29 กันยายน 2549 16:30 น.

ริมทางเท้า

แมงกุ๊ดจี่

...ลมเย็นพัดพลิ้วไหว    ยอดไม้รอบบริเวณรอบ ๆ   
เอนไหวตามแรงลม  ผิวน้ำในสระกว้างไหวเป็นระลอก...
ฉันนั่งคิดอะไรเรื่อย  ๆ   เฉื่อย  ๆ   ปล่อยความคิดล่องลอยไป
ให้พลิ้วไหวไปตามสายลมที่พัดบางเบา.....

...ใช้เวลาไปหลายชั่วโมงแล้วสำหรับวันพักผ่อน
สวนสาธารณะแห่งนี้   เป็นที่   ที่ฉันชอบมานั่งแล้วปล่อยให้ตัวเอง
คิดอะไรเรื่อยเปื่อย... ก็ลมที่พัดอ่อน ๆ  เป็นลมที่เย็น...มันทำให้สบายใจดี...

... พอแล้วสำหรับวันนี้   กับการปล่อยอารมณ์ตามจินตนาการ...
ฉันยกแขนขึ้นดูนาฬิกาข้อมือ   ได้เวลากลับบ้านแล้วสินะ  
หมดไปอีกหนึ่งวัน   เวลาผ่านไปเร็วจัง...ฉันเดินเลาะริมสระน้ำมาเรื่อย
เพื่อเดินไปหาประตูทางออกของสวนสาธารณะ...
ระหว่างที่กำลังเดินได้มองอะไรรอบ  ๆ   เป็นภาพที่สวยในความรู้สึก...

...ตอนเย็น  ๆ   ผู้คนกำลังทยอยมากัน   มากันเป็นครอบครัว   
คู่รักหนุ่มสาว...และเด็กหนุ่มสาววัยรุ่น   มาออกกำลังกายบ้าง
มาปิกนิคกันบ้าง   มาเดินเล่นบ้าง   แต่ส่วนใหญ่เห็นมาออกกำลังกาย...
ที่นี่  มีอะไรหลายอย่างที่น่ามอง  ผู้คนก็น่ามอง... เด็กเล็ก  ๆ  วิ่งเล่นสนุกสนาน
มองดูแล้วก็ทำให้มีความสุข  สบายใจไปอีกแบบ...(ไม่ใช่นางงามแต่ก็รักเด็ก)

...เดินเพลินแป๊บเดียวก็ถึงประตูทางออกแล้วเหรอ?   
ช่วงเวลาความสุขผ่านไปเร็วจัง   แต่ก็คงต้องกลับไปสู่ความชาชินที่เคย...

*อ้าว...มะกรูดมาทำอะไร*  ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่คุ้นเคยทักขึ้น  ฉันยกมือไหว้สวัสดี...
*มะกรูดมาเดินเล่นค่ะ*   ฉันตอบกลับไป   พร้อมกับยิ้ม ๆ  เขิล ๆ 
*เหรอ?   แล้วมากับใครล่ะ*   ท่านถามพร้อมกับมองหาคำตอบ  แต่ฉันไม่มี...อิอิ
*มะกรูดมาคนเดียวค่ะ *  ฉันตอบกับไป   ยิ้มอย่างเคย
*อ้าวนึกว่าจะมีใครมาด้วย*  ท่านยิ้ม   พร้อมกับแววตาค้นหาคำตอบ
*^________^ *   ฉันยิ้ม
*แล้วจะกลับยังไง ?  กลับด้วยกันมั้ย?*  ท่านใจดีอย่างนี้เสมอ...
*ขอบคุณค่ะ   ไม่เป็นไรค่ะ   เดี๋ยวมะกรูดจะแวะที่อื่นด้วยค่ะ*   ฉันยิ้ม
*เหรอ...เอ้องั่นไปแล้วนะ*   ท่านจะกลับแล้ว   ฉันยกมือไหว้ลาท่าน...

....ฉันเดินเลาะริมรั้วของสวนสาธารณะมาเรื่อย  ๆ   เพื่อมารอรถเมล์...
ซึ่งไกลจากสวนประมาณ   50   เมตรได้     เดินมาเรื่อย   ๆ   ถึงป้ายแล้วแป๊บเดียวเอง...
นั่งรอรถอยู่เป็นนานทำไม?  ยังไม่มาอีกน๊า  20   นาทีแล้วนะ  หงุดหงิดใจไม่น้อย
จึงตัดสินใจ    เดินก็แล้วกันนะ   เดินมากสักพักก็ทำให้คิดถึงคำพูดของพี่ชายคนโต...

*ทำไม?  แกไม่ซื้อรถขับ  เงินเดือนก็มี*   นึกไปก็ยิ้มไปเอ้ย...ยุคน้ำแพงแบบนี้
ยิ่งไม่ต้องการใหญ่เลย   ไว้ใช้ของพี่ชายไปก่อนแระกัน  อิอิ...เดินตามริมทางมาเรื่อย ๆ
ฉันนับการก้าวแต่ละก้าว  มาถึง 1,231   ก้าว   ฉันไปหยุดอยู่ตรงสี่แยกพอดีข้ามสี่แยกไป
ก็จะเป็นร้านหนังสือ  แต่สิ่งที่เป็นจุดสนใจตอนนั้นไม่ใช่ร้านหนังสือ...ฉันมองอยู่ครู่หนึ่ง
จึงล้วงเหรียญ  10   บาท   สามเหรียญที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนส์แล้วเดินตรงไป
เพื่อไปหาสิ่งที่เป็นจุดสนใจที่ทำให้หยุดก้าวก่อนนี้...  

...ฉันเดินตรงไปหาหญิงชรา   มีผ้าพันหัวไว้เพื่อกันแดด  ใส่เสื้อแขนยาว  
ออกสีน้ำตาลออกจะแดง ๆ   ดูเก่าและขาดวิ่น  และใส่ผ้าซิ่นที่เป็นคราบแข็ง   
เหมือนไม่เคยผ่านการซักมาเลยระหว่างที่เดินไปหาฉันก็มองทุกส่วน
ฉันกวาดสายตาดูทุกอย่างในความเป็นยาย...ที่นั่งอยู่กับขันพลาสติก   1  ใบ  
ยายดูอายุมากแล้ว...ผมเป็นสีขาวโพนแล้ว...ฟันก็เหมือนจะไม่มีเหลือแล้วสักซี่   
แกไม่ได้ยิ้มให้เลยไม่รู้ว่ามีหรือเปล่า อิอิ   แต่เท่าที่ดูคือ  คงไม่มีสักซี่    
ยายแกคงไม่ยิ้มหรอกเพราะแววตาของแกดูเศร้าและหม่นหมอง...
ขี้ตาเคอะขอบตา   สงสัยแกไม่ค่อยสบายหรือเปล่า...ฉันก็ไม่แน่ใจ...
พอเข้าไปใกล้   ฉันหย่อนเหรียญ  10  บาท  3  เหรียญที่ล้วงในกระเป๋ากางเกง
ลงในขัน...แล้วยายแกก็ให้พรมา...*ขอให้จำเริญ  ๆ *  ประมาณนี่แร่ะ
เพราะไม่คอ่ยได้ยินแกพูดอู้อี้ฟังไม่ค่อยชัด...แล้วก็เดินจากแกมา...

...เดินมาจากยายคนนั้น  ก้าวอีก  10  ก้าว   ก็ถึงประตูทางเข้าร้านหนังสือพอดี
แวะหน่อยก็ดี...ภายในร้านวางหนังสือตามหมวดหมู่   เป็นระเบียบน่ามองน่าจับ
ฉันกวาดสายตามองไปทั่ว  ตามหมวดหมู่   มาหยุดที่หมวดเรื่องสั้นวรรณกรรม 
ตาก็กวาดมองหาหนังสือสักเล่มเอาไว้อ่านยามว่าง   เห็นชื่อเรื่อง   เห็นชื่อผู้แต่ง
สนใจหลายเล่มเหมือนกันราคาก็โอเค   ใช้เวลาอยู่ในร้านหนังประมาณ   30  นาที
ได้หนังสือถูกใจมา  2   เล่ม  ใช้เวลานานไม่ได้    มืดมากแล้วจะกลับไม่ได้   
เดี๋ยวจะเป็นภาระคนอื่น...ต้องรีบ

...เดินมาอีกประมาณ  10   นาที   ลืมนับว่ากี่ก้าว   เพราะสาวเท้าเร็วจนลืมนับ
กลัวจะไม่ทันรถสองแถว    ถ้ารถหมดเดี๋ยวจะเป็นภาระต้องให้คนอื่นมารับ....
ริมทางเท้ายังมีอะไรให้เราได้เรียนรู้อีกหลายอย่าง...

...แต่วันนี้กลับมานั่งคิด   เราซื้อหนังสือไปตั้ง  สามร้อยกว่าบาท...
บาทกว่าที่ว่านั้น...มันมากกว่าเงินที่ใส่ลงไปในขันของยายคนนั้นอีก...
กลับมาถามตัวเองว่าทำไม?   เราเป็นคนเห็นแก่ตัวมากขนาดนี้นะ...
ถ้าให้เงินจำนวนที่ซื้อหนังสือ...ให้ยายคนนั้นไป   อาจจะได้ประโยชน์มากกว่านี้ก็ได้...



				
13 กันยายน 2549 11:18 น.

นักเดินทาง

แมงกุ๊ดจี่

...ในการเดินทางแต่ละช่วงของชีวิต  ซึ่งในแต่ละคนมีความแตกต่าง
แม้ว่าจะมีความเป็นอยู่ในสังคมเดียวกัน  หรืออาจแตกต่างกันไป   
หากแต่...ช่วงชีวิตของทุกคนดำเนินไปในทิศทางของแต่ละคน
การเดินทางในแต่ละช่วงของชีวิต  ที่ทำให้ได้พบกับเรื่องราว
หลากหลายรสชาดของการมีชีวิตเพื่ออยู่  มีทั้งสุขและทุกข์คละเคล้ากันไป...
ต้องพบปะผู้คน  และประสบกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่ไม่คาดคิดและไม่เคยนึกฝันว่าจะมี ?

...ช่วงหนึ่งของการเดินทาง  บน*โลกไซเบอร์*  หรือยุค   IT  นั้น
เป็นที่ ที่ต้องใช้หัวใจ + สมอง - ความผูกพันธ์  =   ความจริงที่เป็น
หัวใจต้องมีความแข็งแรง  และแกร่งพอที่จะก้าวย่างไปในโลกแห่งจินตนาการนี้...
ซึ่งการเป็น...*นักเดินทาง*  ที่อยากเห็นโลกกว้างที่ตัวเองยังไม่เคยเจอนั้น
หากหัวใจไม่แกร่งพอที่จะเดินในโลกแห่งนี้   อาจต้องเจ็บปวดโดยไร้สาระ
เพราะอะไรหรือ?   คงตอบให้ได้ในทันที  "อ่อนไหวเกินไป" (อีกนัยใจง่ายอ่าา).....

...บางเหตุการณ์หรือสถานการณ์ แห่งโลกจินตนาการ  *กลลวงในอักษร*   
ยากหากจะเดาไปสู่ใจของผู้ที่ถ่ายทดผ่านอักษร  ที่ผ่านหน้าจอคอมพ์  
ต้องผ่าน และกลั่นกรองจากกระบวนการทำงานของระบบสมอง  
ไตร่ตรองด้วยความถี่ถ้วน  และต้องใช้หัวใจร่วมด้วยในกระบวนการคิดนั้น  
ซึ่งยากที่จะทำความเข้าใจ  แต่หลักการโดยส่วนตัว   หรือวิจารณญาณส่วนบุคคล  
ต้องคิดค้นหาเหตุ  นำไปสู่การตัดสินใจ  (ประมาณว่าเหตุผลส่วนตัว  *คนเอาแต่ใจไม่สนใจใคร)

...ก้าวย่างในการเป็น*นักเดินทาง* ของแต่ละคนนั้น  
มีทั้งเจ็บปวด  สุขและทุกข์คละเคล้า  ซึ่งได้พบในโลกแห่งจินตนาการ...
จนต้องกลับมาถามใจบาง-บางว่า   เจ็บเพื่ออะไร  และทำไม?ต้องเจ็บ
ครั้งแรกที่ก้าวเข้าโลกแห่งจินตนาการ...ฉันใช้หัวใจในการคิดตัดสินใจ...
แต่ไม่เคยใช้สมอง...เพียงเพราะต้องการเรียนรู้  ที่จะรู้จักและรักใครสักคน
ต้องใช้หัวใจแลกเพื่อจะได้สิ่งที่ดี่ที่สุดกลับคืนมา   แม้...ไม่ดีที่สุดก็ยินดีรับ...

...เมื่อลืมใช้สมอง  จึงทำให้เจ็บ  สาหัสเลยทีเดียวกับการก้าวพลาดขั้นรุนแรง
เกิดขึ้นในโลกแห่งจินตนาการ แต่ก็ไม่ซีเรียส  เพราะโลกจินตนการเปรียบได้ดั่งโลกมายา
ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นถ้าเราไม่ยินยอมให้ใครรับรู้...ความลับเหรอ?   
เป็นความลับต่อโลกความเป็นจริงต่างหาก  ซึ่งในโลกจินตนาการทุกคนมีโอกาสได้รู้
ไม่ว่าจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม (ประมาณว่าโดยยัดเยียดให้รับรู้  หรือบังเอิญมาอ่านเจออย่างตอนนี้  อิอิ)

...ณ วันนี้  การมองด้วยหัวใจ   แล้วผ่านกระบวนการกลั่นกรองของสมอง
กลับทำให้ฉันไว้ใจคนในโลกจินตนาการ  มากกว่าโลกความเป็นจริง...
ฉันเองก็ไม่รู้ว่า...กระบวนการกลั่นกรองนั้น   จะมีประสิทธิภาพเพียงใด
แต่ว่า...หัวใจนี้กลับยอมรับอย่างเต็มภาคภูมิ    ว่า...นั่นคือสิ่งที่เลือกแล้ว...

...การเดินทางในโลกแห่งจินตนาการนี้   ก็เป็นแค่ช่วงชีวิตหนึ่งของ *นักเดินทาง*
ซึ่งไร้แสงสว่างใด ๆ  มาส่องนำทางให้เดินไป  แต่ยังยืนยันว่าจะใช้หัวใจ  ในการนำทาง
แม้ช่วงหนึ่งจะเจ็บช้ำมาก็ตาม....

...วันที่หัวใจฉันอ่อนล้า   ฉันมีโลกอินเตอร์เน็ตที่ช่วยทำให้ผ่อนคลายความอ่อนล้าที่มี  เพราะหัวใจที่ไร้จุดยืน   วันที่เสียคนที่รักไป   มันทำให้ท้อแท้จริง ๆ  นะ 
(สำหรับฉัน  ฉันเป็น) ความผูกพัน    ฉันไม่รู้หรอกว่าจะมีโอกาสได้ผูกพันกับใครบ้าง   
หรือใครจะผ่านเข้ามาบ้าง...ในชีวิตของฉันพบคนมาหลายประเภท   
เห็นโลกมาก็มาก   มากกว่าอายุจริง ๆ  ของฉันซะอีก...

...ถึงตรงนี้หลายคนคงคิดว่าฉันสู่รู้เกินไปหรือเปล่า? 
 ประสบการณ์การใช้ชีวิตอะไรจะมีมากมายอย่างโม้หรือเปล่า.(ไม่ต้องเชื่อฉันหรอก)
ในโลกความเป็นจริงฉันพบเจอคนมามากมายหลายรูปแบบเหลือเกิน 
ซึ่งในโลกจินตนาการแห่งนี้   ฉันเพียงต้องการได้พบใครที่เป็นมิตร
และเป็นบุคคลที่ฉันไม่เคยเจอในโลกความเป็นจริง...ขอเพียงเป็นมิตร   
ไม่ต้องเป็นเพื่อนแท้  ตายแทนกันได้หรอก  ไม่ต้องเป็นเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวก็ได้    
ฉันไม่ต้องการหรอกนะ   ฉันแค่...อยากพบใครก็ได้ที่มอบความเป็นมิตร
ไม่ทำร้ายทำลายกันเท่านั้น  เพียงแค่สบตา   หรือเพียงส่งยิ้มมา  เท่านี้ก็ดีมากแล้ว   
ไม่ต้องเข้าใกล้ฉัน  ไม่ต้องมาดูแลฉันหรอก    เพียงอยากให้คุณดูแลตัวเอง
ให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง เพราะฉันไม่สามารถดูแล  และให้ชีวิตของฉันกับใครได้
เพื่อนแท้ตายแทนกันได้  สำหรับฉันนั่นไม่มี   แต่ฉันจะให้ความรู้สึกที่ดี    
มอบความปรารถนาดีไม่ทำร้ายไม่ทำลายล้างใคร       

...ฉันพบมาหลายรูปแบบแล้ว...ฉันไม่เคยคาดหวังอะไรกับคนในโลกจินตนาการแห่งนี้...
ฉันไม่เคยมีช่วงชีวิตที่ได้เรียนหนังสือภาคบังคับอย่างพวกคุณ ๆ     
แต่ฉันกับได้เรียนรู้ชีวิต   ที่สังคมบังคับให้รับรู้... ฉันเรียนรู้ที่จะเอาตัวรอด
เรียนรู้ที่จะทะเยอทะยาน   ไข่วคว้าสิ่งที่คิดฝันไว้  ฉันถูกชะตากำหนดให้เกิดมา....
เพื่อที่จะได้พบแต่คนที่โหดร้ายหรือ? ฉันเคยตั้งคำถามเหล่านี้
ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยผู้ใหญ่    มันเกือบจะตลอดในการใช้ชีวิตของฉัน 
แต่ปัจจุบันฉันเลิกถามมันไปแล้ว   เพราะต้องเรียนรู้...ในสิ่งที่เห็นและเป็นไป...
อย่างเข้าใจ  แม้ว่าไม่เข้าใจ   ก็ต้องทำใจยอมรับมันให้ได้...

ที่ฉันตัดสินใจเขียนเรื่องราวนี้  เพราะฉันรู้สึกอ่อนล้ากับการสิ่งที่พบเจอ   
หัวใจคนก็หวั่นไหว... อ่อนไหวต่อสิ่งเร้าที่มีเข้ามาทำให้รู้สึก....
เมื่อได้รับรู้   และรู้สึก...ฉันไม่ต้องการคาดหวังกับใครทั้งนั้น...
ฉันอยู่ในสังคมเพียงลำพัง มานานเท่ากับอายุที่ฉันมีอยู่ตอนนี้ 
 โหดร้ายแค่ไหน?   แม้ไม่อยากเจอ  ก็ต้องเจอ  และก็ต้องยอมรับ...  

*ขอโทษ!   หากข้อความบางอย่างทำใครสะท้อนความรู้สึก*
แมงกุ๊ดจี่   ก็เป็นได้แค่แมงกุ๊ดจี่ขี้ควายเท่านั้นเอง...				
12 กันยายน 2549 08:53 น.

คำอธิษฐาน 10 ประการ

แมงกุ๊ดจี่

คำอธิษฐาน 10 ประการ

 วรากรณ์ สามโกเศศ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

 

ข้อเขียนน่าสนใจจาก Polcady35.org ซึ่งเท่าที่ทราบเป็นเว็บไซต์ของนักเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 35 บทความนี้เขียนโดยผู้ใช้นามว่า h35 จึงขอนำมาถ่ายทอดต่อดังนี้

".......ข้าพเจ้ามีคำอธิษฐาน 10 ประการดังต่อไปนี้ 

1.ขออย่าให้ข้าพเจ้าเป็นคนคิดจะได้ดีอะไรอย่างลอยๆ นั่งนอนคอยแต่โชควาสนา โดยไม่ลงมือทำความดีหรือไม่เพียรพยายามสร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่ตน ถ้าข้าพเจ้าจะได้ดีอะไรก็ขอให้ได้เพราะได้ทำความดีอย่างสมเหตุผลเถิด

2.ขออย่าให้ข้าพเจ้าเป็นคนลืมตนดูหมิ่นเหยียดหยามใครๆ ซึ่งอาจด้อยกว่าในทางตำแหน่ง ฐานะการเงิน หรือในทางวิชาความรู้ ขอให้ข้าพเจ้ามีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น ให้เกียรติแก่เขาตามความเหมาะสมในการติดต่อเกี่ยวข้องกันเถิด อย่าแสดงอาการข่มขู่เยาะเย้ยใครๆ ด้วยประการใดๆ เลย ก็ขอให้มีความอ่อนโยน นุ่มนวล สุภาพเรียบร้อยเถิด

3.ถ้าใครพลาดพลั้งลงในการครองชีวิตหรือต้องประสบความทุกข์ ความเดือดร้อนเพราะเหตุใดๆ ก็ตาม ขออย่าให้ข้าพเจ้าเหยียบย่ำซ้ำเติมคนเหล่านั้น แต่จงมีความกรุณาหาทางช่วยเขาลุกขึ้น ช่วยผ่อนคลายความทุกข์ร้อนแก่เขาเท่าที่จะสามารถทำได้

4.ใครก็ตามที่มีความรู้ความสามารถขึ้นมาเท่าเทียมหรือเกือบเท่าเทียมข้าพเจ้า ก็ดี มีความรู้ความสามารถหรือมีผลงานอันปรากฏดีเด่น สูงส่งอย่างน่านิยมยกย่องยิ่งกว่าข้าพเจ้า ขออย่าให้ข้าพเจ้ารู้สึกริษยาหรือกังวลใจในความเจริญของผู้นั้นเลยแม้แต่น้อย ขอให้ข้าพเจ้าพลอยยินดีในความดี ความรู้ความสามารถของบุคคลเหล่านั้นด้วยใจจริง ช่วยส่งเสริมสนับสนุนและให้กำลังใจแก่คนเหล่านั้น อันเข้าลักษณะการมีมุทิตาจิต ในพระพุทธศาสนา ซึ่งตรงกันข้ามกับความริษยา ขออย่าให้เป็นอย่างบางคน ที่เกรงนักหนาว่าคนอื่นจะดีเท่าเทียมหรือดียิ่งกว่าตน คอยหาทางพูดจาติเตียน ใส่ไคล้ให้คนทั้งหลายเห็นว่าผู้นั้นยังบกพร่องอย่างนั้นอย่างนี้ ขอให้ข้าพเจ้ามีน้ำใจสะอาด พูดส่งเสริมยกย่องผู้อื่นที่ควรยกย่องเถิด

5.ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้มีน้ำใจเข้มแข็งอดทน อย่าเป็นคนขี้บ่นในเมื่อมีความยากลำบากอะไรเกิดขึ้น ขอให้มีกำลังใจต่อสู้กับความยากลำบากนั้นๆ โดยไม่ต้องอ้อนวอนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาช่วย ขออย่าเป็นคนอ่อนแอเหลียวหาที่พึ่ง เพราะไม่รู้จักทำตนให้เป็นที่พึ่งของตนเลย ขออย่าให้ข้าพเจ้าเป็นคนชอบได้อภิสิทธิ์ คือสิทธิเหนือคนอื่น เช่น ไปตรวจที่โรงพยาบาลก็ขอให้พอใจนั่งคอยตามลำดับ อย่าวุ่นวายจะเข้าตรวจก่อนทั้งที่ตนไปถึงทีหลัง ในการสอบแข่งขันเพื่อคัดเลือกใดๆ ขออย่าให้ข้าพเจ้าคิดหาวิธีลัดหรือวิธีทุจริตใดๆ รวมทั้งขออย่าได้วิ่งเต้นเข้าหาคนนั้นคนนี้เพื่อให้เขาช่วยให้ได้ผลดีกว่าคนอื่น ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าอาจมีคะแนนสู้คนอื่นไม่ได้เถิด

6.ข้าพเจ้าทำงานที่ใด ขออย่าให้ข้าพเจ้าคิดเอาเปรียบหรือคิดเอาแต่ได้ในทางส่วนตัว เช่น เถลไถลไม่ทำงาน รีบเลิกงานก่อนกำหนดเวลา ขอจงมีความขยันหมั่นเพียร พอใจในการทำงานให้ได้ผลดีด้วยความตั้งใจและเต็มใจ เพื่อประโยชน์ของตนเอง ฉะนั้นเถิด อันเนื่องมาแต่ความไม่คิดเอาเปรียบในข้อนี้ ถ้าข้าพเจ้าบังเอิญก้ำเกินข้าวของ ของที่ทำงานไปในทางส่วนตัวได้บ้าง เช่น กระดาษ ซอง หรือเครื่องใช้ใดๆ ขอให้ข้าพเจ้าระลึกอยู่เสมอว่าเป็นหนี้อยู่ และพยายามใช้หนี้คืนด้วยการซื้อใช้ หรือทำงานให้มากกว่าที่กำหนด เพื่อเป็นการชดเชยความก้ำเกินนั้น ข้อนี้รวมทั้งขอให้ข้าพเจ้าอย่าเอาเปรียบชาติบ้านเมือง เช่น ในเรื่องการเสียภาษีอากร ถ้ารู้ว่ายังเสียน้อยไปกว่าที่ควร หรือตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ขอให้ข้าพเจ้ามีความตั้งใจที่จะชดใช้แก่ชาติบ้านเมืองอยู่เสมอ เมื่อมีโอกาสตอบแทนเมื่อไรขอให้รีบตอบแทนโดยทันที เช่น ในรูปแห่งการบริจาคบำรุงโรงพยาบาล บำรุงการศึกษา หรือบริจาคเพื่อสาธารณประโยชน์อื่นๆ แบบบริจาคให้มากกว่าที่รู้สึกว่ายังเป็นหนี้ชาติบ้านเมืองอยู่เสมอ และในข้อนี้ขอให้ข้าพเจ้าปฏิบัติแม้ต่อเอกชนใดๆ ขออย่าให้ข้าพเจ้าคิดเอาเปรียบหรือโกงใครเลยแม้แต่น้อย แม้แต่จะซื้อของถ้าเขาถอนเงินเกินมา ก็ขอให้ข้าพเจ้ายินดีคืนให้เขากลับไปเถิด อย่ายินดีว่ามีลาภเพราะเขาทอนเงินเกินมาให้เลย

7.ขออย่าให้ข้าพเจ้ามักใหญ่ใฝ่สูง อยากมีหน้ามีตา อยากมีอำนาจ อยากเป็นใหญ่เป็นโต ขอให้ข้าพเจ้าใฝ่สงบ มีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ ไม่ต้องเดือดร้อนในเรื่องการแข่งดีกับใครๆ ทั้งนี้เพราะข้าพเจ้าพอจะเดาได้ว่า ความมักใหญ่ใฝ่สูง ความอยากมีหน้ามีตา ความอยากมีอำนาจ และอยากเป็นใหญ่เป็นโตนั้น มันเผาให้เร่าร้อน ยิ่งต้องแข่งดีกับใครๆ ด้วยก็ยิ่งทำให้เกิดความคิดริษยา คิดให้ร้ายคู่แข่งขัน ถ้าอยู่อย่างใฝ่สงบมีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ ก็จะเย็นอกเย็นใจ ไม่ต้องนอนก่ายหน้าผากถอนใจเพราะเกรงคู่แข่งจะชนะ ไม่ต้องทอดถอนใจเพราะไม่สมหวัง ขอให้ข้าพเจ้ามีความเข้าใจซาบซึ้งในพระพุทธภาษิตว่า "ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ย่อมอยู่เป็นทุกข์ ละความชนะความแพ้เสียได้ ย่อมอยู่เป็นสุข" ดังนี้เถิด แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าเมื่อใฝ่สงบแล้ว ข้าพเจ้าจะต้องอยู่อย่างเกียจคร้านไม่สร้างความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม ข้าพเจ้าทราบดีว่าพระพุทธศาสนามิได้สอนให้คนเกียจคร้านงอมืองอเท้า แต่สอนให้มีความบากบั่นก้าวหน้าในทางที่ดีไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม และความบากบั่นก้าวหน้าดังกล่าวนั้น ไม่จำเป็นต้องผูกพันอยู่กับความทะยานอยากหรือความมักใหญ่ใฝ่สูงใดๆ คงทำงานไปตามหน้าที่ให้ดีที่สุด ผลดีก็จะเกิดตามมาเอง

8.ขอให้ข้าพเจ้าหมั่นปลูกฝังความรู้สึกมีเมตตาปรารถนาดีต่อผู้อื่น และมีกรุณาคิดจะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ซึ่งพระพุทธเจ้าแนะนำให้ปูพื้นจิตใจด้วยเมตตากรุณาดังกล่าวนี้อยู่เสมอ จนกระทั่งไม่รู้สึกว่ามีใครเป็นศัตรูที่จะต้องคิดกำจัดตัดรอนเข้าให้ถึงความพินาศ ใครไม่ดี ใครทำชั่วทำผิดขอให้เขาคิดได้กลับตัวได้เสียเถิด อย่าทำผิดทำชั่วอีกเลย ถ้ายังขืนทำต่อไปก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เขาจะต้องรับผลแห่งกรรมชั่วของเขาเอง เราไม่ต้องคิดแช่งชักให้เขาพินาศ เขาก็จะต้องถึงความพินาศของเขาอยู่แล้ว จะต้องแช่งให้ใจเราเดือดร้อนทำไม ขอให้ความเมตตาคิดจะให้เป็นสุข และกรุณาคิดจะช่วยให้พ้นทุกข์ซึ่งข้าพเจ้าปลูกฝังขึ้นในจิตใจนั้น จงอย่าเป็นไปในวงแคบและวงจำกัด ขอจงเป็นไปทั้งในมนุษย์และสัตว์ทุกประเภท รวมทั้งสัตว์ดิรัจฉานด้วย เพราะไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์เหล่านั้น ต่างก็รักสุขเกลียดทุกข์ รู้จักรักตนเองปรารถนาดีต่อตนเองด้วยกันทั้งสิ้น

9.ขอให้ข้าพเจ้าอย่าเป็นคนโกรธง่าย ต่างว่าจะโกรธบ้าง ก็ขอให้มีสติรู้ตัวโดยเร็วว่ากำลังโกรธ จะได้สอนใจตนเองให้บรรเทาความโกรธลง หรือถ้าห้ามใจให้โกรธไม่ได้ ก็ขออย่าให้ถึงกับคิดประทุษร้ายผู้อื่น หรือคิดอยากให้เขาถึงความพินาศ ซึ่งนับเป็นมโนทุจริตเลย ขอจงสามารถควบคุมจิตใจให้เป็นปกติได้โดยรวดเร็วเมื่อมีความไม่พอใจหรือความโกรธเกิดขึ้นเถิด และเนื่องมาจากความปรารถนาข้อนี้ ขอให้ข้าพเจ้าอย่าเป็นคนผูกโกรธ ให้รู้จักให้อภัย ทำใจให้ปลอดโปร่งจากการผูกอาฆาตจองเวร ขอให้มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น โดยรู้จักเปรียบเทียบกับตัวข้าพเจ้าเองว่าข้าพเจ้าเองก็อาจทำผิด พูดผิด คิดผิด หรืออาจล่วงเกินผู้อื่นได้ ทั้งโดยมีเจตนาและไม่เจตนา ก็ข้าพเจ้าเองยังทำผิดได้ เมื่อผู้อื่นทำอะไรผิดพลาดล่วงเกินไปบ้าง ก็จงให้อภัยแก่เขาเสียเถิด อย่าผูกใจเจ็บหรือเก็บความรู้สึกไม่พอใจนั้นมาขังอยู่ในจิตใจให้เป็นพิษเป็นภัยแก่ตัวเองเลย

10.ขอให้ข้าพเจ้ามีความรู้ความเข้าใจและสอนใจตัวเองได้เกี่ยวกับ คำสอนของพระพุทธศาสนาทั้งทางโลกและทางธรรม กล่าวคือ พระพุทธศาสนาสอนให้รู้จักสร้างความเจริญแก่ตนในทางโลก และสอนให้ประพฤติปฏิบัติยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ให้มีปัญญาเข้าใจปัญหาแห่งชีวิต เพื่อจะได้ไม่ติดไม่ยึดถือ มีจิตใจเบาสบายอันเป็นความเจริญในทางธรรม ซึ่งรวมความแล้วสอนให้เข้ากับโลกได้ดี ไม่เป็นภัยอันตรายแก่ใครๆ แต่กลับเป็นประโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติ แต่ก็ได้สอนไปในทางธรรมให้เข้ากับธรรมได้ดี คือให้รู้จักโลก รู้เท่าโลกและขัดเกลานิสัยใจคอให้ดีขึ้นกว่าเดิม เพื่อบรรลุความดับทุกข์ ความพ้นทุกข์ ขอให้ข้าพเจ้ามีความเข้าใจทั้งทางโลกทางธรรม และปฏิบัติตนให้ถูกต้องได้ทั้งสองทาง รวมทั้งสามารถหาความสงบใจได้เองและสามารถแนะนำชักชวนเพื่อนร่วมชาติร่วมโลก ให้ได้ประสบความสุขสงบได้ตามสมควรเถิด......."

ขอขอบคุณ Polcady 35 และผู้เขียน หากเป็นไปได้กรุณาเผยแพร่ "คำอธิษฐาน" นี้ต่อไปด้วยครับ (ขอขอบคุณอาจารย์ชัยวัฒน์ หอมกลิ่นแก้ว ที่ได้แนะนำข้อเขียน) 
				
6 กันยายน 2549 09:09 น.

เมื่อความรักเข้าพา...พาพบหน้า...

แมงกุ๊ดจี่

..........หลายปีที่คุยกัน...ไม่เท่าหนึ่งวันที่พบหน้า..........

...เมื่อวันศุกร์ที่   1   กันยายนที่ผ่านมา    ฉันเดินทางเข้ากรุงเทพฯ   เหตุเพราะว่า...
เมื่อรักเข้าตา...ใจจึงเผลอ....เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นประมาณ   3  ทุ่มเศษ   ๆ   
จากคนไกลที่หัวใจผูกพัน (ตั้งแต่เมื่อไหร่ฉันก็ไม่รู้) เดือนตุลาคมที่จะถึง...
ก็จะครบปีแล้วที่ได้มีโอกาสได้คุยกันทางโทรศัพท์    เพียงได้ยินแค่เสียง....
เสียงหวานซะด้วยนะ   มันทำให้คนช่างจินตนาการอย่างฉัน   แอบวาดภาพ
ผู้หญิงเสียงหวานตามสาย   คนที่ฉันคุ้นเคยจากตัวอักษรและจากเทคโนโลยี   
ที่ไร้สายอย่างโทรศัพท์มือถือ...  ว่าเขาจะเป็นคนอย่างไรน๊า...

...ในภาพวาดของฉันเขาเหล่านั้นคงเป็นหญิงสาวที่สวยงาม   น่ารัก...ใจดี    
อืม...คุณคงพากันอิจฉาจินตนาการฉันแล้วใช่มั๊ย...  ความจริงพี่ ๆ  เขาเป็นคนสวย
น่ารัก   อ่อนโยน  เทคแคร์ดูแล  อย่างมาก...(จนฉันคิดอย่าจะกิ๊กไว้ไม่ให้ใคร
เลย  อิอิ   เห็นแก่ตัวจัง)   ...หลายครั้งหลายครา   ที่ฉันปฏิเสธการพบกัน   
เพื่อเว้นระยะห่างเอาไว้  เพียงต้องการให้ความผูกพันอย่างจริงใจ   ที่รู้สึกใน
หัวใจ   อยู่ข้างในใจตลอดไป    ให้มีช่องว่างสำหรับฉันและเขาได้ยืนอยู่   
ต่างคนต่างดูแลระยะห่างของตัวเอง...(ฉันคิดแบบนี้  จริง  ๆ)   แต่เมื่อมีโอกาสได้
พูดคุยผ่านเทคโนโลยีไร้สายกลับทำให้ฉันผูกพันมากขึ้น   หรือเป็นเพราะฉัน
ไม่มีใครจึงทำให้ผูกพันกับเขางั้นเหรอ?  (มีบางวันฉันไม่ยินเสียงแล้วนอนไม่
หลับ   เอ...หรือฉันหลงรักเขาซะแล้ว  อิอิ)

...เหตุคงเป็นเพราะความรักเข้าตา    จากเว็ปไทยโพเอมมั่งเลยทำให้ฉันลืมคิดถึงสิ่งที่ตั้งใจไว้...ฉันได้บัตรฟรีมาหนึ่งใบ   จากการเขียนกลอน  ที่ไม่ค่อยได้เรื่องตามสไตล์ของฉันนั่นเอง...นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการนัดพบของฉัน...  ซึ่งมีความตั้งใจว่าจะไปพบ    เพราะได้รับปากเจ้าของเสียงหวานที่ส่งผ่านเทคโนโลยีไร้สาย   ไปซะแล้ว (ขู่หรือเปล่าไม่รู้   อิอิ )   

...ฉันเดินทางจาก  สกลนคร   ด้วยรถโดยสารประจำทางใช้ระยะเวลาในการเดินทาง    8  ชั่วโมง  (08.00 - 04.20) จากอำเภอเมืองสกลนคร    สู่จุดหมายคือหน้าฟิวเจอร์รังสิต   เพราะบ้านพี่อยู่แถวนั่นและจะได้มีคนมารับด้วย...อิอิ  ช่วงระยะเวลาของการเดินทาง    มีเสียงโทรศัพท์จากคนไกลที่รอคอยการได้พบส่งผ่ามมาขณะอยู่บนรถ   ทำให้อุ่นใจไม่ใช่น้อยนะ......พอหลังจากวางสายโทรศัพท์ฉันก็หลับไม่รู้เรื่องเลย  อิอิ   (อันตรายไม่กลัวเลยหลับได้ไง)...ถึงรังสิตตีสี่  เศษ  ๆ   รีบโทรศัพท์ตามคนมารับทันที  อิอิ   ก็คนมันกลัวนี่นา  ทั้งที่ก็มีหน้าตาเป็นอาวุธหน่ะนะ   คริ  คริ  ประมาณ  20  นาที   คนมารับก็มาถึง    คนรอก็หน้างิกเลยอ่ะ  ยิ่งไม่มีดั้งอยู่ด้วย   อิอิ   หน้าหักคะมำเลยอ๊ะ   ฉันยกมือธุจ้า  พี่ชายคนโต...พร้อมกับหน้างิก  ๆ    แต่พี่ชายก็ยังอารมณ์ดีหัวเราะ  ตามสไตล์   เมื่อขึ้นรถนั่งข้างคนขับ   มีคำถาม   ถามฉันอย่าง  ไม่ตั้งตัวเลย...แล้วฉันก็กลายเป็นผู้ใหญ่ที่โกหกเก่งไปเลย   อิอิ  

*มาทำอะไรเหรอ?    *  พี่โยถามง่ายซะ   แต่ทำไมตอบยากจังก็ไม่รู้
*มาทำธุระ *   ฉันไม่กล้าบอกด้วยซ้ำ   ว่าตัวเองมาทำอะไร    แก่ขนาดนี้ยังโกหกเหมือนเด็กอยู่ได้   อิอิ
*มาราชการเหรอ? *   พี่โยก็ยังถามอีก   จะถามทำไมเนี่ย..
*อืม   มาราชการ*   ก็เขาโกหกแทนแล้วนิ   อิอิ    (เมื่อก่อนมากบ่อย   เขาเลยเข้าใจแบบนั้น)
แล้วเขาก็ไม่ถาม   ถึงบ้านแล้วฉันไม่พูด  ไม่จา   ถือกระเป๋าลงรถรีบขึ้นห้องไปนอนเลย
เดี๋ยวจะถามอีก... อิอิ   กลัวความจะแตก    อิอิ  (คนมีชะนักติดหลัง  อิอิ  )

*เวลา   7.30 น.   เสียงเคาะประตูดังมาเชียว  อิอิ 
*มะกรูด  แกจะไปกะพี่ป่าวเนี๊ยหึ*   พี่โยตะโกนไป  เคาะประตูห้องไป...
*จ้า  ๆ   ไป  ๆ  เดี๋ยวอาบน้ำก่อนดิ*   ฉันตอบกลับไป   พร้อมรีบลุกขึ้นไปอาบน้ำ
แต่งตัวเสร็จลงมาจากข้างบน   ครีมก็ไม่ได้ทาดูดิ    เล่นสต๊าทรถรอเลยพี่ชายฉัน...

ขึ้นนั่งปุ๊บก็โดนสัมภาษณ์อีก   เอ้อ  อ่อนใจจริง ๆ  น้องโตป่านนี้แล้วนะเนี๊ย...
*จะไปที่ไหน? เหรอ?    *   พี่โยก็ถาม  ก็ซักอยู่นั่นแระ...
*ไปอนุเสาวรีย์ฯ   นัดเพื่อนไว้   *  ฉันตอบแบบลืมคิด  อิอิ
*อ้าวไหน?  ว่ามาราชการ   แล้วแกจะไปทำไม?  *   โดนดุจนได้ดูสิ
*ก็มาแร่ะ  ราชการส่วนตัวไง*  ฉันตอบแบบยียวนซะ  น่าเข็กกระโหลกจริง ๆ
*เพื่อนที่ไหน?   คนไหนเหรอ?   เพื่อนอยู่ที่ไหน? *  มาเป็นชุดเลยทีนี้  เอ้อ..
*เพื่อน ๆ  แร่ะ  นัดกันจะไปงานต่อด้วยอ่ะ*   ฉันตอบแบบไม่เต็มใจสักเท่าไหร่
*งานอะไร  แล้วคืนนี้แกจะกลับมานอนบ้านหรือเปล่า? *    ห่วงอะไรหนักหนานะเอ้อ..
*ไม่เอาอ่ะ   เดี๋ยวจะค้างกับเพื่อน ๆ   นาน ๆ  เจอ*   ฉันตอบไปแบบหนักแน่นด้วยสิ...
*เออ...โทรรายงานด้วยแร่ะกันนะ    ว่าอยู่ที่ไหน?  อย่าให้นักห่วงนะ*   พูดแบบบังคับด้วยสิ
*คร๊าบบบบ ๆ  รู้แล้วน่า    *  ตอบไปพร้อมกับรีบลงจากรถให้เร็วที่สุด  อิอิ ก็พี่ชายเล่นมาทิ้งไปเองนิ     
โห...จากกรุงเทพไปก็หลายปีแล้วนะเนี๊ยจะหลงเปล่าไม่รู้...พลางนึกในใจ   แต่พี่โยก็บอกแล้วว่าให้นั่งรถตู้ไปอนุเสาวรีย์ฯ    มันไกลแกต้องรีบไปแต่เช้า...เหอ ๆ  ที่ไหนได้เล่นอำกันเฉยเลยพี่ชายฉัน   ไปถึงอนุเสาวรีย์ฯ  เก้าโมงเช้า...การรอคอยก็เกิดขึ้น   แต่ยินดีจะรอด้วยสิ    อย่างมุ่งมั่น  และตื่นเต้นด้วยล่ะ...
ถึงอนุเสาวรีย์ฯ  ปุ๊บฉันก็โทร.หาคนที่อยากเจอก่อนใคร อิอิ    ก็นะมันตื่นเต้นด้วยสิเป็นครั้งแรกที่ฉันได้พบคนในเน็ต...

*พี่กานต์   ถึงไหน?แล้วค่ะ  มะกรูดถึงแล้วนะคะ*   ฉันโทร.ไปเหมือน  เป็นสัญญาณบอกรีบมาได้แล้วนะ   ฉ้านรออยู่เนี๊ย  อิอิ  
*จ้า  ๆ   เดี๋ยวไปรอพี่ที่ดอกหญ้านะ   ฝั่งดอกหญ้านะ *  พี่กานต์ส่งเสียงตามสายมา    ฉันเอ๋อ ๆ  เลยอ่ะ
มันตรงไหน?  หว่าดอกหญ้า   มาก็แค่   3   ครั้งแต่ไม่เคยเดินช๊อปเลยอ่ะ  มาต่อรถเมล์เท่านั้นเอง...
*ค่ะได้ ๆ  ค่ะ  เดี๋ยวมะกรูดหาข้าวแถว ๆ  นี้กินก่อนนะคะ  หิวอ่ะ    เดี๋ยวจะไปรอที่ดอกหญ้า*   ฉันตอบไปก่อนหน้านั้นก็สั่งข้าวมันไก่ไปแล้วล่ะ  
ก็คนมันหิวนี่นา   ไม่ได้กินตั้งกะเมื่อวานแล้วอ่ะ   คริ  คริ ...

เดินดูของตรงนั้นก็หลายรอบแล้วอ่ะ  เข้าออก ๆ   บริเวณ   แฟชั่นมอลล์  ก็หลายรอบแล้วอ่ะรอบคนเสียงหวานมาอ๊ะดิ    อิอิ  สักพักเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น    ฉันดีใจมาก ๆ  เมื่อรู้ว่าเป็นเบอร์ใคร   เพราะการรอคอยของฉันจะสิ้นสุดลงแล้ว  อิอิ    ฉันจะได้พบพี่สาวจ๋า   คนที่ฉันคุ้นเคยแต่ไม่เคยรู้จัก  เอ๊ะยังไงนะ  อิอิ  

*ว่าไงมะกรูดอยู่ตรงไหน? *  เสียงถามมาจากโทรศัพท์
*มะกรูดอยู่ตรงเนี๊ย   ตึกสีเขียว ๆ    เนี๊ย  เขาเรียกอะไรอ๊ะ *   ขำตัวเองจริง  ๆ  บ้านนอกเข้ากรุงซะจริง  ๆ   ฉ้าน...
*ฝั่งแฟชั่นมอลล์เหรอ?    อืมงั้นรอพี่แถวนั่นนะ*   พี่กานต์ตอบกลับมา
*เดี๋ยว  ๆ   พี่กานต์ใส่เสื้อสีอะไร*   ฉันถามกลับไป   ก็แหม...กลัวจำผิดคนนี่นา  อิอิ   เนอะใครจะรู้ล่ะ
*ใส่เสื้อสีชมพู   กางเกงสีชมพู   จ๊ะ   เดี๋ยวก็ไปถึงแล้วนะ  เดี๋ยวเจอกันแค่นี้นะ*  เสียงหวานมาตามสาย   ทำให้ฉันตื่นเต้นไปด้วย...
ฉันเดินย้อนกลับขึ้นไปชั้นสอง   เพื่อไปรอคนไกลจากพัทยา    ความรู้สึกตื่นเต้นอย่าบอกใครเชียว  อิอิ
ถ้าเป็นชายหนุ่มสงสัยจะตื่นเต้นไม่เท่า  เอ...หรือจะมากกว่าอิอิ...   อันนี้ไม่รู้นะ   คริ  คริ....

โห...ครั้งแรกที่เจอกัน    ฉันดีใจมากเลยเห็นผู้หญิงคนที่ฉันรอเดินยิ้มหวานมาแต่ไกล...ฉันรีบเดินเข้าไปพร้อมยกมือธุจ้า  และกอดไปที    ดีใจจังฉันได้กอดแล้วนิ  รอมานานมากกว่าจะได้กอดเนี๊ย  (เรื่องแต๊ะอั๊งเนี๊ย)   กิกิ...
พี่สาวจ๋าฉันทำไม?   น่ารักอย่างนี้นะ  ดูแลเทคแคร์น้องดีมาก  ๆ เลย    จะคอยถามตลอดว่าเป็นไงบ้าง   หิวไหมเหนื่อยไหม? ฉันซะอีกทำตัวไม่ถูกเลย   ไม่ได้เทคแคร์อะไรเลย    เอ๋อ ๆ  ทำตัวไม่ถูกเลยดูแลใครก็ไม่เก่งด้วยสิ  (ขอโทษพี่สาวทุกคนด้วยที่ไม่ได้เทคแคร์เลย...)พี่สาวจ๋าพาไปเที่ยวดูโน้นนี่    (อยากบอกตอนนี้ว่าน้องสาวจ๋าเหนื่อยมั่ก ๆ  คะ  พี่สาวจ๋า   แต่สนุก  และมีความสุข  ประทับใจด้วยจิ)    พาไปกินก๋วยเตี๋ยว  พาไปประตูน้ำ   เดินซื้อของ   ถามน้องตลอดว่าเป็นไงบ้าง   ร้อนไหม?   หิวไหม ?  อยากกินอะไร?    ดูแลดีมาก  ๆ   ฉันสิทำตัวแย่จัง...ไม่ได้เทคแคร์อะไรเลย    เมื่อถึงกำหนดเวลานัดหมายกัน  ประมาณ   17.00   น.   ที่นัดกับพี่  ๆ   และ  คุณรี   ลิลลี่สีขาว....เราสองคนกลับไปรอทุกคนที่อนุเสาวรีย์ฯ  ที่ร้านดอกหญ้า  (แหมฉันหาตั้งนานกว่าจะเจอ)   คนแรกที่มาคือพี่ก้าวที่...กล้า   ฉันดีใจจังเมื่อได้เจอพี่เขาตื่นเต้นด้วยจิ   เขิลลลลล...ลด้วยล่ะ   ไม่กล้าสบตาด้วยดิ    สักพักพี่คนเมืองลิงก็มาอีกคน  อิอิ  คนนี้มาแบบไม่รู้ตัว...ฉันตกใจ   ปนดีใจด้วยสิ    เมื่อเจอกัน  4   คนรวมแล้วคุยกันทักทายกันสักพัก   พี่สาวหัวใจเท่ห์ก็มา   ว้าว...มาดกินขาดคนนี้   ไม่คิดว่าจะได้พบด้วยจิ    เซอร์ไพด์สำหรับฉันมาก  ๆ    เราทั้งหมด  (รวมได้  5  แล้วคน) คุยกันประมาณ   5   นาทีได้   คุณลิลลี่สีขาวก็มา    โห...เธอน่ารักมาก ๆ  เสียงหวานพูดเพราะ   ได้ใจฉันไปเลยอ่ะ   (เพราะฉันพูดไม่ค่อยเก่ง   แต่รักหมดใจ)  พร้อมเพื่อนสาว  คุณสำลี   สวยน่ารัก  ประทับใจ  อิอิ   ดีเจน่ารัก ซะ   เมื่อมากันครบก็พากันไปกินก๋วยเตี๋ยวเรือกัน (อีกแล้วเหรอ?   อิอิ)  สนุกสนานกันใหญ่  แหมกะกินกันไปอิ่มก่อนไปร้องเพลงอ่ะจิ..  จะได้ไม่เปลือง...เมื่ออิ่มเราทุกคนก็พากันไป   จุดหมายคือ   I plus  Room   ระหว่างการเดินทางสนุกสนานมาก ๆ  มีเรื่องเล่าประทับใจมากมาย...(อยู่ในนี้...ในหัวใจนี่ไง)

++ถึงตรงนี้มะกรูดไม่เล่าแล้วอ่ะ     ตามที่พี่กานต์    เพียงพลิ้วเล่าทุกอย่างอิอิ++				
Calendar
Calendar
Lovers  1 คน เลิฟแมงกุ๊ดจี่
Lovings  แมงกุ๊ดจี่ เลิฟ 2 คน
Calendar
Lovings  แมงกุ๊ดจี่ เลิฟ 2 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแมงกุ๊ดจี่