26 ธันวาคม 2548 11:55 น.

หอมบุญอุ่นอุษา..!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song206.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song198.html
(อันเป็นดวงใจ...ปรารถนา)
.......


อุษาสางแล้ว
เดือนดวงแจ่ม..ยังค้างฟ้า
แม่ดวงดอกพุดไพร....
ลุกขึ้นมาเปิดเพลง..ครูทูล..ทองใจ
และตั้งใจจะไปวัด...
ลุกขึ้นมาจัดเตรียมสำรับ
มาหุงข้าวใหม่มะลิหอม
และ....
จัดเตรียมอาหารทั้งคาวหวานผลไม้
ไปน้อมนำใจ...ไปถวายพระบวชใหม่...


ที่..
งามผ่องพราวไปทั้งลานธรรม
จน..มลังเมลืองกลายเป็นลานทองผ่องพรายใต้ร่มไม้
ณ..ลานหินโค้ง..
ที่มิโล่งแล้ง กลับงามพราว...ระยิบพร่าง
ด้วยใบไม้ไม้ใบนานาพรรณ
ที่....
กำลังฟายฟ้อนอ้อนออดรับอ้อมอวลอุ่น
จาก..พรายแสงแรกละมุนของดวงอาทิตย์อ่อนอุทัย
ในยามอุษาฟ้าสาง...
ที่ทั่วทั้งท้องนภางค์กระจ่างแจ้ง..จากนวลนภาเบื้องบน


และ..
จากระยับจับจิตจากจีวรสงฆ์แจ่มจ้า
ที่สะท้อนเงาแดดวะวูบไหวในท่ามเงาไม้
คล้ายดั่งดวงชีวี
ได้ย้อนรอยถอยหลังกลับไปในสมัยพุทธกาล 
ยาม..
ที่พระพุทธองค์ทรงเสด็จเทศนา..ในวันสำคัญๆ
และ..
แทบทุกครั้งครา..
ในท่ามแมกไม้ไพรพฤกษ์ในแทบทุกถิ่นที่
แห่งแดนดินพุทธชมพูทวีปนี้....
ที่แสนเงียบงามสงบสุข..


ที่..
พระพุทธองค์ มิทรงหยุดท้อแท้
เพื่อจะเผยแผ่พระบรมศาสนา..
จนตราบล่วงลาถึงพระชนมพรรษาครบแปดสิบปี ...
จน..
ตราบถึงวันที่..
*พระพุทธองค์ทรงบรรทมในท่าสิริไสยาสน์
 ใต้ร่มเงาไม้สาละ...บนศิลาอาสน์
เพื่อทรงดับขันธ์ปรินิพพาน
ใต้ม่านไม้ใบบัง...อันแสนหอมเศร้า..เคล้าความโศกสงบ
แห่งหัวใจพระอรหันต์และชาวพุทธศาสนิกชน
คนในชมพูทวีปมาอย่างยาวนานตราบจนกาลวันนี้....


และ...
ตั้งแต่ยาม..
ที่ดวง พระประทีปแก้วแววประภัสสร
ได้ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน
ได้...
ทรงค้นพบอริยสัจจ์สี่ 
*ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค*
อันคือสัจจะธรรมจริงแท้
และ..
พร้อมพลี..
เยื้องย่างอย่างแสนลำบากตรากตรำพระวรกาย
เพื่อไปเผยแผ่...ในทุกธุลีหล้าใต้ฟ้าธรรม...ธรรมชาติ
ให้..
ทุกผองชนในสมัยพุทธกาล..และนานเท่านาน
มาถึงทุกผู้คนในทุกวันนี้
ได้พบเส้นทางอันแสนสะอาดสว่างสงบ
 ที่ณ..บัดนี้เรียกว่า....


 สังเวชนียสถานทั้งสี่....
สถานที่ประสูติ ณ ป่าลุมพินี เมืองกบิลพัสดุ์ เนปาล
สถานที่ตรัสรู้ ณ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม พุทธคยา อินเดีย
สถานที่แสดงปฐมเทศนา ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน สารนาถ อินเดีย
สถานที่ปรินิพพาน ณ ป่าสาลวัน กุสินารา อินเดีย...

ที่..น่าอัศจรรย์ใจนัก
ที่พระสงฆ์จำนวนนับพัน
จะ...พลันมาประชุมพร้อมกัน
โดยมิได้นัดหมาย..

คล้ายปาฎิหารย์
จากบุญญาบารมีกฤดาภินิหาร
จากพลังศรัทธาแห่งความเชื่อ
ที่เหลือจะกล่าวอธิบาย...ผ่านคำว่า
เหนือโลกย์ เหนือโศก สุขสิ้นแล้ว...
...........................


และ....
วันนี้แม่ดวงดอกพุดไพรจึงตั้งใจ
จะไปวัดเพียรปฎิบัติธรรม 
และ..
ตั้งใจจะทัดช่อละออเข็มขาว..
ให้หอมหวานบานพราวริมเรียวแก้ม
และ..
แถมจะคลี่คลุมไหล่ด้วยผ้าสไบผืนนุ่มสีไพล 
ที่แสนจะบรรเจิดใจ บรรเจิดจิตแจ่มกระจ่างมาก
ใน...
ท่ามมวลอวลอากาศหนาว 
แล้ว..
เดินฝ่าม่านหมอกหยอกรวงเรียวดวงดอกข้าว
ที่กำลังผลิพราวในทุ่งนา
ใกล้...เมืองธานีแดนทอง
ที่..
ยังคงเหลือผืนนาผืนน้อย
คอยรอท่าท่านนายทุนมาหมุนหว่านเงินงาม
กวาดล้างสร้างเป็นบ้านจัดสรร..

หาใช่..สวรรค์บ้านนาอีกต่อไปไม่แล้ว...!


และ..
ราวดวงใจแม่ดวงดอกพุดไพร
คิดขอให้..
เข็มขาวและข้าวนา
จักพราวพาพร...ให้นำมาเพียรสอนสัจจะใจ
ให้..
ไหวงามตามทันทุกผัสสะ 
มีสติปัญญา..บานเบิกตระการ
แตกช่อดอกจิตกระจ่างสว่างไสว
ไปในท่ามกลางความวายวุ่นแห่งวิถีผู้คน
อันอลหม่านอลวนปากกัดตีนถีบ
รีบร้อนทุรนทุราย
คล้ายเต็มไปทั้งม่านมนต์เมืองมายา...เมืองฟ้าอมร..


แม่ดวงดอกพุดไพร
จะ..
พาร่างใจที่แสนรักความเดียวดายดายเดียว
และ...หัวใจดวงใสดวงดี..ไปถวายวัด
ให้..
จิตภายใน..
รู้สึกสงบสงัด ชัดแจ่มด้วยพลังบุญ...
ที่จักละมุน..
หมุนนวลเนื้อใจ
ให้หอมกุศลเกษมไปตราบชั่วนิจนิรันดร์...


แม่ดวงดอกพุดไพร
จึงมานั่ง.บนหินใหญ่ใต้ร่มไทรใบหนา
ที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้นกกาอาศัย
ในม่านไพรไหวย้อยห้อยรากราย
ลงมาพรายปรายปกคลุม
ในท่ามกลางสายลมหนาวที่พัดกรูกราว
พร่างพราว...


ให้..
ใบไม้ใบนิดๆน้อยๆ
ค่อยๆพร่างพลิกพลิ้วปลิดปลิว..ละลิ่วลอยลงมา
ใน..
ท่ามสายแสงแดดสีทอง
ละอองอ่อนอุ่นอาบทอทาบทามาในยามอุษา
และราวกับว่า...
นั่งอยู่ในท่ามป่าใหญ่ไพรกว้าง
อย่างแสนสวยงามอ้างว้าง 
ให้
ดวงจิตดวงว่างยิ่งงามแสนงาม
ในครรลองทองผ่องผุด 
ราว...
*โลกตรงหน้ากำลังหยุดหมุน*
ให้
น้อมรำลึกนึกย้อน
*ตามรอยพระบาทองค์พระบรมศาสดา*
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปในยามสมัยพุทธกาล...


และ...
ในท่ามทิพย์นิรมิตใจนั้น..แม่ดวงดอกพุดไพร
เห็นแสงจรัสจ้า...
ประดุจดั่ง..
สายแสงเพชรพราวพรายฉายฉาน
โชติช่วงจับฟากฟ้า
จาก..
ปวงพลังแห่ง*พุทธธรรมทายาทรังสี*
ที่..
พลีพร้อมใจกันมาบวชรวดเดียวกันถึงหกสิบสองรูป
พลังจิตนั้น
จึง..
พลัน...สว่างไสว..ดั่งมณีดวง ช่วงโชติ โรจน์รุ่งรัศมี
ประดุจรัตนมณีแห่งนาคร ...


ให้...
ดวงใจอรชร..ในนาทีนั้น
เกิดปิติบุญและอุ่นเอิบไปด้วยความงามจิตงามใจ
เกินหาค่าคำใดมาบอกกล่าว

ในพราวพราย..
จากอัญมณีชีวิต..อันแสนนิดหนึ่งน้อยนี้
ที่ได้สัมผัสพบเห็น...


และ..
หวังเพียรพลี
ทุกลมหายใจนี้ให้เพียงคิดใฝ่ดี  พูดดี ทำดี 
และ..
พร้อมพลีให้...ผองเพื่อนมนุษย์อย่างมิสิ้นสุด...รัก

มิ...สิ้นสุดหยุดศรัทธา..ในคำสอน
อันคือ*อมตะนิรันดร์*...
ในสัจจะธรรมแห่งพระบวรศาสนา


เพื่อ..
ให้ชีพชนม์ทุกผู้คนบนผืนหล้า...
ยังคงดำรงคงความดีประดับฟ้าไทยไปตราบชั่วกาล...
และ..
ให้สมกับการ
ที่ได้เกิดมาในร่มฉัตรร่มพระรัตนตรัย
ได้มีโชค รู้ดับโศกพ้นทุกข์
จากทุกคำสอนของพระบรมศาสดา..พระพุทธศาสนา


ดั่งบัวขาวพราวหล้า...
ให้..
หลุดพ้นจากพันธนาทุกข์โคลนตม
เป็นบัวพ้นน้ำบัวบูชาชูช่อไสว
รับทานธรรมนำมาส่องนำทางใจ 
ไปตราบชั่วชีวีนี้...ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ...!!!
..........................




http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song206.html
อันเป็นดวงใจ ครูทูล ทองใจ

ฉันมีเธอนั้นอันเป็นดวงใจ
โอ้เป็นความรักยิ่งใหญ่
เหมือนดาวรักใคร่ฟากฟ้า
เหมือน ดังแสงสุริยา
สาดแสงส่องพื้นภพหล้า ลงมาจูบทานตะวัน
เห็นใจเถิดฉันนั้นยังดำรง
เทิดทูนความรักสูงส่ง
ซื่อตรงไม่เปลี่ยนแปรผัน
หวัง ใจได้คู่เคียงกัน
ตราบนิรันดร์มั่นหมายสวาท
เป็นทาสความรักเสมอ
อันเป็นดวงใจมานานแรมปี
เป็นราชินี แห่งใจฉันนี้คือเธอ
ทุกๆ ค่ำเช้าเฝ้าละเมอ
จิตใจพร่ำแต่เพ้อว่า รัก รักเธอรักจริง
ฉันรักเธอเหมือนดังดวงชีวา
ไม่เคยจะคิดเลยว่า สัญญาแล้วจะทอดทิ้ง
เห็น ใจฉันบ้างยอดหญิง
มอบหัวใจให้แล้วทุกสิ่ง
ด้วยความสัตย์จริงเสมอ
แด่เธอ ผู้เป็น ดวงใจ...


				
24 ธันวาคม 2548 07:56 น.

ดอกพุทธ..บานบนลานใจ..!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song373.html
(บัวขาว)
..............


ค่ำนี้...
ดวงเพิ่งดูรายการทีวี...
ที่นานทีปีหนจะได้นั่งตั้งใจดู
ชื่อ ..*รายการกรองสถานการณ์*
ที่..
เชิญท่านรมต.มาสัมภาษณ์
ถึง...การจัดงาน...
ย้อนรอยรำลึกนึกอาลัยถึงโศกนาฎกรรมสึนามิ
ที่...
รายละเอียดจะไม่นำมาบอกเล่ากล่าวมากมาย
เพียงแค่รับทราบไว้ว่า...


เพราะ...
เหตุการณ์ภัยพิโรธนั้น
ทำให้ประเทศชาติต้องสูญเสียรายได้
จากการท่องเที่ยวเป็นแสนล้าน
และ..
รัฐบาลต้องฟื้นฟูจัดการหลายด้านหลากปัญหา
ทั้ง..
ต้องเยียวยาสมาน
ทั้งทางด้านจิตใจผู้คนและทางด้านธรรมชาติ
ที่...
พินาศย่อยยับ
ในเช้าวันที่26ธันวาคมปีที่ผ่านมา..อย่างน่าเศร้าใจ
หลังการเฉลิมฉลองวันคริสมาสผ่านลาไป..
ไม่ทันข้ามวันข้ามคืน

และ
ฝากทั้งโลกหล้าแลคนไทย
ให้แสนสะเทือนใจสะเทือนขวัญ
พร้อม..
กับหยาดน้ำตาที่ระรินหลั่ง
จากแทบทั่วทุกมุมโลก...ที่แสนโศกสุดพรรณนา

กับ..
ประกาศิตจากฟ้าดิน 
วนมาสอนมวลหมู่มนุษยชาติให้ได้รู้ถวิล..
คิดคืนรักษ์...
ช่วยกันปกปักปกป้องโลก
ให้ยังเป็นไปตามครรลองครองความสวยใสแสนงาม
ไร้วิปโยคใดมากรายกล้ำ
 ให้เราได้มีลมหายใจอันแสนชื่นฉ่ำ ...
ใช่...!แค่คิดทำลาย...


แล้วยังไหนเล่า...
ที่ธรรมชาติ..
ได้มากวาดล้างผองชน..
คนในชมพูทวีป..ราวต้องคำสาป
ที่...
อินเดียปากีสถาน..
ให้จำพรายพลัดพรากตายจากกันนับหลายหมื่นคน
เพราะแผ่นดินไหว...


และ..
อีกทั้งภัยจากโรคไข้หวัดนก
ที่ย่างกรายดั่งมฤตยูร้าย..ที่ค่อยๆคืบคลานมา
อย่างน่าสะพรึงกลัว...ที่เราไม่ควรมัวประมาท
หาก..
ควรใช้ชีวีชีวิตอย่างเตรียมพร้อมอย่างรู้ป้องกัน
และ...
อย่างทะนุถนอมเอาใจกันและกัน
อย่างคนดีที่รู้คุณค่าแห่งลมหายใจนี้
ที่มีเวลาแสนสั้น
ควรใส่ใจน้อมนำธรรม
 และธรรมชาติมาวาดวงไว้ในดวงใจ


ดั่งสอนสัจจะใจบทเรียนใจ
ให้ในดวงใจเริ่มครวญ
หวนคิดมีจิตสำนึก
คิด..
*ปลูกต้นใจ*
ให้แสนงามไสว...
ให้จิตวิญญาณรู้เงียบงาม
ใช่...!เพียงรักสนุก...
เพราะ..
ทุกข์มากมายแห่งคนบนผืนโลกกำลังอยู่ชิดใกล้กับเรา
แค่เส้นยาแดงแฝงมาทุกรูปแบบ..แล้ว



*ต้นใจ...*ต้นไม้..ที่ควรพลีดวงชีวิต
ปลูกให้งามดั่งนิรมิต
ใช้เพียงจิตวิญญาณ...ที่รู้รักษ์ธรรม ธรรมชาติ
ให้..
แตกช่อกอหวานก่อกิ่งก้านตระการจิตหวัง
ดั่งดอกดวงชีวันพรายเพชรพราวราวอัญมณี..
ที่จักก่อพลังเรียนรู้..
ให้..
ดวงชีวาชีวิตได้แนบสนิทแบบพึ่งพาพึ่งพิง
อิงโอบไปด้วยกัน..กับธรรมชาติ
เพื่อลบโศก..ฝัน...
อันนับวันจะลาเลือน
มาเตือนใจให้ช่วยซ่อมแซม..โลกใบนิดใบน้อยนี้
ให้ยิ่งทวีดีขึ้น..ดีขึ้นและดีขึ้น...


*ต้นใจ..*
คือต้นไม้..ที่รอจะเติบใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขา
จากนวลเนื้อใจ ที่พร้อมพลีให้ดั่งดินดีดินงาม
ที่ณ...บัดนี้..ยุคนี้..เหลือน้อยเต็มทีเต็มทนแล้ว

เพราะ..
ทุกผู้คนมัวพลีกมลให้เพียงรักษ์วัตถุ...
รู้เพียงให้ดวงดอกชีวีงาม
ประดับประดาร่าง..ณ..ภายนอก
พากันสวยรวยหลอกพอกพากันพริ้งพราว 


หากทว่า..
น่าจะหนาวเหน็บ...ร่าง ใจเสียมากกว่า
หากว่าโลกนี้...
สิ้นแล้วซึ่งลมหายใจสดชื่น

มิให้ตื่นขึ้นมา..
ได้ดอมดมพรมจูบดวงดอกไม้
ได้มี..
ดวงตาเห็นฤดูกาลหลากสีสัน...
มีพืชพรรณเขียวสดสล้างในผืนดินอันแสนน่าภาคภูมิใจ
ที่ทั่วโลกต่างเทใจพากันอิจฉา...


เพราะ..
ฟ้าดินเมืองเขา...
มีเพียงสีเทาทึมด้วยม่านหมอกและหิมะ...
ที่ต้องพากันเพียงซุกตัวในบ้านในนานเดือนนานวัน
จนแทบสิ้นไร้ฝัน ...
ไร้สีสันพรรณรายใด
ให้ดวงใจแสนสราญรมย์..
อย่างคนไทย 

ที่น่าจะพลีพร้อมใจพรายพรมจูบไปทั่วแคว้น
แดนอิสานเหนือใต้
*แดนไทแดนทองแดนธรรม*
แดนงามล้ำด้วยวัฒนธรรมประเพณี
มากล้นค่า
ที่ใจไทยทุกทุกดวง
น่าทรุดร่างลงกราบไหว้บูชาผืนพสุธานี้
ที่เรียกว่า..ผืนดินแม่มาตุภูมิ..
ด้วย..
ความภาคภูมิคารวะ..ปิติใจ
และ
แสน..ซึ้งในพระคุณอันอุ่นอาบเอิบ..เป็นยิ่งนักแล้ว


ให้พลังดวงชีวี
ที่เรานี้ได้รับความหวังหวานบานเบิกใจ
ด้วย
อวลอากาศอันสวยใสแจ่มกระจ่าง
ฟ้า...
ที่แสนสว่างสะอาดพร่างด้วยดวงดอกแดด 

ที่เรา.....
แสนโชคดีได้ เกิดมาบนผืนหล้านี้ 
ที่แสนผ่องพิไลพิลาส..มีอวลอากาศเอื้อ
จนก่อเกิดหลายฤดูกาลให้มาฝากพลังใจหวังหวาน


ทั้งเหมันต์คิมหันต์วสันตฤดู
ให้มีมวลหมู่แมกไม้..ทั่วทั้งไพรวัลย์
ได้พลันสะพรั่งบานผลิช่อล้อเรียวแดด
อีกทั้ง...
ให้มวลหมู่แมลงภู่ผึ้งภุมรินทร์
ได้พากันมาบินตอมหอม
คลึงเคล้ากลาง..กลีบเกสรแสนหวาน
เพื่อ ..
ได้เติบตามแตกช่อก่อพันธุ์..ดำรงรัก
พิทักษ์สืบต่อวิญญาณไพร 
ให้ธำรงไปตราบชั่วนิจนิรันดร์


ให้มี สายน้ำรักนิรันดร์ ใสสวย
ได้ช่วยชาวนา
ให้หว่านกอข้าว
 ให้ท้องนาพราวเหลืองสุกปลั่งดั่งทองทา
ให้ชนทั้งหล้าได้อิ่มท้อง


มีดวงตาจ้องมองสีสันที่แตกต่าง 
พร่างไสวไปทั้ง ราวไพรราวป่า 
ที่...พาละออตาละมุนใจ
ในทุกสี  มีมากมาย คล้ายมาประดับหล้า 
ให้ฟ้าไทยได้ไสวสว่างพร่างพรายไปด้วย  
สีสันแสนงาม ..


ทั้งเขียวข้าว ในนา เขียวดอกผักตบชวา
เขียวเหลืองเขียวไพล  รำไรน้ำตาลทองอุไร   
สีทองคำ   สีสังข์   สีน้ำตาลแดง(สีพิกุลแห้ง)   
สีงาช้าง  สีดอกมะลิตูม  
สีแก้วมุกดา   สีสังข์   
สีหวายตะค้า(น้ำตาลอ่อน) 
สี แดงดั่งหม้อใหม่  สีแดงไฉไล
สีเปลือกมังคุด...


 และ
อีกหลากสีสันเกินพรรณนา 
ที่ฟ้าดินหยิบยื่นมาให้ผืนดินแห่งนี้...
ที่มีฟ้าพุทธภูมิคลี่ครอบ
ได้โอบกอดรัดร้อยทุกผองชนคนบนผืนหล้า 

ให้รู้รักษ์...
มีดวงตาเห็นธรรม เห็นธรรมชาติ..อันแสนงามล้ำเลอค่า
ในแผ่นดินอุดมเรืองรองผ่องผุด
ด้วยพืชพรรณผักผลไม้

ราว...มีขุมทรัพย์นับแสนในดิน 
ให้มิสิ้นสุดหยุดขยันค้นหา..
เพื่อโลกหล้าและเรา...
ได้ดำรงชีพชอบประกอบกุศลผลบุญ 


ได้ดำรงตนให้งามพร้อม
รู้น้อมพลีในศาสนา..
อัน..คือรากเหง้ารากหญ้า
ที่แสนเงียบงามสงบสุขมานานช้า 
มาหลายพันปี ที่จักไม่มีวันเสื่อมสลาย..


หาก...
เพียรสอนสัจจะให้จิตเราได้ค้นพบ
และ...
ประสบความรู้จักสงบสมถะ
รู้คุณค่าวิถีไทยวิถีทุ่ง
รู้รักรวงเรียว ราวมีดาวรุ้งประดับใจดวงทอง..
ไปตามครรลองวิถีแบบชาวทุ่ง ชาวนา ชาวไร่


ที่รู้ว่า คนเรานั้น...
ยิ่งพากันตะเกียกตะกายไขว่คว้า
ทะเยอทะยานอยาก...มากไม่รู้พอเพียงเพียงพอเท่าใด

ก็เท่ากับ...
*ล้อเล่นกับความตาย*
ที่มิอาจจะรู้ว่าวันใดภัยธรรมชาติที่แสนยิ่งใหญ่
จะย้อนรอยถอยวนมาสอนบทเรียน
อีกคราและอีกคราจนกว่าจะหลาบจำ
หาก..
ยังมิสิ้นสุดหยุดคิดทำลายได้ทำลายดี 
จนกว่าบางทีกว่าจะสำนึกได้ก็สายเกิน


เราจึงมิควรเพลินเดินหลงโลกย์หลงทาง
อ้างว้างเหว่ว้า ..
ควรพากันตระหนักชัดถึงภัยพิบัติ


และ...
เพียรปลูกฝัง*ต้นใจ*
ให้เติบไสวในใจอนุชนรุ่นหลัง
เพียรฝังรากแห่งความรักเงียบงามสงบ

รู้ค้นพบความพอดีพอเพียง 
เลี่ยงโลกย์วายวุ่น..
ที่นับวันจะกรุ่นร้อนทุรนไปทุกหย่อมหญ้า
ด้วยไฟกิเลสตัณหาที่ลุกลามไหม้ไร้ยั้งหยุด
หากมวลมนุษย์ยังไม่ซึ้งว่า...
ใกล้ถึง..
วันเวลาแห่งความตายแตกดับ
ต้องลับลาจากโลกหล้า
ฟ้าแสนงามเข้าไปทุกทีๆ


คนดี..
มาสิ..มาพลีใจ 
ปลูก*ต้นใจ*ในวันนี้...ตรงที่นวลจิตเนื้อดี คิดดีคิดได้ 
ในใจเราก่อน...

เพื่อ..
ลบร้อนลบโศก...
และ..
พลีแด่โลกเข็ญ...ได้เย็นฉ่ำ
ราวมี..
สายน้ำรักนิรันดร์...
ระรินพร่างกลางกลีบเกสรบัวบาน
ที่..
ชูช่อตระการหวานไสวเหนือน้ำใสในบึงกว้างในบึงใจ..
ไปตราบชั่วฟ้าดินสลาย... นะคนดี นะดวงใจ..!
............................



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song373.html
บัวขาว

เห็นบัวขาว พราวอยู่ ในบึงใหญ่
ดอกใบ บุปผชาติ สะอาดตา
น้ำใส ไหลกระเซ็น เห็นตัวปลา
ว่ายวน ไปมา น่าเอ็นดู
หมู่ภุมริน บินเวียนว่อน
ลอยร่อน ดมกลิ่น กลิ่นเกสร
พายเรือน้อย คล้อยเคลื่อน ในสาคร
ค่อยพาจร ห่างไป ในกลางน้ำ
หมู่ภุมริน บินเวียนว่อน
ลอยร่อน ดมกลิ่น กลิ่นเกสร
พายเรือน้อย คล้อยเคลื่อน ในสาคร
ค่อยพาจร ห่างไป ในกลางน้ำ

				
22 ธันวาคม 2548 16:43 น.

ใจเจ้าดวงดอกไม้..ซ่อนงามให้อยู่ณ..ที่ใด..!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song100.html
(แต่ปางก่อน)
.............


กับ..
วันปลายฝนต้นหนาว
ที่..
อากาศหม่นมัวเทาทึมทอดทับ
ไปทั่วทั้งอำเภอเล็กๆไกลปีนเที่ยง
ที่มาบัดนี้..
กลายกลับเป็นเมืองอันเรืองรุ่งด้วย
พลังกระทุ้งจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ที่มีเงินงามมาใช้งามเงิน

ที่ดาหน้าดารดาษจากหลายชาติหลายภาษา
มาจากทั่วทุกมุมหล้ามุมโลก
ที่บ้างอาจจะหนีโศกหนีเศร้า
หนีรานร้าวหนาวรุก
มาเติมสุข..ฤามาเพิ่มทุกข์ทุกรสชาติ
ให้มิเสียชาติเกิดก็มิอาจจะรู้ได้


อีกครา..
ที่โลกตรงหน้าผมสว่างไสว
ราวมีดวงดอกไม้ไพรแสนหวาน
มาบานตระการณ..กลางบึงใจบึ้งใจ

ทั้งๆที่อากาศรายรอบ
และดวงใจผมแสนเหนื่อยล้าและหม่นมัว
พอกันกับสายฝนแลลมบนปนฟ้าสลัว
ที่กำลังพัดพราย
ให้..
อวลดอกไม้ไทยชิดใกล้ริมหน้าต่าง
พากันพร่างกลิ่นตรลบหอมอบอวลไปทั่ว...


เพราะ
เธอ..นั่นไง..ผู้หญิงในเงาใจผม
กำลังเยื้องกรายมาในชุดผ้าถุงลายดอกไม้สีฟ้าแจ่ม
และ...
ผมเอง...ที่เติมแต้มให้ในภาพจริงนั่น
มีดวงดอกลั่นทม
หรือไม่ก็...
ชบาแดงทัดริมเรียวแก้มแซมผม
อย่างในมโนนึก

เมื่อย้อนรอยรำลึก
นึกถอยหลังไปถึงเมื่อครั้งแรกที่ได้พบเธอ


เธอ..
ที่ผ่านเผลอหายไปกับกาลเวลา...
มานานแสนแสนนานราวชั่วกาลกัป์ปกัลป์
ฤาสักร้อยพันปี
ที่พรากลาจากชีวาชีวิตผม
ทิ้ง...ให้ใจหมองหม่น
ทนอยู่กับการรอคอยที่ดูราวกับไม่มีวันสิ้นสุด....


หาก...
แล้ววันนี้เธอคนดี ก็กลับมา
กับฟ้าแสนเศร้าพราวด้วยฝนฉ่ำ
ด้วยลมพายุที่พัดคลื่นในทะเลขวัญแห่งหอมห้วง
ให้ยิ่งรุนแรงน่ากลัวในรอบหลายสิบปี


เธอคนดี..
ที่คล้องสายสร้อยลายหอยงาม 
และ...ตามติดมาคือรอยยิ้มพริ้มพักตร์
มีเสน่ห์ตามแบบฉบับลีลาเธอ...
ที่ใครยากจะเลียนแบบได้
คล้าย..
มีหนึ่งเดียวในโลก..
ไม่ว่าวิธีพูดจา
ฤาว่าทัศนในการมองโลกแลวิถีชีวิต
รวมทั้งวิธีแผกคิดฝากคำ


เธอ..มาติดต่องาน..เรื่องที่ดินเธอ
ที่วันนี้มีมูลค่ามหาศาล 
หากเทียบกับหลายปีที่ผันผ่านไป
ที่เธอเคยเล่าใครๆว่าเธอแสนซึ้งค่า
และ..
กราบขอบพระคุณฟ้าดิน
ที่ทรงมีเมตตาเปิดดวงตาสวรรค์ประทานพร
เป็นของขวัญของกำนัลให้แด่เธอ


ผู้เชื่อมั่นศรัทธา
และ..
แสนกตเวทิตาต่อแผ่นดินเกิด
ที่พร้อมทำความดีพลีใจให้แด่ทุกผู้คนที่ยากไร้
อย่างไร้ร้องขอ มานานวัน..
ปันพลีมานานหลายปี
จน..
บางคนบางใครที่แสนเป็นห่วงเป็นใย
ที่ไม่เข้าใจถึงความคิดเธอ


มักต่างพากันเตือนว่า
สักวันทุกอย่าง
ที่หมายถึง..
ความหวังอันพริ้งพราย
แสนสุขสบายแสนงาม..พร้อมเงินดี
จะ..
หลุดผลอยลอยพลี ไปต่อหน้า 
หากว่าเธอใจดี มีเมตตา
และกรุณาปรานีต่อทุกชีวี
ที่ชิดใกล้อย่างมิมีวันสิ้นสุดเช่นนี้


หากเธอ  ..
ก็เพียงแต่เก็บคำและคำปรารถนาดีไว้ในใจ
เธอ..มิตอบโต้ผู้ใด
ด้วยใครเล่าจะเข้าใจถึงงามดวงใจใครเล่ารู้นี้
และ..
สัจจะธรรมอันแสนยิ่งใหญ่
ที่เธอสัมผัสได้ด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณ
ที่เธอเองเคยเพียรพยายามพลีบอกบางคน
และ...
เพียรสอนผมเสมอมา
ให้รู้คุณค่า ฟ้าดิน ศรัทธาอย่ารู้สิ้นสร้างพลังบุญ
ที่จะกลับมาน้อมหนุนนำ

ให้ ก่อเกิดคำล้นค่า
 คำที่ว่า*ยิ่งให้ยิ่งได้*ราวสายธารปิติเกษม
ให้ชีวิตได้พบเพียงความอิ่มเอมในทุกสิ่ง


ผม...คิดหนัก
คิดศรัทธารักภักดิ์เธอ
และ..
แน่นอนหนนี้
เธอหวนย้อนคืนมา
สอนสัจจะธรรมผมอีกคราครั้ง
เพราะผมย้ายกลับมาในตำแหน่งหน้าที่สำคัญ
ที่มีผลประโยชน์นับร้อยล้านพันมากองวาง
ให้จัดการตรงหน้า

มีแผ่นดินทุกธุลีหล้าแห่งเกาะสวาทหาดสวรรค์นี้เป็นเดิมพัน
มาทายท้ามาทดสอบความโลภ 
ฤาเมามันส์ในมนต์มายาเงิน..อันได้มาโดยมิชอบ
หากคิดจะประกอบกรรมทุจริตคอรัปชั่น
หาก..
มิอายฟ้าดินสิ้นแล้วซึ่งคุณธรรม


ผม..งงงันเมื่อดวงตาสวรรค์ราวรับรู้
ราวจัดสรรส่งเธอมาราวจับวาง
ให้มาเคียงข้างได้พบเจอ
 หลังจากที่ผมหลงละเมอ
รอวันฝันเก้อ..มิเป็นจริงมาแสนนานมานานแสน
ในทันที่ที่...
ผมถูกย้ายมารับตำแหน่งราวฟ้าดินแกล้งมาเตือนสติผม


หัวใจผม..ในนาทีนี้ ในวันนี้...
จึงอลวนไปด้วยคำถาม
คอยย้ำถึงผิดชอบชั่วดี
ให้มีคุณธรรม...

ว่า....
ผมนั้น..จะเลือกทางเดินชีวิตไปในทิศทางไหน
ที่จักตราจำไปทุกภพชาติ
หากพลาดผิด...ราวมีนรกรอ
หรือ..
จะขอรวยแค่ชาตินี้... ยอมพลีสิ้นศักดิ์ศรี
และทุกอย่างในชีวีเพราะน้ำเงินงาม
ยอมขายแม้เกียรติยศ
ขายคำว่าสุภาพบุรุษชายชาตรี
ผู้รักชาติแสนทรนง คงมั่น ..
อันจักไม่ยอมทำสิ่งชั่วสิ่งเลว
เพียงให้เปลวเงินลามไหม้ 
คล้ายตายก่อนตาย...ด้วยความรู้สึกอัปยศและสำนึกผิด
ไปตราบชั่วชีวิตนี้ ที่ยากย้อนหวนคืนให้แก้ตัว..แก้ใจ..



ผม...นอนฝันค้าง
ถึงร่างที่ผมได้พบ
 ได้รัดร้อยด้วยแรงรักแรงศรัทธาภักดี
ในราตรี..
วันที่เธอคนดีคืนหลังกลับมาสู่อัอมขวัญอ้อมใจ
ที่เธอมิได้ผลักไส 
หาก..
ในอ้อมใจอ้อมกอดนั้น
ผม...รู้ดีว่า..
เธอเพียงพลีให้ผมราวพี่ชายคนดี
มิได้หมายลามถึงความหวามไหว
ไปในทางสวาทหวามเสน่หาตามลีลาพระเอกนางเอก
ที่เธอเสกให้มีตัวตนขึ้นมา...


ให้มารับลีลา เพื่อให้เรื่องราวสวยงาม
 ในท่ามโลกแล้งไร้รัก
ไร้กระทั่งน้ำใจภักดิ์ไร้การไยดีซึ่งกันและกัน
ที่จะเอื้อโอบฝันและปันพลี 
เพื่อ..
ฝากสิ่งที่แสนดีแสนพิเศษพิสุทธิ์ให้แสนงดงาม
ในท่ามความสับสนของผู้คน

ที่..
แสนเหงากมลหลงเเหว่ว้า อย่างน่าเห็นใจ
อย่างน่าเข้าใจ...
ที่สัมผัสที่ให้ด้วยใจละเมียดละมุนนั้น
ไม่ว่าจะกอดผู้ใด ใครก็ตามคือการหยิบยื่น
ความเอื้ออุ่น ให้รู้รักละมุนเป็นดั่งพลังใจ
ปลอบประโลม...


ผม...แสนฉงนว่าทำไมหนอ
ฟ้าดินที่นี่..
จึงพลีเมตตามากรุณาส่งเธอมาในทันทีทันใด
เพื่อเหตุใดไฉนเล่า
ฤา....
ให้สาวเจ้ามาพลีฝากค่าคำ
ที่ณ..บัดนี้ กำลังตอกย้ำให้ผมสับสน


และ..
กำลังตั้งคำถามกับใจตนเองว่า
ผมจะเลือกชีวี
ที่มีเกียรติยศศักดิ์ศรีแบบข้าแผ่นดินผู้สัตย์ชื่อ
ถือมั่นในความถูกต้อง
หรือ..
เลือกที่จะร่ำรวยด้วยเปลือกนอก หลอนลวงหลอกโลก
หาก..
ฝังรากโศกเศร้าลึก
ราวมีนรกอยู่ณภายในใจ นานปี
และจนตราบชีพนี้จะลาลับ ดับดวง..
ที่จักไม่มีวันจะลาล่วงเลือนลืม..


ฉะนั้น..
ผม..จึงนอนตื่นด้วยฝันค้างในทุกค่ำคืน
กับ..
ความทรงจำหวานชื่นดายเดียวเดียวดาย
ในท่ามราตรี..
เมื่อ..
คิดถึงความดี ความงาม
ที่เธอเพียรพยายาม
ค่อยๆมาฉุดรั้ง

ให้ผมตระหนักถึงคำว่า
*ค่าของคนนั้นอยู่ที่ผลของงาน*
ที่ฝากความดีพลีความยุติธรรม
ไม่ล่วงล้ำรับสินบน 
เกิดมา มีกมลบริสุทธิ์
ให้สมกับเป็น..*ข้าแผ่นดินในถิ่นพุทธ*
ได้เกิดมาในร่มธรรมแสนพิสุทธิ์ใส


 และ..
ในร่มฉัตรเพชรอันแสนยิ่งใหญ่
ไสวเย็นดับโลกร้อนให้พสกนิกรเย็นพระบารมี
ไปทั่วทุกหย่อมหญ้า

ราวหยาดน้ำพระทัยดั่งน้ำฟ้า 
ดั่งสายฝนที่ละหลั่งรินดับแล้งไร้
หมายให้ชื่น ให้ฉ่ำ เลิกระกำระทม

เป็นสิ่งที่ทั่วหล้าโลก 
แลสิ้นทั้งฟ้าดินอินทร์พรหม 
ต่างชื่นชมแซ่ซร้องในพระบารมี
ที่..
นับเนื่องมาถึงวันนี้ ครบหกสิบปีแล้ว..
*ที่ได้ทรงครองแผ่นดินโดยธรรม..*


และนั่น..
คือวาสนาบุญญาบารมี
ที่ผมนี้ควรจะเดินตาม*รอยเท้าพ่อ*
และ..
มิขอทำผิดคิดทรยศต่อชาติ
อันคือ..ความพินาศย่อยยับอีกยาวไกล
ที่จักฝังรากลึก


ให้ควรเปลี่ยนทัศนคติใหม่
ให้สร้างจิตสำนึกไทย
ที่เราควรเพียรปลูกฝัง
ให้..
ลูกหลานหลานเหลนโหลนไทยในภายหน้า
ได้กระทำดำเนินรอยตาม
ให้..
รู้รักความสงบงาม วิถีไทยวิถีทุ่ง 
ให้ยังคงมีทุ่งข้าวรวงเรียว
ไว้เลี้ยงผู้คนเพื่อก่อเกื้อกมลให้
รู้ค่าผืนดิน 
มิสิ้นสามัคคีมี..ความสมถะรู้พอดีพอเพียงเพียงพอ


ไม่ตกเป็นทาสประเทศนานาอารยะวัตถุ
รู้อยู่รู้รักธรรม..ธรรมชาติ 
แสนฉลาดล้ำ..แบบมีวิจารณญาณ

ให้..
กุลบุตรและกุลสตรียังคงรักวิถีไทยโบราณ
ยังงามพร้อมด้วย
ความรู้นอบน้อมถ่อมตน 
มีน้ำใจมีความอบอุ่นละมุนละไม 
อ่อนโยนอ่อนหวานแบบ ไทยไทย
 ที่ใครใครมา..ถึงเรือนชานยังต้อนรับ

ให้แขกทั้งไทยเทศ 
ได้รับความประทับใจ..
*จากรอยยิ้มอันแสนซื่อใส*
และชื่นใจ 
ในวิถีวัฒนธรรม ประเพณี..
อันเน้นย้ำเพียงความสงบสุข
ไปทุกยุคทุกสมัย ให้ยาวยืน.... 
ให้ชื่นใจไปนานเนานิรันดร์...


และ..
นี่คือ....
*ปณิธาณและความฝันอันสุงสุด*
ที่ผม..ได้รับ...มาจากนางใจนางในฝัน
จากมหัศจรรย์รักสิบห้าปีที่รอคอย..
อย่างมิน่าน้อยใจ
ในโชคชะตาฟ้าดินสิ้นอินทร์พรหมเลย..ทีเดียวเชียว..


มาตรแม้นว่า
 เราจะมิได้เกิดมาเพื่อครองคู่กัน
หาก...
เพียงจิตเรานั้นจะพันผูก
มาปลูกช่อแตกกอรัก 

ประดุจดั่งให้น้ำค้างธรรมรินรด
 ให้โลกนี้และจิตวิญญาณเรา
ที่จักล่วงเลยลาผ่านภพ
ยิ่งงดงามหมดจด...ปิติเกษมเกินค่ายิ่งกว่าเดิม...!

...............................


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song100.html
แต่ปางก่อน รณชัย-อัจฉพรรณี

ช....รอ คอย เธอมา แสน นาน
ทรมาน วิญญาณ หนักหนา
ระ ทม อยู่ใน อุ รา
แก้วกานดา ฉันปองเธอผู้ เดียว
ญ....เธอเอย แม้เราห่างกันแสนไกล
ชาย ใด ดวงใจฉันไม่แลเหลียว
รัก เธอ แน่ใจจริงเชียว
รัก เธอ รักเดียว นิรันดร์
ช...แม้ มี อุปสรรค ขวาก หนาม
ญ...ขอ ตาม มิยอมพลัดพรากจากกัน
ช....จะชาติไหน ไหน ไม่ยอมห่างไกล กัน
ญ...ดวงจิตผูกพัน รักมั่นมีไว้เพียงเธอ
ช-ญ....คง เป็น รอยบุญมาหนุน นำ
รอย กรรม รอยเกวียนหมุนเปลี่ยนเสมอ
ให้ เรา ได้มา เจอะ เจอ
ฉันและเธอพบกันร่วมสุขสมดังรอคอย

ช...แม้ มี อุปสรรค ขวาก หนาม
ญ...ขอ ตาม มิยอมพลัดพรากจากกัน
ช...จะชาติไหน ไหน ไม่ยอมห่างไกล กัน
ญ...ดวงจิตผูกพัน รักมั่นมีไว้เพียงเธอ
ช-ญ.... คง เป็น รอยบุญมา หนุน นำ
รอย กรรม รอยเกวียนหมุนเปลี่ยนเสมอ
ให้ เรา ได้มา เจอะ เจอ
ฉันและเธอพบกันร่วมสุขสมดังรอคอย
				
22 ธันวาคม 2548 09:16 น.

เจ้าช่อไม้ดอกเอ๋ย..เจ้าดอกขจร...!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3238.html
(นกขมิ้น)
...............


เหมือนนกขมิ้นบินเดียวดายไปทั่วหล้า
ท่ามผืนฟ้าผืนดินดูแตกต่าง
ยังหนาวใจเหมือนนกไพรผู้หลงทาง
แสนอ้างว้างกลางทะเลโลกย์โศกลำพัง

เห็นทุกสิ่งวิ่งสู่ความเสื่อมสลาย
เห็นวุ่นวายสุขทุกข์มิสมหวัง
เห็นธุลีหล้าผองชนคนเซซัง
เห็นกระทั่งทุกสิ่งแท้แพ้พ่ายธรรม(ธรรมชาติ)

ธรรมชาติเตือนภัยไม่นานช้า
ให้หันมาหยุดทำลายก่อนกรายกล้ำ
ก่อนกลืนโลกฝากโศกนาฎกรรม
ไห้รินร่ำราวสายเลือดมิเหือดแห้งพสุธา

ไม่มี..ผืนหล้ามาตุภูมิหอม
ไม่มี..พวงพยอมดวงดอกไม้ทั่วราวป่า
ไม่มีแล้ว..สายน้ำนิรันดร์รักเนรัญชรา
มี..เพียงฟ้าโศกกำศรวลครวญสิ้นรัก

โลกคงเงียบเปรียบดั่งป่าช้ากว้าง
คงอ้างว้างวิญญาณผ่านภพภักดิ์
ไม่มีแล้ว..บทกวีแก้วแผ่วหวานมาทายทัก
ลมคงสงัด..โลกคงเงียบ..เฉียบเย็น.เป็น.นิรันดร์...!

................



ใกล้คริสมาส..ปีใหม่แล้ว..
พร้อมแสงไฟพริบพราวสีสัน
ราวสวรรค์บนพื้นพสุธา
ที่มวลมนุษย์บนผืนหล้าต่างพากันเฝ้าคอย
เพื่อรอรับขวัญ 
เพื่อเริ่มสุขสันต์วันเริ่มต้นแห่งชีวิตใหม่
หากใครเชื่อเช่นฉะนั้น ฝันรอเช่นฉะนี้

กับบทเพลงแสนดีแสนงาม
ที่ต่างพากันเปิดคลอรอวันเฉลิมฉลอง
หวานแว่วแผ่วพลิ้วไหวลอยละล่องท่องลมไปทุกถื่นที่
ทั่วหล้าทั่วโลกนี้..


สำหรับ..ชีวีเพลิน
ก็ยังคงเหมือนเดิมที่ต้องเผชิญ
เสมอเสมือนนกไพร
ที่ยังต้องทำหน้าที่บินไป บินไกล
บินเหนือหล้า
ดูผืนฟ้าที่แตกต่างดินที่แสนอ้างว้าง
เพราะ...
จำต้องแรมร้างพรากลา
ผืนดินในหัวใจในเลือดเนื้อ
รับ..
ลมพร่างพราวแสนเหน็บหนาว
เมื่อ..คิดถึงทุกดวงใจ
ถึง แผ่นดินอันแสนไสวด้วยรวงเรียว
เกรียวสายชลนทีทองระรินร่ำ *สายน้ำเจ้าพระยา*


เมืองไทยเมืองฟ้าพุทธภูมิทอง
เมืองแห่งร่มรัตนร่มฉัตรอันแสนเรืองรองส่องหล้า  
*มาตุภูมิแม่ มาตุภูมิธรรม..*
และ
กับหยาดน้ำตาระรินหลั่งเมื่อ..


ใกล้ถึงวันครบรอบปี
ที่ภัยสึนามิมาฝากฝังโศกนาฎกรรมไปทั่วโลก
ให้คนไทยหลายล้านคน
แสนโศก  สูญเสีย สิ้นหวัง สะเทือนใจสะเทือนขวัญ
จนถึงวันนี้...
และ..
นี่คือรอยแผลใจที่ยากยิ่งจะใช้สิ่งใดมาเยียวยา
และเอาชนะ ...


นอกเสียจากว่า...
ให้ตระหนักถึงสัจจะธรรม ที่ธรรมชาติกำลังมาวนสอน
หวังให้มวลมนุษย์
ที่...เปรียบประดุจดั่งธุลีหล้า 
ได้พากันตระหนักชัด
ถึงความพินาศย่อยยับ หากยังไม่รู้การหยุดยั้งทำลาย

บทเรียนที่..
กรายใกล้เข้ามาทุกขณะ 
ไม่ว่าภัยแล้ง
น้ำท่วมหรือคลื่นยักษ์ 
แผ่นดินไหว
และ
แม้นแต่ทรัพยากรป่าไพร น้ำมัน
ที่..
กำลังจะมลายหายไป หมดโลกไป
จนในที่สุดต้องรู้หยุดรู้อยู่
รู้เรียนรู้การใช้ชีวีคู่ธรรมชาติแบบพึ่งพาพึ่งพิง
แบบพอเพียงเพียงพอแบบชลอทุกทรัพย์ในดิน
สินในน้ำในท่ามจิตให้รู้รักษ์ธรรม


รู้น้อมนำมาใช้เพื่อยังประโยชน์ มิใช่การกอบโกย
แล้วโปรยหว่านพิษภัย มลพิษไปทั่วหล้า ทั่วฟ้า
ที่...
ไม่นานช้า
ก็จักย้อนรอยมาทำลายวิถีชีวิตมวลหมู่มนุษยชาติเราเอง
หากยังมิเกรงกลัวอำนาจแห่งฟ้าดินน้ำลมไฟ.....

 ที่แสนยิ่งใหญ่เกินจักเปรียบประมาณ..!

................



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3238.html
นกขมิ้น ..ดิอิมพอสซิเบิ้ล 

ค่ำ คืน
ฉันยืนอยู่เดียวดาย
เหลียวมองรอบกาย
มิวายจะหวาดกลัว
มอง นภามืดมัว สลัวเย็นย่ำ
ค่ำคืน เอ๋ย ฮืม
ยามนภาคล้ำไป ใกล้ค่ำ
ยินเสียงร่ำ คำบอก
เจ้าช่อไม้ดอก เอ๋ย
เจ้าดอก ขจร
นก ขมิ้น เหลืองอ่อน
ค่ำแล้ว จะนอน ไหน เอย
เอ๋ย เล่า นก เอย
อก ฉัน ทุกวันเฝ้าอาวรณ์
เหมือนคนพเนจร
ฉันนอนไม่หลับเลย
หนาว พระพายพัดเชย
อกเอ๋ยหนาวสั่น สุดบั่น ทอน
ฮืม
ยามนี้เราหลงทาง กลางค่ำ
ยินเสียงร่ำ คำบอก
เจ้าช่อไม้ดอก เอ๋ย
เจ้าดอก ขจร
ฉันร่อนเร่ พเนจร
ไม่รู้จะนอน ไหน เอย
เอ๋ย โอ้ หัวอก เอย

บ้าน ใด
หรือใครจะเอ็นดู
รับรอง อุ้มชู เลี้ยงดูให้หลับนอน
นก ขมิ้น เหลืองอ่อน
ค่ำไหน นอนนั่น
อกฉัน หมอง ฮืม
ทนระกำช้ำใจ ยามค่ำ
ยินเสียงร่ำ น้ำตก
โอ้หัวอก เอ๋ย
โอ้อก อาวรณ์ ฉันไร้คู่ ร่วมคอน
ต้องฝืน นอน หนาว เอย
เอ๋ย โอ้ หัวอก เอย
เมื่อ มอง
หมายปองก็แลเห็น
หวิวในใจเต้น
เหมือนเป็นเพียงแต่มอง
เหมือน พบรัง จะครอง
แต่หมองเกรงที่
หวั่นจะมีเจ้าของ
ฮืม
ฟังสำเนียงเสียงเพลง
ครวญคร่ำ ใครหนอร่ำ คำบอก
เจ้าช่อไม้ดอก เอ๋ย
เจ้าดอก ขจร
นก ขมิ้น เหลืองอ่อน
ค่ำนี้ จะนอน ไหน เอย
เอ๋ย นอน ที่นี่ เอย... 
 
  



				
19 ธันวาคม 2548 22:32 น.

พอ...!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song18.html
แสนแสบ
................


พอกันทีวันนี้นะที่รัก
พอเพียงรักเพื่อช้ำแล้วเลยผ่าน
แสนโศกใจศรัทธาขวัญรอมานาน
ภักดิ์ผันผ่านนานปีคือมายา

เราจากกันวันนี้นะที่รัก
ไม่ต้องทักต้องถามตามห่วงหา
มันสายเกินหันหลังกล่าวคำลา
โลกเหว่ว้าวิปโยคแสนโศกใจ

ฉันเดียวดายดายเดียวเปลี่ยวและเหงา
เหมือนหลงเงาหลงฝันหวั่นหวามไหว
รอนาทีสบตาเศร้าเลือนหนาวใจ
แล้วทำไม....ยิ่งเหน็บหนาวเศร้ากว่าเดิม....!!!!!!
...................



พอ...ชื่อพอเพียง
หากวันนี้กลับทำบางสิ่งที่ไม่เพียงพอ
และไม่เหมือนชื่อพอเพียงที่แสนเป็นมิ่งมงคล
เพราะวันนี้พอ..กลับวอนขอ..ความเมตตา
จากคุณ..คนดี 


คนที่สอนพอเสมอมาว่า..
ทำอะไรกับใครแล้วอย่าคาดหวัง
หากเราคิดว่าทำดีแล้วก็ต้องได้ดี
ไม่มีวันที่ปลูกมะม่วงมันส์แล้วจะกลายพันธุ์เป็นแตงโมไปได้..

แต่..นาทีนี้
พอ..ขอเถียงเลี่ยงบาลี ว่าสิ่งที่คุณพูดมันไม่ถูกไม่จริง
เพราะ..
พอเพียรปลูกกอรักรินรดด้วยน้ำรักภักดี..พลีให้
แล้วไยดัน..กลายกลับร้าย..กลายเป็นกอระกำ...ให้แสนช้ำตรมไปเสียได้
คุณว่าจริงไหม...ใช่ไหมล่ะ พอขอถาม..สักคำ...

พอ..เลยไม่เข้าใจ ...และจะไม่มีวันเชื่อว่า
ในความรักนั้นมีเหตุผลอีกต่อไป

พอ..
ให้รักด้วยความดี แต่บางทียิ่งดียิ่งให้
กลับได้มาซึ่งความระทม ขมขื่น
ที่คุณหยิบยื่นมาให้อย่างไร้ไยดี..ไม่มีหัวใจ..ไม่มีน้ำใจ..
และ..
มาตรแม้นรักนี้ที่พอพลีให้ไป
เพียงเพื่อสอนสัจจะใจ
ให้รู้มีน้ำใจสวยใสเย็นแสนงาม
รู้การกตเวทิตาคุณ
รู้เกื้อการุณย์แด่โลกและเพื่อนมนุษย์
แด่ผองชนคนยากไร้
ให้ได้รับน้ำรักรินรด
หวัง..
แตกช่อ
ก่อกมลกระจายตระการ
ผ่านดวงดอกความดีที่แสนงอกงาม
ที่...
คือความศรัทธาความเมตตา
อันแสนมากล้นค่าที่แสนจีรัง..ยั่งยืน..
เพื่อคืนให้โลกนี้ที่ดีกว่า..
แต่..
คุณก็ยังทำหน้าที่มิได้


ฉะนั้นแลเช่นฉะนี้
พอ..จึงใช้สมองตรองอีกที..ว่า...
นับเนื่องจากนาทีนี้..
ในจิตดวงดี ดวงพอ..ของพอ..ควรพอ..เสียที..
กับ...รักนี้..ที่เคยให้คุณคนดีด้วยหัวใจ..ซึ่งไม่มีหัวใจ..
ที่แปรใจ..ที่เปลี่ยนไปแล้ว..ใช่ไหมเล่าเอย...!

...........................




http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song18.html

แสนแสบ

อกพี่กลัดหนอง พี่หมองดั่งคลองแสนแสบ
เจ็บจำดังหนามยอกแปลบ แปลบ
แสบแสนจะทน
โอ้ว่ากังหัน ทุกวันมันพัดสะบัดวน
อยากจะรู้จิตคน จะหมุนกี่หนต่อวัน
ย่างเดือนสิบสอง ฟากคลองเจิ่งนองน้ำหลั่ง
อยู่ไกลกันคนละฝั่ง ฝั่ง ยังร้องสั่งกัน
สิ้นเดือนสิบสอง น้ำนองแห้งคลองขอดพลัน
สิ้นความรักจากกัน
เหมือนกังหันเปลี่ยนทางลม
แสนแสบ แสบแสนเปรียบแม้นชื่อคลอง
นี่คือโลงทองของเรียม ขวัญ เขาฝากชีพจม
แต่คลองยังช้ำ เหลือไว้แต่น้ำขุ่นตม
พี่จึงช้ำจึงช้ำขื่นขม ขม ตรมเสียกว่าคลอง
เจ้าจากพี่มา เจ้าลืมทุ่งนาฟ้ากว้าง
เจ้าลืมฟากคลองสองฝั่ง ฝั่ง ลืมทั้งทุ่งทอง
จวบจนบัดนี้ มิเห็นมีน้ำเจิ่งนอง
ชื่อว่าแสนแสบคลอง
เหมือนคนหมองต้องแสบแสน

เจ้าจากพี่มา เจ้าลืมทุ่งนาฟ้ากว้าง
เจ้าลืมฟากคลองสองฝั่ง ฝั่ง ลืมทั้งทุ่งทอง
จวบจนบัดนี้ มิเห็นมีน้ำเจิ่งนอง
ชื่อว่าแสนแสบคลอง
เหมือนคนหมองต้องแสบแสน


				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพุด