาที่คุณต้องพบกับกระบวนการนั้น เจ็บปวดทรมานกับการเลิกมัน เมื่อคุณถึงกระบวนการเปลี่ยนแปลงของร่างกายคุณ อวัยวะของคุณจะหดตัว ร่างกายของคุณกลับคืนสู่ขนาดของมันตามธรรมชาติ ในสภาวะที่มันต้องการจะเป็นเพราะร่างกายของคุณทำอย่างนั้นอยู่เสมอ ผู้คนคิดว่าพวกเขาหิว แต่ว่ามันไม่ใช่ มันเพียงแต่เป็นความรู้สึกที่พวกเขาป้อนให้ มันคือร่างกายของพวกเขาพยายามกลับคืนสู่ขนาดปกติ แต่เราก็คอยแต่ใส่อาหารเข้าไปในตัวเองและทำลายความรู้สึกนั้น คิดว่าเราให้ความพึงพอใจแก่ความหิวของเรา แต่ว่ามันไม่ใช่ สิ่งหนึ่งของการเป็นผู้กินอากาศ ผมรู้ว่า คุณค่อนข้างป้อนอาหารให้ความอยาก คุณไม่ได้ป้อนอาหารให้ตัวเองมากนัก แต่คุณป้อนให้แก่ความอยาก ผมเรียกมันโดยส่วนตัวว่าการยึดติดทางอารมณ์ อารมณ์ของตัวคุณ อาหารถูกใช้ในทุกสถานการณ์ ในสังคมของเรา สังคมเราปฏิรูปพร้อมๆ กับอาหารและเครื่องดื่ม มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถ : ทำอย่างไรที่บางคนสามารถอยู่โดยไม่กินอาหาร? มันคือสิ่งที่มีอยู่ภายในของเราทุกคนหรือ? เจริโค ได้บอกเล่าความคิดบางอย่างให้กับเรา ช่วยบอกเราว่าคุณคิดอย่างไรที่ร่างกายมนุษย์ แท้จริงสามารถอยู่และทำงานได้โดยไม่ต้องกินอาหารเครื่องดื่ม? ต : เพราะว่านั่นเป็นสภาวะที่เป็นธรรมชาติของแต่ละคนอย่างที่ผมพูด สำหรับบางคน มันอาจจะเป็นผลไม้ นั่นคือเหตุผลที่ บางคนอาจจะอยู่โดยกินอากาศเท่านั้น ถ : ในอดีต มีผู้กินอากาศ ท่านปรมาหรรษา โยคะนันทะ ในหนังสือ “อัตชีวประวัติของโยคี” ที่พูดถึงสตรีผู้หนึ่ง กิริ บาลา และก็ยังมี เทเรซ่า นิวมันน์ ทั้งสองคนนี้เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นผู้กินอากาศ มีคนอื่นๆ อีกหลายคนตลอดทุกยุคทุกสมัยและคนเหล่านั้น อาจจะอธิบายถึงความเชื่อความศรัทธาในพระเยซูหรือพระกฤษณะ พระเจ้า และนั่นทำให้พวกเขาเป็นผู้กินอากาศเพื่อให้ผู้คนรู้ว่าพวกเขาสามารถไว้วางใจในพระเจ้า หรือพระเยซู ในการค้ำจุนร่างกายของพวกเขา โดยปราศจากสิ่งอื่นใด คุณมีความเชื่อหรือความศรัทธาอะไรบ้าง? ต : ครับ ผมมีความเชื่อว่าจิตวิญญาณของผมเป็นมนุษย์ต่างดาว และผมเชื่อว่าผมอยู่ที่นี่เพื่อแสดงให้เห็นความเป็นไปได้ของการเป็นผู้กินอากาศ สำหรับผู้คนที่เหมือนกับผมและสำหรับคนอื่นๆ นั้นก็เพียงให้เปิดใจ ผมไม่พยาบยามสอน ผมไม่เชื่อว่า ผมเป็นครู ผมเชื่ออย่างมั่นคงว่า ผมอยู่ที่นี่เพื่อแสดงให้เห็นและอยู่เป็นตัวอย่าง ผมไม่ใช่คนที่เป็นทางด้านจิตวิญญาณอยู่บนแท่นสี่เหลี่ยมมากนัก ผมไม่มีการนั่งสมาธิ ผมเพียงแต่ทำตามสัญชาตญาณอย่างเข้มงวดและดื้อรั้น ผมเชื่อว่าทุกคนจำเป็นต้องมีระบบความเชื่อของตัวเองเพื่อให้งานนั้นสำเร็จ ถ : การอยู่โดยไม่กินอาหาร คุณเจริโค เชื่อว่าเขาได้รับการค้ำจุนจากแสงอาทิตย์ อากาศ ดนตรีที่เขาชื่นชอบ และสภาวะอารมณ์ที่เป็นความรัก ดังนั้นสิ่งที่เรารู้มากจากวิชากลศาสตร์ว่าด้วยพลังงาน มันพูดถึงภาพลวงตาของด้านวัตถุและเรายังรู้จักเสียงเหนือธรรมชาติและแสงเหนือธรรมชาติ คุณบอกเราได้ไหมว่าแหล่งของพลังงานใดและมีอะไรอื่นที่ค้ำจุนคุณอยู่? ต : ผมเชื่อว่าผมอยู่ที่นี่เพื่อแสดงให้เห็นว่ามันไม่ต้องใช้ความรู้มากมาย ผมเชื่อตามวิธีที่เรียบง่ายของผมเองว่าแสงอาทิตย์คือสิ่งสำคัญมาก ไม่ใช่วิธีการที่ว่า คุณออกไปอยู่ในแสงแดดทั้งวันจนตะวันตกดินเพราะผมไม่เชื่ออย่างนั้นเลย ผมเชื่อจริงๆ ว่ามีช่วงเวลาที่แสงอาทิตย์ไม่เป็นคุณต่อร่างกาย แต่มันมีแสงสว่างอยู่ในอากาศเหมือนที่เราอยู่ในร่มเงาเวลานี้ แต่มันยังมีความสว่าง มันยังมีพลังงานอย่างหนึ่งที่สะท้อนอยู่ในตัวผมเป็นตัวผมเดิมแท้ และผมกินจากสิ่งนั้น ความจริงแล้วเป็นเวลาที่ผมรู้สึกเบาสบายอย่างมากเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของอากาศ ผมเป็นส่วนหนึ่งของลม ผมเกือบจะเห็นภาพตัวเองล่องลอยอยู่กับอากาศ ในบางครั้ง ผมรักดนตรีของผมและผมก็มี MP3 ติดตัวอยู่เสมอเวลาที่ผมทำงานอยู่ข้างนอก ผมเปิดเสียงดนตรีของผมและเสียงดนตรีก็ทำให้ผมผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากบนดาวดวงนี้เสมอมา เหมือนเป็นอาหารปลอบใจ ดนตรีเป็นเพื่อนของผม ดังนั้นนั่นก็คือผมถูกเลี้ยงด้วยเสียงอย่างแน่นอน และผมก็รู้ดีทั้งหมดเป็นเรื่องของการเปลี่ยนสภาวะอารมณ์ของคุณ สำหรับผมแล้วเสียงมีประสิทธิภาพมาก คุณรักษาตัวเองให้อยู่ในสภาวะอารมณ์ที่เป็นบวก มีความรัก มีความซื่อสัตย์ แล้วคุณก็จะตัดอารมณ์ที่ยึดติดกับอาหาร น้ำ ทุกๆสิ่งออกไปง่ายๆ โดยการเปลี่ยนสภาวะอารมณ์ของคุณ บนรากฐานที่มั่นคง
ถ : คล้ายกันกับผู้กินอากาศ โยคีนี กิริ บาลา เจริโค รู้สึกว่าร่างกายคนเราสามารถได้รับสิ่งใดก็ตามที่มันต้องการจากสิ่งแวดล้อมเพื่อค้ำจุนตัวมันเอง ต : ผมเรียนรู้ว่าการเป็นผู้กินอากาศ มันไม่สำคัญว่าคุณกินอะไร กุญแจก็คือการหยุดกินอาหารปลอมที่มนุษย์ทำขึ้น ร่างกายได้รับทุกสิ่งที่มันต้องการจากสิ่งแวดล้อมของมัน มันผลิตทุกสิ่ง ในสายตาของผมแล้วนี่เป็นทฤษฎีของผม ทฤษฎีส่วนตัว ถ้าให้โอกาสมันก็จะผลิตทุกสิ่งที่มันต้องการ ให้โอกาสมัน มันจะได้รับทุกสิ่งที่มันต้องการจากสิ่งแวดล้อม ดังนั้น เราไม่จำเป็นต้องผลิตอาหารที่มนุษย์ทำขึ้นและติดนิสัยของการกิน เป็นทาสของอารมณ์ที่ตายตัว ร่างกายของผมจัดการกับเรื่องของเทคนิค งานของผมคืออยู่อย่างเรียบง่ายและอยู่โดยเป็นตัวอย่าง มีความสุข ร่างกายของผมจัดการกับของที่มีโภชนาการต่อร่างกาย ถ : ด้วยผลลัพธ์ของการดำเนินชีวิตที่ไม่กินเนื้อสัตว์ คุณเจริโค มีสุขภาพที่ดีเสมอ ต : ผมไม่เคยป่วยนานหลายปีมาแล้ว ไม่ว่ามันจะลดลงจากการไม่กินอาหารปรุงแต่งหรือไม่ว่ามันจะลดลงในกระบวนการทั้งหมด การล้างพิษทั้งหมด ฟิตเนสทั้งหมด อาหารดิบทั้งหมด กินอากาศทั้งหมด ผมก็ไม่เคยป่วยหลายปีมาแล้ว ถ : ดังนั้นคุณไม่เคยป่วย คุณค้ำจุนตัวเองทางร่างกายอย่างเคร่งครัดทางอารมณ์อย่างเข้มงวด ต : ครับ ผมไม่ได้พูดว่ามันเป็นอย่างนั้นตลอดเวลา ตอนแรกนั้น เมื่อคุณเริ่มพัฒนาก้าวแรก คุณจะต้องผ่านบางสิ่งบางอย่าง คุณจะต้องทำงาน เสียสละบางอย่าง ต้องผ่านพ้นไป แต่คุณก็ทำให้ดีที่สุดเท่าที่คุณทำได้ ในช่วงเวลาใดก็ได้ที่กำหนด และใส่โปรแกรมใหม่ในร่างกายคุณและวางมาตรฐาน ดังนั้น เมื่อคุณทำงานของคุณเสร็จ คุณชำระล้างซึ่งร่างกายของคุณสามารถขึ้นไปถึงภาวะนั้น เพราะคุณได้วางมาตรฐานของคุณไว้ ร่างกายของคุณ เมื่อมันได้ชำระล้างหรือผ่านกระบวนการล้างพิษ มันก็จะอยู่ตรงระดับนั้น ดังนั้น คุณต้องวางมาตรฐานของคุณ ถ : หลังจากที่คุณมาเป็นผู้กินอากาศ คุณใช้เวลานานเท่าไร ในการเอาชนะการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย? ต : ผมอยากจะบอกว่า ๒-๓ สัปดาห์ แล้วหลังจากนั้น มันเป็นชีวิตจริงๆ ผมหมายถึงคุณยังต้องมีการเปลี่ยนแปลงอีกนิดหน่อย แต่ส่วนใหญ่นั้นมันอยู่ใน ๒-๓ สัปดาห์ และใน ๒-๓ สัปดาห์นั้น มันรู้สึกไม่สบายนัก มันเป็นเวลาไม่สบายนัก ถ : มันเป็นการเปลี่ยนแปลงอะไร ที่คุณต้องประสบ? ต : มันเป็นที่ภายในทั้งหมดและอยู่ในใจกลางตัวผม ลำตัวหดลง อวัยวะต่างๆ เปลี่ยนเป้าหมายของมันและถูกใช้เพื่องานอื่น มันถูกใช้เพื่ออะไรเป็นพิเศษ ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ผมรู้ว่า ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง อย่างที่ผมบอก ร่างกายมักจะต้องกลับไปยังสภาวะเดิมของมันเสมอ แล้วผลของมันสร้างความรู้สึกที่ร่างกายเบาสบายขึ้น มันเหมือนกับรู้สึกถึงแหล่งของพลังงานเหมือนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าอยู่ในลำตัวคุณ มันสร้างพลังงานจำนวนมหาศาล และมันเหมือนกับแปลกๆ เพราะว่าการมีร่างกายที่เบาขึ้นหรือมีความรู้สึก ร่างกายเบาขึ้นบางครั้งเวลาที่ ผมจะลุกขึ้นและคล้ายๆ กับว่าไม่ใช่เพราะผมงงหรือว่าอะไร แต่มันเป็นเพราะพละกำลังของผมถูกบรรจุมากเกินไป ในร่างกายที่เบาขึ้นของผมและผมชดเชยมากเกินไป ดังนั้นมีบางครั้งที่ผมต้องพิจารณาทุกอย่างให้ดีขึ้นอีกครั้ง มันเหมือนกับการหัดเดินใหม่อีกครั้ง หัดยืนอีกครั้ง หัดวิ่งอีกครั้งและนั่นก็อาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่แปลกๆ ถ : มีอุปสรรคที่ต้องเผชิญในการเปลี่ยนแปลงแบบนี้และคุณทำอย่างไร? ต : โดยพื้นฐานก็คือการจัดการกับความกังวลนิดหน่อยที่มากับมันเพราะคุณยืนขึ้นแล้วทันทีนั้น คุณก็พบว่าตัวเองไปไกลเกินไปหรือก้าวเดินล้ำหน้าไปและการเดินก็ตลกจริงๆ ในตอนแรกๆ การตัดสินใจของคุณใช้ไม่ได้เลย ผมถามตัวเองว่า “มันเป็นตัวฉันหรือสมองของฉันหรือ? มีอะไรเกิดขึ้นที่นี่?” และมันก็คือผมต้องทำความคุ้นเคยกับมัน วัตถุใหม่ ร่างกายใหม่ ถ : ในฐานะเป็นผู้ฝึกสอนฟิตเนสส่วนตัว เจริโคได้ตอบคำถามของเราบางอย่างเกี่ยวกับการเพาะกล้ามในฐานะเป็นผู้กินอากาศ คุณสามารถเพาะกล้ามขณะเป็นผู้กินอากาศหรือไม่?
ต : ผมอยากบอกว่า ใช่ คุณทำได้ง่ายมาก ผมก็เชื่อว่าโดยเฉพาะเมื่อคุณเป็นผู้กินอากาศ เวลาที่คุณไม่มีอะไรมาขวางทาง ไม่มีอุปสรรค ไม่มีการไขว้เขว คุณไม่กินอะไร ร่างกายของคุณก็ทำสิ่งที่มันควรจะทำและผลิตสิ่งที่มันควรจะทำ บางครั้งมันรู้สึกเหมือนกับว่าผมถูกบีบออกเพราะทุกๆ อย่างมันไหลเวียน ร่างกายสร้างระบบให้ผมในสิ่งที่มันต้องการ ดังนั้นผมอยากบอกว่าใช่ ที่จริงมันก็น่าสงสัยสำหรับลัทธิกินอากาศ คุณสามารถบำรุงได้ง่ายและมีการเพาะกล้ามที่ดี ถ : ดังนั้นคุณมีพลังงานเหลือเฟือจากการเป็นผู้ที่กินอากาศ กระทั่งการออกกำลังกาย? ต : ผมอยากเรียกมันว่าความกระปรี้กระเปร่าหรือความผาสุก ผมเชื่อทั้งหมดว่า ความกระปรี้กระเปร่ามาจากแกนกลางของคุณ เช่นจากสะดือของคุณ หรือใต้สะดือของคุณและนั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึกดี ดังนั้น ใช่ ผมมีความกระปรี้กระเปร่ามากมายเหลือเชื่อ บางทีมันเป็นพลังงาน ถ : ผลกระทบแบบไหนที่ผู้กินแต่ผลไม้และการไม่กินอาหารมีผลต่อสิ่งแวดล้อม? คุณเจริโคได้เล่าบางอย่างในการดำเนินชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คุณคิดว่าการเป็นผู้กินอากาศหรือการเป็นผู้กินแต่ผลไม้จะมีผลกระทบที่ดีต่อสภาวะของโลกหรือไม่? ต : แน่นอน! ถ : มันเป็นอย่างไร? ต : คุณนึกภาพออกไหม การลดขยะ บรรจุภัณฑ์ คุณนึกออกไหม พลังงานที่คุณใช้เพื่อดำรงชีวิต? ถ้าคุณมีบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คุณก็ยังต้องทิ้งถุงที่บรรจุ คุณยังต้องทำถุงบรรจุภัณฑ์ ส่วนผู้ที่กินแต่ผลไม้ คุณเพียงแต่ให้มันเปื่อยสลาย สิ่งที่คุณไม่กิน สิ่งที่คุณไม่ต้องการ และคุณก็มีอาหารหมุนเวียนตลอดไปแบบฟรี คุณทำรีไซเคิลคือปลูกเมล็ดใหม่ ถ : เนื่องจากการสัมภาษณ์อยู่ที่เม็กซิโกที่ซึ่งคุณ เจริโคกำลังสอนการฝึกฟิตเนสส่วนตัวอยู่รายการหนึ่ง เราถามเขาว่า เขาคิดอย่างไรเกี่ยวกับปี ๒๐๑๒ ที่นี่เราอยู่ใกล้กับแคนคูน เม็กซิโก ใจกลางความเจริญของชาวมายันโบราณ คุณจะบอกเราสักหน่อยได้ไหมเกี่ยวกับปฏิทินของชาวมายันและปี ๒๐๑๒ ที่จะมาถึง ต : ผมรู้แน่นอนเรื่องปฏิทินชาวมายัน แต่ผมถูกดึงมาทางการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตวิญญาณ ผมเชื่อมั่นว่าผมถูกส่งมาที่นี่ด้วยเหตุผลบางอย่างแน่นอน มีแรงดึงดูดบางอย่างที่ต้องการให้ผมมาที่นี่เพื่อทำงานให้สำเร็จ อย่างน้อยก็มีบางอย่างที่จำเป็นต้องสำเร็จ บางอย่างต้องทำให้เสร็จที่นี่ โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าที่นี่ผมเรียนรู้การเป็นผู้กินอากาศของผมเพราะถ้าคุณอยู่รอดได้ในความร้อนแบบนี้ ในเงื่อนไขเหล่านี้ได้ ด้วยการเป็นผู้กินอากาศ คุณก็สามารถอยู่รอดได้ทุกที่ เชื่อผมได้ มันมีพลังทางด้านจิตวิญญาณที่นี่ พลังทางจิตวิญญาณที่มหัศจรรย์มาก หัวใจสำคัญของประเทศนี้ แก่นแท้ของพื้นที่นี้มหัศจรรย์มาก คุณจะพบว่ามันเกิดขึ้นพร้อมกัน ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาที่พอเหมาะพอดี ทันทีทันใดนั้นประตูทั้งหมดของคุณที่ปิดอยู่นั้นก็เปิดออกในเวลาที่พอดีของชีวิต คุณได้รับทุกสิ่งที่คุณต้องการมันน่าอัศจรรย์ สิ่งที่เกิดขึ้นกับผม ตั้งแต่ผมมาที่นี่ ในแบบนั้นและยิ่งผมพูดคุยกับผู้คนชาวมายันในเรื่องนี้ ปี ๒๐๑๒ ก็ยิ่งออกมาชัดและสิ่งต่างๆ เริ่มชัดเจนมากขึ้น และเรื่องปี ๒๐๑๒ ตอนนี้ สิ่งที่น่าเป็นไปได้สำหรับผม ผมไม่เชื่อว่ามันจะพินาศและหมดหวัง ตอนเที่ยงคืนของปี ๒๐๑๒ โลกจะสิ้นสุด ผมคิดว่ามันจะเป็นตรงกันข้าม ผมเชื่อว่า เราได้ผ่านพ้นการเปลี่ยนแปลงนั้นแล้ว และผมเชื่อว่าเราต้องตื่นขึ้นเวลานี้ ต้องทำเดี๋ยวนี้ รับฟังเดี๋ยวนี้ และเริ่มต้นใช้เวลานี้ให้เป็นประโยชน์ ถ : เราต้องตื่นขึ้นในด้านไหน? เราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไร? ต : เราต้องตื่นขึ้นด้วยสัญชาตญาณของเรา เผ่าพันธุ์หรือเชื้อสายต่างๆ ที่มีอยู่นี้ เราต้องละทิ้งอัตตาของเรา ดาวโลกอยู่ในช่วงของการล้างพิษครั้งใหญ่ การชำระล้างครั้งใหญ่ และเราจำเป็นต้องหยุดการทำร้ายดาวโลก หยุดทำร้ายกันและกัน ถ : คุณเจริโค เชื่อว่าการเป็นมนุษย์ที่เราอยู่ที่นี่บนดาวโลกเพื่อเรียนรู้การรักและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ต : ผมเชื่อว่าคุณต้องดิ้นรนเพื่อสิ่งที่ดีที่สุดที่คุณสามารถทำได้ในชีวิตนี้ เพระว่ารูปร่างในรูปแบบนี้คุณมีได้แค่ร่างเดียว ผมเชื่อแน่ว่าเราอยู่ที่นี่เพื่อเป็นตัวตนที่มีความรัก ตัวตนที่ช่วยเหลือกัน ถ : คุณคิดว่า อะไรที่สำคัญที่สุดที่เราควรได้รับจากชีวิต? ต : ความรัก ความสุข และความพึงพอใจในทุกๆสิ่งที่เป็นไปได้ ที่คุณสามารถมีได้ ผมเจ็บปวดเมื่อผมเห็นเพื่อนๆ หรือคนที่รู้จัก แม้กระทั่งคนที่ผมไม่รู้จักเอาแต่บ่นเรื่องชีวิต เพราะว่าชีวิตมันคือสิ่งที่คุณทำกับมัน แน่นอน สิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับคนดี สิ่งที่คุณทำกับมันและผมพยายามทำความเข้าใจให้มากขึ้นในชีวิตได้อย่างไร เพื่อผมจะได้ส่งต่อให้คนอื่นๆ
ถ : เราสามารถพูดอย่างชัดเจนว่าอะไรคือเป้าหมายของเราที่มาอยู่ในโลกนี้ ต : ผมจะยกตัวอย่าง ตัวผมเอง ผมเชื่อว่าวิญญาณของผมไม่ใช่ของโลกนี้ ผมเชื่อว่าวิญญาณของผมหรือจิตของผม ถ้าคุณจะเรียกมันอย่างนั้น มันเป็นมนุษย์ต่างดาว ผมไม่ได้พูดเรื่องนิยาย รู้ไหม แบทเทิลสตาร์ กาแลคติก้า หรือสตาร์วอร์ แบบนั้น แต่ผมเชื่อว่าเราเป็นวิญญาณหรือจิตอยู่ในยานพาหนะ ด้วยเหตุใดก็ตามผมไม่ระบุลงไป เพราะผมไม่รู้ แต่ผมเชื่อว่าเป้าหมายของเราคือให้รู้จักรักและช่วยเหลือมนุษยชาติ วิญญาณที่อยู่ในโลกนี้ เพราะผมคิดว่ามีวิญญาณอยู่สองอย่าง พูดแบบคนธรรมดามีวิญญาณอยู่สองอย่างวิญญาณทางโลกและวิญญาณที่ไม่ใช่ทางโลก ผมเชื่อว่าผมเป็นวิญญาณที่ไม่ใช่ทางโลก ผมเชื่อว่ามีอีกมากมายหลายพันที่อาจจะเป็นเทวดา ผู้คนอาจรู้จักเทวดา ,ไลท์ เวิร์คเกอร์ ผู้ทำงานของแสง นั่นอาจเป็นคำที่คุ้นเคยกว่า และผมเชื่อว่าเป้าหมายของผม เป้ามหายที่พิเศษของผมคือช่วยเหลือวิญญาณอื่นๆ ที่ไม่ใช่วิญญาณมนุษย์ เทวดา ,ไลท์ เวิร์คเกอร์ ไม่ว่าคุณจะเรียกมันอย่างไร ให้พวกเขาพัฒนาและเข้มแข็ง และปรับตัวเพื่อเราสามารถจัดการกับการเปลี่ยนแปลงที่จะมาถึง แล้วเราจะพบหนทางกลับบ้าน ถ : อะไรคือ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราต้องทำบนโลกนี้? ต : มันคือการตระหนักรู้ว่าเราทุกคนมีหนทางของตนเอง อย่างที่ผมบอก ผมไม่เชื่อว่าเราเหมือนกันหมด ผมเชื่อว่าเราแตกต่างกันในแง่ที่ว่าบางคนเป็นวิญญาณทางโลก บางคนไม่ใช่วิญญาณทางโลก ผมเชื่อว่าตัวผมเป็นชาวกินอากาศเป็นสภาวะดั้งเดิมของผม ดังนั้นร่างกายของผมหรือธรรมชาติของผมหรือตัวตนทางจิตวิญญาณจะคอยหาทางกลับไปสู่สภาะดั้งเดิมของมันเสมอ ซึ่งสำหรับผมก็คือการเป็นผู้กินอากาศ สำหรับคนอื่นก็แล้วแต่ว่าพวกเขามาจากไหน ในอวกาศ , กาแลคซี่ อะไรก็ตาม มันก็อาจจะเป็นผลไม้ ดังนั้นคนอื่นๆ อาจจะต้องการพัฒนาวิธีที่จะเป็นผู้กินแต่ผลไม้ และพวกเขาอาจจะไม่รู้ว่า ทำไมพวกเขาถูกดึงมาตรงนี้ พวกเขาอาจจะไม่รู้ว่าทำไมสัญชาตญาณดึงพวกเขามาทางนี้อย่างแรง ถ : เมื่อการสัมภาษณ์มาถึงตอนสุดท้าย คุณเจริโค เล่าให้เราฟังถึงเป้าหมายส่วนตัวสำหรับอนาคต ต : ผมอยากจะช่วยเหลือและถ่ายทอดให้คนจำนวนมากๆ เท่าที่เป็นไปได้เหมือนกับที่ช่วยตัวผมเอง ผมต้องการจะเป็นคนดีที่สุดเท่าที่ผมเป็นได้ ผมต้องการเป็นสามีที่ดีที่สุด พ่อที่ดีที่สุด พี่ชายที่ดีที่สุด ลูกชายที่ดีที่สุด ดีที่สุดในทุกๆ สิ่ง เพื่อนที่ดีที่สุดที่ผมเป็นได้และผมต้องการทำสิ่งที่ผมอยากทำในชีวิตนี้ให้สำเร็จ ผมต้องการมีความสุขสนุกสนาน นั่นเป็นอนาคตโดยพื้นฐาน ถ : สำหรับเจริโค ความสุขสนุกสนานดีที่สุด ต : ดีที่สุด ถ : ขอบคุณคุณเจริโค สำหรับการแบ่งปันให้เราและท่านผู้ชมในสไตล์ชีวิตที่ไม่กินอาหาร ขอให้สวรรค์อวยพรคุณในความพยายามที่มีความรักที่จะช่วยเหลือมนุษยชาติ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณารับชมที่ www.SupremeMasterTV.com/BMD
ปาฐกถาโดยอนุตตราจารย์ชิงไห่ด้วยภาษาจีน ณ ที่ธรรมสถานซีหู ฟอร์โมซา เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๑๙๙๔ เดิมทีเดียวพวกเราได้อยู่กับพระผู้เป็นเจ้าด้วยกัน เราเป็นหนึ่งเดียวกับองค์พุทธเจ้าที่สูงสุด ในกาลครั้งนั้นจักรวาลไม่มีเรื่องใดที่จะต้องให้พวกเราทำ มันว่างเปล่าไปหมดเหมือนดั่งเช่นมหาสมุทรแห่งความรัก ไม่มีการมาและไม่มีการไป เงียบสงบและก็ไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่มีสิ่งที่น่าสนใจใดๆ ทั้งสิ้น ฉะนั้นเมื่อพระผู้เป็นเจ้าหรือผู้ให้กำเนิดจักรวาลมีความคิดที่จะให้จักรวาลของพวกเรามีการเคลื่อนไหวบ้าง มีเวลาให้แสดงลีลาลวดลาย พวกเราทั้งหลายก็ต่างเห็นด้วย หลังจากเห็นด้วยด้วยความปิติยินดีแล้ว พวกเราต่างก็ได้แบ่งปันงานส่วนหนึ่งของผู้สร้างจักรวาล แต่ละคนล้วนต้องรีบไปทำหนึ่งสิ่ง แต่ละคนต้องแสดงไปตามบทที่กำหนดให้ ดังนั้นพวกเราจึงมีผิวพรรณที่แตกต่างกันหลายอย่าง มีอุปนิสัยที่ต่างกัน และยังมีอารมณ์ที่ต่างกัน ต่างคนต่างมีบทบาทของตน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงมีการสร้าง มีจักรวาลปรากฏออกมา จึงมีดาวดวงนี้ ดาวดวงนั้น มีประเทศนี้ ประเทศนั้น มีคนคนนี้ คนคนนั้น ขณะที่พวกเราลงมาก็ถือโอกาสพกพา เครื่องมือ หรือ ของเล่น ติดตัวลงมาด้วย อย่างเช่น อุปนิสัยของพวกท่าน มีบทบาทคือพวกของเล่นเพราะว่าเราได้สร้างมันออกมาแล้ว เราก็ต้องทำลายมันให้หมดไปด้วย เพราะเหตุว่ายังต้องมีการพักผ่อน และสร้างสิ่งใหม่อีก สมมุติว่าท่านได้สร้างอุปนิสัยที่ค่อนข้างเลวออกมา หรืออาจจะมีความกร้าวร้าวเเอะอะมะเทิ่งหรือชอบฆ่าคน แม้ว่าบทบาทของท่านคืออย่างนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเล่นอย่างนี้ตลอดไป เพราะว่าบทบาทที่เราสวมบทอยู่นั้นมีขอบเขตจำกัด อย่างมากก็ให้ท่านเล่นกันสักร้อยปีหรืออย่างมากก็ให้ท่านฆ่าคนสักสามสี่คนเท่านั้น เรื่องทั้งหมดก็เพื่อที่จะให้ละครเรื่องนี้สืบต่อกันเพื่อที่จะให้จักรวาลเคลื่อนไหวหมุนกันต่อไป ทั้งสิ่งดีและสิ่งชั่วมีการเวียนว่าย แต่ว่าท่านไม่สามารถฆ่าติดต่อกันเช่นนี้เรื่อยไป หรือว่าท่านไม่สามารถจะกร้าวร้าวเอะอะมะเทิ่งเช่นนี้ต่อไปอีก ในที่สุดท่านเองก็ยังคงต้องทำลายอุปนิสัยนั้นให้หมดสิ้นไป ท่านสร้างอุปนิสัยที่ตนเองอยากเป็นก็เพื่อที่ติดตามตัวท่านมาเล่นด้วยกัน เมื่อเล่นจบแล้วเครื่องมืออันนั้น อุปนิสัยเลวร้ายนั้นตัวเองควรทำลายมันไป จะทำลายมันได้อย่างไรเล่า? ตนเองควรต้องพยายามกำจัดอุปนิสัยนี้ เดิมทีเดียวอุปนิสัยเพียงเพื่อตามลงมาเล่นกับพวกเราเท่านั้น แต่เนื่องจากมันเป็นสิ่งไม่ดี ดังนั้นท่านก็ควรที่จะทำลายมันไป การทำลายนั้น ไม่ใช่จะให้คนอื่นมาช่วยท่านทำลายมัน ท่านเองควรเป็นผู้ทำลายอุปนิสัยนี้ด้วยตนเอง ทำให้อุปนิสัยนี้หลอมละลายไป ภายหลังท่านจึงจะกลับไปยังคุณสมบัติที่อยู่ในภาวะไม่ดีไม่เลว เข้าใจความหมายของอาจารย์ไหมล่ะ? มิฉะนั้นแล้วท่านก็จะพกพาอุปนิสัยอันนั้นติดตัวอยู่ในวังวนเวียนว่ายอยู่ในจักรวาล เป็นมลทินกับตนเองและยังไปเปรอะเปื้อนคนทั่วไป ถ้าไม่ชำระล้างมันออกไปก็จะไม่มีวิธีใดอีกที่จะหวนกลับมายังจิตเดิมแท้อันเก่าก่อน ที่ยังไม่ได้เล่นละครกัน จะอย่างก็ตามก่อนท่านจะตายไป ถ้ายังไม่ได้ทำลายอุปนิสัยของตน ท่านก็จะกลับไปยังที่เดิมไม่ได้ เพราะเหตุว่าก่อนที่เรายังไม่ลงมานั้น เดิมทีเดียวไม่มีของเล่นเหล่านี้ ไม่มีคุณสมบัติเช่นนี้ ไม่มีอุปนิสัยเหล่านี้ เวลานั้นเราอยู่อย่างเรียบง่ายอยู่ในทะเลแห่งความรักและความบริสุทธิ์มีความรักเช่นเดียวกับความรักของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสมบูรณ์และมีความสามารถทุกอย่าง เนื่องจากมาเล่นยังสหโลกธาตุเพื่อเล่นละครทำให้จักรวาลมีการเปลี่ยนแปลงลีลาลวดลายที่ต่างกันไป ทำให้มันน่าเล่น ดังนั้นจึงต้องพกคุณสมบัติ (อุปนิสัย) บางอย่างมาเล่นเหมือนดังผู้ที่เล่นละครกัน เดิมทีเราเป็นพระบุตรและพระธิดาของพระผู้เป็นเจ้า เป็นเอกภาพเดียวกันกับพระผู้เป็นเจ้า ต่อมาเพราะว่าพวกเราได้ทำสัญญากับพระผู้เป็นเจ้าทุกคนต่างต้องการเล่นด้วยกัน พวกเราสนับสนุนโครงการกำเนิดสร้างของพระผู้เป็นเจ้า ทุกคนเห็นด้วยแล้ว ดังนั้นจึงกำเนิดสร้างตามโครงการ โดยสร้างเป็นทวีปอัฟริกา ทวีปยุโรป ทวีปอเมริกา....ควรเป็นอย่างไร ฟอร์โมซา กัมพูชา ประเทศไทย....ควรเป็นอย่างไรอีก ต่างก็มีอุปนิสัยที่แตกต่างกัน ต่างมีลีลาลวดลายที่ต่างกัน แต่ว่าบางเวลาพวกเราลงมาเล่นมากเกินไปเสียแล้ว ลืมล้างเครื่องสำอางค์ที่แต่งหน้าตาของตนเองในบทบาทของละคร ลืมถอดหน้ากากและเล่นไม่ยอมเลิก พวกเราลืมพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า เล่นไปเรื่อยๆ หยุดไม่ได้ ดังนั้นทางสหโลกธาตุในปัจจุบันนี้จึงไม่สนุกอีกต่อไป ยิ่งเล่นยิ่งแย่ มาบัดนี้พวกที่เบื่อที่จะเล่น พวกที่รู้ดีว่าเมื่อเล่นจบแล้วก็ต้องพักผ่อนกัน ควรนำเอาคุณสมบัติที่ตนเองขอยืมมาจากภูมิภพที่สองนั้นทำลายให้หมดสิ้นไป เหนือภูมิภพที่สองขึ้นไปก็ไม่มีอุปนิสัยเหล่านี้แล้ว แม้แต่มันสมองซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ที่อยู่ภายในของเราก็ไม่ต้องใช้มันอีก เบื้องบนนั้นไม่ต้องการเครื่องมือเหล่านี้ ไม่มีเวรกรรม ก็ไม่มีความต้องการอุปนิสัยใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ต้องการความดีความเลวใดๆ เดิมทีเดียวนั้นมันเรียบๆ จืดชืดกัน ในปัจจุบันถ้าเราต้องการกลับบ้าน ก่อนอื่นต้องนำเอาคุณสมบัติ เครื่องมือ หลอมละลายไปให้หมด เอาอุปนิสัยที่พวกเราขอยืมมานั้นทำลายให้หมดแล้วจึงจะกลับไปยังสภาพเดิมได้ เข้าใจความหมายของอาจารย์ไหมเล่า? เพราะพวกท่านมาเล่นอยู่ที่นี่นานเกินไปเสียแล้ว ดังนั้นจึงลืมไปเลย จึงยังเล่นต่อไปเรื่อยๆ ถ้าต้องการกลับไปในปัจจุบัน ก็ต้องติดตามอาจารย์ เชื่อฟังการชี้แนะของอาจารย์ เอาสิ่งที่ไม่ดี เครื่องมือที่ขอยืมมาทำลายมันไป ไม่โลภอีก ไม่โกรธอีก ไม่หลงอีก ไม่ดื่มเหล้า ไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่มีอุปนิสัยที่เลว ถ้าพวกท่านปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ไม่ลง ก็ต้องอยู่ที่นี่กันต่อไป เป็นเพราะอะไรเล่า? เพราะเครื่องมือชนิดนี้และคุณสมบัติอย่างนี้มันเป็นของที่นี่ ถ้าเรายังคงยึดอยู่กับสิ่งเหล่านี้เราก็ต้องอยู่ที่นี่ อยู่กับสิ่งที่เราพกพามา ไม่พกพาสิ่งเหล่านั้นจึงจะขึ้นไปได้ เหมือนกับถ้าพวกเราพวกเราจะเข้าพบท่านประธานาธิบดีกัน ถุงและสิ่งของที่พวกท่านพกพาเมื่ออยู่ข้างนอก บางครั้งก็พกพาปืน แต่พอเข้ามายังทำเนียบประธานาธิบดีสิ่งของเหล่านั้นไม่สามารถเอาเข้าไปโดยต้องวางไว้ข้างนอก ถ้าท่านไม่คิดที่จะวางอาวุธ ไม่คิดที่จะเอาถุงเหล่านั้น.... รวมทั้งสิ่งของต่างๆ ให้ไว้กับตำรวจที่รักษาความปลอดภัย ท่านก็จะไม่สามารถเข้าไปพบประธานาธิบดีได้ ในทำนองเดียวกัน ถ้าพวกเรายังมีความโลภ ความโกรธ ความหลง และจิตใจที่มีต่อลาภยศสรรเสริญอีก และยังมีคุณสมบัติของความชั่วร้ายอีก ก็จะไม่สามารถขึ้นไปพบจ้าวแห่งจักรวาล เพราะว่าข้างบนโน้นไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้ ขณะที่พวกเรามายังสหโลกธาตุ เพื่อเล่นสนุกด้วยกันมีบางคนเลือกเอาคุณสมบัติที่เลวกว่า บ้างก็เลือกเอาตำแหน่งที่สูงส่งกว่า ตามข้อเท็จจริงแล้ว เมื่ออยู่ในโลกนี้ พวกเราจึงจะมีความดี ความเลว จึงจะมีการดูคนเป็นคนดีหรือเป็นคนเลว จึงมีการดูคนว่าเป็นคนชั้นสูงหรือเป็นคนชั้นต่ำ มิฉะนั้นแล้วขณะที่พวกเราเลือกอยู่ข้างบนไม่มีใครที่เจาะจงจะเลือกอะไรหรอก เหมือนกับว่าพระผู้เป็นเจ้าทิ้งคุณภาพต่างๆ เป็นกองใหญ่โตอยู่ที่นั่นมีทั้งดีทั้งเลว ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความกร้าวร้าวระรานฉุนเฉียว และความใจดี ปล่อยให้เราหยิบไปสวมใส่อย่างใดอย่างหนึ่ง เหมือนกับสวมเสื้อผ้า โดยไม่มีใครบ่นว่าตำแหน่งนี้ไม่ดี เขาไม่เอา เขาอยากเป็นพระเจ้าแผ่นดิน หรือว่าเขาไม่ต้องการเป็นตำรวจ เวลานั้นไม่มีใครคิดเช่นนี้ พวกเราขณะที่อยู่ข้างบนนั้นทั้งหมดมีความเสมอภาพกันหมด ไม่สนใจต่อลาภ ยศ สรรเสริญ และก็ไม่คำนึงถึงความยากจน อาภัพอับโชค หรือว่าหุ่นดีหรือไม่ดี เป็นต้น เพราะว่าพวกเราเห็นด้วยกับพระผู้เป็นเจ้าที่จะร่วมกันสร้างจักรวาล ซึ่งควรจะให้มีลวดลายหลายแบบ ควรมีมนุษย์ มีสัตว์ มีดอกไม้ มีต้นไม้ เป็นต้น และโดยที่พวกเราแต่ละคนยินดีที่จะรับบทบาทใดบทบาทหนึ่งซึ่งอยู่ในโครงการณ์กำเนิดสร้างเลือกเอาอุปนิสัยมาสักอย่าง แต่ว่าหลังจากทำตามบทบาทกันแล้ว ก็ต้องทำลายคุณสมบัตินั้นให้หมดไป ไม่ให้มันพเนจรอยู่ในจักรวาล เพราะว่าดั้งเดิมของจักรวาลนั้นมันเรียบง่ายมาก สะอาดบริสุทธิ์ยิ่งนัก มีแต่ความรักความเมตตา ดังผืนน้ำมหาสมุทรเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่สามารถให้คุณภาพนั้นๆ หลงเหลืออยู่ ถ้าไม่ทำลายให้หมดไป สุดท้ายยังไม่มีวิธีที่จะต่อสู้กับการบ้านนี้ของตนเองให้เสร็จเรียบร้อย ไม่ได้ฝึกหัดทำให้ได้ ขจัด ทำลายคุณสมบัตินั้น พวกเราก็จะต้องเก็บมันไว้ในกระเป๋าของตนเอง เหมือนกับว่าไม่ได้ใช้เงินที่เหลือ ยังเก็บไว้ในกระเป๋าฉันใดฉันนั้น แล้วถ้าครั้งต่อไปยังมาอีก ก็ต้องเลือกเครื่องมืออย่างอื่นอีกอัน คุณภาพอีกอย่างจึงจะลงมาได้ ไม่มีใครที่ลงมาด้วยความสมบูรณ์อย่างบริบูรณ์ ตั้งแต่เกิดมาถึงขึ้นตอนนั้นๆ ก็จะต้องไม่สมบูรณ์หมายความว่าต้องมีคุณภาพเลวๆ หลายอย่าง ดังนั้น ถ้าครั้งก่อนท่านไม่ได้ทำลายคุณสมบัติอันนั้นการมาจุติในสหโลกธาตุครั้งใหม่นี้ก็ต้องเลือกเอาคุณภาพเน่าเฟะอีกอันหนึ่ง มันก็จะกลายเป็นสองอันไป มาถึงตอนนี้ท่านจะต้องลำบากแน่นอน ครั้งนี้ยังไม่ทำลายมันอีก ครั้งต่อไปก็จะกลายเป็นสามอันกัน และแล้วท่านก็จะยิ่งแย่ลง ทำผิดพลาดมากขึ้นๆ และแล้วครั้งที่สามก็ยังไม่ทำลายมันอีก ก็จะกลายเป็นที่สี่ ที่ห้า ที่หก เจ็ด แปด จนยุ่งเหยิงไปหมด(อาจารย์กับทุกคนหัวเราะกันใหญ่) ดังนั้นพวกเราจึงพูดว่ามีคนบางจำพวกแย่มาก เพราะว่าเกิดมาทุกชาติบำเพ็ญไม่ดี ไม่ได้เรียนรู้บทเรียนแต่ละอย่างให้ดี ไม่ทำลายคุณสมบัติเลวเหล่านั้นให้หมดสิ้นไป ซ้ำมาอีกแต่ละครั้งยังเพิ่มมาอีกหลายอย่าง แถมยังไปเลียบแบบเพื่อนบ้านข้างเคียง ทวีความเลอะเทอะสกปรกขึ้นอีกด้วย ดังนั้นพวกเราบำเพ็ญได้ยิ่งเร็วยิ่งดี จงอดทนต่อไป ถ้าเรามีคุณสมบัติอะไรที่ไม่ดี จงทำลายมันเต็มที่ มิเช่นนั้นแล้วครั้งต่อไปก็ยิ่งรับประกันไม่ได้ว่ามันจะดีขึ้น (อาจารย์หัวเราะ) สัมภาระมากเกินไปก็จะเอาไปไม่ไหว เริ่มแรกเดิมทีตอนที่ลงมานั้นล้วนมีแต่กระเป๋าเปล่าๆ กัน กระโดดทีเดียวก็ลงไปแล้ว แต่พอเดี๋ยวนี้จะขึ้นไป ว้าว ! เครื่องมือมากเหลือเกิน ความเคยชินมากมาย ภาระมากมายแล้ว ล้วนเป็นสัมภาระที่ไม่จำเป็น พวกเราได้ทำงานกับมันจนชินไปแล้ว ดังนั้นในปัจจุบันเราละทิ้งมันไม่ลง ความยากลำบากก็อยู่ตรงนี้แหละ เพราะว่าจิตใจที่ยึดติดกับสิ่งเหล่านี้มันถึงขั้นสาหัสมาก คุณสมบัติเลวของพวกเราเหล่านั้นก็เป็นการยึดติดของทางจิตใจชนิดหนึ่งเหมือนกัน ถ้าเราสามารถปล่อยวางเราก็จะหลุดพ้นทันที ดังนั้นจึงมีคำพูดว่า “วางมีดสังหารจักบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าทันที” ไม่เพียงแต่มีดสังหารเท่านั้น สิ่งใดก็ตามที่ผูกมัดเราให้อยู่ที่นี้ล้วนเป็นเช่นเดียวกัน ดังนั้น หากพวกท่านอยากจะกลับ “บ้าน” ตนเองต้องขยันบำเพ็ญให้ดี ----------------------------------------------------------------------------------------------------------
ขอแนะนำหนังสือดีแห่งยุคสำหรับผู้ที่สนใจหลักธรรมขั้นสูงอันจะเป็นเหตุให้สามารถหลุดพ้นได้เพียงในชาติเดียวหากนำไปปฏิบัติหรือสำหรับผู้ที่สนใจหลักปรัชญาทั่วไปเพื่อประดับภูมิความรู้อันจะนำไปสู่การรู้แจ้งในมหาปัญญาในที่สุด หนังสือชื่อ “กุญแจสู่การรู้แจ้งในทันที” ของท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ธรรมาจารย์ผู้รู้แจ้งแห่งเทือกเขาหิมาลัย กุญแจสู่การรู้แจ้งในทันที เป็นการรวบรวมปาฐกถาธรรมของท่านอาจารย์ในสถานที่ต่างๆ ที่ท่านเดินทางจาริกเพื่อโปรดสรรพสัตว์มีทั้งหมด ๖ เล่ม ประกอบเนื้อหาดังต่อไปนี้ กุญแจสู่การรู้แจ้งในทันที เล่มที่ ๑ ๑. อาจารย์ดีกับอาจารย์ดัง ๒. สัจธรรมแท้ สัจธรรมปลอม ๓. เสียงเหนือโลก ๔. แสงเหนือโลก ๕. ความหมายของดอกไม้บานเห็นพุทธะ ๖. ประโยชน์ของการบำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม ๗. กรรมกีดขวางมาแต่ไหน ๘. ธรรมวิถีที่ใช้ทั้งปวงล้วนเป็นธรรมวิถีกวนอิม ๙. ความลึกลับมหัศจรรย์ของปัญญาจักษุ ๑๐. สรรพสัตว์ในอสุรกาย ๑๑. ที่เรียกว่ารู้แจ้งคืออะไร ๑๒. พุทธะคืออะไร ๑๓. สภาพโดยสังเขปภายในไตรภูมิ ๑๔. ทำบุญทำทานไม่อาจหลุดพ้น ๑๕. ไหว้พุทธไม่สามารถสำเร็จเป็นพุทธะได้ ๑๖. เหตุใดจึงต้องกินมังสวิรัติ กุญแจสู่การรู้แจ้งในทันที เล่มที่ ๒ ๑. พุทธะไม่ใช่อนุตตรสัมมาสัมโพธิ ๒. พลังอำนาจอนุตตรสัมมาสัมโพธิอยู่ในตัวอาจารย์ที่แท้จริง(๑) ๓. พลังอำนาจอนุตตรสัมมาสัมโพธิอยู่ในตัวอาจารย์ที่แท้จริง(๒) ๔. หลุดพ้นจากการเกิดการตายต้องอาศัยธรรมวิถีกวนอิม ๕. อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการบำเพ็ญปวงโพธิสัตว์ในมหรรณพพิสุทธิ์ ๖. ออกจากโลกมีแต่กรรมติดตัว ๗. รู้แจ้งคือพุทธะ อวิชชาคือสรรพสัตว์ ๘. เหตุใดฌานของอินเดีย จีน ญี่ปุ่น เป็นต้นจึงไม่เหมือนกัน ๙. ธรรมวิถีกวนอิมเสียงจากภายใน ๑๐. การหลุดพ้นจากไตรภูมิมีเพียงวิถีทางเดียว ๑๑. การแปลงกายไม่มีอะไรพิสดาร ๑๒. คนประเภทไหนได้ไปโลกสุขาวดี ๑๓. กินผักก็มีกรรมกีดขวางเช่นกัน ๑๔. อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าพุทธศาสนิกชน กุญแจสู่การรู้แจ้งในทันที เล่มที่ ๓ ๑. หยินหยางสมดุจจึงเป็นพุทธ ๒. สภาพก่อนถึงแก่กรรม ๓. อิทธิปาฏิหาริย์ดำขาว ๔. หนอนงู ๕. ทำความเข้าใจกับภารกิจของมาร ๖. สนามแม่เหล็กของอาจารย์แท้ที่บรรลุธรรมมีแรงดึงดูดสุดประมาณ ๗. “กรรมกีดขวาง” กับ “กรรมลิขิต” ต่างกันอย่างไร ๘. กรรมกีดขวางแท้จริงศูนย์ ๙. แรงสั่นสะเทือนสามารถขจัดกรรมกีดขวางได้ ๑๐. รู้แจ้งไม่ต้องอาศัยพระพุทธรูป ๑๑. ความหมายแท้จริงของอมิตาภสรรเสริญ ๑๒. บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมมีพลานุภาพบำบัดโรคได้ กุญแจสู่การรู้แจ้งในทันที เล่มที่ ๔ ๑. พุทธกลายเป็นปุถุชนได้อย่างไร ๒. ความเป็นมาของอูลัมพนะ ๓. อาจารย์สมัยอยู่ภูเขาหิมาลัย ๔. ทำประทับใจก็เป็นพุทธแล้ว ๕. คำอธิบายใหม่ของอัฐคารวะธรรม ๖. การถอดวิญญาณต่างกับสภาพของตถาคต ๗. จะเข้าใจอำนาจอธิษฐานปลุกเสกของอาจารย์อย่างไร ๘. ปัจเจกพุทธ กุญแจสู่การรู้แจ้งในทันที เล่มที่ ๕ ๑. วิชาล่องหนหายตัว ๒. เรียนรู้ความเป็นพุทธของตนเอง ๓. อาจารย์ดีมาเพื่อรื้อขนสรรพสัตว์โดยแท้ ๔. จะยึดกุมบุญญานิสงส์หลีกเลี่ยงกรรมกีดขวางอย่างไร ๕. ภัยธรรมชาติภัยสังคมเกิดจากเจตสิก ๖. เรื่องราวของดวงดาวในจักรวาล ๗. เคล็ดลับของการบำเพ็ญให้รุดหน้า ๘. ธรรมวิถีมี่ ธรรมวิถีตากผ้าของธิเบต ๙. ธรรมวิถีกวนอิมต่างกับอิทธิปาฏิหาริย์อย่างไร ๑๐. เห็นอาจารย์แว่บเดียวรับรองหลุดพ้น ๑๑. ภารกิจของโพธิสัตว์มหาสัตว์ กุญแจสู่การรู้แจ้งในทันที เล่มที่ ๖ ๑. การนั่งบำเพ็ญเป็นต้นกำเนิดของพลังรัก ๒. เคล็ดวิชาที่สามารถอยู่เหนือเหตุและผลแห่งกรรมกีดขวาง ๓. สัจธรรมปุณฑริกสูตรที่แท้จริง ๔. อำนาจแห่งความรักกับเหตุผลทั่วไป ๕. พลังแรงอธิษฐาน ๖. การเบิกเนตรที่แท้จริง ๗. บำเพ็ญวิถีโพธิสัตว์จะต้องทนทุกข์ได้ ๘. วิธีบำเพ็ญก่อนธรรมวิถีกวนอิม ๙. ท่าไม้ตายของการโจมตีอาจารย์ดี ๑๐. ธรรมวิถีรองเท้าบู๊ต ๑๑. พึ่งตัวเองก็คือพึ่งพระเจ้าสูงสุด ๑๒. จักรวาลรวมตัวเราอยู่ในนั้นด้วย ๑๓. นิรมาณกายร้อยพันล้าน ๑๔. สมาธิชั้นสูง ความสำคัญของการค้นพบอาจารย์ดี ๑๕. ขอให้สันติภาพเริ่มจากตัวเราก่อน หมายเหตุ : น่าเสียดายที่คนตายไม่ได้อ่าน แต่ที่น่าเสียดายยิ่งกว่าคือคนเป็นที่ยังไม่ได้อ่าน หนังสือดีแห่งยุคที่แต่ละตัวอักษรบรรจุด้วยพลังพรแห่งพุทธโพธิสัตว์ในทศทิศ ผู้สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ สมาคมนานาชาติอนุตราจารย์ชิงไห่ ศูนย์กรุงเทพ 537/191-192 ซอยสาธุประดิษฐ์ 37 ถนนสาธุประดิษฐ์ แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กทม. 10120 โทรศัพท์ 02-682-0015 โทรสาร 02-682-0014 รถเมล์ที่ผ่านหน้าซอย สาย 35, 62, สองแถวแดง สาย 1279 (วัดดอกไม้)
ยามวิกาลดึกดื่นแห่งเหมันตฤดู ฉันเดินอยู่ในซอยเปลี่ยวระหว่างทางกลับบ้าน บรรยากาศของเมืองมหานครที่ขมุกขมัวมัวซัวทำให้หัวใจฉันรู้สึกสั่นสยิวเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นสั่นสะท้าน นครแห่งความรุ่งเรืองรุ่งโรจน์ นครแห่งอาชญากรรม นครอันแปลกหน้าที่ไม่เคยเป็นมิตรไม่ว่าเวลาใด ฉันรีบสาวเท้าก้าวเดินอย่างรวดเร็วจนมาถึงกลางซอยอันมืดมิด รู้สึกถึงความเย็นเยียบตรงบริเวณไขสันหลัง เบื้องหน้าเป็นสะพานโค้งสูงสร้างจากปูนซีเมนต์ใช้สำหรับข้ามคลอง ตรงบริเวณเสาหัวสะพานทั้งสองข้างมีภูติผี ๒ ตนนั่งสถิตอยู่ รูปลักษณ์ของพวกมันน่าเกลียดน่ากลัวเป็นอย่างมาก ถึงฉันจะรู้สึกหวาดกลัวต่อพวกมัน แต่สำหรับฉันแล้ว มนุษย์ที่มีชีวิตในเมืองนี้ยังน่าหวาดหวั่นกว่าพวกมันมากนัก พวกมันกำลังนั่งกระซิบกระซาบสนทนากัน ขณะเดินผ่าน ฉันแอบได้ยินพวกมันเจรจากันด้วยถ้อยคำดังนี้... ผีตนแรก : ดูสิ สหาย! ดูความเจริญรุ่งเรืองของเมืองที่พวกเราร่วมกันสร้างมาด้วยสองมือเปล่าของเรา เมืองที่พวกเราต้องเอาชีวิตเข้าแลก หลั่งเลือดชโลมดิน จนแผ่นดินที่เราถือกำเนิดเกิดมาต้องฝังกลบหน้าของเราเองจึงจะได้มา ดูความเสื่อมทรามของมหานครอันยิ่งใหญ่นี้ ที่ในไม่ช้าจะเหลือเพียงเศษซากก้อนอิฐ เช่นเดียวกับสังขารของพวกเราที่หลงเหลือเพียงเศษธุลีดิน! ผีตนที่สอง : สหายเอ๋ย! ท่านจะเดือดร้อนไปไยเล่า? ในเมื่อพวกเราต่างก็มีหน้าที่เพียงเฝ้าดู จะแก้ไขอะไรได้ล่ะ? มหานครอันสวยงามนี้ยังคงงดงาม แต่จิตใจของคนต่างหากที่เสื่อมทรามอัปลักษณ์ลง หาใช่มหานครที่เราสร้างไม่! ผีตนแรก : ในขณะที่ผู้คนกำลังเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ท่ามกลางความหลับใหลอย่างขาดสติ พวกคนเขลาเหล่านี้ไม่รู้เลยว่าวันเวลาของตนกำลังใกล้หมดลงเต็มที กาลเวลากำลังชักนำพวกเขาเข้าสู่มหาพิบัติภัยครั้งใหญ่ในเวลาอันใกล้นี้ ช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าเสียจริง ! ผีตนที่สอง : วันเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงต่างหากล่ะ เพื่อนรัก! สังขารร่างกายของพวกเขาจะมีอะไรเล่า มันเป็นเพียงอาภรณ์ที่สวมใส่เท่านั้น จากร่างเด็ก กลายเป็นร่างหนุ่มสาว กลายเป็นร่างชรา และเปลี่ยนร่างใหม่เรื่อยไป ท่านก็ทราบแล้วว่าแท้จริงความตายไม่อาจทำอะไรกับมนุษย์พวกนี้ได้ ร่างกายย่อมผุพังเสื่อมสลายไปตามกาลเวลากลายเป็นกรวดดิน แต่จิตวิญญาณยังคงอยู่ยืนยง เหมือนกับพวกเรา ซึ่งเราก็ได้พิสูจน์แล้ว มิใช่หรือ? ผีตนแรก : มันก็จริงอยู่! แต่บทเรียนเหล่านี้ไม่มีความหมายอะไรต่อคนเขลาเหล่านี้เลยเหรอ? คนเหล่านี้ก็เหมือนเราที่ผ่านประสบการณ์การเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เหตุใดยังคงเลือกหนทางแห่งความพินาศมากกว่าการสร้างสรรค์โลกนี้ให้น่าอยู่ต่อไป อย่างน้อยก็ทำเพื่อตนเองและลูกหลานรุ่นต่อๆไป? ประสบการณ์ในอดีตไม่ได้สอนอะไรแก่พวกเขาให้ฉลาดขึ้นเลยหรือ? ผีตนที่สอง : มหาธรรมชาตินฤมิต สร้างสรรพชีวิตขึ้นมาได้ ไฉนจะกลืนกินเอากลับคืนไปมิได้เล่า? มหาธรรมชาติให้มนุษย์เป็นเจ้าปกครองเหล่าสัตว์และพืช พร้อมกับการสร้างสรรค์ตัวตนได้ตามความปรารถนา มนุษย์มีอำนาจในการเลือกหนทางของตนอย่างไม่สิ้นสุด และต้องรับผลแห่งการเลือกนั้น ธรรมชาติผู้ให้กำเนิดมิได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว เป็นเพียงผู้เฝ้าดูอยู่ข้างๆ เท่านั้น ให้อิสระแก่ทุกชีวิต และไม่พิพากษาตัดสินใคร สัตว์โลกล้วนเป็นไปตามกรรมที่ตนเองก่อ พวกเขาสรรค์สร้างนรกและสวรรค์ขึ้นมาเอง รวมทั้งพิพากษาตัวเอง! ผีตนแรก : แต่เหตุไฉนคนเขลาเหล่านี้จึงเลือกที่จะตั้งระเบิดเวลาเพื่อทำลายตัวเองและชีวิตอื่นด้วยเล่า? ศีลธรรมอันดีงามถูกลืมเลือนไปจากสังคม สัตว์และพืชถูกเข่นฆ่าเพื่อเสนอสนองตัณหามนุษย์ ธรรมชาติสร้างให้มนุษย์ประเสริฐเลิศกว่าสัตว์ทั้งหลาย ไฉนกลับทำตัวเยี่ยงเดียรัจฉานเสียเอง ด้วยการทำตนเป็นนักล่าเข่นฆ่าพวกเดียวกันเองแล้วยังทำลายชีวิตสัตว์และพืชอื่นอีก? คนเขลาเหล่านี้มักสร้างขุมนรกขึ้นมาในโลกอยู่เสมอๆ ตลอดทุกยุคทุกสมัย เพียงเพื่อฝังกลบตัวเอง ! ผีตนที่สอง : สหายเอ๋ย! นี่เป็นผลจากการที่มนุษย์มุ่งเน้นพัฒนาวัตถุมากกว่าจิตวิญญาณ ผลจากการมองสัตว์และพืชต้อยต่ำกว่าพวกตน และไม่เคยให้เกียรติใคร ผลแห่งการลืมเลือนธรรมชาติผู้ให้กำเนิด พวกเขาจึงต้องรับผลแห่งการเลือกนั้นในไม่ช้านี้ ถ้าหากยังไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเดิม นั่นคือการไม่เคารพชีวิตพืชและสัตว์ อันเป็นการแสดงถึงการไม่เคารพตัวเอง เพราะสรรพสิ่งเป็นองค์เดียวกัน มาจากรากเหง้าเดียวกัน! ผีตนแรก : มันจะมีประโยชน์อะไรเล่า เพื่อนเกลอ? ไม่ว่าอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต คนเขลาเหล่านี้ก็ยังคงมีนิสัยป่าเถื่อนเหมือนเดิม ท่านดูสิ! ในท่ามกลางหมู่พวกเขามีปีศาจ เปรต สัตว์นรกเดินปะปนกันอยู่กลาดเกลื่อนล้นเมืองจนจำแนกแยกแยะไม่ออกว่าใครเป็นใคร บางคนก็เพิ่งพ้นโทษทัณฑ์ขึ้นมาหมาดๆจากขุมนรก ในแววตายังคงแฝงความอาฆาตมาดร้ายด้วยเพลิงแค้นจนแดงฉาน จับจ้องคอยเล่นงานคู่อริและพวกเดียวกัน พร้อมที่จะก่อสงครามได้ทุกเมื่อ นี่คือเหล่าเจ้ากรรมนายเวรตั้งแต่ครั้งภพชาติในอดีต รอคอยทวงถามหนี้กรรมจากพวกเขา จะเรียกมหานครที่เจริญรุ่งเรืองได้อย่างไรเล่า ในเมื่อทั้งเมืองเต็มไปด้วยสัตว์นรกอันร้ายกาจจากห้วงอเวจี? ผีตนที่สอง : มนุษย์ สัตว์ พืช ต่างก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรของกันและกัน กินกันไป กินกันมา ฆ่ากันไป ฆ่ากันมา จึงเวียนว่ายตายเกิดอยู่เช่นนี้ ก็ล้วนแล้วแต่ชดใช้หนี้กรรมที่ตัวเองก่อ ในขณะเดียวกันก็สร้างกรรมใหม่ขึ้นมาจนพัวพันยุ่งเหยิงหาเบื้องปลายไม่ได้ แต่ยังดีที่มหาธรรมชาติยังมีเมตตาส่งเหล่าบรรดามหาอาจารย์และนักบุญทั้งหลายลงมาเพื่อปลุกมนุษย์ผู้โง่เขลาเหล่านี้ ในท่ามกลางทุรยุคอันเสื่อมทรามนี้ด้วยเช่นเดียวกัน! ผีตนแรก : เพื่อนเอ๋ย! ท่านก็เห็นแล้วว่ามหาอาจารย์เหล่านี้มีสภาพเป็นเช่นใดตอนที่มีชีวิตอยู่ในอดีต พระกฤษณะ พระโมฮัมหมัด ต้องเสี่ยงตายร่วมรบกับคนเขลาเหล่านี้ในสงครามที่พวกท่านไม่ได้ก่อ เพื่อธำรงธรรมเอาไว้ มิเช่นนั้นคนชั่วก็จะครองเมือง คนเขลาเหลานี้ไม่เคยทำอะไรนอกจากการก่อสงคราม พระศากยมุณีพุทธเจ้า ถูกปาด้วยก้อนหิน ต้องเสวยหญ้ากับม้านานหลายเดือนแล้วยังถูกญาติตัวเองตามฆ่าราวีอีก ที่ร้ายกว่านั้น! พระเยซูถูกปลงพระชนม์บนไม้กางเขนอย่างน่าสยดสยอง เพียงเพราะพวกท่านพูดถึงเรื่องความรักและสันติภาพ พวกท่านต่างมีชื่อเสียงภายหลังจากเสียชีวิตไปแล้ว แต่ยามมีชีวิตอยู่ล้วนลำบากยากเข็ญ ถูกใส่ร้ายป้ายสีต่างๆ นานา พวกคนเขลาหรือจะเข้าใจ? บาปกรรมของมนุษย์หนักหนาแค่ไหนท่านต่างก็ทราบดี แล้วจะหวังอะไรได้อีกเล่า? ผีตนที่สอง : มีข่าวดีก็คือว่าสรรพชีวิตทั้งคน สัตว์และพืช ในยุคปัจจุบันนี้ล้วนได้รับการปลดปล่อยทางจิตวิญญาณทั้งหมดภายหลังจากความตายด้วยพลังอำนาจแห่งมหาอาจารย์และนักบุญทั้งหลายที่มีชีวิตอยู่ในโลกเวลานี้ พวกเขาไม่ต้องไปทุคติรับทัณฑ์ทรมานในนรกอเวจี ล้วนไปสู่สุคติด้วยกันทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่คนที่บาปที่สุดในโลก! แต่ข่าวร้ายก็คือว่ามหาอาจารย์และเหล่านักบุญยังไม่สามารถยับยั้งวันมหาโลกาวินาศตอนสิ้นปี ๒๐๑๒ ได้ พวกท่านกำลังทำงานกันอย่างหนักต่อไปเพื่อหยุดยั้งระเบิดเวลาทำลายล้างชีวิตครั้งนี้ลงให้จงได้! ผีตนแรก : บาปเคราะห์อันหนักหนาสาหัสของพวกคนเขลาเหล่านี้ ต่อให้พลังมหาอาจารย์ทั้งสิบทิศก็ยังยากยิ่งที่จะต้านทานเอาไว้ได้ แม้ท่านจะเคยทำสำเร็จมาแล้วหลายครายามที่โลกยืนปริ่มอยู่ริมปากขอบเหวลึกแห่งความหายนะก็ตาม แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ในที่สุดก็คงเหลือชีวิตรอดเพียงแค่หยิบมือเดียวเท่านั้น พวกตาบอดหูหนวกเหล่านี้จะรับรู้อะไร จะสนใจก็แต่เพียงเรื่องปากท้องของตัวเอง ผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น ผู้นำก็สนใจแต่เศรษฐกิจ การเมือง เรื่องไร้สาระทั้งสิ้น โลกยังจะมีความหวังอะไรอีกเหรอ? ผีตนที่สอง : ภายใน ๒ ปีที่เหลือนี้ถ้าหากมนุษย์หยุดการเข่นฆ่าสัตว์และพืช โดยเฉพาะเว้นขาดจากการกินเนื้อสัตว์เสียก่อน โลกก็อาจยืดอายุต่อไปได้อีก แล้วจึงค่อยไปแก้ไขปัญหาอื่นก็ยังทันท่วงที เหล่ามหาอาจารย์จึงพยายามรณรงค์เรื่องนี้ก่อนเป็นอันดับแรก ทำแม้กระทั่งร้องขอให้เหล่าทวยเทพเทวดาลงมาช่วยดลจิตดลใจมวลมนุษย์เพื่อให้กลับใจเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเสีย ถ้าหากพวกท่านสามารถกระทำได้สำเร็จ งานต่อไปของท่านก็คือการสร้างสันติภาพขึ้นในโลก พวกเราจะได้เห็นอหิงสาธรรมครองโลก ซึ่งแม้แต่บรรดาสัตว์ก็จะไม่กินกันเอง โลกจะกลายเป็นสวรรค์อย่างแน่นอน! ผีตนแรก : มันจะเป็นไปได้หรือ? ในเมื่อมนุษย์ยังคงป่าเถื่อนเยี่ยงนี้! มองเห็นสัตว์อื่นเป็นอาหาร ทำร่างกายตัวเองเป็นหลุมฝังศพของสรรพสัตว์จนเหม็นกลิ่นสาบราวซากศพเดินได้ แม้แต่เทวดายังไม่กล้าเข้าใกล้ ทำลายพืชพันธุ์มากมายด้วยความเห็นแก่ได้ โดยไม่เคยรับรู้ความรู้สึกเจ็บปวดของพวกมัน มนุษย์อาจจำเป็นต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดจากการทำลายล้างที่จะถึงนี้ บทเรียนนี้อาจจำเป็นต่อมนุษย์ก็ได้ คงมีเพียงไฟนรกเท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงนิสัยคนพวกนี้ได้ แต่อย่างไรเสียเรื่องราวเหล่านี้ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเราที่ไม่ใช่มนุษย์ ! ผีตนที่สอง : ใช่แล้วสหาย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นล้วนแล้วแต่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเราทั้งสิ้น! เมื่อพวกมันเจรจากันจนจบลง ความเงียบก็เข้าครอบคลุมบริเวณนี้อีกครั้ง พวกมันต่างก็พากันลุกเดินจากไป จากร่างภูตผีสองตนก็หลอมรวมเข้าเป็นร่างเดียวกัน ลับหายไปภายใต้แสงจันทร์ครึ่งเสี้ยวยามรัตติกาล ณ มหานครอมรฟ้าอันเรืองรุ่งที่ไม่เคยหลับใหล.....
เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง ธรรมชาติก็เจรจาด้วยลิ้นของสายน้ำและลำธารทำให้หัวใจปรีดา มันยิ้มด้วยยิ้มของดอกไม้และทำให้ดวงจิตปลื้มเปรมยินดี ครั้นแล้วมันกลับโกรธขึ้ง รื้อทำลายบ้านเมืองอันสวยงามและทำให้มนุษย์ลืมความหวานของถ้อยคำและความอ่อนละมุนแห่งรอยยิ้มของมันเสีย พลังอันมืดบอดและน่าหวาดหวั่นได้ทำลายสิ่งที่ถูกสร้างมานับกาลนานลงในชั่วนาทีเดียว ความตายอันไร้ปรานีได้บีบแน่นบนคอหอยและขย้ำมันอย่างไร้เมตตา เปลวไฟซึ่งเผาผลาญก็กลืนกินทั้งอาหารและชีวิต ราตรีมืดมิดซ่อนบังความงามแห่งชีวิตไว้ภายใต้ผ้าคลุมแห่งความมืดมัว สรรพสิ่งอันน่ากลัวผุดขึ้นมาจากสถานที่พักของมันเพื่อทำศึกกับมนุษย์เมื่อเขาอ่อนแอลง และทำลายที่อยู่อาศัยของเขาเสีย พัดเอาสิ่งที่เขาได้รวบรวมมาเป็นชั่วโมงกระจัดกระจายไปในชั่ววินาทีเดียว แผ่นดินไหวขนานใหญ่ซึ่งพื้นดินรู้ว่าความทุกข์ทรมานเจ็บปวดทั้งหลายจักไม่เกิดผลอันใดนอกจากความพินาศและทุกข์เข็ญ และมันเป็นเช่นนั้นในขณะที่ดวงจิตอันเศร้าสร้อยมองดูจากที่ไกล เฝ้าเศร้าโศกและครุ่นคิด ใคร่ครวญถึงราตรีอันจำกัดของมนุษย์เบื้องหน้าอำนาจที่มองไม่เห็น และสลดใจไปกับเหยื่อที่หนีจากไฟและความพินาศ คิดถึงศัตรูของมนุษย์ซึ่งซุกซ่อนอยู่ใต้ชั้นดินและในทุกอณูของอากาศ โศกเศร้าไปกับเหล่ามารดาผู้คร่ำครวญและลูกๆ ที่หิวโหย คิดถึงความโหดร้ายของสรรพสิ่งและความกระจ้อยร่อยของชีวิต แบ่งปันรับไว้ซึ่งความทุกข์โศกของผู้ที่วันวานนี้หลับอย่างปลอดภัยอยู่ในบ้านแต่วันนี้กลับยืนอยู่ห่างไกล โศกศัลย์ถึงบ้านเมืองอันสวยงามด้วยเสียงสะอื้นขาดเป็นห้วงและน้ำตาอันขมขื่น มันได้เห็นว่าความหวังกลายมาเป็นความหมดหวัง ความร่าเริงกลายเป็นความเศร้าโศก และความสงบกลายเป็นไม่สงบได้อย่างไรแล้วมันก็ร่ำไห้อยู่ด้วยหัวใจอันสั่นไหวอยู่ในมือแห่งความเศร้า สิ้นหวังและทรมาน ดังนั้นดวงจิตจึงยืนอยู่ระหว่างความสลดและครุ่นคิด ประเดี๋ยวก็สงสัยในความยุติธรรมของกฎแห่งพระเจ้าซึ่งผูกพันพลังหนึ่งเข้ากับอีกพลังหนึ่งประเดี๋ยวก็หันกลับมาและพึมพำลงในหูของความเงียบ “ที่แท้แล้วโพ้นการสร้างสรรค์ไปนั้นมีปัญญานิรันดรอันหนึ่งซึ่งเกิดจากความพินาศเสียหายซึ่งเราได้เห็นแต่เรามิได้เห็นผลดีของมัน ไฟแผ่นดินไหวและพายุนั้นเป็นแก่ตัวตนของโลกเช่นเดียวกับความเกลียดชังริษยาและชั่วร้ายในหัวใจของมนุษย์ มันลุกฮือกระพือโหมขึ้นแล้วก็เงียบลง จากความเกรี้ยวกราด กระพือพัดและความสงบของมันนั้นปวงเทพได้สร้างความรู้อันงดงามขึ้นมาซึ่งมนุษย์จะต้องติดตามเอาด้วยเลือดน้ำตาและผลกำไร “ฉันยืนอยู่ในความรำลึกถึงโศกนาฏกรรมแห่งมนุษย์นี้ทำให้โสตของฉันเต็มไปด้วยเสียงถอนใจและคร่ำครวญ และต่อหน้าสายตาของฉันปรากฏหยาดน้ำตาและเคราะห์กรรมซึ่งไหลข้ามเวทีแห่งวันวานมา “ฉันได้เห็นมนุษย์ทุกรุ่นทุกสมัยสร้างหอคอยปราสาทและโบสถ์วิหารลงบนทรวงอกของโลก แล้วแผ่นดินก็ได้นำมันกลับไปสู่หัวใจของมัน “ฉันได้แลเห็นเช่นเดียวกันว่าผู้แข็งแรงได้สร้างอาคารอันมั่นคงและช่างหินได้สร้างรูปสลักและภาพเขียนบนแผ่นหิน ช่างเขียนก็ตกแต่งผนังและประตูด้วยภาพวาดและภาพเขียน แล้วฉันก็ได้เห็นผืนธรณีนี้อ้าปากกว้างและกลืนกินงานสร้างสรรค์จากมืออันมีศิลปะและใจอันลึกซึ้งลงไปหมด ทำรูปสลักและภาพเขียนเหล่านั้นให้เปรอะเปื้อนด้วยความกระด้างของมัน ทำลายเส้นร่างและภาพวาดลงด้วยความกริ้วโกรธ ฝังกำแพงและเสาอันงดงามเสียเพราะความกราดเกรี้ยว ทำให้ที่พำนักอันงามสง่าว่างเปล่าจากสิ่งตกแต่งซึ่งมนุษย์ได้ประดับประดาไว้ แล้วก็วางเสื้อคลุมสีเขียวแห่งท้องทุ่งอันประดับด้วยสีทองแห่งเม็ดทรายและเพชรพลอยแห่งกรวดหินไว้แทนที่” แม้กระนั้นฉันก็ยังพบความสูงส่งของมนุษย์ยืนหยัดเสมือนยักษาท่ามกลางสิ่งผิดพลาดและเคราะห์กรรมเหล่านั้น พลางเย้ยหยันความโง่เขลาของโลกและความโกรธเกรี้ยวของธาตุต่างๆ ในท่ามกลางซากปรักหักพังแห่งบาบิโลน ไนน์เวห์ ปาล์มีรา บอมเบย์และซานฟรานซิสโก มันยืนเด่นอยู่ดังลำแสงสว่าง มันร้องเพลงแห่งอมตภาพออกมาว่า “เชิญโลกเอาทุกสิ่งที่เป็นของมันกลับไปเถิด เพราะฉันคือผู้ไม่รู้จักตาย” คาลิล ยิบราน น้ำตาและรอยยิ้ม กิติมา อมรทัต แปล