11 กันยายน 2553 02:25 น.

จุดพลิกผัน....

คีตากะ

การเตือนที่เร่งด่วน


-    ดร.เจมส์ แฮนเซน ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการศึกษาอวกาศกอดดาร์ดของนาซ่า สหรัฐอเมริกา เตือนว่าถึงแม้มาตรฐานการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์(CO2) ที่หนาแน่นที่สุดที่บังคับในปัจจุบันต้องต่ำกว่าเดิมเพื่อรับประกันความอยู่รอดของดวงดาว เขากล่าวว่า”สิ่งที่เราค้นพบคือเป้าหมายที่เรามุ่งหวังไว้นำไปสู่หายนะ หายนะที่ถูกรับประกัน”

-    นักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลีย ศาสตราจารย์ดร.โรส การ์นัว เตือนว่าเรามีเวลาและทางเลือกอย่างจำกัดสำหรับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ การวิจัยของเขาบอกว่าออสเตรเลียต้องลดการปล่อยแก็สเรือนกระจกลงมากกว่า 90% ภายในปี 2593

-    นักวิทยาศาสตร์มากกว่า 600 คนจากทั่วสหรัฐอเมริการะบุในจดหมายถึงสภาคองเกรสอย่างเร่งด่วนให้มีการผ่านร่างกฎหมายว่าต้องลดการปล่อยแก็สเรือนกระจกต่ำกว่า 65% ในจดหมายนั้น นักวิทยาศาสตร์ยังแถลงว่า”ภาวะโลกร้อนแสดงให้เห็นในระยะยาวของภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับทรัพยากรที่อาศัยยู่บนดาวเคราะห์โลก”

-    นายกรัฐมนตรีคนก่อนของอังกฤษ นายโทนี่ แบลร์กล่าวว่าเราต้องลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังใน 2 ปีต่อจากนี้ โดยกล่าวว่าเราได้มาถึงจุดวิกฤตตอนนี้เพื่อการตัดสินใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้จะมีการใช้กฎเกณฑ์ป้องกันที่นุ่มนวลที่สุด ยังคงประสบความล้มเหลวในการปฏิบัติต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในขณะนี้ ซึ่งเป็นการขาดความรับผิดชอบและไม่น่าให้อภัยอย่างที่สุด

-    ในการเปิดการประชุมทั่วไป 2 วันเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ นายบาน คี มุน กระตุ้นให้ประเทศที่พัฒนาแล้วเริ่มที่จะขับเคลื่อนเพื่อตอบโต้กับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน เขาเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จะสนับสนุนเทคโนโลยี่สะอาด อุตสาหกรรมและงานแบบใหม่ๆ และรวบรวมความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศเข้าไปในนโยบายและวิธีปฏิบัติของประเทศ

-    ดร.เดวิด อาร์เซอร์ ศาสตราจารย์ทางวิทยาศาสตร์ด้านธรณีฟิสิกส์ แห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก สหรัฐอเมริกา แถลงว่าผมมีความคิดว่าเราได้ผ่านขีดจำกัดอันตรายไปแล้ว ปริมาณน้ำแข็งทะเลในมหาสมุทรอาร์กติกได้ลดจำนวนลงกว่าหลายปี แต่ในปี 2550 มันได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ และการเกิดแผ่นดินไหวและการเร่งการเคลื่อนตัวของน้ำแข็งในกรีนแลนด์ ผมคิดว่านี้คือสัญญาณบอกว่าเรากำลังอยู่ในดินแดนที่อันอันตราย

-    การสังเกตุผลที่ตามมาของแนวโน้มภาวะโลกร้อนในสหรัฐอเมริกาซึ่งประกอบด้วยการเกิดไฟป่าที่ถี่มากขึ้น ต้นไม้จำนวนมากล้มตายจากแมลงศัตรูพืช ธารน้ำแข็งละลายในมอนทานา และการขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรงในหลายๆ รัฐ สตีเฟน ซอนเดอร์ประธานองค์การภูมิอากาศแห่งเทือกเขาร็อกกี้กล่าวว่ามันได้เริ่มขึ้นแล้ว เราจะได้เห็นผลกระทบและนักวิทยาศาสตร์กำลังบอกเราว่ามันกำลังจะแย่ลงลงอย่างเห็นได้ชัด

-    นักวิทยาศาสตร์ชาวกรีก ดิมิทรีส ลาลาส กล่าวว่าเราได้เห็นอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูร้อน ประมาณ 6-7 องศาเซลเซียสตลอดสองสามปีที่ผ่านมา ในขณะที่อุณหภูมิโดยเฉลี่ยได้เพิ่มขึ้นในส่วนอื่นๆ ของโลกประมาณ 3-4 องศาเซลเซียสแล้ว

-    การวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้โดยกรีนพีซได้สรุปว่าระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น การลดลงของแหล่งน้ำจืด และการเปลี่ยนแปลงของฤดูมรสุมเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งจะนำไปสู่การไร้ที่อยู่อาศัยของประชาชนชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จำนวนกว่า 125 ล้านคน

-    นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียนายเควิน รูด และเลขาธิการองค์การสหประชาชาตินายบาน คี มุนเห็นด้วยที่ว่าการดำเนินการเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นไปอย่างล่าช้ามาก

-    คณะกรรมาธิการยุโรประบุว่าความเสี่ยงในการเกิดสึนามิเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในโมร็อกโค นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ สเปน และเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก ซึ่งกำลังพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้าเพื่อป้องกันภัยให้แก่ประชาชน

-    ดร.เท็ด สแคมบอส หัวหน้านักธรณีวิทยาน้ำแข็ง มหาวิทยาลัยโคโลราโด สหรัฐอเมริกากล่าวว่าในบริเวณขั้วโลก ใครก็ตามที่ทำงานวิทยาศาสตร์ขั้วโลก ไม่มีใครตั้งคำถามว่าเราอยู่ในโลกที่ร้อนขึ้นหรือไม่ ? เราอยู่ในความกังวลเพราะเราเห็นน้ำแข็งอยู่ในพื้นที่ทุกปีและแผ่นน้ำแข็งที่อยู่ที่นั่นมานานถึง 10,000 ปี นับตั้งแต่ยุคน้ำแข็งครั้งล่าสุดได้อันตธานหายไปเพราะว่าสภาพภูมิอากาศได้ร้อนขึ้นอย่างมากและในตลอดเวลา 20-30 ปีที่ผ่านมามันยิ่งร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ 

-    ในคำกล่าวของชาวสก๊อตว่ามีการกัดเซาะชายฝั่งทะเลเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ริชาร์ด ล๊อคเฮดเลขาคณะรัฐมนตรีเพื่องานชนบทและสิ่งแวดล้อมกล่าวว่ามันกำลังเกิดขึ้นขณะนี้และเราต้องช่วยกัน

-    ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศเชื่อว่าประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศสและทางตอนเหนือของยุโรปจะประสบกับฝนตกหนักอย่างรุนแรงเพิ่มขึ้นอีก 20-30% จะนำไปสู่การเพิ่มโอกาสของการเกิดน้ำท่วมฉับพลันอย่างรุนแรง


จุดผลิกผัน

สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ สหราชอาณาจักรระบุว่ามี 9 บริเวณของโลกที่ถูกคุกคามอย่างวิกฤตที่สุดจากระบบภูมิอากาศ ทั้งหมดกำลังประสบกับความเครียดอย่างรุนแรง จุดผลิกผันที่สำคัญประกอบด้วย
1) การละลายของชั้นน้ำแข็งที่อาร์กติก
2) การละลายของแผ่นน้ำแข็งที่กรีนแลนด์
3) การพังทลายของแผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกาตะวันตก
4) การตายของป่าฝนอะเมซอนเนื่องมาจากกระบวนการกลายเป็นทะเลทราย
5) การพังทลายของลมมรสุมฤดูร้อนของอินเดีย
6) การตายของป่าบอรีลทางตอนเหนือ


จุดพลิกผันที่ 1-3 : มหาสมุทรอาร์กติก แผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์และแอนตาร์กติกกำลังหายไปในอัตราที่เร่งด่วนเกินกว่าสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่ปรากฏในภาพยนต์

-    จากข้อมูลในฤดูร้อนปี 2550 ฤดูกาลละลายของทะเลอาร์กติก มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนเพิ่มมากขึ้นสรุปว่าน้ำแข็งทะเลอาจหายไปทั้งหมดในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2551-2555 เร็วขึ้น 30 ปีจากที่เคยคาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้า นักวิทยาศาสตร์ผู้ทำการทำนายนี้ประกอบด้วย ดร.เจย์ ซวอลลี่ นักวิทยาศาสตร์โครงการสำรวจระบบโลกแห่งนาซา ดร.หลุยส์ ฟอร์เทีย ผู้อำนวยการวิทยาศาสตร์การวิจัยเครือข่ายอาร์ติกแห่งแคนาดา และดร.โอลาฟ ออฮึม หัวหน้านักวิทยาศาสตร์สำนักงานเลขาธิการปีขั้วโลกสากลแห่งนอร์เวย์

-    นักวิทยาศาสตร์ องค์การบริหารเพื่อการศึกษาการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา(NASA) ประกาศว่าน้ำแข็งที่มีอายุเก่าแก่กว่า หนากว่าของน้ำแข็งอาร์กติกขณะนี้ก่อตัวขึ้นเพียง 30% ของน้ำแข็งที่ปกคลุมขั้วโลกทดแทนน้ำแข็ง 30% ที่ลดลงตลอด 20 ปีที่ผ่านมา

-    นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเบริน ศึกษาตัวอย่างแท่งแกนน้ำแข็งจากกรีนแลนด์และแอนตาร์กติกาพบว่าภาวะโลกร้อนช่วงศตวรรษที่ผ่านมารุนแรงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับ 22,000 ปี (22 สหัสวรรษ) ก่อน พร้อมด้วยอัตราที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

-    ในเดือนมีนาคม แอนตาร์ติกาตะวันตกพบกับการแตกตัวของหิ้งน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สุด 15 ปีล่วงหน้าก่อนที่เคยคาดการณ์ ซึ่งกำลังเตือนนักวิทยาศาสตร์ถึงการเร่งของมันในการจมลงสู่ท้องทะเล


จุดพลิกผันที่ 4

ป่าฝนอะเมซอนอยู่ภายใต้การคุกคาม
-    เกือบ 20% ของแก็สเรือนกระจกมีต้นกำเนิดมาจากการทำลายป่า ด้วยการเริ่มต้นถางป่าเพื่อใช้ที่ดินในการปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์ ปลูกพืชอาหารสัตว์ หรือปลูกพืชเพื่อทำเชื้อเพลิงชีวภาพ

-    ดร.โจส มาเรนโกและเพื่อนร่วมงานชาวบราซิล สรุปว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นสาเหตุของความแห้งแล้งครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์อะเมซอนช่วงปี 2548 ทิ้งไว้เพียงแม่น้ำสาขาย่อยของแม่น้ำอะเมซอนอันยิ่งใหญ่ที่แห้งขอด

-    การปศุสัตว์ สิ่งแวดล้อม และการพัฒนาเพื่อแก้ไขความยากจนภายใต้องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติคำนวณว่า ป่าอะเมซอน 70% ถูกตัดไปเพื่อการผลิตเนื้อสัตว์



จุดพลิกผันที่ 5

ฤดูมรสุมอินเดียได้เพิ่มมากขึ้นอย่างไม่แน่นอน
มรสุมอินเดียมีรูปแบบที่แปรปรวนอย่างมากได้นำไปสู่ความหายนะ
-    ในปี 2548 ฝนตกเพียงวันเดียวในวันที่ 26  กรกฎาคมก่อให้เกิดน้ำท่วมที่มุมไบวัดปริมาณน้ำฝนได้ถึง 944 มิลลิเมตรและมีผู้ประสบภัยกว่า 1,000 คน

-    ในปี 2549 ลมมรสุมนำฝนมาล่าสุดที่เขตมาราทวาดาของรัฐมหาราชตระเป็นสาเหตุให้เกิดน้ำท่วมพัดพาหมู่บ้านกว่า 400 หลังคาเรือนจมหายและก่อให้เกิดผู้สูญหายจำนวน 700 ชีวิต

-    ผลกระทบจากน้ำท่วมในปี 2550 ทำให้ประชาชนมากกว่า 19 ล้านคนต้องอพยพโยกย้ายถิ่นฐานและมากกว่า 1,300 ชีวิตสูญหาย รวมทั้งอินเดียและบังคลาเทศ


จุดพลิกผันที่ 6

การละลายของชั้นดินเยือกแข็งคงตัว(เพอร์มาฟรอสต์)ในป่าบอรีลกำลังปลดปล่อยแก็สคาร์บอนไดออกไซด์และมีเทนสู่ชั้นบรรยากาศ เป็นปัจจัยที่ยังไม่ได้นับรวมเข้าไปในการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน

-    โครงการสิ่งแวดล้อมของสหประชาชาติ(UNEP)เรียกร้องให้มีการวิจัยอย่างเร่งด่วนของอัตรายจากแก็สมีเทนที่ถูกปล่อยจากชั้นดินเยือกแข็งที่ละลาย ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้คุกคามเร็วกว่าการคาดการณ์ในปัจจุบัน ผู้อำนวยการของยูเอ็นอีพี อชีม สเตนเนอร์ กล่าวว่าความไม่รู้เกี่ยวกับปริมาณและอัตราของมีเทนที่ปล่อยจากอาร์กติกที่ละลายทำให้มันมีหัวข้อที่กว้างมากสำหรับการพิจารณาความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

-    นักวิทยาศาสตร์กังวลว่าแบคทีเรียในดินบริเวณที่เคยเยือกแข็งมาก่อนเหมือนอาร์กติกจะเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ปล่อยสู่บรรยากาศเป็นการเร่งให้สภาพภูมิอากาศร้อนขึ้นอีก พื้นดินสะสมคาร์บอนมากเป็น 2 เท่าของบรรยากาศ ดร.อิริค เดวิดสัน นักวิทยาศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิจัยวูดโฮล ในรัฐแมซซานชูเสส สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า สิ่งนี้เป็นเหมือนกับระเบิดเวลา ในความคิดผม กำลังรอที่จะถูกปล่อยออกมา มีการสะสมปริมาณคาร์บอนอย่างมหาศาลในชั้นดินเยือกแข็งคงตัวและทั้งหมดเหล่านี้เป็นผลเกี่ยวเนื่องอย่างรวดเร็วให้เกิดการสลายตัว ถ้าชั้นดินเยือกแข็งคงตัวละลาย

-    ด้วยอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นกำลังละลายชั้นดินเยือกแข็งคงตัวใต้เท้าของพวกเขา ประชาชนในซาล์ลุตทางตอนเหนือของคิวเบค แคนาดา พิจารณาถึงการย้ายเมืองทั้งหมดออกไปให้ไกลจากโคลนถล่ม อาคารและถนนพังทลาย

-    ชาวบ้านท้องถิ่นในอลาสก้าเรียกร้องเงินค่าเสียหายจากบริษัทที่รู้จัก ซึ่งผลิตแก็สเรือนกระจกปริมาณมาก เพื่อช่วยพวกเขาย้ายหมู่บ้านที่สร้างอยู่บนชั้นดินเยือกแข็งคงตัวที่กำลังละลาย

-    อุณหภูมิในป่าบอรีลในไซบีเรียและอลาสก้าเพิ่มสูงขึ้นเป็นสองเท่ากว่าอุณหภูมิเฉลี่ยที่เพิ่มสูงขึ้นในส่วนอื่นๆ ของดาวเคราะห์โลก

-    ดร.เคทีย์ วอลเตอร์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ของลิมโนโลจี แห่งมหาวิทยาลัยอลาสก้ายืนยันว่ามีเทนกำลังถูกปล่อยจากชั้นดินเยือกแข็งคงตัวที่กำลังละลายและเกิดเป็นฟองผุดขึ้นมาจากทะเลสาบอาร์กติกที่หนาวเย็นมาก ดร.วอลเตอร์ กล่าวว่าชั้นดินเยือกแข็งคงตัวเป็นเหมือนกับระเบิดเวลาที่รอการปะทุ เมื่อมันละลายไปเรื่อยๆ มีเทนปริมาณ 10,000 เทรากรัม(10,000 ล้านตัน) สามารถถูกปล่อยออกมาสู่บรรยากาศเพิ่มภาวะโลกร้อนให้สูงขึ้น เธอแถลงว่าแก็สคาร์บอนปริมาณ 950 จิกะตัน(950 พันล้านตัน) ถูกกักไว้ในชั้นดินเยือกแข็งคงตัวใต้พื้นทะเลสาบไซบีเรีย ซึ่งมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ที่อยู่ในชั้นบรรยากาศเวลานี้เสียอีก

-    ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศแห่งนาซา ดร.เจมส์ แฮนเซน แถลงว่า ในยุคประวัติศาสตร์ การปล่อยมีเทนจากการละลายของชั้นดินเยือกแข็งและแนวตะกอนที่ไม่เสถียรบนไหล่ทวีปใต้มหาสมุทร อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โลก



สภาพภูมิอากาศเกี่ยวข้องกับเรื่องสุขภาพ

-    หลังจากการเกิดน้ำท่วมในอังกฤษเมื่อฤดูร้อนที่แล้ว สัตวแพทย์ได้พบกับคลื่นความรุนแรงของเหตุการณ์การเกิดโรคร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่อสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่า พวกเขาชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ตกอยู่ในความเสี่ยง บางส่วนของโรคนี้สามารถติดต่อข้ามสายพันธุ์ได้
  
-    แพทย์จากโรงพยาบาลสำหรับเด็กป่วย ในโตรอนโต ออนทาริโอรายงานว่าที่อยู่อาศัยของพาหะนำโรค เช่น หมัดเห็บและยุงกำลังขยายจำนวนไปทั่วพื้นที่อยู่อาศัยอันหนาแน่นของประชากรแคนาดาเพราะว่าภาวะโลกร้อน

-    รายงานแจ้งโดยมหาวิทยาลัย แสตนฟอร์ดในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกายืนยันถึงความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างการเพิ่มขึ้นของระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศกับการเพิ่มขึ้นของอัตราการตายของมนุษย์

-    องค์การสุขภาพโลกยุคใหม่รายงานว่าสภาพอากาศที่รุนแรงกับและภัยพิบัติธรรมชาติสามารถนำความเครียดหลากหลายที่เกี่ยวข้องกับปัญหาด้านจิตใจและการฆ่าตัวตาย

-    รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณะสุขของอินโดนีเซีย ซิติ ฟาดิลาห์ สุพาริแถลงว่า ประชาชนในประเทศจำนวน 150,000 คน ตายทุกปี เนื่องมาจากการเปลี่ยนแลงสภาพภูมิอากาศเป็นสาเหตุให้เกิดการเจ็บป่วย

-    ดร.เจฟเฟรย์ ดีเมนแห่งมหาวิทยาลัยอลาสก้า อธิบายว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังส่งผลกระทบต่อสุขภาพสาธาณะชนในรัฐทางเหนือทั้งหมดของสหรัฐอเมริกาด้วยความเจ็บป่วยจากพาหะนำโรคจำนวนมาก

-    รายงานเมื่อเร็วๆ นี้จากแพทย์ในสมาคมแพทย์อังกฤษ(BMA) แถลงว่าภาวะโลกร้อนสามารถนำโรคเช่น ไข้มาลาเรีย มาสู่สหราชอาณาจักร เหมือนกับความเจ็บป่วยอย่างมะเร็งผิวหนังและโรคลมแดดผลจากคลื่นความร้อนที่เพิ่มขึ้น

-    แพทย์ด้านสิ่งแวดล้อมของออสเตรเลียมีรายงานออกมาอธิบายผลกระทบอย่างรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อสุขภาพมนุษย์จากความเจ็บป่วยทีเกี่ยวข้องกับความร้อนและสภาพอากาศที่รุนแรง มีการเพิ่มสูงขึ้นของโรคภูมิแพ้และโรคที่มียุงเป็นพาหะนำโรค

    การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นสาเหตุให้เกิดความแห้งแล้ง เชื้อเพลิงชีวภาพและความต้องการเนื้อสัตว์กำลังสร้างอาหารที่ไม่ปลอดภัย ความไม่สงบ และความอดอยากหิวโหย



เหตุผล

-    หนังสือพิมพ์สหราชอาณาจักร เดอะ การ์เดียนกล่าวว่า การกินเนื้อสัตว์เป็นสาเหตุสำคัญของความอดอยากในโลกและการขาดแคลนอาหาร ในบทความเรื่อง “ทำไมวีเก้นจึงถูกต้องในทุกๆ ด้าน” จากการสอบถามผู้ไม่เป็นมังสวิรัติ นักหนังสือพิมพ์ จอร์จ มอนบอทอธิบายว่าความต้องการเนื้อโดยความมั่งคั่งของโลกผลักดันให้ราคาธัญพืชสูงขึ้นมากต่อผู้โชคร้าย เพราะต้องใช้ธัญพืชมากกว่า 5 ปอนด์เพื่อจะสร้างเนื้อสัตว์ให้ได้ 1 ปอนด์ ทุกๆมื้อของอาหารที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์เป็นการเอาอาหารโดยตรงมาจากปากของผู้ยากไร้

-    ประธานคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ดร.ราเจนดรา  เค ปาเชารี กล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศกำลังเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยทางด้านอาหารที่อยู่ในบริเวณของธารน้ำแข็งที่กำลังละลาย

-    เลสเตอร์ บราวน์ประธานของสถาบันนโยบายแห่งโลกที่สหรัฐอเมริกา แถลงว่าความต้องการเชื้อเพลิงชีวภาพกำลังต้องจ่ายแพงมากขึ้นในตลาดสำหรับผู้โชคร้าย ขณะที่การเพาะปลูกของชาวนาและการขายพืชผลการเกษตรไปเพื่อทำเชื้อเพลิงแทนที่จะเป็นอาหาร

-    ด้วยปริมาณฝนที่มีลดลง 20% ในช่วง 35 ปีที่ผ่านมาและเหลือสำรองแค่ 10% ของความจุ ทำให้เกาะไซปรัสกำลังประสบกับการขาดแคลนน้ำเป็นประวัติการณ์

-    สมาชิกพิเศษด้านสิทธิทางอาหารของสหประชาชาติ ยีน ซีเกลอร์ เรียกร้องให้หยุดการผลิตกระบวนการทำเชื้อเพลิงชีวภาพในปัจจุบัน โดยกล่าวว่า “พวกมันเป็นอาชญากรรมที่ขัดต่อมนุษยธรรม” เพราะว่ามันกำลังเป็นสาเหตุของการขาดแคลนอาหารโลกและนำไปสูความอดอยากหิวโหยในโลก

-    เลขาธิการสหประชาชาติ นายบาน คี มุนเรียกร้องให้มีการทบทวนเรื่องเชื้อเพลิงชีวภาพอีกครั้งในการเป็นแหล่งพลังงานทางเลือก ด้วยการคิดถึงผลกระทบของการผลิตที่กำลังมีต่อราคาอาหารโลก


สถานการณ์ในปัจจุบัน


-    ประเทศผู้ผลิตข้าวอย่าง อินเดีย จีน เอาแลค(เวียตนาม) และอียิปต์กำลังจำกัดปริมาณการส่งออกข้าว กำลังผลักดันให้ราคาข้าวสูงยิ่งขึ้นไปอีก

-    การจราจลด้านอาหารมีการปะทุไปทั่วโลก จากเม็กซิโกไปถึงอียิปต์ จากเมาริทาเนียไปถึงไฮติ ซึ่งหลายคนกำลังตายด้วยความยากจนอย่างมากในอียิปต์

-    ในอินเดีย คนหลายล้านคนต้องลดอาหารตนเองลงจากวันละสองมื้อเป็นมื้อเดียว และในเอล ซัลวาดอร์มื้ออาหารลดน้อยลงกว่าครึ่งหนึ่งแล้วตอนนี้ เมื่อเทียบกับสองปีที่แล้ว



ทางแก้ปัญหาที่ 1

ลดปริมาณแก็สมีเทน
การลดร่องรอยของแก็สมีเทนอาจเป็นก้าวที่สำคัญที่สุดที่เราสามารถหยุดยั้งอัตราการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างรวดเร็วและซื้อเวลาวิกฤตเพื่อเยียวยาสิ่งแวดล้อม

-    ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศ เจมส์ แฮนเซนกล่าวว่าเราอาจจะสามารถรักษาน้ำแข็งทะเลอาร์กติกเอาไว้ได้ ถ้าเราลดมีเทนลง เขาแถลงว่ามันเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในการตระหนักว่ามันไม่ใช่เป็นเพียงแค่คาร์บอนไดออกไซด์ ดร.แฮนเซน อธิบายว่ามีเทนกำลังมีผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ต่อการร้อนขึ้นของอาร์กติกมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์(CO2) มีเทนมีอานุภาพมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์อย่างน้อย 25 เท่า

-    องค์การพิทักษ์สิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา (EPA) ได้ขึ้นบัญชีว่าแหล่งผลิตมีเทนอันดับหนึ่งที่มีสาเหตุมาจากมนุษย์คือการเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นอาหาร ตามมาด้วยพื้นที่ฝังกลบขยะ เหมืองถ่านหิน และการรั่วไหลจากท่อแก็สธรรมชาติ

-    องค์การอาหารและการเกษตรของสหประชาชาติได้ประมาณว่าการเลี้ยงสัตว์เพื่อใช้เป็นอาหารคิดเป็น 37% ของแก็สมีเทนที่มาจากมนุษย์



หลีกเลี่ยงการทานเนื้อสัตว์

-    นักวิทยาศาสตร์ด้านพื้นผิวโลกจากทั่วโลกแถลงว่าก้าวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเพียงก้าวเดียวที่แต่ละคนสามารถทำได้ในการพลิกผันภาวะโลกร้อนคือการหยุดการทานเนื้อสัตว์

-    ดร.คริส แรพเลย์ ผู้อำนวยการพิพิทธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งลอนดอนและอดีตหัวหน้านักสำรวจแอนตาร์กติก ผู้สนับสนุนการเป็นมังสวิรัติ(วีเก้น)เพื่อช่วยรักษาดาวเคราะห์โลก กล่าวว่ามันใช้พลังงานในระยะยาวน้อยกว่าอาหารที่มาจากเนื้อสัตว์ ดังนั้นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก็คือการเป็นมังสวิรัติ(วีเก้น)

-    ทางเวปเอริธท์เซฟ.โออาร์จี รายงานว่านักสิ่งแวดล้อมกำลังมองข้ามมังสวิรัติที่เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิผลมากที่สุดในการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในช่วงชีวิตเราได้อย่างไร โดยแถลงว่าควรยอมรับความจริงแล้วว่ามีเทนเป็นสาเหตุที่สำคัญของภาวะโลกร้อน การลดภาวะโลกร้อนจะเป็นเรื่องง่ายๆ  ถ้าประชาชนเปลี่ยนมาทานอาหารมังสวิรัติ(วีเก้น)



ทางแก้ปัญหาที่ 2

รัฐบาลและสื่อมวลชนสนับสนุนอาหารมังสวิรัติ (วีเก้น)
-    การเลี้ยงสัตว์เพื่อเอาเนื้อสร้างแก็สเรือนกระจกปริมาณมากกว่าการคมนาคมขนส่งทั่วโลกรวมกัน รายงานที่ถูกตีพิมพ์โดยหน่วยงานปศุสัตว์ภายในองค์การอาหารและเกษตรของสหประชาชาติพบว่าการปศุสัตว์คิดเป็น 18% ของการแพร่แก็สเรือนกระจกโดยรวม รายงานยังกล่าวอีกว่าการเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นอาหารทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างมาก ดังนั้นการลดผลกระทบของมันควรจะเป็นนโยบายสูงสุดด้านสิ่งแวดล้อมของทุกรัฐบาล

-    ตามที่นักข่าวด้านสิ่งแวดล้อม แอนดรู เรฟคิน ของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า“ทางเลือกอาหารของเราก็เป็นทางเลือกของพลังงานที่จำเป็นในบางระดับด้วยเช่นกัน และที่จริงแล้วในแง่ของมังสวิรัติ มันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี มีการใช้น้ำปริมาณมาก มีมลภาวะจำนวนมากที่เป็นผลมาจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่ ดังนั้นการกินที่ลดห่วงโซ่อาหารลงกำลังเป็นบางสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากรู้สึกว่าการเพิ่มมากขึ้นของประชากรโลกกำลังเป็นบางสิ่งซึ่งควรมีความสำคัญ

-    ดร.เคิร์ก สมิธ ศาสตราจารย์ด้านสุขภาพสิ่งแวดล้อมโลกแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่เบิร์กเลย์ สมาชิกของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) แถลงว่ารัฐบาลควรเก็บภาษีเนื้อสัตว์เพื่อลดการบริโภคลงและนำไปสู่การลดระดับมีเทน


-    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงปกป้องสิ่งแวดล้อมของฟอร์โมซา(ไต้หวัน) นายวินสตัน ดัง แนะนำว่าประชาชนควรทานเนื้อสัตว์ให้น้อยลงเพื่อปกป้องดาวเคราะห์โลกจากภาวะโลกร้อนและอนุรักษ์น้ำและแหล่งทรัพยากร

-    ผู้ออกกฎหมาย เยอรมัน เรเนท คุนาสต์ แนะนำให้เปลี่ยนแปลงนโยบายด้านการเกษตรเพื่อหยุดยั้ยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ประกอบด้วยการลดการบริโภคผลิตภัณฑ์นมและเนื้อสัตว์

-    วุฒิสมาชิก แอนดรู บาร์ทเลทต์ของรัฐควีนแลดน์ ออสเตรเลีย กล่าวว่า “ไม่มีอะไรง่ายกว่า ราคาถูกกว่า และรวดเร็วกว่าการที่เราสามารถทำการลดการแพร่ของแก็สเรือนกระจกที่ปล่อยออกไปส่วนบุคคลลงด้วยการตัดปริมาณของผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์และนมที่เราบริโภคออกไป

-    ที่ประชุมของเมืองแคมเดน ในลอนดอนกำลังเสนอให้ห้ามการเสริฟเนื้อสัตว์ที่ห้องอาหารคณะทำงานอันเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการลดการแพร่กระจายของแก็สเรือนกระจก

-    นักหนังสือพิมพ์ชาวแคนาดา เคท ฮาร์ทฟิลด์ แนะนำว่าเขตต่างๆ ของแคนาดาควรจะเริ่มเก็บภาษีเนื้อสัตว์เพื่อลดการแพร่ของแก็สเรือนกระจก เขากล่าวว่าเราพูดกันถึงคาร์บอนไดออกไซด์มากเหลือเกิน เราลืมไปว่ามันไม่ได้เป็นแก็สเรือนกระจกเพียงชนิดเดียว หรือเป็นตัวอันตรายที่สุดเท่านั้น การเลี้ยงปศุสัตว์ปล่อยคาร์บอนสู่บรรยากาศส่วนมากผ่านการถางทำลายป่า(การปศุสัตว์ต้องใช้พื้นที่และอาหารจำนวนมาก) แต่ก็ไม่มีอะไรเทียบได้กับความน่ากลัวของปริมาณแก็สมีเทนและไนตรัสออกไซด์ที่แพร่โดยฝูงปศุสัตว์และโรงปุ๋ยคอก

-    นายพา ออสมัน จาร์จู ผู้อำนวยการของกรมทรัพยากรน้ำในแคมเบีย แถลงว่าระบบอาหารของเราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงด้วย ถ้าเราหันมาทานอาหารมังสวิรัติ นั่นควรจะช่วยอย่างมากในการรักษาดาวเคราะห์โลก

-    พาร์ ฮอล์มเกรน นักอุตุนิยมวิทยาของโทรทัศน์สวีเดนและอาจารย์ด้านภูมิอากาศแถลงว่าถ้ามีคนมากขึ้น มากขึ้น ทานเนื้อสัตว์มากขึ้น มากขึ้น นั่นจะสร้างปัญหาอย่างใหญ่หลวง เพราะพลังงาน เพราะความจริงที่ว่าสัตว์บางส่วนเหล่านี้กำลังกินอาหารซึ่งความจริงแล้วเราสามารถกินได้เช่นกัน และยังมีปัญหาที่สัตว์สามารถสร้างแก็สเรือนกระจกได้อีกด้วย

-    บทความในนิวยอร์กไทม์เขียนโดยมาร์ก บิทต์แมน ไม่ใช่นักมังสวิรัติ อธิบายต้นทุนสูญเสียในการบริโภคเนื้อสัตว์ต่อดาวเคราะห์ของเรา สุขภาพของเรา และต่อผู้ยากไร้



ทางแก้ไขที่ 3

ปรับมาตรฐานคาร์บอนให้เป็นศูนย์
-    ดร.อาร์ยัน แมคฮิจานิ ประธานของสถาบันถังความคิด(Think Tang) เพื่อการวิจัยพลังงานและสิ่งแวดล้อมของวอชิงตันดีซี สหรัฐอเมริกา รายงานว่ามีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาจะเป็นกลางทางคาร์บอนโดยใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ เขากล่าวว่าเป้าหมายของการมีคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์มีความจำเป็นในการลดอันตรายที่เกี่ยวของกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

-    ทุกวันนี้ ต้นทุนด้านพลังงานลมเป็นสิ่งที่ปราศจากของเสียมลพิษและมีความปลอดภัยเมื่อเทียบกับพลังงานนิวเคลียร์

-    การคมนาคมขนส่งคิดเป็น 13% ของการแพร่แก็สเรือนกระจกในโลก นักสิ่งแวดล้อมและผู้ก่อตั้งมูลนิธิก้าวที่สูงขึ้น(Step It Up) บิล แมคคิบเบนแถลงว่า นอกจากการเดิน การขี่จักรยาน หรือโดยสารรถขนส่งสาธารณะ ยานพาหนะที่ใช้ไฟฟ้า สกุตเตอร์ จักรยาน และรถไฟพบว่าเป็นการแก้ไขปัญหาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดที่ได้รับจากเทคโนโลยีที่มีอยู่

-    โครงการอ็อฟเซทผ่านองค์การต่างๆ เช่น คาร์บอนฟาวด์ ดอท โออาร์จี (carbonfound.org) สามารถช่วยลดการปล่อยคาร์บอนลงได้

-    โมนาโคเสนอเงินจูงใจต่อพลเมืองเพื่อสนุนในการซื้อรถพลังงานสะอาด

-    การอนุรักษ์พลังงานเป็นวิธีที่ถูกที่สุด เร็วที่สุดในการลดการใช้พลังงาน รวมทังการใส่กระจกสามเท่า อุดรอยรั่วทั้งหมด และการหุ้มฉนวนบ้านของคุณ

-    ติดตั้งแผงรับพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อการใช้กระแสไฟฟ้า และเครื่องทำน้ำอุ่นพลังงานแสงอาทิตย์




ทางแก้ปัญหาที่ 4

การปลูกป่าทดแทน
ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพภูมิอากาศ 300 คนจากทั่วโลก ลงนามประกาศ ณ การประชุมเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ ที่เกาะบาหลี เริ่มต้นกล่าวว่าถ้าเราสูญเสียป่า เราก็พ่ายแพ้ในการต่อสู่กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

-    การลดการส่งจดหมายขยะประมาณว่าเฉลี่ยบ้านเรือนในสหรัฐอเมริกาได้รับจดหมายขยะและใบโฆษณา ซึ่งทำลายป่าของภูเขาร็อกกี้ สวนสาธารณะแห่งชาติทุกๆ 4 เดือน บริษัทต่างๆ เช่น www.greendimes.com ช่วยผู้คนให้ลดจดหมายขยะได้ถึง 90%และปลูกต้นไม้ชดเชยหนึ่งต้น สำหรับแต่ละใบโฆษณาที่ถูกยกเลิก

-    ในโอเวน ซาวด์ แคนาดา กลุ่มต้นไม้ของออนแทรีโอ สอนประชาชนถึงเทคนิคการปลูกต้นไม้และแนะนำพวกเขาถึงโครงการกระตุ้นการเก็บภาษีป่าซึ่งเสนอการลดภาษีทรัพย์สินถึง 75% เพื่อการปลูกต้นไม้ชดเชยภาวะโลกร้อน

-    วันที่ 1 เมษายน 2551จดหมายจาก ดร.เจมส์ แฮนเซน ส่งไปถึงนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย เควิน รูด โดยบอกว่าพวกเราอยู่ในจุดที่ ผู้นำที่กล้าหาญเป็นสิ่งจำเป็น ผู้นำที่สามารถเปลี่ยนแปลงเส้นทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ การจะเอาชนะเกี่ยวกับการพัฒนาพลังงานที่มีประสิทธิภาพและเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสภาพภูมิอากาศเป็นสิ่งที่เร่งด่วนและสำคัญเพื่อการบรรเทาวิกฤติทางสภาพภูมิอากาศที่เริ่มปรากฏให้เห็นรางๆ วิธีที่สามารถทำได้ขณะนี้ยังคงนำโลกไปสู่หนทางที่ลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ



เราต้องรักษาดวงดาวนี้ไว้เพื่อที่เราจะได้อยู่ได้ก่อน เพราะว่าถ้าน้ำแข็งละลายหมด ถ้าขั้วโลกละลายหมด และจากนั้นถ้าทะเลอุ่นขึ้นแล้วก๊าซก็จะถูกปล่อยออกมาจากมหาสมุทร และเราทั้งหมดก็จะถูกพิษจากก๊าซจากมหาสมุทร….Supreme Master Ching Hai



                    Be Veg,Go Green 2 Save The Planet
                สำหรับข้อมูลเร่งด่วนสามารถรับชมได้ที่
                 www.SupremeMasterTv.com/SOS
				
24 กุมภาพันธ์ 2564 20:30 น.

การวิจัยเรื่องโลกร้อนล่าสุด...

คีตากะ

การวิจัยล่าสุดถึงผลกระทบจากภาวะโลกร้อน



antarktic%20zagrijavanje.jpg





-    ตามที่นักวิจัยของสหรัฐอเมริกา ผู้เชี่ยวชาญในการศึกษาทวีปแอนตาร์กติกกาซึ่งเป็นทวีปที่เหมือนอยู่อย่างโดดเดี่ยวอายุกว่า 30 ล้านปี ซึ่งได้รับผลกระทบมากที่สุดในโลกจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อุณหภูมิเพิ่มขึ้นกว่า 10 องศาฟาเรนไฮห์ตั้งแต่ปี 1950

-    การศึกษาโดยศูนย์วิจัยบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐ(NCAR) พบว่าข้อมูลการละลายของน้ำแข็งทะเลอาร์กติกในฤดูร้อนล่าสุดขยายไป 1,000 ไมล์เข้าไปในพื้นที่ชั้นดินเยือกแข็งคงตัว(permafrost) ซึ่งปกติจะเยือกแข็งตลอดทั้งปี

-    ภาพถ่ายดาวเทียมในเดือนสิงหาคม 2008 แสดงการละลายของธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุด 2 แห่งของกรีนแลนด์ กำลังเร่งระดับน้ำทะเลให้สูงขึ้นจากการละลายทางด้านทิศใต้ของกรีนแลนด์

-     นักวิทยาศาสตร์ดาวเทียมของสหรัฐอเมริกา แจ้งว่าน้ำแข็งอาร์กติกที่หายไปในปี 2008 มากกว่าในปี 2007 พร้อมการคาดการณ์ว่ามันจะหายไปทั้งหมดในอีกไม่ช้า ซึ่งจะนำไปสู่การสูญเสียความสามารถของอาร์กติกในการสะท้อนแสงอาทิตย์กลับไปสู่ห้วงอวกาศ

-    ธารน้ำแข็งของที่ราบสูงทิเบตได้ลดขนาดลง 82% จากการที่ต้องเผชิญกับการร้อนขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งอาจจะทำให้รูปแบบของอากาศปั่นป่วนในเอเชียและเป็นอันตรายต่อแหล่งน้ำที่ใช้โดยประชากรราว 1 พันล้านคน

-    ความร้อนที่กำลังเพิ่มขึ้นเป็นสาเหตุทำให้ธารน้ำแข็งละลาย น้ำท่วมและนำไปสู่การปิดตัวลงของส่วนสาธารณะแห่งชาติของแคนนาดาชื่อ “ อุยยุทตัก(AuyuittuqX” ในที่สุด ซึ่งก่อนหน้ารู้จักกันว่าเป็น”ดินแดนที่ไม่เคยละลาย”

-    กลุ่มผู้นำนักธารน้ำแข็งวิทยาระดับโลกเตือนอันตรายเรื่องอัตราเร็วในการละลายของธารน้ำแข็งบนเทือกเขาแอนดีสในเปรูที่กำลังละลายหายไป

-    ภาวะโลกร้อนเป็นสาเหตุให้แผ่นน้ำแข็งขนาด 8 ตารางไมล์แตกตัวออกจากเกาะวาร์ดฮันท์ (Ward Hunt) ในอาร์กติกของแคนนาดา ขณะที่ก่อนหน้านี้หิ้งน้ำแข็งขนาด 3,500 ตารางไมล์ใกล้กับเกาะเอลเลสเมีย (Ellesmere) หดตัวเป็น 5 ส่วนเล็กๆ มีขนาดรวมเหลือแค่ 400 ตารางไมล์

-    นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลของรัสเซียทำการวิจัยทางเรือตลอดแนวชายฝั่งทะเลของไซบีเรียเมื่อเร็วๆ นี้พบพื้นที่มากมายของทะเลกำลังปล่อยมีเทนปริมาณ 100 เท่ากว่าพื้นที่ปกติซึ่งเป็นภัยคุกคามที่สำคัญในการเร่งภาวะโลกร้อนให้รุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก

-    นักวิทยาศาสตร์ชาวสวีเดนพบปริมาณมีเทนเหนือและใต้น้ำนอกชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกของไซบีเรียเนื่องจากมีสภาวะร้อนขึ้นซึ่งเป็นสาเหตุให้มีเทนถูกปลดปล่อยจากช่องรูเล็กๆของชั้นดินเยือกแข็งใต้พื้นทะเล

-    นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเบรเมน (Bremen) ในเยอรมัน มีข้อสรุปว่าทั้งทางช่องแคบด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือทางตอนเหนือของแคนนาดาและด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือทางตอนเหนือของรัสเซียมีการละลายของน้ำแข็งทะเล นั่นหมายความว่าการล่องเรือรอบช่องแคบน้ำแข็งอาร์กติกสามารถทำได้ขณะนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 125,000 ปีโดยประมาณ

-    นักวิทยาศาสตร์อังกฤษยืนยันว่าน้ำแข็งอาร์กติกขณะนี้กำลังละลายแม้แต่ในฤดูหนาว

-    สถาบันวิจัยน้ำและบรรยากาศแห่งชาตินิวซีแลนด์รายงานว่าน้ำแข็งถาวรปริมาณ 2.2 ล้านตันได้หายไปจากธารน้ำแข็งของประเทศระหว่างเดือนเมษายน 2550 และเดือนมีนาคม 2551

-    นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยจาวาฮาร์ลาล เนห์รู (Jawaharlal Nehru) ในกรุงนิวเดลฮี อินเดีย กล่าวว่าภาวะโลกร้อนกำลังเป็นสาเหตุให้ธารน้ำแข็งแกงโกทริ (Gangotri) หดหายไปประมาณ 850 เมตรและยังละลายต่อเนื่องในอัตรา 17 เมตรต่อปี

-    ตามรายงานของบริษัทน้ำที่สำคัญของชิลี ธารน้ำแข็งอีชัวร์เรน (Echaurren) และธารน้ำแข็งรอบๆ กำลังหดหายไปด้วยอัตรา 12 เมตรต่อปี ซึ่งเป็นสาเหตุให้แม่น้ำที่ส่งน้ำ 70% ไปหล่อเลี้ยงประชาชน ในเมืองหลวงชื่อซานติเอโก (Santiago)  ต้องเหือดแห้งไป

-    การศึกษาโดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติและศูนย์บริการตรวจติดตามธารน้ำแข็งโลกพบว่า 35-40% ของพื้นที่ธารน้ำแข็งรวมในเทือกเขาเทียนซาน (Tien Shan) ในช่วงคีร์กีซสถาน (Kyrgyzstan) ได้หายไปเมื่อศตวรรษที่แล้ว

-    นักสมุทรศาสตร์ ดร.เดวิด คาริสัน ผู้อำนวยการโครงการปีขั้วโลกสากล กล่าวว่าการสูญเสียน้ำแข็งอาร์กติกไปจนหมดจะมีผลกระทบอย่างมหาศาลต่อสภาพภูมิอากาศและรูปแบบของอากาศ การละลายของชั้นดินเยือกแข็งในบริเวณซึ่งจะสังเกตุได้ว่ากำลังทำลายสิ่งก่อสร้างและกำลังต้องการการปรับเปลี่ยนชีวิตของประชากรในท้องถิ่น

-    ตามรายงานของผู้แทนด้านสิ่งแวดล้อมของอังกฤษ ประชาชนชาวอังกฤษ 2 ล้านคนไม่ตระหนักเลยว่าบ้านของเขาและสมบัติข้าวของจะหายไปอย่างรวดเร็วจากการเพิ่มสูงขึ้นของแม่น้ำและการสูงขึ้นของระดับน้ำทะเล ในปี 2550 น้ำท่วมครั้งรุนแรงส่งผลกระทบต่อบ้าน 55,000 หลัง 1,000 ครอบครัวยังคงอาศัยอยู่ในที่พักพิงชั่วคราวที่จัดไว้ให้



brazil-stephenferry-getty460.jpg






ทรัพยากรทางธรรมชาติ

-    ความต้องการน้ำในนามิเบียถูกคาดการณ์ว่าจะมากเกินกว่าแหล่งผลิตในปี 2558 สำหรับประเทศที่แห้งแล้งที่สุดในส่วนของทะเลทรายซาฮาร่า แอฟริกา

-    รายงานใหม่โดยนักวิทยาศาสตร์ระดับสูงของออสเตรเลียทำนายว่าประเทศจำเป็นจะต้องเตรียมเผชิญกับภาวะแห้งแล้งเป็นสองเท่าและการเพิ่มขึ้นของคลื่นความร้อน 10 เท่าตัวเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

-    ดร.เซมิห์ อีเคอร์ซิน แห่งมหาวิทยาลัยอกาซาเรย์ (Aksaray) เตือนว่าทะเลสาบที่ครั้งหนึ่งเคยใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของตุรกีได้หดลงไป 85% เนื่องการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศซึ่งอาจจะอันตธานหายไปภายในปี 2558

-    ผลเก็บเกี่ยวของข้าวสาลีลดลง 40% เทียบกับปี 2550 เนื่องมาจากความแห้งแล้งในเขตตะวันออกเฉียงเหนือเป็นปัญหาต่อการพึ่งพาตนเองทางด้านอาหารของประเทศ

-    กองทุนสัตว์ป่าของอังกฤษรายงานว่าระบบแม่น้ำเทมส์จะมีน้ำน้อยลงอีก แต่อันตรายที่ใหญ่กว่ามาจากน้ำท่วมเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

-    ต้นไม้โบราณของอังกฤษอย่าง ต้นโอ๊ค ต้นบีช ต้นแอสกำลังถูกทำลาย พวกมันไม่สามารถทนสภาพอากาศที่เข้ามาได้จากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

-    ต้นซีดาร์ของเลบานอน บางต้นมีอายุนับพันปีต้องเผชิญกับการสูญพันธุ์จากภาวะโลกร้อน

-    ท่ามกลางปริมาณน้ำฝนที่ลดต่ำลงเป็นประวัติการณ์ อุณหภูมิในรัฐทางตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลียอย่างวิคตอเรียและทาสมาเนียได้ขึ้นไปสูงสุด

-    นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเวอร์มอนท์สหรัฐอเมริกา พบว่าต้นไม้ที่ชอบอากาศเย็นบนภูเขากรีนเมาเท้น(Green Mountains) ของรัฐได้เดินทางสูงขึ้นไปอีก 400 ฟุตในรอบกว่า 40 ปี

-    สถาบันวิจัยอวกาศแห่งชาติรายงานว่า ป่าอะเมซอนหายไปเพิ่มขึ้น 69% หรือมากกว่า 3,327 ตารางกิโลเมตรในเวลาเพียงหนึ่งปี สาเหตุสำคัญมาจากความต้องการเนื้อสัตว์และถั่วเหลือง 74% ของป่าถูกใช้ไปเพื่อการเลี้ยงปศุสัตว์

-    วารสารธรณีวิทยาทางธรรมชาติได้ตีพิมพ์การค้นพบจากมหาวิทยาลัยโตรอนโต แคนาดา นักวิทยาศาสตร์ สการ์โบโรชได้ค้นพบว่าภาวะโลกร้อนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างโมเลกุลของดิน กำลังเป็นสาเหตุให้มันปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศ ระดับ CO2 เพิ่มขึ้นทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น เป็นสาเหตุให้ดินปล่อยแก็สเรือนกระจกปริมาณมากขึ้นออกมาและเกิดเป็นวัฏจักรอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ

-    ปัจจุบันระดับโอโซนเหนือพื้นดินได้เป็นที่น่าสังเกตว่าเพิ่มมากขึ้นถึง 4 เท่าในช่วงเวลาเดียวกันจากก่อนยุคอุตสาหกรรม ความเข้มข้นที่สูงขึ้นนี้ เป็นสาเหตุให้ต้นไม้ลดการเจริญเติบโตลง 7% ตั้งแต่ท้ายปี 2343 จากการตีพิมพ์การศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ในวารสารวิทยาศาสตร์ชื่อโกลบอล เชง ไบโอโลจี (Global Chang Biology)

-    แมนเฟรด แลง ศาสตราจารย์ด้านธรณีฟิสิกส์ แห่งศูนย์วิจัยพลังงาน สิ่งแวดล้อมและน้ำของไซปรัส แถลงว่าประเทศที่เป็นเกาะมีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นทะเลทรายเนื่องมาจากความแห้งแล้งจากภาวะโลกร้อน



sea_level_rising_myth.jpg






มหาสมุทร

องค์การเกษตรและอาหารแห่งสหประชาชาติ(FAO) รายงานว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสัมพันธ์กับอุณหภูมิของน้ำทะเลอันเป็นผลไม่ดีกับเมตาโบลิซึมของปลา อัตราการเจริญเติบโต การแพร่พันธุ์ และการมีโอกาสติดเชื้อเป็นโรคได้ง่าย

นักวิจัยจากอินเตอร์เนชั่นแนล โครอล รีเสริร์ซ ซิมโพเซียม (International Coral Research Symposium : ICRS) ในฟอร์ท ลอเดอเดล ฟลอริดา สหรัฐอเมริกา พบว่าเกือบหนึ่งในสามของสายพันธุ์ปะการังมากกว่า 700 ชนิดทั่วโลกปัจจุบันเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเป็นกรดของน้ำทะเล

การศึกษาใหม่โดยนักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศของออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกาได้รับการเปิดเผยว่ามหาสมุทรโลกร้อนขึ้น 50% ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา เร็วกว่าความเข้าใจก่อนหน้าที่เคยรายงานจากคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ในปี 2550

ศาสตราจารย์ด้านสมุทรศาสตร์ สตีเว้น ติมาร์โค แห่งมหาวิทยาลัยเอ& เอ็ม เท็กซัส สหรัฐอเมริกา แถลงว่าแม่น้ำที่เต็มไปด้วยปุ๋ยไนเตรทที่เพิ่มมากขึ้นไหลออกมาจากการเกิดน้ำท่วมเมื่อเร็วๆ นี้ในสหรัฐอเมริกามีโอกาสเป็นสาเหตุให้เกิดพื้นที่มรณะทางน้ำขนาด 7,900 ตารางไมล์ในอ่างเม็กซิโกขยายใหญ่มากขึ้นอีก

สมาพันธ์แห่งชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ(IUCN) ตั้งอยู่ในประเทศสวิตซ์ รายงานว่าแหล่งหญ้าทะเล ซึ่งมีความสำคัญมากในด้านการเป็นแหล่งที่อาศัยและอาหารสำหรับสัตว์ทะเลหลายสายพันธุ์จำนวนมากกำลังลดลงหายไปเนื่องจากภาวะโลกร้อน

หมู่บ้านทางตอนใต้ของรัฐกูจาราชของอินเดียกำลังถูกคุกคามจากการถูกกัดเซาะชายฝั่งทะเล เนื่องจากภาวะโลกร้อน เชื่อมโยงกับระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้น

ตลอดพื้นที่ 25 ตารางกิโลเมตรของเกาะวีซู ในประเทศจีน หาดทราย ชายฝั่ง และป่ากันชนกำลังจมลงไปกับระดับน้ำที่สูงขึ้นระดับเดียวกับหน้าต่างภายนอกของบ้านที่อยู่อาศัย 15,000 หลังคาเรือน

การศึกษาใหม่โดยทีมของมหาวิทยาลัยวิสคอนซิ่น สหรัฐอเมริการายงานว่าแผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์ที่กำลังละลายเนื่องจากภาวะโลกร้อนอาจเป็นเหตุให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นถึงหนึ่งถึงสามนิ้วต่อปี

รายงานจากกองทุนสัตว์ป่าโลกเปิดเผยว่าทรัพยากรจำนวนมากเช่น น้ำซึ่งเป็นต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมถูกใช้ไปเพื่อผลิตเนื้อสัตว์

หน่วยงานด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ออสเตรเลีย แถลงว่าชาวออสเตรเลียถึง 80% จะได้รับอันตรายจากการท่วมสูงขึ้นของระดับน้ำทะเล เนื่องจากพวกเขาอาศัยอยู่ใกล้เคียงกับระดับน้ำทะเล



AF2T2T.jpg






มนุษย์

-    ประธานาธิปดีอาร์เจนติน่า คริสติน่า เฟอร์นานเดส เดอ เคอชเน่อร์ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ในวันที่ 23 สิงหาคม 2551 ใน 5 จังหวัดที่ได้รับความแห้งแล้งยาวนานนับเดือนซึ่งเลวร้ายที่สุดในรอบ 50 ปี

-    เกือบ 2 ล้านคนในเมืองโบห์ลา เกาะเล็กๆ ทางตอนใต้ของบังคลาเทศเป็นพวกแรกๆ ที่กำลังได้เห็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ในแต่ละชั่วโมงคนบังคลาเทศ 11 คนสูญเสียบ้านของพวกเขาไปกับระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้น

-    เนื่องจากความแห้งแล้งที่ยาวนานที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ชาวโซมาเลียมากกว่า 15,000 คนจากบริเวณกัลกาดัดได้ละทิ้งบ้านเรือนของตนและย้ายไปอยู่แค้มป์สำหรับคนที่อพยพต่างมีความหวังที่จะพบแหล่งน้ำและการได้รับความช่วยเหลือ

-    องค์การสหประชาชาติรายงานว่าธารน้ำแข็งที่หดตัวลงในเทือกเขารเวนโซริของยูกานดาและหิมาลัยของเนปาล ทะเลสาบที่กำลังระเหยเหือดแห้งไปในมาลี ชาด และเอธิโอเปีย และการสึกกร่อนของดินจากการทำลายป่าในเฮติ ทำให้มีผู้ลี้ภัยทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 3 ล้านคน

-    รายงานการวิจัยของเนเธอร์แลนด์แจ้งว่าการเพิ่มขึ้นของพาหะนำโรคเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศจะเป็นสาเหตุของการเพิ่มขึ้นของโรคอย่างเช่นโรคหืดหอบและภูมิแพ้เช่นเดียวกับโรคมะเร็งผิวหนังและเชื้อโรคลีม(Lyme desease)

-    ความแห้งแล้งที่เข้าโจมตีจาว่าทางตะวันตก ในเดือนสิงหาคม 2551 มาพร้อมกับการสูญเสียพืชผลทางการเกษตรนาข้าวมากกว่า 4,000 ไร่ ใน 12 ตำบล ชาวนา 12,000 คนต่างได้รับผลกระทบ

-    การสำรวจทางภูมิศาสตร์ของอินเดียแจ้งว่าการเกิดแผ่นดินแยกในบาลาซอร์เมื่อเร็วๆนี้ เป็นสาเหตุให้ต้องมีการโยกย้ายอพยพผู้คน ล้วนมีสาเหตุมาจากภาวะโลกร้อน

-    การประชุมที่จัดขึ้นสำหรับนักข่าวสมาชิกสื่อมวลชนที่แอฟริกาใต้มุ่งเน้นความสำคัญไปที่ความเชื่อมโยงกันระหว่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับความล้มเหลวในการเพาะปลูกพืช

-    นักวิทยาศาสตร์สหรัฐอเมริกาอ้างถึงเหตุการณ์ที่รัฐมินนิโซต้า สหรัฐอเมริกาว่า ฟาร์มโคนมเป็นสาเหตุให้ผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่โดยรอบต้องหนีออกจากบ้านเนื่องมาจากสารไฮโดรเจนซัลไฟด์มีระดับที่สูงขั้นอันตราย ซึ่งแก็สพิษนี้สร้างมาจากกิจการฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่ขยายใหญ่โตมากขึ้นเรื่อยๆ

-    องค์การสหประชาชาติประกาศในเดือนมิถุนายน 2551 ว่าชาวแอฟริกาตะวันออกมากกว่า 14 ล้านคนต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนด้านอาหาร เนื่องมาจากความแห้งแล้งเป็นสาเหตุให้พืชผลทางการเกษตรได้รับความเสียหายอย่างหนัก ราคาอาหารและเชื้อเพลิงเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

-    อีหร่านยังคงนำเข้าข้าวสาลีต่อไปอีก จากการที่ผลผลิตภายในประเทศตกลงมา 20% ในปีที่ผ่านมาเนื่องมาจากปริมาณน้ำฝนประจำปีลดน้อยลง 50%

-    รัฐบาลประเทศออสเตรเลียรายงานว่าแหล่งน้ำของประเทศจะไม่เพียงพอใช้ภายหลังปี 2552 เนื่องจากเวลานี้ประเทศตกอยู่ในสภาวะแห้งแล้งขั้นรุนแรงที่สุดในรอบ 100 ปี

-    ซากพืชในที่ลุ่ม(peat bogs) ของอลาสก้า สหรัฐอเมริกา แห้งไปมากจากสาเหตุสภาพภูมิอากาศร้อนขึ้น กำลังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดไฟป่าและกำลังปล่อยมีเทนและคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดักจับความร้อนขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ

-    การทำเหมืองแร่ที่ขาดการควบคุมและกิจกรรมที่ไม่ยั่งยืนอื่นๆ ประกอบกับระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากภาวะโลกร้อนทำให้หลายเกาะในอินโดนีเซียตกอยู่ในอันตราย ซึ่งเกาะจำนวน 24 แห่งจมหายไปแล้วใต้ท้องทะเลและเกาะอื่นๆอีก 2,000 แห่งกำลังเผชิญกับชะตากรรมเดียวกัน

-    รายงานจากองค์การศึกษาและวิจัย สถาบันนโยบายแห่งโลก ในสหรัฐอเมริกาแจ้งว่าปลาขนาดใหญ่ในทะเล 90% หายไปในช่วง 50 ปีที่ผ่านมาเนื่องมาจากการประมงที่มากเกินไป

-    การสำรวจโดยสถาบันวิจัยนโยบายด้านอาหารนานาชาติในเอธิโอเปียและแอฟริกาใต้พบว่าเนื่องจากการขาดแคลนแหล่งทรัพยากรอย่างมาก ชาวนาจำนวนมากกำลังดิ้นรนเพื่อปรับตัวเรื่องการเพาะปลูกพืชท่ามกลางสภาวะโลกร้อน


3_61_112407_wildfire_california.jpg






สัตว์ป่า

-    รัฐสภาของออสเตรเลียเร่งการป้องกันเชื้อโรคให้ผึ้งของประเทศเพื่อให้พวกมันดำเนินกิจกรรมการผสมเกสรซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการเพาะปลูกและการขยายพันธุ์พืชมากมาย

-    การวิจัยของสหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นว่าสัตว์เลื้อยคลานจำนวน 30 สายพันธุ์และสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำกำลังเคลื่อนย้ายไปสู่ที่สูงกว่าเพื่อที่อยู่อาศัยที่เย็นกว่าเนื่องมาจากภาวะโลกร้อน

-    การศึกษาโดยนักนิเวศน์วิทยาของสหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นว่าสายพันธุ์อาจจะสูญพันธุ์อย่างรวดเร็วมากขึ้น ในบางชนิดอาจจะสูญพันธุ์ถึง 100 เท่าเร็วกว่าที่เคยคาดการณ์ก่อนหน้านี้

-    ดร.รัสเซล มิตเตอร์มิเออร์ หัวหน้าสหภาพระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติรายงานว่าเกือนครึ่งหนึ่งของสายพันธุ์ลิงเล็กและลิงใหญ่อยู่ภายใต้ภัยการคุกคามจากการสูญพันธุ์เนื่องจากกิจกรรมเช่น การทำลายป่าและการล่าสัตว์เพื่อกินเนื้อ สัญญาณเตือนภัยเพิ่มมากขึ้นเกือบ 10% จากการศึกษารูปแบบแค่เพียง 5 ปีที่ผ่านมา

-    นักวิทยาศาสตร์ได้สังเกตุเห็นหมีขั้วโลก 9 ตัวในทะเลชุกชีนอกชายฝั่งอลาสก้า สหรัฐอเมริกาพยายามที่จะไปที่ช่องน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกซึ่งละลายไปแล้วเป็นระยะทาง 400 ไมล์ ซึ่งไกลเกินกว่าหมีจะมีชีวิตอยู่รอดได้

-    ประชากรนกในอเมริกาเหนือลดจำนวนลงอย่างน่าวิตกเกี่ยวโยงกับการสูญเสียที่อยู่อาศัยเนื่องจากการสร้างเมืองพร้อมกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

-    ในรัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา การศึกษาสองชิ้นแสดงให้เห็นว่าการร้อนขึ้นของดาวเคราะห์โลกทำให้นกจำนวนมากขยายเขตแดนขึ้นไปทางเหนือ พืชและต้นไม้ 90% ได้ย้ายถิ่นสูงขึ้นไปกว่า 200 ฟุต

-    สถาบันคุ้มครองพื้นที่และสัตว์ป่าของฟิลิปปินส์กล่าวว่าสายพันธุ์สัตว์ของชาติ 50% ตกอยู่ในอันตราย บางชนิดใกล้สูญพันธุ์ในเวลาอันใกล้นี้ ซึ่งเป็นพวกที่พบได้ที่นี่เพียงแห่งเดียว

-    กองทุนสัตว์ป่าโลกรายงานว่าเหลือเวลาเพียงน้อยนิดที่จะออกจากจุดปลายสุดที่ย้อนกลับไม่ได้เนื่องจากการทำลายป่าและผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในเขตป่าฝนอะเมซอน

-    สมาพันธ์อนุรักษ์ธรรมชาตินานาชาติ(IUCN) ระบุว่าเกือบหนึ่งในสามของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่รู้จักเกือบ 6,000 ชนิดในปัจจุบัน ได้ถูกคุกคามจากการสูญพันธุ์ การศึกษาจากมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา สรุปว่าภาวะโลกร้อนเป็นสาเหตุหนึ่งและอีกสาเหตุมาจากการใช้สารเคมีอะทราซีนที่เป็นอันตรายต่อพืช (ยาปราบศัตรูพืช)

-    ภาวะโลกร้อนในแอฟริกาได้ทำลายสัตว์ป่าเมื่อแม่น้ำและทะเลสาบในแอฟริกาแห้งขอดและตาน้ำที่กำลังหายไป

-    ภาวะโลกร้อนเป็นอันตรายต่อหนูเลมมิ่งของนอร์เวย์ด้วยหิมะที่เปียกผลจากอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นกำลังทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกมัน

-    ด้วยตัวเลขการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตถึง 3 เท่า รัฐมนตรีด้านสิ่งแวดล้อมของบราซิล นายคาร์ลอส มินค์ยืนยันว่าประเทศของเขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะหยุดความเสียหายที่จะมีต่อไปโดยการขยายโครงการคุ้มครองออกไป

-    สมาคมยูเคส์ รอยัล โซไซตี้เพื่อการคุ้มครองนก ระบุว่านกบางสายพันธุ์ลดจำนวนลงมากกว่า 85% พร้อมกับคู่นกในฟาร์มเลี้ยงลดลงมากกว่า 50% มาตั้งแต่ปี 2503 ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับการเริ่มพัฒนาใช้ยาปราบศัตรูพืชภายในฟาร์ม

-    ดร.แพร์รี่ คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(IPCC) ของสหประชาชาติแถลงว่าครึ่งหนึ่งของสายพันธุ์ต้นไม้ทั้งหมดในอะเมซอนเผชิญกับการสูญพันธุ์เป็นผลมาจากการทำลายป่าและภาวะโลกร้อน

-    กองทุนการเงินระหว่างประเทศเพื่อสวัสดิการสัตว์ รายงานว่าการลดลงของประชากรหมีขั้วโลกบริเวณอาร์กติกของรัสเซียส่วนใหญ่เนื่องมาจากการละลายของน้ำแข็งจากภาวะโลกร้อน

-    อาร์กติก รีพอร์ท คาร์ด แสดงให้เห็นว่าอุณหภูมิในฤดูใบไม้ร่วงที่สูงขึ้น 5 องศาเซลเซียสบริเวณอาร์ติกกำลังนำไปสู่การลดลงของสิ่งมีชีวิตบางสายพันธุ์

-    ตามรายงานของกองทุนสัตว์ป่าโลก (WWF)เมื่อเร็วๆ นี้ กล่าวว่าอุณหภูมิที่สูงขึ้นในแอนตาร์กติกจากภาวะโลกร้อนกำลังคุกคามการอยู่รอดของพวกนกเพนกวิน

-    ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ป่าแสดงความเป็นห่วงต่อการลดลงอย่างรวดเร็วของเต่าทะเลทรายโมเจฟบริเวณตะวันตกของสหรัฐอเมริกาเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

-    การศึกษาที่นำโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษและจีนแถลงว่าสภาวะ
ที่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศเป็นสาเหตุให้หมีแพนด้ายักษ์ประมาณ 1,600 ตัวที่ยังเหลืออยู่ในป่าต้องย้ายที่แห่งใหม่เพื่อหาต้นไผ่สำหรับกินเป็นอาหาร

-    ผู้อำนวยการสัตว์และพืชพันธุ์ไม้ท้องถิ่นนานาชาติฟิลิปปินส์แนะนำให้ปรับปรุงกฎหมายเพื่ออนุรักษ์ป่าในเกาะพาลาวาน

-    การศึกษาของเขตพื้นที่ลุ่มนานาชาติแสดงให้เห็นว่าการอพยพของประชากรนกไปยังแอฟริกาและยูเรเชียลดลง 40% เนื่องจากภาวะโลกร้อนและการถูกทำลายที่อยู่อาศัยโดยมนุษย์

Be Veg , Go  Green 2 Save The Planet
www.suprememastertv.com
				
17 พฤษภาคม 2562 21:41 น.

กำแพงสร้างขึ้นโดยเทพยดาเพื่อกักขังมนุษย์ปุถุชน.....

คีตากะ

ket.jpg









     ปราศรัยโดย ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
ซีหู ฟอร์โมซา 28 ธันวาคม 1991 (เดิมเป็นภาษาจีน)








     เมื่อวันก่อน ฉันได้บอกพวกเธอเกี่ยวกับเรื่องที่ว่า พวกเราทำไมจึงถูกกักกันไว้ที่นี่ได้อย่างไร ? ถูกขังไว้ที่ข้างนอกนี้และอยู่ในความดูแลของเทพยดา ทูตสวรรค์และผู้คุ้มครองจากสวรรค์ (A: จริงซิ) บางทีเธออาจจะถามฉันว่า แล้วพวกเขาจำกัดพวกเราไว้ได้อย่างไรเล่า ซึ่งสิ่งที่ว่านี้คือ ไตรภูมิ !
ระดับแรกของการกักกันนั้นเปรียบเสมือนคุกในโลกเรานั่นเอง ซึ่งก็จะมีประตูอยู่สามถึงสี่ชั้น อย่างตอนที่ฉันไปเยี่ยมนักโทษที่เรือนจำฮัวเหลี่ยนในการปาฐกถานั้น ฉันก็ต้องผ่านทางเข้า เข้าไปถึงเจ็ดประตูด้วยกัน ถึงจะเข้าไปหาพวกนักโทษได้ ภายนอกเต็มไปด้วยกำแพงที่ล้อมรอบซึ่งตามข้างบนกำแพงมีแต่ลวดหนาม พวกที่ต้องโทษหนักก็ถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนและพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะออกจากห้องคุมขังไปไหนได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าจะผ่านไปทางประตูได้เลย อย่างไรก็ดี ก็มีนักโทษบางคนที่สามารถไปไหนมาไหนได้อิสระ พวกเขาก็จะถูกให้ทำงานกวาดพื้น ปลูกต้นไม้ รดน้ำต้นไม้ บางคนก็มีอิสระมากหน่อยก็สามารถผ่านประตูออกไป และสามารถจะออกไปได้เกือบจะถึงกำแพงชั้นนอก !
สถานการณ์นั้นจะคล้ายๆ กันกับพวกเราที่เป็นผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณ บางคนก็ผ่านไปถึงประตูที่สามหรือที่สี่ และไปได้ถึงภูมิภพระดับที่สี่แต่ก็ถูกปิดกั้นไว้ด้วยกำแพง เหลือเพียงประตูและกำแพงใหญ่นี้เท่านั้นที่จะต้องผ่านไปจึงจะได้เป็นอิสระอย่างแท้จริง นั่นคือสภาพที่พวกเราถูกกักขังไว้ภายในไตรภูมิ แล้วพวกเราถูกกักขังเอาไว้อย่างไรกันบ้างในระดับที่หนึ่งเรียกว่าโลกทิพย์ ?





upload-5W4QI17.jpg





     ถูกผูกมัดไว้ด้วยความรู้สึกรักและผูกพันของโลกทิพย์

     อะไรคือสภาพภายในโลกทิพย์ ? ในโลกทิพย์นี้เขาใช้ความรักและความผูกพันมาบังตาเรา โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยการบังคับ ดุด่าหรือล่ามโซ่เลย เธอเข้าใจสภาพที่ว่านี้ไหม ? ดังนั้นมนุษย์ทั้งหลายล้วนพัวพันอยู่ในความรักความผูกพัน ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง หรือแม้กระทั่งผู้หญิงกับผู้หญิง หรือผู้ชายกับผู้ชาย
เพียงความรักความผูกพันก็ใช้เป็นเครื่องมือได้ดียิ่งกว่าการใช้กรงขังและโซ่ตรวน พวกเราทั้งหมดนี้ก็ไม่มีทางจะเล็ดลอดไปได้เมื่อเราถูกผูกมัดไว้ด้วยความผูกพัน ! มันเป็นการยากสำหรับเราที่จะจากไปเวลาที่เราต้องการ ต้องใช้พลังความตั้งใจอย่างยิ่งยวด ต้องใช้การสำนึกผิดที่แรงกล้ามากที่กำเนิดจากภายใน หรือต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมาก และหรือต้องใช้ความปรารถนาที่จริงใจอย่างมาก จึงจะได้รับการช่วยเหลือจากบุคคลที่รู้แจ้ง เช่นนั้นเขาเหล่านั้นจึงจะให้การช่วยเหลือเราจนผ่านพ้นในระดับของโลกทิพย์ไปได้
ถ้าหากพวกเรายังคงถูกผูกมัดไว้ด้วยความรักความผูกพันและเต็มไปด้วยสายสัมพันธ์ของความรักใคร่ เราก็ทราบได้ว่าเรายังคงอยู่ภายในระดับโลกทิพย์ ถึงตอนนี้เราเลิกพูดมากจะดีกว่าและมาตระหนักดูว่าเรายังคงไม่สามารถข้ามผ่านเกราะกำบังในระดับที่หนึ่งไปได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม ตั้งแต่โบราณกาลมาผู้คนมักจะให้ความนับถือผู้ทรงศีลเพราะพวกเขาคิดว่าอย่างน้อยที่สุดพวกผู้ทรงศีลสามารถผ่านพ้นไปจากระดับโลกทิพย์ที่เป็นประตูแรก
เหมือนกันกับผู้ต้องขังที่อยู่ในคุก ที่บางคนก็ก่ออาชญากรรมที่รุนแรง ดังนั้นพวกนี้จึงถูกกักกันไว้ในกรงเล็กๆ ที่เล็กกระทั่งไม่สามารถจะยืนตรงได้ บางคนก็ต้องโทษรุนแรงกว่ากระทั่งต้องล่ามโซ่ตรวน และคนเหล่านี้ไม่มีทางที่จะผ่านประตูด่านแรกออกไปได้เลย ผู้ต้องขังบางคนสามารถผ่านประตูออกไปช่วยกันทำงานในพื้นที่คุก ดังนั้นนักโทษพวกนี้จึงมีอิสระมากขึ้นและแน่นอนล่ะที่พวกลหุโทษในกรงเล็กๆ นั่นย่อมอิจฉาพวกที่ผ่านประตูเข้าออกได้ เพราะในห้องขังที่กระจิริดนั้นพวกเขาไม่ได้เห็นกระทั่งดวงตะวันหรือเห็นหน้าผู้คน กระทั่งญาติพี่น้องและเพื่อนๆ ด้วยกันก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยมกระทั่งทนายความก็ไม่ได้อนุญาตให้เข้าเยี่ยม คนเหล่านี้กำลังรอความตายจากการประหารชีวิต แน่นอนล่ะที่พวกลหุโทษเหล่านี้ย่อมริษยาพวกผู้ต้องขังที่สามารถผ่านเข้าออกประตูด่านแรก และสามารถไปไหนมาไหนได้เสรี
ก็เหมือนกันกับที่พวกเราคิดว่าพวกผู้บำเพ็ญทรงศีลทั้งหลายที่อยู่เหนือระดับของความรักความผูกพันและเป็นอิสระจากความรู้สึกต่างๆ เหล่านี้ เราก็เลยให้ความนับถือคนเหล่านี้ มิฉะนั้นแล้ว อะไรกันเล่าที่เป็นความแตกต่าง ? พวกลหุโทษไม่มีทางได้รับการยอมรับอย่างพวกผู้ทรงศีล ถ้าปราศจากการได้ก้าวข้ามระดับของความรักความผูกพันทีเป็นการคุมขังนี้ ! 
มันยากมากที่จะผ่านออกไปจากด่านแรก แต่ถ้าหากเราสามารถฝ่าออกไปได้ละก็ ด่านต่อๆ ไปก็ไม่ยากที่จะก้าวผ่านถ้าหากผู้ต้องขังประพฤติตัวดีเท่านั้น ผู้คุมก็จะอนุญาตให้เขาไปไหนมาไหนเพื่อทำงานได้ หลังจากนั้นซักระยะหนึ่งจะมีการสังเกตว่าเขาทำงานดีขึ้น ก็จะได้รับความไว้วางใจมากขึ้น ในไม่ช้าเขาก็สามารถผ่านเข้าออกไปยังประตูที่สองได้ง่ายขึ้น ถ้าหากความประพฤติของเขาพัฒนาดีขึ้นเรื่อยๆ มันก็ง่ายสำหรับเขาที่ออกไปได้ ไม่ใช่ออกจากคุก แต่คือจะได้รับอนุญาตให้ทำงานมากขึ้นและได้รับการไว้วางใจมากขึ้นจากผู้คุม เขาจึงไม่ต้องถูกกักขัง ดุด่าหรือเฆี่ยนตีสถานหนักนัก






23Angel_Kisses.jpg









    ดินแดนแห่งเหตุและผล เป็นเรื่องยากที่จะหลุดรอดไปจากกฎแห่งกรรม

     เราเรียกดินแดนด่านที่สองนี้ว่าดินแดนของกฎแห่งกรรม มันทำหน้าที่อย่างไรนะหรือ ? คือสิ่งที่พวกเทพยดาหรือทูตสวรรค์รังสรรค์มันไว้เพื่อพวกเรา แม้ว่าภายหลังจากที่เราได้ข้ามผ่านพรมแดนในระดับที่หนึ่งไปแล้ว พวกเทวดาก็ได้เตรียมด่านที่สองนี้ไว้ ดังนั้นพวกเราจึงไม่สามารถที่ผ่านไปในทันทีทันใดเพื่อก่อเหตุทะเลาะวิวาท ทำความยุ่งยากในสวรรค์ และทำลายบรรยากาศที่สงบสุขของจักรวาล เพราะฉะนั้นจึงมีพรมแดนซ้อนพรมแดนเพื่อหยุดเรา และเพื่อให้เทพยดาได้ตรวจสอบเรา ถ้าหากเราได้สิทธิ์เข้าสู่อาณาจักรของสวรรค์ภายหลังการฟันฝ่าด่านกักกันในระดับที่หนึ่งนั้นได้ ก็จะก่อความยุ่งยากขึ้น ดังนั้นจึงมีด่านต่อไปที่จะกักเราเอาไว้
แล้วที่นี้จะมีวิธีการอย่างไรที่ทูตสวรรค์จะใช้กับเราในตอนนี้นะหรือ ? เขาจะควบคุมพวกเราด้วยกฎที่ว่าด้วยเหตุและผล แต่เป็นเช่นไรนะหรือ ? วิธีการก็คืออะไรก็ตามที่เราทำไว้ในโลกนี้ ไม่ว่ากรรมดีหรือกรรมชั่ว เราจะต้องกลับมารับทุกขเวทนา ถ้าทำดีเอาไว้ก็ต้องกลับมาเสวยผลบุญ และระหว่างที่เรากำลังมีความสุขอยู่กับผลบุญอยู่นั้น ก็อาจกำลังสร้างเวรกรรมชั่วไปด้วย ในระหว่างที่กำลังหลงระเริงอยู่ เราก็จะติดกับดัก เมื่อสถานการณ์กลับกลายเป็นเลวลง เราก็จะทุกข์ทรมานและเศร้าหมอง และในที่สุดก็จะทำให้ต้องประกอบกรรมชั่ว ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไรก็อันตรายต่อเราเสมอ และนี่ก็คือหลุมพราง
พวกเราได้สร้างสถานการณ์นี้ขึ้นมาเพราะเราเคยทำไม่ดีไว้เมื่อก่อนหน้านั้น บรรดาเทพยดาในสวรรค์ต่างรู้สึกเห็นใจต่อปูมหลังของพวกเรา และสภาพที่รวดร้าวภายหลังที่ถูกตัดสินให้ลงมาเกิด พวกเขาก็เลยพูดกับพระเจ้าว่า “ให้พวกเราได้ลงมายังโลกจะได้เรียนรู้เพื่อปรับปรุงตัวอีกครั้ง หรือเพื่อเป็นการลดหย่อนผ่อนโทษ” เมื่อครั้งที่พระเจ้าได้แตะอาดัมกับอีฟลงมายังโลก นั่นก็คือการที่พระองค์ต้องการให้พวกเขามาชดใช้กรรม ! พวกเขาจะต้องทำงานหนักทุกวันเพื่อแลกขนมปัง โดยหยาดเหงื่อและแรงงานพวกเธอจึงจะได้กินขนมปัง ดังที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล พระองค์ได้ให้พรต่อพวกเขา !
ในเวลาต่อมานานแสนนาน บรรดาลูกหลานและทายาทที่ไม่ได้เป็นผู้ก่อกรรม ซึ่งสิ่งเลวร้ายต่างๆ ได้ก่อไว้โดยบรรพบุรุษ บรรดาเหล่าเทพยดาบนสวรรค์จึงได้วิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าว่า “ได้โปรดให้พวกเราเหล่าเทวดาได้ลงไปช่วยพวกเขาเถิดด้วยเห็นแก่ความดีที่พวกเขาเคยทำไว้ และเหล่านั้นเป็นเพียงลูกหลานและทายาทของพวกเขา และพวกนี้ก็ก็ไม่มีจิตใจเลวร้ายอันใดเลย ความผิดและบาปต่างๆ นั้นเป็นของบรรพบุรุษ ดังนั้นโปรดให้โอกาสพวกเขาเถิด......”
พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยเมตตาหลังจากได้สดับฟัง ดังนั้นก็ตรัสว่า “ตกลง !”
บรรดาเทพยดาทูตสวรรค์ทั้งหลายก็ได้ลงมาสั่งสอนพลังอำนาจเวทมนตร์และกรรมวิธีในการปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ด้วยเครื่องมือและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้วิถีชีวิตมีความสะดวกสบายและช่วยบรรเทาทุกข์ทรมาน นอกจากนั้นยังส่งนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งกาจลงมาสอนพวกเราในเรื่องของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งเป็นความลับของจักรวาลและสิ่งที่ไม่คาดฝันก็คือ ภายหลังจากที่พวกเราได้เรียนรู้ไปในบางส่วน เราก็ต้องการรู้มันทั้งหมด ก่อนหน้านั้นพวกเราเรียนรู้ได้ดีมาก ความคิดชั่วร้ายและความละโมบก็เกิดขึ้น พวกเรามีความภาคภูมิในการได้สร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ขึ้นมา และคิดว่าพวกเรานั้นเทียบได้ราวกับเทวดา เราจึงได้บังคับให้เขาสอนเราทุกๆ อย่าง
บรรดาเทวดาทูตสวรรค์ก็กล่าวว่า “ใจเย็นๆ ! จงจดจ่อกับสิ่งนี้ก่อน ดูซิว่าเธอทำได้ขนาดไหน แล้วสิ่งอื่นๆ จะตามมาในเวลาที่เธอได้พัฒนาในเรื่องศีลธรรมและปัญญาของเธอเรียบร้อยแล้ว มันยังไม่ถึงเวลา เราไม่สามารถสอนพลังอำนาจเวทมนตร์ที่อยู่ในระดับสูงสุดยอดให้เธอได้ในเวลานี้”
อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังคงยืนกรานและขู่เข็ญต่อเทวดาว่า “ตอนนี้เรารู้จักทำสิ่งต่างๆ มากมาย ! เราสามารถผลิตอาวุธต่างๆ ได้ แถมยังมีอำนาจเวทมนตร์มากมาย ถ้าท่านให้การปฏิเสธเราอีก เราก็จะปล้นเอาดื้อๆ เลย” มันก็เหมือนๆ กันกับที่นักเรียนวิชาการต่อสู้ป้องกันตัว ต้องการจะสู้กับคนที่เป็นอาจารย์ แม้จะยังอ่อนหัดอยู่เท่านั้นก็คิดว่าตัวเองมีพลังอำนาจมากพอจะท้าทายต่อคนที่เป็นอาจารย์ ก็แน่นอนละ ที่เทวดาจะปฏิเสธว่า “ไม่มีทางซะหรอก ! อำนาจเวทมนตร์ชั้นสูงสุดและปัญญานั้นจะต้องไปด้วยกันกับคุณธรรมที่สูงส่ง มิฉะนั้นเจ้าอาจจะทำสิ่งชั่วร้ายได้ หรือพูดง่ายๆ ว่าเจ้าจะไม่รู้จักวิธีใช้มัน” แต่พวกเขาไม่ฟัง แถมยังย้ำว่าจะปล้นเสีย พวกเขามีอาวุธต่างๆ พร้อมและโจมตีเพื่อขู่เข็ญเอากับบรรดาเทวดาที่อยู่นั่น แล้วพวกเขาก็ทำสำเร็จถึงที่นั่นได้ และแล้วผู้คุมกฎแห่งจักรวาลก็มาถึง และได้ใช้อำนาจเวทมนตร์และอาวุธที่เหนือกว่าทำลายล้างอาวุธของพวกเราลง แล้วก็ส่งคนของพวกเรากลับมายังที่เดิมที่เคยเป็นอยู่ ซึ่งบ้างก็ไม่หวนกลับมาและตายลงที่นั่น เรื่องราวก็เป็นมาเช่นนี้ ตั้งแต่นั้นมาพุทธะและโพธิสัตว์ก็ไม่ไว้วางใจพวกเราอีก และคงไม่ให้อำนาจเวทมนตร์พวกเราอีกแล้ว แต่ถึงอย่างไร อำนาจเวทมนตร์ที่ได้มีการเรียนกันมาในชาติปางก่อนบ้างก็ไม่ได้ถูกกำจัดไปซะทีเดียว ฉะนั้นก็เลยยังคงเหลือร่องรอยไว้ที่พวกเราบางคน นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมบางคนจึงสามารถร่ายเวทมนตร์คาถา ปลุกเสกสิ่งต่างๆ ได้ในทันทีแม้ว่าจะไม่อาศัยการเรียนรู้มาก่อนเลย สิ่งเหล่านี้เป็นความทรงจำที่หลงเหลือมาแต่ชาติปางก่อนนั่นเอง ซึ่งก็รวมไปถึงพวกที่สามารถทำให้เกิดการระเบิดของปรมาณู ระเบิดดำ ระเบิดขาวและอีกสารพัดระเบิดอันมาจากคนชั่วร้ายทั้งสิ้น ! (อาจารย์กับทุกคนหัวเราะ)
ภายหลังการทำลายล้างอาวุธแห่งจักรวาลของพวกเราลง พวกเทวดาก็กักขังเราไว้ที่นี่ พวกเขาจัดการขังเราไว้อย่างไรน่ะหรือ ? พวกเขาไม่ได้ใช้โซ่ตรวนหรืออำนาจเวทมนตร์ธรรดาทั่วไป เนื่องจากสิ่งเหล่านี้พวกเราเรียนรู้มาหมดแล้ว เรารู้วิธีจู่โจมและหลบหนีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นพวกเทวดาจึงวางแผนการที่แยบยลเพื่อปราบความก้าวร้าวของพวกเราด้วยการมีความรู้สึกถึงความรักความผูกพันและผลแห่งกรรม พวกเขาได้สร้างระบบกฎแห่งกรรมขึ้นเพื่อที่เราจะได้เกิดและตายลง โดยไม่จำเป็นต้องเสียแรงทำอะไรเราเลยด้วยซ้ำ เหลือเชื่อจริงๆ ! ไม่ว่าเธอจะทำสิ่งดีหรือเลวร้าย เธอก็จะต้องกลับชาติมาเกิดรับผลของมันอยู่ดี นี่คือความอัศจรรย์ ! ตั้งแต่นั้นมาพวกเราก็ถูกผูกมัดไว้จนบัดนี้ ไม่สามารถหลุดพ้นไปไหนได้ ไม่ว่าเราจะเพียรพยายามซักแค่ไหน ก็ไม่สามารถขึ้นไปได้
มันเหมือนกับประตูใหญ่ของที่คุมขัง ที่เราจะต้องออกไปโดยผ่านมันออกไป การขุดอุโมงค์หรือความพยายามหลบหนีวิธีอื่นๆ นั้น ไม่ช้าไม่นานก็จะถูกจับกุมโดยตำรวจ ถ้าหากเธอถูกจับได้หนึ่งครั้ง โทษที่ได้รับก็จะเพิ่มขึ้นอีก และเธอก็ถูกกักขังหนาแน่นขึ้น นั่นคือเหตุผลที่ทำไมผู้คนที่บำเพ็ญให้ได้รับการหลุดพ้นและฝึกสมาธิด้วยตนเองจึงล้มเหลว พวกเขาพยายามที่จะขุดอุโมงค์หรือเจาะกำแพง ซึ่งเป็นการทำให้สภาพการณ์เลวร้ายลงไปอีก ที่เรารู้กันว่าการถูกเข้าสิงหรือถูกครอบงำ ฉะนั้นกฎแห่งกรรมนั้นคือโซ่ตรวนที่ล่ามหรือประตูที่กักขังเราไว้ที่นี่ นี่คือวิธีการของกฎแห่งกรรม มันถูกสร้างขึ้นโดยบรรดาเทพยดา มิฉะนั้นแล้วจะกักขังพวกเราไว้ที่นี่ได้อย่างไรกัน ?
ว๊าว ! พวกเราเคยมีอำนาจเวทมนตร์แบบที่เวลาเราจะไปไหนใช้เวลาแค่พริบตาก็ไปถึงดาวจูปีเตอร์ ถึงดาวอังคาร หรือไปยังดวงอาทิตย์ แสวงหาด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์และอำนาจเวทมนตร์ที่เกรียงไกร ไม่มีใครจะมาหยุดยั้งเราได้ เรามีภูมิปัญญาที่ยิ่งใหญ่แต่เราเพียงได้ใช้มันไปในการทำสิ่งที่ชั่วร้าย แล้วมนุษย์ก็ยังคงอยู่ในความป่าเถื่อนและผิดศีลธรรม พวกเขาจะไม่ฟังคำสอนในเรื่องของศีลธรรมกัน !
บางทีบรรดาเทวดาบนสวรรค์คงคิดว่าพวกเรามีความเมตตากรุณาอย่างเขากระมัง ดังนั้นก็เลยไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่องของศีลธรรมกัน พวกเขาไม่สั่งสอนผู้คนให้อยู่ในศีลห้าและให้รับการประทับจิตก่อนจะบำเพ็ญเพียรด้านสมาธิกัน พวกเขาเพียงแต่สอนผู้คนถึงวิธีการทำสมาธิ การกินเนื้อสัตว์นั้นไม่ได้รับการห้าม และเรื่องของศีลก็ไม่มีการยึดถือ ดังนั้นผู้คนจึงได้ไม่พัฒนาด้านศีลธรรมและคุณลักษณะในทางความเมตตากรุณา เพราะถ้าหากบุคคลที่ไร้ศีลธรรมได้ครอบครองฐานะตำแหน่งทางการเมืองหรือมีอำนาจหน้าที่ระดับสูงแล้วล่ะก็จะยิ่งเป็นอันตรายต่อประชาชน
ในอดีตกาล พวกทูตสวรรค์ได้กระทำผิดพลาดไปโดยการละเลยต่อการพัฒนาศีลธรรมจรรยาของพวกเรา และได้เล็งเห็นแต่เรื่องการเอาใจใส่ไปในทางวัตถุแต่เพียงอย่างเดียว พวกเขาเห็นว่ามนุษย์มีความเป็นอยู่ที่ทุกข์ทนทรมานกับน้ำตาไหลรินและกับหยาดเหงื่อที่ตรากตรำตลอดวันแต่ก็ยังมีไม่พอจะกิน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการใช้ปุ๋ยในการเพาะปลูกเลย และยังคงไร้เดียงสาต่อสรรพสิ่งที่มีวิวัฒนาการ พวกเขาได้ผลตอบแทนที่เล็กน้อยมากไม่ว่าจะทำอะไร เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าได้พิพากษาไว้ว่า “ด้วยหยาดเหงื่อและแรงงานของเจ้า เจ้าจึงจะได้กินขนมปัง” พระองค์ไม่ได้กล่าวว่าเจ้าจะต้องกักตุนอะไรและเก็บมันไว้ในธนาคาร พระองค์เพียงแต่กล่าวว่า “จงกินเท่าที่จะอยู่รอด” อย่างไรก็ดียังไม่ใช่เรื่องของธนาคารอีกนั่นแหล่ะ ! พระองค์ไม่ได้คิดถึงเรื่องการกักตุนเลย พระองค์กล่าวว่ามันเป็นการดีอยู่ถ้าหากเรามีพอใช้จ่าย พระเจ้าทรงซื่อตรงและสะอาดอย่างแท้จริง พระองค์ไม่เคยสอนอะไรที่เกี่ยวข้องกับธนาคารหรือการกู้ยืม (อาจารย์หัวเราะ) ดังเช่นระบบซึ่งไม่เคยมีอยู่แต่ไรมา
ดังนั้นพอพวกทูตสวรรค์ได้มาเห็นมนุษย์อยู่ในสภาพทุกข์ยากแสนสาหัส ก็เลยให้ความสนใจไปทางที่เกี่ยวกับวัตถุและลืมเรื่องของศีลธรรมจรรยาที่มีความสำคัญยิ่งไปกว่า เพราะถ้าหากผู้คนทำผิดศีลธรรมก็จะมีแต่ความเสื่อมทราม ถ้ามีแต่การให้สิ่งต่างๆ แต่ในทางวัตถุ พวกเขาไม่เพียงแต่จะยึดถือ กอบโกยเพื่อความมั่งคั่งของตนเอง หรือไม่แบ่งปันให้กับผู้คนอื่นๆ เท่านั้น เมื่อใดที่เขามีพลังอำนาจและความมั่งคั่ง เขาก็จะใช้มันไปในทางสิ่งที่เลวร้ายต่างๆ ได้
ถ้าเธอได้ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือพิมพ์หรือหนังสื่อต่างๆ เธออาจจะพบว่าประวัติศาสตร์ของพวกเรานั้นเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่ขุนนางระดับสูงที่ทุจริต พวกนี้จะหาประโยชน์เอาจากประชาชนและปล้นชิงเอาทรัพย์สินของประชาชน ยิ่งอยู่ในตำแหน่งสูงเท่าไรก็ยิ่งกลายเป็นความเลวร้ายมากเท่านั้น ผลสุดท้ายรัฐบาลทั้งหมดก็พังทลาย ถ้าหากว่าคนชั่วเหล่านั้นไม่ใช่เจ้าหน้าที่ขุนนางระดับสูง หากแต่เป็นชาวนาที่ยากจนแทน คนเหล่านี้ก็ไม่มีโอกาสที่จะทำอันตรายอะไรได้มากนัก อย่างมากก็ทำได้แค่คดโกงพื้นที่นาของเพื่อนบ้านหรือหาเงินได้มากขึ้นจากผู้คนโดยการทำธุรกิจติดสินบน ตั้งแต่ระดับที่เป็นเจ้าหน้าที่ขึ้นไปก็สามารถคดโกงประชาชนได้มากมาย ยิ่งอยู่ในตำแหน่งสูงเท่าไรก็ยิ่งข่มขู่ประชาชนได้มากเท่านั้น ฉะนั้นจึงเป็นอันตรายอย่างยิ่งที่จะมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ไร้ศีลธรรมจรรยา
ก็คล้ายๆ กับการที่ไม่มีใครสั่งสอนบรรพบุรุษของเราในเรื่องที่เกี่ยวกับจริยธรรม พวกเทวดาเป็นผู้ที่เต็มไปด้วยความเมตตากรุณาและเป็นผู้ที่มีคุณธรรมอยู่ในตนเอง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยคิดว่าพวกเราจะไร้ศีลธรรมจรรยา และนี่ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่พระเจ้าตัดสินให้พวกเราลงมารับโทษบนโลกนี้ การขาดแคลนศีลธรรมเป็นเหตุผลที่ชัดเจนแน่นอน ไม่เช่นนั้น เราก็น่าที่จะมีสิทธิ์สมควรที่จะอยู่บนสวรรค์ได้ ! เรามาที่นี่ก็เพราะคุณสมบัติที่บกพร่องของเรา เหมือนกับเด็กนักเรียนที่ต้องเรียนซ้ำชั้นอีกหนึ่งปีนั่นเอง เมื่อเห็นว่าพวกเราขาดแคลนสิ่งของทางวัตถุ พวกเทวดาก็เกิดความรู้สึกสงสารเห็นใจพวกเราและรีบให้ความช่วยเหลือต่อพวกเรา เหมือนกันกับตอนที่เราไปช่วยผู้ประสบภัยพิบัติต่างๆ ตอนที่เราไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยในฟิลิปปินส์ เราก็ให้ความช่วยเหลือเจือจานทางด้านวัตถุก่อนอื่น เพราะเราเป็นห่วงว่าพวกเขาอาจจะอดอยาก ดังนั้นเมื่อเราไปที่ฟิลิปปินส์ เอาแลค หรือว่าจีนแผ่นดินใหญ่ เพื่อผ่อนคลายสถานการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้น เราจะไม่ค่อยพูดถึงสิ่งอื่น เราจะย้ำกับพวกเขาแต่เพียงว่า “ความช่วยเหลือที่พวกเราจัดหาให้ทางด้านวัตถุนั้นอยู่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น อย่างน้อยที่สุดก็ช่วยดูแลทางด้านจิตวิญญาณของพวกเขาและสอนให้พวกเขาสวดอธิษฐานภายในถึงพระเจ้าให้ท่านช่วย เพื่อให้พวกเขาสามารถที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานได้ตลอดกาล และหลังจากนั้นจึงค่อยแนะนำให้พวกเขาเป็นคนดี และพยายามที่จะเป็นมังสวิรัติ และจากนั้นก็แนะนำคำสอนแก่พวกเขาบ้างเพื่อช่วยให้เขาได้มีความเข้าใจ” ไม่เช่นนั้น พวกเขาก็จะคิดว่าเป็นการดีเพียงพอแล้วจะได้รับข้าวสาร อาหารและเงิน มันก็อาจจะดีอยู่ในชั่วเวลาสองสามเดือน แต่ก็ได้แค่เพียงช่วยค้ำจุนทางด้านร่างกายเท่านั้น วันนี้เราอาจจะมีร่างกายแต่ก็อาจจะสูญเสียไปในวันรุ่งขึ้น มันไม่มีทางที่จะปลอดภัยอยู่ได้ถาวร เมื่อเราช่วยเหลือผู้คน ความจริงแล้วการให้ความดูแลทางด้านร่างกายของพวกเขานั้นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ เพราะมันไม่จีรังยั่งยืน มันอาจจะเสียหายจากอุบัติเหตุบนท้องถนนพรุ่งนี้ก็ได้ หรือจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว หรืออาจจะถูกพัดพาไปพร้อมกับน้ำท่วม ไม่มีอะไรที่เราควรจะภาคภูมิใจในการช่วยเหลือกิจกรรมบรรเทาสาธารณภัย มันไม่มีอะไรเลยจริงๆ กับการช่วยประคับประคองร่างกายมนุษย์เอาไว้ชั่วเวลาสองสามเดือน !
ถ้าหากว่าคนเหล่านี้ตายลงในเวลาต่อมา พวกเขาก็ยังคงจะต้องทนทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดบางอย่างเมื่อเขากลับมาอยู่นั่นเอง ถ้าหากเขารอดพ้นจากน้ำท่วมที่นี่ได้ เขาก็อาจผจญกับเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ในอีกสถานที่หนึ่งก็ได้ หรือไม่เขาอาจจะกลับมาเกิดอีกครั้งและตกอยู่ในอันตรายจากอัคคีภัย.....ไม่มีอะไรที่แน่นอน ! ดังนั้นเราจึงใช้โอกาสนี้เพื่อบอกวิถีทางแห่งการหลุดพ้นแก่พวกเขา แนะนำให้พวกเขาหันมาทานอาหารมังสวิรัติ หรือให้สวดถึงพระเจ้า สำนึกผิดอย่างจริงใจ ให้ท่านช่วยเหลือ แล้วบางทีพวกเขาอาจจะได้พบกับอาจารย์ผู้รู้แจ้งเมื่อพวกเขากลับมาเกิดอีกในชาติต่อไป นี่จึงเป็นการช่วยบรรเทาภัยพิบัติอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้น เราก็อาจจะช่วยเหลือพวกเขาได้ในตอนนี้ แต่เขาก็ยังคงต้องพบกับภัยพิบัติอย่างอื่นอีกในไม่ช้า ใครล่ะที่จะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีวาตะภัย แผ่นดินไหว หรือภูเขาไฟระเบิดเกิดขึ้นอีก ?
นั่นเป็นครั้งแรกที่เหล่าเทวดาได้ติดต่อกับมวลมนุษย์ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้คิดใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน ! แต่ก่อนนี้ ตอนที่ลูกศิษย์ที่เป็นนักบวชของเราจัดให้มีการช่วยเหลือบรรเทาสาธารณภัย พวกเขาก็ไม่ได้นึกถึงข้าวของต่างๆ อย่างถี่ถ้วนเช่นกัน พระเจ้าเองก็ไม่ได้คิดถึงมันมากนัก เพราะท่านมัวเพลิดเพลินอยู่กับเหล้าองุ่นและสรรพสิ่งอันปราณีตงดงามบนสวรรค์ ! ถ้าพวกมนุษย์ตกอยู่ในความเจ็บปวดอย่างสาหัส นั่นมันก็เป็นเรื่องของพวกเขา พระเจ้าไม่ได้ทุกข์ทรมาน ดังนั้นท่านจึงไม่รู้เรื่อง ! ดังนั้นทำไมเธอจึงพบว่าคนรวยบางคนนั้นไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับคนยากจน พวกเขาไม่ใช่ว่าจะชั่วร้ายหรือว่าขี้เหนียว แต่เขาไม่รู้ว่าความทุกข์ทรมานแบบใดกันที่คนยากจนต้องการจะให้เขาช่วยเหลือ การที่ตนเองมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ เราจะไม่สามารถรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดของคนที่เจ็บป่วยได้ มันก็เหมือนกับคนที่พูดว่า : เราไม่อาจที่จะเข้าใจถึงความหมายของความเจ็บปวดของคนเป็นพ่อแม่ได้ ถ้าหากว่าตัวเรานั้นไม่เคยได้ให้กำเนิดทารก นี่เป็นความจริงอย่างที่สุด
ฉันเองก็มีประสบการณ์เดียวกันนี้ เฉพาะเวลาที่ฉันไม่สบายฉันจึงจะคิดถึงความเจ็บปวดของผู้ที่เจ็บป่วย ฉะนั้นเวลาที่ฉันไม่สบาย ฉันจะไม่อธิษฐานให้ตัวเองหายป่วย เพราะฉันกลัวว่าฉันอาจจะลืมความเจ็บปวดของผู้ป่วยไข้ไม่สบายในเวลาที่ฉันหายดีแล้ว ดังนั้นฉันจึงปล่อยให้มันเป็นไป และไม่สวดอธิษฐานอะไร ! เวลาที่ฉันอธิษฐาน ฉันก็จะขอกับพระเจ้าว่า “ถ้าหากว่าเป็นไปได้ ก็ปล่อยให้ฉันตกอยู่ในความเจ็บป่วยเพื่อคนอื่นๆ เถิด ถ้าเพียงแต่ความเจ็บป่วยหรือความทุกข์ทรมานของฉันจะสามารถแลกเปลี่ยนให้พวกเขาได้รับความสุขได้”
หลังจากที่พวกเทวดาสอนพลังอิทธิปาฏิหาริย์บางอย่างให้พวกเรา ความชั่วร้ายและความโหดร้ายที่อยู่ภายในของพวกเราก็ปรากฏออกมา และมันก็สายเกินไปที่จะยับยั้งพวกมันไว้ ! เราไม่ได้พัฒนาคุณธรรมของพวกเราไปด้วยในเวลาเดียวกัน พวกเทวดาสอนแต่พลังอิทธิปาฏิหาริย์ แต่ไม่ได้สอนศีลธรรมจรรยา ดังนั้นมันจึงเป็นการสายเกินไป ! พวกเราได้รับพลังอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ เรียบร้อยแล้ว และก็สายเกินไปต่อการฝึกหัดคุณธรรมให้กับพวกเรา ดังนั้นพวกเทวดาจึงต้องใช้วิธีการเหล่านี้เพื่อพันธนาการพวกเราไว้
เธออาจจะถามฉันว่า “อุปสรรคด่านแรกคือความรู้สึกเกี่ยวกับความรัก และด่านที่สองคือกรรม นั่นก็น่าจะเป็นการเพียงพอ แล้วทำไมจึงจำเป็นจะต้องมีด่านที่สามอยู่อีกและด่านที่สี่ล่ะมีไว้เพื่ออะไร มันมีไว้เพื่อประโยชน์ทางด้านความปลอดภัย ! สังเกตดูพวกนักโทษในคุก พวกเขาถูกล่ามโซ่ แล้วก็ยังมีประตูอีกหลายประตูอยู่ข้างในเสริมความมั่นคงด้วยลวดหนามและกำแพงชั้นนอกยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกมากมายคอยคุ้มกันและยังมีระบบที่สามารถหยุดยั้งการหลบหนีได้อย่างทันท่วงทีอีก อย่างเช่นรั้วไฟฟ้าเป็นตัวอย่าง เวลาที่มีคนปีนขึ้นไป เขาก็จะหมดสติและหล่นลงมา ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปตามจับเขา และยังมีเรดาห์กับสัญญาณป้องกัน ถ้ามีคนคลานออกไปข้างนอก สัญญาณก็จะร้องดังขึ้นมา ทำให้ทั่วโลกได้รับรู้







25Ange.jpg









     ไม่มีทางออกไปจากโลกที่สามได้ ก่อนที่จะขจัดทำลายอัตตาลง

     ทำนองเดียวกัน คนบนโลกนั้นทุกข์ทนกับการที่ต้องถูกปิดขังอยู่เบื้องหลังประตูทั้งสองและไม่สามารถที่จะหลบหนีออกไปได้เพียงพออยู่แล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงสร้างประตูที่สามไว้อีก ประตูที่สามมีไว้เพื่ออะไร ? นี่ก็เพื่อในกรณีที่มีคนฉลาดมากๆ และรู้ว่าการกระทำสิ่งที่เลวจะนำมาซึ่งผลกรรมที่เลว และการกระทำดีก็จะนำมาซึ่งผลกรรมที่ดี อะไรจะเกิดขึ้นถ้าหากว่าเขาจะไม่ทำทั้งความดีและความชั่วใดๆ เลย แล้วเขาไปยังโลกในอาณาจักรที่สามได้ ถ้าหากว่าที่นั่นไม่มีกำแพงอีกชั้นหนึ่งในโลกระดับที่สาม เขาก็อาจจะตรงเข้าไปสู่อาณาจักรสวรรค์ได้เลย ! ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำสิ่งที่ดีหรือสิ่งทีเลวเลย แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นผู้ที่มีความเมตตากรุณา บางทีเขาอาจจะมีแผนการดีๆ อยู่ในใจด้วยความที่เขารู้ว่า เขาจะต้องถูกผูกมัดในสิ่งใดก็ตามที่เขากระทำลงไป เขาก็เลยตัดสินใจที่จะไม่ให้เกิดความรู้สึกใดๆ เกี่ยวกับความรัก ! “เรารอได้เสมอจนกว่าเราจะได้ขึ้นไปข้างบน บนนั้นมีนางฟ้านางสวรรค์ แล้วทำไมเราจะต้องมาถูกกักขังอยู่ที่นี่ ? นับตั้งแต่วันนั้น เราปลงใจที่จะไม่ให้เกิดความรู้สึกของความรักใคร่เกิดขึ้นต่อตัวเรา ละเว้นการทำดีและทำชั่วใดๆ แล้วก็คอยดูว่าเราจะสามารถออกไปได้หรือไม่” เราก็ยังคงไม่สามารถที่จะออกไปได้เพราะพวกเทวดาได้คิดถึงสิ่งนี้ไว้แล้ว พวกเขาฉลาดกว่าพวกเรา อาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาหวาดกลัวพวกเรา เพราะพวกเรานั้น “น่ากลัว” จริงๆ
ดังนั้นจึงมีด่านที่สามถัดจากด่านที่สองอยู่อีก ด่านที่สามหยุดเราได้ด้วยวิธีใด ? เราไม่มีความรู้สึกเกี่ยวกับความรักและเราก็ไม่ได้ทำอะไรทั้งที่ดีและทั้งที่เลว ถ้าอย่างนั้นอะไรอีกล่ะที่จะสามารถกักขังหรือควบคุมเราไว้ได้ ? พวกเธอจำได้หรือไม่ว่าคุณลักษณะเฉพาะของโลกระดับที่สามนั้นคืออะไร ? มันคือพลังของการสร้างสรรค์ พระพรหมเป็นผู้สร้างภายในโลกระดับที่สาม ผู้ที่เราเรียกกันว่า พระผู้สร้างก็อยู่เพียงแค่โลกระดับที่สามเท่านั้น พระผู้สร้างที่พวกเราส่วนใหญ่รู้จักก็คือ พระพรหม นั่นเอง พวกเทวดาสามารถผูกมัดพวกเราไว้ได้อย่างไรในขณะที่มอบพลังของการเป็นผู้สร้างแก่เราไปด้วยในเวลาเดียวกัน มันเป็นเพราะว่า ถึงแม้ว่าเราจะเข้าถึงระดับนั้นแล้วก็ตาม เราก็ยังคงมีอัตตาอยู่ เรายังคงเตือนตนเองไม่ให้ทำความดีหรือความเลว ตราบเท่าที่เรายังมีพลัง มีความเฉลี่ยวฉลาดและความตั้งใจที่จะควบคุมตัวเอง เราก็ยังคงมีอัตตาอยู่ ถ้าหากว่าเรามีพลังอิทธิปาฏิหาริย์สร้างบางสิ่งบางอย่างได้ เราก็ยิ่งจะมีความหยิ่งทะนงมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าความหยิ่งทะนองจะเป็นสิ่งที่สูงส่งอย่างหนึ่ง มันก็ยังคงเป็นความหยิ่งอยู่นั่นเอง
“ว้าว ! ฉันยิ่งใหญ่ ! ตอนนี้ฉันเขียนกลอนได้ เล่นเปียโนได้ และก็ทำได้ทุกอย่าง ความสามารถต่างๆ มากมายของฉันได้เผยออกมา” ผลที่สุดก็คือ เราจะกลายเป็นหยิ่งทะนงมากขึ้น ตราบใดที่เรายังคงอยู่ภายในสามโลก เราจะไม่สามารถควบคุมอัตตาได้ เรายังไม่ได้ฝึกฝนคุณธรรมของเรา ไม่ได้ปราบปรามความมีอัตตาทุกๆ วัน และไม่เรียนรู้ที่จะถ่อมตัว ดังนั้นยิ่งเราได้รับผลหรือว่าสร้างสรรค์ได้มากขึ้นเท่าไร เราก็ยิ่งมีความหยิ่งทะนงมากยิ่งขึ้นเท่านั้น นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เราติดอยู่ที่นั่น
หรือว่าเราอาจจะภูมิใจอย่างมากถ้าหากว่าเรามีความฉลาดมากขึ้น หรือว่าสามารถโต้แย้งได้คล่องแคล่วกว่าเดิม “ฉันดีกว่าเขา เพราะเขาเถียงสู้ฉันไม่ได้ ฉันเป็นผู้มีการศึกษาแต่ว่าเขาไม่มี ฉันทำสิ่งนี้ได้ในขณะที่เขาทำไม่ได้” นี่เป็นตัวอย่างหรือว่าฉันมีความสำนึกเสียใจแต่เขาไม่มี มีคนบอกว่าอาจารย์รักคนที่มีความสำนึกผิด ! เธอก็เห็นนี่ว่าฉันเป็นผู้ที่มีความสำนึกผิด ! ฉันนี่ยิ่งใหญ่จริง ! เธอเคยนึกไหมว่าแม้กระทั่งการสำนึกผิดก็ยังสามารถทำให้คนเกิดความหยิ่งลำพองขึ้นมาได้ ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เราสร้างขึ้นมาได้ก็สามารถทำให้เรามีความรู้สึกภาคภูมิใจได้ ดังนั้นมันจึงยากเย็นอย่างที่สุดสำหรับพวกเราที่จะข้ามพ้นออกจากสามโลก ทุกๆ คนจึงได้แต่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ภายในสามโลก แล้วก็คิดว่าพวกเขายิ่งใหญ่และสูงส่งมาก
คนที่มีความถ่อมตัวอาจจะบอกว่า “ว้าว ! ฉันนี่ถ่อมตัวมาก ฉันถ่อมตัวมากกว่าเขา ยังจะมีใครถ่อมตัวมากไปกว่าฉันอีก” คนที่อยู่ใกล้ชิดอาจารย์ก็อาจจะคิดว่าเขานั้นยิ่งใหญ่ “อาจารย์ไว้ใจฉัน ! แสดงว่าฉันจะต้องมีอะไรที่พิเศษ” ส่วนคนที่ไม่สามารถอยู่ใกล้ชิดอาจารย์ได้ ก็อาจจะปลอบใจตัวเองว่า “พวกที่อยู่ใกล้ชิดอาจารย์น่ะเป็นพวกมารพวกปีศาจ (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) ฉันไม่ได้ป่วยขนาดหนัก ดังนั้นอาจารย์ก็เลยไม่เรียกให้ฉันไปอยู่ใกล้ๆ อาจารย์ (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ)
พวกเทวดานั้นช่างเจ้าความคิด ฉันยอมยกย่องพวกเขาจริงๆ นี่เป็นวิธีเดียวที่จะควบคุมมนุษย์โลกได้ เพราะพวกเรานั้นฉลาดซะเหลือเกิน ใช่หรือเปล่า ? พวกเราสร้างได้ทุกสิ่งทุกอย่าง เราสามารถลงไปได้ถึงก้นทะเล สำรวจอวกาศ แล้วก็ลงไปจอดที่ดาวอังคาร เพียงแต่ว่าเรายังไม่ได้เอาพระจันทร์มาเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็น เหลือแต่เพียงดวงอาทิตย์ที่ร้อนเกินไปเท่านั้น (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เราก็เลยไม่กล้าเข้าไปใกล้จนเกินไปนัก ไม่อย่างนั้น ดวงอาทิตย์จะต้องตัวสั่นงันงกในไม่ช้านี้กลัวว่าพวกเราอาจจะไปปล้นพลังงานความร้อนจากมัน (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) แล้วก็ปล่อยให้มันหนาวจนแข็งตาย (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เราได้เริ่มที่จะขโมยความร้อนจากมันเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่หรือ ? (ตอบ : พลังงานแสงอาทิตย์) เราทำสิ่งนี้ขึ้นมาและกำลังคิดจะทำสิ่งนั้น ดวงอาทิตย์ก็เริ่มที่จะตัวสั่นแล้ว
ว้าว ! มันช่างน่ากลัว ใครกันที่จะหยุดเราได้ ? เราทำแม้กระทั่งฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เดียวกัน แล้วใครกันที่จะมาคุกคามพวกเราได้ คนในประเทศนี้ฆ่าคนที่อยู่อีกประเทศหนึ่ง คนนี้ฆ่าคนนั้น มันคือบรรยากาศของการดิ้นรนระหว่างชีวิตและความตาย ! การต่อสู่ก็ดำเนินต่อไปทุกวัน เราไม่มีแม้กระทั่งความเวทนาสงสารต่อเผ่าพันธุ์เดียวกัน ยังมีใครอีกล่ะที่เราจะต้องกลัว พวกเทวดานั้นเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็นและพวกเขาก็ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเรา ดังนั้นเราก็แค่ขโมยจากพวกเขาหากว่าเราทำได้ ระบบที่กักขังพวกเราไว้ในสามโลกนั้นช่างเหลือเชื่อ และมีพลังมากมายยิ่งกว่าอิทธิปาฏิหาริย์ใดๆ ที่เราได้เรียนรู้มา ไม่เช่นนั้นล่ะก็ ด้วยพลังอิทธิปาฏิหาริย์ที่เราเรียนนั้น เราสามารถบุกทะลวงไปได้สามสิบโลก ไม่ต้องไปพูดถึงแค่สาม ! แต่ก่อนนี้เราสามารถทำให้ชั้นซึ่งป้องกันดวงดาวนั้นฉีกขาดแล้วก็ขึ้นไปได้
เดิมทีเดียวแต่ละดวงดาวจะมีเกราะป้องกัน คนเราจะไม่สามารถฝ่าเข้าไปได้ถ้าหากว่าไม่รู้วิธี พวกเทวดานั้นโง่เขลาที่สอนพวกเราถึงวิธีที่จะหลอมละลายสนามแม่เหล็ก และแล้วเราก็จัดการบุกทะลวงเข้าไป ไม่เช่นนั้นเราจะไม่สามารถทำได้ ก็เหมือนกับที่แต่ละประเทศจะมีศุลกากรและเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้ปกป้องพรมแดน เฉพาะเวลาที่เธอมีวีซ่าเท่านั้น พวกเขาจึงจะอนุญาตให้เธอเข้าไปและอยู่ที่นั่นในระยะเวลาที่จำกัดไว้
แรกเริ่มเดิมทีพวกเขาไม่ได้หมายมั่นที่จะโจมตีโลกของเราอย่างรุนแรง ในการที่พวกเขาต้องการจะทำลายอาวุธที่มีพลังร้ายแรงของเรา เขาจะต้องใช้พละกำลังมหาศาล ไม่เพียงแต่โลกเราเท่านั้นที่จะกระทบกระเทือน ดวงดาวใกล้เคียงอีกหลายดวงหรือดวงดาวที่อยู่ในวงโคจรเดียวกับเราก็จะได้รับอิทธิพลจากการระเบิดด้วย ผลที่สุดก็คือพืชพันธุ์บนดวงดาวบางดวงจะอันตรธานหายไป ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ที่นั่นได้ และดินก็จะกลายเป็นดินที่ไม่เหมาะสมต่อการเกษตรกรรม บนดวงดาวเหล่านั้นกลับกลายเป็นมีอันตรายอย่างมาก เพราะที่นั่นไม่มีอากาศหรือบรรยากาศที่จะปกป้อง มนุษย์อาจจะตายได้ถ้าอาศัยอยู่ที่นั่น ดังนั้นพวกเขาจึงขุดหลุมแล้วลงไปอาศัยอยู่ใต้ดิน แม้แต่ต้นไม้หรือดอกไม้ก็ถูกย้ายลงไปใต้ดินด้วย บ้านเรือนถูกปลูกสร้างไว้ที่นั่นโดยมีเกราะกำบังอยู่ด้านบน ถ้าหากว่าพวกเขาต้องการจะออกไปข้างนอก เขาจะต้องเปิดประตูอย่างรวดเร็วแล้วรีบเข้าไปในจานบิน เขาไม่สามารถที่จะเปิดเผยตนเองโดยที่ไม่มีเกราะกำบังออกสู่บรรยากาศได้ ไม่เช่นนั้นเขาก็จะถูกฆ่า บรรยากาศมีความเป็นพิษอย่างสูงซึ่งเป็นอันตรายอย่างรุนแรงต่อทั้งมนุษย์และพืช ดังเช่นเรารู้ว่ามีก๊าซบางชนิดที่มีพิษและเป็นอันตรายถึงตาย เราอาจจะทำให้ตัวเองถึงแก่ความตายได้หากว่าไม่ระมัดระวัง ดวงดาวที่ถูกผลกระทบจากการระเบิดเหล่านั้นก็สร้างบรรยากาศที่เป็นพิษซึ่งเป็นอันตรายอย่างมากต่อสภาพชีวิต แน่นอนที่สุด สถานการณ์จะปรับเปลี่ยนเป็นดีขึ้นหลังจากหลายๆ พันปี แต่ก็ไม่ได้พื้นคืนอย่างสมบูรณ์ ฉะนั้นเราจึงไม่สามารถที่จะพูดได้ว่า เวลาที่ตัวเราผู้เดียวหรือโลกของเราทำอะไรลงไป เราจะเป็นเพียงผู้เดียวที่ได้รับซึ่งผลลัพธ์นั้น บางครั้งคนอื่นๆ ก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน
ในเวลานั้นเราขึ้นไปโจมตีดวงดาวหลายต่อหลายดวง และเป็นธรรมดาอยู่เองที่พวกเขาจะต้องตอบโต้ แม้ว่าบรรดาพุทธะจะบอกพวกเขาไม่ให้ทำเช่นนั้น นั่นก็เป็นการกระทำโต้ตอบตามธรรมชาติของพวกเขาเอง ผลก็คือ พวกเขาก่อให้เกิดกรรมซึ่งเขาจะต้องชดใช้ในภายหลัง นี่เป็นความยุ่งยากจริงๆ 






micael.jpg









     โลกระดับที่สี่ เขตปลอดภัยซึ่งปกป้องดินแดนบริสุทธิ์

     ในที่สุดก็มาถึงระดับที่สี่ เขตปลอดภัยชั้นสุดท้าย เหมือนกับคุกซึ่งเราขังพวกนักโทษเอาไว้ ถึงแม้ว่าพวกเขาอาจจะได้รับอิสระมากขึ้น เรียนรู้ที่จะเป็นคนฉลาดและดูจากภายนอกแล้วดีขึ้น เราก็ไม่สามารถปล่อยพวกเขาอย่างอิสระตามท้องถนนได้ เพราะพวกเขายังเป็นนักโทษอยู่ ! เขายังไม่ได้ชดใช้ต่ออาชญากรรมที่ตนทำขึ้นหรือว่ายังไม่สมควรแก่เวลาตามที่กำหนดไว้ การมีอิสระมากขึ้นอาจจะทำให้พวกเขารู้สึกกระวนกระวายและก่อการกบฏขึ้นได้ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องมีกำแพงชั้นนอก พวกเขามีอิสระที่จะผ่านประตูได้หลายชั้นโดยที่ไม่มีผู้คุมคอยขัดขวาง แต่เขาก็ต้องกลับไปนอนที่ห้องขังของตนเองในตอนกลางคืน เพื่อควบคุมพวกเขาจากการไปทำสิ่งเลวร้าย ยังไม่อาจที่จะแน่ใจได้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ภายใน พวกเขาเพียงแต่ดูดีจากภายนอกเท่านั้น แต่เราไม่สามารถอ่านใจของพวกเขาได้ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่กำแพงเป็นสิ่งที่จำเป็น
ทำนองเดียวกัน เมื่อเราได้เข้าถึงโลกในระดับที่สาม เราได้ชื่อว่ากลายเป็นผู้มีความเมตตา อย่างเช่น เราไม่ถูกผูกมัดด้วยความรู้สึกใดๆ เกี่ยวกับความรัก เราควบคุมตัวเองได้ เรามีปัญญา พูดจาแคล่วคล่อง คารมคมคายและมีพลังแห่งการสร้างสรรค์ อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครรู้ว่าเรายังมีความเลวร้ายอยู่ภายในหรือไม่ และได้เข้าถึงสถานะของความไม่มีอัตตาหรือยัง ดังนั้นเราจึงยังไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปข้างบนได้ อะไรจะเกิดขึ้นหากเราไปเรียนรู้อะไรที่สะเพร่าเข้า แล้วก็กลับมาทำร้ายผู้คน ราอาจจะกระทั่งโจมตีพวกเทวดาเหมือนอย่างที่เราเคยทำมาก่อน ฉะนั้นมันจึงไม่ปลอดภัยเพียงพอที่จะมีอุปสรรคเพียงแค่สามด่าน! 
เราจะได้รับอิสระกลับคืนมาเมื่อถึงระดับที่สี่ เรามีอิสระมากขึ้นตั้งแต่เราไม่มีกรรมใดๆ และเรามีพลังมีปัญญาอย่างไรก็ตาม วิญญาณภายในของเรายังคงอยู่ภายใต้การสังเกตการณ์ ด้วยเหตุนี้ ยิ่งเราขึ้นไปได้สูงขึ้นเท่าใด เราก็ยิ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากมากยิ่งขึ้น ถอนหายใจ ! พระเจ้า บรรดาพุทธะไม่กล้าที่จะไว้วางใจพวกเราอีกต่อไป จะเป็นอย่างไรหากเราบุกโจมตีบัลลังก์ของพวกเขาด้วยปืนกับมีด ? (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เราอาจจะขู่เข็ญกวนอิมโพธิสัตว์ หรือว่าสั่งให้ศากยมุนีพุทธเจ้ายอมจำนน “เร็วๆ เข้า เรียกตัวลูกศิษย์ทั้งหมดของท่านมารวมกัน (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) และก็บอกให้พวกเขาเชื่อฟังคำสั่งของพวกเรา” พอเห็นศากยมุนีพุทธเจ้าถูกจับเป็นตัวประกัน พวกเขาก็คงไม่กล้าที่จะทำอะไร และพวกเทวดาทั้งหลายก็จะพากันยอมแพ้ เธอนึกภาพออกไหมว่าสถานการณ์แบบไหนที่จะเกิดขึ้น
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำไมโลกระดับที่สี่จึงทั้งกว้างและก็มืดมิด ยาวไกลและยากที่จะผ่านเข้าไปได้ มันเป็นเขตคุ้มกันด่านสุดท้ายที่ปกป้องโลกระดับสูงเอาไว้ เมื่อเราเข้าไปได้ถึงระดับที่สาม เราจะมีอะไรบางอย่างบ้างแล้ว เรามีพลังอิทธิปาฏิหาริย์เฉลี่ยวฉลาด สามารถประดิษฐ์คิดค้นหลายสิ่งหลายอย่าง และเป็นอิสระจากพันธะผูกมัดของความรู้สึกเกี่ยวกับความรัก ว้าว ! เรามีกำลังใจที่เข้มแข็งและมีพลังที่ไม่น่าเชื่อ ! ถ้าหากเราขึ้นไปปล้นสะดมโลกของพวกเขา พุทธะทั้งหลายคงต้องตกอยู่ในความลำบากอย่างวิกฤติ และจะสายเกินกว่าที่จะหยุดยั้งเราไว้ได้ !
ฉะนั้นโลกระดับที่สี่จึงได้ยากที่สุดที่จะผ่านเข้าไป ถ้าปราศจากอาจารย์ผู้รู้แจ้งเป็นผู้รับประกัน เราจะไม่มีวันทำได้เลย เราได้รับอนุญาตให้ท่องเที่ยวไปอยู่ในสามหรือกระทั่งสี่โลก เราสามารถพักอยู่ที่นั่น เราสามารถบินไปรอบๆ อย่างเสรี และเพลิดเพลินกับแสงของดวงอาทิตย์หมื่นหกพันดวง แต่ก็เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากกว่านี้ เราสามารถจะไปที่ไหนก็ได้ยกเว้นขึ้นไปข้างบน ทางเข้าที่ซ่อนอยู่จะไม่ปรากฎขึ้น นอกจากเธอจะมีอาจารย์ผู้รู้แจ้งเป็นผู้นำทาง มันก็เหมือนกับประตูลับซึ่งต้องการรหัสลับสำหรับเปิด มีเพียงคนหรือสองคนที่รู้รหัส เหมือนกับความลับเกี่ยวกับความปลอดภัยของชาติ ปุ่มกลไกหรือรหัสลับบางอย่างนั้นรู้กันเพียงเฉพาะไม่กี่คนในหน่วยงานกลาโหม ไม่มีคนอื่นอีกที่จะรู้ได้ เพราะเขาเกรงว่าอาจจะถูกสายลับของศัตรูค้นพบความลับและพวกเขาก็จะตกอยู่ในความลำบาก
คราวนี้เธอก็รู้แล้วว่าโลกระดับที่สี่มีไว้เพื่ออะไร เป็นระบบที่สมเหตุสมผลอย่างมากจริงไหม ? (ตอบ : ใช่) ไม่มีอะไรที่ลึกลับ เธอไม่ต้องสงสัยหรือว่าเดาสุ่มในคำพูดของฉัน “ทำไมมันจึงเป็นเช่นนั้น มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือ ? “ พวกเธอสงสัยอะไรอีกหรือเปล่า (ตอบ : ไม่สงสัย)






cupid.jpg&t=1





       Be Veg Go Green 2 Save the Planet

www.suprememastertv.com				
2 กันยายน 2553 12:44 น.

ความรักอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า....

คีตากะ

113.jpg     หากเรายังยึดติดสิ่งใดๆ ในโลก เช่นนี้แล้วเราก็จะอยู่ในเงาแห่งการสูญเสียทุกขณะ สิ่งที่เราจะพึ่งได้เท่านั้นคือ อาจารย์ภายใน พลังอันยิ่งใหญ่ เช่นนี้แล้วเราก็จะปราศจากความกลัว สบายใจและได้รับการหลุดพ้น




     ฉันได้เป็นบุตรสาวอันเป็นที่รักของพระเจ้าอยู่เสมอนับแต่ในวัยเด็ก เพราะว่าด้วยวิธีบางอย่างโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก ฉันก็ได้เป็นเจ้าของบางสิ่งซึ่งผู้อื่นไม่มี แม้ว่าพวกเขาจะมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าและได้ทำงานอย่างหนักเพื่อสิ่งนั้น พวกเขาบางคนก็รู้สึกอิจฉาฉันมาก แต่ฉันไม่ได้รู้สึกภูมิใจในสิ่งเหล่านี้เลย เพราะฉันรู้อยู่ลึกๆ ภายในหัวใจของฉันว่า สิ่งต่างๆ ทั้งหลายนี้มาจากพระเจ้าไม่ใช่มาจากฉัน ทุกครั้งถ้าฉันยึดติดมากเกินไปในสิ่งเหล่านั้นหรือพึ่งพาอามันมากเกินไป ไม่รู้สึกขอบคุณพระเจ้า หรือลืมความรักของพระองค์ เช่นนี้แล้วพระองค์ก็จะเอามันไปจากฉันเพื่อชำระล้างอุปสรรคทั้งหลายระหว่างพระองค์และฉัน พระองค์ได้สอนฉันครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความอดทนอันไม่สิ้นสุด แม้ว่าฉันจะร้องไห้และเศร้าโศกเสียใจเพื่อที่จะให้ฉันรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งสำคัญจริงๆ และทำให้ฉันได้เข้าใกล้พระองค์มากยิ่งขึ้น ไม่ใช่ว่าพระองค์เป็นผู้ที่มีความคิดคับแคบที่จะต้องการความขอบคุณจากฉัน แต่ถ้าฉันรักสิ่งใดมากกว่าพระองค์ มันก็จะเป็นอุปสรรคระหว่างพระองค์และฉัน ทำให้ฉันเหินห่างจากพระองค์
	      ดังนั้นทุกครั้งที่พระองค์เอาสิ่งใดๆ ไปจากมือของฉัน จะมีความกรุณาของพระองค์อยู่เสมอ มีความเมตตาและพระพรซ่อนอยู่ลึกๆ ภายในนั้น คัมภีร์ไบเบิ้ลได้กล่าวไว้ว่า “หากพระเจ้าปิดประตู พระองค์ก็จะเปิดหน้าต่างอีกบานหนึ่งให้เธอ” ท่านอาจารย์ก็ได้เคยเล่าเรื่องให้เราฟังเกี่ยวกับสุภาพสตรีและกษัตริย์ กษัตริย์บอกสุภาพสตรีนั้นว่า หล่อนสามารถเอาอะไรก็ได้ชิ้นหนึ่งจากพระราชวังของพระองค์ไปเป็นของขวัญถ้าหล่อนปรารถนา สุภาพสตรีผู้ชาญฉลาดนั้นได้เลือกที่จะเอาตัวพระราชา เพราะเมื่อหล่อนเป็นเจ้าของพระราชา หล่อนก็จะได้เป็นเจ้าของทั้งอาณาจักร ก็เหมือนกันกับถ้าเราสละทุกสิ่งทุกอย่างและพึ่งพาพระองค์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น เราก็จะมีทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ได้สร้างขึ้น
	     ครั้งหนึ่งท่านอาจารย์ได้บอกพวกเราว่า “แม้ว่าเธอบำเพ็ญความดีและความยุติธรรมก็จะมีพลังทางลบที่จะพยายามโจมตีเธออยู่เสมอ ที่จะพยายามทำให้เธอหันเหออกจากจุดมุ่งหมายของเธอ ล่อลวงเธอให้ไปในทิศทางต่างๆ ทำให้เธอไขว้เขว ดังนั้นจึงต้องใช้ความมุ่งมั่นอย่างมากและหลักการที่จะควบคุมตัวเราเอง ที่จะตรวจสอบวิธีการของเรา ที่จะตรวจสอบชีวิตของเรา เพื่อว่าเธอได้เติบโตในทิศทางที่ถูกต้องอยู่เสมอโดยไม่ต้องเสียใจและไม่ต้องมาพร่ำบ่นถ้าเธอไม่ได้รับผลที่ดีจากมัน แต่ทั้งๆ ที่มีอุปสรรคทั้งหลายเหล่านี้ และความไม่เป็นที่น่ายินดีในรูปแบบใดๆ เราก็ยังคงพัฒนาต่อไป เรายังคงพัฒนาตัวเราต่อไปที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง เพราะว่ามันถูกต้อง เพราะมันเป็นการท้าทายของโลกนี้ที่เราจะพูดในวิถีทางแห่งพระเจ้าอยู่เสมอ ที่เราพูดศีลแห่งความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอยู่เสมอ นั่นก็คือวิธีการที่เราจะขึ้นไปให้อยู่เหนือความแตกต่างทั้งหลายและคำสรรเสริญและการติเตียนทั้งหลาย เพื่อที่จะเป็นมนุษย์ผู้สูงส่ง” คัดจาก “กุญแจแห่งการรู้แจ้งในทันที” เล่มห้า ปราศรัยเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 1993)
	      ฉันเคยมีความคิดว่า ตราบใดที่เราได้รับการประทับจิตจากอาจารย์ผู้รู้แจ้ง เราก็จะปลอดภัย แต่ตอนนี้ฉันรู้ว่าถ้าเราไม่จริงจังต่อตัวเราเพียงพอในการบำเพ็ญ ถ้าเราไม่มีศรัทธาอันแรงกล้าและความจริงใจอย่างแท้จริงในหนทางการบำเพ็ญ ถ้าเราไม่มีค่าคู่ควรกับธรรมวิถีที่ท่านอาจารย์ได้ถ่ายทอดให้กับเรา เราก็จะไม่สามารถผ่านการทดสอบทั้งหลาย ฉันขอร้องพระเจ้าทั้งน้ำตาว่า “โปรดอย่าได้เข้มงวดมากนักกับสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้เพราะมันน่าเสียดายถ้าผู้นั้นต้องหลุดออกจากหนทางหลังจากประทับจิตแล้ว” แต่ฉันก็ได้รับความรักอันสูงสุดของพระองค์จากบทเรียนอันเข้มงวดและรุนแรงนี้ และด้วยน้ำตาและความโศกเศร้าฉันก็ได้รับความกล้าหาญที่จะเผชิญกับทั้งโลกถ้าฉันอยู่ในด้านที่ถูกต้อง แต่ก่อนฉันไม่คิดว่าฉันอยู่ในด้านที่ถูกต้อง แต่ก่อนฉันไม่คิดว่าฉันจะทำมันได้ ท่านอาจารย์ได้บอกพวกเราหลายครั้งว่ายุคทองกำลังใกล้เข้ามา ฉันได้เรียนรู้จากคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ว่า ผู้คนสามารถติดต่อกับพระเจ้าได้โดยตรงในยุคทอง เมื่อเราพึ่งพาพระองค์เท่านั้นจริงๆ และฟังคำสั่งจากปัญญาสูงสุดโดยตรง และเผชิญหน้ากับโลกอย่างห้าวหาญ เราก็จะอยู่ในยุคทองในขณะนี้ !



บนเส้นทางการบำเพ็ญ

โดยพี่ประทับจิตหญิง มิลินซู ฟอร์โมซา






member-%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8				
1 กันยายน 2553 01:10 น.

การเตือนที่เร่งด่วน...

คีตากะ

boxser-1276841236-124-121-27-252.gifข้อมูลเร่งด่วนจากท่าน Supreme Master Ching Hai

     สวัสดี ท่านผู้พิพากษาอันทรงเกียรติที่เคารพ ท่านผู้ช่วยที่นับถือ ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษที่สูงส่ง ฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเฉลิมฉลองในโอกาสพิเศษนี้ สำหรับโครงการใหม่ของท่านที่ชื่อ “Diploma Participation in Environmental Right” ในฐานะพลเมืองของโลกที่ให้ความใส่ใจต่อโลกใบนี้ ฉันขอแสดงความยินดีและขอบคุณสำหรับความเพียรพยายามอย่างจิรงใจนี้ ที่ท่านแสดงออกถึงความใส่ใจระดับสูงในการอุทิศตนต่อสิ่งแวดล้อมและโลกของเรา ขอให้สิ่งนี้เป็นแรงเสริมสร้างกำลังใจของท่านเพื่อนำความยุติธรรมที่สุดมาให้แก่ทุกชีวิตบนดาวเคาระห์ดวงนี้ วันนี้ ฉันรู้สึกได้รับเกียรติอย่างมาก ด้วยความถ่อมตัวของฉันต่อการปกครองด้วยปัญญาของท่านโดยการแบ่งปันข้อมูลหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใหม่ล่าสุดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและสาเหตุอย่างเร่งด่วนที่สุด 
 
ก.ผลกระทบจากภูมิอากาศและภัยคุกคาม
เราได้รับสัญญาณต่างๆ จากวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้น ปรากฏหลักฐานให้เห็นได้ทั่วทุกมุมโลก สิ่งแรกคือพายุที่มีความรุนแรงเป็นสองเท่าในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา อย่างที่เราสามารถเห็นได้ที่เกิดขึ้นในเม็กซิโกเอง เมื่อเร็วๆ นี้ พายุเฮอริเคนและน้ำท่วมที่สร้างความเสียหายให้กับครอบครัว ซึ่งต้องได้รับความเจ็บปวดและเศร้าโศก ขณะเดียวกับที่ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในระดับที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้ประเทศที่เป็นเกาะอย่างน้อย 18 แห่ง จมหายไปและบริเวณชายฝั่งที่มากกว่านั้นยังถูกคุกคามต่อไป เมื่อธารน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่มากมายได้ลดขนาดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ประชากรมากกว่า 2 พันล้านคนขาดแคลนน้ำและอาหารไปแล้ว ความทุกข์อีกมากมายมาจากการขาดแคลนน้ำและแม่น้ำนับหมื่นๆ แห่งหายไปและเหือดแห้งลง ประเทศเม็กซิโกเองเวลานี้กำลังตกอยู่ภายใต้ภัยแล้งที่รุนแรงที่สุดในรอบเกือบ 70 ปี เพื่อนมนุษย์มากกว่า 300,000 คน กำลังตายในแต่ละปีเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ มากกว่า 20 ล้านคนต้องอพยพย้ายถิ่นฐานกลายเป็น”ผู้ลี้ภัยทางภูมิอากาศ” นักวิทยาศาสตร์ยังกังวลเกี่ยวกับมีเทนเป็นพันๆ ล้านตันที่เกิดจากการละลายของชั้นดินเยือกแข็งคงตัวบริเวณอาร์กติกขั้วโลกเหนือเวลานี้ และมหาสมุทรที่กำลังร้อนขึ้นเรื่อยๆ แค่เพียงส่วนใดส่วนหนึ่งสามารถปลดปล่อยออกมาก็จะนำไปสู่การสูญพันธุ์อย่างมหาศาล

ข. สาเหตุ
อะไรคือสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงที่สร้างความเสียหายเหล่านี้ ? มันไม่ใช่รถยนต์ หรือเครื่องบิน มันไม่ใช่โรงงานถ่านหิน และมันไม่ใช่แม้กระทั่งโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยควันทั้งหมดในโลกของเรา สาเหตุอันดับหนึ่งของภาวะโลกร้อนคือการปศุสัตว์ งานวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้บอกเราว่าการเลี้ยงปศุสัตว์เป็นสาเหตุมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของการปล่อยแก็สเรือนกระจกของโลก ฟาร์มเลี้ยงสัตว์เป็นแหล่งเดียวที่ใหญ่ที่สุดของการผลิตมีเทนจากกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นแก็สเรือนกระจกที่สามารถดักความร้อนอย่างน้อย 72 เท่ามากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ โดยวัดในช่วง 20 ปี ข่าวดีเกี่ยวกับมีเทนดักความร้อนนี้คือว่าแก็สนี้มีอายุสั้นกว่าคาร์บอนไดออกไซด์และสลายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับคาร์บอนไดออกไซด์ที่อยู่ในบรรยกาศได้นานนับพันๆ ปี ขณะที่อายุของมีเทนในบรรยากาศแค่ประมาณ 12 ปี กล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่ามีเทนสร้างความเสียหายมากกว่าในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ถ้าเราหยุดมัน เราจะสามารถหันกลับจากภาวะโลกร้อนได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นการหยุดภาวะโลกร้อนอย่างรวดเร็วคือการหยุดปล่อยมีเทน เราจะต้องหยุดแหล่งอันดับหนึ่งของมันนั่นคือการทำฟาร์มปศุสัตว์

ค.การปศุสัตว์
เวลานี้ เรากล่าวเกี่ยวกับการปศุสัตว์ การทำฟาร์มปศุสัตว์เป็นสาเหตุของผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งทำให้ภาวะโลกร้อนเลวร้ายมากยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามที่องค์การสหประชาชาติและการศึกษาอื่นๆ กล่าวไว้ว่า การเลี้ยงฟาร์มปศุสัตว์เป็นที่รู้กันว่าเป็นสาเหตุผลกระทบสร้างความเสียหายดังต่อไปนี้

1.	การทำลายป่า 
การเลี้ยงฟาร์มปศุสัตว์เป็นตัวการเดียวที่มนุษย์ใช้ที่ดินมากที่สุดและเป็นสาเหตุหลักของการทำลายป่า ตั้งแต่ปี 2513 การผลิตปศุสัตว์ได้เป็นสาเหตุของการทำลายป่าในอะเมซอน 90 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นการถางป่าเพื่อใช้เป็นทุ่งหญ้าปลูกพืชอาหารเลี้ยงสัตว์ให้เจริญเติบโต บริเวณป่าเขตร้อนขนาดเท่าสนามฟุตบอลถูกทำลายไปทุกๆ หนึ่งวินาทีเพื่อผลิตแฮมเบอร์เกอร์แค่ 250 ชิ้น นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าถ้าเรายังคงเดินอยู่บนเส้นทางแห่งการทำลายนี้ ป่าของโลกจะหยุดดูดซับแก็สเรือนกระจกในไม่ช้า และจะเริ่มปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณมหาศาลออกมาแทน มากไปกว่านั้นการทำลายป่าเพื่อกิจกรรมการทำฟาร์มปศุสัตว์ก็ยังผลิตคาร์บอนดำ(Black Carbon) คาร์บอนดำเป็นส่วนหนึ่งของแก็สเรือนกระจกที่สามารถดักความร้อนได้ 680 เท่าของคาร์บอนไดออกไซด์ และเป็นสาเหตุให้แผ่นน้ำแข็งและธารน้ำแข็งทั่วโลกละลายรวดเร็วยิ่งขึ้น การปล่อยคาร์บอนดำถึง 40 เปอร์เซ็นต์มาจากการเผาป่าเพื่อการทำฟาร์มปศุสัตว์

2.	การกัดเซาะดินและกลายเป็นทะเลทราย
 มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ของการกัดเซาะหน้าดินรอบโลกมีสาเหตุมาจากการปศุสัตว์ซึ่งเกิดขึ้นมายาวนานพร้อมกับการทำลายป่า นำไปสู่การกลายเป็นทะเลทราย

3.	การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
การทำฟาร์มปศุสัตว์เป็นสาเหตุของการสูญพันธุ์ของสัตว์และพืช เนื่องจากการเสื่อมสภาพของดิน และผลกระทบที่ทำลายที่อยู่อาศัยอื่นๆ อุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์กำลังฆ่าชีวิตป่าที่สวยงามของเราให้หมดไป รวมทั้งในเม็กซิโก

4.	มลภาวะเป็นพิษ
ทุกๆ ส่วนของอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์เป็นแหล่งที่ใหญ่ที่สุดของมลภาวะทางน้ำ ของเสียจากสัตว์ที่มากเกินไปที่ไม่มีการจัดการที่ดี ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง ยาปฏิชีวนะ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปนเปื้อนจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์กีดขวางทางน้ำของเราและสร้างพื้นที่มรณะทางทะเล (Dead Zone) อย่างเช่น บริเวณที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในอ่าวเม็กซิโก

5.	เชื้อโรค
โรคติดต่อในมนุษย์มากกว่า 65 เปอร์เซ็นต์ ตามที่ทราบกันมาจากสัตว์ ความสกปรกและสภาพไร้มนุษยธรรมของฟาร์มเลี้ยงสัตว์เป็นที่อาศัยของเชื้อแบคทีเรียและไวรัส เช่น ไข้หวัดนก และไข้หวัดหมู ที่เราทั้งหมดทราบว่ามีการระบาดอย่างรวดเร็วอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นสาเหตุการตายของคนจำนวนมากทั่วโลก

6.	สูญเสียอาหาร
การทำฟาร์มปศุสัตว์ใช้เมล็ดข้าวปริมาณมากถึง 12 เท่า เพื่อผลิตโปรตีนที่เท่ากับผักในปริมาณที่เท่ากัน เมล็ดข้าวในโลกปริมาณ 730 ล้านตันที่ถูกเก็บเกี่ยวถูกใช้ไปกับการผลิตโปรตีนเนื้อสัตว์ ปริมาณนี้สามารถเลี้ยงประชากรที่หิวโหยทั้งหมดจำนวน 1 พันล้านคนของโลกหรือจำนวนหลายเท่ากว่านั้น

7.	สูญเสียน้ำ
ต้องใช้น้ำมากกว่า 1,200 แกลลอนเพื่อผลิตเนื้อวัว 1 จาน แต่ใช้น้ำเพียง 98 แกลลอนเพื่อผลิตอาหารจากผักที่มีคุณค่า 1 มื้อ ขณะที่ประชากร 1.1 พันล้านคนขาดแคลนน้ำดื่มที่สะอาดปลอดภัย เราสูญเสียน้ำสะอาดมีคุณค่าปริมาณ 3.8 ล้านล้านตันในแต่ละปีเพื่อการผลิตปศุสัตว์

8.	สูญเสียพลังงานและทรัพยากร
การผลิตเนื้อสัตว์ต้องการพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลถึง 8 เท่าในการผลิต เมื่อเทียบกับการผลิตพืชผัก จากการศึกษาพบว่าการผลิตเนื้อและนมในเม็กซิโกใช้พืชผลทางการเกษตรและทรัพยากรมากที่สุดในประเทศและมันสะท้อนให้เห็นทุกๆที่รอบโลกล้วนเป็นเช่นเดียวกันด้วย หลักฐานทั้งหมดกล่าวด้วยเสียงอันดังและชัดเจน ถ้าทรัพยากรเหล่านี้ ที่ดิน น้ำ และเมล็ดข้าวถูกเปลี่ยนไปเพื่อค้ำจุนมนุษย์แทนการปศุสัตว์ โลกจะแตกต่างออกไปอย่างที่ควรจะเป็น นักวิทยาศาสตร์ทางภูมิอากาศที่น่านับถือ ประกอบด้วย ดร.เจมส์ เฮนเซนจากนาซ่า ดร.คาร์ลอส โนบริของบราซิลจากสถาบันวิจัยอวกาศแห่งชาติ และดร.ราเจนดรา ปาเชารี ประธานคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (IPCC) ของสหประชาชาติ ทั้งหมดได้กล่าวว่าการลดการบริโภคเนื้อสัตว์หรือการเป็นมังสวิรัติคือวิธีการที่มีประสิทธิผลในการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน นั่นคือเราต้องมีวิถีชีวิตที่ปลอดเนื้อสัตว์ มีวิถีชีวิตแบบเมตตา เวลานี้ฉันจะนำเสนอบางส่วนของประโยชน์หลายอย่างของการทานอาหารจากผักปลอดสารพิษ

ง. ประโยชน์ของผัก
อย่างแรก ที่ดินเพื่อการเลี้ยงสัตว์และปลูกพืชเลี้ยงสัตว์สามารถเปลี่ยนมาเป็นป่าที่ช่วยลดภาวะโลกร้อน นอกจากนั้นผืนดินยังสามารถนำไปใช้ในการทำไร่ปลูกผักปลอดสารพิษ(เกษตรอินทรีย์) ไม่เพียงประชากรจะมีอาหารกินอย่างเต็มที่ แต่แก็สเรือนกระจกมากถึง 40 เปอร์เซ็นต์ในชั้นบรรยากาศสามารถถูกดูดซับ นอกจากนั้นยังเป็นการกำจัดของเสียมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ที่เป็นสาเหตุมาจากการทำฟาร์มปศุสัตว์อีกด้วย ดังนั้น โดยภาพรวมเรากำจัดแก็สเรือนกระจกที่มนุษย์สร้างเกือบทั้งหมดด้วยการนำวิถีอย่างเรียบง่ายจากการปลอดเนื้อสัตว์มาใช้วิถีการปลูกพืชผักแบบเกษตรอินทรีย์ นี่ยังนำไปสู่การพยายามประหยัดเงินจำนวนมากให้กับรัฐบาลในโลก จากคำนวณเมื่อเปลี่ยนไปทานอาหารจากผัก รัฐบาลในโลกจะประหยัดเงินได้ถึง 32 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (992 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2593 หรือคิดเป็น 80 เปอร์เซ็นต์ของค่าใช้จ่ายเพื่อบรรเทาด้านภูมิอากาศ ท้ายที่สุด แน่นอนว่ามันมีประโยชน์อย่างดีเลิศต่อสุขภาพในการทานอาหารจากผัก ซึ่งสามารถป้องกันโรคมะเร็ง ป้องกันและรักษาโรคหัวใจและเบาหวาน เสริมสร้างระบบภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย อายุยืนยาว และรักษาสุขภาพ สร้างความเฉลียวฉลาด และความสงบให้ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก 
	     ในท้ายที่สุด ทั้งสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีของประเทศที่ดีอย่างเม็กซิโกที่ค้นหาความเจริญก้าวหน้าทางด้านกิจกรรมสิ่งแวดล้อม และกำลังวางแผนเพื่อที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการเอาชนะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปกป้องโลก รัฐธรรมนูญของเม็กซิโกได้ระบุว่า”ทุกคนมีสิทธิ์อย่างเหมาะสมต่อการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมและการอยู่ดีกินดี ” ไชโย ในช่วงเวลาที่เร่งด่วนที่สุดนี้สำหรับดาวเคราะห์โลก ฉันขอวิงวอนต่อความปราณีอย่างมีเกียรติของท่าน ได้โปรดกรุณาช่วนเหลือประเทศของท่านและสิ่งมีชีวิตบนโลกของเราจากหายนะเนื่องจากภาวะโลกร้อนที่กำลังจะมาถึง ถ้าท่านไม่กระทำ ก็จะมีหายนะที่ยิ่งใหญ่มากเกินไป ความทุกข์ทรมาณมากเกินไปต่อประชาชน ครอบครัว และเด็กๆ ซึ่งจิตสำนึกของเราอาจจะไม่มีวันแบกรับได้ ฉันให้เกียรติท่านในการพูดความจริงซึ่งเราต้องกลายมาเป็นผู้ทานผัก(Vegan) เพื่อช่วยรักษาโลกของเรา เราไม่สามารถรอคอยพลังงานแบบยั่งยืนและเทคโนโลยี่เขียวเพื่อให้เกิดขึ้นมาและให้ทุกคนได้ใช้ มันอาจจะสายเกินไป ฉันเรียกร้องความกล้าหาญของผู้ให้การปรึกษาที่มีอยู่ทั้งหมด ผู้มีอำนาจและพลังอำนาจในตัวท่าน จงนำประชาชนของท่านไปสู่วิถีชีวิตที่สูงส่ง มีคุณธรรม รักษาชีวิต และหนทางที่ยั่งยืนบนโลก ขอบคุณสำหรับความสนใจของท่าน พระเจ้าอวยพรทุกท่าน พระเจ้าอวยพรเม็กซิโก ขอบคุณ







empty.gif				
ไม่มีข้อความส่งถึงคีตากะ