31 กรกฎาคม 2548 23:13 น.

แด่บุญชิดใจ..นัยน์นา..

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4603.html


ฟ้าไร้ดาวหนาวเมฆฝนมากี่คราแล้ว
หอมดอกแก้วยังคงพร่างกลางอุษา
มะลิวัลย์ยังพันเกี่ยวใครลับลา
ฟ้ายังคงเป็นสีฟ้าเฉกเช่นเดิม

ใครจะอยู่จะไปในโลกฝัน
คนช่างฝันสวรรค์รอพ้อพร่างเพิ่ม
ยิ่งเงียบงามทุกโมงยามวันเดิมเดิม
ถึงเหงาเพิ่มถึงเศร้าซ้ำยังย้ำคำ

โรแมนติกคนเดียวในเปลี่ยวร้าง
จุดเทียนพร่างสว่างหอมระรินร่ำ
สวดมนต์หน้าองค์พระพุทธิ์น้อมนำธรรม
ฝากน้ำคำดั่งน้ำค้างลงพร่างใจ

แล้ว...
พลีจูบกลางกลีบหอมดวงดอกพุด
หอมพิสุทธิ์ซ่อนพราวราวร้าวไหว
กลิ่นละมุนบุญเหลือพบงามใจ
สาวบ้านไพรใจบ้านนาฟ้าประทาน

สยายผมฟังเสียงฝนยามโพล้เพล้
โอ้ละเห่จำปีพรากจากกอหวาน
ลั่นทมพร้อมยอมระทมบานตระการ
ช่อเศร้ารานหากไยเล่ามิเศร้าใจ

ฟังเพลงเศร้าเคล้าบทธรรมนำมาสอน
สัจจะย้อนสอนจิตว่างกระจ่างใส
ดั่งบัวบานไกวกิ่งก้านพ้นโคลนใจ
บานไสวรอแสงทองส่องนำทาง

แล้วยิ้มเศร้าราวเย้ยโลกโศกและสุข
พบวิมุตติหลุดพ้นพบทางว่าง
กระจ่างจิตชีวิตหนึ่งซึ้งพบทาง
ค่อยก้าวย่างตามรอยมิคอยใคร

ภาวนาทุกนาทีเพียรมิท้อ
แตกยอดกอสมาธิผลิไสว
ตายก่อนตายฝึกเอาไว้รู้ทำใจ
จิตเย็นใสไม่ห่วงกายไร้ไยดี

ในราตรีที่ไร้ดาวพราวพร่างฟ้า
พบแสงจ้าดาวธรรมนำชีพนี้
ดั่งเรือน้อยลอยลำไปกลางมหานที
ฝากชีวีพลีพร้อมยอมลำพัง

จะกี่ชาติกี่ภพจบสิ้นรัก
มิหมายภักดิ์รักผู้ใดไม่ขอหวัง
หมดวิบากมิปรารถนารักใดไร้จีรัง
พบฝั่งฝันนิรันดร์สุขทุกข์ไม่มี

นี่คือปณิธาณอธิษฐานจิต
ตราบชีวิตนิดน้อยในชาตินี้
ทุกลมหายใจใฝ่บำเพ็ญแต่กรรมดี
ทอดจิตพลีมิหลงทางห่างทางธรรม

ขอชิดบุญชิดใจมิไกลห่าง
ชิดรอยธารรอยทองระรินร่ำ
ชิดสายใจสายใยรักตามรอยธรรม
ชิดสวรรค์นำจิตว่างสร้างรอยบุญ...




www.thaipoem.com/forever/ipage/song4603.html

หัวใจถวายวัด 
พุ่มพวง ดวงจันทร์ 
หลวงพ่อ เจ้าขา
ช่วยแผ่เมตตาลูกหน่อยได้ไหม
ลูกนี้อาภัพอับโชคหรือไร
มีรักครั้งใด หัวใจเหมือนไฟร้อนรน
หลายคน ที่พบ
พอเขาได้ซบต้องหนีหลบล่องหน
ขว้างทิ้งดังเศษดินข้างถนน
น้ำตาร่วงหล่น หาคนรักแท้ไม่มี
เข้าวัด ทุกวัน
ใส่บาตรทำทานบนบานขอให้โชค ดี
แต่ผียังตามหลอนหลอกย่ำยี
วันหยุดพักไม่มี บวชชีดีไหม
หลวงพ่อ เจ้าขา
ลูกหมดปัญญาเหนื่อยจังหัวใจ
สิ้นหวังรักทุกข์ครั้งสุดวุ่นวาย
จึงพร้อมมอบกาย หัวใจถวาย วัดเลย

หลวงพ่อ เจ้าขา
ลูกหมดปัญญาเหนื่อยจังหัวใจ
สิ้นหวังรักทุกข์ครั้งสุดวุ่นวาย
จึงพร้อมมอบกาย หัวใจถวาย วัดเลย... 
 


				
30 กรกฎาคม 2548 13:06 น.

เส้นทางสายสวนฝันสวรรค์ไพร..!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4258.html
(ณ..วันนี้)
 
หยดน้ำ..พาร่างในผ้าซิ่นลายดำสลับแดงราวสาวล้านนา 
กับเสื้อผ้าเปลือกไหมสีนวลไข่ไก่ไหล่ล้ำ
ค่อยๆเดินช้าๆ
ไปตาม..*เส้นทางสายสวน*สายฝันสวรรค์งาม
เพื่อไปวัด...



เส้นทางที่...
ยังพร่างไปด้วยแมกไม้ใบระยิบ
พลิกพรายพร่างฟ้อนอ้อนสายแสงตะวัน
ยามสะท้อนเสียดยอดออดอ้อนเวิ้งฟ้า

เส้นทางที่...
พาให้หัวใจดวงนิดดวงน้อยของหยดน้ำ
ยิ่งนวลใสนวลใยยิ่งแสนงามสงบสุข


หยดน้ำ... 
แหงนเงยมองยอดไม้แล้วแย้มยิ้มยินดี
ที่เกาะที่เธอรักแสนรักนี้
ยังคงมีพันธุ์ไม้เมืองร้อนนานาพรรณ
ที่พากันขึ้นเซาะซอนซ่อนซ้อนสลับราวป่าดงดิบณ..กลางเกาะ
งามอย่างพงพฤกษ์ไพรแสนเฉิดฉันท์ราวสวรรค์สรวง


ที่ยังพาให้ดวงใจได้รับพลังสดกระจ่าง 
ราวกับยังมีอัญมณีทิพย์เขียวไสไพรมณีซุกซ่อน
มิร้อนแล้งไร้ดั่งโลกรายรอบ....

เธอจึ่งรำลึกนึกถึงบทกวีที่แสนงามพอกัน
ที่พากันไหลหลั่งมาประโลมใจในนาทีนี้
................



วุ้งเวิ้งชะวากผา.....................................ฆนแผ่นศิลาสลอน 
ช่องชานชโลธร......................................ชลเผ่นกระเซ็นสาย 

ปรอยปรอยประเลห์เห-........................  มอุทกพะพร่างพราย 
ซาบซ่านสราญกาย................................กระอุร้อนก็ผ่อนซา 

ท่อธารละหานห้วย................................ ก็ระรวยระรินวา- 
รีหลั่งถะถั่งมา........................................บมิขาดผะขาดผัง 

ไม้ไล่สล้างชม........................................ขณะลมกระพือวัง- 
เวียงเสียงก็เสียดดัง.............................. ดุจซอผสานสาย 

แสนสาธรารมณ์.................................... จรชมก็ชวนสบาย 
ใจหงอยก็ค่อยหาย................................ หฤหรรษเหิมหาญ 

เซิงสนสล้างพฤก-...............................    ษพิลึกลดามาลย์ 
บงบุษยาบาน.........................................ระบุดอกระดาษไพร 

ฉุนโฉมระงมฆาน..................................สุวมาลย์จรูงใจ 
ส่งก้านตระการใบ..................................พิศล้วนพิไลพรรณ 

ริ้วริ้วพระพายพา....................................สุรภีละเวงวัน 
ผึ้งภุมรีสัญ-.............................................จรสูบสุเกสร 

ร้องร่อนวะว่อนเชย................................รสเรณุกำจร 
เกลือกบุษบากร..................................... ระกะกลีบกระหึ่มเสียง 

ที่มา อิลราชคำฉันท์ โดยพระยาศรีสุนทรโวหาร (ผัน สาลักษณ์) 


วิเวกการะเวกร้อง.......................รงมสวรรค์ 
เสนาะมิเหมือนเสนาะฉันท์.......... เสนาะซึ้ง 
ประกายฟ้าสุริยาจันทร์..................แจร่มโลก 
เมฆพยับอับแสงสอึ้ง......................อร่ามแท้ประพันธ์เฉลย



 สรวงสวรรค์ชั้นกวีรุจีรัตน์ 
ผ่องประภัสรพลอยหาวพราวเวหา 
พริ้งไพเราะเสนาะกรรณวัณณนา 
สมสมญาแห่งสวรรค์ชั้นกวี 

อิ่มอารมณ์ชมสถานวิมานมาศ 
อันโอภาสแผ่ผายพรายรังสี 
รัศมีมีเสียงเพียงดนตรี 
ประทีปทีฆรัสสะจังหวะโยน 

รเมียรไม้ใบโบกสุโนกเกาะ 
สุดเสนาะสำเนียงนกที่ผกโผน 
โผต้นนั้นผันตนไปต้นโน้น 
จังหวะโจนส่งจับรับกันไป 

เสียงนกร้องคล้องคำลำนำขับ 
ดุริยศัพท์สำนึกเมื่อพฤกษ์ไหว 
โปรยประทิ่นกลิ่นผกาสุราลัย 
เป็นคลื่นในเวหาสหยาดยินดี 

ที่มา หนังสือสามกรุง นิพนธ์ พระราชวรวงค์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ 



พิกุลบุนนาคบาน.......................กลิ่นหอมหวานซ่านขจร 
แม้นนุชสุดสายสมร...................เห็นจะวอนอ้อนพี่ชาย 

เต็งแต้วแก้วกาหลง...................บานบุษบงส่งกลิ่นอาย 
หอมอยู่ไม่รู้หาย.........................คล้ายกลิ่นผ้าเจ้าตราตรู 

มลิวันพันจิกจวง........................ดอกเป็นพวงรวงเรณู 
หอมมาน่าเอ็นดู........................ชูชื่นจิตคิดวนิดา 
ลำดวนหวนหอมตรลบ...............กลิ่นอายอบสบนาสา 
นึกถวิลกลิ่นบุหงา..................... รำไปเจ้าเศร้าถึงนาง 

..........................


หยดน้ำ..
เห็นต้นระกำ..ลูกสีแดงสุกก่ำห้อยย้อยขึ้นเป็นกอ
ที่คงอยากพ้อเพื่อนมนุษย์ว่า
*ไฉนมาตั้งชื่อพิลึกไร้มงคลแบบนี้ให้
ทั้งๆที่ใครๆยังมิทันได้ชิมหวาน
ก็พานพาให้หลงเชื่อเบื่อคำว่าระกำ..ว่าจักทำให้ช้ำใจเสียก่อนแล้ว...



และ ...
นั่นกระท้อนต้นใหญ่ใบดกสูงเสียดฟ้า
ที่ทิ้งลูกเหลืองทองผ่องสุก
ให้หลุดร่วงหล่นปนเปรอะไปกับผืนดิน
ที่นกกาก็คงกินมิหมด ถึงยอมปล่อยคว้างอย่างมิเหลียวแล


และ...
แม้กระทั่งมนุษย์ ในเกาะแห่งเศรษฐกิจการท่องเที่ยวแสนดี
ที่ทุกวันนี้
 คงไม่ค่อยมีคนละเมียด
มานั่งคว้านมานั่งทำกระท้อนทรงเครื่องฤาแช่อิ่ม
 ด้วยคงคิดว่าเปล่าเปลืองเสียเวลา..

หาได้ซึ้งค่าที่จักสืบทอด
ภูมิปัญญาการแกะสลักผลไม้ไทย
อันมีฝีมือละมุนละม่อมละเมียด
ที่แสนเลิศวิไลให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก



 ดั่งบทเห่เรือชมเครื่องคาวหวาน
 บทพระราชนิพนธ์ โดย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ 

เห่ชมผลไม้ 


       ผลชิดแช่อิ่มโอ้             เอมใจ  
หอมชื่นกลืนหวานใน          อกชู้  
รื่นรื่นรสรมย์ใด                  ฤๅดุจ นี้แม่ 
 หวานเลิศเหลือรู้รู้               แต่เนื้อนงพาลฯ  
               
 ผลชิดแช่อิ่มอบ                    หอมตรลบล้ำเหลือหวาน  
รสไหนไม่เปรียบปาน           หวานเหลือแล้วแก้วกลอยใจ  
 
ตาลเฉาะเหมาะใจจริง           รสเย็นยิ่งยิ่งเย็นใจ  
คิดความยามพิสมัย                หมายเหมือนจริงยิ่งอยากเห็น 

ผลจากเจ้าลอยแก้ว                บอกความแล้วจากจำเป็น  
จากช้ำน้ำตากระเด็น              เป็นทุกข์ท่าหน้านวลแตง  

หมากปรางนางปอกแล้ว         ใส่โถแก้วแพร้วพรายแสง  
ยามชื่นรื่นโรยแรง                 ปรางอิ่มอาบซาบนาสา  
 
หวนห่วงม่วงหมอนทอง           อีกอกร่องรสโอชา  
คิดความยามนิทรา                 อุราแนบแอบอกอร  
 
ลิ้นจี่มีครุ่นครุ่น                      เรียกส้มฉุนใช้นามกร  
หวนถวิลลิ้นลมงอน                 ชะอ้อนถ้อยร้อยกระบวน  
 
พลับจีนจักด้วยมีด                  ทำประณีตน้ำตาลกวน 
คิดโอษฐ์อ่อนยิ้มยวน              ยลยิ่งพลับยับยับพรรณ  

น้อยหน่านำเมล็ดออก             ปล้อนเปลือกปอกเป็นอัศจรรย์  
มือใครไหนจักทัน                   เทียบเทียมที่ฝีมือนาง  
................



หยดน้ำ....ยืนนิ่งๆกลางสะพานเล็กๆ
ที่ทอดผ่านลำธารสายงามในอดีต

ที่ณ..บัดนี้...
รกเรื้อด้วยดงหญ้า
ดงไม้นานาพันธุ์
เถาวัลย์พันเกี่ยวเลี้ยวลดแทรกซอนเซาะไซ้ไผ่กอ
ที่กำลังเสียดสีด้วยแรงลมพัดผ่านแผ่วผิวหวิวแว่ว
ให้เกิดเสียงดนตรีธรรมชาติ
ที่ดูราวกับไร้ใครสนใจเหลียวแลอยากฟัง...ในวันนี้ณ..วันนี้..!.


 ในมโนนึกของหยดน้ำ..
ได้ยินเสียงตัวเอง
และเด็กๆร้องเพลงเสียงหวานใสลอยลมมา
และ....
ก่อนที่จะพากันกรูเกรียวขึ้นไปคว้าเถาวัลย์โหนเหนี่ยว
ทิ้งตัวลงยังธารน้ำสายใสใหลเย็น ณ.เบื้องล่าง



นั่นภาพเด็กผู้หญิงตัวน้อยๆ
แก้มอิ่มพรื้มเพราชมพูพริ้งพราว
ผมเปียลีบลู่กวัดแกว่งไปมา
ยามใบหน้าแหงนเงยหัวเราะเริงร่าแสนสนุก
และ..
เรือนผมถูกแตะแต้มด้วยรวงละอองเกสรพราว
กราวร่วงจากดวงดอกจิกสีชมพูพริ้งพร่างพรมห่มหอมงามให้

เธอ....หัวเราะเสียงดัง
ก่อนที่จะพากันแข่งกับเพื่อนๆ
กรูขึ้นบนตลิ่งครั้งแล้วครั้งเล่า
และเฝ้าคว้ากิ่งเถาวัลย์โหนตัว
อย่างแสนสราญบานเบิกใจเป็นที่สุด



เป็นความสราญใจสนุกสนาน
ที่ทำให้หัวใจและร่างเธอได้พร่างด้วยกระแสสายน้ำเย็นใส
อย่างยากจะเลือนลืม...ลืมเลือน....

ในทรงจำ.....
เธอจะค่อยๆลอยตัวเหนือสายน้ำ
ด้วยการทำร่างให้เบาสบายราวไร้น้ำหนัก
และ...
ให้สายน้ำซัดร่าง
พาไปตามเส้นทางสายคดเคี้ยวสู่ทะเลเบื้องล่างแลละลิบ
ด้วยเวิ้งน้ำหม่นมัวสลัวรางในม่านฝน



ที่ยามนั้นด้วยกมลดวงใจใสเยาว์
เธอหาได้หวาดกลัว..หวั่นเกรงไม่
ราวเธอมั่นใจเกินร้อยว่า
*คืบก็ทะเลศอกก็ทะเลคือเพื่อนใจ*
ที่จักไม่มีวันทำร้ายกรายกล้ำเธอ
และกลืนชีวาเพื่อนเธอผู้ใด
หากชีวาชีวิตใคร ยังไม่ถึงคราวถึงฆาต  ถึงเวลาชะตาขาด 



เธอจะเฝ้านอนดูท้องฟ้า
และให้สายน้ำสายฝนในบางครานั้น....
ซัดพาร่างลอยละล่องไปเรื่อยๆเอื่อยๆอวลงาม
 ด้วยดวงดอกโพธิ์ทะเลสีเหลืองละมุนที่ขึ้นอยู่ริมตลิ่ง
 และ...



เฝ้าดูพวงเงาะ
ห้อยย้อยแดงดกไปทั่วราวกิ่งอย่างยั่วแย้มให้เด็ดมาชิม
ที่เธอ...ไม่กล้าเหนี่ยวกิ่งเก็บมากิน
 เพราะกลัวคำสาปแช่งของเจ้าของสวน

เธอ..แย้มยิ้มกับฟ้ากว้าง 
กับสายน้ำเย็นฉ่ำ กับระร่ำรื่นแห่งธารน้ำ สายสงบสุข
ที่ทำ ให้หัวใจอิ่มใส เย็นงามตาม วิถีไพร



และ
กับการกลับมาในวันนี้ที่พาลพาให้ น้ำตาเธอคนดี ปริ่มตา
เมื่อกาลเวลาล่วงผ่านเลย...

เธอ...จึงแหงนเงยขึ้นซ่อนหยาดน้ำตา
พร้อมกระซิบกับฟ้ากว้าง
กับความดายเดียวแห่งฟ้าดิน
ที่แสนรับรู้รอยอาลัยถวิลในดวงใจอ้างว้าง
ว่า...
เธอยังมิสิ้นอาวรณ์ในเงางามสงบ
แม้ในยามนี้ที่กลับมาพบโลก และวิถีผู้คนที่แปรไป



ในคลองตา...เธอ... เห็นทุเรียนต้นใหญ่สูงเสียดฟ้า
แผ่เรียวกิ่งกว้าง
 ใบกระจ่างในพรายแดดสีทอง
ทอทอดลอดโลมไล้ให้แสงเงาพริบพร่าง
 

ที่ ณ บัดนี้ ห้อยลูกเล็กๆ ใหญ่น้อย
ไปตามกิ่ง แน่นขนัด
รอเวลาทิ้งตัวหลุดร่วง หรือให้เจ้าของสวนมาเก็บไป
ทุเรียนสวนที่หอมอร่อย รสชาติแปลกดี

ที่ ณ บัดนี้ 
เธอ พิสวาสเพียงผลงามแปลก หนามแทงแยก ตะปุ่มตะป่ำ
 ทั้งลูกเล็กๆ ที่น่ารักนัก
 ที่ธรรมชาติหยิบยื่นมาให้
ไม่ว่าสี รูปพรรณ หรือรสชาติอย่างชาญฉลาด
อย่างเกินที่จะเข้าใจในมหัศจรรย์รักนี้ที่ธรรมชาติแลฟ้าดินประทาน
................


และ..นั่น!...
อีกภาพ...ที่เธอตราจำไว้ในเงางามแห่งดวงใจ



ภาพ....
บึงบัวสีขาวไสวกลางสวน
เคียงเนินทรายดอกพราว
ภาพใบบัวแผ่กว้างเขียวไพลเขียวพรายแผ่กระจายบานลอยเต็มบึง


และ...
ในท่ามแสงตะวันรอนอ่อนสร้อยเศร้าซึ้ง
กับเรือลำน้อยสีน้ำเงิน
เด็กหญิงแก้มอิ่มพริ้มเพราในชุดกระโปรงบานฟ่องสีขาวนั่งกลางลำ

และ..
มีเด็กชายผิวคล้ำเปลือยร่างท่อนบน
กำลังลอยคอช่วยเข็นเรือลำน้อย

ให้เจ้าหญิงที่มี...*มงกุฏสายบัว*ล้อมวงหน้านวลใส
ค่อยๆใช้พายพาไปกลางธารใสไหลเย็น



เธอ...
คนที่มีเขาคอยเคียงข้างมิร้างแรมไกล
ไปไหนไปกัน
อย่างพี่ชายอย่างผู้พิทักษ์
อย่างเพื่อนรักที่รู้ใจที่เข้าใจ
อย่างคนที่รอให้ที่พักพิงพึ่งใจ
คอยเอาใจราวเจ้าหญิงในทุกวันเวลา หากเธอต้องการ

ราวข้าทาสผู้ภักดีพลีรัก
ที่ขอแค่เห็นรอยแย้มยิ้มยินดีจากเธอ...ก็เป็นพอ..ก็พอใจปิติใจ....



เขา...
ค่อยคอยเอื้อมเก็บบัวดอกนั้นดอกนี้เท่าที่เธอบัญชาการ
ด้วยน้ำเสียงหวานใสอย่างออดอ้อน 
อย่างที่รู้ดีว่าเขานั่นยินดีพลีทำทุกสิ่งให้
ยกเว้น...ดาวเดือน

เธอ..ยิ้มหวานใสไร้เดียงสา
เมื่อเขาคว้าบัวมาได้มากมาย
ให้เธอนำมากองไว้กลางตักเธอ
อย่างไม่กลัวเปียกปอน



เธอยกขึ้นจุมพิตช้าๆ
ตรงกลางกลีบเกสรหวานบานพราว
อย่างมิหวั่นเกรงภู่ผึ้งภมรจะพากันร่ำร้องอิจฉา

และ
เพียรบอกให้เขาทำตาม
เขาปรามด้วยเสียงพี่ชายกำราบน้องคนดื้อ
บอกให้ระวังว่าเสื้อสวยจะเลอะหมดแล้วด้วยโคลนเลน

หากเธอยิ่งแกล้งได้แกล้งดีแทนที่จะเชื่อฟัง
กลับทำท่าเอนตัวให้เขาอกสั่นขวัญหาย
คล้ายจะกลับกระโดดลงไปในน้ำ...คว่ำเรือเสียแทน
แล้วแย้มยิ้มหัวเราะเสียงดัง
เมื่อเห็นท่าทางอันแสนน่าตลกตกใจของเขา



เธอร้องเพลงขับขานเสียงหวานใส
ลอยไปกับฟ้าสีเงินกระจ่าง
ในท่ามบึงบัวและเรือสีน้ำเงิน..

บทเพลงที่ยังคงฝังใจจำมาจนวันนี้...



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3719.html
เรือลำหนึ่ง ....

หากชีวิต เปรียบดังทะเล
ฉัน คงคล้าย เป็นเรือ ล่องไป
ให้ลมพาพัดไป
ไร้ ทิศทาง
สุดขอบฟ้า กว้างใหญ่
ใคร รู้ บ้าง
สุดท้ายหนทาง
จะร้าย หรือดี
มีความหวัง
ฝั่ง อันแสนไกล
เห็น เพียงแสงรำไร อ้างว้าง
จะมีใครสักคน
หรือ ไม่มี
หากคืนไหน ไร้ ดาว
เหงา ทุก ที
ชีวิตก็อย่างนี้
อยากมี ความหมาย
เราคงเป็นดั่งเรือน้อย ลำหนึ่ง
ในทะเลแห่งชีวิต กว้างใหญ่
ฟ้า คลื่นลมซัดมา
ก็ หวั่น ไหว
ในใจมีแต่จุดหมาย คือฝั่ง
มันจะไกลสักเพียงไหน ต้องไป
แม้ ว่าในหัวใจ ไม่มีใครเลย

ฉัน ก็คงเป็นแค่เพียง
ผงฝุ่นในสายลม ไม่มี
ไม่มีความหมายใด
ไม่ มี ใคร
มรสุม พัด ผ่าน
ทาน ไว้ ได้
ชีวิตวันต่อไป
ไม่มีใคร รู้
เราคงเป็นดั่งเรือน้อย ลำหนึ่ง
ในทะเลแห่งชีวิต กว้างใหญ่
ฟ้า คลื่นลมซัดมา
ก็ หวั่น ไหว
ในใจมีแต่จุดหมาย คือฝั่ง
มันจะไกลสักเพียงไหน ต้องไป
แม้ ว่าในหัวใจ ไม่มีใครเลย
เราคงเป็นดั่งเรือน้อย ลำหนึ่ง
ในทะเลแห่งชีวิต กว้างใหญ่
ฟ้า คลื่นลมซัดมา
ก็ หวั่น ไหว... 
........................
 


และ...

ในหนาวน้ำตา..
กับวันนี้..ที่กลับมา
เมื่อเธอคนดี...
ย้อนรอยรำลึกซึ้งค่าแห่งน้ำใจภักดีบูชาใสงาม
ที่เขาเคยพร่างรินให้กับเธออย่างมิรู้สิ้นรู้จบ
ทบทวีคูณตราบจนวันลาร่าง



ภาพเด็กชายน้อยผู้แสนรักเธอรักมั่น
คงแสนเหน็บหนาวในวันนั้นในบึงนั้น

หากทำไมเล่า....!
เธอจึงเห็นเพียงรอยยิ้มกว้างอย่างแสนรักภักดิ์พลี
อย่างแสนดีแสนเสียสละด้วยความอดทนเสมอมา
ที่เธอแสนซึ้งค่าอย่างในยามนี้ที่แสนสายเกิน...



คนดี..หยดน้ำ...
ขอพลีน้ำตานะนาทีนี้นะดวงใจ
ขอให้...
มวลเมฆและ
ดวงดาวบนฟากฟ้ากว้าง...กล่อมเห่คุณ...
ให้นำทางไปพบสวรรค์พราว...ราวเรียวรุ้งอย่างที่คุณวาดหวัง...



และ
เพียรเฝ้าเพียงสร้างกรรมดีแด่ทุกผู้คน
ตราบจนนาทีสุดท้าย
ที่
ร่างไร้สิ้นลม
แลดวงวิญญาณของคุณถูกห้อมห่มด้วยสายฝนพรำ
ในวันที่เครื่องบินตก....อย่างเหน็บหนาว
ราว
ดวงใจหยดน้ำฝนและหยาดน้ำตานางฟ้าร่ำไห้พอกัน
ผู้หญิงที่คุณแสนรักรอมานานวัน
ได้มาปันพลีโอบเอื้ออ้อมภักดิ์ให้อ้อมตักไออุ่น
ในอ้อมกอด...พร้อมปิดเปลือกตานะยอดรัก..
และ...


หวังวอนฟ้าดิน...
ได้กล่อมคุณ...
ให้นิทราหลับสบาย...ฝันดี...ไปนานเนานิรันดร์....
จนกว่า..
จะถึงวันที่เราสองจะได้พบกันอีก..ใช่ไหมเล่าคนดีที่รัก

และ...
หยดน้ำ...ยังคงวาดหวัง
ให้...ดวงดาราบนฟากฟ้า...
ทำหน้าที่แทนดวงตาแห่งรักภักดีแห่งดวงใจคุณ
เฝ้าหมุนละมุนมาคอยส่องนำทางใจ

เฝ้าปกป้องคุ้มผองภัย
แด่*เด็กผู้หญิงน้อย**เจ้าหญิงน้อยๆ*
ที่...
คุณรักแสนรัก...ภักดิ์แสนภักดิ์....ดั่งดวงใจไปตราบชั่วกาล....
...

...................................



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4258.html
ณ....วันนี้ ละครทีวี เรือนมยุรา 

ญ.... ดังมี สิ่งใดมาดลใจฉัน
ดังใจ โอ้เอยเฝ้าคอยเธอนั้น
นานแสนนาน ฮืม
จึงมาเจอกัน
คล้ายบางสิ่งผูกพัน
ร้อยใจเราร่วมกัน
ช..... ดังมี สิ่งใดมาดลใจฉัน
ดวงใจ โอ้เอย มีเพียงเธอนั้น
นับวัน ฮืมจนแรกเจอกัน
ใจฉันเพียงต้องการ แต่เธอตลอดมา
ช.... ฝากคำสัญญา ฝากวาจา
รักเธอไม่เสื่อมคลาย
ญ.... หมื่นพันสัญญา
ร้อยวาจา หนึ่งเดียวที่เข้าใจ
ช.... รอคอย ผ่านวันเนิ่นนานเพียงไหน
ญ.... คืนวัน ผ่านไปไม่มีความหมาย
พร้อม นับวันนี้เธออยู่ภายในใจ
และหวังเพียงได้ครอง
รักจนตราบนานตลอดไป

ช.... ฝากคำสัญญา ฝากวาจา
รักเธอไม่เสื่อมคลาย
ญ.... หมื่นพันสัญญา
ร้อยวาจา หนึ่งเดียวที่เข้าใจ
ช..... รอคอย ผ่านวันเนิ่นนานเพียงไหน
ญ.... คืนวัน ผ่านไปไม่มีความหมาย

พร้อม.... นับวันนี้เธออยู่ภายในใจ
และหวังเพียงได้ครอง
รักจนตราบนานตลอดไป
นับวันนี้เธออยู่ภายในใจ
และหวังเพียงได้ครอง
รักจนตราบนานตลอดไป... 
................
				
23 กรกฎาคม 2548 18:29 น.

เสียงกระซิบจากเกลียวคลื่นเกลียวฝัน!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song346.html...


เดือนพูนดวง ลอยเด่นงาม
เพ็ญจันทร์ขวัญฟ้าแขวนฟ้า
เหนือท้องทะเล
แลละลิบๆวะวิบๆระยิบยับ
อาบทะเลเป็นสีเงินยวง
ดั่งทั้งสรวงสรรพมาสถิต

เสียงคลื่น...
ยังเว้าวอนกระซิบซัดหาดทรายระริกๆระรี้ๆ...




http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song346.html
เสียง คลื่น ซัด ฝั่ง
มัน คลุ้ม คลั่ง ฝัง รอย สวาท ใจ
มันซุก มันไซร้ มันซบทรวงทราย
แทรก ซึมไม่มีวันวาย
มันเคลิ้ม มันคลุก มันเคล้า มิคลาย
รสทรายรื่นรมย์
เสียง กระ ซิบ แผ่ว
ฟัง หวาน แว่ว พริ้ว ตามเกลียวคลื่น มา
เรารัก กันหนา มาหา มาชม
คลื่น คอยติดตามเกลียวลม
มาร้อย รอยรัก มาทัก คลื่นชม
ภิรมย์เพียงฝั่ง
ฟัง ซิคลื่น มันละ เมอ
ฝาก สวาท เหมือน เธอ ละเมอเพ้อให้ ฟัง
เห็น ใจฝั่งบ้างหรือ ยัง
ฝั่ง รัก จี รัง เหมือนคลื่น ยืนใจ
เสียง คลื่น ซัด ฝั่ง
กระ ซิบ สั่ง ฝัง รักตลอด ไป
มันซุบ มันซิบ กันชื่นใจ มันซบ มันหนุน จนอุ่นไอ
กระซิก กระซี้ กันเรื่อยไป
จะรัก กันไว้ ตลอด กาล
เสียง กระซิบ กระซิบ ตลอด กาล
กระซิบ ว่ารัก ตลอด กาล
กระซิบ ว่ารัก ตลอด กาล
กระซิบ ว่ารัก ตลอด กาล
กระซิบ ว่ารัก ตลอด กาล
เสียง กระซิบ กระซิบ ตลอด กาล
เสียง กระซิบ กระซิบ ตลอด กาล... 
.......



เหนือเนินทราย
ทิวสนโยกส่ายร่ายกิ่งไหวไกวก้านกิ่ง
พร่างพ้อรอรับรอรัก...สายลมแห่งวสันตฤดู


ฟ้าเป็นสีทองนวลแจ่มราวสายไหม
ใยยวงเมฆราวปุยฝ้าย
ลอยกระจายกระจัดพัดพราย
ประดับฟ้างามไปตามแรงลม...




เสียงเกลียวคลื่น
กระซิบฝั่งอ้อนรำพันรำพึง
เป็นบทเพลงโบราณที่งามแสนงาม
ในการใช้ถ้อยคำ
ที่นำมาเรียงร้อยราวสร้อยโซ่อักษราคล้องจองกัน
และ...
ให้ความรู้สึกลึกล้ำไปตามคำรำพันฝันงามอารมณ์



ที่..
 แสนซึ้งซ่านหวานประทับใจ
ในความเป็นอัจฉริยะของเหล่าบรรดาศิลปินครูเพลง
ที่ใช้จิตบรรเลงรจนา
ผ่านการกลั่นทุกถ้อยรจนาหลากคำ
อันล้ำล้นเลอค่า
มาจากหยาดหมึกจากหยาดเลือดรัก
ที่คือจิตวิญญาณของคนรักภาษา
และ...
พาทราบซึ้งว่า
ในอักษราแต่ละตัวนั้นต่างให้เสียง
ให้ความหมายที่แสนพริ้งพราว
ที่มาจากภูมิปัญญาของบรรพชน


ดนตรีแห่งคลื่นฝันรัญจวน
และสายแสงจากพระจันทร์หวาน
กำลังถาโถมโลมไล้
ยอดคลื่น...อย่างนวลนุ่ม..นุ่มนวลอย่างละมุนละไม
ให้พลิกพลิ้ว  ฟองพราย พรายฟอง
กระฉอกซัดฝั่ง เคลียไคล้คลึงคลอเป็นระลอกๆ
หยอกล้อ
พ้อพร่างด้วยพราวน้ำผึ้งจันทร์สวรรค์หวาน
ให้สวาทมิร้างแรมลาให้งามกว่างาม

งามซึ้ง...งามเศร้า...งามจนหนาวใจ


รัศมีวิเวกแผ่สร้านกระจายพรายพรมห่มร่างราน
พรานทะเลลำพัง....
ไร้ฝั่งฝัน...ฝั่งใจ...ไร้ใคร ในทะเลโลกย์ทะเลลิบ
กลางลำเรือเหนือท้องน้ำ
อันสุดกว้างไกลเกินคะเน


ใจดวงดายเดียวเหว่ว้า ดื่มด่ำ
กับเกลียวคลื่นเกลียวทองดั่ง
เกลียวธรรมย้อนนำกลับมาสอนใจ... 

ร่างบึกบึนนั้น...
นอนนิ่งงันกับงามเงียบ
ทอดถอนใจยาม
แลไปพบประสบพักตราแม่ดวงจันทรา 
ที่มวลหมอกเมฆหม่นมาบดบัง

พอกันกับชีวาชีวิต ไร้ทิศทาง

แต่ดูสิ......
นั่น...!
ดาวเหนือดวงสุกใส
ราวดาวธรรม..ในดวงใจ

กำลังลอยคว้างกลางนภาจรัสแสง ...ราวเข็มทิศนำทางใจ
ให้จันทร์ไสวใจยังมิมืดบอดสิ้นหวัง
ราวเรือน้อยลอยลำรอตะวันรุ่ง
รออรุณ.....
ที่จะหมุนกลับมาเยือนหล้า
มาให้ทุกดวงชีวาได้เริ่มต้นใหม่ ไม่มีคำว่าสายเกิน..!!!!
............







พลีน้ำตาลาผืนดิน..

ลาก่อนเกาะพิสุทธิ์ใสกลางใจขวัญ
ลาคืนฝันตะวันรอนอ่อนแสงเศร้า
ลาแสงตะเกียงริบหรี่เคยคลุกเคล้า
ลาดงมะพร้าวสะบัดไหวกลางใจนวล..

ลาก่อนหาดทรายขาวราวเนื้อแป้ง
ลาไร้แล้งน้ำใจเคยไห้หวน
ลาผืนดินถิ่นเกิดนกนางนวล
ลาธรรมชาติล้วนแสนงามนามพะงัน..

ลาภาพเก่ากับแสงเทียนในโบสถ์คร่ำ
ลาพิกุลก่ำฉ่ำหอมหลอมใจฝัน
ลาทองหลางแดงโดดกลางตะวัน
ลาพระจันทร์ดวงโตโผล่พ้นน้ำ..

ลาปะการังหลากสีปลาแสนสุข
ลารานรุกทำลายใจขยี้ย่ำ
ลาดายเดียวนอนนับดาวราตรีร่ำ
ลาระกำเกาะงามรอนอ้อนแสงตะวัน


ลาและลาเกินคำว่า*เสียใจยิ่ง*
ลาทุกสิ่งลืมเงียบงามนิยามฝัน
ลาและลาโลกบ้าบ้าหลงวัตถุกัน
ลาสวรรค์ลงนรกตกทาสเงิน...

ลาผืนดินยินคนแย่เกินควายคิด
ลาชีวิตแข่งกันรวยลมสรรเสริญ
ลาโลภหลงตรงกระแสความเจริญ
ลาเพลิดเพลินเปลือกนอกหลอกแข่งกัน..

...............
และ..ลืม..ลืม..ลืม...

ลืม..สวรรค์เมตตาส่งมาเกิด
ลืมเสียเถิดเกาะเงียบงามราวสวรรค์
ลืมความรักน้ำใจเคยแบ่งปัน
ลืมงามจันทร์งามใจในรอยกาล..

ลืมทะเลสวยใสสีมรกต
ลืมงามงดธรรมชาติคนบ่มรอยหวาน
ลืมชีวิตดิบเดิมอดีตนาน
ลืมฤดูกาลก่อนเก่าฝากเราจำ

ลืมกุ้งปูปลามากมายใต้ทะเลนี้
ยังไม่มีเทคโนโลนี่คอยห้ำหั่น
เอามาขายแลกน้ำเงินมารินร่ำ
ทาสระกำตามตะวันตกวกทำลาย

เงินเงินเงินงงงงงงหลงลืมคิด
โลกชีวิตงามเงียบดิบเดิมแตกสลาย
ขายจนสิ้นจิตวิญญาณไทยมลาย
ขายและขายภูมิชีวิต*จิตแห่งไท*

******







				
13 กรกฎาคม 2548 09:58 น.

โพธิศรัทธา!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song420.html


ทิพย์ทอง...นั่งจ้องมอง
ต้นโพธิเงินโพธิ์ทองในดวงใจ
ต้นไม้แห่งทิพยศรัทธา
ที่...
ทิพย์ทองทราบดีว่า
มีประวัติความเป็นมา
ที่แสนตราตรึงในคารวะใจพุทธศาสนิกชนทุกคนไป
ที่มีลำต้นอวบใหญ่
เป็นพูพอนโพรงอย่างนิ่งงันเงียบงาม


และ
นั่งสังเกตสังกาต้นโพธิ์ใหญ่
ที่มีก้านกิ่งแตกสาขาออกไป
ดั่งคำพังเพยนำมาเปรียบเปรยไว้ว่า
*ดั่งร่มโพธิ์ร่มไทร*
ที่เป็นดั่งรวงรักแห่งรัก
ให้นกกาได้อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขสืบไป...ชั่วกาล...



ใบโพธิ์นั้นเกลี้ยงเกลาเป็นมันวะวาววับ
เนื้อใบ ค่อนข้างหนา
คล้ายแผ่นหนัง
ใบจะห้อยลง 
และ
รูปใบจะป้อมๆหรือรูปไข่
โคนใบเว้าเข้าเล็กน้อย 


ดอกออกบนฐานดอก
ที่โค้งกลม แล้วเจริญเป็นผลต่อไป 
ผลกลมติดอยู่ตอนปลาย ๆ กิ่งเล็ก 
พอแก่ออกสีแดงคล้ำ ๆ 
จักเป็นอาหารของพวกนกได้เป็นอย่างดี


และ..
แสนแปลกดี
ที่ปลายกิ่งลู่ลง 
กิ่งจะงามอ่อนช้อยอ่อนโยน
ปลายสุด
จะมีหูใบเป็นปลอกแหลม ๆ หุ้ม 
เมื่อหูใบหลุดไปแล้ว
จะทิ้งรอยแผลใบเป็นขวั้น ๆ ไว้ที่กิ่งเห็นได้ชัด
บางทีตามกิ่ง จะมีรากอากาศให้เห็นบ้าง 
 

เรือนยอดเป็นพุ่มกลม แผ่กว้าง
ยอดอ่อนผลิสล้างซ่อนซ้อนสลับ
ด้วยเขียวไพลยามผลัดใบ

ผลิยอดละอออ่อนใส
รับสายแสงแดดสีทองสะท้อนกระทบใบแก่กลาย
ที่หมายจะร่วงพลีพรมห่มพื้นพสุธา


ที่พากันเปลี่ยนสี
เป็นเหลืองทองผ่องพร่างแสนงาม
ยามลมพัดพรายมาส่ายเสียด
เบียดให้กิ่งก้านไกวไหวกรีดหวีดหวิว...อย่างน่าฟังยิ่งนัก


และ
พาให้จิตดวงใส
ได้รำลึกรู้นึกถึงบทกวีบทหนึ่งขึ้นมาเสียมิได้
ที่เธอเคยร่ายรจนาเอาไว้...


*เห็นโพธิ์ทองสะท้อนแดดวะวิบวับ
งามระยับจับตาในแสนใสหวาน
ภาพพระพุทธองค์ทรงประทับราวบัวบาน
เหนืออาสนะทิพยพิมานในม่านโพธิ์...*
..........



ทิพย์ทอง ...
ชอบนั่งมองต้นไม้ได้โดยไม่รู้เบื่อ
และ...
จำได้ว่า...
ที่วัดบ้านเกิดของทิพย์ทองเอง
ก็มีชื่อว่า*วัดโพธิ์*

ค่าที่มีต้นโพธิ์ทองต้นใหญ่
ที่ลำต้นอวบงามให้สามคนโอบแทบไม่รอบ
ให้เราเด็กๆชอบมาอาศัยนั่งนอนเล่นภายใต้ร่มเงาใบงาม


และ
ได้..
ฟังเสียงใบระกาตรงชายคาโบสถ์
ร้องกรุ๋งกริ๊งๆแสนไพเราะยามที่ลมพัดผ่านมา...

ให้ความรู้สึกที่ดำดื่มล้ำลึก
ที่ยังตราตรึงตามมาจนถึงนาทีนี้

ไหนจะยังต้นพิกุลใบหนา
พากันเรียงหอมกรายให้หอมกรุ่นละมุนใจ
ที่โปรยดอกพราวไสวลงบนพื้นหญ้า
ให้..
ทิพย์ทอง
ไปเก็บดวงดอก
มาห่อหอมไว้ในผ้าเช็ดหน้า
เพื่อนำมาใช้ร้อยมาลัยเส้นยาว
ราวสายสร้อยพร้อยเพชรพราวอีกด้วยเล่า...



และ
ทิพย์ทองยังจำได้อย่างแม่นยำ
เมื่อพยายามโยงใยเรื่องราว
เกี่ยวกับต้นไม้แห่งรักแห่งศรัทธานี้

ที่หน้าบ้านทิพย์ทองนั้น
มีคุณครูท่านหนึ่ง
ที่เป็นคุณพ่อของเพื่อนทิพย์ทอง
ที่มีฝืมือการวาดภาพพุทธประวัติมาก

ภาพที่ชินตาเราเด็กๆ
คือ ภาพแสนงามยิ่งใหญ่ในผืนผ้าใบ
เกี่ยวกับพระบรมศาสดา
ตั้งแต่ปลงพระเกศาออกบวช


และ
ที่ตราจำไว้ในดวงจิตคือ
ภาพอันแสนวิจิตรมลังเมลืองใจมาก
คือภาพที่
เจ้าชายสิทธัตถะกุมาร 
ในระหว่างบำเพ็ญพรต เพื่อหาสัจธรรมนั้น 
ได้ทรงเลือกนั่งประทับที่โคน ต้นโพธิ์
และ
ที่มีใบระยิบระยับงามจับตาจับใจมาก
ราวอาบด้วยสายแสงทองทอกระทบ
ดั่งมีชีวิต...



ภาพที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ 
พระสัมมาสัมโพธิญาน คือ อริยสัตย์ 4 อัน
ประกอบด้วย 
ทุกข์ สมุห์ทัย นิโรธ มรรค เมื่อวันเพ็ญเดือน 6


และ
แม้พระองค์จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
ก็ยังต้องทรงใช้พลังจิตรบกับพวกมาร
(การเอาชนะกิเลสฝ่ายต่ำ)
ก็โดยประทับอยู่ใต้โคนต้นโพธิ์อีก เช่นกัน 

เพราะ
โพธิ์มีร่มเงาเหมาะแก่การพักพิง
และบำเพ็ญพรตเป็นอย่างยิ่ง

และ
กล่าวกันว่า
ต้นโพธิ์ที่พระพุทธองค์ประทับ
เพื่อรวบรวม พระหฤทัย
ให้บรรลุถึงสัจธรรมนั้น
ได้ถูกประชาชนผู้นับถือศาสนาอื่น 
โค่นทำลายไปแล้ว
แต่...
ด้วยบุญญาภินิหารเมื่อได้นำนมโคไปรดที่ราก
จึงมีแขนงแตกขึ้นมา
และ
มีชีวิตอยู่มาอีกนานก็ตายไปอีกแล้วกลับแตกหน่อใหม่...



นั่นคือ...
ตราจำที่ย้ำไสว
ให้นวลใจทิพย์ทองยิ่งพร่างใสแสนงาม
ยามทอดทัศนาต้นโพธิ์เงินโพธิทอง
ที่ใบวะวาววับนี้
ราวกับเห็นภาพพระพุทธองค์
ทรงประทับณ..ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
ภายในป่า สาละ 
ณ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ
ในคลองตาคลองใจตลอดมา


และพาให้
ทิพย์ทองรักแสนรัก
ศรัทธาแสนยิ่งใหญ่นักในทุกยามนึก
ถึง
*ร่มโพธิ์พฤกษ์ โพธิ์ไพร*
ต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าได้ประทับ ณ ภายใต้ร่มเงา
ในคราวตรัสรู้, จนได้ โพธิญาณ  
อันคือปัญญาตรัสรู้, ในมรรคญาณทั้งสี่
มีโสตาปัตติมัคคญาณ เป็นต้น



ให้หัวใจทิพย์ทอง
ยิ่งพรายฉายฉันท์ราวเพชรดวงในรวงใจ
เสมือนฝันไป...
ในราตรี...

ที่ดารารายเลิศโสภานภานวลผ่อง...
ในวัน*เดือนพูนดวง*
ควงหวานแจ่มจรัสในวันเพ็ญเดือนหกขึ้น15ค่ำ


พร้อมกับหวานแว่ว.........
บทกวีแสนงามจากดวงใจมิ่งมิตรแสนดี
คนที่ชื่อลำน้ำน่าน*บุรุษแห่งสายธาร*

....................



จากริมฝั่งเนรัญชราสู่ธาราธรรม

พรมธารายามอรุณด้วยกรุ่นกลิ่น		
พรมผืนดินด้วยเกสรละอองป่า
จากดื่นดึกลึกหลับกับดารา				
ภาวนาอยู่ท่ามกลางวิมานพฤกษ์

ณ ปลายฝั่งสายธารนิมมานรดี		
รัชนีสว่างสรวงแม้นห้วงดึก
ร่วมบรรเลงมนต์ธรรมอันล้ำลึก
ผลผลึกอภิญญาณฌานภิญโญ

เมื่ออาทิตย์อุทัยแรกแตกดอกวับ
พร้อมบทเพลงวิหคขับจับกิ่งโผ
บัลลังก์อาสน์ใต้ร่มบรมโพธิ์				
มนต์พุทธโทแว่วผ่านวิมานไพร

ราตรีวันวิสาขปุณณมี			
มะลุลีผลิรับจากหลับใหล
หยาดน้ำค้างหยดเย็นค่อยเป็นไป			
เทวดามาลาไพรร่ายรำพร
	
ณ ริมธารสายน้ำต้นยามเช้า		
ใต้ร่มเงาพนาวัลย์บรรจถรณ์
โพธิสัตว์แสงประดับจับจีวร				
พนันดรก็บรรสารทุกธารพราย

มธุปายาสข้าวทิพย์วิจิตรสรรค์		
อวลสุคันธ์สุชาดาน้อมถวาย
เครื่องพลีกรรมหอมกลิ่นมิสิ้นวาย			
โลกบาลเรียงรายร่วมพิธี
	
รัตนบัลลังก์นั่งภาวนา			
อาทิตย์ทองส่องหล้าพระโพธิ์ศรี
ทินกรร่อนเริงเวิ้งนที
บารมีคลี่อาบทาบไพรวัลย์
           
สัตยาอธิษฐานลงธารน้ำ
อรุณยามฤกษ์ดวงสรวงสวรรค์
ถาดทองทวนไหลทบอรรณพพลัน			
สู่ห้วงน้ำเนรัญฯ พุทธมรรคา
	
ปฐมยามราตรีค่อยหรี่ล่วง
ยามโสมสรวงเสวยแสงแพร่งเวหา
สมาบัติสำเร็จแจ้งแห่งวิญญาญ์			
ซึ่งปุพเพนิวาสานุสสติญาณ

มัชฌิมาล่วงผ่านทวารสอง			
องค์สัมมาลุครรลองกรรมฐาน
ล่วงจักษุทิพยจักขุญาณ				
สรรพสัตว์ก่อนกาลเหตุจุติ
	
ปัจฉิมยามกาลสมัยใกล้รุ่งฤทธิ์		
หยั่งพินิจปัจจยาการนานสติ
อริยสัจรู้แจ้งแรงสมาธิ				
ในปฏิจจสมุปบาทอวิชชา

เมื่อแสงทองทอรับจับระบัด		
โพธิสัตว์สดับแจ้งแรงตัณหา
ตรัสรู้ลุพระสัพพัญญุตา				
ดับสูญสิ้นกิเลสาธรรมาญาณ
	
มหัศจรรย์อุบัติซ้องมรรคผล		
ปฐพีดลลั่นธาตุปราชญ์สถาน
ทศพลเปล่งสีหนาทปฐมทาน				
ใต้ร่มโพธิญาณอุรุเวฬาฯ

ทิพย์ดนตรีบรรเลงเพลงอภิวาท		
อเนกชาติสังสารังองค์คาถา
สัพบุรุษเพี้ยงพ้นองค์สัมมาฯ				
พุทธาดาโลกนาถทุกชาติภพ......
..................................





อรุโณทัย ณ ริมฝั่งน้ำเนรัญชรา 
 
เมื่อเดือนต่ำย่ำรุ่งคลุ้งสายหยุด
แว่วโพธิ์พุทธไกวกราวราวสวดเสียง
วิหคอุ่นรุ่งแล้วแจ้วสำเนียง
น้ำค้างเรียงรินหยดซบบัวใบ

ดวงดาวเลื่อนเคลื่อนลงตรงเหลี่ยมโลก
กลีบดอกโศกแต้มหมอกดอกหม่นไหว
กาลอรุณหมุนเวียนเปลี่ยนความนัย
ปลุกตื่นแล้วดวงใจแห่งท้องนา

หวานสำเนียงเสียงไก่ได้รู้สึก
คล้ายสำนึกลึกล้ำพร่ำเพรียกหา
ราวบทเพลงระฆังแก้วแว่วยินมา
ให้สดับรับค่าอรุโณทัย

เมื่อน้ำค้างพร่างหล่นบนพรมพฤกษ์
เพียงค่อนดึกลึกล่วงจากสรวงใส
บ่มวิญญาณตำนานทุ่งจรุงใจ
ราวเกล็ดเพชรเจียระไนด้วยตำนาน

หอมกลิ่นเอยหอมหวลมวลดอกไม้
เมื่อลมไล้ลอยล่องท้องนาผ่าน
แตะดวงจิตปลุกฟื้นขึ้นจับงาน
อีกช้านานเส้นทาง..สว่างรับ

ตะโพนน้อยคล้อยเสียงยินเพียงแว่ว
เมื่อเดือนปีคลี่แนวแคล้วจันทร์จับ
ห้วงพรรษาเปลี่ยนวันเหมันต์ลับ
ยังสงบรำงับกับพุทธา

แสงสีทองรุ่งลางทางทิศนั่น
เหลืองอำพรรณเปรื่องปราดศาสนา
ฉายอรุณอุ่นทอขึ้นคลอตา
ส่องมรรคาหนทางสว่างแล้ว

ตื่นขึ้นจากภวังค์ขังดวงจิต
เมื่อไฟติดฟืนลุกทุกทิวแถว
เพียงควันไฟพุ่งยาวขาวเป็นแนว
ข้าวสารแก้วหุงนึ่งเต็มซึ้งนัก

เดินตามพระมาไกลในรอยพุทธ
บรรจงหยุดรับบาตรถาดข้าวตัก
ดอกบัวบานแย้มอยู่คู่พระพักตร์
แผ่เมตตาทอดรัก...จักเข้าใจ

หยาดน้ำค้างอาบคลอกอรวงข้าว
เมื่อลมหนาวพัดฟ่อนจีวรไหว
เกล็ดหมอกหม่นสะท้อนพร่างกลางดวงใจ
งามพระธรรมวินัยก็ฉายรับ

เช้าวันใหม่ดรุณรุ่งตรงทุ่งนา
เทียนพรรษาหรี่ลดหมดเปลวจับ
ดอกบัวบานผลิแทนราวแสนนับ
ผลิวิญญาณขานรับกับอรุณ

คืออารยาแห่งกาลผ่านทุกครา
วัฒนาก้าวตามยามโลกหมุน
ให้สดับรับค่าพุทธาคุณ
กฎธรรมชาติสมดุลลึกซึ้งแล้ว


-----------------------


เช้าวันใหม่ในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งที่ได้ไปเยือนในครั้งก่อน
ความทรงจำสงบงามถูกจารึกไว้ในหัวใจดวงนี้ 
ณ ริมฝั่งน้ำโขงแม่น้ำของแผ่นดิน วิถีชาวลาวสงบนิ่งตามรอยพุทธ
หลังออกพรรษาที่ชาวบ้านต่างพากันไปวัด ..ในหมู่บ้าน
เส้นทางเดินทอดย่างไปกลางทุ่งนาเขียวขจี ริมบึงบัวดอกงาม
ในเช้าวันใหม่ในปลายเหมันตฤดู ที่เห็นพระออกบิณฑบาตรแต่เช้าตรู่
จีวรเปียกพรมด้วยน้ำค้างริมใบข้าว ..หอมกรุ่นข้าวหุงใหม่
ที่ชาวบ้านเตรียมไว้ใส่บาตร..

ข้าพเจ้าสงบงันและสดับรับรู้ค่าในวิถีงามนี้
ดอกบัวงามวางนิ่งในถาด รอถวายเป็นพุทธบูชา
ณ ผืนแผ่นดินนี้ร้างไร้ในเทคโนโลยี แต่สูงส่งด้วยจิตวิญญาณ
มีวัฒนธรรมของแผ่นดินซ่อนเร้น เงียบงาม น่าหลงไหลในยิ่งนัก
ริมฝั่งแม่น้ำโขง ข้าพเจ้าประหวัดจิตนาการไปถึงริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา

พุทธะไม่ได้สอนให้เราละวางอย่างโง่เขลา หากแต่สอนให้เราปรับตัว
และใช้ชีวิตสงบงามท่ามกลางสังคมปัจจุบันและความเปลี่ยนแปลงเป็นเหตุ
แม้นไม่ถึงพระนิพพาน หากแต่ได้ขึ้นชื่อว่า เดินไปอย่างผู้เพียรพยายาม

เช้าวันใหม่ การกลับมาของอรุโณทัย และกฎสมดุลธรรมชาติ
หวังให้ทุกดวงใจน้อมนำความสงบรำงับเข้าเป็นจุดเริ่มต้น
มีสติและเข้าใจความเป็นไปแห่งสรรพสิ่งที่เราเห็นอยู่ตรงหน้า
ปล่อยวางและรู้เท่าทัน สงบงามเงียบเฉกเช่นพุทธศาสนิกชน
............ 
..................


และ
ด้วยจิตดวงใส
ดั่งอัญมณี
ของแม่ดวงดอกพุดไพร
ขอกราบกรานตรงเบื้องบาทพระศาสดา..
*ผู้เปรียบประดุจดั่งพระมิ่งมงกุฎยอดรัตนมณี
แห่งพุทธศาสนิกชน*
ในฟ้าพุทธภูมิชมพูทวีป

พุดขอพลีรจนาถวายเป็นพุทธบูชา
ในวันเข้าพรรษานี้
ที่ดวงชีวีจำต้องร้างแรมเรือนไทยร่มรัก
กลับบ้านเกาะบ้านเกิดไปหลายวันค่ะ
...............




ในอดีตเราถือเอาวัน แรมหนึ่งค่ำเดือน 8 ของทุกปี 
เป็น วันเข้าจำพรรษา 
ตามประเพณีพุทธบัญญัติของพุทธศาสนา 
พระสงฆ์ต้องอธิษฐานอยู่จำพรรษาในวัดใด วัดหนึ่ง
ตลอดสามเดือนที่เรียกว่า ไตรมาส นั่นเอง 
นี่เป็นเรื่องที่ภิกษุสงฆ์ต้องทำจะหลีกเลี่ยงเบี่ยงบ่ายไม่ได้
 


มีเรื่องราวปรากฎในพระวินัยปฎก วัสสูปนายิกะ
 ใจความย่อว่า :
สมัยเมื่อผ่านปฐมโพธิกาลไปแล้ว 
มีกุลบุตรเข้ามาบวชเป็นภิกษุมากขึ้น 
พระพุทธเจ้ายังมิได้ทรงบัญญัติในภิกษุจำพรรษา 



ถึงฤดูฝนมีน้ำขังเต็มบริเวณไร่นาทั่วไป 
ชาวบ้านอาศัยพื้นที่เหล่านั้นประกอบอาชีพทาง กสิกรรม 
พวกพ่อค้าที่มิใช่ชาวกสิกรรม
ต่างพักผ่อนหยุดสัญจรกันในฤดูฝนนี้ 
เพราะนอกจากไม่สะดวกแล้ว 
ยังเป็นอันตรายแก่พืชผลของชาวไร่ชาวนา



แต่ภิกษุบางจำพวกในสมัยนี้
หาพักการจาริกไม่
 บ้างพากันย่ำเหยียบหญ้าและสัตว์เล็กเป็นอันตราย 
ชาวบ้านพากันติเตียน 



พระพุทธองค์ทรงทราบ
จึงทรงบัญญัติให้ภิกษุจำพรรษาในฤดูฝน 3 เดือน 
นับแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ไปจนถึงวันที่ 15 ค่ำ เดือน 11 
แล้วเหลือเวลาในท้ายฤดูฝนนี้ไว้ให้อีก 1 เดือน 
ไว้ให้เป็น จีวรกาล 

คือเวลาที่แสวงหาจีวรมาผัดเปลี่ยนของภิกษุ
ยังมีข้อบัญญัติเพิ่มเติมอีกว่า 
ให้ภิกษุยึดเอาเสนาสนะอย่างใดอย่างหนึ่ง
เป็นที่จำพรรษาให้ได้ เช่น ถ้ำหรือกุฎี



 ซึ่งมีที่มุงที่บังกันแดดกันฝนได้ดี 
และทรงห้ามไม่ให้ภิกษุสงฆ์จำพรรษาในที่ต่อไปนี้
คือ ที่กลางแจ้ง ในโพรงไม้ ในหลุม ในตุ่ม บนคาคบไม้ 
ซึ่งจะเป็นอันตรายในฤดูฝนเช่นนั้น


การจำพรรษาด้วยการอธิษฐานจิต 
คือ การที่ภิกษุแต่ละรูปไปประชุมกันในอุโบสถ 
ทำวัตร สวดมนต์ ทำพิธีขอขมากัน
แล้ว 
แต่ละรูปจะนั่งกระโหย่งแล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า 
ข้าพเจ้าจะจำพรรษาในอารามนี้ครบ 3 เดือน
 นั้นก็คือ ในระยะเวลา 3 เดือน 
ภิกษุผู้จำพรรษาจะไม่ไปค้างแรม ณ ที่ใดเลย 
จะอยู่ประจำที่ในอาราม ที่ตนอธิษฐานจิตนี้


ผ้าอาบน้ำฝน ....

หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
 วัสสิกสาฎก คือผ้าสำหรับนุ่งในเวลาอาบน้ำฝน
หรือใช้ในการอาบน้ำทั่วไป 

มีเรื่องเล่าว่า นางวิสาขาเป็นผู้ขออนุญาตให้พระพุทธเจ้า
ให้พระสงค์รับผ้าอาบน้ำฝน
 เพราะเธอใช้นางทาสีไปนิมนต์พระที่วัดขณะฝนตก 
พระสงฆ์แก้ผ้าอาบน้ำกันเต็มวัด 


ทาสีกลับมาบอกนางวิสาขาว่า 
ไม่มีพระมีแต่ชีเปลือยเต็มวัด
วิสาขารู้ทันทีจึงได้กราบทูลพระพุทธองค์
ให้ทรงอนุญาตผ้าอาบน้ำฝนดังกล่าวแล้ว



การถวายเทียนพรรษา .....

ปกติประเพณีที่เกี่ยวกับเทียนหรือขี้ผึ้งนี้ 
ได้สืบกันมาแต่สมัยพุทธกาลแล้ว 
โดยเริ่มแต่สมัยที่พระพุทธองค์ได้เสด็จเข้าสู่ป่า 
หนีความทะเลาะวิวาทของภิกษุสงฆ์เมืองโกสัมพี 
ที่ตั้งหน้าทะเลาะกันด้วยเรื่องวินัยอันเล็กน้อย
 


โดยเข้าไปอยู่ในป่า มีลิงและช้างเป็นผู้อุปฐาก 
จนในที่สุดชาวเมืองต้องลงโทษภิกษุสงฆ์ทั้ง 2 ฝ่าย 
แล้วจึงไปนิมนต์พระพุทธองค์ออกจากป่าต่อไป 



ในขณะที่เสด็จอยู่ในป่านั้น 
ลิงก็หาผลไม้และน้ำผึ้งมาถวาย
 ฉันน้ำผึ้งเสร็จแล้ว
ก็จะนำขี้ผึ้งไปทำเทียนบูชาพระ

 
จึงเห็นได้ว่าเทียนได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับประเพณีสำคัญ
 การถวายเทียนให้ภิกษุสามเณร 
ได้จุดบูชาพระรัตนตรัยในวันเข้าพรรษา
โดยการรวบรวมเทียนไว้ถวายวัดเป็นจำนวนมาก
 เพื่อให้ได้จุดไปจนตลอดไตรมาส 
 


แต่ก่อนถวายกัน
เพียงเป็นเทียนขี้ผึ้งแท้ ๆ ชาวบ้านทำเอง 
เอาขึ้ผึ้งมารีดกับเส้นด้าย
แล้วตัดให้ได้อันยาวตามสมควร
แล้วนำไปถวายวัด 



ปัจจุบันได้มีการนำเทียนขี้ผึ้งมาผสมกับสารเคมี 
ทำให้แข็งตัวและแปรสภาพเป็นเทียนสีชนิดต่าง ๆ 
จนบางแห่งถือเป็นประเพณีใหญ่โต 
เช่น
*เทียนพรรษาของจังหวัดอุบลราชธานี*

ปีนี้พรรษามาแล้ว 
ขอให้ชาวพุทธทุกคนทำใจให้มั่น 
รำลึกถึงวันสำคัญนี้ ผู้ใดจะอธิษฐานจิตอย่างไร
ก็ตั้งใจให้แน่วแน่ 



ก็จะเกิดอานิสงส์กับตัวเองเป็นเอนกอนันต์
 เช่นในพรรษาจะงดบุหรี่ จะงดเที่ยวเตร่ 
จะงดดื่มสุราเมรัย ตลอดจนงดการทำชั่วทั้งมวล 

ทำบุญเมตตากรุณา 
และ
ชำระจิตที่มัวหมองมืดมน
ให้เป็นจิตสะอาดสว่างไสวตลอดไป 
ก็จะเป็นกุศลแก่ตัวเองและครอบครัวยิ่ง

***************

*จากหนังสือ มหาอุดม์ 
และออนซอนอีสาน ชุดที่ 1 โดย รศ.อุดม บัวศรี)*


.....................

http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song420.html
รางวัลชีวิต

พระพุทธองค์ ท่านทรงสอนเรื่องเวรกรรม
คนไหนใครทำ กรรมเคยก่อเอาไว้อย่างไร
ก่อน นั้น เคยทำกรรมไว้ชาติใด
ชาตินี้ต้องได้ รับกรรมที่ทำก่อนนั้น
ตัวฉันคงทำ แต่กรรมซ้ำอยู่เสมอ
ชาตินี้จึงเจอ เวรกรรมเก่าเข้าย้อนผูกพัน
ปวด ร้าว ตรอมตรมขื่นขมอนันต์
ทำดี สารพันรางวัลที่ได้ก็คือเคราะห์กรรม
โธ่ เอ๋ย พระเจ้าไม่เคยปราณี
ในชาตินี้ ทำดีไม่เคยก่อกรรม
หวัง ให้ ผลบุญได้น้อมนำ
ล้างเวรที่เคยทำ แต่ชาติ ปาง ก่อน
สิบนิ้วประนม สวดมนต์พร่ำบ่นบูชา
กุศลนำมา จงนำข้าสิ้นเวรดั่งวรณ์
หากแม้ ชีวีสิ้นลับดับมรณ์
เวรกรรม ทุกชาติก่อน
บรรเทาผันผ่อน อย่าตามซ้ำเลย...

				
12 กรกฎาคม 2548 07:30 น.

ดวงตาฟ้าดิน!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1931.html


ฟ้าหลังฝน
งามผ่อง...ใสแจ่มกระจ่าง..ในยามอรุณรุ่ง
ดวงเดินฝ่าหยาดน้ำค้างที่เกาะตามเรียวหญ้า
ไปแบ่งเด็ดดวงดอกพุดซ้อนมาสามสี่ดอก


แหงนเงยมองฟ้าใสด้วยใจดวงสุขเอิบงาม
และ
อีกสองสามวัน
ดวง..ก็จักพลันโผผินกลับบ้าน
ที่มีคนรักมากมายรอดวงอยู่
ผู้ที่รู้จักดวง..ดีมาตั้งแต่เกิด




ดวง..คิดถึงดวงใจที่ตะวันออกไกล
คิดถึงคนดีที่ครีฟแลนด์แดนดินแห่งความฝัน
และ
หวังหากเขาเข้ามาอ่านงานดวงด้วยใจยังรักรำลึก
ให้เขารับรู้ไว้ด้วยเถิดว่า
นาทีนี้ดวงคิดถึงความดีความใสซื่อความมีน้ำใจ
ของเขาเหลือเกินแล้ว
จนอยากบินไปหา หากดวงมีเวลาอีกไม่นานนี้


ที่ดวงคงหวังจะติดปีกบินไปไกลสุดหล้าฟ้าเขียว
ไปเกี่ยวเก็บทุกสิ่งแสนดีแสนงาม ท่ามโลกกว้างที่รออยู่



วันนี้...
ดวงตั้งใจจะไปไหว้พระที่อยุธยา
ไปสวดมนต์ภาวนา
ไปเดินดายเดียวหากมิได้เหงาใจเหว่ว้า..อีกต่อไป
ทว่าใจดวงดีดวงงามดวงให้ของดวง
คงเต็มไปด้วยความอิ่มบุญเอิบงาม


ดวง.อยากไปนั่งดูสายน้ำและตะวันลา
ก่อนจะเดินทางกลับบ้าน ..เพียงเท่านั้น

โลก..ตรงหน้าณ...นาทีปัจจุบัน
มีสิ่งแสนดีแสนงามมากมายนัก
ที่รอทอดทายทักดวงใจเรา
เพียงแค่คลิ๊กดวงใจเรา
ให้เลิกยึดมั่นในมายา จากใจ..จากใคร*คนอื่น*
ให้ดวงใจเราแสนชื่นสดไสวสวยงาม
ราวปลดสร้อยโซ่รักพันธนา


ดวง..คิดถึงคนยากไร้ในแผ่นดินนี้
ที่คงมากมายมากมี
ที่ยังต้องการความหวังกำลังใจ
ที่คงซึ้งใจรู้คุณค่าของการมีน้ำใจปันแบ่ง
และ
ดวงจักแบ่งปันให้ผู้คนเหล่านั้น 
ที่คงยินดีปิตินัก..ราวได้ต่อลมหายใจ


ดวงจึงมีความสุข
ที่คิดดีคิดได้คิดให้คิดที่จะทำ
และนี่มิใช่ตำราธรรม 
หากคือการลงมือทำด้วยความตั้งใจ
ฝึกการสละออก
ฝึกดวงใจให้เป็นผู้ให้อย่างไร้ร้องขอต่อคนที่ทุกข์ทนยาก
 

ใจดวงจึงเอิบงาม 
ราวดอกไม้ได้หยาดน้ำค้างกับความเกษมนี้

กับงามดวงใจนี้ 
ที่ยอมเป็นผู้ปิดทองใต้ฐานพระ
และ
ดวงเชื่อว่า เมื่อเราเป็นคนดี
คงมีดวงตาสวรรค์และฟ้าดินพร้อมเมตตาประทานพร 
............



มอบให้ภูตะวันค่ะแรงบันดาลใจจากงานงามเจ็บสะทือนค่ะ

*ไม่ควรค่าเพราะฉันมันเลวค่ะ*

ลืมฉันเสียเถิดที่รัก
ลืมใจภักดิ์รักมั่นมิหวั่นไหว
ลืมฉันเถิดคนดีเดินจากไป
อย่าสนใจร่างนี้ที่ตรอมตรม

เพราะเส้นทางสีขาวที่เธอเลือก
สลัดเปลือกอย่าติดตมจมขื่นขม
ปลดพันธนาทุกข์มายาฝากระทม
ฉันพร้อมก้มหน้าหนีพลีรับกรรม

ลืมฉันเถิดคนดีที่เคยรัก
แค่รู้จักพักใจอย่ารินร่ำ
เดินจากไปในเส้นทางทองสายธารธรรม
เลิกหลงฝันเงามายานะคนดี

เพราะ..
ลมหายใจในชีวีนี้แสนสั้น
ราวหลับฝันพลันตื่นชื่นก็หนี
ไม่ว่ารักว่าชังแค่ฝังฝากเพียงชีพนี้
กี่วันปีใครบอกได้คล้ายมินาน

เหมือนดอกไม้สยายกลีบรอวันร่วง
รอปลิดดวงดอกดับลาลับหวาน
ทิ้งสุขโศกโลกเศร้าไว้กับฤดีกาล
เป็นตำนานแห่งชีพนี้พลีเพื่อใคร

สำหรับฉันเกิดมาเพียงพบพ่าย
สวาทวายสอนจิตอย่าคิดไหว
คำว่ารักหนักดั่งศิลาแอกดวงใจ
ไม่เป็นไรยอมชดใช้ให้กับเธอ

ไม่เสียใจไม่เสียขวัญวันเธอพราก
ไม่พิลาปรำพันฝันพ้อเพ้อ
เงียบและเงียบเยียบเย็นยามไร้เธอ
ราวละเมอในม่านหมอกมืดบอดใจ

ลืมและลืม อย่าเสียใจในรอยโชค
การอยโศกทิ้งรอยเศร้าหนาวแค่ไหน
ไม่มีเธอฉันก็ตายทั้งหายใจ
ไม่เป็นไรตายก่อนตายได้ใช้กรรม..ได้พบธรรม..!
............



เอนร่างนอนนับดาวกลางทุ่งหญ้า
หอมละออดอกไม้ป่าจนหวามไหว
พสุธา..ที่ข้ารักเคยพักใจ
ยามนี้ไกลอยู่ไหนหนา..ฟ้าตอบที..

ฟ้ากว้างเมินหนีหน้าคนว้าเหว่
อย่าหลงเล่ห์คำลวงให้คิดหนี
ฟ้ารู้เห็น..ยอดดวงใจ..ไม่ไยดี
เสียเวลาที่เพ้อฝันให้หวั่นใจ...

บอกกับฟ้า..อย่าตอกย้ำให้ซ้ำเจ็บ
ใจหนาวเหน็บพอแล้วกับหวั่นไหว
แค่สร้างพระเอกในฝันไว้ปลอบใจ
รู้บ้างไหม?เขียนด้วยใจจบด้วยเศร้า..ให้พระเอกขี่ม้าขาว..พร้อมจากจร! 
.............




http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song374.html
สั่งฟ้าฝากดิน


ยามที่พี่อ้างว้างว่างใจ
นวลน้องต้องจากไป ใจพี่นี้ครวญคร่ำ
ทิ้งรอยแผลเก่า ให้เราชอกช้ำ
ใยรักเจ้าลืมคำ ทำเหมือนไม่ปรานี
เรียมหลั่งน้ำตาสะอื้น ยามดึกดื่นค่อนคืน
ทนขมขื่นทวี
มอง เฝ้ามองฟากฟ้าราตรี ลืมผืนดินลืมพี่
ลืมรักพี่เคยหมาย
เธอเปรียบดังชาวฟ้าโสภิณ ใยทิ้งให้ชาวดิน
ครวญถวิลร้องไห้
น้ำใจรักเจ้า ช่างเปลี่ยนง่ายดาย
ชาวฟ้าช่างโหดร้าย ใยถึงได้ใจดำ
เคยฝากน้ำคำพร่ำพรอด ฟ้าเคยกอดกับดิน
ลืมรักสิ้นดินช้ำ
เคยฝากใจให้ฟ้าดินจำ คำรักเอยเคยพร่ำ
ใยฟ้าเจ้าทำลาย
ใจไม่เคยจะคิดว่าคุณ ลืมรักอุ่นไอดิน
เพียงฝากลิ้นลวงให้
น้ำคำฟ้าสั่ง ฝากดินกินใจ ใยฟ้าไม่จำไว้
ใยหนอช่างแปรผัน
ลืมถ้อยรักเคยชื่นบาน ลืมกระทั่งวันคืน
เคยชิดชื่นด้วยกัน
เราอยากเด็ดดอกฟ้าลาวัลย์
ความรักเราจึงสิ้น ดินนั้นต้องเจียมตัว
ลืมถ้อยรักเคยชื่นบาน ลืมกระทั่งวันคืน
เคยชิดชื่นด้วยกัน
เราอยากเด็ดดอกฟ้าลาวัลย์
ความรักเราจึงสิ้น ดินนั้นต้องเจียมตัว... 
 ...............
  

http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1931.html
อายฟ้าดิน

จะบอกรักใครก็อายฟ้าดิน
ความหวังพังสิ้น ทางรัก มืดมน
เกิด มา ร่างกายเท่านั้นเป็นคน
แต่หัวใจปี้ป่น โดนรักขยี้แหลกราญ
จะเอ่ยรักใครให้เอือมระอา
เมื่อไร้คุณค่า จนมิ ต้องการ
ตราบ จน สิ้นคนมั่นรักยืนนาน
ต้องทุกข์ทรมาน ร้าวราน ฤดี
ชีวิตต้องสิ้น ความหมาย วิง วอน ไหว้
ฟ้าดินก็ไม่ปราณี เจ็บ ปวด รวดร้าว ชีวี
ดวงฤดี มีแต่ ซอกช้ำเรื่อยมา
ไม่อยากรักใครให้อายฟ้าดิน
กลัวเขาจะสิ้น ความรัก เมตตา
สู้ กลืน เก็บความซอกช้ำอุรา
ไม่รักใครดีกว่า เดี๋ยวเขาจะอาย ฟ้าดิน

ชีวิตต้องสิ้น ความหมาย วิง วอน ไหว้
ฟ้าดินก็ไม่ปราณี เจ็บ ปวด รวดร้าว ชีวี
ดวงฤดี มีแต่ ซอกช้ำเรื่อยมา
ไม่อยากรักใครให้อายฟ้าดิน
กลัวเขาจะสิ้น ความรัก เมตตา
สู้ กลืน เก็บความซอกช้ำอุรา
ไม่รักใครดีกว่า เดี๋ยวเขาจะอาย ฟ้าดิน...


				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพุด